๓๗
♦ พรากจากชั่วนิรันดร ♦
……………

กี้เฮียงเค้งกับนางแมงมุมขาวทั้งสอง รวมกำลังจนขนย้ายซิเล้งฉี้อิง ปึงเซียะ ซึ่งยังสลบไสลอยู่ ออกจากคฤหาสน์ตระกูลจู หวนกลับมาที่พำนักแห่งเดิม

            จวบจนยามเที่ยงคืนของวันรุ่งขึ้น ซิเล้งจึงฟื้นคืนสติมา พอเบิ่งตากวาดมอง แลเห็นแสงโคมไฟสาดกระจ่างไปทั่วห้อง และฉี้อิงกับปึงเซียะบนเตียงนอนอีกสองเตียง ก็พลอยฟื้นตื่นขึ้นมาด้วย

ทั้งสามจับจ้องมองกันอย่างงงงัน ขณะนั้นกี้เฮียงเค้งนางแมงมุมขาวได้ยินสุ้มเสียงจึงสาวเท้าเข้ามา

ซิเล้งร้องว่า

“เค้งเจ้เจ๊ ที่แท้เป็นเรื่องราวประการใด?”

กี้เฮียงเค้งกล่าวว่า

“พวกท่านเมื่อคืนนี้สลบไสลไป จวบจนบัดนี้เป็นเวลาสิบสองชั่วยามเต็มๆ กิมเม้งตี้นำพาจูกงเม้งเตลิดหลบหนีโดยมิทราบร่องรอย”

ซิเล้งกับฉี้อิงพากันกระโดดปราดขึ้นมา รู้สึกว่าตาลายสมองหมุน จำต้องกระแทกกายลงบนเตียงนอน ซิเล้งทอดถอนหายใจอยู่ตลอดเวลา ส่วนฉี้อิงส่งเสียงก่นด่าและอดมีหยาดน้ำตาไหลพร่างพรูมิได้

ทั้งสองบังเกิดความผิดหวังรวดร้าวใจอย่างสุดแสน แทบอยากจะเสาะพบกิมเม้งตี้ เสี่ยงชีวิตให้กันเด็ดขาด

กี้เฮียงเค้งรอคอยอย่างสงบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวว่า

“กิมเม้งตี้ละโมบใคร่ฝึกปรือวิชาอันเลิศล้ำ จึงใช้ยาสลบของจูกงเม้งทำร้ายพวกท่านสลบไสล ข้าพเจ้าเห็นว่ามันไม่มีเจตนาหมายปองชีวิตพวกท่าน จึงปล่อยละเลยมัน”

ฉี้อิงในยามนี้สงบอารมณ์ลงบ้างแล้ว จึงกล่าวว่า

“หมายความว่า เค้งเจ้เจ๊คำนวณทราบแจ้งถึงแผนการของมันอยู่ก่อนแล้ว”

“บอกกล่าวตามความสัตย์ ข้าพเจ้าสำนึกทราบว่าเรื่องนี้ต้องมีเหตุเปลี่ยนแปลง หลังจากใคร่ครวญโดยละเอียด พฤติการณ์นี้มาตรแม้นจะยึดเวลาประหารศัตรูของพวกท่าน แต่จูกงเม้งไม่อาจหลบรอดเงื้อมหัตถ์ข้าพเจ้าได้”

นางหยุดอยู่เล็กน้อยจึงอธิบายสืบไปว่า

“นอกจากรู้สึกไม่สบอารมณ์แล้ว การกระทำของกิมเม้งตี้ครานี้อำนวยประโยชน์ต่อสถานการณ์ภายหน้าอย่างใหญ่หลวง และบีบบังคับพวกท่านมิอาจไม่มานะพยายามฝึกฝนฝีมือให้รุดหน้า”

ซิเล้งรับฟังจนสมองพองโตกล่าวว่า

“วาจาของเค้งเจ้เจ๊ ผู้น้องไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิง”

ฉี้อิงร้องโพล่งว่า

“ข้าพเจ้าเข้าใจ เค้งเจ้เจ๊หมายความว่า จูกงเม้งไม่อาจหลบรอดไปได้ เพียงแต่อนุญาตให้มีชีวิตสืบไปชั่วคราว แต่พฤติการณ์นี้อำนวยประโยชน์ต่อพวกเราใช่หรือไม่?”

กี้เฮียงเค้ง รับคำว่า ถูกต้อง

ซิเล้งถอนหายใจยาวๆ ดวงใจแทบแหลกสลาย ตนมีความมุ่งมาดปรารถนาแต่เพียงประหัตประหารคู่อาฆาตให้บัดดล แต่กี้เฮียงเค้งอ้างอิงถึงผลประโยชน์ต่อสถานการณ์ ทำให้มิอาจเสร็จสมอารมณ์หมาย

ความคับแค้นทรมานใจนี้ สุดที่จะรับไว้ได้ แต่ตนเป็นผู้มีไมตรีอันลึกซึ้ง กี้เฮียงเค้งในเมื่อเป็นพี่สาวร่วมสาบาน ก็จะไม่ตำหนินางแม้แต่คำเดียว

ฉี้อิงกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า

“อาเล้ง มิต้องลำบากใจ เค้งเจ้เจ๊คำนวณเรื่องราวปานเทพยดา ขอให้เชื่อนางอีกคราหนึ่งเถอะ”

ซิเล้งสั่นศีรษะมิมีวาจาเอื้อนเอ่ย ควรทราบว่าตนกำลังคลั่งแค้นรันทดในการที่มิอาจชำระล้างความแค้น บัดนี้พอได้ยินคำปลอบประโลมของฉี้อิง ก็อดคำนึงถึงการที่จำต้องหลีกพ้นจากนางมิได้ จึงสร้างความปวดร้าวทรมานใจยิ่งขึ้น

ในขณะนี้ ซิเล้งยังมิสามารถเอื้อนเอ่ยวาจาอันใดเล่า รู้สึกว่านับแต่โบราณกาลมา บุคคลที่อาภัพมีชะตาชีวิตอันเลวที่สุดก็คือตน

ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูที่ดังระรัว ทำให้บุคคลทั้งหมดงงงันไป บัดนี้เป็นยามสามของคืนวิกาลดึกดื่น หากลี้ซานึ้งเร่งรุดมาก็ไม่ต้องเคาะประตูเลย ถ้าเช่นนั้นผู้ที่มาเป็นใคร?

กี้เฮียงเค้งพลันยิ้มน้อยๆ กล่าวกับนางแมงมุมขาวว่า

“น้องเรา รบกวนให้ท่านออกไปเปิดประตู เชื้อเชิญอาคันตุกะมาในห้องนี้ เพียงแต่แขกยามวิกาลพอพบท่าน ย่อมต้องตื่นเต้นสงสัยท่านก็สามารถหยอกล้อกับมันว่า อลัชชีโลกันตร์ได้รอพบพานอยู่”

นางแมงมุมขาวยังมีความคึกคะนองดั่งทารก จึงรับปากตกลงวิ่งปราดออกไป รีบเปิดประตูใหญ่ออก แลเห็นบุรุษชุดบัณฑิตเรียบร้อยสำรวม อายุสามสิบเศษผู้หนึ่งยืนหยัดอยู่

มันพอแลเห็นนางแมงมุมขาวที่มีผมขาวโพลงทั่วศีรษะนัยน์ตามรกตแวววาว ก็สะท้านใจวาบจริงๆ

นางแมงมุมขาวกล่าวอย่างเย็นชาว่า

“ซือแป๋เฒ่ารอพบท่านอยู่”

นางขณะอยู่ในอาณาจักรอัคคี ทุกผู้คนล้วนเรียกหาอลัชชีโลกันตร์ว่าซือแป๋เฒ่า บุรุษผู้นั้นพอได้ยินก็มีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง แต่หามีปฏิกิริยาไม่ เพียงกล่าวว่า

“ประเสริฐมาก กี้เฮียงเค้งก็อยู่ภายในด้วย?”

นางแมงมุมขาวผงกศีรษะกล่าวคำเชื้อเชิญ ทั้งสองได้สาวเท้าก้าวเข้าไปภายใน มาถึงห้องหับหลังหนึ่งซึ่งบานประตูเปิดอ้า แต่ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดสนิท

นางแมงมุมขาวนำพาเข้าไป บัณฑิตผู้นั้นหลังจากลังเลอยู่เล็กน้อยก็ก้าวเท้าออก พอมาถึงหน้าประตูก็ปรากฏแสงโคมไฟสาดเจิดจ้า แลเห็นกี้เฮียงเค้งยืนหยัดอยู่ข้างประตู

ประกายสายตาของมันสำรวจมองนางตลบหนึ่ง แล้วกล่าวว่า

“เป็นท่านจริงๆ”

พลางกวาดสายตาพอพบเห็นซิเล้งกับพวกภายในห้อง ถึงกับระบายลมหายใจยาวๆ ออกมา กล่าวว่า

“กี้โกวเนี้ยได้ข่มขู่เราจนตื่นตระหนกไป”

ซิเล้งรู้จักมักคุ้นกับฝ่ายตรงข้าม จึงผงกศีรษะทักทาย และกี้เฮียงเค้งก็แนะนำความเป็นมาของฝ่ายบัณฑิตต่อปึงเซียะว่า

“ท่านผู้นี้คือแฮ่โฮ้วคง อดีตประมุขบึงแจ้งอาคารกระจ่าง เป็นศิษย์ของอลัชชีโลกันตร์ แต่หลังจากสิบสามตึกความรู้กับสามสิบขบวนพยุหถูกข้าพเจ้าทำลายแล้ว ก็กลับกลายเป็นบุคคลที่ถูกสถาบันอำมหิตไล่ล่า”
ปึงเซียะได้กล่าวคำว่า “นับถือมาเนิ่นนาน”

แฮ่โฮ้วคงได้พุ่งสายตาไปที่ใบหน้าของกี้เฮียงเค้ง จับจ้องนางอย่างเซื่องซึมอยู่ครู่หนึ่ง พลันยื่นมือออกคว้ากุมชีพจรข้อมือของนาง

พฤติการณ์นี้ นับว่าล่วงเกินไร้มารยาทอย่างยิ่งยวด ซิเล้งถึงกับเค่นเสียงอย่างขุ่นเคือง แต่น่าประหลาดที่กี้เฮียงเค้งไม่ขัดขืน ปล่อยให้มันกุมข้อมือข้าหนึ่ง ตัวเองทรุดกายนั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้าง

ทั้งหมดพอพินิจดู จึงทราบว่าแฮ่โฮ้วคงกลับตรวจชีพจรด้วยสีหน้าอันเคร่งขรึม ความเข้าใจในคราแรกได้ผิดพลาดไป

ชั่วครู่ต่อมา แฮ่โฮ้วคงปล่อยมือออก ถอนหายใจยาวๆ กล่าวว่า

“กี้โกวเนี้ย ท่านอย่างมากก็มีชีวิตสืบต่อไปอีกสามเดือนเท่านั้น!”

ผู้คนทั้งหมดต่างก็สะท้านขึ้นทั้งร่าง ฉี้อิงร้องว่า

“แฮ่โฮ้วคง ท่านกล้ากล่าวเหลวไหล แช่งชักเค้งเจ้เจ๊หรอกหรือ?”

ซิเล้งก็กล่าวว่า

“บัดซบ เค้งเจ้เจ๊ดำรงอยู่ปรกติชัดๆ”

กี้เฮียงเค้งกลับโบกมือเป็นเชิงห้ามปราม แล้วจึงเรียกหานางแมงมุมขาวเข้ามา แนะนำต่อแฮ่โฮ้วคง ทั้งสองจวบจนบัดนี้จึงทราบว่า ต่างก็เป็นศิษย์ของอลัชชีโลกันตร์

ได้ยินกี้เฮียงเค้ง กล่าวว่า

“ขอให้ท่านพินิจดูผมเผ้ากับนัยต์ตาของนางว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงจากฤทธิ์ยา หรือตามธรรมชาติตั้งแต่กำเนิด?”

แฮ่โฮ้วคงคราแรกจับจ้องดูดวงตาของนางแมงมุมขาว ยามเริ่มต้นเพียงยลชมแต่ไกล ต่อมาถึงกับพลิกหนังตาขึ้นตรวจตรา จากนั้นก็ถอนผมเผ้าของนางออกมาเส้นหนึ่ง ทดลองดึงดูความเหนียวแน่น แล้วส่งเข้าไปในปาก คล้ายดั่งทดสอบรสชาติ

วุ่นวายอยู่เนิ่นนาน มันจึงกล่าวว่า

“ตามความเห็นของเรา ผมสีขาวทั่วศีรษะหาใช่สีสรรดั้งเดิมไม่ ความจริงใช้ตัวยาถูทาแล้วยัดเยียดให้กลืนกิน ตั้งแต่แบเบาะก็เริ่มดำเนินการนี้

เกี่ยวกับนัยน์ตาของนาง ความจริงเป็นสีมรกต แต่พอฝึกปรือฝีมือแล้ว ก็สามารถสาดประกาย ทำให้ผู้คนรู้สึกว่ามิใช่สีสันดังเดิม”

กี้เฮียงเค้งกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าก็คาดคิดเช่นนั้น เพียงแต่มิกล้ายืนยัน ท่านเมื่อแสดงทัศนะดังกล่าว ก็ไม่ผิดพลาดแน่แล้ว… นางแมงมุมขาวน้องเรา ความจริงท่านมิใช่ชนชาวตงง้วน ภายภาคหน้าคงต้องเร่งรุดไปดินแดนแถบตะวันตกสืบเสาะวงศ์ตระกูล

สำหรับความหวังนี้ รู้สึกว่ายากประสบผล ทั้งนี้ก็เพราะแถบตะวันตกมีอาณาบริเวณกว้างขวาง เผ่าพันธุ์มากมาย และท่านก็มิมีความทรงจำระลึกถึง หรือมรดกตกทอดเป็นเบาะแสเค้ามูลเลย”

นางแมงมุมขาวกล่าวอย่างสะทกสะท้อนว่า

“เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ไม่มีทางเสาะพบบิดามารดาแล้ว”

“นั่นมิถึงกับไร้ความหวัง รอจนพวกท่านสังหารอลัชชีโลกันตร์แล้ว อาจจะได้พบร่องรอยมีเงื่อนงำให้ติดตามได้”

แฮ่โฮ้วคงกล่าวอย่างแตกตื่นว่า

“กี้โกวเนี้ย ท่านกำลังว่ากระไร?”

“ข้าพเจ้าบ่งบอกว่า จะสังหารอลัชชีโลกันตร์”

“อย่าได้พาดพิงเอ่ยถึงเลย ท่านผู้เฒ่าอยู่ยงชั่วนิรันดร มีความสามารถยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต อยู่ในใต้หล้ามิมีผู้ใดสังหารท่านได้เลย!”

กี้เฮียงเค้งกล่าวว่า

“สำหรับเรื่องนี้ท่านมิต้องยุ่งเกี่ยว ข้าพเจ้าจะอาศัยชีวิตที่ยังสามารถดำรงอีกหลายเดือน จัดการกับอลัชชีโลกันตร์เสียก่อน”

ซิเล้งและพวกพากันอุทานออกมา ฉี้อิงถาโถมเข้าไปโอบกอดนาง กล่าวว่า

“เค้งเจ้เจ๊ ท่านมีชีวิตได้อีกเพียงหลายเดือนเท่านั้นจริงๆ?”

“ท่านประมุขแฮ่โฮ้ว มีวิชาแพทยศาสตร์ที่สูงล้ำกว่าข้าพเจ้า จึงเป็นวาจาที่แน่นอน”

ซิเล้งก็ลืมเลือนความคับแค้นรันทดส่วนตัว สะอึกกายมาถึงเบื้องหน้าของกี้เฮียงเค้ง กล่าวอย่างเร่งร้อนว่า

“หรือว่ามิมีหนทางช่วยเหลือเลย?”

แฮ่โฮ้วคงกล่าวสอดว่า

“ย่อมต้องมี แต่เกรงว่านางมิยินยอมรักษา ผู้อื่นก็ไม่อาจบังคับ”

ซิเล้งรีบกล่าวว่า

“เค้งเจ้เจ๊ หรือว่าท่านมิยอมรักษาตัวเองจริงๆ?”

“ข้าพเจ้าย่อมคิดรักษา แต่น่าเสียดายที่ไม่เป็นผลสำเร็จ”

คำตอบของนางนี้ แม้แต่แฮ่โฮ้วคงก็มิเข้าใจ อย่าว่าแต่บุคคลอื่นเลย

ฉี้อิงส่งเสียงขึ้นว่า

“แฮ่โฮ้วซิงแซ (ยกย่องปัญญาชนแซ่แฮ่โฮ้ว) ท่านต้องช่วยเหลือเค้งเจ้เจ๊ รักษาชีวิตของนางเอาไว้”

แฮ่โฮ้วคงกล่าวอย่างเฉื่อยชาว่า

“หากแม้นเรามิสอดมือยุ่งเกี่ยวด้วยเล่า?”

ฉี้อิงถลันปราดเข้ามา ยื่นมือคุกคามไปถึงทรวงอกของฝ่ายตรงข้าม กล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า

“ท่านจะช่วยเหลือหรือไม่ หากมิตกลง ข้าพเจ้าก็จะสังหารท่านก่อน”

แฮ่โฮ้วคงหาได้หลีกเลี่ยง สีหน้าก็มิเปลี่ยนแปลง และไม่เอื้อนเอ่ยวาจา ซิเล้งรีบกล่าวว่า

“อาอิง ท่านไฉนจึงกระทำแต่แฮ่โฮ้วซิงแซเช่นนี้ สำหรับเรื่องนี้มิอาจข่มขู่บังคับได้ ยังคงรีบปล่อยมือหารือกันด้วย…”

ฉี้อิงรั้งมือกลับมา แฮ่โฮ้วคงกลับกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า

“มิมีอันใดต้องหารือกัน หากแม้นกี้โก้วเนี้ยตกลงว่าจะอยู่กินกับเรา เราย่อมต้องลงมือสุดความสามารถเพื่อช่วยชีวิตของนาง หากแม้นนางยืนกรานจะอยู่ร่วมกับกิมเม้งตี้ เราย่อมไม่แยแสสนใจ!”

ทุกผู้คนล้วนแต่รับฟังจนตะลึงลานไป มิทราบว่าสมควรกระทำอย่างไร

กี้เฮียงเค้งพลันกล่าวกับแฮ่โฮ้วคงว่า

“ท่านควรทราบว่า กิมเม้งตี้ถูกจูกงเม้งยุยง จนเตลิดหนีไปด้วยกัน ข้าพเจ้าชั่วชีวิตนี้มิยอมพบพานมันอีกแล้ว”

แฮ่โฮ้วคงพลันมีท่วงท่าคึกคักแจ่มใสขึ้นมา ถึงกับกล่าวว่า

“กี้โกวเนี้ย บัดนี้ท่านสมควรลงมือรักษา ยิ่งชักช้าไปวันหนึ่ง ก็จะเพิ่มพูนอันตรายไปอีกส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่อาจใช้สมองความคิดจนเสื่อมสูญพลังจิต หากต้องการเร่งรุดสู่อาณาจักรอัคคี ไม่เกินสิบวันท่านก็ต้องตกตาย!”

ซิเล้งกล่าวขึ้นว่า

“พวกเราย่อมไม่ยินยอมให้นางร่วมทางไปด้วย”

กี้เฮียงเค้งพลันมีใบหน้าเคร่งเครียดลง กล่าวว่า

“นี่เป็นวาจาอันใด ข้าพเจ้าคือพี่ใหญ่ ท่านเป็นน้องชาย ฉี้อิงคือน้องสาว ที่แท้พวกท่านคอยคุมเรา หรือข้าพเจ้าบงการพวกท่านกัน?”

ซิเล้งรู้สึกนอกเหนือความคาดหมาย ถึงกับงงงันไป

ปึงเซียะก็กล่าวในบัดดลว่า

“ถ้าเช่นนั้น ซิเฮียกับฉี้โกวเนี้ยล้วนมิต้องไป ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าสามารถจัดการได้”

ซิเล้งไหนเลยจะยินยอมให้สหายอันดีงามนี้ไปเสี่ยงภยันตราย ฉี้อิงรีบกล่าวว่า

“ปึงเฮีย ท่านสามารถเลื่อนกำหนดเวลา รอจนรักษาเค้งเจ้เจ๊แล้ว พวกเราค่อยออกเดินทางได้หรือไม่?”

ปึงเซียะมีสีหน้ายุ่งยากใจกล่าวว่า

“มิใช่ข้าพเจ้าไม่ยอมตกลง แต่ทว่าเรื่องนี้มีความจำเป็นต้องรีบด่วนกระทำ”

มันก็มิยอมบ่งบอกว่า มีความจำเป็นอันใด ซิเล้งพลันกล่าวว่า

“ปึงเฮียมิต้องกล่าวแล้ว ผู้น้องจะต้องร่วมทางไปกับท่านอย่างแน่นอน”

กี้เฮียงเค้งกล่าวเสริมว่า

“ถ้าเช่นนั้นทุกคนก็เร่งรุดไปด้วยกันเถอะ”

ซิเล้งถึงกับร้องโพล่งว่า “เค้งเจ้เจ๊” จากนั้นก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมา

แฮ่โฮ้วคงกล่าวว่า

“กี้โกวเนี้ย ท่านก็ทราบซึ้งสถานการณ์เป็นอย่างดี ไฉนจึงคอยขัดแย้งซิเฮียด้วย พวกเราไปกันเถอะ”

กี้เฮียงเค้งยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า

“ท่านกล้าตักเตือนให้ข้าพเจ้าไปด้วย? ควรทราบว่าอลัชชีโลกันตร์ได้สืบเรื่องราวที่พวกท่านทรยศแล้ว ย่อมต้องเร่งรุดมาสังหารพวกท่าน ดังนั้นเราทั้งหมดมีแต่กำจัดอลัชชีโลกันตร์ไปเสียก่อน”

แฮ่โฮ้วคงซึมทราบคำว่า “พวกท่าน” ของนาง หมายถึงมันกับนางแมงมุมขาว ในยามนี้ถึงกับบังเกิดความอบอุ่นใจคำนึงว่า

“…ที่แท้นางยืนกรานจะไปด้วย เพราะคำนึงถึงสภาพการณ์เราด้วย คาดมิถึงว่าในวันนี้ เราสามารถยึดครองดวงใจของนาง…”

ได้ยินกี้เฮียงเค้งกล่าวอีกว่า

“แฮ่โฮ้วเฮีย ควรทราบว่าอลัชชีโลกันตร์ มีความสามารถอันเลิศล้ำ ยังมีเปรียบในด้านภูมิประเทศ หากแม้นพวกอาเล้งเร่งรุดไปเท่ากับเอาไข่ไปกระทบหิน แส่หาความตายเท่านั้น มีแต่พวกเราติดตามไปด้วยจึงพอจะมีความหวัง”

“วาจานี้มิผิดพลาด อาณาจักรอัคคีมีพื้นที่กว้างขวาง แม้แต่อากาศก็เปลี่ยนแปลงผิดฤดูกาล อาศัยสภาพแวดล้อมก็สามารถกำจัดบุคคลที่รุกรานไปได้แล้ว”

“บัดนี้ข้าพเจ้าขอถามท่าน เหตุไฉนท่านจึงคอยหมกมุ่นกังวลเรื่องราวที่พวกเราคิดจู่โจมต่ออลัชชีโลกันตร์เล่า?”

แฮ่โฮ้วคงเหลือกตาขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า

“เราทรยศต่อสถาบันอำมหิต แม้ถูกสถานการณ์บีบบังคับ แต่ท่านไฉนจึงต้องการให้เราแพร่งพรายความลับของซือแป๋เฒ่าด้วยเล่า?”

กี้เฮียงเค้งกล่าวอย่างยืนกรานว่า

“แม้ท่านไม่ยินยอมพร้อมใจ ในการจะเปิดเผย แต่ข้าพเจ้าก็จะขอบีบบังคับท่าน”

ทุกผู้คนสำนึกได้ว่า เรื่องราวประการนี้มีเลศนัยอย่างใหญ่หลวง และแฮ่โฮ้วคงในที่สุดก็ถอนหายใจ ค่อยยินยอมอธิบายว่า

“พวกท่านรับทราบไว้ ในระยะเวลาสองสามปีนี้ ซือแป๋เฒ่าย่อมไม่ปรากฏกายออกมา ทั้งนี้ก็เพราะท่านผู้เฒ่ากำลังเคี่ยวเข็ญฝึกฝนผู้ทรงฝีมืออายุเยาว์วัยหลายคน โดยต้องคอยควบคุมด้วยตัวเอง

และขบวนยอดฝีมือเยาว์วัยนี้ พอฝึกปรือฝีมือสำเร็จ สถาบันอำมหิตก็จะแผ่อานุภาพไร้เทียมทาน แม้แต่บรรดาซือแป๋พวกท่านที่เป็นยอดคนแห่งยุค ก็ไม่มีทางหักโหมเอาชัยพวกนั้นได้!”

ฉี้อิงมีความเคารพนับถือนงคราญยะเยือกที่สุด จึงอดแค่นหัวร่อมิได้กล่าวว่า

“ซือแป๋เราฝึกฝนจนอยู่ยงคงกระพันแล้ว ในใต้หล้าปราศจากผู้คนเทียมทาน บรรดาเศษสวะอายุเยาว์หลายคน จะมีพละกำลังสักเท่าใด ถึงกับนำไปเปรียบเทียบกับท่านผู้เฒ่าด้วย”

แฮ่โฮ้วคงยักไหล่กล่าวว่า

“ท่านหากมิเชื่อถือก็แล้วกันไป”

กี้เฮียงเค้งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า

“อาอิง มิว่าเรื่องนี้จะเป็นความจริงหรือไม่ แต่อย่างน้อยอลัชชีโลกันตร์หากประสบความสำเร็จ ผู้ทรงฝีมือขบวนนั้นก็สุดที่พวกเราจะหักโหมเอาชัย ท่านคงยินยอมเชื่อถือ”

ฉี้อิงเงียบงันไปเล็กน้อย แล้วจึงผงกศีรษะ

กี้เฮียงเค้ง กล่าวอีกว่า

“ในที่เป็นเช่นนั้น พวเราก็ต้องรบกวนท่านผู้อาวุโสทั้งหลายที่กำลังกักตัวบำเพ็ญตน และแสดงว่าพวกเราต่างปราศจากความสามารถ รวมทั้งรู้สึกไม่สบายใจ

หากแม้นว่า คำบอกเล่าของแฮ่โฮ้วคงล้วนเป็นความจริง พวเราก็จะสรุปผลสองประการ คือหนึ่งทั้งหมดไม่จำเป็นต้องไปเสาะหาอลัชชีโลกันตร์ ทั้งนี้ก็เพราะมันในเมื่อไม่ออกจากที่พักพิง นางแมงมุมขาวน้องเรากับแฮ่โฮ้วคงจะได้รับความปลอดภัยชั่วคราว”

นางชำเลืองแลไปทางปึงเซียะวูบหนึ่ง แสดงว่าวาจาในตอนท้ายได้ชี้บ่งความในใจของปึงเซียะ เนื่องจากความจำเป็นของปึงเซียะ ที่คิดจู่โจมอาณาจักรอัคคีในบัดดลมีอยู่ว่า ไม่ต้องการให้นางแมงมุมขาวผู้ที่มันกังวลถูกอลัชชีโลกันตร์คอยไล่ล่าคุกคามนั่นเอง

กี้เฮียงเค้งสูดลมหายใจเข้าไป แล้วค่อยกล่าวว่า

“ข้อสรุปประการที่สองก็คือ ภายในระยะเวลาสองสามปี พวกเราต้องหาหนทางทำให้พลังฝีมือรุดหน้าขึ้นอีกหลายเท่าตัว จนสามารถสยบเอาชัยคู่ต่อสู้!”

ข้อคิดเห็นนี้เป็นแผนการอันประเสริฐ แต่จะกระทำได้หรือไม่เป็นปัญหาอย่างใหญ่หลวง แฮ่โฮ้วคงถึงกับกล่าวว่า

“แผนการเพิ่มพูนพลังฝีมือนี้ เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดลองคิดดู ในเวลาสองสามปีผู้ใดสามารถเพิ่มพูนพลังฝีมือขึ้นหลายเท่าตัวเล่า?”

ปึงเซียะผงกศีรษะเห็นพ้องด้วย

กี้เฮียงเค้งกลับหัวร่อเบาๆ กล่าวว่า

“ปึงเฮียเป็นบุคคลแรกที่ไม่สมควรยอมรับวาจานี้ เท่าที่ข้าพเจ้าทราบมา หลายวันนี้ท่านมีพลังฝีมือรุดหน้าขึ้น ก่อนอื่นท่านยังจดจำเหตุการณ์ในวันที่อยู่ในคฤหาสน์ตระกูลฉี้ และท่านทดสอบพลังภายในกับกิมเม้งตี้ โดยอาอิงจงใจไม่ลงมือ จนท่านรับความลำบากได้หรือไม่?”

ปึงเซียะกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าย่อมไม่ลืมเลือน”

“อาอิงมีความรอบรู้กว้างขวาง คราครั้งนี้นางสังเกตพบว่าด้านพลังภายในของท่าน มิอาจทัดเทียมกับกิมเม้งตี้ แต่มีกำลังจิตเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว จึงอาศัยโอกาสนี้ ทำให้ท่านฝึกปรือวิชายืมวัตถุถ่ายทอดพลังอันพิสดาร และแล้วท่านก็ประสบความสำเร็จ”

ปึงเซียะรีบน้อมกายคารวะต่อฉี้อิงอย่างสำนึกพระคุณ และฉี้อิงก็รีบกล่าวถ่อมตัว

กี้เฮียงเค้งกล่าวอีกว่า

“ปึงเซียะ ท่านย่อมทราบว่าวิชาแขนงนั้นแม้เป็นแนวลึกล้ำ แต่ไม่ถึงกับเป็นพลังเทพยดา ในวงพวกนักเลงเคยมีค่ายสำนักที่สามารถฝึกฝนได้ใช่หรือไม่?”

“ถูกแล้ว ข้าพเจ้าทราบดี”

“แต่สำนักคุนลุ้นของท่านตั้งแต่โบราณกาลมา น้อยคนที่จะฝึกปรือวิชายืมวัตถุถ่ายทอดพลังได้สำเร็จ ทั้งนี้ก็เพราะเรื่องราวในใต้หล้า ยากที่จะสมบูรณ์งามพร้อม สำนักท่านมีแนวพลังภายในที่โคจรกำลังตลบหนึ่ง ก็สามารถพลิกแพลงสภาวะอยู่กลางอากาศ ซึ่งค่ายสำนักแห่งอื่นในบู๊ลิ้มมิอาจกระทำได้”

นางหยุดยั้งไปเล็กน้อยจึงกล่าวว่า

“แต่ก็เพราะเหตุนี้ สำนักท่านจึงยากที่จะฝึกปรือวิชายืมวัตถุถ่ายทอดพลัง อันเป็นแนวทางปรับรากฐานได้สำเร็จ หากมิใช่ในวันนั้นกิมเม้งตี้คอยคุกคาม ทำให้ท่านทุ่มเทกำลังใจทั้งมวลยืนหยัดสืบไป ลมปราณของท่านก็ไม่อาจทะลวงผ่านจุดลับบางแห่ง ปาฏิหาริย์เหล่านี้ยากที่จะพบพาน

และเนื่องจากลมปราณสามารถทะลวงจุดที่ปรกติมิอาจกระทำได้ ทำให้ท่านได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตที่สูงล้ำอีกขั้นหนึ่ง ดังนั้นอีกสองสามปีหลัง ความสำเร็จของท่านจะรุดหน้าถึงขั้นใด ก็ยากที่จะคาดคำนวณ ท่านจึงไม่สมควรยอมรับเหตุผลของแฮ่โฮ้วคงเลย”

ปึงเซียะรับฟังจนกล่าวคำว่า ถูกแล้วตลอดเวลา

ได้ยินกี้เฮียงเค้งกล่าวอีกว่า

“อาเล้งกับปึงเซียะและพวก สมควรเร่งรุดสู่เจดีย์ทองคำที่ไต้เซาะซัวเพื่อดูว่า สามารถฝึกฝนวิชาอันเลิศล้ำอันใด ข้าพเจ้ากับแฮ่โฮ้วคงจะเร่งรุดไปอีกทางหนึ่ง

เกี่ยวกับเรื่องการรุกรานอาณาจักรอัคคี ขอให้เยิ่นเย้อไปอีกสองสามปี ข้าพเจ้าจะแพร่งพรายข่าวว่า กิมเม้งตี้ได้รับวิชาดาบพุทธไร้เทียมทาน กำลังหมกมุ่นฝึกปรือ

ข่าวคราวนี้จะแพร่งพรายไปถึงอลัชชีโลกันตร์อย่างรวดเร็ว มันย่อมทราบซึ้งถึงความร้ายกาจของดาบพุทธไร้เทียมทาน ดังนั้นจึงเคี่ยวเข็ญบริวารฝึกฝนอย่างหมกมุ่น ยิ่งไม่อาจปรากฏกาย”

ปึงเซียะส่งเสียง สนับสนุนขึ้นก่อน ซิเล้งกับฉี้อิงก็ต่างสบตากัน หัวร่ออย่างมิรู้สึกตัว

กี้เฮียงเค้งจับจ้องหนึ่งบุรุษหนึ่งดรุณี ในใจบังเกิดความเวทนาสงสาร จนแทบเปลี่ยนแปลงแผนการที่นางกำหนดขึ้นก่อน แต่เรื่องราวมีความสำคัญอย่างใหญ่หลวง ดังนั้นจึงกล่าวว่า

“ลี้ซานึ้งกลับไปที่ฮั่งจิวแล้ว พวกท่านมิต้องสนใจอีก”

นางแมงมุมขาวอุทานดังอา อย่างลืมตัวถามไถ่ว่า

“สตรีนางนั้นเล่า?”

“ลี้ซานึ้งนำพานางไปด้วย”

นางบ่งบอกแต่เพียงเท่านี้ ส่วนซิเล้งกับฉี้อิงทั้งสองพอได้ยินนามลี้ซานึ้ง ก็ต่างบังเกิดปฏิกิริยา

แต่กี้เฮียงเค้งมิอนุญาตให้ซิเล้งมีโอกาสเอ่ยวาจา กล่าวขึ้นว่า

คราครั้งนี้ข้าพเจ้าจะติดตามแฮ่โฮ้วคงจากพวกท่านไป หากแม้นโรคภัยทุเลาได้ ข้าพเจ้าก็ตกลงอยู่กินด้วย หากแม้นไม่อาจรักษาจนต้องตกตาย ย่อมมิต้องว่ากล่าวกัน

ทุกผู้คนพอได้ยิน ล้วนบังเกิดความวิตกกังวล บรรยากาศพลันแปรเปลี่ยนโศกเศร้าวิปโยค

ซิเล้งตลอดเวลาได้นำเรื่องของคนอื่นสำคัญกว่าส่วนตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับกี้เฮียงเค้งยิ่งหมกมุ่นกังวลใจ ถึงกับลืมเลือนลี้ซานึ้ง กล่าวด้วยสีหน้าอันหวั่นวิตกว่า

“เค้งเจ้เจ๊ หรือว่ายังจะอาจมิสามารถรักษาได้ด้วย?”

กี้เฮียงเค้งกล่าวว่า

“ย่อมต้องมี แฮ่โฮ้วคงได้รับการถ่ายทอดวิชาแพทย์จากอลัชชีโลกันตร์โดยสิ้นเชิง คราครั้งนี้เท่ากับพวกเรากำลังทดสอบความสามารถในด้านแพทยศาสตร์ หากแม้นมันสูงล้ำกว่าเรา ข้าพเจ้าดำรงชีวิตสืบต่อไป แต่หากมันไม่อาจสูงส่งกว่าเรา ข้าพเจ้ามิอาจอาศัยอยู่ได้”

นางแมงมุมขาวกล่าวอย่างมึนงงว่า

“ที่แท้หมายความว่ากระไร?”

ปึงเซียะรีบกล่าวว่า

“นั่นแสดงว่า กี้โกวเนี้ยวิเคราะห์ด้วยความสามารถทางการแพทย์ว่าตัวเองไม่อาจรักษาพยาบาล แต่แฮ่โฮ้วเฮียกลับเข้าใจว่าสามารถยืดชีวิต ดังนั้นกี้โกวเนี้ยหากสูงล้ำกว่าแฮ่โฮ้วเฮีย นางก็มิอาจมีชีวิตสืบไป มาตรแม้นเป็นนัยกลับ นางก็ดำรงอยู่ต่อไปอีก

ฉี้อิงร้องอย่างแตกตื่นว่า

“เค้งเจ้เจ๊ ข้าพเจ้าความจริงต้องการให้ท่านมีสติปัญญาเหนือล้ำกว่าผู้ใดในใต้หล้า คราครั้งกลับภาวนาให้ท่านพ่ายแพ้ต่อแฮ่โฮ้วเฮีย อา ข้าพเจ้ายินยอมเรียกหามันเป็นเจ้ฮู (พี่เขย) ทีเดียว”

กี้เฮียงเค้งหัวร่อเบาๆ กล่าวว่า

“ขณะนี้ก็สามารถเรียกหาได้”

แฮ่โฮ้วคงปีติลิงโลดอย่างใหญ่หลวง กล่าวเสียงกังวานว่า

“เราจะทุ่มเทความสามารถประดามีรักษากี้โกวเนี้ยจนมีชีวิตรอด ทุกท่านขอให้วางใจ”

ฉี้อิงแย้มยิ้มอย่างปลาบปลื้มใจกล่าวว่า

“แฮ่โฮ้วเจ้ฮูประเสริฐกว่ากิมเม้งตี้มากมายนัก เค้งเจ้เจ๊ท่านชั่วชีวิตย่อมต้องมีความสุข?”

กี้เฮียงเค้งกล่าวว่า

“เอาเถอะ วาจาไร้สาระอย่าได้กล่าว ข้าพเจ้าหลังจากส่งเสียงอีกหลายประโยคก็จะจากไปในบัดดล พวกท่านวันพรุ่งนี้ก็ต้องเร่งรุดเดินทาง เป็นการแข่งกับเวลา พยายามฝึกปรือฝีมือจนรุดหน้าโดยรีบด่วน เพื่อกำจัดอลัชชีโลกันตร์ ยังมีอาเล้งต้องเผชิญกับกิมเม้งตี้ด้วย”

นางระบายลมหายใจออกมาแล้วค่อยกล่าวว่า

“…ข้าพเจ้ามีถุงย่ามทอจากใยทองอยู่หลายใบ อาเล้งได้ไปใบหนึ่ง อาอิงก็จะมีใบหนึ่ง สมควรบรรลุถึงกำหนดเวลาค่อยเปิดออกมาได้

บัดนี้พวกท่านรับฟังไว้ ในวันพรุ่งนี้ขั้นแรกพวกท่านต้องหวนกลับสู่หมู่บ้านตระกูลฉี้ก่อน ตลอดรายทางให้แพร่งพรายข่าวคราวว่า กำลังจะเร่งรุดสู่เจดีย์ทองคำ ผู้ทรงฝีมือทุกสำนักพอรับทราบ หากมิใช่เร่งรุดไปสมทบที่หมู่บ้านตระกูลฉี้ ก็ต้องคอยรอพบพวกท่านในระหว่างทาง

รอจนบรรลุถึงหมู่บ้านตระกูลฉี้ กราบพบงี่แป๋แล้ว ก็สามารถพักผ่อนสองวัน อนุญาตให้อาอิงได้อยู่ร่วมกับงี่แป๋ หลังจากนั้นพวกท่านก็มีงานกระทำ”

วาจาของนางกล่าวถึงตอนนี้ นับว่าสิ้นสุดเข้าไปในห้องหับข้างเคียง เขียนจดหมายปิดผนึก บนซองจดหมายระบุเวลาฉีกออกอ่าน และบรรจุจดหมายอยู่ในถุงย่าม

ขณะที่นางปฏิบัติงานอยู่นั้น ซิเล้งฉี้อิงกับพวกก็คอยถามไถ่แฮ่โฮ้วคงว่า จะรักษากี้เฮียงเค้งอย่างไร และมีความมั่นใจสักเท่าใด

โดยมิรู้สึกตัว ก็เป็นยามห้าแล้ว กี้เฮียงเค้งนำถุงย่ามที่บรรจุแผนการ มอบให้กับซิเล้งกับฉี้อิงและปึงเซียะ รอจนทั้งสามซุกเก็บเอาไว้แล้ว จึงกล่าวคำอำลาจากไป

ในยามนั้น ทุกผู้คนต่างรู้สึกว่ายากที่จะพรากจากนาง เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ ฉี้อิงถึงกับร่ำไห้ออกมา ทั้งนี้ก็เพราะคราครั้งนี้เป็นการพลัดพรากจากกัน จนอาจจะไม่มีทางประสบพบพานกันอีก

ขณะที่ใกล้จะอรุณรุ่งสาง ทั้งสองฝ่ายก็แยกจากกันเงาร่างอันบอบบางของกี้เฮียงเค้งได้ค่อยๆ ห่างไป ฉี้อิงมิอาจทนดู ถึงกับมุดศีรษะเข้าไปในอ้อมอกของซิเล้ง เปล่งเสียงร่ำไห้ดังสนั่น

ซิเล้งขบกรามจนแนบแน่น ไม่ยอมให้หยาดน้ำตาทะลักออกมา แต่รู้สึกว่ายากที่จะข่มกลั้นเอาไว้

ตนความจริงเป็นผู้มีไมตรีอันลึกล้ำ การพลัดพรากอันน่าวิปโยคเช่นนี้ และพอได้ยินเสียงร่ำไห้ของฉี้อิงกับนางแมงมุมขาวซึ่งพลอยร่ำร้องด้วย ก็อดบังเกิดลางสังหรณ์อันอัปมงคลจนหดหู่มิได้

ปึงเซียะแลเห็นพวกมันมีความรู้สึกต่อกันลึกล้ำ ราวกับเลือดเนื้อเช่นนี้ก็ตื้นตันใจอย่างใหญ่หลวง นี่เป็นไมตรีอันบริสุทธิ์สูงส่ง ในใต้หล้ายากที่จะประสบพบพาน

ในพริบตานั้น มันรู้สึกว่าคล้ายดั่งเจ้เจ๊ร่วมสายโลหิตได้พรากจากไป อนาคตกาลสุดจะสันนิษฐาน ดังนั้นมันก็มีหยาดน้ำตาอันระอุอุ่นทะลักออกมา

บุคคลทั้งสี่ยืนหยัดอยู่หน้าประตูใหญ่ จับจ้องมองกันด้วยดวงตาที่เอ่อคลอหยาดน้ำตา มิว่าผู้ใดก็ไม่ปลอบประโลมอีกฝ่ายหนึ่ง สุดท้ายยังคงเป็นปึงเซียะที่ถอนหายใจยาวๆ กล่าวว่า

“พวกเราเข้าไปพักผ่อนกันเถอะ หากถูกผู้ผ่านทางพบเห็น รู้สึกไม่น่าดู”

สำเนียงของมันหนักหน่วงราวกับเป็นโรคหวัด แต่ไม่มีผู้ใดรู้สึกน่าหัวร่อ กลับเพิ่มพูนความโศกเศร้ารันทดและในที่สุดก็กลับเข้าไปภายใน ทั้งสี่คนแออัดกันอยู่ในห้องหับเดียวกัน

บางคนนั่งลงบนเก้าอี้ บางคนก็หลับไหลที่เตียงนอน โดยมิรู้สึกตัว ทั้งหมดเพราะความเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียทำให้นิทรารมณ์ไป

ประมาณยามเที่ยง ทั้งสี่จึงได้ตื่นขึ้นมาตามลำดับหน้าหลัง มาตรแม้นอิดโรย แต่ก็ไม่มีความคิดหลับนอนอีก หลังจากหารือเล็กน้อย ค่อยรวบรวมสัมภาระออกจากที่พักพิง เสาะซื้อรถม้าคันหนึ่ง กับอาชาอีกตัวหนึ่งเสียก่อน แล้วจึงเริ่มต้นเดินทาง

ตลอดระยะทาง ฉี้อิงกับนางแมงมุมขาวอาศัยในรถม้าด้วยกัน ซิเล้ง ปึงเซียะผลัดเปลี่ยนกันควบขับรถม้า ผู้ที่หลงเหลือก็โดยสารอาชาติดตามมา

ตามรายทางปราศจากอุปสรรค จึงสามารถเดินเหินได้รวดเร็ว พร้อมกับแพร่งพรายข่าวคราวคิดจะเร่งรุดสู่เจดีย์ทองคำออกไป มินานต่อมา ทั้งหมดก็รอนแรมจนใกล้บรรลุถึงหมู่บ้านตระกูลฉี้

ฉี้อิงบังเกิดความกระตือรือร้น ขณะที่ซิเล้งทำหน้าที่สารถี นางมักจะมานั่งร่วมกันอยู่ที่หน้ารถ ชี้ชวนให้ดูทิวทัศน์ ปราศรับโดยมิขาดปาก

ฉี้อิงพลันหวนนึกถึงถุงย่ามที่กี้เฮียงเค้งให้ไว้ จึงถามว่า

“อาเล้ง ถุงย่ามที่เค้งเจ้เจ๊มอบต่อท่านจะเปิดออกอ่านในเวลาใด?”

ซิเล้งตอบว่า

“นางกำชับอย่างชัดแจ้งว่า รอจนข้าพเจ้าฝึกปรือฝีมือสำเร็จจึงค่อยเปิดออก สำหรับของท่านเล่า?”

ฉี้อิงเม้มริมฝีปากหัวร่อกล่าวว่า

“ข้าพเจ้ามิบอกกับท่าน”

ซิเล้งมีจิตใจหนักอึ้งเคร่งเครียด ทั้งนี้ก็เพราะฉี้อิงยิ่งแสดงความสนิทสนม ตนก็ยิ่งหวนนึกถึงลี้ซานึ้ง ยิ่งรู้สึกละอายใจต่อผู้เป็นสหาย สมควรสะบั้นไมตรีกับนางจึงจะถูกต้อง

แต่ทว่าใจจริงของตนยินยอมอยู่ร่วมกับนาง ใกล้ชิดมากเท่าใด ก็ประเสริฐอย่างสุดแสน การขัดแย้งเช่นนี้ ทำให้ยากที่จะต้านรับไว้ อดถอนหายใจยาวๆ มิได้

ฉี้อิงกล่าวอย่างสงสัยใจว่า

“ท่านไฉนจึงถอนหายใจ?”

ซิเล้งมิกล้าบ่งบอกตามความสัตย์ กล่าวเสเรื่องว่า

“ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ตั้งแต่โบราณกาลมา มักบังเกิดเรื่องราวที่ไม่สอดคล้องโดยสมบูรณ์ ทำให้ผู้คนคับแค้นระทมใจ”

“เรื่องราวอันใดที่ไม่สมบูรณ์พร้อมเล่า?”

“ข้าพเจ้าก็บ่งบอกมิออก เพียงแต่พลันบังเกิดความสะทกสะท้อนอาจจะกังวลถึงความปลอดภัยของเค้งเจ้เจ๊ จึงมีความคิดอันประหลาดพิกลนานาประการ”

พอพาดพิงถึงกี้เฮียงเค้ง ฉี้อิงถึงกับสลายรอยแย้มสรวลบนใบหน้ากล่าวว่า

“อา นางน่าเวทนาจริงๆ…”

ซิเล้งเหลียวแลไปรอบกาย พลันกล่าวว่า

“บัดนี้ได้หวนกลับมาดินแดนแห่งนี้ ภาพพจน์เฉกเช่นดังเดิม เพียงแต่วิถีชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงไป

ฉี้อิงพลันชี้มือไปทางเบื้องหน้าร้องว่า

“ท่านดู สามารถแลเห็นหมู่บ้านแล้ว”

ซิเล้งแลเห็นนางกระตือรือร้นถึงปานนี้ จึงสะบัดแส้เร่งเร้าอาชาเทียมรถ โลดแล่นตะบึงอย่างรวดเร็ว มินานให้หลังก็มาถึงประตูหมู่บ้าน และบุรุษฉกรรจ์หลายคนกำลังจ้องมองมาอย่างตื่นเต้นสงสัย

ฉี้อิงจดจำได้ว่า พวกมันล้วนเป็นผู้คนในหมู่บ้านตระกูลฉี้คราก่อนได้ถูกขับไล่แยกย้ายไป บัดนี้คงถูกบิดาเรียกหากลับมา จึงส่งเสียงเรียกหานามของพวกมันด้วยความลิงโลด

บุคคลเหล่านั้นก็สามารถจดจำฉี้อิงแล้ว ทุกผู้คนปรากฏรอยยิ้มอันปีติยินดี ตรงเข้ามาต้อนรับ มีอยู่สองคนที่พุ่งร่างเข้าไปรายงานข่าวคราว

รถม้าควบขับเข้าไปในหมู่บ้าน พวกซิเล้งทั้งสี่เพิ่งลงจากรถม้า ในห้องโถงใหญ่ก็ปรากฏบุคคลสองคน หนึ่งชราหนึ่งเยาว์วัยถลันกายออกมา

ฉี้อิงส่งเสียงร้องขึ้น คล้ายดั่งสกุณาคืนสู่รวงรัง ถาโถมเข้าหาฝ่ายชายชราที่กางแขนออก ซิเล้งก็เข้าไปฉุดลากทารกหนุ่มที่แข็งแรงผู้นั้นกล่าวว่า

“เซี่ยวเพ้ง (เพ้งน้อย) คราก่อนเจ้ารับภาระส่งข่าวคราว นับว่าสร้างความลำบากให้กับเจ้าแล้ว”

โค้วเพ้งหัวร่อพลางกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าได้ผ่านสถานที่หลายแห่ง มีความสนุกสนานยิ่งนัก”

ฉี้อิงโอบรอบคอของบิดา พลันร่ำไห้ออกมา ฉี้น่ำซัวก็มีจิตใจอันพลุ่งพล่าน รู้สึกว่าการพบพานกับธิดารักในวันนี้ ดุจดั่งเป็นเหตุการณ์อีกชาติหนึ่ง ควรค่าแก่การลิงโลด เพียงแต่น่าเวทนาที่ฝ่ายธิดาต้องเผชิญกับมรสุมชีวิตอันซับซ้อน

มันมาตรแม้นเป็นชนชาวบู๊ลิ้มที่มีประสบการณ์ช่ำชอง ในยามนี้ก็บังเกิดความโศกเศร้ารันทด ดวงตามีหยาดน้ำใสเอ่อคลอ รีบผ่อนปรนลมหายใจมิให้หลั่งน้ำตาออกมา

ในที่สุด ฉี้น่ำซัวนับว่าสามารถสงบสติอารมณ์ ลูบคลำผมเผ้าอันนุ่มสลวยของธิดารัก กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า

“หนูเอย มิต้องร่ำไห้ วันเวลาที่ผ่านมา สร้างความลำบากให้กับเจ้าแล้ว”

ผู้คนทางด้านข้าง ล้วนมิอาจอดรนทนดูและรับฟังไว้ พากันเบือนหน้าไปอีกทางหนึ่ง โค้วเพ้งเบิ่งตาจนกลมกว้าง กำลังข่มกลั้นหยาดน้ำตาอย่างสุดความสามารถ


 อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่