๑
♦ โฉมสะคราญรถหอม ♦
………….
ยามสนธยา บนทางหลวงสายใหญ่แถบมณฑลฮ่อปัก ปรากฏผงคลีคละคลุ้งอบอวล แลเห็นอาชาตัวหนึ่งกำลังตะลุยตะบึง ด้านหลังยังมีม้าพ่วงพีสี่ตัวควบขับตามติดมาดั่งเหินบิน ทั้งสองฝ่ายทอดระยะห่างกันประมาณครึ่งลี้
อาชาตัวแรกที่นำหน้าพลันสละทางหลวง มุ่งสู่ท้องทุ่งรกร้างข้างทาง ผู้โดยสารอาศัยวิชาขับขี่อันเชี่ยวชาญ เร่งรุดเป็นระยะทางเจ็ดแปดลี้ แล้วจึงย่างเข้าสู่ถนนหลวงอีกสายหนึ่ง
จวบจนบัดนี้ บุรุษบนหลังม้าค่อยระบายลมหายใจยาวๆ รั้งบังเหียนม้ากวาดมองรอบๆ พบว่าทางเบื้องหน้ามีแสงไฟสว่างไสว สำเนียงจากเครื่องดนตรีหลายชนิดแว่วกระทบโสต ยามนี้ลมหนาวเหน็บพัดพร่างพรู ดังนั้นมิรีรอลังเล กระตุ้นม้ามุ่งตรงไป
แลเห็นเป็นหมู่บ้านหลังใหญ่ หน้าประตูแขวนโคมไฟประดับธงทิว คล้ายดั่งกำลังดำเนินพิธีมงคลอยู่
บริวารประจำหมู่บ้านร่างกำยำสองคนรีบดาหน้าออกมาต้อนรับ น้อมกายกล่าวว่า
“ขอเรียนถามนามสูงส่ง?”
บุรุษบนหลังม้างงงันไปวูบหนึ่ง กล่าวว่า
“ผู้น้องเพียงผ่านทางมา”
ผู้ต้อนรับยังมีรอยยิ้มเกลื่อนกลาด กล่าวว่า
“ประมุขหมู่บ้านเรา ฉี้น่ำซัว จัดงานเลี้ยงต้อนรับผู้กล้าหาญทั่วแผ่นดิน ท่านแม้มิใช่มุ่งมาอวยพรโดยเฉพาะ แต่เมื่อผ่านทางมา ก็ขอเชิญให้เกียรติแวะเยี่ยมเยือน”
ผู้ต้อนรับคารมและคมคายล้ำเลิศ แลเห็นบุรุษผู้โดยสารบนหลังม้ามีอาภรณ์ชุดรัดกุม กลางหลังสะพายกระบี่ยาว แม้มีอายุเพียงสิบแปดสิบเก้าปี แต่บุคลิกสง่างามยิ่ง ใบหน้าแม้ผ่านการตรากตรำ ยังไม่อาจปกปิดเค้าความคมคายหล่อเหลาได้
บุรุษหนุ่มกระพริบตากล่าวว่า
“กล่าวตามความสัตย์ ผู้น้องมีอริบาดหมางกับผู้เหี้ยมหาญแห่งบู๊ลิ้มส่วนหนึ่ง ถูกฝ่ายตรงข้ามไล่ล่ามาถึงที่นี่ ท่านประมุขหมู่บ้านแซ่ฉี้เป็นชนชั้นอาวุโส ไหนเลยกล้าสร้างความวุ่นวายให้กับท่าน?”
ผู้ต้อนรับประจำหมู่บ้านตระกูลฉี้อุทานดังอ้อ ขณะนั้นเสียงกระพรวนดังระรัวสดใส รถม้าโอ่อ่าคันหนึ่งควบขับออกมาจากภายใน
ประทุนรถม้าทั้งสี่ข้างเป็นสีเหลืองอ่อน ประดับม่านสีแดงห้อยพลิ้ว กอปรกับอาชาพ่วงพีที่ใช้เทียม ยังแขวนกระพรวนสีเงิน นับเป็นลักษณะอันงดงามแพรวพรายตา
ยามนั้น รถม้าพลันหยุดยั้งลง ม่านหน้าต่างเลิกขึ้นเล็กน้อยปรากฏเค้าหน้าครึ่งซีกที่ขาวผุดผ่อง บุรุษหนุ่มบนอาชามิเพียงสังเกตพบว่า บุคคลในรถกำลังจ้องมองมา ยังทราบว่าคนข้างในเป็นอิสตรี ต้องบังเกิดความพิศวงคลางแคลง คำนึงขึ้น
“…ม่านราตรีเริ่มคลี่กาง สตรีนางนี้ยังจะเร่งรุดไปที่ใด?”
ผู้ต้อนรับประจำหมู่บ้านรีบสาวเท้าเข้าไปบอกเล่าเหตุการณ์ให้ทราบ ภายในรถม้าจึงแว่วเสียงที่ไพเราะเสนาะโสตว่า
“เชื้อเชิญมันเข้าไป มิต้องกังวลผู้ไล่ล่า”
ผู้ต้อนรับประจำหมู่บ้านส่งเสียงรับคำ เสียงกระพรวนพลันดังขึ้น รถม้าพลันควบขับจากไป
บุรุษหนุ่มพอได้ยินก็พลิ้วกายลงจากหลังม้า ค้นเสื้อยาวสีเขียวอ่อนจากห่อผ้าที่หลังอานม้ามาสวมใส่ มอบกระบี่และพาหนะให้กับผู้ต้อนรับคนหนึ่ง พลางติดตามผู้ต้อนรับที่ร่วมปราศรัยเข้าสู่หมู่บ้าน เดินพลางถามว่า
“ท่านประมุขแซ่ฉี้ วันนี้มีงานมงคลใด?”
“ธิดาประมุขหมู่บ้านเราวันพรุ่งจะเข้าพิธีวิวาห์ นับเป็นเรื่องใหญ่ของหมู่บ้านเราในรอบยี่สิบปี ท่านประมุขได้ส่งเทียบเชิญนักสู้ทั่วแผ่นดิน จัดงานเลี้ยงรวมสามวัน ยังมีคณะงิ้วผลัดกันแสดงบนเวที วันนี้เป็นคณะงิ้วลือชื่อจากเมืองหลวง ท่านประมุขกับแขกเหรื่อหลายร้อยท่านกำลังทัศนาในห้องโถง”
บุรุษหนุ่มชุดเขียวผงกศีรษะเป็นเชิงรับทราบ ยามนี้มาถึงห้องโถงใหญ่แล้ว แลเห็นทั่วทั้งสี่ด้านแขวนดวงประทีป กึ่งกลางสร้างเป็นเวที คลื่นเสียงดังอื้ออึง ตลอดทั่วห้องโถงใหญ่แออัดด้วยผู้คนจำนวนมาก
ผู้ต้อนรับชี้มือไปที่หน้าเวที บอกว่าประมุขหมู่บ้านอยู่ที่นั้น บุรุษหนุ่มชุดเขียวจึงกวาดสายตามองตาม พบว่าทางแถวหน้า จัดเก้าอี้นวมไว้เจ็ดตัว แต่มีบุรุษผู้เดียวนั่งอยู่เท่านั้น
พอพบพานประมุขหมู่บ้านตระกูลฉี้ บุรุษชุดเขียวพลันบังเกิดความรู้สึกประทับใจยิ่ง ประมุขฉี้น่ำซัวเรือนร่างสูงสง่า เค้าหน้าสดใส มีแววเหี้ยมหาญน่าระย่นย่อ
ผู้ต้อนรับพอจากไป บุรุษชุดเขียวก็เสาะหาที่ว่างทางขวามือของห้องโถงทรุดนั่งลง สมาธิสับสนรวนเร มักกวาดตาไปยังประตูห้องโถงอยู่เสมอ
ประมาณชั่วหม้อข้าวเดือด หน้าประตูห้องโถงพลันปรากฏเงาร่างห้าสายขึ้น หนึ่งในจำนวนนั้นคือผู้ต้อนรับประจำหมู่บ้าน หนึ่งในสี่เป็นบุรุษกลางคนศีรษะใหญ่โตดวงตาดุร้าย คล้ายดั่งมีศักดิ์ฐานะสูงส่งกว่าผู้ร่วมทางมา
นอกนั้นเป็นบุรุษสวมชุดยาวหน้าตาเลือดเย็น อีกสองคนล้วนเป็นบุรุษวัยฉกรรจ์ชุดรัดกุม มาตรแม้นมันทั้งสองจะมีศักดิ์อ่อนด้อยกว่า แต่อิริยาบถยังเย่อหยิ่งผยองนัก
บุคคลทั้งสี่ใช้สายตาที่คมกล้าสำรวจมองกลุ่มคน บุรุษหนุ่มชุดเขียวต้องรีบก้มศีรษะ แต่ยังถูกอาคันตุกะเสื้อยาวพบเห็น กระซิบบอกกับพวกพ้อง ดังนั้นประกายตาแปดสายล้วนเขม้นมองมายังบุรุษหนุ่ม
บุรุษกลางคนผู้มีศักดิ์สูงส่งพลันโบกมือให้กับสองชายฉกรรจ์ชุดรัดกุมที่ร่วมทางมา มันสองจึงรีบสาวเท้ามาทางบุรุษหนุ่มชุดเขียว หมายสกัดคุมตัวไว้
ยามนั้นประมุขหมู่บ้านฉี้น่ำซัวพลันผุดลุกขึ้นก้าวย่างมาที่หน้าประตู
ส่วนบุรุษหนุ่มชุดเขียวพอแลเห็นชายฉกรรจ์สองคนแยกย้ายกันคุกคามมา สีหน้าเปลี่ยนเป็นผิดปรกติ รีบผุดลุกขึ้นก้าวยาวๆ ถอยไปด้านหลัง
ประจวบเหมาะกับพบเห็นว่ามีประตูด้านข้างบานหนึ่ง จึงมิขบคิดใคร่ครวญ ผลักประตูพุ่งเข้าไป ทุ่มเทฝีเท้าวิ่งตะบึงอย่างสุดตัว
ชายฉกรรจ์ทั้งสองต่างคาดมิถึงว่า บุรุษหนุ่มผู้นั้นจะกล้าล่วงล้ำเข้าสู่ตึกใน ต้องตะลึงลานไปชั่ววูบ ในที่สุดยังตามติดโดยมิยอมละเว้น
เหตุการณ์ทางด้านนี้ ทุกผู้คนในห้องโถงต่างไม่สังเกตพบเห็นฉี้น่ำซัว พอก้าวมาต้อนรับ ก็หัวร่อฮาฮากล่าวว่า
“ท่านผู้กล้าหาญ สมญาเพ็กเล็กชิ่ว (หัตถ์อสนีบาต) เนี่ยฮงถึงกับให้เกียรติมา ยังมีท่านเฉาเหี่ยก็เป็นอาคันตุกะที่คาดคิดมิถึง”
วาจาชะงักไปเล็กน้อย ค่อยกล่าวสืบต่อ
“เนี่ยเฮียตอนนี้เป็นผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารรักษาพระองค์ เฉาเฮียก็รับตำแหน่งในหน่วยรักษาพระองค์ ท่านทั้งสองล้วนมีภาระยุ่งเหยิง มิทราบยังมีเวลาว่างออกจากเมืองหลวงได้อย่างไร?”
บุรุษกลางคนที่นำหน้า สมญาหัตถ์อสนีบาตเนี่ยฮง ส่งสำเนียงอันกังวานสะท้านโสตตอบว่า
“ฉี้เฮียเร้นกายมิคบหากับคนภายนอกมาสิบกว่าปี นี่นับเป็นคราแรกที่ปรากฏโฉมหน้า ผู้น้องย่อมต้องเร่งรุดมาน้อมเยือน”
อาคันตุกะทั้งสองจึงถูกฉี้น่ำซัวเชื้อเชิญเข้าห้องโถงพำนักบนเก้าอี้ ยามนั้นพลันปรากฏบริวารประจำหมู่บ้านผู้หนึ่งวิ่งตะบึงเข้ามา รายงานเสียงกังวานว่า
“กิมตอไต้เฮียบ (ผู้กล้าหาญดาบทอง) จูกงเม้งให้เกียรติเร่งรุดมา!”
ฉี้น่ำซัวรีบโบกมือให้คณะงิ้วบนเวทีหยุดการแสดง สาวเท้าก้าวออกจากห้องโถง อาคันตุกะหลายร้อยคนที่ชุมนุมในห้องโถงใหญ่พลอยบังเกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย ประกายตาทุกคู่สาดพุ่งไปที่หน้าประตู
ชั่วครู่ให้หลัง ฉี้น่ำซัวก็นำพาบุรุษกลางคนอาภรณ์ชุดสมถะ อิริยาบถนุ่มนวลบนใบหน้ามีรอยแย้มยิ้มผู้หนึ่งก้าวเข้ามา
ชนชาวบู๊ลิ้มจำนวนหนึ่งผุดลุกขึ้นแสดงความคารวะฉี้น่ำซัวเปล่งเสียงร้องดังๆ ว่า
“ท่านผู้นี้ได้รับการเชิดชูเคารพจากทั่วทั้งแผ่นดิน… ผู้กล้าหาญดาบทอง จูกงเม้ง”
ผู้กล้าหาญดาบทองยิ้มแย้มพลางประสานมือคารวะต่อทุกผู้คน ประกายตาที่วาววับดั่งสายฟ้ากวาดมองไปรอบๆ คล้ายดั่งกำลังค้นหาสิ่งใดอยู่
จากนั้น ทั้งหมดทยอยกันหาที่นั่ง ผู้กล้าหาญดาบทองพลันโบกมือขึ้น พลันปรากฏคนสองคนสาวเท้าเข้ามา ผู้กล้าหาญดาบทองแนะนำต่อฉี้น่ำซัวว่า
“นี่เป็นศิษย์อันต่ำทรามของข้าพเจ้า”
หนึ่งในสองเป็นบุรุษฉกรรจ์อายุสามสิบเศษ จัดอยู่ในอันดับสองนามโจ้วเสียว อีกผู้หนึ่งเป็นบุรุษหนุ่มสง่างามอายุยี่สิบสามยี่สิบสี่ปีนามโคยเกียง บนแก้มซ้ายของมันยังมีรอยแส้สีเขียวประทับอยู่เส้นหนึ่ง
ผู้กล้าหาญดาบทองรอจนแขกเหรื่ออื่นๆ สนใจกับการแสดงบนเวทีดังเดิม จึงกล่าว
“ข้าพเจ้าชั่วชีวิตมิเคยกระทำเรื่องราวอดสูละอายใจ บัดนี้กลับมีวาจาหลายประโยคที่ไม่สะดวกต่อการให้บุคคลผู้อื่นได้รับทราบ”
ฉี้น่ำซัวมีสีหน้าพิศวงสงสัย แต่หัตถ์อสนีบาตที่นั่งร่วมอยู่ด้วย คล้ายดั่งรับทราบมาก่อน จึงมีสีหน้าเป็นปรกติ
ผู้กล้าหาญดาบทองถอนหายใจเบาๆ กล่าวต่อ
“สำหรับเรื่องนี้จำต้องบ่งบอกต่อฉี้เฮีย เนื่องจากศิษย์คนที่สี่ของข้าพเจ้า ได้ละเมิดข้อบัญญัติประจำสำนัก เตลิดหลบหนีหายสาบสูญไป ข้าพเจ้าเกรงว่ามันจะฉกฉวยโอกาสปะปนเข้ามาในหมู่บ้านนี้”
ฉี้น่ำซัว กล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้นเราจะบงการให้ผู้คนตรวจค้นดู”
“นั่นกลับมิกล้า เพียงแต่มันหากไม่ก่อกวนเรื่องราวอีก ก็ให้แล้วกันไปเถอะ”
หัตถ์อสนีบาต เนี่ยฮง ที่อยู่ด้านข้างกล่าวสอดว่า
“ผู้น้องตลอดเวลาเลื่อมใสในความประพฤติของจูเฮีย แต่เกี่ยวกับเรื่องนี้รู้สึกไม่เห็นพ้องด้วย”
ฉี้น่ำซัว มีสีหน้าสงสัยกล่าวว่า
“พี่ท่านคงมีเหตุผลกระมัง?”
“เมื่อมินานมานี้ ผู้น้องได้แวะไปกราบพบจูเฮีย ประจวบเหมาะกับพบพานเรื่องราวที่ศิษย์ทรยศผู้นั้นนามซิเล้ง ละเมิดกฎระเบียบเตลิดหนี พวกท่านสันนิษฐานดูว่าซิเล้งผู้นี้ล่วงล้ำข้อบัญญัติใด?”
ผู้กล้าหาญดาบทองจูกงเม้ง ฝืนหัวร่อกล่าวว่า
“เนี่ยเฮียบอย่าได้กล่าวแล้ว”
แต่หัตถ์อสนีบาต เนี่ยฮงกลับปฏิเสธ กล่าวว่า
“ไม่ ผู้น้องมิอาจไม่พูด เดียรัจฉานนี้ละเมิดกฎบัญญัติกามราคะ ถึงกับมีความคิดข่มขืนย่ำยีสตรีในการปกครองของจูเฮีย ยังประเสริฐที่ถูกพบเห็นแต่ศิษย์คนโตของจูเฮียนามเอี้ยกังก็ถูกศิษย์ทรยศนี้ประทุษร้ายจนบาดเจ็บสาหัส”
ประมุขหมู่บ้านฉี้น่ำซัวก็มีสีหน้าเดือดดาดคั่งแค้น แต่ผู้กล้าหาญดาบทองกลับทอดถอนใจกล่าวว่า
“ขอเพียงมันกลับใจได้สำนึก ภายหน้าขณะท่องเที่ยว มิกระทำการผิดทำนองคลองธรรมอีก ความประพฤติแต่หนหลังยังคงแล้วกันไปเถอะ”
หัตถ์อสนีบาตกล่าวอย่างขุ่นแค้น
“จูเฮียมักคำนึงว่า ซิเล้งเป็นทายาทกำพร้าของสหายผู้ล่วงลับ จึงไม่อาจตัดใจอำมหิต แต่พวกเรา ในเมื่อรับทราบเรื่องราวนี้ ย่อมมิอาจอภัยละเว้นมันได้…
และความจริงก็เป็นไปตามการคาดคะเนของจูเฮีย ซิเล้งตอนนี้อยู่ในหมู่บ้านนี้ ผู้น้องได้ส่งคนเฝ้าควบคุมมัน ขอเพียงจูเฮียผงกศีรษะอนุญาต ผู้น้องจะปลิดศีรษะมันมาน้อมสนองเอง!”
ฉี้น่ำซัวเพิ่งทราบสาเหตุที่ผู้กล้าหาญดาบทองพยายามทักท้วงมิให้เปิดเผยเรื่องราว ดังนั้นจึงบังเกิดความนิยมเลื่อมใสยิ่งขึ้นและสนับสนุนว่าสมควรกำจัดซิเล้งไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้กล้าหาญดาบทองจึงอนุโลมด้วยสีหน้าอันสะทกสะท้าน
ยามนั้น ผู้ช่วยของหัตถ์อสนีบาตเฉาเหี่ยพลันอุทานว่า
“ซิเล้งหลบหนีเข้าไปที่ตึกในของท่านประมุขแซ่ฉี้แล้ว”
ฉี้น่ำซัวพอฟังจึงกล่าว
“ทุกท่านโปรดวางใจ เราจะเข้าไปสักครู่หนึ่ง รับรองว่าจัดการเรื่องราวนี้ได้”
กล่าวถึง บุรุษชุดเขียวพอบุกฝ่าเข้าสู่ตึกใน ริมโสตพลันได้ยินเสียงฝีเท้าติดตามมาดังสับสนคำนึงขึ้น
“…ผู้ไล่ล่าทั้งสองล้วนมีพลังฝีมือยอดเยี่ยม ขอเพียงถูกไล่ล่าตามทัน ก็ยากที่จะสลัดหลุดรอดได้…”
ดังนั้นรีบทุ่มเทวิชาตัวเบา พุ่งข้ามกำแพงและตัวตึก ทะลวงผ่านอาคารหลายหลัง พลันเหลือบเห็นเบื้องหน้าเป็นตรอกซอยกว้างใหญ่สายหนึ่ง
ขณะวิ่งตะบึง พลันพบพานรถม้าคันหนึ่งจอดสนิทอยู่ คล้ายกับคันที่พบเห็นที่ประตูหน้าหมู่บ้าน บุรุษหนุ่มชุดเขียวลังเลเล็กน้อย จากนั้นสาวเท้าพุ่งเข้าไป
พอกระโดดปราดขึ้นบนรถ เลิกม่านแล้วกวาดมอง พบว่าภายในมีโคมไฟเล็กๆ ดวงหนึ่งสาดประกายเจิดจ้า
จากนั้นบุรุษหนุ่มชุดเขียวถึงกับสะท้านทั้งร่าง เนื่องเพราะในตัวรถมีดรุณีนางหนึ่งอาศัยยู่ กำลังผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ ร่างท่อนบนเปลือยเปล่า ผิวกายที่ขาวผุดผ่องถูกแสงสว่างสาดสะท้อนจนละลานตา
ดรุณีนางนั้นแม้มีสีหน้าแตกตื่นเดือดดาล แต่มิได้ส่งเสียง พลันปรากฏประกายสีดำสายหนึ่งพุ่งปราดมาจากข้างกายนาง กรีดแฉลบใส่ใบหน้าบุรุษหนุ่มชุดเขียวทันที!
บุรุษหนุ่มชุดเขียวเพิ่งเห็นว่า เงาดำนั้นเป็นแส้หนังละเอียดอ่อนเส้นหนึ่ง รู้สึกมีพลังรุนแรงปะทะใส่ใบหน้า กลับไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
แส้ยาวพอกวาดมาถึงเบื้องหน้า พลันรั้งกลับอย่างฉับไว บุรุษหนุ่มชุดเขียวยามนี้เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามเปลือยร่างท่อนบน จึงรีบพริ้มตาลง ได้ยินดรุณีนางนั้นอุทานว่า
“เอ๊ะ ที่แท้เป็นท่าน”
บุรุษหนุ่มชุดเขียวพอได้ยินสำเนียงฝ่ายตรงข้าม จึงมั่นใจว่าเป็นดรุณีในรถม้าที่พบพานหน้าหมู่บ้านตระกูลฉี้ ห้วงสมองพลันปรากฏเค้าหน้านางขึ้น เป็นดรุณีโสภาตาสุกใสเค้าหน้ากลมเกลี้ยง อายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปีนางหนึ่ง
บุรุษหนุ่มชุดเขียวกล่าวว่า
“ขอโกวเนี้ยโปรดอภัย ข้าพเจ้าคิดมิถึงว่าในรถม้าจะมีคน”
ริมโสตแว่วเสียงสวมใส่เสื้อผ้าเบาๆ ชั่วครู่ ดรุณีโสภานางนั้นจึงส่งเสียงกล่าวว่า
“ท่านมีนามกระไร?”
บุรุษหนุ่มชุดเขียวกล่าวว่า
“ข้าพเจ้า ซิเล้ง”
ขณะตอบคำ ก็ลืมตาขึ้นช้าๆ แลเห็นดรุณีนางนั้นสวมใส่อาภรณ์แล้ว ในมือเรียวงามกระชับแส้อ่อนเส้นหนึ่ง ตาคู่งามสาดประกายเย็นยะเยียบ
ซิเล้งรู้สึกว่า ฝ่ายตรงข้ามมีเจตนาประสงค์ร้ายจึงฝืนหัวร่อกล่าวว่า
“ข้าพเจ้ายินยอมรับการลงทัณฑ์จากโกวเนี้ยทุกประการ แต่ขอโกวเนี้ยโปรดอนุญาตให้ข้าพเจ้าได้ซุกซ่อนกายชั่วคราว”
ดรุณีโสภากล่าวเสียงเย็นชา
“ข้าพเจ้าแซ่ฉี้นามอิง บิดาของเราคือฉี้น่ำซัว”
“ที่แท้เป็นธิดาของท่านประมุขแซ่ฉี้…”
“เฮอะ ท่านขึ้นมาเถอะ”
ซิเล้งรีบมุดกายเข้าไปในรถ นั่งสงบอยู่มุมหนึ่ง ทุกอิริยาบถล้วนสำรวมเปี่ยมมารยาท
แต่ฉี้อิงกลับเขม้นมองอย่างยะเยือกเย็นกล่าวว่า
“ซือแป๋ข้าพเจ้าเคยบ่งบอกว่า บุคคลที่เปลือกนอกท่าทางสำรวมต้องระมัดระวังอย่างยิ่งยวด ในใต้หล้ามีแต่ผู้คนที่จอมปลอม ท่านก็คงเป็นบุรุษประเภทนั้น”
ซิเล้งกล่าวอย่างขมขื่น
“ข้าพเจ้ามีชะตาอาภัพมากเคราะห์ ถูกใส่ไคล้ป้ายผิดโดยไม่มีทางโต้แย้งได้ โกวเนี้ยจะว่ากล่าวอย่างไรก็ได้ เนื่องจากข้าพเจ้าในยามนี้มิมีกำลังขัดขืนแล้ว”
“วาจาตอนท้ายของท่าน ไหนเลยนับเป็นชายชาติชาตรีได้?”
“โกวเนี้ยเป็นธิดาสูงศักดิ์ ย่อมมิทราบการผันแปรของชะตากรรม ครั้งกระโน้นข้าพเจ้าก็เป็นทายาทของตระกูลทรงอำนาจ ได้รับการอบรมอย่างดีเลิศ หลังจากเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงครั้งมหันต์แล้ว ก็มีชีวิตอย่างอเนจอนาถ”
ฉี้อิงรับฟังจนงงงันไป แต่แล้วกล่าวว่า
“ท่านมิต้องกล่าวต่อแล้ว มิว่าอย่างไรเราก็ไม่อภัยละเว้น สำหรับโทษทัณฑ์ของท่าน ข้าพเจ้าจะลงโทษโดยควักนัยน์ตาท่านสองข้าง ให้ท่านไม่อาจแลเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเลย!”
ซิเล้งสะท้านใจอย่างรุนแรง ฉี้อิงกล่าวอย่างไร้ไมตรีอีกว่า
“ท่านหากมิยินยอมพร้อมใจ พวกเราก็มาต่อสู้กัน ท่านหากเอาชัยข้าพเจ้าได้ ทุกสิ่งนับว่าเลิกล้มกัน”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้ามีแต่ขอเสี่ยงแล้ว”
ฉี้อิงรู้สึกสงสัยใจในการที่ฝ่ายตรงข้ามกล้ารับคำท้าทาย แต่ทว่าเค้าหน้าของนางก็ยังเย็นชาปราศจากความรู้สึก พลันสะบัดฝ่ามือดับโคมไฟสีเงินในตัวรถพลิ้วกายออกไปด้านนอกทันที
ซิเล้งได้แต่สาวเท้าติดตามไป ทั้งสองฝ่ายหลังจากพอยืนหยัดมั่น ฉี้อิงก็รั้งฝ่ามือซ้ายขึ้น สะอึกกายอีกหนึ่งก้าว เรือนร่างขณะคุกคามเข้าหาคู่ต่อสู้สภาวะฝ่ามือก็ผลักดันออกไป
ซิเล้งแม้ผนึกลมปราณตระเตรียมอยู่ก่อน แต่พอเผชิญการจู่โจม ยังต้องแตกตื่นตระหนกอย่างใหญ่หลวง รู้สึกฝีมือของฝ่ายตรงข้ามเช่นนี้ แม้เชื่องช้าเนิบนาบ แต่มิว่าคิดหลบหลีกอย่างไรล้วนมิอาจเลี่ยงพ้น
ขณะคิดลงมือสกัด กลับไม่สามารถเสาะพบช่องโหว่ ซิเล้งได้แต่ยืนตะลึงลานกับที่ วิถีฝ่ามือของฉี้อิงได้พุ่งกระจายมาถึงเบื้องหน้าแล้ว ขอเพียงกดกระแทกลงใส่ ซิเล้งก็จบชีวิตในบัดดล
ฉับพลันทันใด
เสียงฝีเท้าดังแว่วมา ซิเล้งสำนึกดีว่าผู้มาย่อมมาเสาะหาตนแน่นอน ต้องคร่ำครวญในใจ
“…ชีวิตของเราจบสิ้นแล้ว…”
เสียงฝีเท้าอุปมาทูตมัจจุราช คาดมิถึงว่าฉี้อิงพลันกล่าวว่า
“รีบเข้าไปซุกซ่อนในตัวรถ”
ซิเล้งปากอ้าตาค้าง แต่แล้วรีบหันกายก้าวขึ้นสู่รถม้าซุกซ่อนร่องรอยไว้
วินาทีนั้น เงาร่างสายหนึ่งพลันปรากฏขึ้น เห็นเป็นประมุขหมู่บ้านตระกูลฉี้นามฉี้น่ำซัว พอกวาดตามองก็พบเห็นฉี้อิงกล่าวว่า
“อิงยี้ เจ้ากลับมาแต่เมื่อใด?”
ฉี้อิงรีบมุดกายเข้าไปในรถม้า ส่งเสียงตอบว่า
“ข้าพเจ้าเพิ่งมาผลัดเปลี่ยนอาภรณ์”
“อ้อ ผู้กล้าหาญดาบทองจูแป๊ะแปะ (ยกย่องเป็นลุงแซ่จู) มีศิษย์ทรยศนามซิเล้งหลบหนีปะปนเข้ามาในหมู่บ้าน เดียรัจฉานนั้นมักมากในกามคุณ คิดย่ำยีสตรีในการปกครองของผู้อื่น บิดามีไมตรีอยู่กับผู้กล้าหาญดาบทอง จึงมาเสาะหาหมายกำจัดไป”
ขณะกล่าววาจา ก็สาวเท้ามาทางรถม้าคันงาม ซิเล้งอยู่ในรถ ไม่มีที่ทางซุกซ่อนกาย จึงบังเกิดความตื่นเต้นตึงเครียดอย่างใหญ่หลวง ทั้งนี้ก็เพราะเพียงแต่ฉี้น่ำซัวชะโงกหน้าเข้ามา ร่องรอยก็ถูกเปิดเผย
ซิเล้งกระทั่งลมหายใจยังมิกล้าระบายออก กลอกกลิ้งดวงตามองมายังฉี้อิง สร้างความแตกตื่นเป็นที่ยิ่ง ที่แท้ฉี้อิงกำลังปลดเปลื้องอาภรณ์จนเปลือยร่างท่อนบน เนื่องจากนั่งหันข้างให้ ส่วนโค้งส่วนเว้าบนร่างกายจึงปรากฏชัดตา
นาสิกของซิเล้งสูดได้กลิ่นกายสาวที่หอมกรุ่น สภาพอันงามสะคราญล้ำเปี่ยมเสน่ห์ดึงดูดเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ซิเล้งมิเคยคาดฝันว่าจะได้พบพานมาก่อน
ฉี้อิงพลันส่งเสียงนุ่มนวลว่า
“บิดา ในระแวกใกล้เคียงนี้ มิมีร่องรอยของบุคคลผู้ใดเลย”
เสียงสวมใส่อาภรณ์ของนางดังแว่วออกด้านนอก ฉี้น่ำซัวทราบว่าธิดาของเขามักผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าในรถม้า จึงเพียงกวาดตามองรอบๆ บริเวณตลบหนึ่ง กล่าวว่า
“เจ้าระมัดระวังไว้ บิดาจะไปตรวจดูเส้นทางอื่น”
จากนั้นสาวเท้าจากไป
ฉี้อิงพลันหันขวับมาทางซิเล้งแค่นเสียงหนักๆ กล่าวว่า
“ท่านเป็นศิษย์ของผู้กล้าหาญดาบทองแต่วิชาฝีมือกลับหามีความสูงส่งอันใดไม่ ซือแป๋ข้าพเจ้ากล่าวได้มิผิด มนุษย์เรามิอาจคำนวณอุปนิสัยใจคอโดยอาศัยโฉมหน้าอย่างเดียว ผู้ใดทราบว่าท่านเป็นบุคคลอันโฉดชั่วเลวร้าย?”
ซิเล้งอ้าปากหมายกล่าววาจา แต่แล้วเงียบงันมิโต้แย้ง
ฉี้อิงยามนี้ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดดำสนิท เสื้อผ้าที่สร้างจากผืนหนัง แม้เบาบางแต่มีประกายมันมะเมื่อม
เอวแน่งน้อยของนางประดับสายรัดเอวเสียบมีดสั้นด้ามฝังเพชรอยู่สองเล่ม สภาพเช่นนี้กลับเป็นความงามอีกแบบหนึ่ง
ฉี้อิงยื่นมือกระชับสายบังเหียนที่ควบคุมอาชาเทียมรถทั้งสองตัว กระตุ้นเล็กน้อย รถม้าคันงามก็ควบขับออกจากที่
ซิเล้งที่นั่งอยู่ในตัวรถ รู้ว่าตนเองถูกนำพาพ้นจากหมู่บ้านตระกูลไป ก็เริ่มบังเกิดความไหวหวั่น มิสบายใจขึ้นมา
ความจริงซิเล้งแม้เผชิญกับความตายก็ไม่เคยนำพา แต่ทว่าเหตุเปลี่ยนแปลงเฉพาะหน้านี้กลับสร้างความสงสัยขบคิดคำนึงแต่ว่านางที่แท้มีเจตนาอย่างไร? คิดเร่งรุดไปที่ใด? และไฉนนางจึงผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ชุดนี้?
รถม้าพอออกจากหมู่บ้านก็เร่งรุดไปตามถนนหลวงที่ราบเรียบ สองฟากข้างทางปลูกต้นเกาเหลียง ซิเล้งปรายตาเหลือบแลฉี้อิง พบว่านางมีสายตาเหม่อลอยครุ่นคิด
ซิเล้งลอบถอนใจ คำนึงขึ้น
“…นางโสภาปานนี้ พลังฝีมือก็สูงเยี่ยม ยังมีบิดาที่ทรงบารมี เพียงแต่กลับเป็นบุปผาที่มีเจ้าของ วันพรุ่งต้องเข้าพิธีวิวาห์แล้ว…”
ฉี้อิงพลันกล่าวว่า
“ท่านมีพฤติการณ์ย่ำยีอิสตรีจริงๆ?”
ซิเล้งเงียบงันครู่หนึ่งจึงกล่าว
“ข้าพเจ้ามิได้กระทำเรื่องราวเช่นนั้น โกวเนี้ยเชื่อหรือไม่แล้วแต่ท่าน”
“เราเชื่อ!”
ซิเล้งพลอยมีหน้าตาแตกตื่นถามว่า
“โกวเนี้ยเชื่อมั่นได้อย่างไร?”
ฉี้อิงเบือนหน้าไปอีกด้านหนึ่ง กล่าวช้าๆ ว่า
“ข้าพเจ้าในสายตาของท่าน คงมินับว่าอัปลักษณ์ แต่ข้าพเจ้าขณะผลัดเสื้อผ้า ท่วงท่าของท่านแสดงถึงการควบคุมตัวเองอย่างดีเยี่ยม แสดงว่าย่อมมิใช่บุคคลอันชั่วร้าย”
ซิเล้งมีประกายตาตื้นตัน ยามนี้รถม้าเริ่มคลอนแคลนไม่มั่นคง พุ่งทะยานไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว เสมือนดั่งกำลังพุ่งลาดสู่ที่ต่ำ
ทั้งสองอยู่ในตัวรถที่มีอาณาเขตจำกัด อยู่ในสภาวะแทบเสียดสีสัมผัสกัน และสภาวะของรถม้าพอรวนเร ซิเล้งยามมิทันระวัง ร่างกายจึงเบนแฉลบ มิเพียงกระแทกถูกฉี้อิง ยังกลิ้งไปตามตัวรถ กดทับร่างกายของนางไว้
ซิเล้งพอเริ่มสัมผัสกับร่างอันอวบสล้างของฉี้อิงก็รู้สึกว่าเป็นสภาพการณ์อันเลวร้ายสาหัสนัก แต่ด้วยความลืมตัวได้กวาดสายตาไปยังใบหน้าของนาง
แลเห็นฉี้อิงพริ้มตาลง ใบหน้าแดงระเรื่อ มีความงามล้ำชวนสะท้านจิต ลมหายใจอันรวยรินโชยปะทะถูก เป็นกลิ่นหอมจางๆ ชื่นนาสา
ขณะนั้น รถม้ายังคงพุ่งลาดต่ำราวกับเหาะเหิน บังเกิดความกระทบกระเทือนไม่มั่นคงตลอดรายทาง ชั่วครู่ให้หลัง รถม้าจึงค่อยๆ หยุดชะงักลง
ฉี้อิงขยับร่างดิ้นรนหลุดออกมา ในประกายตาของนางพลันทอแววสับสน แต่แล้วพลิ้วกายลงจากตัวรถไป
ซิเล้งรู้สึกลำบากใจ ได้แต่ติดตามลงไปท่ามกลางแสงจันทราที่สาดส่อง แลเห็นที่ซึ่งรถม้าหยุดยั้งเป็นหุบเขาอันล้ำลึกแห่งหนึ่ง
ทั่วสี่ทิศเป็นผนังผาสูงชัน รถม้าคงลงมาจากด้านในด้านหนึ่ง ทำเลแถบนี้รกร้างสงัดงันยิ่งนัก
ฉี้อิงลังเลอยู่ครู่ใหญ่ จึงสาวเท้าไปด้านทิศบูรพา ซิเล้งก็ติดตามไปอย่างกระชั้นชิด ซุกซ่อนความคลางแคลงอยู่ในใจ
แลเห็นฉี้อิงมุ่งตรงสู่ถ้ำมหึมาแห่งหนึ่ง พอก้าวเข้าไปข้างใน พริบตาเดียวก็ปรากฏแสงอันอ่อนจางสว่างวูบ
ซิเล้งค่อยแลเห็นสภาพแวดล้อม แลเห็นนี่เป็นถ้ำที่มีความกว้างกว่าตรงปากถ้ำเสียอีก ผนังรอบกายล้วนเป็นดำทะมึน ดังนั้นฉี้อิงแม้จุดโคมไฟซึ่งแขวนอยู่บนผนังขึ้น ก็ยังมืดทึบยิ่งนัก
ภายในถ้ำเวิ้งว้างปราศจากสิ่งใด ฉี้อิงสาวเท้าไปยังส่วนลึก ยื่นมือปาดเบาๆ บนผนังพลันปรากฏโพรงที่กว้างสามเชี้ยะขึ้นแห่งหนึ่ง
ยามนั้น ลมยะเยือกโชยกระหน่ำ ความหนาวเหน็บข่มขู่ผู้คน แสดงว่าภายในโพรงมิเพียงล้ำลึกสุดหยั่งคาด ยังอาจเป็นปากทางระบายความเย็นจากพื้นใต้ดินด้วย
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป
ชอบครับ…
อยากอ่านจนจบเรื่องครับ
ขอบคุณที่ติดตามครับ ศุกร์ที่ 1ก.พ. นี้ ตอนที่ 2 มาละครับ ติดตามต่อกันได้เลย
ความถี่ในการออก ออกทุกๆ กั่วันครับ?
ออกอาทิตย์เว้นอาทิตย์ครับ จะออกในวันศุกร์ ขอบคุณที่ติดตามครับ