๓๕
♦ สำเร็จแล้วสูญเสีย ♦
……………

ซิเล้งกล่าวอย่างจริงจังว่า

            “ข้าพเจ้ารับรองว่ามันยังมิทันสัมผัสถูกแป๊ะโกวเนี้ย”

            จูกงเม้งแค่นหัวร่อ เฮอะฮะ กล่าวว่า

“พวกเจ้าแม้จะสูงส่งยิ่งนัก ถึงกับสืบเสาะมาถึงที่นี้ แต่วิธีการของเล่าฮู พวกเจ้าไหนเลยจะล่วงรู้จนหมดสิ้น?”

มันขณะเอื้อนเอ่ย ก็สำรวจสภาพการณ์รอบบริเวณอย่างระแวดระวังกลับมิพบเห็นผู้ช่วยเหลืออื่นใดปรากฏกายขึ้น จึงลอบเคลือบแคลงสงสัยอย่างใหญ่หลวง ฉี้อิงสะบัดแส้พายุดำในมือวูบหนึ่ง ตวาดว่า

“จูกงเม้งคืนชีวิตมารดาข้าพเจ้ามา”

จูกงเม้งพลันส่งเสียงออกไปว่า

“ช้าก่อน”

ฉี้อิงมิได้โถมกายเข้ามาตามวาจา จูกงเม้งจึงกล่าวอีกว่า

“ท่านกับซิเล้งมีความชิงชังพยาบาทในตัวเล่าฮูอย่างสุดแสน เพียงแต่ก่อนที่จะลงมือกัน เล่าฮูมีวาจาใคร่จะเอ่ยอ้าง พวกท่านอาจจะเห็นพ้องด้วย”

ฉี้อิงเค้นเสียงกล่าวว่า

“ ท่านบ่งบอกมา”

“นางแพศยาแป๊ะเอ็งนั้น ได้รับประทานยาพิษไปแล้ว หามิได้รับยาขจัดซึ่งเราปรุงขึ้นโดยเฉพาะ ก็ต้องสูญเสียชีวิต นั่นเป็นเรื่องประการแรก ส่วนประการที่สอง พวกเจ้าหากร่วมมือกันกลุ้มรุม เล่าฮูยามถูกสถานการณ์บีบคั้น กลับมีความสามารถเสี่ยงชีวิตกับพวกท่านจนตกตายตามกัน และประการที่สาม เล่าฮูชั่วชีวิตสะสมทรัพย์สมบัติไว้มากมาย จนร่ำรวยมหาศาล”

ซิเล้งพลันกระชากเสียงอย่างขุ่นเคืองว่า

“หุบปาก ท่านอย่าได้คาดหวังว่าจะกล่อมเกลาพวกเราได้”

“นี่เป็นการแลกเปลี่ยนประการหนึ่ง พวกท่านไยมิลองขบคิดดู ทางฝ่ายของท่านมีถึงสามชีวิต เล่าฮูมีเพียงชีวิตเดียว และมิแน่นักว่าจะประสบเภทภัยหมายความว่าพวกท่านหากยินยอมตกลง มิเพียงแต่แป๊ะเอ็งจะได้รับการช่วยเหลือ พวกท่านก็จะมีความเป็นอยู่อย่างรุ่มรวยฟุ่มเฟือย”

คารมของจูกงเม้งปราดเปรื่องเป็นที่ยิ่ง แต่ซิเล้งกลับตวาดก้องว่า

“ผายลม หนี้โลหิตของตระกูลซิ ที่ถูกทำลายล้มล้าง ข้าพเจ้าไหนเลยจะลืมเลือนข้ออาฆาต เล่าฮูก็ยินยอมทำลายส่วนสัดข้างหนึ่งเป็นอย่างไร?”

ซิเล้ง แผดหัวร่ออย่างคลุ้มคลั่งกล่าวว่า

“ไหนจะมีเรื่องราว ที่สะดวกง่ายดายถึงปานนั้น ข้าพเจ้าหากคร่ากุมท่านได้ ย่อมต้องเชือดเฉือนเลือดเนื้อทุกส่วนบนร่างกายของท่าน จึงสามารถระบายความคลั่งแค้นได้”

“ควรทราบว่าพวกท่านมิแน่นักว่า จะสกัดขัดขวางเล่าฮูไว้ได้ บัดนี้เล่าฮูยินยอมทำลาย ส่วนประกอบบนร่างกายเป็นสองร่างเลย”

ฉี้อิงตวาดว่า

“ท่านหากต้องการมีชีวิต ก็ต้องทำลายแขนขาทั้งสี่ข้าง และควักล้วงนัยน์ตาทั้งคู่ออกมา จึงสามารถอภัยละเว้น”

ในยามนั้นจูกงเม้ง พลันแผดหัวร่ออย่างเกรี้ยวกราดชั่วร้าย ตะปบดาบทองคู่มือกระชับมั่นไว้ และเสือกพุ่งออกจู่โจม ด้วยปฏิกิริยาที่ว่องไวปานประกายไฟแลบพุ่ง

เพียงแต่เป้าหมายของมัน หาได้ทุ่มเทใส่ ฉี้อิงเอื้อนเอ่ยวาจาและยืนประจันหน้าไม่ กลับกรีดดาบทองเป็นประกายอันพร่างพรายตา ทิ่มแทงซิเล้งซึ่งยืนหยัดอยู่เบื้องหลัง

ในสภาวะเช่นนี้ ผู้ใดจะคาดคิดว่า จูกงเม้งพลันเลิกร้างการตกลง โถมตะลุยเข้าใส่ และเนื่องจากจูกงเม้งมีเจตนามุ่งประทุษกรรม จึงใช้ท่าร่างอันโหดเหี้ยมทารุณ

ซิเล้งมีความรู้สึกอันอาจหาญ มิคำนึงถึงชีวิต ดังนั้นกระบี่ยาวในมือได้เสือกไสไปอย่างหักโหม จู่โจมใส่จุดชีวิตบริเวณกลางหลังของฝ่ายตรงข้าม โดยมิแยแส ดาบยาวที่มุ่งทำร้ายใส่เอย

สภาพการต่อสู้เช่นนี้ ทำให้ฉี้อิงรีบโถมปราดเข้าไปราวกับสายฟ้าสะบัดแส้ยาวแผ่เป็นเส้นสายดุจดั่งรุ้งบนฟากฟ้า ประสานการจู่โจมต่อคู่ต่อสู้ด้วย

จูกงเม้งมิอาจไม่บิดข้อมือรั้งอาวุธกลับมา พร้อมกับถอยกายสองก้าวแปรเปลี่ยนตำแหน่งที่ยืนหยัด ซิเล้งพลันสะบัดกระบี่ฟาดฟันใส่อย่างดุร้าย โดยทุ่มเทไม้ตายในหกกระบวนท่ามหรรณพ

กระบี่นี้ความจริงก็มีอานุภาพอันแกร่งกร้าวยากทำลาย กอปรกับซิเล้งมีเจตนาจำนงประหัตประหารคู่อาฆาตให้จงได้ ดังนั้นเพลงกระบี่จึงเกรี้ยวกราดรุนแรงอีกมากมายก่ายกอง

จูกงเม้งตวัดดาบเข้าปัดป้อง แต่เรือนร่างได้ถอยปราดไปทางด้านหลังอย่างฉับไว แว่วเสียงดังตึงเมื่ออาวุธสองชนิดปะทะกัน

ผู้กล้าหาญดาบทองรู้สึกว่าตัวกระบี่ของศัตรู แฝงไว้ด้วยความหนักหน่วงปานบรรพต กดทะลักเข้ามาจนแทบมิอาจต้านทาน นี่เป็นสภาพการณ์ที่มันน้อยครั้งจะพบพานเลย

ควรทราบว่า จูกงเม้งซึ่งเคยมีเกียรติภูมิอันจอมปลอมขณะอยู่ในวงพวกนักเลง ได้ฝึกปรือฝีมือจนสูงส่ง เมื่อครู่นี้ยามควงดาบเข้าต้านรับ ก็ทุ่มเทกำลังออกไป กอปรกับภาวะที่เลี่ยงถอย ได้เสื่อมโทรมพลังที่แฝงมามิน้อย ยังต้องประสบความลำบากยากเย็นถึงปานนี้

ซิเล้งมีท่วงท่าอันเหี้ยมห้าวน่าระย่อ พลังกายแผ่กระจายอย่างเต็มที่  และจู่โจมออกไปอีกหนึ่งกระบี่ แว่วเสียงโลหะปะทะกันดันกังวาน จูกงเม้งได้ถอยกายไปห้าเชียะ

ซิเล้งทยอยจู่โจมโดยมิเสื่อมสลาย ทุ่มเทใส่อีกห้ากระบี่ จูกงเม้งถึงกับล่าถอยไปด้านหลังรวมห้าครั้ง

เงาร่างสองสาย ไล่ล่าพัวพันกันอย่างปราดเปรียว ฉี้อิงก็เคลื่อนไหวติดตามด้วย คอยฉวยโอกาสรุกกระหน่ำบ้าง

พลังฝีมือของจูกงเม้ง มาตรแม้นมีแต่เข้มแข็งกว่าซิเล้งโดยมิอ่อนด้อย แต่ประการแรกมันถูกพลังกายจากศัตรูคุกคามจนหวั่นไหว ประการที่สอง เพลงกระบี่ของซิเล้งมีอานุภาพผิดแผกไปจากสามัญดาษดื่น

คราครั้งกระโน้น ทั้งสองก็เคยหักล้างกันคราหนึ่ง เมื่อยามนั้นจูกงเม้งยึดสถานการณ์มีเปรียบกว่า แต่ยามเริ่มต้นต้องถูกซิเล้งรุกล่าถอยเช่นกัน อย่าว่าแต่ในวันนี้ ซิเล้งได้ทุ่มเทพลังจิตและกำลังกายประดามีแต่การโรมรันพันตู

ฉี้อิงพลันเสาะพบโอกาสเหมาะ ถลันร่างเข้าไปจากด้านข้างกวัดแกว่งแส้ยาวกระหน่ำออก จูกงเม้งขณะทุ่มเทกำลังต้านรับกระบี่ซิเล้ง จึงมิมีทางเลี่ยงหลบ แว่วเสียงดังควับเมื่อแส้อ่อนฟาดถูกกลางหลังของมัน

จูกงเม้งรู้สึกเจ็บแปลบปลาบจนจับจิต แม้แต่เรือนร่างก็อ่อนไหวเล็กน้อย จึงสะท้านใจวาบ สำนึกทราบว่าแส้ในมือของฉี้อิง มิเพียงแต่เป็นของวิเศษชนิดหนึ่ง สำหรับนางยังมีพลังการฝึกปรืออันสูงล้ำ

สมควรทราบว่า จูกงเม้งตลอดเรือนร่างได้ผนึกลมปราณอันบริสุทธิ์ ดาบกระบี่ธรรมดายากที่จะกระทบทำร้าย และแส้ของฉี้อิงมิใช่ของมีคม กอปรกับจูกงเม้งอาศัยสภาวะเสื่อมพลังศัตรูไปกว่าครึ่ง ยังยากที่จะรับไว้ ดังนั้นไหนเลยจะมิแตกตื่นเล่า

ฉี้อิงจู่โจมประสบผล ก็บังเกิดความคึกคักฮึกเหิม รีบสะอึกรุกไล่ข้อมืออันผุดผ่องโหมสะบัดกระจายเป็นเงาแส้ผืนใหญ่ แฝงไว้ด้วยสำเนียงฝ่าอากาศดังกราดเกรี้ยวโหมจู่โจมอย่างสุดกำลัง

พลังฝีมือของนาง ได้รับการถ่ายทอดจากยอดคนผู้ไร้เทียมทานแห่งยุค นงคราญยะเยือก วิชาแส้มีความลึกล้ำพิสดารยิ่งนัก จูกงเม้งยามปัดป้องคลี่คลาย รู้สึกสลับซับซ้อนเปี่ยมความยุ่งเหยิง มิถึงยี่สิบกระบวนท่า ก็ถูกฟาดใส่อีกแส้หนึ่ง

จูกงเม้งเสือกพุ่งกระบี่คุกคามซ้ำเติม จูกงเม้งไหนเลยจะอนุญาตให้ทั้งสองรวมกำลังกัน มันพลันสะบัดข้อมือจู่โจมออกสามกระบวนท่า ดาบทองกระจายเป็นม่านอันละลานตา กลับรุกไล่ฉี้อิงจนถอยกายไปสองก้าว

ในยามนี้ ซิเล้งได้โถมปราดมาถึง สภาพเช่นนี้จูกงเม้งมิมีทางฉกฉวยช่องว่างเลี่ยงหนี และเห็นมันพลันฟุบร่างลงบนพื้นดิน ดาบยาวปาดขึ้นสู่เบื้องบนปานสายวิชชุแลบลั่น

อิริยาบถเช่นนี้ นอกเหนือความคาดหมายของทุกผู้คน แต่ก็โฉดชั่วอำมหิตอย่างสุดแสน แสดงออกถึงประสบการณ์อันช่ำชองกลอกกลิ้งของจูกงเม้ง ซิเล้งได้แต่เบี่ยงกายมาด้านข้าง

ช่วงเวลานั้น ซิเล้งก็กรีดกระบี่ฟาดฟันลงโดยมิลังเล ปฏิกิริยานับว่าฉับไวเป็นที่ยิ่ง

ภาวะกระบี่พอกรีดลง ได้ยินเสียงดังเปรื่องประกายไฟแลบกระจายเศษศิลาปลิวเวียนว่อน ที่แท้กระบี่นี้ฟันใส่ก้อนศิลาอันแข็งแกร่ง แต่ท่ากระบี่ที่ดุร้าย ทำให้ศิลาก้อนนั้นแตกกระจายเป็นสองเสี่ยงทีเดียว

ส่วนจูกงเม้งได้หายสาบสูญไปแล้ว บนพื้นดินปรากฏช่องว่างแห่งหนึ่ง มีความใหญ่เล็กเท่าเทียมกับศิลาก้อนที่ถูกฟันแตกแยก!

ที่แท้มันพอเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น ก็ยกก้อนศิลาขึ้นคุ้มครองร่างกาย ต้านทานท่ากระบี่จากซิเล้ง ส่วนตัวเองได้ถลันลงไปในช่องลับใต้ดิน

ปฏิกิริยาทั้งมวลนี้ ล้วนแต่สำเร็จโดยพร้อมเพรียง คาดว่าได้ผ่านการฝึกฝนมาเนิ่นนาน ในด้านตำแหน่ง ช่วงเวลา และปฏิกิริยา ต่างก็ประสานสอดคล้องกัน

ซิเล้งคิดจะสะอึกกายตามติดลงไป กลับถูกฉี้อิงขัดขวางไว้ ได้ยินนางกล่าวว่า

“มิอาจเลินเล่อ มันหากหลบซ่อนอยู่ในใต้ดินรอคอยท่านลงไปไยมิใช่หลงกลอุบายฝ่ายตรงข้าม?”

ซิเล้งแลเห็นคู่อาฆาตสามารถหลบหนีไป ถึงกับเบิ่งตาแทบฉีกขาดความเดือดดาลคลั่งแค้นประเดประดัง จนแทบปาดกระบี่อัตวินิบาตกรรม

ฉี้อิงได้กวาดสายตามองลงไปในโพรงว่างเปล่าบนพื้นดิน แต่ในค่ำคืนดึกดื่น จะแลเห็นได้อย่างไร นางก็กระวนกระวายจนหยาดน้ำตาทะลักพร่างพรูกล่าวว่า

“ฟ้าเอย เค้งเจ้เจ๊เป็นอัจฉริยะอันเลิศล้ำ กลับมิได้คาดคิดว่าจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้ยังมีทางลับอีกสายหนึ่ง นี่สมควรกระทำอย่างไรเล่า?”

ที่แท้ภาพแบบแปลนที่ลี้ซานึ้งได้มา มีทางลับใต้ดินเพียงสี่สายและกี้เฮียงเค้งคอยควบคุมรักษาอยู่ แต่ทางลับหน้าตัวตึกสายนี้ หามีบ่งบอกอยู่บนแปลนก่อสร้าง

ดังนั้นฉี้อิงกับซิเล้งทั้งสอง ถึงกับพลุ่งพล่านใจจนแทบฟั่นเฟือน และนอกจากมิทราบสภาพการจัดสร้าง จึงไม่กล้าลงไปไล่ล่าศัตรูอย่างวู่วาม

ซิเล้งแลเห็นฉี้อิงมีความผิดปรกติถึงปานนี้ ตัวเองกลับมีอารมณ์เยือกเย็นลง กล่าวอย่างนุ่มนวลว่า

“อาอิง ท่านอย่าได้ร้อนรุ่มจนกระทบกระเทือนถูกสุขภาพของตัวเอง”

ฉี้อิงร้องว่า

“ข้าพเจ้ายินยอมคลั่งแค้นใจจนตกตายไปเสียเลย ฟ้าเอย คนชั่วร้ายชนิดนี้ไฉนจึงไม่มีหนทางประหารได้?”

“นี่เรียกว่าลิขิตของดินฟ้า พวกเราแม้ปฏิบัติอย่างสุดความสามารถก็ยังไร้ประโยชน์”

ฉี้อิงขยี้เท้าอยู่ตลอดเวลา เกือบจะมีความคิดกระโดดปราดลงไปสืบเสาะ ซิเล้งจึงเกาะกุมข้อมือกล่าวว่า

“มิต้องลนลาน ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าอสูรร้ายผู้นี้สามารถหลบรอดจากเงื้อมหัตถ์ของพวกเราได้”

ฉี้อิงกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าต้องการลงไปสำรวจดู”

“มาตรแม้นว่ามันหลบหนีไปแล้ว ท่านติดตามก็มิอาจเสาะพบหาไม่แล้ว มันหากลอบซุ่มซ่อนกายอยู่ ท่านพอลงไปก็ต้องสูญเสียชีวิต”

ทันใดนั้น พลันปรากฏเงาร่างสายหนึ่งพลิ้วกายลงมาจากหลังคาตึก ร้องว่า

“ซิเสียวเฮียบ ฉี้โกวเนี้ย รีบไป”

ซิเล้งกับฉี้อิงจดจำเป็นสุ้มเสียงของลี้ซานึ้ง จึงรีบกวาด สายตามองไป

“จูกงเม้งได้ถูกกิมเม้งตี้สกัดกั้นเอาไว้ กำลังประหัตประหารกันอยู่”

ซิเล้งฉี้อิงทั้งสองพอรับทราบข่าวคราวเช่นนี้ ก็ปีติลิงโลดอย่างใหญ่หลวง และแทบจะมิยอมเชื่อถือ ซิเล้งรีบกล่าวว่า

“อยู่ที่ใด?”

ลี้ซานึ้งชี้มือไปทางทิศบูรพากล่าวว่า

“โลดแล่นไปทางนั้นก็จะได้พบพาน”

ซิเล้งและฉี้อิงทั้งสองมิรอให้มันกล่าวจบลง ก็ขยับร่างพุ่งกายไปผ่านตัวตึกอันสูงตระหง่านมาแถบหนึ่งทางเบื้องล่างก็มีผู้คนร้องว่า

“มาทางด้านนี้”

สำเนียงเจื้อยแจ้วกังวาน เป็นสุ้มเสียงของกี้เฮียงเค้ง

ทั้งสองพอพลิ้วกายลงบนพื้นดิน กี้เฮียงเค้งก็ปรากฏกายขึ้นชี้มือไปทางห้องหับหลังหนึ่งกล่าวว่า

“พวกมันกำลังหักหาญกันอยู่ในห้องโถง พวกท่านรีบเข้าไป ข้าพเจ้าต้องไปเสาะหาปึงเซียะกับนางแมงมุมขาว เพื่อเข้ารักษาทางเข้าออกของห้องโถง”

ซิเล้งฉี้อิงทั้งสองก็มิทันรับฟังจนแจ่มแจ้ง ต่างถลันปราดเข้าสู่ห้องโถงอย่างเร่งร้อน ประกายสายตาพอเหลือบแล รู้สึกว่ามีอาณาบริเวณกว้างขวางผิดสามัญสามารถอนุญาตให้ผู้คนกว่าสิบคนต่อสู้หักล้างกัน

ตรงใกล้กับประตูทางเข้า ได้จุดตะเกียงน้ำมันดวงหนึ่ง มาตรแม้นแสงสว่างจะหรี่จางสลัว แต่สำหรับกับพวกที่เป็นผู้ทรงฝีมือ ย่อมเห็นได้อย่างกระจ่างแจ่มชัด

แลเห็นกิมเม้งตี้อาศัยขลุ่ยทองกับพัดจีบ กำลังพัวพันกับจูกงเม้ง ทั้งสองล้วนแต่ใช้วิชาท่าร่างพันตูอย่างกระชั้นชิดและว่องไว จึงหวาดเสียงเปี่ยมอันตรายยิ่งนัก

วิชาฝีมือของกิมเม้งตี้ เปรียบเทียบกับจูกงเม้งที่มีพลังการฝึกปรือมาหลายสิบปี มิได้อ่อนด้อยกว่าแม้แต่น้อย แต่ในยามนี้กิมเม้งตี้มิเพียงแต่มิอาจมีเปรียบ ยังถูกรุกกระหน่ำจนตกเป็นรอง

ที่แท้จูกงเม้งถูกบีบบังคับจนต่อสู้อย่างสัตว์จนตรอก จึงทุ่มเทกระบวนท่าร่างที่ยินยอมตกตายตามกัน กิมเม้งตี้ย่อมมิมีความจำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตด้วย จึงตกเป็นฝ่ายต้านรับ เพลี่ยงพล้ำเล็กน้อย

ซิเล้งฉี้อิงทั้งสองแม้จดจำได้ว่า สถานที่นี้หาใช่หนึ่งในสามตำแหน่งที่คอยต้านรับศัตรูตามที่ตกลงกันก่อน แต่มิมีเวลาไปใคร่ครวญ พากันโถมกายเข้าสู่ห้องโถงอันกว้างใหญ่ทันที

ซิเล้งตวาดอย่างเกรี้ยวกราดว่า

“อาอิง คราครั้งนี้ขอให้ข้าพเจ้าได้พิฆาตฝ่ายตรงข้ามเพียงลำพังเถอะ”

เรือนร่างได้ถาโถมไปเบื้องหน้า กระบี่อันคมกล้าได้กรีดแทงออกอย่างดุร้ายในบัดดล

กิมเม้งตี้พลันล่าถอยออกมา และแค่นเสียงดังเฮอะอย่างมิพอใจ ในเมื่อมิเฝ้ารักษาประตูใหญ่ ก็ไม่คุมเชิงอยู่ข้างหน้าต่าง กลับยืนหยัดอยู่ที่มุมห้อง ยลชมสภาพการต่อสู้

หากแม้นซิเล้งส่งเสียงทักทายต่อมันแล้วค่อยลงมือ กิมเม้งตี้ผู้ซึ่งทระนงถือดี ก็คงยินยอมทำหน้าที่รักษาทางล่าถอยของศัตรูแล้ว

จูกงเม้งได้หักโหมกับกิมเม้งตี้หลายกระบวนท่า เสื่อมสูญพลังภายในไปมิน้อย แต่เวลานั้นเนื่องจากคู่ต่อสู้มิคิดเสี่ยงชีวิต มันขอเพียงใช้ท่าร่างร่วมตกตายด้วย ก็สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้

และในยามนั้น จูกงเม้งเริ่มเคลื่อนย้ายวงต่อสู้เข้าใกล้มุมห้อง ซึ่งก็เป็นตำแหน่งที่กิมเม้งตี้ยืนหยัดอยู่ในขณะนี้ พฤติการณ์ของมัน ย่อมมีแผนการมุ่งหมายอยู่

หาคาดไม่ว่า ตำแหน่งนั้นกลับถูกกิมเม้งตี้ยึดครองไปอย่างประจวบเหมาะ ดังนั้นบัดนี้จูกงเม้งได้แปรเปลี่ยนแผนการ ดาบทองฟาดฟันใส่ พร้อมกับสภาวะฝ่ามือก็จู่โจมออก

สำหรับครั้งนี้ มันถึงกับมีวิถีจู่โจมถึงสองประการ และกระบวนท่าร่างก็ดุดันอำมหิตอย่างสุดแสนผิดแผกจากคราครั้งก่อนโดยสิ้นเชิง ถึงกับต้านทานภาวะจู่โจมของซิเล้งไว้ได้!

ซิเล้งเริ่มรู้สึกผิดปรกติ แต่ตนก็แผ่พุ่งพลังภายในโดยมิยอมรั้ง กระบี่คู่มือถูกร่ายรำเป็นประกายอันพร่างพรายสะท้านจิต ครอบคลุมใส่คู่ต่อสู้อย่างรุนแรง

จูกงเม้งพอเผชิญกับคู่ต่อสู้เพียงลำพัง แนววิชาอันโหดเหี้ยมก็ระดมใช้ออก ดาบทองกรีดฝ่าอากาศเป็นเงาซับๆ ซ้อนๆ สภาพการต่อสู้เต็มไปด้วยความดุเดือดน่าตระหนก

ทั้งสองฝ่ายได้ประหัตประหารกันยี่สิบกว่ากระบวนท่า ตรงหน้าประตูใหญ่พลันมีอิสตรีนางหนึ่งพลิ้วร่างผ่านไป ต่อจากนั้นนอกหน้าต่างก็ปรากฏเงาร่างผู้คนถลันวูบแล้วเร้นหาย

จูกงเม้งมาตรแม้นเผชิญกับคู่ต่อสู้อันเข้มแข็ง แต่ยังแลเห็นอย่างชัดแจ้ง ในยามนี้เพลงดาบท่าฝ่ามือของมันยิ่งโหดร้ายสำแดงอานุภาพ การพันตูดำเนินต่อไปด้วยสภาพอันเข้มแข็งมิเป็นรอง

แม้กระทั่งกิมเม้งตี้ก็จับจ้องจนขวัญสั่นวิญญาณสะท้าน คำนวณว่าตัวเองจะต้านรับวิชาฝีมือของจูกงเม้งที่ยิ่งโรมรัน ก็ยิ่งแข็งแกร่งได้หรือไม่

ชั่วพริบตาเดียววงการต่อสู้ก็ได้โยกย้ายมายังมุมห้องอีกตำแหน่งหนึ่ง และแล้วทั้งสองต่างรวบรวมพลังการฝึกปรือประดามี จู่โจมใส่คนละห้ากระบวนท่าราวกับนัดแนะกันไว้

เสียงโลหะปะทะกันดังถี่ยิบ จนโสตประสาทแทบแตกทำลาย ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บสูญเสียโลหิต ซิเล้งแขนซ้ายถูกคมของดาบทองกรีดใส่เป็นบาดแผลทางยาว

แลเห็นชายเสื้อของตนถูกโลหิตชโลมจนแดงฉาน ส่วนจูกงเม้งถูกกระบี่ทิ่มแทงใส่บริเวณขาอ่อน แม้ลึกเพียงนิ้วเศษ ก็มีโลหิตทะลักออกมามิน้อย

วินาทีนั้น จูกงเม้งได้ส่งเสียงตวาดดังกัมปนาทและใช้ออกไปสามกระบวนท่าติดต่อกัน ม่านดาบแผ่พลุกพล่านเกลื่อนกลาด ปกคลุมกระจายไปทั่ว ทำให้สภาวะจู่โจมของซิเล้ง ถูกขัดขวางจะชะลอชักช้า

จูกงเม้งฉกฉวยโอกาสในช่วงเวลาที่ฉุกละหุกปานประกายแลบพุ่งถอยปราดมาถึงมุมห้อง ส่วนหลังแนบกับผนังกำแพงอย่างสนิทแน่น ซิเล้งขู่คำรามอย่างเดือดดาล โถมละลิ่วเข้าหา

พลันได้ยินเบื้องบนศีรษะ บังเกิดสำเนียงอันประหลาดพิกล ที่แท้ปรากฏแผ่นเหล็กใบหนึ่งร่วงหล่นลงมา ประจวบเหมาะกับขวางกั้นมุมผนังห้องกักกันจูกงเม้งอยู่ภายใน!

ซิเล้งถึงกับตวาดอย่างขุ่นเคือง โคจรลมปราณกระโดดปราด หมายขึ้นไปบนแผ่นเหล็กที่สูงวาเศษ ฉี้อิงซึ่งอยู่ด้านข้างรีบพลิ้วกายเข้ามา และพลอยพุ่งร่างตามติดขึ้นไป พร้อมกับร้องว่า

“ระวัง อย่างได้หลงกลอุบายของมัน”

แส้พายุดำได้พุ่งออกดังควับใหญ่ ม้วนพันร่างของซิเล้ง กระชากรั้งกลับลงมาอย่างหักโหม

ทั้งสองตกวูบลงบนพื้นดินโดยพร้อมเพรียงกัน กิมเม้งตี้แลเห็นฉี้อิงเพราะไมตรีอันลึกซึ้ง ถึงกับมุ่งคุ้มครองซิเล้ง จึงอดบังเกิดเพลิงริษยาหึงหวงมิได้

มันส่งเสียงอย่างเย็นชาว่า

“รู้สึกกังวลอย่างสุดแสน แต่หากมิขึ้นไปมองดู พวกท่านจะล้างแค้นได้อย่างไรกัน?”

ซิเล้งยามรับฟังรู้สึกว่ามีเหตุผล เนื่องจากแผ่นเหล็กนี้ได้ยื่นยาวจรดกำแพงห้องทั้งสองด้าน จมปิดสกัดมุมห้องส่วนนั้นโดยสิ้นเชิง และจูกงเม้งอาศัยแผ่นเหล็กแบ่งแยกทั้งสองฝ่ายออกจากกัน

มีแต่ทางเบื้องบนปรากฏช่องว่างเล็ก สามารถสำรวจมองสู่ด้านล่าง และยามจำเป็นสามารถโถมร่างลงไปจู่โจม เพียงแต่สถานที่แคบเล็ก ยากลำบากต่อการลงมือ

แต่ทว่าซิเล้งได้พุ่งปราดขึ้นไปอีก ยื่นกระบี่ออกจี้ใส่ด้านบนของแผ่นเหล็ก เรือนร่างลอยขวางอยู่กลางอากาศ ก้มศีรษะเหลือบมองสู่ด้านล่าง

กิมเม้งตี้มุ่งหวังให้ภายในมุมตึกนั้นปรากฏอาวุธลับอันชั่วร้าย ซัดพุ่งขึ้นไปปลิดชีวิตของซิเล้ง คาดมิถึงว่าไม่เพียงแต่มีปฏิกิริยา ยังได้ยินซิเล้งตวาดว่า

“อาอิง เดียรัจฉานนั้นหลบหนีไปแล้ว ในที่นี้ยังมีประตูลับอยู่!”

ตนพลันพลิ้วรร่างละลิ่วลงสู่ช่องว่างที่เป็นรูปสามเหลี่ยมหลังแผ่นเหล็ก ซึ่งในตำแหน่งอันแคบเล็กจำกัดเช่นนั้น สามารถถูกประทุษร้ายโดยง่ายดาย

ฉี้อิงกรีดร้องเสียงแหลมเล็ก พุ่งร่างขึ้นจากพื้นดิน และกระโดดลงไปด้วย

กิมเม้งตี้แลเห็นนางมีท่างท่าที่มิคำนึงถึงความเป็นความตาย ก็บังเกิดความริษยาอย่างรุนแรง ขยับร่างพุ่งมาถึงหน้าแผ่นเหล็ก

เพลิงโทสะที่อัดอกของมัน มิมีทางระบาย จึงแผ่พุ่งกำลังเข้าใส่สองแขนกระแทกต่อแผ่นเหล็กอย่างหนักหน่วง แว่วเสียงระเบิดดังโครมสะท้านโสต ผนังห้องทั้งสองด้าน มีเศษปูนและอิฐร่วงพร่างพรูลงมาจนเกรียวกราว

แต่แผ่นเหล็กใบนั้น เนื่องจากมีพลังสะท้อนกลับ จึงกดกระแทกลงมาเบื้องบนศีรษะของมัน กิมเม้งตี้รีบถอยกายไปวาเศษ แผ่นเหล็กร่วงหล่นลงบนพื้นกระเบื้อง ก่อเกิดสำเนียงกังวานก้อง และดังอื้ออึงมิขาดหาย

ทางซ้ายมือของมุมห้อง ปรากฏช่องว่างที่เผยออกเพียงครึ่งเชี๊ยะแห่งหนึ่ง ซิเล้งฉี้อิงทั้งสองได้เบียดเสียดเข้าไปภายใน จนเร้นหายมิพบพาน

กิมเม้งตี้แม้จะริษยาคลั่งแค้นใจ แต่ช่องว่างนี้คับแคบยิ่งนัก หากแม้ชนชั้นยอดฝีมือเฉกเช่นจูกงเม้ง จัดสร้างกลไกคอยประทุษร้าย ย่อมเต็มไปด้วยภยันตราย ดังนั้นมันจึงมีกล้าทะลวงฝ่าเข้าไปอย่างวู่วาม

พลันได้ยินทางประตูห้องโถง แว่วสำเนียงร้องดังๆ ว่า

“กำลังฝ่ามือที่รุนแรงยิ่งนัก”

กิมเม้งตี้เหลียวมองไป เห็นเป็นนางแมงมุมขาว นางขณะอยู่หน้าประตู ได้วาดมืออยู่ตลดหนึ่ง แล้วค่อยโถมเข้ามา ต่อจากนั้นกี้เฮียงเค้ง ปึงเซียะก็ติดตามเข้าสู่ห้องโถงด้วย

นางแมงมุมขาวไปที่หน้าต่างวาดมือไปมา กิมเม้งตี้จึงทราบได้ว่า นางขึงใยของเทพแมงมุมดำอยู่ตามประตูหน้าต่าง หากแม้นจูกงเม้งคิดหลบหนีจากด้านนั้นก็ต้องถูกคร่ากุม

กี้เฮียงเค้ง มิได้สูญเสียเวลามาที่ช่องว่างด้านนี้เลย กลับเดินเหินไปทางมุมห้องด้านตรงข้าม ซึ่งก็เป็นตำแหน่งที่กิมเม้งตี้เคยยืนหยัดอยู่

นางสำรวจดูอยู่ตลบหนึ่ง จึงยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า

“จูกงเม้งผู้นี้นับเป็นจอมอสูรแห่งยุคจริงๆ ความกลอกกลิ้งในพฤติการณ์ชวนให้ผู้คนสะท้านสะท้อน ในที่นี้มีทางลับอีกสายหนึ่ง หากแม้นเมื่อครู่นี้กิมเม้งตี้ท่านมิมายืนหยัดอยู่ ก็คงถูกมันหลบหนีไปแล้ว”

กิมเม้งตี้กล่าวว่า

“บัดนี้มันมิใช่เตลิดหนีไปแล้วหรือ เกรงว่าซิเล้งกับฉี้อิงได้ถูกประทุษร้ายจนเสียชีวิตอยู่ภายในด้วย”

กี้เฮียงเค้งสั่นศีรษะกล่าวว่า

“จูกงเม้งแม้จะสังหารอาเล้งอาอิง ก็อย่าคาดหวังว่าจะหลบหนีรอดไปได้”

ขณะกล่าววาจา นางแมงมุมขาวก็ขึงใยเทพแมงมุมดำอยู่ที่ช่องทางลับอันคับแคบแห่งนั้นด้วย

กี้เฮียงเค้งจึงกล่าวว่า

“ทุกผู้คนที่ติดตามข้าพเจ้ามา”

พลางก้าวออกจากห้องโถงไปก่อน บุคคลทั้งหมดย่อกายหลบรอดจากใยแมงมุมที่ขึงอยู่ เดินเหินติดตามนางอยู่ทางเบื้องหลัง และผ่านห้องหับมาสองหลัง

กิมเม้งตี้พลันกล่าวอย่างสงสัยใจว่า

“ทางด้านนั้นมิใช่สถานที่เราเฝ้ารักษาอยู่ก่อนหรอกหรือ?”

ที่แท้มันคราแรกปฏิบัติตามแผนการเดิม เฝ้ารักษาอยู่ในห้องว่างหลังหนึ่ง ชั่วครู่ต่อมา กี้เฮียงเค้งได้นำลี้ซานึ้งมาถึง และให้กิมเม้งตี้ไปเฝ้าห้องโถงหลังนั้นแทน และมันเพียงเฝ้าอยู่ชั่วครู่ จูกงเม้งก็ปรากฏกายขึ้น

ได้ยินกี้เฮียงเค้งอธิบายว่า

“ข้าพเจ้าหลังจากเข้ามาที่ตัวตึกนี้แล้ว ค่อยสำรวจพบว่าจูกงเม้งมีทางหลบหนีอีกสายหนึ่ง จึงมอบหมายให้ท่านไปเฝ้ารักษา ซึ่งหากแม้นข้าพเจ้ามิทันรู้ซึ้ง จูกงเม้งคงหลบหนีไปเนิ่นนานแล้ว”

ขณะนั้นบุคคลทั้งสี่ ได้ก้าวมาถึงหน้าประตูห้องหับอันสูงใหญ่หลังหนึ่ง

กิมเม้งตี้ถามนางว่า

“ฟังจากน้ำเสียงของท่าน คล้ายดั่งได้คร่ากุมจูกงเม้งไว้แล้ว”

“บัดนี้แผนการประสบความสำเร็จแล้ว หลงเหลือแต่การลงมือพิฆาตเท่านั้นเอง”

นางก้าวเข้าไปในห้องว่างเป็นบุคคลแรก รีบจุดเทียนไขขึ้นสี่เล่มแบ่งแยกกัน จัดตั้งอยู่ตามตำแหน่งต่างๆ

ในยามนั้นมิมีผู้ใดช่วยเหลือนางเกี่ยวกับเรื่องจุดเทียนไข ที่แท้ทั้งหมดต่างจับจ้องจนงงงันไป เนื่องจากภายในห้องอันเวิ้งว้างกว้างขวางนี้ กลับมีคนอยู่ถึงสามคน หนึ่งคือ จูกงเม้งส่วนอีกสองคนคือซิเล้งกับฉี้อิง

เงาร่างทั้งสามเดินเหินไปมาอยู่ท่ามกลางต้นไผ่สีขาวเหล่านั้น และมีพื้นที่เพียงสองวา แต่ทั้งสามมิเคยกระทบถูกกัน บางครั้งแม้เฉียดไหล่ผ่านไปก็มิรู้สึกตัว

นางแมงมุมขาวปรบมือร้องว่า

“ขบวนค่ายกลของเค้งเจ้เจ๊สูงล้ำอย่างสุดแสน”

ปึงเซียะก็กล่าวว่า

“ข้าพเจ้าในวันนี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตา แต่กี้โกวเนี้ยไฉนจึงทราบว่า พวกมันจะมาถึงที่นี้”

“ข้าพเจ้าคำนวณจากทิศทางของประตูลับนั้น จูกงเม้งย่อมคาดคิดมิถึงว่า ข้าพเจ้าจะก่อตั้งพยุหพิสดารตกอยู่ในที่นี้ ท่ามกลางความมืดมิด จึงหลงพลัดเข้าสู่กับดักโดยมิรู้สึกสำนึก”

นางก้าวเท้าเข้าสู่ขบวนพยุห และชักนำซิเล้งกับฉี้อิงทั้งสองออกมาจากค่ายกลไกได้อย่างรวดเร็ว

ซิเล้งพอพบเห็นจูกงเม้งยังเดินวนเวียนอยู่ในขบวน ก็รู้สึกปลื้มประโลมใจและพลุ่งพล่านดาลเดือด

กี้เฮียงเค้งกวาดสายตามาทางปึงเซียะกล่าวว่า

“ปึงเฮียขอให้เตรียมตัว ข้าพเจ้าพอโบกมือ ท่านก็เข้าไปทางด้านนี้ ในยามนั้นจูกงเม้งจะหันกายให้ ขอรบกวนท่านจี้สกัดจุดของมันคร่ากุมออกนอกขบวน”

นางกวาดสายตาเหลือบแล กล่าวอย่างสงสัยใจว่า

“เอ๊ะ ลี้ซานึ้งไฉนมิอยู่ด้วย ข้าพเจ้ายามเก็บกวาดค่ายกลยังต้องให้มันกระทำแทน”

นางแมงมุมขาวพลันกล่าวว่า

“เค้งเจ้เจ๊ สีหน้าของท่านเลวร้ายยิ่งนัก มีที่ใดไม่สบายหรือ”

“ข้าพเจ้าสบายดี เพียงแต่อ่อนเพลียเล็กน้อยเท่านั้น”

ในยามนี้ทุกผู้คนต่างสังเกตสนใจจูกงเม้ง หาได้รู้สึกถึงสภาพที่ผิดปรกติของกี้เฮียงเค้ง ชั่วครู่ให้หลังกี้เฮียงเค้งก็โบกมือขึ้นวูบหนึ่ง

ปึงเซียะได้ตระเตรียมอยู่ก่อน รีบถลันกายเข้าไปในขบวนพยุห ประกบมือจี้สกัดจุดสำคัญบริเวณทรวงอกของจูกงเม้ง

มันเกรงว่าจอมเฒ่าเจ้าเล่ห์ผู้นี้ยังสามารถหลบหนี ขณะหนีบร่างมันขึ้นมา ก็ลงมือสกัดจุดที่กลางหลังของมันอีกสามแห่งด้วย

พอออกมานอกขบวน กี้เฮียงเค้งให้มันวางลงบนพื้นดิน และบงการต่อนางแมงมุมขาวใช้ใยเทพแมงมุมดำพันข้อมือทั้งสองของมัน กี้เฮียงเค้งค่อยกล่าวกับพวกซิเล้งทั้งสองว่า

“พวกท่านได้คร่ากุมศัตรูคู่อาฆาตแล้ว ไฉนไม่ลงมือประหารมันในบัดดล?”

ซิเล้ง กล่าวว่า

“ข้าพเจ้าต้องการรับฟังวาจาของมันยอมรับว่าได้ทำลายล้างตระกูลซิ จึงปลิดศีรษะของมัน”

ฉี้อิงก็กล่าวว่า

“มิผิด จะต้องให้มันยอมรับโทษทัณฑ์ที่ก่อขึ้น หากให้มันตกตายไปโดยมิรู้สึกตัว ไยมิใช่ประทานความสะดวกง่ายดายต่อมัน”

กี้เฮียงเค้งรู้สึกว่า ทั้งสองมีความคิดอย่างเด็ดเดี่ยว จึงมิส่งเสียงตัวเองลงมือเก็บกวาดขบวนพยุหค่ายนั้น นำต้นไผ่สีขาวทั้งหมด ขนย้ายออกนอกตัวตึก

ปึงเซียะลงมือตบคลายจุดของจูกงเม้ง มันพอฟื้นคืนสติขึ้นมา ก็เหลือบแลเห็นซิเล้งอิงต่างกระชับอาวุธคู่มือยืนหยัดอยู่เบื้องหน้า มันมิเอื้อนเอ่ยวาจา พริ้มตาทั้งสองลง

ซิเล้งกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า

“ท่านไฉนจึงประทุษร้ายต่อตระกูลซิของเรา บิดาผู้ล่วงลับยามมีชีวิต เปี่ยมความสัตย์ซื่อมิมีมลทินด่างพร้อย เคยมีอริบาดหมางกับอสูรร้ายเฉกเช่นท่านตั้งแต่เมื่อใด?”

จูกงเม้งมีความกลอกกลิ้งถึงปานใด พอพบว่ามันตกตายในเงื้อมหัตถ์คู่ต่อสู้ ข้อมือทั้งสองมิทราบว่าถูกวัตถุสิ่งใดรัดพันไว้มิอาจดิ้นหลุดได้ มันจึงกล่าวว่า

“เนื่องจากบิดาท่านเป็นขุนนางที่สัตย์ซื่อ และยังมีภูมิปัญญารอบรู้ยึดมั่นสรณะส่งเสริมชาวโลก ดังนั้นเราจึงมิอาจไม่สังหารมัน”

ซิเล้งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันดังกรอดๆ ปึงเซียะที่อยู่ด้านข้างรู้สึกพิศวงใจ กล่าวว่า

“เราเนื่องจากได้รับความเสียหาย จึงต้องลงมือสถาบันอำมหิตของเรา มีจุดประสงค์ร้ายภัยพิบัติให้กับแผ่นดิน จนปั่นป่วนโกลาหล และทำให้ชนชาวบู๊ลิ้มประหัตประหารเข่นฆ่ากันอย่างมิมีความสงบสุขเลย”

ปึงเซียะมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปกล่าวว่า

“พวกท่านล้วนเป็นอสูรร้ายสมควรตกตาย พวกเราจะเดินทางไปทำลายล้างสถาบันอำมหิตสังหารอลัชชีโลกันตร์ พิทักษ์ความสันติสุขให้ชนชาวโลก”

จูกงเม้ง มีจุดประสงค์กระตุ้นฝ่ายตรงข้าม บังเกิดความทะเยอทะยานฮึกเหิม เร่งรุดสู่อาณาจักรอัคคี เพื่ออาศัยน้ำมือของอลัชชีโลกันตร์สังหารศัตรูทั้งหมด

ดังนั้นพอได้ยินวาจาเช่นนี้ ก็ลอบลิงโลดในใจกล่าวอย่างแช่มช้าว่า

“หากแม้นพวกท่านมีสรณะเฉกเช่นกัน เราก็สามารถบ่งบอกสถานที่ให้ มิว่าอย่างไรธัมมะกับอธรรมมิดำรงอยู่ร่วม ช้าเร็วต้องพิสูจน์กันอย่างเด็ดขาด”

ฉี้อิงเดือดดาลจนสะบัดแส้เข้าใส่ บังเกิดเสียงเพียะพะ จูกงเม้งรู้สึกปวดระบมไปทั่วร่าง รีบผนึกพลังต้านทาน ได้ยินฉี้อิงตวาดว่า

“ท่านกับหัตถ์อสนีบาตประทุษร้ายมารดาข้าพเจ้า ในวันนี้มิอาจไม่บดขยี้ท่านจนแหลกลาญเป็นผุยผง”

จูกงเม้งกล่าวอย่างเย็นชาว่า

“เราชั่วชีวิตสังหารผู้คนจำนวนสุดคณานับ ไหนเลยจะหวั่นหวาดต่อความตาย”

ฉี้อิงโบยใส่มันอีกแส้หนึ่ง แผดเสียงกล่าวว่า

“ท่านคิดอาศัยสถานที่อยู่ของอลัชชีโลกันตร์ ข่มขู่ให้พวกเราประทานความตายต่อท่านอย่างสะดวกหรอกหรือ เฮอะ มิมีความง่ายดายเช่นนั้น พวกเราได้สืบทราบตำแหน่งที่ตั้งอาณาจักรอัคคีแล้ว”

จูกงเม้งเจ็บปวดจนร่างกายสั่นกระตุก ที่แท้แส้พายุดำของฉี้อิงเป็นของวิเศษประการหนึ่ง ยามโบยถูกเรือนร่าง จะรู้สึกเจ็บแปลบปลาบสุดจะทนทาน แม้กระทั่งผู้ทรงฝีมือเฉกเช่นจูกงเม้ง ก็มิอาจต้านรับไว้ได้

จูกงเม้ง พอได้ยินฝ่ายตรงข้ามอ้างอิงนามอาณาจักรอัคคี ก็ซึมทราบว่าฝ่ายตรงข้ามรู้กระจ่างถึงที่ตั้งสถาบันอำมหิตแล้ว ขณะคิดเอื้อนเอ่ยวาจา พลันเหลือบแลเห็นนางแมงมุมขาวสาวเท้าก้าวเข้ามา ทำให้มันสะท้านใจวาบ กล่าวว่า

“นางมิใช่ศิษย์ของสถาบันเราหรอกหรือ?”

นางแมงมุมขาวเพียงแค่นเสียงดังเฮอะ ปึงเซียะได้อ้างอิงแทนว่า

“มิผิด แต่นางได้กลับกลายเป็นผู้ทรงธัมมะแล้ว”

ฉี้อิงพลัน กล่าวว่า

“อาเล้ง พวกเราจะลงมืออย่างไร ประหารโดยเชือดเฉือนเลือดเนื้อออกมาทีละชิ้นเป็นอย่างไร?”

ซิเล้งกล่าวว่า

“หากมิกระทำเช่นนั้น ไหนเลยจะสลายความอาฆาต ในดวงจิตของพวกเราได้”

กระบี่ยาวสะบัดวูบหนึ่ง คิดจะล้ำหน้าออกไปจู่โจมแล้ว

ในยามนั้น กิมเม้งตี้พลันยื่นมือออกขัดขวางกล่าวว่า

“ช้าก่อน เรามีวาจาถามไถ่มันอยู่หลายประโยค”

จูกงเม้งกล่าวเสียงเนิบนาบว่า

“ท่านล้มเลิกความคิดเสียเถอะ เรามิต้องการเอ่ยวาจาแล้ว

“นั่นคงมิแน่นัก เราเห็นดวงตาของท่านกลอกกลิ้งไปมา คาดว่ายังมีแผนการอุบาย แต่นั่นไม่สำคัญ เรามีหนทางทำให้ท่านตอบคำถามของเรา”

กิมเม้งตี้ขณะกล่าววาจา ก็สังเกตพิจารณาฝ่ายตรงข้าม แลเห็นจูกงเม้งปราศจากความผิดปรกติใดๆ จึงอดเลื่อมใสในความจัดเจนลึกซึ้งของบุคคลนี้มิได้

ทั้งนี้ก็เพราะ ในวาจาของมันมีเรื่องราวสองประการ สามารถทำให้ทุกผู้คนแตกตื่นตระหนก หนึ่งคือชี้บ่งว่า จูกงเม้งยังมีเล่ห์อุบาย สองประโคมโหมว่า มีวิธีทำให้มันต้องตอบคำถาม

ได้ยินกิมเม้งตี้กล่าวอย่างแช่มช้าว่า

“พวกเราสนทนาถึงประการหลังที่ว่า ท่านต้องตอบคำถาม เรารู้สึกว่า หากแม้นเราขอร้องซิเล้งฉี้อิงทั้งสอง มิให้ทรมานท่าน อาศัยข้อนี้ท่านย่อมมิอาจไม่ตอบคำถามเราใช่หรือไม่?”

จูกงเม้งแค่นเสียงดังเฮอะ กล่าวว่า

“แต่ท่านมิแน่นักว่าจะทำให้พวกมันประทานความสะดวกให้กับเราได้”

“พวกมันอาจจะให้เกียรติเราก็ได้ ท่านไยมิลองทดสอบดู บัดนี้เราถามท่าน เมื่อครู่นี้ท่านขณะประหัตถ์ประหารกับซิเล้ง ได้จู่โจมทั้งดาบและฝ่ามือกระบวนท่าลึกล้ำพิสดารอย่างยิ่งยวด…”

ทุกผู้คนพอได้ยินกิมเม้งตี้พาดพิงถึงวิชาฝีมือ ก็รู้สึกว่ามีเลศนัยแอบแฝงอยู่ จึงเงี่ยหูฟังอย่างจดจ่อ

กิมเม้งตี้กล่าวสืบไปว่า

“ข้อแรก เราต้องการทราบว่า ท่านเมื่อคราที่หักหาญกับเรา ไฉนมิใช้ออก?”

จูกงเม้งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า

“ท่านมีพลังฝึกปรือลึกล้ำ แตกฉานวิชาแขนงในใต้หล้า ดังนั้นแนววิชาดังกล่าว ยามลงมือต่อท่าน อานุภาพจะอ่อนด้อยกว่ายามจัดการกับซิเล้ง

พร้อมกันนั้น เราหากใช้วิชาไม้ตายประจำตัวออกไปแล้ว ยังมิอาจหักโหมเอาชัย และกระตุ้นความคิดหมายพันตูของท่าน จนทุ่มเทกำลังสิบส่วนจัดการกับเรา เมื่อยามนั้นก็เรามิมีความหวังหลบหนีแล้ว”

การจำแนกเช่นนี้ละเอียดลออยิ่งนัก มิว่าจะอยู่ในสภาพการต่อสู้หรือกระแสจิตของผู้หักโหม ก็มักเป็นเช่นนี้ ทุกผู้คนต่างนับถือ รู้สึกว่ามันคู่ควรกับการเป็นผู้ทรงฝีมือแห่งยุคทีเดียว

กิมเม้งตี้กล่าวว่า

“ตอบได้ประเสริฐ ข้อที่สองวิชาฝีมือของท่านแขนงนั้น มีความพิสดารอย่างสุดแสน เรากลับต้องการทราบว่าต้นตอจากแห่งใด?”

จูกงเม้งยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า

“สายตาของท่านสามารถนับว่าเป็นเอกะไร้เทียมทาน วิชาฝีมือแขนงนั้น เราเพียงตีความแตกฉานได้สี่ส่วน มีต้นตอจากเจดีย์ทองคำ นั่นเป็นหนึ่งในสามแนววิชาซึ่งมหาสมณะโพธิสัตว์ แห่งชมพูทวีปกับเทพโฉดสะท้านโพยมอัจฉริยะของตงง้วน ร่วมกันบัญญัติขึ้น”

ฉี้อิงอดมิได้ต้องสอดว่า

“เหลวไหล ท่านได้เปิดเจดีย์ทองคำแล้วหรือ?”

กิมเม้งตี้โบกมือห้ามปรามนางกล่าวว่า

“วาจาของมันหาได้แสร้งเสกสรรขึ้นไม่ รู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่ เพียงแต่อธิบายอย่างฉาบฉวย ทำให้ผู้คนมิสามารถเชื่อถือโดยสิ้นเชิง”

คารมของมันครานี้สูงล้ำยิ่งนัก จูกงเม้งแค่นหัวร่อกล่าวว่า

“ต้องการให้ท่านเข้าใจมิลำบากเลย วิชาฝีมือแขนงนั้นได้บัญญัติขึ้นโดยเทพโฉดสะท้านโพยม อาศัยเพลงดาบพัวพันอันล้ำเลิศ รวมรั้งกับวิชาปัวเยียกฮง (คมปัญญาบารมี) ของมหาสมณะโพธิสัตว์ โดยปรมาจารย์ทั้งสองท่าน ได้คิดค้นขึ้นเป็นไม้ตายดาบฝ่ามือชนิดหนึ่ง แต่ใช้วิชาดาบเป็นหลักใหญ่ จึงขนานนามว่าบ้อเต้กฮุดตอ (ดาบพุทธไร้เทียมทาน)!”

กิมเม้งตี้แสดงสีหน้าสนใจจนงมงาย กล่าวว่า

“อธิบายได้ประเสริฐ วิชาดาบพุทธไร้เทียมทานนี้ มีอานุภาพปราศจากผู้ต้านรับได้จริงๆ รับทราบมาว่าวิชาคมปัญญาบารมี กับเพลงดาบพัวพันล้วนเป็นแนววิชาอันเลิศล้ำ ในเมื่อรวมรั้งเป็นเอกะ ย่อมสุดจะเปรียบประมาณ”

“ท่านกล่าวผิดพลาดไปแล้ว! วิชาดาบพุทธไร้เทียมทานนี้ แม้จะพิสดารสูงล้ำ แต่เท่าที่เราทราบมา ผู้อาวุโสทั้งสองท่านนั้นยังมีวิชาฝีมืออีกสองประการที่สามารถทัดเทียบได้”

“มีวิชาอีกสองประการนั้นจริงๆ?”

จูกงเม้งกล่าวว่า

“ย่อมต้องเป็นความจริง สมมติว่าอีกหนึ่งในสองวิชาขนานนามว่าบ้อเต้กซิ่งซิ่ง (หัตถ์เทพยดาไร้เทียมทาน) ก็เป็นการร่วมบัญญัติขึ้นโดยยอดคนผู้สูงส่งทั้งสองท่านนั้น

โดยที่อาศัยแนววิชาเนี้ยบพั้วอิ้น (ประทับมุทิตา) ของมหาสมณะโพธิสัตว์เป็นหลักใหญ่ และใช้ไคอ้วงฉิกเส็ก (เจ็ดกระบวนท่าซับซ้อน) ของเทพโฉดสะท้านโพยมเป็นหลักสำรอง ซึ่งเจ็ดกระบวนท่าซับซ้อนนั้นสามารถใช้กับอาวุธทุกชนิด โดยเฉพาะอาวุธชนิดอ่อนไหว และวิชาที่ว่านี้หาได้เป็นรองดาบพุทธไร้เทียมทานไม่”

กิมเม้งตี้ชมเชยโดยมิขาดปาก กล่าวว่า

“มิผิด รับทราบว่ามีวิชาประทับมุทิตา กับเจ็ดกระบวนท่าซับซ้อนอยู่จริงๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านก็ได้จากเจดีย์ทองคำแน่แล้ว?”

“ย่อมต้องแน่นอน สำหรับรายละเอียดก็ยินยอมบอกกับท่าน แต่ทว่า…”

มันกวาดสายตาเหลือบแลไปทางพวกซิเล้งกล่าวว่า

“พวกมันต้องหลบหลีกไปสักคราหนึ่ง หากแม้นพวกมันมิชิงชังยอมให้เราบอกกับท่าน ก็ล่าถอยไปภายในห้องข้างเคียงพักผ่อนชั่วคราว ในที่นี้อนุญาตให้สตรีตามรกตนางนั้นเฝ้ารักษา นางเป็นศิษย์ทรยศของสถาบันเรา วิชาฝีมือเหล่านั้นแม้นางจะฝึกปรือได้ ก็ยากจะตีความแตกฉาน”

ซิเล้งเป็นบุคคลที่โอ่อ่าเปิดเผย จึงตกลงเป็นบุคคลแรกว่า

“นั่นไยมิได้ด้วย”

ฉี้อิงมาตรแม้นมิต้องการให้กิมเม้งตี้ฝึกปรือวิชาอันเร้นลับ แต่พอขบคิดได้ว่า ประแจเจดีย์ทองคำอยู่ในการครอบครองของนาง ยังจะเกรงกลัวอันใด สำหรับปึงเซียะย่อมมิอาจคัดค้านเกี่ยงงอน ดังนั้นบุคคลทั้งสามก็ล่าถอยไปยังห้องชั้นใน

ทั่วทั้งห้องอันกว้างใหญ่ จึงหลงเหลือแต่บุคคลสามคน นางแมงมุมขาวกลอกกลิ้งตามรกต เขม้นมองอิริยาบถของผู้คนทั้งสอง จูกงเม้งได้กล่าวว่า

“เราบ่งบอกไปสู่องวิชาแล้ว ยังมีแนววิชาแขนงที่สาม ขนานนามว่าบ้อเต้กเซียมเกี่ยม (กระบี่เทพเจ้าไร้เทียมทาน) ซึ่งก็เป็นไม้ตายอันเลิศล้ำสุดยอด และแนววิชาทั้งสามประการนี้ตามความเห็นของเรา จะจารึกอยู่ในเจดีย์ทองคำหรือไม่ ก็ยังเป็นปัญหาน่าเคลือบแคลง

กิมเม้งตี้รู้สึกว่า วาจามีเลศนัย จึงส่งเสียงหนักๆ ว่า

“เพราะเหตุใดกัน?”

“พวกเราไปที่มุมห้อง แล้วค่อยสนทนากันเป็นอย่างไร?”

“เฮอะ ท่านในที่นี้มีกลไกซับซ้อน เรายังคงระมัดระวังจะประเสริฐกว่า”

จูกงเม้งกล่าวว่า

“ท่านสามารถจี้สกัดจุดของเรา ทำให้เราสามารถเอื้อนเอ่ยวาจา โดยไม่อาจเคลื่อนไหว เมื่อเป็นเช่นนั้นย่อมวางใจได้แล้ว”

กิมเม้งตี้เห็นว่ามีเหตุผล จึงยื่นมือสกัดจุดของมันสามแห่ง แล้วค่อยหนีบร่างเคลื่อนย้ายมาอีกมุมหนึ่ง

จูกงเม้งกล่าวเบาๆ ว่า

“หลายสิบปีที่ผ่านมา เราได้ท่องเที่ยวไปทั่วใต้หล้า ยี่สิบปีก่อนเอามุมานะเสาะแสวงประแจที่ไขสู่เจดีย์ทองคำ จวบจนเมื่อสิบปีก่อน เราเพิ่งสามารถครอบครองวิชาดาบพุทธไร้เทียมทานอันสูงล้ำนั้น แต่มิใช่ได้จากเจดีย์ทองคำ!”

มันกวาดสายตามองไป แลเห็นกิมเม้งตี้มีสีหน้าผิดปรกติ จึงสำนึกทราบว่า ฝ่ายตรงข้ามปรารถนาใคร่ได้วิชานี้ ดังนั้นก็กล่าวว่า

“บัดนี้เราตกอยู่ในเงื้อมหัตถ์ของศัตรู รู้สึกว่ามีแต่อาศัยไม้ตายวิชานี้ แลกเปลี่ยนกับการดำรงชีวิตสืบไป”

กิมเม้งตี้หัวร่อแค่นๆ กล่าวว่า

“ท่านคิดใช้วิชาเช่นนั้นมาหลอกล่อกล่อมเกลาเราหรอกหรือ เฮอะ นี่เป็นการคาดฝันอันโคมลอยชัดๆ”

จูกงเม้งมีความสงบยิ่งนัก กล่าวช้าๆ ว่า

“ท่านหากมิฝึกฝนได้ไป อีกสิบปีให้หลัง สถาบันอำมหิตของเรา ก็จะสร้างสรรชนชั้นอัจฉริยะขึ้นมาผู้หนึ่ง รับตำแหน่งประมุขสืบแทน และฝึกปรือวิชาแขนงนี้ หลังจากนั้นท่านก็มิอาจเป็นผู้ทรงฝีมืออันดับหนึ่งแห่งยุคแล้ว”

กิมเม้งตี้พอได้ยินวาจาเช่นนี้ ก็มีดวงใจหวั่นไหว คล้ายดั่งมีพะเนินเหล็กมาสุมทับทรวงอก จูกงเม้งคอยสังเกตท่วงท่าของมัน จึงทราบว่าแผนการประสบผลกล่าวว่า

“อาศัยความชาญฉลาดเปี่ยมปัญญาของท่าน เราย่อมมิอาจล่อลวงท่านจนหลงติดกับ เพียงแต่ชี้แนะว่า เราสามารถพาท่านไปยึดครองคัมภีร์ฝึกวิชาแขนงนั้น ต่อมาภายหลังเราเพียงแต่ต้องการมีชีวิตดำรงอยู่”

กิมเม้งตี้กล่าวอย่างเย็นชาว่า

“ท่านก็รู้สึกแนววิชานั้น หากฝึกฝนต่อไป เราย่อมไม่มีทางทัดเทียมกับท่าน อย่าว่าแต่ท่านอ้างอิงตลอดเวลาว่ามีวิชาเดียว มาตรแม้นท่านได้ฝึกปรือทั้งสามวิชา เราก็ยิ่งมิใช่คู่มือของท่าน”

“ความจริงมีเพียงวิชาเดียวเท่านั้น เรามุ่งหวังแต่ว่าสามารถดำรงชีพสืบไป ท่านหากมิวางใจก็สามารถทำลายพลังฝีมือของเรา!”

“นี่กลับเป็นวิธีการอันเหมาะสม แต่ท่านบ่งบอกว่ามีไม้ตายไร้เทียมทานอยู่สามวิชา แสดงว่ารอบรู้ทราบมามากมาย”

จูกงเม้งกล่าวว่า

“เราบอกกล่าวตั้งแต่เริ่มต้นเถอะ คราครั้งกระโน้นเรามุ่งหวังครอบครองประแจเจดีย์ทองคำ ทว่ามิได้มา จึงขบคิดถึงวิธีหนึ่ง หันเหเป้าหมาย ทุ่มเทกำลังสืบเสาะชีวประวัติชั่วชีวิตของมหาสมณะโพธิสัตว์ กับเทพโฉดสะท้านโพยม

ผ่านการพากเพียรมาหลายปี มิทราบว่าเสื่อมสูญพลังจิตและเงินทองไปเท่าใด ค่อยสืบทราบร่องรอยชั่วชีวิตของมหาสมณะโพธิสัตว์ แต่เทพโฉดสะท้านโพยม มีความเป็นมาเร้นลับยากทราบชัด

เพียงแต่ล่วงรู้มาว่า ยอดคนทั้งสองท่านนี้พอก่อสร้างเจดีย์ทองคำแล้ว ต่างก็ท่องเที่ยวอยู่หลายปี สุดท้ายค่อยบรรจบพบกันในเจดีย์ทองคำ พร้อมกับมรณภาพอยู่ภายในด้วย

เราพอเสาะพบร่องรอยของมหาสมณะโพธิสัตว์ ก็มุ่งติดตามโดยละเอียด ในที่สุดขณะอยู่ในหอเก็บคัมภีร์ที่สำนักเสียวลิ้มยี่แห่งซงซัว ได้พบบันทึกซึ่งมหาสมณะโพธิสัตว์รจนาขึ้นเอง

บันทึกเล่มนั้น ท่านมหาสมณะโพธิสัตว์ ได้จารึกวิชาดาบพุทธไร้เทียมทานมอบให้กับสำนักเสียวลิ้มยี่ พร้อมกับพาดพิงถึงแนววิชาอีกสองประการ ดังนั้นเราจึงทราบกระจ่าง”

กิมเม้งตี้ผงกศีรษะ ดวงตากลอกกลิ้งตลบหนึ่งกล่าวว่า

“เราแม้นมีจิตละโมบ แต่ก็ยากจะหลบเลี่ยงจากการไล่ล่าของซิเล้งและพวก หรือว่าเราต้องคลายจุดของท่าน และเราสองร่วมมือกันเสี่ยงชีวิตกับพวกมันด้วย”

ทั้งสองฝ่ายล้วนแต่เป็นจอมกลอกกลิ้งเฒ่าเจ้าเล่ห์แห่งยุคและความหมายในวาจาครานี้ ย่อมแสดงว่ามิเชื่อถือในตัวจูกงเม้ง

ได้ยินจูกงเม้งกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า

“สำหรับเรื่องนั้นมีหนทางอยู่ ภายในร่างของเรามีของวิเศษขนานหนึ่ง รับรองว่าสามารถปฏิบัติจนสำเร็จ”

“เฮอะ เมื่อเป็นเช่นนั้น คราแรกท่านไฉนไม่ใช้เป็นประโยชน์เล่า?”

จูกงเม้งกล่าวว่า

“เนื่องจากไม่มีโอกาสอนุโลม ของวิเศษขนานนั้นเป็นยาเม็ด พอถูกลมจะมอดมลาย และมิมีกลิ่นผิดปรกติใดๆ แต่ประสิทธิภาพรุนแรงยิ่งนัก มิว่าจะเป็นมนุษย์เดียรัจฉาน พอสูดลมเข้าไป ก็จะสลบไสล อีกสิบสองชั่วยามค่อยฟื้นคืนสติมา

นี่เป็นของวิเศษ ที่ซือแป๋เราปรุงขึ้นอย่างเร้นลับ ทั่วใต้หล้าไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ท่านนำยาเม็ดนั้นไป หาหนทางจี้สกัดจุดสตรีตามรกตผู้นั้นก่อน แล้วเหวี่ยงเข้าไปในประตูห้องข้างเคียง พริบตาเดียว ผู้คนทั้งหมดก็จะสลบลิ้นสติ!”

กิมเม้งตี้รู้สึกว่า บุคคลผู้นี้มีของวิเศษมากหลายอุบายสุดยอกย้อน หากแม้นร่วมเดินทางกับมันไปเสาะแสวงคัมภีร์ ก็ต้องระมัดระวังให้มากด้วย

มันยื่นมือออกไปล้วงหยิบเอาขวดหยกใบหนึ่งจากร่างกายของฝ่ายตรงข้าม ได้ยินจูกงเม้งกล่าวว่า

“ภายในขวดมียาเม็ดโตประมาณปลายเล็บอยู่เม็ดหนึ่ง ภายนอกห่อหุ้มด้วยขี้ผึ้ง ขอเพียงแต่บดขี้ผึ้งออก ยาเม็ดภายในพอถูกลมพัดก็ละลาย กลับกลายเป็นกลิ่นไอที่ไร้สีสรรไร้กลิ่น อบอวลอยู่ในอากาศ ผู้สูดดมเข้าไปจะสลบไสลเป็นเวลาสิบสองชั่วยาม หากแม้นท่านมิกล่าวหา เราก็จะบ่งบอกวิธีใช้สิ่งของนี้ให้กับท่าน”

กิมเม้งตี้ผวกศีรษะอนุญาต จูกงเม้งจึงกล่าวว่า

“ก่อนอื่นท่านเรียกหาสตรีตามรกตนางนั้นมา เรามีวิธีการทำให้นางตะลึงลานไปครู่หนึ่ง และท่านก็ฉกฉวยโอกาสขณะที่นางมีสติเลอะเลือน ถลันกายมาถึงริมประตูห้อง ปิดสกัดลมหายใจเสียก่อน แล้วค่อยบดเปลือกขี้ผึ้งห่อหุ้มยาเม็ด สายลมพอพัดโชย ผู้คนภายในห้องข้างเคียง จะสลบไสลไปทันที

ต่อจากนั้น ท่านก็สามารถนำพาเราเร่งรุดเดินทาง รอจนพวกมันฟื้นตื่นขึ้นมา ก็เป็นเวลาสิบสองชั่วยามให้หลัง รับรองว่าไม่มีทางไล่ล่าตามทัน”

อุบายนี้รู้สึกง่ายดายและแยบยลยิ่งนัก กิมเม้งตี้หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็กล่าวอย่างเย็นชาว่า

“มิได้ เราเกรงว่าจะหลงกลอุบายของท่าน วิชาดาบพุทธไร้เทียมทานนี้ เรายังคงมิต้องฝึกปรือ”

ผู้กล้าหาญดาบทองจูกงเม้งมิทราบว่า นี่เป็นวาจาจากใจจริงหรือเสแสร้ง แต่ก็สะท้านใจวาบ กล่าวว่า

“เราเพียงแต่ดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอด แม้แต่พลังฝีมือของตัวเองก็ยินยอมสูญสลาย ไหนเลยจะกล้าดำเนินอุบายกับท่าน”

“หากแม้นยาเม็ดทำร้ายผู้คนสิ้นสติของท่าน มีตัวยาขจัดเราอาจจะเชื่อถือ”

“เรามียาขจัดอยู่ขวดหนึ่ง ขอเพียงแต่รออยู่ที่ริมจมูกครู่หนึ่งก็จะฟื้นคืนสติมา”

กิมเม้งตี้ลงมือค้นหาตามร่างกายของฝ่ายตรงข้าม จนพบพานยาขจัดขวดนั้น ค่อยกล่าวว่า

“เราพอใช้ยาสลบแล้ว ก็จะจัดการกับท่านจนสลบไสลด้วยแล้วค่อยใช้ตัวยาแก้ไขท่านฟื้นฟูมา พร้อมกับนั้นขอให้ท่านจดจำไว้ว่า ทางด้านนอกยังมีกี้เฮียงเค้งอีกนางหนึ่ง ซึ่งสามารถปลิดชีวิตของท่าน”

“เรามีความคิดรอดชีวิตได้เท่านั้น ท่านผู้กล้าหาญแซ่กิมยามไหวระแวง หากแม้นกี้โกวเนี้ยเข้ามา ไยมิใช่สูญเสียโอกาสทั้งมวลไป?”


 อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่