♦ เผชิญวิกฤตการณ์ ♦
…………

เทพเจ้าไตรทะเลกล่าวอย่างเย็นชาว่า

“เจ้าหากมิมีจิตคิดทรยศไฉนไม่รายงานเสียก่อน ทุกตำแหน่งในวังวารีล้วนจัดสร้างปุ่มสัญญาณถ่ายทอดภัยโดยไร้สุ้มเสียงเจ้าที่แท้มีความคิดประการใด?”

“ข้าพเจ้าคราแรกเกรงว่าจะถูกฝ่ายตรงข้ามปลิดชีวิต จึงมิกล้าวู่วาม พร้อมกับนั้นก็ต้องการทราบสาเหตุที่มันเข้าสู่วังวารีด้วย”

“เจ้ากระทำอย่างไร?”

“ข้าพเจ้าจำต้องสร้างความเชื่อถือต่อฝ่ายตรงข้าม ทราบว่ามันคิดช่วยเหลือเจียะฉั้งฮ้ง จึงนำพาไปพบพานภายหลังยังผสมยาผงลงในชามหมี่น้ำให้มันรับประทาน”

เทพไตรทะเลผงกศีรษะรับทราบพึมพำว่า

“ยานึ่งเฮียงซั่ว (ยาผงหอมอ่อนล้า) ที่เจ้าผสมไปจะออกฤทธิ์เมื่อหนึ่งชั่วยามให้หลัง พวกมันคงไม่ระแวงหรอก”

อาเฮ็กก็กล่าวว่า

“นอกจากใช้ยาผงหอมอ่อนล้าแล้ว ข้าพเจ้ายังลอบใส่ทำเอี้ยม (เกลือโมหะ) อีกด้วย ทั้งสองคนหนึ่งมิอาจฝ่าด่านนงคราญอีกหนึ่งก็ไม่สามารถผ่านระเบียงสมบัติ”

เทพไตรทะเลถึงกับระเบิดเสียงหัวร่อดังกึกก้อง รั้งมือกลับมากล่าวขึ้นว่า

“เจ้าติดตามเรามา”

ทั้งสองติดตามถึงห้องหับหลังหนึ่ง เทพไตรทะเลกดไปที่ผนังห้อง ก็ปรากฏประตูบานหนึ่งเลื่อนออกจากกันภายในมืดมิดยิ่งนัก

เทพไตรทะเลบงการมิให้นางส่งเสียง แล้วจึงกุมมือนางเดินเหินอยู่ในความมืดเป็นระยะทางหลายวา จากนั้นเทพไตรทะเลเบี่ยงกายมาด้านข้างแลเห็นแสงสว่างลำหนึ่งสาดมาจากรูวงกลมทางผนัง

อาเฮ็กเคลื่อนดวงตาประชิดกับรูผนัง พบเห็นสภาพภายในที่คุมขัง มองจากด้านบนสู่เบื้องล่างจึงสังเกตอิริยาบถของสองบุรุษในห้องกักขังอย่างชัดเจน

แลเห็นซิเล้งนั่งอยู่ในซอกมุมหลังประตู ตระเตรียมทำร้ายผู้คนที่ผลักประตูเข้ามาอย่างกะทันหัน ส่วนเจียะฉั้งฮ้งนั่งเอนกับผนังห้องดวงตาพริ้มลง

อาเฮ็กรับทราบว่ามีรูสังเกตการณ์จากเทพไตรทะเลมาก่อน และเทพไตรทะเลได้แสดงท่าทางห้ามมิให้ส่งเสียง แล้วล่าถอยออกมา เลื่อนประตูลับปิดเข้าหากันดังเดิม

เทพไตรทะเลบงการว่า

“รอเวลาที่ฤทธิ์ยาภายในกายของพวกมันกำเริบ เจ้าก็แสร้งเป็นช่วยเหลือพวกมันหลบหนีมา เล่าฮูตกลงว่าจะใช้ด่านนงคราญกับระเบียงสมบัติคร่ากุมพวกมันทั้งเป็น แล้วค่อยไต่สวนศัตรูว่าแทรกซึมเข้ามาในวังด้วยวิธีใด”

อาเฮ็กส่งเสียงรับคำเทพไตรทะเลกล่าวต่อ

“เจ้าตระเตรียมปฏิบัติการได้ แต่มิต้องรายงานต่อเล่าฮูอีก”

ประมาณครึ่งชั่วยามให้หลัง ซิเล้งได้ยินประตูเหล็กเคลื่อนไหวอาเฮ็กปรากฏกายเข้ามาโดยผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ กล่าวว่า

“บัดนี้เป็นโอกาสอันประเสริฐ แต่จะสัมฤทธิ์ผลหรือไม่ต้องฝากไว้กับวาสนาแล้ว”

เจียะฉั้งฮ้งเงียบงันมิส่งเสียง รู้สึกห้วงสมองมึนงงอลวน ซิเล้งกล่าวว่า

“โกวเนี้ยขอให้บอกกล่าวสภาพภายในวังด้วย”

อาเฮ็กเสาะหาศิลาก้อนหนึ่ง ขีดโยงลายเส้นเป็นภาพขึ้นพลางอธิบายว่า

“วังเราก่อสร้างอยู่ในผิวน้ำ จึงมิได้จัดสร้างกลไกกับดัก แต่พวกท่านโปรดดูห้องศิลาที่กว้างขวางหลังนี้ คือด่านนงคราญของวังเราภายในห้องทั้งทิวาราตรี จะมีดรุณีจำนวนมากคอยฝึกหัดดนตรี พวกท่านขอเพียงเดินเหินอย่างสง่าผ่าเผยก็จะผ่านพ้นไปได้”

ซิเล้งกล่าวตัดบทว่า

“ดรุณีเหล่านั้นจะมิไปรายงานเทพไตรทะเลหรือ?”

“เนื่องจากพวกท่านเดินเหินอย่างองอาจนั่นเอง ควรทราบว่าวังเราตลอดเวลามิมีเหตุเปลี่ยนแปลง พวกนางย่อมคาดมิถึงว่าท่านคือศัตรูที่คิดบุกฝ่าออกจากวังกอปรกับข้าพเจ้าเป็นผู้นำทางยิ่งไม่มีผู้ใดระแวงสงสัยเพียงแต่มีอยู่ข้อหนึ่งที่พวกท่านต้องจดจำไว้…”

นางหยุดเล็กน้อยจึงกล่าว

“หากแม้นพวกท่านมีผู้ใดถูกความงามของอิสตรีสยบไว้ อีกผู้หนึ่งขออย่าได้ส่งเสียง ให้เร่งรุดต่อไป รอให้ข้าพเจ้าหาทางชักนำมาสมทบ นี่จึงจะมิก่อกวนเหตุการณ์จนวุ่นวาย”

ซิเล้งผงกศีรษะกล่าวว่า

“พอออกจากห้องแล้วจะเป็นอย่างไร?”

“นอกห้องมีระเบียงกว้างขวางสายหนึ่ง สองฟากข้างล้วนกองสุมด้วยอัญมณีล้ำค่า พวกท่านหากคิดหยิบฉวยก็นำไปเพียงหนึ่งหรือสองสิ่ง มิอาจชักช้าเลินเล่อจนเสียเวลา สุดท้ายเข้าสู่ห้องศิลามหึมาหลังหนึ่ง ภายในห้องมีบุคคลสองสามคนเฝ้ารักษาพวกท่านยามลงมือต้องอาศัยความว่องไวอำมหิต จึงสามารถเข้าสู่ทางเดินที่จัดนาวาทอง”

“ผู้เฝ้ารักษาเป็นใคร?”

“อย่างน้อยต้องมียอดฝีมือคนหนึ่ง ควบคุมองครักษ์อีกสองคน และผู้มีฝีมือมักเป็นหนึ่งในห้าจ้าวฉลาม มิทราบพวกท่านสามารถสังหารพวกนั้นได้หรือไม่?”

ซิเล้งผุดลุกขึ้นมากล่าวว่า

“ไปกันเถอะสำหรับการที่จะพิฆาตคู่ต่อสู้หรือไม่ต้องรอพิสูจน์เมื่อถึงเวลา”

พลางก้าวออกจากประตูเหล็กก่อน อาเฮ็กเป็นบุคคลที่สอง นางพลันถูกเจียะฉั้งฮ้งโอบกอดเอาไว้แผ่นหลังแนบสนิทกับทรวงอกของมัน อาเฮ็กลอบยื่นมือไปแตะชีพจรข้อมือ บีบเค้นด้วยกำลังเล็กน้อย เจียะฉั้งฮ้งถึงกับสะท้านทั้งร่างคล้ายกับฟื้นฟูสติสัมปชัญญะรีบคลายแขนออก

ทั้งสามเมื่อออกจากทางเดิน อาเฮ็กก็เป็นผู้นำหน้าและเดินเหินอย่างรวดเร็ว พอถึงมุมโค้ง นางกวาดสายตาสำรวจมองก่อนแล้วจึงโบกมือวิ่งปราดไปอย่างเร่งร้อน

มินานให้หลัง ทั้งหมดก็วกเข้าสู่ทางเดินสายหนึ่งสุดทางมีประตูสีแดงบานหนึ่ง อาเฮ็กชี้มือไปที่ประตูกล่าวเบาๆ ว่า

“ระวัง นั่นเป็นด่านนงคราญแล้ว”

ประกายตาของนางกวาดมองมาที่เจียะฉั้งฮ้งแลเห็นมันมีสีหน้าเลื่อนลอยเล็กน้อย จึงขมวดคิ้วอันเรียวงาม จิตใจหวนระลึกถึงความรู้สึกอันพิกลเมื่อยามถูกโอบกอดเมื่อครู่ นางหาใช่มิเคยถูกบุรุษเพศสัมผัสมาก่อนแต่ความรู้สึกกลับแตกต่างกัน

พอผลักประตูสีแดงก็แว่วเสียงดนตรีดังเสนาะโสต บุคคลทั้งสามรู้สึกสว่างจ้าที่เบื้องหน้าสายตา เนื่องจากภายในห้องมีแสงประทีปโคมไฟประดับสว่างไสว ในห้องที่กว้างขวางยังมีดรุณีหกนางร่ายรำระบำอยู่

ดรุณีเหล่านี้คลุมแพรเบาบางเพียงผืนเดียว ยุรยาตรเคลื่อนกายด้วยจังหวะเย้ายวนใจ ผิวกายที่เปล่าเปลือยของทุกนวลนางล้วนขาวผุดผ่องสะท้อนประกายให้ละลานตา

อาเฮ็กก้าวนำหน้า บุคคลที่สองคือซิเล้ง ตนมาตรแม้นจะเป็นบุรุษอายุเยาว์แต่ได้สำรวมจิตผนึกสมาธิไม่วอกแวก จึงมีประกายตาแน่วแน่ก้าวยาวๆ ออกไป

แต่เจียะฉั้งฮ้งที่รั้งท้ายเพียงเพิ่งเข้าผ่านประตูเข้ามามิกี่ก้าวก็ชะงักฝีเท้าลง จับจ้องดรุณีแทบเปล่าเปลือยสุดโสภาเหล่านั้น ซึ่งอยู่ในท่าร่ายระบำอันกระสันรัญจวน พริบตาเดียวมันมีดวงตาแดงฉานสาดประกายมีหื่นกระหายหิว

ที่มุมห้องมีดรุณีงามนางหนึ่ง ส่งเสียงร้องเรียกอย่างไพเราะหยาดเยิ้ม เจียะฉั้งฮ้งกวาดตามองไป แลเห็นโฉมสะคราญที่มีส่วนสัดสมบรูณ์ เปล่งปลั่งด้วยเลือดเนื้อวัยสาวนางหนึ่งชม้ายชายตาเป็นเชิงเชิญชวนพร้อมกับบิดกายก้าวสู่หลังบังกั้นแห่งหนึ่ง

เจียะฉั้งฮ้งพลันถาโถมเข้าหาจนหายลับไปหลังบังกั้นแล้ว

ยามนี้อาเฮ็ก ซิเล้ง ต่างเดินเหินออกจากห้อง ทั้งสองเบือนศีรษะมองมา ก็มิพบพานเงาร่างของเจียะฉั้งฮ้ง ซิเล้งจึงร้องโพล่งว่า

“เจียะฉั้งเฮียเล่า?”

อาเฮ็กกล่าวว่า

“ด้านหลังของบังกั้นทั่วทั้งห้องล้วนจัดตั้งเตียงนอน มันคงอยู่ในมุมใดมุมหนึ่ง ข้าพเจ้าจะไปชักนำออกมา ท่านล่วงหน้าไปก่อนแต่อย่าเพิ่งบุกฝ่าเข้าสู่ห้องสุดท้าย ยังคงรอให้สมทบกันจึงมีความหวังเอาชัย”

ซิเล้งพลันคว้ากุมข้อมือของนางไว้กล่าวว่า

“ท่านยินยอมร่วมเสี่ยงภยันตรายนี้ด้วยจริงๆ?”

“ข้าพเจ้ามิใช่เริ่มต้นแล้วหรือ? แม้ข้าพเจ้าเป็นสนมเอกของเทพไตรทะเล แต่ก็มีความคิดหลบหนีต้องการมีชีวิตอย่างอิสระ พร้อมกับนั้นก็ตระเตรียมจัดการกับชีวิตของตัวเอง หากปฏิบัติงานล้มเหลวด้วย”

นางยื่นฝ่ามือซ้ายออก บนนิ้วกลางได้สวมใส่วงแหวนวงหนึ่ง ตัวแหวนมีส่วนแหลมอยู่ที่หนึ่งทางปลายเป็นสีเขียวคล้ำแสดงว่าอาบยาพิษไว้ แหวนวงนี้มิเพียงใช้จัดการศัตรู ยังส่งเสริมตัวเองก่อนจะต้องเผชิญกับทัณฑ์ทรมานเคี่ยวเข็ญ

และแล้ว อาเฮ็กก็กลับสู่ห้องศิลา ซิเล้งจึงหันร่างกวาดสายตาไปรอบๆ พลันรู้สึกห้วงสมองมึนงงหลังจากสำรวมจิตใจค่อยทราบว่าตัวเองได้ถูกอัญมณีมีค่าที่เรียงรายอยู่สองฟากข้างของระเบียงทางสายกว้างสะกดจนละลานพร่างพรายตา

อัญมณีเหล่านี้ ล้วนเปล่งประกายเจิดจ้าทำให้ผู้คนหวนรำลึกว่า ตัวเองอยู่ในวังวารีของพญามังกร ซึ่งร่ำลือกันว่ามีสมบัติมากมายก่ายกอง

ซิเล้งรู้สึกตาลายสมองหมุน พร้อมกับนั้นจิตใจก็เริ่มรวนเร บังเกิดความละโมบโลภหลงอย่างไร้สาเหตุ สามัญสำนึกสลายตัวไป ลากฝีเท้าก้าวไปทางระเบียงทันที

ร่างย่อลงสัมผัสไข่มุกเม็ดโตร้อยเป็นพวง ทันใดนั้นสองเท้าพลันมีอาการบีบคั้นจนเจ็บแปลบปลาบ จึงก้มศีรษะกวาดมองด้วยความตื่นตระหนก

แลเห็นข้อเท้าทั้งสองข้างถูกห่วงเหล็กสองอันบีบรัดจนแนบแน่น แม้สลัดหมายหลุดพ้นแต่ตัวห่วงก็มิสั่นคลอนแม้แต่น้อย!

ซิเล้งสะท้อนใจอย่างรุนแรง สำนึกว่าในสถานที่นี้จัดสร้างกลไกกับดักอยู่ เมื่อเท้าทั้งสองข้างถูกห่วงเหล็กรัดไว้ ก็สูญสิ้นอิสรภาพแล้ว

ดังนั้นจึงมีความคิดละทิ้งไข่มุกในมือ เพื่อหาทางดิ้นรนหลุดพ้นมา แต่ทว่าประกายตาพอเหลือบมองที่เม็ดไข่มุก พลันมีจิตโมหะลุกฮือโหม มิอาจสละทิ้งไป

นี่เป็นการกระตุ้นจากฤทธิ์ยาที่แทรกซึมอยู่ในร่างกายของซิเล้ง และได้เริ่มแผ่ประสิทธิภาพคุกคามผู้คน… ตั้งแต่โบราณกาล นักสู้ผู้กล้าหาญส่วนใหญ่ต่างมิอาจหลุดพ้นด่านราคะและโมหะ จนเป็นเหตุให้ล่มสลาย

ซิเล้งมีจิตใจไหวหวั่นปั่นป่วน ขณะนั้นเอง เงาร่างสองสายพลันพุ่งปราดตรงเข้ามาอย่างว่องไว สีหน้าล้วนแต่เหี้ยมเกรียมอำมหิต

คนผู้หนึ่งสะบัดหมัดฝ่าอากาศอย่างหนักหน่วง กระแทกใส่กลางหลังของซิเล้ง และอีกผู้หนึ่งก็ประกบนิ้วดั่งปลายทวน จี้สกัดมาทางจุดเส้นบริเวณชายโครง

ซิเล้งในมือยังรวบพวงไข่มุก ห้วงสมองสับสนอลวนในวินาทีฉุกละหุกนั้น เงาหมัดและพลังดรรชนีของศัตรูได้จู่โจมมาถึงแล้วจึงบังเกิดเสียงดังโครมใหญ่

เรือนร่างของซิเล้งพุ่งถลาไปเบื้องหน้าและล้มฟุบลงมิอาจตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาอีก เนื่องจากจุดเส้นที่ชายโครงได้ถูกฝ่ายตรงข้ามจี้สกัดเอาไว้!

บุคคลทั้งสองล้วนมีวิชาฝีมือสูงส่ง ยามจู่โจมก็มีพลังการฝึกปรือลึกล้ำ ที่แท้เป็นสองในห้าจ้าวฉลามสังกัดเทพไตรทะเล

ฝ่ายจ้าวฉลามขาวส่งเสียงหัวร่อเคี้ยกเคี้ยกอย่างบาดหู กล่าวว่า

“เดียรัจฉาน มีรากฐานพลังฝีมือมิต่ำทราม พลังหมัดยามกระแทกใส่ถึงกับถูกการสั่นสะเทือนที่กล้ามเนื้อของมัน จนเสื่อมโทรมกำลังไปกว่าครึ่ง”

จ้าวฉลามดำก็กล่าวว่า

“ท่านประมุขมีการคาดคำนวณปานเทพยดา โดยเชื่อมั่นว่า ศัตรูมีความสามารถยอดเยี่ยม จึงดำเนินงานอย่างสุขุม แต่เราขบคิดมิออกว่าบุรุษหนุ่มเฉกเช่นมัน พลังการฝึกปรือไฉนลึกล้ำถึงปานนี้? พร้อมกับนั้นมันมีอายุเยาว์วัยก็มิสมควรละโมบในสมบัติเช่นนี้นับว่าน่าประหลาดยิ่ง”

ความจริงบุรุษหนุ่มทั่วไป หนึ่งนั้นมิใคร่จัดเจนต่อโลกกว้าง จึงมีความคิดเพ้อฝัน สองนั้นความละโมบในวัตถุมิรุนแรง แม้จะเป็นบุคคลยากไร้ แต่เพราะกาลเวลาเคี่ยวเข็ญยังน้อยนิด จึงมิเข้าใจถึงความสำคัญของเงินทอง จากสาเหตุทั้งสองประการ จิตโมหะย่อมน้อยกว่าผู้มีอายุสูงวัย

จ้าวฉลามกล่าวว่า

“โดยมิต้องสงสัย เดียรัจฉานน้อยนี้คงถูกฤทธิ์ยาบางประการกระตุ้นจนก่อเกิดดวงจิตคิดละโมบ บัดนี้พวกเรากลับไปในห้องนงคราญกัน”

ทั้งสองคร่ากุมซิเล้ง เดินเหินมาที่ห้องหับที่เคยชุมนุมแต่อิสตรี บัดนี้กลับเงียบสงัดไร้ผู้คน บังกั้นทางซ้ายมือได้เคลื่อนย้ายออก บนเตียงนอนคงไว้ด้วยคนผู้หนึ่ง ซึ่งคือเจียะฉั้งฮ้ง มันคล้ายกับถูกจี้สกัดจุดอยู่ จึงมิอาจเคลื่อนไหวได้

จ้าวฉลามขาวกล่าวกับผู้ร่วมงานว่า

“ท่านไปรายงานต่อท่านประมุข เราจะขนย้ายเชลยทั้งสองนี้สู่ห้องคุมขัง รอให้ท่านประมุขพิจารณาโทษ”

มินานให้หลัง ซิเล้งพบว่าตนตกอยู่ในห้องลักษณะกลมแห่งหนึ่ง รอบด้านเรียงรายไว้ด้วยเครื่องทรมานทุกชนิด มีสภาพประหลาดพิกล ส่วนใหญ่มิทราบใช้เป็นประโยชน์อย่างไร

ซิเล้งกับเจียะฉั้งฮ้งต่างยืนหยัดอยู่หน้าเสาเหล็กท่อนหนึ่ง แผ่นหลังแนบสนิทกับเสาเหล็กสองมือไขว้อยู่หลังเสา ใช้แผ่นเหล็กที่จัดสร้างเป็นพิเศษบีบรัดไว้ ส่วนสองเท้ามิถูกพันธนาการยังสามารถเคลื่อนไหวได้

เจียะฉั้งฮ้งมีดวงตาแดงฉานด้วยโลหิต ท่วงท่าน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก ภายในกายร้อนรุ่มด้วยเพลิงปรารถนาที่เผาผลาญแต่จุดถูกสกัด แม้คิดขยับเขยื้อนยังมิเป็นผลสำเร็จ

มันเป็นผู้กล้าหาญที่มิใคร่สนใจในสตรีเพศ ดังนั้นแม้จะถูกตัวยาแทรกซึมกระตุ้นเพลิงราคะ แต่ยังมีจิตสำนึกสักสองส่วน จดจำออกว่ามันขณะโถมทับไปบนร่างที่เปล่าเปลือยของดรุณีโสภาบนเตียงนอน พลันรู้สึกชาวูบที่กลางหลังจนสูญสิ้นกำลังจากนั้นถูกพลิกกายกลับมาแลเห็นว่าผู้ลงมือคืออาเฮ็ก

บัดนี้มันมาถึงห้องทรมานจึงทราบว่าอาเฮ็กทรยศแล้ว แต่อารมณ์กำหนัดยังลุกฮือโหม ในห้วงสมองมีแต่ภาพของส่วนสัดที่อวบสล้างด้วยเลือดเนื้อของอิสตรี

แต่ซิเล้งมีสติแจ่มใสแล้ว ประกายตาได้เขม้นมองไปที่หน้าประตู ขณะนั้นประตูห้องก็เปิดอ้าออก อาเฮ็กพลิ้วกายตรงเข้ามา จ้าวฉลามขาวและดำต่างกล่าวชมเชยต่อนาง

อาเฮ็กหัวร่อพลางกล่าวว่า

“พวกมันน่าเวทนายิ่งนัก จวบจนบัดนี้คงมิทราบว่าเกิดเหตุการณ์อันใด ข้าพเจ้าจะให้พวกมันกลืนกินยาขจัดก่อน เพื่อมิเป็นปีศาจงมงาย”

นางสะอึกกายไปเบื้องหน้า ยัดเยียดยาเม็ดเข้าไปในปากเจียะฉั้งฮ้งและซิเล้งคนละเม็ด

พริบตาเดียว เจียะฉั้งฮ้งก็ฟื้นคืนท่วงท่าที่เคร่งขรึมดังเดิม ได้ยินอาเฮ็กยิ้มพลางกล่าวว่า

“พวกท่านคงเข้าใจแล้ว สถานที่นี้คือห้องทัณฑ์สถานของวังเรา มีทัณฑ์ทรมานสิบสามประการ อีกสักครู่พวกท่านคงได้ลิ้มรสชาติแล้ว”

นางยื่นมือตบคลายจุดเจียะฉั้งฮ้ง กล่าวต่อ

“ท่านคงคิดจะแผดด่าสักคราหนึ่ง ถ้าเช่นนั้นก็เชิญเถอะ”

เจียะฉั้งฮ้งกล่าวอย่างเย็นชาว่า

“หากด่าท่าน ยังจะมีประโยชน์อันใด เราเพียงแต่ชิงชังตัวเองที่โง่เขลาเบาปัญญา”

จ้าวฉลามขาวทางด้านข้างกล่าวกับอาเฮ็กว่า

“ฮูหยินพบพานท่านประมุขแล้วหรือไม่?”

อาเฮ็กกล่าวว่า

“ท่านประมุขเพิ่งฝึกปรือฝีมือในห้องสงบ นี่เป็นกิจวัตรประจำวัน ท่านทั้งสองก็ทราบดี ต้องอาศัยเวลาสองชั่วยามจึงออกมา”

“อ้อ ท่านประมุขคงจดจ่อกับเชลยทั้งสองนี้อย่างยิ่ง จึงเลื่อนเวลาฝึกฝีมือออกไปจากเดิม”

แต่ทว่า ความจริงหาเป็นเช่นดังจ้าวฉลามขาวเข้าใจไม่ เนื่องจากเทพไตรทะเลเป็นบุรุษกลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์ มิมีความเชื่อถือบริวารในสังกัดเลย ยังคลางแคลงต่อพฤติการณ์ของอาเฮ็ก จึงรอให้คร่ากุมเชลยได้แล้วค่อยฝึกฝนฝีมือตามปรกติอย่างวางใจ

จ้าวฉลามดำกล่าวว่า

“ระยะเวลาสองชั่วยามแม้มิยาวนาน แต่เพื่อความปลอดภัยพวกเรายังเฝ้ารักษาอยู่ในที่นี้ด้วย”

อาเฮ็กเอ่ยปากชมเชยมัน พลางชักชวนสองจ้าวฉลามออกมานอกห้องกล่าวอย่างครุ่นคิด

“เดียรัจฉานน้อย เมื่อแทรกซึมเข้าสู่วังวารีได้ มิแน่นักว่าจะมีผู้อื่นปะปนอยู่ในวัง มิทราบนี่เป็นความคิดที่กังวลเกินไปหรือไม่?”

“ฮูหยินมีจิตใจลึกซึ้ง ความคิดนี้เป็นไปได้อย่างยิ่ง”

“เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราตอนนี้มิอาจรอคอยท่านประมุข มีแต่ปฏิบัติงานอย่างสุดความสามารถ เดียรัจฉานน้อยนั้น มิทราบถูกผู้ใดจี้สกัดจุดไว้ และควบคุมมันได้เนิ่นนานสักเท่าใด?”

จ้าวฉลามดำกล่าวว่า

“บริวารเป็นผู้ลงมือ ต้องสี่ชั่วยามให้หลังจึงคลายออกได้ แต่ผู้มีรากฐานพลังภายในลึกล้ำประมาณสองชั่วยามก็สูญสิ้นประสิทธิภาพ”

“นั่นก็เพียงพอแล้ว จ้าวฉลามขาว รบกวนให้ท่านนำกำลังที่เข้มแข็งสืบเสาะค้นหาทุกขอกมุมในวังวารี โดยอ้างว่าเป็นประกาศิตจากท่านประมุข สำหรับข้าพเจ้ากับจ้าวฉลามดำ จะเฝ้ารักษาห้องทัณฑ์สถาน และซักไซร้เชลยว่ามีผู้อื่นปะปนมาด้วยหรือไม่?”

จ้าวฉลามขาวบัดนี้มิเคลือบแคลงใจอีก รับคำแล้วปฏิบัติตามทันที ควรทราบว่าห้าจ้าวฉลามนี้ ล้วนเป็นผู้สนิทชิดชอบกับเทพไตรทะเล เปลือกนอกแม้นอบน้อมต่ออาเฮ็ก แต่สาเหตุเป็นเพราะนางได้รับความนิยมรักใคร่

และเทพไตรทะเลยิ่งไม่เชื่อถืออิสตรี มักตักเตือนให้คนสนิททั้งห้าคอยสังเกตดูนางสนมดรุณีรับใช้ทั่วทั้งวัง คราครั้งนี้อาเฮ็กได้รับมอบหมายดำเนินการ เทพไตรทะเลก็บงการอย่างลับๆ ให้บริวารในสังกัดระมัดระวังด้วย หากนางมิปฏิบัติงานอย่างจริงใจก็จะต้องถูกพบเห็นทันที

จวบจนบัดนี้ อาเฮ็กจึงวางแผนจนสร้างความเชื่อมั่นให้กับสองจ้าวฉลาม

อาเฮ็กกับจ้าวฉลามดำหวนกลับมาที่ห้องทัณฑ์สถาน อาเฮ็กกล่าวกับเจียะฉั้งฮ้งว่า

“ท่านทราบหรือไม่ว่ามีผู้ใดอื่นอีกที่ปะปนอยู่ในวังวารี?”

เจียะฉั้งฮ้งรับฟังจนงงงันไปพลันแผดด่าว่า

“นางสุนัขจิ้งจอก ท่านอย่าคาดหวังว่าจะได้รับทราบเลย”

อาเฮ็กพลันหัวร่อออกมากล่าวว่า

“วาจาของท่านเท่ากับสะกิดเตือนผู้งมงายทีเดียว”

พลางชักชวนจ้าวฉลามดำมาถึงอีกมุมหนึ่งของห้องกล่าวเบาๆ ว่า

“ข้าพเจ้าต้องอาศัยฤทธิ์ปลุกกำหนัดอีก และเสียสละตัวเองเล็กน้อย ย่อมสืบสาวความลับได้”

จ้าวฉลามดำเชื่อถือเป็นอย่างดีกล่าวว่า

“ฮูหยินหากกระทำสำเร็จ นับเป็นความดีความชอบอย่างใหญ่หลวง ฮูหยินก็ทราบว่า วังเราอยู่ในสังกัดของท่านผู้ก่อตั้งสำนักมหากาฬ ท่านเจ้าสำนักมหากาฬยังขึ้นตรงต่อปรมาจารย์เฒ่าอีกท่านหนึ่ง คราครั้งนี้ฮูหยินอาจมีวาสนาได้พบพานปรมาจารย์เฒ่านั้น โดยการชักนำของประมุขวังทีเดียว”

อาเฮ็กผงกศีรษะ และให้ฝ่ายตรงข้ามจากไปชั่วคราว จ้าวฉลามดำก็รับคำอย่างนอบน้อมล่าถอยออกจากห้อง

ดังนั้น อาเฮ็กจึงปิดประตูอย่างแข็งแรง และก้าวมาถึงเบื้องหน้าของซิเล้งกล่าวว่า

“ห้องทัณฑ์สถานนี้ สำเนียงจากภายในรับรองว่ามิถ่ายทอดไปถึงภายนอก พวกเราสนทนากันอย่างวางใจได้ ซิเสียวเฮียบ เส้นบนร่างท่านในเวลาสี่ชั่วยามจึงจะคลายออก แต่ผู้มีพลังการฝึกปรือลึกล้ำ สองชั่วยามก็จะฟื้นฟูดังเดิม มิทราบท่านสามารถเป็นอิสระในระยะเวลาสองชั่วยามหรือไม่?”

ซิเล้งได้รับยาเม็ดจากฝ่ายตรงข้ามเมื่อครู่นี้ ทำให้ฤทธิ์ยาโมหะที่แทรกซึมอยู่ในร่างถูกขจัดไปสิ้น บัดนี้แม้ถูกสกัดจุดอยู่ก็สามารถเอื้อนเอ่ยวาจา แต่เงียบงันมิกล่าวออกเลย

อาเฮ็กถอนใจเบาๆ กล่าวว่า

“ตอนนี้ท่านคงระแวงมิเชื่อถือข้าพเจ้า แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมา ล้วนเป็นแผนการที่ข้าพเจ้ากำหนดขึ้นทั้งสิ้น สำหรับขั้นตอนต่อไป หากแม้นซิเล้งสามารถเป็นอิสระในเวลาสองชั่วยาม ข้าพเจ้าก็มิต้องล่อลวงให้จ้าวฉลามดำมาตบคลายจุดของท่าน”

หยุดเล็กน้อยจึงกล่าวว่า

“และรอจนท่านเคลื่อนไหวได้ ก็จะบุกเบิกเส้นทางหนีออกจากวังนี่เป็นโอกาสเพียงครั้งเดียว หากมีการพลาดพลั้ง พวกท่านก็ต้องจบชีวิต ข้าพเจ้าก็มิอาจหลบหนีจากวังวารีไปจวบชั่วชีวิต”

ซิเล้งแค่นเสียงดังเฮอะกล่าวว่า

“นี่เป็นวาจาเหลวไหลทั้งสิ้น ขอถามท่านหากแม้นมีเจตนาหลบหนีออกจากสถานที่นี้จริงๆ ไฉนไม่กระทำตั้งแต่เมื่อครู่? กลับต้องลงมือสูญเสียความพยายาม หรือท่านเข้าใจว่าพวกเราจะมีโอกาสหลบหนีได้อีก?”

อาเฮ็กกล่าวอย่างจริงจัง

“คราแรกที่พวกเรามิอาจบหลบหนีได้ เนื่องจากเทพไตรทะเลพบเห็นว่านาวาของโจรสลัดในทะเลถูกทำลาย จึงมีความคิดที่จะออกไปสำรวจดู

“มันหากจากไปพวกเราก็มิมีทางออกจากวังวารี เพราะว่าปราศจากนาวาทองสำหรับโดยสาร ท้องทะเลละแวกนี้กระแสน้ำรุนแรงมิว่าผู้ใดก็ไม่อาจต้านทานรับไว้

รอมันหวนกลับเข้ามาในวังอีก ย่อมต้องนำพาจ้าวฉลามแดงกับเหล่าโจรสลัดญี่ปุ่นมา ออกค้นหาตัวเจียะฉั้งฮ้งไปสังหาร เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราไหนเลยมีโอกาสหลบหนี ดังนั้นข้าพเจ้าจึงลงมือคร่ากุมพวกท่านก่อน”

เจียะฉั้งฮ้งที่รับฟังอยู่พลันกล่าวว่า

“ฟังดูรู้สึกมีเหตุผล แต่ท่านมั่นใจได้หรือว่า เทพไตรทะเลพอคร่ากุมพวกเราแล้ว จะไม่ลงมือสังหารทันที?”

“นิสัยใจคอของมันข้าพเจ้าทราบซึ้งเป็นอย่างดี สาเหตุอีกประการหนึ่งที่ข้าพเจ้าต้องคร่ากุมพวกท่านก่อนก็คือ สร้างความไว้วางใจจากเทพไตรทะเล เพราะว่ามันตลอดเวลาคอยสังเกตการเคลื่อนไหวของข้าพเจ้าอย่างลอบเร้นอยู่แล้ว”

เจียะฉั้งฮ้งกล่าวตัดบทว่า

“ท่านหากมีจิตคิดหลบหนี ก็ทำลายเครื่องพันธนาการที่ข้อมือของเราเสียก่อน”

“การนี้สำหรับเรา ท่านมีแต่ผลเสียลองคิดดู หากแม้นจ้าวฉลามดำหรือบุคคลอื่นปรากฏกายเข้ามาอย่างกะทันหันและพบข้อผิดปกติ ตอนนั้นซิเล้งยังถูกสกัดจุดอยู่มิมีทางหลบหนีออกจากวัง พวกเราไยมิใช่มีแต่รับความตายสถานเดียว?”

ซิเล้งนิ่งขบคิดชั่วขณะ แล้วจึงกล่าวกับเจียะฉั้งฮ้งว่า

“นางคล้ายดั่งไร้เจตนาร้ายต่อพวกเราจริงๆ”

เจียะฉั้งฮ้งกล่าวว่า

“มิผิดเรามักมีความรู้สึกว่าวาจานางน่าเชื่อถือตลอดเวลา”

ซิเล้งเบือนหน้ามาทางอาเฮ็กกล่าวว่า

“ตกลงข้าพเจ้าเชื่อถือท่าน ขอเวลาหนึ่งชั่วยามข้าพเจ้าก็จะเป็นอิสระแล้ว”

อาเฮ็กกล่าวอย่างลิงโลดว่า

“ถ้าเช่นนั้นก็ประเสริฐ เทพไตรทะเลต้องใช้เวลาสองชั่วยาม จึงเสร็จจากการฝึกปรือฝีมือ พวกเรามีเวลาเพียงพอในการหลบหนีไป วังวารีมีศัตรูที่เข้มแข็งเพียงสองคนคือจ้าวฉลามขาวและดำเท่านั้น

“จ้าวฉลามขาวถูกข้าพเจ้าบงการไปเสาะค้นวังวารี อย่างน้อยต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยามจึงจะกลับ ดังนั้นท่านพอได้รับอิสระ พวกเราก็จะกำจัดจ้าวฉลามดำหลบหนีออกจากวังทันที”

บนใบหน้านางพลันปรากฏรอยยิ้มอันอ่อนหวานน่าลุ่มหลง แต่ชั่วครูให้หลังรอยยิ้มกลับสลายไปปรากฏแววตื่นตระหนกขมวดคิ้วจนแนบแน่น

ซิเล้ง เจียะฉั้งฮ้ง ต่างมิทราบสาเหตุจับจ้องมองนางอย่างงงงัน เห็นนางจมอยู่ในภวังค์ครุ่นคิดครู่หนึ่ง พลันวิ่งตะบึงมาด้านหลังของเจียะฉั้งฮ้งบังคับกลไกทำลายห่วงเหล็กที่รัดพันข้อมือ

เจียะฉั้งฮ้งกล่าวอย่างสงสัย

“เรื่องราวเป็นอย่างไร?”

อาเฮ็กกล่าวเสียงเร่งร้อนว่า

“ขอให้ข้าพเจ้าวิตกเกินเลยเถอะ ข้าพเจ้าจำได้ว่าเทพไตรทะเลเคยนำพาข้าพเจ้าสู่ทางลับสายหนึ่ง และสังเกตการเคลื่อนไหวของพวกท่านในคุกศิลา ซึ่งทางลับนั้น แม้กระทั่งข้าพเจ้ายังมิล่วงรู้มาก่อน มิแน่นักว่าขณะนี้ มันกำลังลอบสังเกตพฤติการณ์ของพวกเราอยู่ในมุมเร้นลับแห่งหนึ่งก็ได้!”

ซิเล้งมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปแต่ยังกล่าวว่า

“ท่านอาจระแวงเกินไป…”

“พวกท่านยังมิทราบถึงความกลอกกลิ้งมากเล่ห์ของเทพไตรทะเล ห้าจ้าวฉลามในสังกัดล้วนยำเกรงมัน เพราะหนึ่งนั้นพลังฝีมือได้รับการถ่ายทอดมา และหนึ่งนั้นหวาดกลัวในความเจ้าเล่ห์เพทุบายของมัน”

“มันอาจเชื่อถือท่านแล้ว ตอนนี้คงฝึกปรือฝีมืออันเป็นกิจวัตรอยู่”

“เทพไตรทะเลอาจมอบหมายผู้อื่นคอยสังเกตพวกเรา ในทางลับ พอรับทราบความจริงคงรีบรายงานต่อมันนี่ย่อมเป็นไปได้ โอ ข้าพเจ้ากลับเลินเล่อนัก”

นางรีบเบือนหน้ามาทางซิเล้งกล่าวว่า

“ท่านพยายามคลายจุดของตัวเองโดยเร็วที่สุดข้าพเจ้ากับเจียะฉั้งฮ้ง…”

วาจามิทันจบ ประตูห้องพลันถูกกระแทกพังทลายลง หน้าประตูปรากฏคนจำนวนหนึ่งขึ้น!

ผู้นำหน้าคือเทพไตรทะเล บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอันเหี้ยมเกรียม ด้านข้างเป็นจ้าวฉลามขาวและดำ สุดท้ายยังมีบุรุษฉกรรจ์ชุดดำรัดกุมสี่คน

เทพไตรทะเลสะพายดาบยาวอยู่กลางหลัง สองจ้าวฉลามก็กุมอาวุธในมือมั่น ประกายดาบแผ่กระจายวูบวาบบุรุษอีกสี่คนก็วาดดาบแผ่รัศมีด้วยท่วงท่าคุกคามคน

เทพไตรทะเลฮ้วงง้วนกล่าวเสียงเย็นชา

“นางแพศยา บังอาจนักเล่าฮู หากมิได้วางแผนไว้ล่วงหน้า คงพลาดพลั้งเสียทีแล้ว”

บนใบหน้าอันงดงามของอาเฮ็กเปลี่ยนเป็นซีดสลดทันที นางสยบอยู่ใต้อำนาจของเทพไตรทะเลมาเนิ่นนาน บัดนี้จิตทรยศพอถูกล่วงรู้ แม้นมีปัญญาปราดเปรียวอย่างไร ก็มิอาจควบคุมจิตใจเยือกเย็นได้

เจียะฉั้งฮ้งเอื้อมมือไปกุมแขนของนาง กล่าวด้วยท่าทีอันมั่นคง

“มิต้องกลัว พวกเราจะหักล้างจนสุดความสามารถ”

อาเฮ็กค่อยสงบจิตใจลง แต่นางทราบดีว่า อาศัยความสำเร็จของเจียะฉั้งฮ้ง อย่างมากก็เป็นคู่มือของจ้าวฉลามดำ ซึ่งมีฝีมืออ่อนด้อยที่สุดในห้าจ้าวฉลาม แดง เหลือง คราม ขาว ดำ เท่านั้น

ตอนนี้ ยังเพิ่มเทพไตรทะเลที่ร้ายกาจ กับจ้าวฉลามขาวซึ่งยังมีฝีมือสูงส่ง ความผิดแผกแตกต่างในด้านกำลังฝีมือของทั้งสองฝ่าย มิอาจเปรียบเทียบกันได้

เทพไตรทะเลจับจ้องเจียะฉั้งฮ้งอย่างเย็นชา กล่าวว่า

“เจ้าครั้งกระโน้นขณะอาศัยในลำเรือตัวเอง ยังถูกคร่ากุมโดยมิอาจดิ้นรน บัดนี้ตกอยู่ในเงื้อมมือของเล่าฮู… หรือนางแพศยานี้ปลุกปลอบกำลังขวัญของเจ้าขึ้น?”

เจียะฉั้งฮ้งก็มิปฏิเสธผงกศีรษะอย่างเคร่งขรึม

เทพไตรทะเลเบือนสายตาจับจ้องอาเฮ็กกล่าวว่า

“เล่าฮูประทานความเป็นอยู่แก่เจ้ามิต่ำทราม ไฉนจึงมีจิตทรยศลอบช่วยเหลือศัตรูของวังเรา?”

อาเฮ็กซุกฝ่ามือหนึ่งอยู่ในแขนเสื้อ กำกระบี่สั้นที่คมกริบเล่มหนึ่งแนบแน่น ตระเตรียมจัดการตัวเอง ก่อนจะต้องเผชิญกับทัณฑ์ทรมานคมกระบี่กรีดใส่ผิวหนังจนเจ็บปวดเล็กน้อย ความรู้สึกนี้กลับทำให้นางสงบอารมณ์ได้

ยามนั้นส่งเสียงออกไปว่า

“ข้าพเจ้าไยต้องฝากฝังชีวิตในวัยสาวให้แก่ท่าน โดยเร้นกายอยู่ในวังใต้ท้องทะเลเล่า?”

วาจาของนางเสียดแทงส่วนลึกในใจของเทพไตรทะเลอย่างยิ่งยวด ควรทราบว่าอาเฮ็กหมายความว่า มันมิมีความสามารถดึงดูดอิสตรีไว้ ซึ่งเป็นข้อกระทบกระเทือนใจต่อผู้มีอายุสูงวัยและทระนงลำพองที่สุด

เทพไตรทะเลแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย กล่าวว่า

“นางแพศยาคารมคมกล้านัก บัดนี้เล่าฮูจะบ่งบอกวิธีจัดการกับพวกเจ้าให้รับทราบ”

อาเฮ็กพลันบังเกิดความคิดวูบหนึ่ง คำนึงขึ้น

‘…ตอนนี้เรามีแต่ยืดเวลาออกไปอีก เพื่อรอให้ซิเล้งสามารถคลายจุดที่ถูกสกัด มาตรแม้นเทพไตรทะเลมีพลังฝีมือลึกล้ำสุดหยั่งคาด มิใช่คู่มือที่ซิเล้งจะต้านรับไว้ได้ แต่ซิเล้งหากเป็นอิสระก็จะประเสริฐกว่าสถานการณ์เช่นนี้…’

พอฉุกคิดเช่นนั้น จึงแสร้งแสดงสีหน้าสงสัยใคร่อยากรู้

เทพไตรทะเลรู้สึกผยองยิ่ง กล่าวว่า

“เล่าฮูจะมิประหารฆ่าหรือใช้ทัณฑ์ทรมานสิบสามประการของวังเรากับพวกเจ้า หากแต่ส่งพวกเจ้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง”

อาเฮ็กถึงกับมึนงงสงสัยเงียบงันไร้วาจา

เทพไตรทะเลแค่นหัวร่อกล่าวต่อ

“ความจริงการลงทัณฑ์สิบสามประการแม้ทรมานสุดทนทาน แต่ก็ยังมิตกตายเล่าฮูไหนเลยจะประทานความง่ายดายให้เช่นนั้น?”

เจียะฉั้งฮ้งกล่าวว่า

“หรือว่าในใต้หล้ายังมีสถานที่ซึ่งทรมานกว่าวังวารีนี้อีก?”

อาเฮ็กกล่าวเบาๆ

“มันมีความสามารถยิ่งใหญ่มิแน่นักว่าจะเป็นความจริง”

เทพไตรทะเลกลับแผดเสียงหัวร่อ กล่าวว่า

“เจ้าเข้าใจถูกต้อง หากแม้นพวกเจ้าเป็นศัตรูสามัญ อาจจะได้รับรสการลงทัณฑ์ แต่เมื่อมีจิตปรารถนาลบล้างความอาฆาตแค้นก็มิสะดวกปานนั้นหรอก”

ซิเล้งเงียบงันอยู่ตลอดเวลา ยามนี้อดมิได้ต้องกระชากเสียงว่า

“ท่านเป็นจอมเฒ่าที่ชั่วช้าเลวทรามมาแต่กำเนิดทีเดียว”

เทพไตรทะเลกวาดตามองมา เค้นเสียงกล่าวว่า

“กล่าวประเสริฐ เล่าฮูตั้งแต่กำเนิดมา มิเคยทราบคำมุทิตาการุณย์เป็นเช่นใด ความจริงผู้คนในโลกมีผู้ใดที่มิต่ำช้าสารเลว? การประกอบความดีงามเป็นเพียงการเสแสร้งเพื่อปกปิดสันดานที่แท้จริง แสดงออกทางเปลือกนอกให้ผู้อื่นรู้เห็นอย่างฉาบฉวยเท่านั้น

“มาตรแม้นว่าผู้ใดสามารถฉกฉวยผลประโยชน์โดยที่เทพมิรู้ภูติไม่พบเห็น แม้สิ่งนั้นจะขัดแย้งกับมโนธรรมประจำใจ ก็คงกระทำโดยมิละเว้น นี่คือกมลสันดานเดิมของมนุษย์ความละโมบอำมหิต จะไม่ตกเป็นรองธัมมะอันดีเลิศตลอดกาล!”

ซิเล้งกลับคาดมิถึงว่าจะได้รับฟังเหตุผลดื้อด้านเช่นนี้ หลังจากใคร่ครวญเล็กน้อย กลับรู้สึกว่าหาใช่ไร้เหตุผลไม่ เพียงแต่ขัดแย้งกับคุณธรรมประจำจิตของมนุษย์ทั่วไปเท่านั้น

จึงโต้แย้งว่า

“นับแต่โบราณกาลนักปราชญ์มีคำสอนมากหลาย ระบุว่าบุคคลในโลกกมลสันดานเดิมมิใช่เลวทรามต่ำช้าเลย”

“เล่าฮูมิเคยร่ำเรียนตำราปราชญ์ใดๆ เพียงทราบว่า ทุกผู้คนตั้งแต่กำเนิดมาเปี่ยมล้นด้วยความทะเยอทะยานอยากได้ ในใต้หล้าจึงมีแต่การชิงดีชิงเด่น มนุษย์ทุกคนรู้จักดาลเดือดอาฆาต แม้เป็นทารกน้อยก็มีตัวอย่าง ผู้ป่าเถื่อนดุร้าย บ้างนิยมก่อเหตุ บ้างมักทำลายสิ่งของ ชนชาวโลกขอเพียงมีโอกาสจะประกอบพฤติการณ์อันแหลกเหลวอย่างแน่นอน”

มันหยุดเล็กน้อยจึงหัวร่อแค่นๆ กล่าวต่อ

“อันความชั่วช้าสารเลวทุกประการ มิมีผู้ใดอบรมเสี้ยมสอนมาก่อนแสดงว่าบรรดาบุคคลในใต้หล้าล้วนชั่วร้ายเล่าฮูเพียงแต่ประพฤติตัวตามกฎธรรมชาติเท่านั้นเอง

ซิเล้งพลันส่งเสียงหนักๆ ว่า

“ท่านเป็นอสูรร้ายที่น่าพรั่นพรึง แม้แต่บริวารในสังกัด ขอเพียงมีโอกาสคงคิดทรยศหลบหนี เพราะพวกมันแม้จงรักภักดีต่อท่าน แต่ก็มิแน่นักว่าท่านหากบังเกิดจิตใจโหดร้ายขึ้น จะลงมือสังหารบริวารผู้หนึ่งผู้ใดไปเมื่อไร”

สองจ้าวฉลามต่างมีใบหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย วาจาของฝ่ายตรงข้ามความจริงเป็นสุ้มเสียงจากดวงใจของพวกมันทีเดียว

เทพไตรทะเลบนใบหน้าปราศจากความรู้สึกใดๆ กล่าวว่า

“ท่านหากคิดยุยงให้พวกเราแตกแยก เท่ากับกำลังฝันไปชัดๆ เล่าฮูกับบริวารมีความไว้วางใจเป็นอย่างดี พวกมันสามารถกระทำตามอารมณ์ปรารถนา เพียงแต่ชั่วชีวิต เรามิมีความเชื่อถือในตัวอิสตรี เหตุการณ์วันนี้ก็พิสูจน์ชัดแล้วผู้แซ่ซิ เจ้ายังคงบ่งบอกมาว่าเข้ามาในวังวารีได้อย่างไร มิแน่นักว่าเล่าฮูจะอภัยละเว้นชีวิต”

ซิเล้งสั่นศีรษะกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าเป็นเชลยผู้หนึ่ง ท่านย่อมมิรักษาสัจจะวาจาความประพฤติของท่านที่แล้วมา ทำให้ผู้คนมิกล้าเชื่อมั่น ข้าพเจ้ามิบ่งบอกกับท่านเด็ดขาด”

เทพไตรทะเลกวาดตาพุ่งไปยังอาเฮ็กและเจียะฉั้งฮ้ง คิ้วที่ขมวดมุ่นพลันคลายออกคำนึงขึ้น

‘…เราขอเพียงคร่ากุมมันทั้งสองไว้ ย่อมซักถามความจริงได้ แต่นางแพศยาคงคิดอัตวินิบาตกรรม จึงมีความสงบเช่นนี้ เฮอะ เราหากมิสามารถคร่ากุมพวกเจ้าทั้งเป็น ก็เสียทีที่ทรงบารมีครอบคลุมทั่วทั้งสามทะเลแล้ว…’

มันทราบดีว่ามีแต่ใช้อุบายจู่โจมจึงทำให้ฝ่ายตรงข้ามมีจิตรักชีวิต มิคิดทำลายตัวเองดังนั้นจึงกล่าว

“เล่าฮูตกลงใจแล้วว่าจะคร่ากุมพวกเจ้าไปยังลานเกลือเพื่อทนทุกข์ทรมานกับธรรมชาติอันแสนเข็ญไปชั่วชีวิต พวกเจ้าหากยังสามารถหลบรอดจากลานเกลือได้เล่าฮูก็ยอมรับนับถือแล้ว”

อาเฮ็กที่รับฟังอยู่พลันสลัดความคิดอัตวินิบาตกรรม รู้สึกว่าลานเกลือแม้ทารุณเช่นใดแต่ยังมีชีวิตอยู่ได้ กระบี่สั้นในแขนเสื้อจึงเบนออกเล็กน้อย

เทพไตรทะเลสังเกตจากสีหน้าก็ทราบว่าแผนการประสบความสำเร็จจึงตวาดว่า

“จ้าวฉลามขาวคร่ากุมเจียะฉั้งฮ้ง จ้าวฉลามดำจัดการกับนางแพศยานั้น!”


 อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่