๓๓
♦ ดวงใจแหลกสลาย ♦
……………
ฉี้อิงความจริงมิต้องการสนทนากับลี้ซานึ้งแม้แต่น้อย แต่มันเมื่อพาดพิง นางจึงรู้สึกว่าอาจจะมีความสำคัญอยู่บ้าง จึงกล่าวว่า
“ท่านพบเห็นเบาะแสผิดปรกติหรือไม่?”
ในยามนี้ซิเล้งความจริงได้ยืนหยัดอยู่ด้านนอกลอบรับฟังคำตอบโต้ของทั้งสองอยู่
คราแรกตนมาตรแม้นแลเห็นฉี้อิงมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป จึงเข้าใจว่าลี้ซานึ้งคือเนื้อคู่หมั้นหมายของนาง แต่ลี้ซานึ้งกลับสงบเยือกเย็น ดังราวกับมิรู้จักฉี้อิง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ซิเล้งจึงมิอาจไม่ระแวงสงสัย และคาดคิดว่าจะต้องมีประจักษ์พยานที่แน่นอนกว่านี้ค่อยมั่นใจได้ บัดนี้ได้ลอบรับฟังจนมีจิตใจกระตือรือร้นรู้สึกว่า ทั้งสองสนทนากันอย่างปรกติ มิชวนให้สงสัยแม้แต่น้อย
ซิเล้งอดลอบระบายลมหายใจมิได้ พลันแว่วลี้ซานึ้งตอบว่า
“ข้าพเเจ้ามิมีเบาะแสแต่อย่างไร”
ฉี้อิงพลันมีโทสะระเบิดขึ้นมาทันที กระชากเสียงกล่าวว่า
“ที่แท้ท่านแสร้งหาวาจามาสนทนากับข้าพเจ้า เฮอะ ความจริงไยต้องกระทำเช่นนั้น ท่านคือลี้กงจื้อนั่นเอง!”
ลี้ซานึ้งมิกล้าส่งเสียง ซิเล้งพอได้ยินถึงกับคล้ายกับหลงพลัดเข้าไปในหล่มน้ำแข็ง ปากอ้าตาค้างไปคำนึงในใจว่า
“…พวกเราเป็นผู้รู้จักคุ้นเคยมาก่อน ความระแวงของเราหาได้ผิดพลาดไม่…”
ฉี้อิงส่งเสียงเย้ยหยันขึ้นว่า
“ลี้กงจื้อไฉนมิแสวงหาความสุขอยู่ในคฤหาสน์ กลับมาซัดเซพเนจรอยู่ในวงพวกนักเลง?”
ลี้ซานึ้งเงียบงันมิส่งเสียง ชั่วครู่ต่อมมาค่อยกล่าวว่า
“ฉี้โกวเนี้ยไยต้องกล่าวเช่นนี้ เรื่องราวที่ผ่านไปพาดพิงถึงจะมีประโยชน์ใด”
วาจาของมันยังคงสงบราบเรียบ ทำให้ฉี้อิงมีโทสะเสื่อมสลายไปกล่าวว่า
“อืมม์ บัดนี้เข้าใจสาเหตุที่ท่านจะแสร้งทำเป็นมิรู้จักข้าพเจ้าแล้ว เพียงแต่มิทราบว่าคาดเดาถูกต้องหรือไม่?”
ลี้ซานึ้งกล่าวว่า
“ขอท่านอย่าได้เอ่ยออกมา โดยสรุปแล้วความประพฤติและพลังฝีมือของซิเสียวเฮียบ ได้สร้างความเลื่อมใสให้กับข้าพเจ้าอย่างสุดหัวใจ”
ซิเล้งในความมืดได้สั่นศีรษะอย่างทอดอาลัย ก้าวไปทางถนนหลวง ดวงใจหนักอึ้งดุจดั่งถูกถ่วงไว้ด้วยพะเนินเหล็ก และทอดถอนหายใจอยู่ตอดเวลา
ตนรู้สึกว่าสมาธิเลื่อนลอยไร้หลักแหล่ง มิทราบว่าสมควรกระทำอย่างไร สำหรับฉี้อิง ตนได้ทุ่มเทความรู้สึกทั้งมวล ชั่วชีวิตนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาด
เพราะเหตุนี้ การที่จะให้ซิเล้งตัดสินใจเลิกร้างกับนาง ไหนเลยจะเป็นเรื่องราวที่กระทำได้โดยง่ายดาย?
แต่ทว่าตามเหตุผลแล้ว ซิเล้งกับลี้ซานึ้งมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกล้ำ มาตรแม้ลี้ซานึ้งยินยอมปรารถนาตัวเป็นข้าทาสรับใช้ แต่ซิเล้งได้ให้ความเคารพนับถือต่อมัน เข้าใจว่าเป็นสหายสนิทที่เชื่อถือได้
ท่ามกลางความสัมพันธ์เปี่ยมน้ำมิตรเช่นนี้ ซิเล้งหากแม้นรับทราบความนัย แต่ยังคบหากับฉี้อิง ก็อดจะเห็นแก่ตัวไร้ยางอาย ไม่คำนึงถึงหลักธรรมใดๆ
ดังนั้นซิเล้งจึงมิอาจไม่พาตัวเองห่างจากฉี้อิง มิว่าฉี้อิงกับลี้ซานึ้งจะปรองดองกันได้หรือไม่ ตนก็ต้องสลัดตัดจากฉี้อิงไป!
การกระทบกระเทือนคราครั้งนี้หนักหนาสาหัสยิ่งนัก ทำให้ซิเล้งมิอาจรักษาสติสัมปชัญญะ สาวเท้าเคลื่อนกายอย่างเลื่อนลอย จิตใจเจ็บปวดรวดร้าวสุดประมาณ
มิทราบว่า เดินเหินเป็นระยะทางยาวไกลได้เท่าใด พลันปรากฏผู้คนก้าวมาจากทางมุมโค้ง ปะทะใส่ซิเล้งอย่างถนัดถนี่ ซิเล้งมีพลังฝีมือสูงล้ำถึงปานใด มาตรแม้นในยามที่มีความนึกคิดอลเวง ก็ยังสามารถผนึกพลังคุ้มครองตน
บุคคลผู้นั้นถึงกับกระแทกกายลงบนพื้นดิน และส่งเสียงร้องโอดโอยออกมา
ซิเล้งกล่าวอย่างเซื่องซึมว่า
“ขออภัย”
พลางคล้ายกับเป็นเครื่องยนต์กลไกฝ่ายตรงข้ามลุกขึ้นมา
ผู้ปะทะกับซิเล้งเป็นชายชราอายุประมาณหกสิบปี เค้าหน้าเมตตาปรานียิ่งนัก มันคราครั้งนี้จิตใจรู้สึกขุ่นเคืองแต่พอเหลือแลเห็นท่วงท่าอันเคลิบเคลิ้มเลื่อนลอยของฝ่ายตรงข้าม เพลิงโทสะก็สลายไป คำนึงว่า
“…บุรุษหนุ่มผู้นี้คงเผชิญกับเรื่องราวอันใด และได้ความสะเทือนใจ จนแปรเปลี่ยนเป็นเช่นนั้น…”
ในดวงตาของมันทอประกายอันเวทนาสงสาร ทราบดีว่าบุรุษหนุ่มมิอาจรับการกระทบกระเทือนความรู้สึก หาไม่แล้วก็จะกลับกลายมีท่วงท่าเช่นนี้ ชายชราพลันกล่าวว่า
“ท่านย่อมต้องมีความในใจอย่างใหญ่หลวง ใช่หรือไม่?”
ซิเล้งถอนหายใจราวๆ ผงกศีรษะกล่าวอย่างเซื่องซึมเล็กน้อยว่า
“มิผิด ข้าพเจ้ามีความในใจซ่อนเร้นอยู่”
“ถ้าเช่นนั้นท่านติดตามเรามา”
มันมิบ่งบอกสาเหตุ เพียงต้องการให้ไปด้วย และซิเล้งก็ก้าวติดตามชายชราไปอย่างไร้จุดหมาย
ทั้งสองเพียงเดินเหินสิบกว่าก้าว ชายชราก็ผลักประตูบานหนึ่งเข้าไปพร้อมกับซิเล้ง ห้องหับหลังนี้มิกว้างใหญ่นัก ภายใต้แสงโคมไปอันสลัวเลือนราง การประดับประดาสมถะยิ่ง แต่ยังมีห้องโถงรับแขกเหรื่อและด้านข้างมีห้องหับอีกสองหลัง
ฝ่ายชายชราส่งเสียงเรียกหาออกไปคำหนึ่ง ห้องทางขวาก็แว่วสุ้มเสียงของสตรีชรานางหนึ่งตอบรับว่า
“ท่านกลับมาแล้วหรือ ในวันนี้รู้สึกสนุกสนานยิ่งนัก”
ชายชราผู้พาซิเล้งมาได้กล่าวว่า
“รออีกครู่หนึ่งค่อยสนทนากัน เราต้องชงชาร้อนสักป้านหนึ่งให้ทารกผู้นี้ดื่มลงไป เพื่อสงบอารมณ์ของมัน”
“เอ๊ะ ทารกอันใดกัน?”
“มิต้องร้อนรุ่มใจ เป็นบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง มันคงได้รับความกระทบกระเทือน จึงมีจิตสำนึกอลวน”
ขณะกล่าววาจาก็เทน้ำชาที่มีควันคุกรุ่นถ้วยใหญ่ยื่นส่งให้กับซิเล้ง
ซิเล้งรับถ้วยน้ำชามา อ้าปากดื่มลงไปในพริบตาลงไปในพริบตาเดียว ทำให้ชายชราสะดุ้งวาบกล่าวว่า
“ระวังจะลวกปากจนเสียหายไป”
น้ำชาอันร้อนระอุถ้วยนี้ ได้ลวกลำคอของซิเล้งไปคราหนึ่ง หากมิใช่มีพลังการฝึกปรืออันลึกล้ำ อาจจะถึงแก่ความตายเลยก็ได้
แต่ทว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ กลับทำให้ฟื้นฟูสติสำนึกกลับคืนมา กระพริบตาอยู่หลายครา กวาดตาดูห้องหับหลังนี้กับชายชราผู้นั้น พร้อมกับรู้สึกว่าลำคอกับปลายลิ้นล้วนชาด้านไร้ความรู้สึก
ซิเล้งพลันถอนหายใจยาวๆ ออกมา ทั้งนี้ก็เพราะความเจ็บแปลบปลาบทางเรือนกาย ท่ามกลางสภาพการณ์ของตนในยามนี้ มินับว่าเป็นประการใดเลย
ชายชราผู้นั้นกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า
“ท่านนั่งสงบสักครู่หนึ่งหากแม้นมีความคับแค้นใจ ก็เปล่งเสียงร่ำไห้ จะช่วยให้ดีขึ้น”
มันเปิดห่อกระดาษใดหนึ่ง ภายในมีอาหารอยู่เล็กน้อย และเสือกส่งมาเบื้องหน้าของซิเล้ง แต่ซิเล้งได้สั่นศีรษะ ฝ่ายชายชราได้ชักชวน เพราะรู้ซึ้งจิตใจฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างดี และกล่าวว่า
“ภรรยาเฒ่าของเราสองขาง่อยเปลี้ยพิการ มิอาจเดินเหินได้ เราต้องเข้าไปป้อนอาหารให้นาง”
จากนั้นก็เข้าสู่ห้องหับ ซิเล้งได้นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสงบ จิตใจพอคำนึงถึงฉี้อิง รู้สึกท้อแท้ทอดอาลัย แทบอาจจะแสวงหาหนทางส่งเสริมตัวเอง หลุดพ้นจากทะเลทุกข์อันมหันต์แห่งนี้
แต่ตนก็นับว่ามีสติสัมปชัญญะฟื้นฟูอย่างแช่มช้า มิเฉกเช่นดั่งคราแรกที่สับสนเลอะเลือน สมาธิวุ่นวาย
ซิเล้งได้ยินชายชราบอกเล่าว่าพบพานตนอย่างไร จากนั้นฝ่ายสตรีชราก็กล่าวว่า
“ในวันนี้เราได้พบเห็นเรื่องราวประการหนึ่ง รู้สึกประหลาดยิ่งนัก”
ชายชราได้กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า นางตลอดวันล้วนแต่พบเห็นเรื่องราวอันพิกล แต่สตรีชรารีบกล่าวว่า
“ท่านรับฟังเราเสียก่อน ผู้ที่เราพบเห็นในวันนี้มิใช่คนคุ้นเคย หากแต่เป็นบุรุษที่ยังมีอายุเยาว์และประหลาดล้ำผู้นั้น มันได้ปลอมแปลงเป็นชายชรานำพาสตรีชรานางหนึ่งกลับมา”
ชายชราปลีกตัวว่าจะมาดูแลซิเล้ง แล้วก็ออกมารินน้ำชาอีกถ้วยหนึ่งให้กับซิเล้ง พร้อมกับกระตุ้นยุยงให้หลั่งน้ำตาบ้าง มันอาศัยปัญญาของผู้ชราภาพและดวงจิตที่เมตตา เพียงประโลมมิกี่ประโยค ซิเล้งก็มิอาจควบคุมตัวเอง มีหยาดน้ำตาไหลพร่างพรูลงมา
ฝ่ายชายชราเต็มไปด้วยความพอใจ หวนกลับมาภายในห้องร่วมรับประทานกับผู้เป็นภรรยาเฒ่า ชั่วครู่ต่อมาเสียงสะอึกสะอื้นทางด้านนอกได้เงียบหายไป
หลังจากนั้น สตรีชราก็พาดพิงถึงเรื่องราวที่อ้างอิงเมื่อครู่นี้ ผู้เป็นสามีจึงกล่าวว่า
“ท่านทราบได้อย่างไรว่า บุรุษพิกลผู้นั้นปลอมแปลงเป็นชายชรา และมันนำพาสตรีชรานางหนึ่งกลับมาไยกัน?”
ผู้เป็นภรรยาก็เกี่ยงงอนว่า มิมีทางผิดพลาดอย่างแน่นอน ทันใดนั้นพวกมันได้พบเห็นว่า ซิเล้งยืนหยัดอยู่หน้าประตูห้อง จึงพากันกวาดสายตามองมาอย่างพิศวง
ซิเล้งปาดหยาดน้ำตากล่าวว่า
“เล่าไท้ไถ่ (คำยกย่อหญิงชรา) ท่านเมื่อครู่นี้กล่าวว่า ได้เห็นชายชราผู้หนึ่ง พาสตรีชรานางหนึ่งกลับมา ซึ่งพวกมันมิมีนิวาสถานอยู่ในละแวกใกล้เคียงแต่ไฉนจึงมาที่นี้เล่า?”
ขณะถามไถ่ก็สังเกตได้ว่า สตรีชรานั่งอยู่บนเก้าอี้พนักสูงตัวหนึ่งใช้ผ้าคลุมร่างท่อนล่าง และนั่งตรงหน้าต่าง
ได้ยินนางกล่าวว่า
“ความจริง ผู้อาศัยอยู่ในสถานที่นี้มีจำนวนสับสนยิ่งนัก ยากที่จะแยกแยะว่า เป็นผู้อาศัยประจำหรือไม่ แต่เราตลอดวันไม่มีเรื่องราวกระทำ และมองผ่านหน้าต่างไปบนท้องถนน ดังนั้นครอบครัวใดขนย้ายมา หรือขนจากไปล้วนแต่ทราบดี”
ชายชราผู้เป็นสามี เร่งเร้าให้นางตอบคำถามของซิเล้งโดยรีบด่วน แต่ซิเล้งอ้างอิงว่ามิเป็นไร ขอเพียงนางมีรสนิยม ก็บอกเล่าตั้งแต่เริ่มต้นเลย
ดังนั้นสตรีชราจึงบ่งบอกออกมาโดยมิยอมหยุดยั้ง กล่าวว่า
“เมื่อสองเดือนก่อน ได้มีบุรุษอายุยังเยาว์ผู้หนึ่งมาพำนัก ดูจากเสื้อผ้าการแต่งกาย เป็นคนคร่ำเคร่งตำรับตำรา มันจับจ้องห้องหับที่อยู่เยื้องถัดไป มีเพียงลำพังไร้ครอบครัวหรือข้าทาส เรามิทราบจริงๆ ว่า มันผ่านวันหนึ่งได้อย่างไร เนื่องจากไม่รับประทานอาหารติดต่อกันหลายๆ วัน!”
ซิเล้งทักท้วงว่า
“บัณฑิตผู้นั้นอาจจะซื้อเสบียงอาหารรับประทานได้หลายวัน นอกจากนั้นก็เป็นอาหารที่หุงหาโดยง่ายดาย ดังนั้นจึงมิต้องออกจากบ้านหลายๆ วัน”
“ไม่ มันมิได้รับประทานอาหารติดต่อกันหลายวันจริงๆ เพราะว่าในห้องของมันไม่มีเครื่องประกอบอาหารเลย ทุกครั้งที่กลับมาจากท้องถนน เราได้คอยดูอยู่ ทีนี้ มักจะกลับมาโดยมือเปล่า ไม่มีแม้แต่เสบียงกรังอาหารแห้ง”
ซิเล้งเหลือบแลนางอย่างถี่ถ้วน ในใจมิอาจไม่เชื่อถือ ทั้งนี้ก็เพราะสตรีชรานางนี้ สองเท้าพิการมิอาจเคลื่อนไหว สามีออกจากบ้านไปประกอบอาชีพ แม้แต่ผู้ที่จะร่วมสนทนาก็หามีไม่ ดังนั้นทุกเช้าค่ำนางจะนั่งอยู่ตรงหน้าต่าง พิจารณาดูสภาพการณ์บนถนน นี่เป็นความบันเทิงเพียงประการเดียวของนาง
สิ่งที่ทำให้ซิเล้งใจสะท้านหวั่นไหวก็คือ นางอ้างว่าบัณฑิตอายุเยาว์ผู้หนึ่ง ปลอมแปลงเป็นชายชราออกไป ยามกลับมาได้พาสตรีชรานางหนึ่งมาด้วยคำนวณจากสภาพการณ์ สตรีชรานั้นจะเป็นกี้เฮียงเค้งที่หายสาบสูญในวันนี้หรือไม่?!
ข่าวคราวที่ได้มาอย่างกระทันหันนี้ ทำให้ซิเล้งสลัดลืมเลือนความคับแค้นรวดร้าวใจของตัวเองไปชั่วครู่ และมีเจตนาอย่างแน่วแน่ที่จะสืบสวนเรื่องราวประการนี้
คำนวณจากคำอ้างอิงของสตรีชรา บัณฑิตผู้นั้นมีร่องรอยเร้นลับ ในเมื่อสามารถมิต้องรับประทานอาหารได้หลายวัน ย่อมต้องเป็นชนชั้นผู้ทรงฝีมืออันสูงล้ำแล้ว
แต่นี่ก็สร้างความคลางแคลงสงสัยให้กับซิเล้ง ทั้งนี้ก็เพราะผู้ทรงฝีมือมิรับประทานอาหารหลายวัน บางครั้งเพราะสาเหตุก็หาเป็นเป็นไรไม่ แต่หากปฏิบัติเป็นกิจวัตรก็ชวนให้ระแวงคลางแคลง
นอกจากนี้ ซิเล้งได้ใคร่ครวญว่า บัณฑิตผู้นั้นมีความเป็นมาประการใด หากแม้นมันพากี้เฮียงเค้งมา ถ้าเช่นนั้น กี้เฮียงเค้งไฉนยินยอมติดตามมาด้วย บุคคลนี้ปลอมแปลงโฉมซุกซ่อนร่องรอยอยู่ในที่นี้มีจุดประสงค์อย่างไร?
ซิเล้ง ได้ปฏิสันถารกับสตรีชรานางนั้นอยู่หลายประโยค แล้วจึงล่าถอยออกมาที่ห้องโถง
ฝ่ายชายชราก็ติดตามออกมากล่าวว่า
“รู้สึกว่า ขณะนี้ท่านได้ดีขึ้นมากนัก หิวโหยหรือไม่?”
ซิเล้งสั่นศีรษะ เงยหน้าขึ้นก็พบเห็นสีหน้าอันหมกมุ่นเมตตาของฝ่ายตรงข้าม จึงบังเกิดความตื้นตันใจอย่างใหญ่หลวง คำนึงว่า
“…สามีภรรยาผู้ชราคู่นี้ มีสภาพแวดล้อมข่นแค้นน่าเวทนา แต่ยังเปี่ยมความเห็นอกเห็นใจไมตรีจากผู้ยากจน ความสูงล้ำของคุณค่านับว่าสุดที่จะประมาณได้…”
พอฉุดคิดถึงตอนนี้ก็รู้สึกละอายใจยิ่งนัก ในการที่ตนมิสนใจความเป็นอยู่ของฝ่ายตรงข้าม ดังนั้นจึงสนทนาเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวของชายชราอยู่ครู่ใหญ่ จวบจนท้าฟ้าได้มืดค่ำลง จึงกล่าวคำอำลาแล้วจากมา
ซิเล้งถามไถ่จนทราบชัดว่า ชายชราผู้นี้แซ่แต้และจดจำที่อยู่เอาไว้ พฤติการณ์นี้ย่อมมีความมุ่งหมายอย่างอื่น
ตนก้าวออกมาบนท้องถนน และมุ่งตรงไปยังห้องหับหลังที่อยู่ด้านตรงข้าม จากคำบอกเล่าของฝ่ายสตรีชรา ห้องนั้นแบ่งเป็นเข้าออกได้จากทางหน้าหลัง
ดังนั้นซิเล้งยืนหยัดอยู่หน้าประตูบานใหญ่ เงี่ยหูรับฟังอยู่ครู่หนึ่งภายในมิมีสำเนียงอันใด ยามเหลียวมองไปทางบ้านเรือนตระกูลแต้ยามวิกาลอันสลัวเลือนราง คาดว่าสตรีชราคงมิอาจพบเห็น จึงโคจรลมปราณขึ้นทันที
เรือนร่างของซิเล้งพุ่งปราดด้วยความว่องไวปานสายฟ้า กระโดดข้ามประตูใหญ่ ละลิ่วลงบนพื้นที่ว่างหน้าตัวตึก
ห้องหับหลังแรกล้วนแต่ปราศจากแสงโคมไฟ ซิเล้งจึงวางใจเร้นกายเข้าไปโดยตรง จนมาถึงด้านหลังแลเห็นห้องหับหลังหนึ่งมีแสงสว่างสาดส่องออกมา
ซิเล้งสำรวจสภาพรอบบริเวณอย่างระมัดระวัง ตกลงใจว่าจะมิเข้าไปสำรวจภายในห้องเลย ทั้งนี้ก็เพราะได้แว่วสำเนียงผู้คนสนทนาดังออกมา จึงจำต้องสดับฟังเสียก่อน
ได้ยินสำเนียงของบุรุษเพศผู้หนึ่งดังขึ้นว่า
“สำหรับครั้งนี้ท่านย่อมต้องยอมรับการพ่ายแพ้แน่แล้ว”
มันหลังจากที่กล่าววาจาออกมา ก็ปราศจากสำเนียงตอบคำ จึงสร้างความพิศวงสงสัยให้กับซิเล้งมิน้อย
ชั่วครู่ให้หลังบุรุษผู้นั้นก็กล่าวอีกว่า
“บอกกล่าวตามความสัตย์ เรามิได้กังวลแม้แต่น้อย แต่รู้สึกว่าท่านกลับยืดเวลา โดยที่มิมีความหวังใดๆ ท่านไยต้องทดสอบดูเล่า”
ฝ่ายตรงข้ามยังมิได้ตอบโต้ ภายในห้องมีแต่ความเงียบสงัดปกคลุมไปทั่ว ซิเล้งรับฟังจนถึงบัดนี้พลันฉุดคิดได้ว่า กระแสเสียงของบุรุษผู้เอื้อนเอ่ย คล้ายดั่งเคยรับฟังมาก่อน แต่ในยามกระทันหัน ยากที่จะจำแนกจนรู้แจ้ง
ซิเล้งอดรนทนรอ มิกล้าถลันไปยังห้องหลังนั้นอย่างวู่วาม และอีกครู่ใหญ่ต่อมา ได้ยินบุรุษผู้นั้นหัวร่อฮาฮาขึ้นกล่าวว่า
“ท่านยอมพ่ายแพ้แล้วหรือไม่?”
ภายในห้องปรากฏโคมไฟเทียนไขประชันประกายสาดส่องจนรอบบริเวณสว่างไสว แลเห็นการตกแต่งภายในห้องที่มีเพียงหนึ่งโต๊ะหนึ่งเตียงสองเก้าอี้ หีบตำราอีกสองใบ กับเครื่องใช้ในด้านอักษรศาสตร์บางชิ้นจัดวางบนโต๊ะกลางห้อง
และบนเก้าอี้ได้นั่งไว้ด้วยสตรีนางหนึ่ง บนร่างของนาง แม้สวมอาภรณ์ที่หลวมกว้างเป็ฯแบบเก่าแก่ แต่เยาว์วัยยิ่งนัก และผมปลอมชุดหนึ่งจัดวางบนโต๊ะ
สตรีอายุเยาว์งามสะคราญนางนี้ ก็คือกี้เฮียงเค้ง! นางมีสีหน้าแสดงแววอันอิดโรย ใช้มือหนึ่งเท้าคาง อีกมือหนึ่งหยิบฉวยของเล่นชิ้นหนึ่งบนโต๊ะ หมุนไปมาอย่างไร้ความหมาย
ของเล่นชิ้นนั้น ดูจากเปลือกนอกมีความละเอียดประณีต งดงามยิ่งนัก และแสดงออกว่าเป็นเจ้าของย่อมมิใช่ชนชั้นสามัญธรรมดา
การที่นางอ่อนเพลียถึงปานนี้ ก็เพราะเหตุว่าในรอบสองเดือนที่ผ่านมา ได้ละเมิดข้อห้าม ใช้วิชาทำนายทายทักเป็นคราแรก คราครั้งกระโน้น นางหลังจากทดสอบภูมิปัญญากับแฮ่โฮ้วในบึงแจ้งอาคารกระจ่างกำลังความคิดได้เสื่อมสูญไปมากมาย
หลังจากผ่านการพักฟื้นมาเนิ่นนาน ก็แทบฟื้นฟูเป็นปรกติ เพียงแต่หวงห้ามในการพยากรณ์ที่สุด เนื่องจากหนึ่งนั้นต้องเสื่อมสูญพลังจิตไปมากมาย และสองละเมิดเจตนาของดินฟ้า
กี้เฮียงเค้งย่อมทราบดีว่า ผลสุดท้ายในครานี้เลวร้ายถึงขั้นใด แต่นางก็มิอาจไม่กระทำเช่นนี้
ที่แท้นางพอฟื้นฟูสติสัมปชัญญะแล้ว ก็พบว่าตัวเองอาศัยอยู่ในห้องหับหลังนี้ เบื้องหลังมีชายชราผู้หนึ่ง กำลังจับจ้องมองอย่างยิ้มแย้ม
คราแรกกี้เฮียงเค้งได้งงงันไป แต่แล้วก็สังเกตุพบได้จึงกล่าวว่า
“แฮ่โฮ้วคง ท่านนำข้าพเจ้ามาด้วยเจตนาประการใด?”
ฝ่ายตรงข้ามตะลึงลานไปชั่ววู่บ แล้วค่อยปลดเปลื้องเครื่องปลอมแปลง เผยให้เห็นถึงรูปลักษณะที่ใกล้วัยกลางคน ถอนหายใจออกมากล่าวว่า
“เราเชื่อมั่นว่าการแปลกปลอมครานี้ละเอียดรัดกุม มิถูกท่านสังเกตพบอย่างเด็ดขาด แต่ก็ยังไม่อาจตบตาอันปราดเปรียวของท่านได้”
“คราครั้งนี้หาใช่ท่านปลอมแปลงมิเหมาะสม หากแต่การลงมือของท่านสูงเยี่ยมยิ่งนัก เราขบคิดไปมา ทั่วใต้หล้าผู้มีความสามารถถึงปานนี้ นอกจากท่านแล้ว เกรงว่ายากจะเสาะพบบุคคลที่สาม”
แฮ่โฮ้วคงมีสีหน้าปรากฏแววอันลิงโลดกล่าวว่า
“หากเป็นวาจาจากใจจริง เราก็รู้สึกปลาบปลื้มยิ่งนัก แต่ขอบอกกับท่านว่า ในใต้หล้ายังมีบุคคลอีกผู้หนึ่งที่สูงส่งกว่าเรา นั่นก็คือซือแป๋เราอลัชชีโลกันตร์”
“ข้าพเจ้าทราบดี แต่อลัชชีโลกันตร์ย่อมมิกระทำพฤติการณ์เช่นนี้มีแต่ท่านที่ปฏิบัติ เพียงแต่มิทราบว่า ท่านมีความคิดประการใด?”
“คราครั้งกระโน้นเรารับทราบว่า ท่านมิอาจมีชีวิตยืนยาว จึงจะเสาะแสวงตัวยาวิเศษเพื่อท่าน แต่การค้นหาคราแรกประสบความล้มเหลว”
กี้เฮียงเค้งพลันกล่าวสอดว่า
“วาจาของท่าน หรือว่าได้ แสดงว่าท่านเพียงแต่พบพานข้าพเจ้าโดยบังเอิญ รู้สึกว่ามิสอดคล้องกับเหตุผลเลย”
“ทุกผู้คนอยู่ใต้หล้า อย่าได้คาดหวังจะหลอกลวงท่านสำเร็จเราไหนเลยจะกระทำเช่นนั้น เราหลังจากสืบเสาะก็ทราบว่าท่านกับกิมเม้งตี้ท่องเที่ยวไปในวงพวกนักเลงด้วยกัน กล่าวตามความสัตย์ ข่าวคราวนี้สร้างความรวดเร็วสะเทือนใจยิ่ง และคาดคิดว่าหากแม้นเราเสี่ยงภยันตรายแสวงหาเพื่อรักษาชีวิตของท่าน แต่หาได้คู่รักมาเชยชม เราไหนเลยจะยินยอมเล่า”
กี้เฮียงเค้งกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว บัดนี้ท่านคิดจะดำเนินการครอบครองเราเสียก่อนจากนั้นค่อยเสาะหาตัวยาให้ ใช่หรือไม่?”
แฮ่โฮ้วคงผงกศีรษะอย่างเคร่งขรึม กี้เฮียงเค้งหัวร่ออย่างเฉื่อยชา มิประหวั่นลนลานแม้แต่น้อย
ทั้งนี้เพราะนางในยามนี้ แม้จะอ่อนระโหยไร้เรี่ยวแรง มิมีทางขัดขืนการล่วงละเมิดจากเพศตรงข้าม แต่นางก็ซึมทราบว่า แฮ่โฮ้งคงหาใช่ชนชาวสามัญที่เข้าใจว่า การยึดครองเรือนกายของคนรัก เป็นเรื่องราวอันจำเป็นต้องรีบด่วน
และเพื่อนยืนยันในความคิดข้อนี้ นางได้กล่าวว่า
“ท่านแม้จะดำเนินอุบายอย่างพลิกแพลง วิธีการอันสูงล้ำ ใช้ควันหอมรมข้าพเจ้าจนสลบไสล ตามรูปการณ์ข้าพเจ้าได้ตกอยู่ในเงื้อมหัตถ์ของท่าน แต่ความจริงเราสองต่างทราบว่า ท่านมิมีความหวังกำชัยชนะเลย”
แฮ่โฮ้วคงก้มศีรษะลงกล่าวว่า
“มิผิด เรามิทุ่มเถียงด้วย เรารักใคร่ท่านตลอดเรือนร่าง และด้านอารมณ์กับเรือนกายมีความสัมพันธ์เท่าเทียมกัน หากแม้นท่านยืนกรานว่ามิยอมอยู่กินกัน เราก็อับจนปัญญา”
“เมื่อเป็นเช่นนี้แผนปฏิบัติการที่ดำเนินไป ไยมิใช่สูญเสียความคิดโดยเปล่าประโยชน์”
แฮ่โฮ้วคงพลันเงยหน้าขึ้นจับจ้องนาง ปรากฏแววอันประหลาดล้ำ กล่าวช้าๆ ว่า
“เราหากทราบซึ้งว่า มิได้รับความแยแสจากท่าน ยามทอดอาลัยก็สามารถกระทำเรื่องราวอันชั่วร้ายอำมหิต เรามิใช่ข่มขู่ นี่เป็นวาจาแท้จริง ในใต้หล้านอกจากท่าน คงมิมีผู้ใดเข้าจความรู้สึกของเรา”
กี้เฮียงเค้งใช้สายตาอันสงบปลอบประโลมครอบคลุมมัน ทำให้อารมณ์ของแฮ่โฮ้วคงสามารถฟื้นฟูเป็นปรกติอย่างรวดเร็ว
แต่ภายในใจของกี้เฮียงเค้ง เต็มไปด้วยความแตกตื่นตระหนกคำนึงว่า
“…คำนวณจากท่วงท่าของมัน ได้ทุ่มเทความรักต่อเราโดยสิ้นเชิง หากแม้นเรายืนกรานปฏิเสธ มันในยามพลุ่งพล่าน ย่อมต้องสังหารเราก่อน จากนั้นจะคอยทำลายแผนการของพวกซิเล้ง พร้อมกับลอบประทุษกรรม สุดท้ายค่อยครุ่นคิดหาอุบายและวิธีการอันชั่วช้าปลิดชีวิตกิมเม้งตี้…”
พอขบคิดเช่นนี้ ก็สำนึกได้ว่ามีส่วนสัมพันธ์อย่างใหญ่หลวงจึงฝืนหัวร่อกล่าวว่า
“ท่านทำให้ความคิดของข้าพเจ้าวุ่นวายอลวนขอให้ออกไป เพื่อเราได้หลับนอนและขบคิดใคร่ครวญสักคราหนึ่ง
แฮ่โฮ้วคงก็ล่าถอยไปจากห้อง กี้เฮียงเค้งก้าวเดินขึ้นไปบนเตียง เหยียดกายลงนอนอย่างอ่อนแรง รู้สึกว่าเภทภัยอุปสรรคที่เผชิญมาชั่วชีวิต มิมีคราครั้งใดที่ยากคลี่คลายเท่ากับวันนี้เลย
ความจริงตามรูปการณ์ไม่มีทางแก้ไขได้ทีเดียว ทั้งนี้ก็เพราะแฮ่โฮ้วคงมิใช่สามัญชน แม้จะคิดกล่อมเกลามัน ก็ยากที่จะกระทำได้ อย่าว่าแต่นางยังต้องการให้ปัญหานี้ตกลงกันอย่างสันติไม่กระทบกระเทือนใจต่อกัน
กี้เฮียงเค้งขบคิดจนปวดเศียรเวียนเกล้า แต่พอนอนสงบอยู่ครู่หนึ่ง ก็พบเห็นเหตุผลประการหนึ่ง กล่าวคือเทพยดาฟ้าดินในเมื่อประทานภูมิปัญญาให้กับนาง ย่อมต้องสร้างสรรค์อุปสรรคให้นางคอยคลี่คลายเพื่อระบายสติปัญญาที่มีอยู่ออกมา
เหตุผลส่วนนี้ ไม่อาจช่วยเหลือสภาพความจริง นางได้แต่ถอนหายใจยาวๆ ผุดลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิขบคิดว่า
“…เราใคร่ครวญจากทุกๆ ด้านแล้วยังไม่มีทางคลี่คลาย หนทางเพียงประการเดียวก็คือยืดเวลาต่อไปอีก โดยปฏิบัติอย่างแนบเนียน มิให้ฝ่ายตรงข้ามสังเกตพบ…”
ควรทราบว่า กี้เฮียงเค้งหาใช่ถึงกับไร้ไมตรีต่อแฮ่โฮ้วคงไม่ จึงมิอาจใช้วิธีการอันรุนแรง อันสร้างความคับแค้นใจให้กับนาง บัดนี้นางมีแต่หนทางประการเดียว ซึ่งหากสำเร็จก็ไม่ต้องมุ่งหวังอีก
กี้เฮียงเค้งเริ่มรวบรวมสติสำนึก จดจ่ออยู่กับเรื่องราวที่นางใคร่อยากทราบ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นจดจำแผ่นกระเบื้องทางด้านบนก้อนหนึ่ง ซึ่งหากนับตามลำดับก็อยู่แผ่นที่เก้า จำนวนนี้สอดคล้องกับชั่วโมงยาม “ซิง” ซึ่งอยู่ลำดับที่เก้าในสิบสองชั่วโมงยาม (หนึ่งวัน)
นางอาศัยลำดับเดือน ใช้เวลาซึ่งเป็นหลักพยากรณ์ จัดเรียงรายเป็นถาดฟ้าดิน และอาศัยวันที่ของวันนี้ประสานสร้างเป็นสี่ตัวบท จากนั้นยังแตกกระจายไปตามหลักพยากรณ์อีกมากหลาย
นางมีความชำนาญในวิชาด้านนี้ ดังนั้นการพยากรณ์ซึ่งยุ่งเหยิงสับสนยิ่งนัก พริบตาเดียวก็สำเร็จได้ และได้คำตอบออกมาว่าเป็นตัวบทที่ชี้แนะว่า ความมุ่งหวังทุกประการที่คิดปฏิบัติ คราแรกยากลำบากแต่ภายหลังล้วนเสร็จสม
เมื่อเป็นเช่นนี้ กี้เฮียงเค้งจึงขบคิดคาดคะเนข้อปลีกย่อยต่างๆ ต่อไปอีก คราครั้งนี้มิใช่เพียงแต่พยากรณ์ว่า แผนการในวันนี้ดีเลว สำเร็จหรือล้มเหลว หากแต่ยังต้องทำนายทายทักเหตุการณ์เฉพาะหน้าว่าจะเป็นประการใด
ประมาณครึ่งชั่วยาม กี้เฮียงเค้งค่อยระบายลมหายใจยาวๆ ออกมาล้มกายลงนอนเหยียดยาว บนร่างกายมีเหงื่อกาฬไหลซึมออกมา การพยากรณ์ล่วงหน้าครานี้ ได้เสื่อมสูญพลังจิตไปมากมาย และในยามกระทันหันไม่มีทางฟื้นฟูสู่สภาพเดิมได้
ชั่วครู่ให้หลัง แฮ่โฮ้วคงก็ปรากฏกายเข้ามา จับจ้องท่วงท่าอันอ่อนระโหยของนางอย่างสงสัย แต่มันต้องการรับคำตอบโดยรีบด่วน จึงละเลยมิสนใจกล่าวถามว่า
“ท่านคงคิดค้นหาคำตอบได้แล้ว ที่แท้จะมิยินยอมแต่งงานอยู่กินกับเราหรือไม่?”
กี้เฮียงเค้งปลุกปลอบสติสัมปชัญญะกล่าวว่า
“คาดว่าข้าพเจ้าไม่มีหนทางหลีกเลี่ยงแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นท่านก็ยินยอมร่วมชีวิตกับเรา?”
“ข้าพเจ้ายังมิได้รับปากเช่นนั้น ท่านสามารถให้เวลาข้าพเจ้าขบคิดอีกเล็กน้อยหรือไม่?”
แฮ่โฮ้วคงกล่าวว่า
“ความจริงหาเป็นไรไม่ แต่ท่านเป็นผู้ทรงปัญญา แม้สำนึกทราบว่ามิมีผู้คนสืบเสาะมาถึงที่นี้ ไยต้องยืดเยื้อเวลาเล่า?”
“ในใต้หล้ามักมีอุบัติการณ์พิสดารอยู่เสมอ ข้าพเจ้ามุ่งหวังให้บังเกิดปรากฏการณ์ มิแน่นักว่าจะมีผู้คนพบพาน ท่านให้เวลาข้าพเจ้าระยะหนึ่ง หากพ้นจากกำหนด ยังปราศจากบุคคลมาช่วยเหลือข้าพเจ้า ท่านคิดจะทำอย่างไร ก็เชิญตามสะดวก”
แฮ่โฮ้วคงพลันกล่าวอย่างเด็ดขาดว่า
“เราแม้มีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม แต่มิอาจรอคอยเนิ่นนานหากพ้นกำหนดเวลาอิ้ว (ประมาณสิบเจ็ดนาฬิกาถึงสิบเก้านาฬิกา) ของวันนี้ไปแล้ว ก็จะเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเราสอง!”
กี้เฮียงเค้งผงกศีรษะรับคำ จากนั้นก็หลับใหลไปจนถึงเวลาอาหารค่ำ ท้องฟ้าได้มืดสลัวลง แฮ่โฮ้วคงได้จุดแสงโคมไฟขึ้น และขนนำเอาอาหารกับสุราที่ซื้อหามา จัดตั้งอยู่บนโต๊ะกลม
ทั้งสองดื่มกินกันครู่หนึ่ง แฮ่โฮ้วคงก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าหัวร่อพลางกล่าวว่า
“บัดนี้หลงเหลือเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ก็จะเลยกำหนดเวลาอิ้วแล้ว”
กี้เฮียงเค้งอ้างว่านางทราบซึ้งเป็นอย่างดี ขณะนี้จิตใจของนางรู้สึกเขม็งตึงเครียด ตลอดเวลานางมีความเชื่อมั่นในชีวิต พยากรณ์ที่ร่ำเรียนมาเพียงแต่มิทราบว่าคราครั้งนี้จะเป็นไปตามที่ทำนายล่วงหน้าไว้หรือไม่?
แฮ่โฮ้วคงชี้มือไปยังหีบใบที่วางอยู่มุมห้องกล่าวว่า
“ภายในหีบบรรจุผ้าม่านมงคลแขวนประดับบานกับชุดวิวาห์ของบุรุษสตรีพอผ่านเวลาอิ้วไป พวกเราก็จะผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย กราบกรานต่อเทพยดาฟ้าดินเป็นสามีภรรยา”
กี้เฮียงเค้งคำนึงในใจว่า
“…วันนี้เป็นทิวามหาวินาศ หวงห้ามในการประกอบพิธีวิวาห์หรือบรรจุฝัง ท่านเสียทีเป็นชั้นปัญญาชน กลับมิทราบความนัย…”
แฮ่โฮ้วคงในยามนั้นได้ไปหยิบฉวยวัตถุสิ่งหนึ่งออกมา ซึ่งเป็นเครื่องคำนวณเวลาโดยใช้น้ำหยด ซึ่งประดิษฐ์อย่างละเอียดประณีต เครื่องบอกเวลาเช่นนี้ ทางด้านบนเป็นขวดกระจกใบหนึ่ง ด้านนอกขีดเส้นบอกเวลา น้ำในขวดได้หยดหยาดลดน้อยลงโดยมิหยุดยั้ง และสามารถรายงานเวลาที่ผ่านพ้นไปโดยมิผิดพลาด
กี้เฮียงเค้งเหลือบแลเพียงวูบเดียว ก็ทราบได้วงหลงเหลือเวลาประมาณสิบห้านาทีเท่านั้น
ในยามนี้ ซิเล้งได้สังเกตการณ์อยู่ทางเบื้องนอก ตนพบเห็นว่า กี้เฮียงเค้งอาศัยอยู่ร่วมกับแฮ่โฮ้งคง เพียงแต่ภายในห้องได้จัดสุราอาหาร มิมีบรรยากาศผิดปรกติชวนเคร่งเครียด จึงยากที่คำนวณว่าที่แท้เป็นเรื่องราวประการใด
ซิเล้งเนื่องจากเชื่อมั่นในภูมิปัญญาของกี้เฮียงเค้ง และล่วงรู้ว่าแฮ่โฮ้วคงมีความรักต่อนาง ย่อมมิมีความคิดประทุษร้ายกี้เฮียงเค้ง ดังนั้นตนหากปรากฏกายออกไป อาจจะทำลายแผนการของนางก็ได้
คราครั้งนี้ ซิเล้งไหนเลยจะทราบว่ากี้เฮียงเค้งต้องการให้บุคคลที่สามปรากฏตัวขึ้น ดังนั้นจึงอดรนทนรอต่อไป!
กาลเวลาได้ล่วงเลยไปโดยมิชะลอรั้งยั้ง แฮ่โฮ้วคงจับจ้องเครื่องบ่งบอกเวลาด้วยความพึงพอใจ รอยยิ้มที่มุมปากยิ่งนานยิ่งเผยอกว้างขึ้น
กี้เฮียงเค้งพลันมีประกายเจิดจ้า กล่าวว่า
“บัดนี้ท่านกำชัยถึงเก้าส่วนแล้ว ยังคงแขวนม่านมงคงขึ้นจุดเทียนไขสีแดง แล้วขนย้ายอาภรณ์ชุดวิวาห์ออกมาเถอะ”
แฮ่โฮ้วคงมีสีหน้าปีติลิงโลด เปิดหีบหยิบเอาแพรแดงที่จารึกอักษรซังฮี่ (มงคลคู่) ออกมา แขวนอยู่บนผนังห้องด้านหน้า จากนั้นก็นำเทียนไขสีแดงปักอยู่บนแท่นเทียนไขธาตุเงิน ขณะจุดไฟให้ลุกไหม้ก็กล่าวว่า
“ถึงเวลาแล้วหรือไม่?”
กี้เฮียงเค้งกล่าวว่า
“ยังมีเวลาอีกเล็กน้อย”
วาจาของนางสงบราบเรียบเป็นพิเศษ แฮ่โฮ้วสำนึกว่าผิดท่าไป จึงรีบหันขวับมา ประกายสายตายามเหลือบแล ภายในห้องคงได้เพิ่มพูนบุคคลอีกผู้หนึ่ง
แฮ่โฮ้วคงอดใจสะท้านหวั่นไหวมิได้ หนึ่งนั้นเนื่องจากในยามนี้กลับมีผู้คนปรากฏกายขึ้น และสองฝ่ายตรงข้ามล่วงล้ำเข้ามาอย่างปราศจากสำเนียงโดยมันมิทันรู้สึกตัว แสดงว่าย่อมต้องมีพลังฝีมือสูงล้ำ
ประกายตาพอเขม้นมอง แฮ่โฮ้วคงพลันกล่าวอย่างเย็นชาว่า
“ซิเล้ง เป็นท่าน”
ซิเล้งประสานมือคารวะต่อมันกล่าวว่า
“นับเป็นวาสนา ที่เราสองมีโอกาสพบพานกันอีก”
แฮ่โฮ้วคงคาดคิดมิถึงว่า ซิเล้งจะมาขัดขวางในช่วงเวลาเช่นนี้ ตลอดเวลามันประกอบพฤติการณ์ตามแต่อารมณ์ปรารถนา ดังนั้นความรู้สึกพอพลุ่งพล่านก็มีเพลิงอำมหิตลุกฮือโหม หากทว่ามันเป็นบุคคลที่ลึกซึ้ง จึงมิกระทำการอย่างเลินเล่อวู่วาม
ซิเล้งเบือนหน้ามาทางกี้เฮียงเค้งกล่าวว่า
“เค้งเจ้เจ๊ ท่านคงปลอดภัยกระมัง”
กี้เฮียงเค้งผงกศีรษะ แฮ่โฮ้วคงพอได้ยินคำเรียกหาเช่นนั้น ความคิดยิ่งดาลเดือดจนแทบสูญสิ้นสติสำนึก เขม้นมองซิเล้งกล่าวว่า
“เท่าที่เรารับทราบมา ฉี้อิงโกวเนี้ยอยู่ร่วมกับท่านโดยมิห่างเหิน ไฉนมิได้พบเห็นนางเล่า?”
ซิเล้งพอได้ยินคำว่าฉี้อิง ก็สะกิดถูกความในใจ ทำให้สติสัมปชัญญะเลอะเลือนอลวนไป แม้กระทั่งวาจาในตอนท้ายของแฮ่โฮ้วคง ก็มิได้รับฟังยืนเซื่องซึมไม่เคลื่อนไหว
แฮ่โฮ้วคงไหนเลยจะรู้ซึ้งถึงชะตากรรมของซิเล้ง จึงหัวร่อแค่นๆ กล่าวว่า
“ซิเฮียหลังจากแยกทางกันแล้ว ถึงกับมีเกียรติภูมิกระเดื่องดัง คาดว่าในด้านพลังการฝึกปรือคงมีการรุดหน้าขึ้น ในวันนี้เราจะขอรับคำแนะนำสักคราหนึ่ง!”
วาจาเพิ่งจบลง ก็สะบัดชายเสื้อจู่โจมเข้าใส่ทันที
สำหรับครั้งนี้ มันได้ผนึกกำลังภายในขึ้นอย่างเข้มแข็ง สำเนียงฝ่าอากาศเกรี้ยวกราดรุนแรง แต่ก็หาใช่ใช้ไม้ตายอำมหิตตั้งแต่เริ่มต้นไป เพียงแต่มีเจตนาทดสอบเท่านั้น
คาดมิถึงว่า ซิเล้งกลับยืนแน่วนิ่งมิเคลื่อนไหว ไม่หลบเลี่ยงแต่อย่างไร กระแสพลังอันหนักหน่วงจึงโหมทะลักใส่ ฝ่ามือที่อยู่ในชายเสื้อของแฮ่โฮ้วคงได้ประทับถูกทรวงอกของซิเล้งอย่างถนัดถนี่!
เรือนร่างของซิเล้งส่ายโงนเงนไปมา และแล้วก็เซตึงตึงตึงถอยกายไปสามก้าวใหญ่
แฮ่โฮ้วคงพลันเดือดดาลอย่างสุดระงับ กล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า
“ซิเฮีย แม้เหยียดหยามมิแลเห็นเราอยู่ในสายตาถึงกับยอมรับการจู่โสมอย่างหักโหม แต่เราก็ต้องบีบบังคับให้ท่านลงมือ แล้วค่อยยินยอมเลิกรา”
พร้อมกับสำเนียงตวาดว่า ฝ่ามือขวาได้เกร็งกำลังจนเปี่ยมล้นเตรียมพร้อมที่จะกระแทกออก ฝ่ามือซ้ายกุมไปที่หว่างเอว สามารถหยิบฉวยแส้หัวงูอาบยาพิษออกมาทุกโอกาส
กี้เฮียงเค้งกล่าวอย่างเร่งร้อนว่า
“พวกท่านหยุดมือ”
แฮ่โฮ้วคงกล่าวอย่างเย็นชาว่า
“วาจาของโกวเนี้ยขออภัยที่เรามิอาจปฏิบัติตาม”
แต่มันเมื่อเอื้อนเอ่ยวาจา ก็ทำให้สภาวะฝ่ามือขวาที่กำลังจะทุ่มเทออกต้องชะลอชักช้าไป
ทันใดนั้น ซิเล้งพลันอ้าปากกระอักโลหิตสดๆ ออกมาโอ๊กใหญ่ เรือนร่างส่ายโงนเงนแทบล้มฟุบลง!
แฮ่โฮ้วคงงงงันไปวูบหนึ่ง แต่แล้วก็สูดลมหายใจเข้าไปกล่าวว่า
“เรามิฉกฉวยโอกาสทำร้ายซ้ำเติม ซิเฮียสามารถผนึกพลังพักผ่อนรออีกชั่วครู่ค่อยหักหาญกัน”
ซิเล้งในที่สุดก็ยืนหยัดทรงกายมิล้มคว่ำ ระบายลมหายใจยาวๆ ออกมา นาสิกพลันสูดกลิ่นหอมจางๆ พอปรายตาเหลือบแลก็พบว่า กี้เฮียงเค้งได้กระโดดปราดมาถึงข้างกาย
ตนกล่าวอย่างสงสัยใจว่า
“ข้าพเจ้าเป็นอย่างไรไป? คล้ายดั่งได้รับบาดเจ็บ”
กี้เฮียงเค้งพิจารณาดูสีหน้าของซิเล้ง สำรวจไฉนกลับลืมเลือนเหตุการณ์ที่ตัวเองได้รับบาดเจ็บเมื่อครู่นี้ แต่ความจริงแล้ว ซิเล้งมีจิตใจแหลกสลาย แม้แต่ตัวเองถูกกระแทกทำร้าย ก็ยังหารู้สึกสำนึกไม่
ซิเล้งพลันถอนหายใจออกมา กล่าวว่า
“เค้งเจ้เจ๊ ผู้น้องท้อแท้ทอดอาลัยไร้จิตทะเยอทะยาน บัดนี้จะไปเสาะหาจูกงเม้ง เสี่ยงชีวิตเป็นครั้งสุดท้าย เกี่ยวกับความเป็นความตายยากจะหยั่งคาด เค้งเจ้เจ๊ขอให้ถนอมตัวด้วย ลาก่อน”
กล่าวจบก็ก้าวเท้าหมายจากไป กี้เฮียงเค้งรีบร้องว่า
“อาเล้งช้าก่อน ที่แท้ได้บังเกิดเรื่องราวอันใด?”
ซิเล้งสั่นศีรษะมิเอื้อนเอ่ย ยังคงเดินเหินต่อไป
กี้เฮียงเค้งร้องอีกว่า
“ท่านได้รับบาดเจ็บแล้ว ไหนเลยจะสามารถหักโหมกับจูกงเม้ง?”
ซิเล้งเบือนศีรษะกลับมา ฝืนหัวร่อกล่าวว่า
“ผู้น้องได้มีเจตนาตกตายอยู่แล้ว ย่อมสามารถพันตูกับมันจนเสียชีวิตไปโดยพร้อมเพรียงกัน”
แฮ่โฮ้วคงที่อยู่ด้านข้าง พลันผนึกลมปราณตวาดก้องว่า
“หยุดให้เราด้วย”
ซิเล้งความจริงเท้าข้างหนึ่ง ได้ก้าวพ้นจากประตูห้องไปแล้ว พอแว่วสำเนียงที่สะท้านแก้หูจนแทบแตกทำลายจึงชะงักฝีเท้าอย่างลืมตัวกล่าวว่า
“ท่านมีคำแนะนำประการใด?”
แฮ่โฮ้วคงกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า
“ท่านลืมเลือนไปว่า ตามศักดิ์ศรีจูกงเม้งเป็นซือเฮียของเรา ท่านหากคิดสังหารมัน ก็ต้องผ่านด่านเราเสียก่อน”
“อ๊ะ ท่านมิใช่ทรยศต่อสถาบันอำมหิตหรอกหรือ?”
“นั่นก็มิผิด แต่ท่านในเมื่อมาขัดขวางแผนการของเรา ไหนเลยจะอนุญาตให้ท่านมีชีวิตสืบไปได้”
ซิเล้งก็งอเข่าย่อร่างเล็กน้อยกล่าวว่า
“ท่านหากเข้าใจว่าสามารถพัวพันข้าพเจ้าไว้ได้ก็เชิญเถอะ”
แฮ่โฮ้วคงกลอกกลิ้งดวงตาตลบหนึ่ง พลันเปล่งเสียงหัวร่อดังสนั่นหวั่นไหวกล่าวว่า
“เราไหนเลยจะต้องพัวพันกับท่าน บัดนี้เราสังหารกี้เฮียงเค้งไปก่อนก็เป็นเฉกเช่นกัน”
มันพลันสะอึกปราดไปวาเศษ ยื่นมือออกตะปบคว้าชีพจรข้อมือขวาของกี้เฮียงเค้งเอาไว้ กี้เฮียงเค้งส่งเสียงกรีดร้องออกมา คล้ายดั่งได้รับความเจ็บปวดยิ่งนัก
ซิเล้งตวาดก้องว่า
“หยุดมือ”
พลางพุ่งควับกลับเข้ามาอย่างว่องไว
แฮ่โฮ้วคงคร่ากุมกี้เฮียงเค้ง หมุนคว้างอย่างรวดเร็วหนึ่งตลบ อาศัยนางเป็นโล่กำบัง ต้านทานสภาวะฝ่ามือของซิเล้งซึ่งกำลังจะทุ่มใช้ออก
ซิเล้งมิอาจจู่โจมอย่างวู่วาม ขบกรามกรอดกล่าวว่า
“ท่านหากเป็นชายชาติชาตรี ก็ปลดปล่อยเค้งเจ้เจ๊ เราสองมาเสี่ยงชีวิตพิสูจน์ความเป็นความตาย”
แฮ่โฮ้วคงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า
“ก็ได้ ในวันนี้เราสังหารท่านไปเสีย ซึ่งสามารถสร้างความคับแค้นทรมานให้กับฉี้อิงนางนั้นจนจวบชั่วชีวิต”
มันพลันผลักไสกี้เฮียงเค้งออกไปเบื้องหน้าอย่างรุนแรงตวาดว่า
“รับไว้”
เรือนร่างของกี้เฮียงเค้งได้พุ่งละลิ่วตรงเข้ามา ซิเล้งรีบยื่นแขนออกโอบรอบเอวของนางไว้ คิดจะปลดปล่อยลงบนพื้นดิน แต่ยังมิทันชักมือกลับมาที่หว่างเอว ก็มีอาการเจ็บแปลบปลาบ และตลอดเรือนกายชาด้านไร้ความรู้สึก
คราครั้งนี้กลับเป็นกี้เฮียงเค้งประคองร่างของซิเล้งมิให้ล้มลงและจัดให้นั่งบนเก้าอี้ แล้วนางค่อยระบายลมหายใจออกมา แย้มยิ้มต่อแฮ่โฮ้วคงอย่างสำนึกพระคุณ กล่าวว่า
“ขอบพระคุณท่าน”
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป