๓๒
♦ มุ่งมั่นหมายประสบผล ♦
……………

ยามค่ำมืด ทั้งสองหวนกลับที่พัก ซิเล้งเริ่มมีท่วงทีหมกมุ่นเคร่งขรึม เวลาผ่านไปอีกสี่วันเต็มๆโดยปราศจากข่าวคราวใดๆ

รุ่งเช้าวันที่ห้า ทั้งสองไปยังแก่งนางแอ่นนอกตัวเมือง พอหยิบหินฝนหมึกลงมา ฉี้อิงพลันร้องโพล่งว่า

“ท่านดู เส้นผมนั้นหายสาบสูญไปแล้ว!”

ซิเล้งบังเกิดความกระตือรือร้นขึ้นมา กล่าวว่า

“รีบดูว่าลี้ซานึ้งทิ้งวาจาใดให้”

พอเปิดออก แผ่นกระดาษในหินฝนหมึกยังเป็นเฉกเช่นเดิม หากแม้นซิเล้งมิลงมือเสียก่อน ย่อมมิทราบว่ามีผู้คนเปิดหินฝนหมึกแล้ว

ซิเล้งมีสีหน้าเคร่งเครียดกล่าวว่า

“ลี้ซานึ้งย่อมต้องมีอุปสรรคบางประการ จึงไม่ติดต่อกับพวกเรา เท่าที่ข้าพเจ้ากับปึงเซียะคาดคะเน มันคงกำลังช่วงชิงเวลา แต่จุดประสงค์ของมันเป็นฉันใด ยากที่จะเข้าใจได้”

ฉี้อิงก็สำนึกได้ เหตุการณ์นับว่าผิดคาดหมาย จึงกล่าว

“ท่านตกลงใจจะให้เวลามันอีกบ้างหรือไม่?”

“เกรงว่ามิได้แล้ว เรื่องราวสำคัญใหญ่หลวง หากแม้นถูกมันก่อกวนจนเหตุกาณ์ล้มเหลว นั่นเสียดายยิ่ง ตอนนี้พวกเรามีแต่ลงมือเองแล้ว”

หยุดขบคิดครู่หนึ่ง จึงกล่าว

“บัดนี้พวกเรากลับสู่ตัวเมือง ข้าพเจ้าจะไปยังที่พำนักของพวกปึงเซียะ เพื่อหารือแผนการลงมือ ส่วนท่านรอคอยอยู่ในโรงเตี๊ยม ปฏิบัติการเคลื่อนไหวของพวกเรา อาจเป็นค่ำคืนนี้แล้ว”

จากนั้น ซิเล้งเร่งรุดเพียงลำพัง มาถึงหน้าประตูของตัวตึกหลังหนึ่ง สำรวจมองจนมั่นใจว่า ปราศจากผู้คนออกมอง จึงถลันปราดเข้าไป มาถึงห้องโถงแห่งหนึ่ง

ตนพอส่งเสียงเรียกหาคำหนึ่ง ปึงเซียะก็ปรากฏกายขึ้น นางแมงมุมขาวพลอยติดตามออกมาจากด้านหลัง

ซิเล้งกล่าวถามว่า

“ปึงเฮียหลายวันนี้ เสาะพบข่าวคราวใดหรือไม่?”

“นับว่าไม่เสียทีที่ได้รับมอบหมาย ข้าพเจ้าเสาะพบบุรุษที่ท่านเข้าใจว่าเป็นลี้ซานึ้ง รับราชการให้กับผู้ตรวจการณ์แซ่เฮียะมีนามอึ้งฮั้ว และเป็นบุคคลที่เจ้านายเชื่อถือที่สุด มาตรแม้นทุกวี่วันจะพำนักในคฤหาสน์ตระกูลเฮียะ แต่ยามค่ำคืนจะกลับที่อาศัยอีกแห่งอื่น มันคงพบว่ามีผู้คนคอยสังเกตมัน จึงสนใจเราอยู่เสมอ”

“แต่ปึงเฮียมีอายุเยาว์วัย สำรวมตนมิแสดงออกต่อภายนอก มันย่อมไม่อาจสืบทราบร่องรอยเกี่ยวกับตัวท่าน”

นางแมงมุมขาวรับฟังอย่างยิ้มแย้ม แต่แล้วพลันขมวดคิ้วเข้าหากัน กล่าวเบาๆ ว่า

“ระวัง คล้ายมีผู้คนเร้นกายเข้ามาตรวจดูสภาพพวกเรา!”

ซิเล้งสบตาปึงเซียะอย่างตื่นเต้นสงสัย ปึงเซียะกล่าวว่า

“ผู้มามีฝีมือสูงส่งยิ่งนัก ข้าพเจ้ากลับมิสำนึกแม้แต่น้อย”

นางแมงมุมขาวกล่าวว่า

“นี่เป็นการรายงานของเทพแมงมุมดำต่อเรา สัตว์ขนิดนี้ปราดเปรียวผิดสามัญ พอมีบุคคลแปลกหน้าคุกคามเข้าใกล้ ก็จะขยับเคลื่อนไหวคอยตักเตือน”

ซิเล้งกล่าวว่า

“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าจะซุกซ่อนร่องรอยก่อน”

พลันถลันปราดหมอบซุ่มอยู่หลังบังกั้น ภายในห้องโถงหลงเหลือแต่ปึงเซียะกับนางแมงมุมขาวสองคน

ชั่วครู่ให้หลัง ทั้งหมดสังเกตพบว่า มีผู้คนกระโดดข้ามกำแพงตึกมา ลอบเร้นมาทางด้านซ้ายของห้องโถง

ปึงเซียะกวาดสายตาไปนอกหน้าต่าง ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า

“สหาย เชิญเข้ามาสนทนากันเป็นอย่างไร?”

วาจาพอเอ่ยออก ปรากฏเงาร่างสายหนึ่งก้าวเท้าเข้ามาอย่างทระนง ปึงเซียะกวาดสายตามองไป แลเห็นเป็นลี้ซานึ้ง เพียงแต่มิได้สวมใส่เสื้อผ้าข้าราชการ

ลี้ซานึ้งกวาดตาสำรวจมอง พอพบเห็นนัยน์ตาสีมรกตของนางแมงมุมขาว อดงงงันวูบมิได้ จากนั้น กล่าวว่า

“ท่านมาตรแม้นผิดแผกจากสามัญชน แต่มีเสน่ห์ดึงดูดใจอีกแบบหนึ่ง งามสะคราญยิ่งนัก”

นางแมงมุมขาวเข้าใจว่าฝ่ายตรงข้ามเกรงกลัวนาง คาดคิดมิถึงจะได้รับฟังวาจาชมเชย จึงมีความรู้สึกต่อฝ่ายตรงข้ามดีขึ้นบ้าง

ได้ยินปึงเซียะกล่าวว่า

“สหายเชิญตามสะดวก ข้าพเจ้าปึงเซียะ โกวเนี้ยนางนี้เรียกว่านางแมงมุมขาว เพียงแต่มิทราบนามสูงส่งของท่าน?”

ลี้ซานึ้งประสานมือคารวะต่อนางแมงมุมขาวแล้วจึงกล่าว

“ปึงเฮียมิใช่สืบทราบจนกระจ่างชัดแล้วหรือ?”

“มิผิด แต่นามอึ้งฮั้วมิใช่ชื่อแซ่แท้จริงของท่าน!”

ลี้ซานึ้งมีใบหน้าแปรเปลี่ยนไป พลันถลันปราดเข้าหาปึงเซียะ จู่โจมใส่หนึ่งกระบี่ด้วยความว่องไวราวสายฟ้า

กระบี่นี้ฉับไวชั่วร้ายอย่างยิ่งยวด ปึงเซียะยามนี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ มิทันลงมือปิดป้อง และก็ไม่อาจกระโดดหลบหลีก ในยามฉุกละหุก ได้แต่หงายร่างไปด้านหลังอย่างสุดกำลัง

พนักเก้าอี้ส่งเสียงดังกร๊อบ แล้วหักสะบั้น ปึงเซียะหงายร่างไปด้านหลัง นับว่าหลบหลีกจากกระบี่ที่จู่โจมได้อย่างหวุดหวิด

ลี้ซานึ้งคาดคิดมิถึงว่า ฝ่ายตรงข้ามจะมีฝีมือสูงส่งปานนี้ต้องสะท้านใจอย่างรุนแรง แลเห็นเงาร่างสายหนึ่งถลันปราดเข้าหาอย่างเร่งร้อน พอเหลือบมองจึงทราบว่าเป็นสตรีตามรกตนางนั้น

เรือนร่างของนางมิทันพุ่งถึง พลันการกดดันจากฝ่ามือก็ทะลักใส่ ทั้งเข้มแข็งทั้งโหดร้าย ลี้ซานึ้งต้องร่ายรำกระบี่เข้าปัดป้อง เพลงกระบี่ของมันได้รับการถ่ายทอดโดยเฉพาะ จึงผิดแผกจากสามัญธรรมดา

นางแมงมุมขาวได้แต่แปรเปลี่ยนท่าร่าง หาช่องว่างคอยทำร้ายด้วยฝ่ามือ บัดเดี๋ยวช่วงชิงกระบี่ บัดเดี๋ยวจู่โจมศัตรู ท่าร่างพลิกแพลงตลอดเวลา พอหักโหมกันเจ็ดแปดกระบวนท่า ลี้ซานึ้งก็ถูกรุกไล่จนถอยกรูดๆ เป็นพัลวัน

ปึงเซียะยลชมอยู่ด้านข้างโดยมิร่วมด้วย นางแมงมุมขาวชั่วชีวิตกระทำเรื่องราวตามอารมณ์ เพราะฝ่ายตรงข้ามชมเชยนาง จึงมิมีจิตมุ่งร้าย ในยามนี้พลันถอยปราดจากมากล่าวว่า

“มิต้องต่อยตีแล้ว”

ลี้ซานึ้งหอบหายใจเล็กน้อย พลันหัวร่อดังกังวานกล่าวว่า

“ท่านทั้งสองล้วนเป็นยอดคนแห่งบู๊ลิ้ม หรือมีจิตคิดจัดการข้าพเจ้าด้วย?”

ปึงเซียะรอคอยซิเล้งปรากฏตนขึ้น แต่เห็นมิมีท่าทีแต่อย่างไร ขบคิดอย่างว่องไวแล้วกล่าว

“ข้าพเจ้ามิมีเจตนาเช่นนั้น บอกกล่าวตามความสัตย์ พวกเราล้วนเป็นสหายสนิทของซิเล้งกับฉี้อิง”

ลี้ซานึ้งตะลึงลานไป ปึงเซียะอธิบายเพิ่มเติมว่า

“ซิเฮียหลายวันก่อนได้มาถึงนานกิง และเคยพบพานท่าน แต่ท่านมิได้ติดต่อกับมัน จึงรู้สึกสงสัยใจ และมาไหว้วานข้าพเจ้าให้ไปสืบเสาะสักคราหนึ่ง แต่เมื่อครู่นี้ลี้เฮียแสดงฝีมือออกมา ย่อมยืนยันว่าท่านเป็นลี้ซานึ้งแล้ว”

ลี้ซานึ้งครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะกล่าวว่า

“ที่แท้เป็นเช่นนี้ สำหรับผู้น้องยามนี้ต้องเร่งรุดไปตามกำหนดนัดสำคัญประการหนึ่ง ประมาณยามเย็นสามารถส่งข่าวรายงานต่อซิเสียวเฮียบแล้ว”

กล่าวจบเอ่ยคำลา ปึงเซียะก็น้อมส่งด้วยมารยาทอันดี ลี้ซานึ้งเป็นคนลึกซึ้งปานใด ย่อมมิเชื่อถือปึงเซียะโดยสิ้นเชิง แต่จวบจนบัดนี้รู้สึกฝ่ายตรงข้ามหามีเจตนาประสงค์ร้ายไม่ จึงบังเกิดความลังเลใจขึ้นมา

ลี้ซานึ้งขณะเดินเหินตามรายทาง จิตใจที่หมกมุ่น พลันรู้สึกว่าถูกผู้คนสะกดรอยติดตาม ต้องสร้างความตื่นตระหนกให้กับมันอย่างใหญ่หลวง

มันรีบเดินเข้าสู่กลุ่มคนที่แออัด หมายสลัดหลุดจากการถูกติดตาม

ลี้ซานึ้งเคยใช้ชีวิตอันแหลกเหลวอยู่ในวงนักเลงมาระยะหนึ่ง ความสามารถในด้านนี้ จึงสูงส่งยิ่งนัก หลังจากเดินอ้อมอยู่หลายรอบ ก็ใช้วิธีเรไรทองลอกคราบ ถลันหลบมาทางประตูหลังของร้านรวงแห่งหนึ่งแล้วจึงวกมาด้านหน้า คอยสังเกตผู้ติดตาม

มันพบเห็นผู้สะกดรอยมา มีท่วงท่าที่ตื่นตะลึงลานแต่ลี้ซานึ้งครานี้ได้รับความตระหนกมิน้อย ที่แท้ผู้ติดตามมันกลับเป็นซิเล้ง

มันอดมิได้ต้องปรากฏกายออกไปทักทาย ซิเล้งพอพบเห็นถึงกับร้องโพล่งว่า

“ท่านกลับปราดเปรียวยิ่งนัก…”

ลี้ซานึ้งเหลียวมองรอบกายตลบหนึ่งแล้วกล่าว

“ที่นี่มิใช่สถานที่สนทนา”

พลางชักนำซิเล้งเข้าไปในร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่ง เรียกหาสุราอาหารมาจำนวนน้อยเป็นการกลบเกลื่อน

ซิเล้งถามไถ่ว่า

“ท่านไฉนไม่ไปเสาะหาข้าพเจ้า?”

ลี้ซานึ้งถอนหายใจยาว ก้มสายตาลงจับจ้องน้ำใสที่บรรจุอยู่ในถ้วยสุรา กลับคล้ายดั่งเป็นดวงตาคู่ที่หยาดเยิ้มของแป๊ะเอ็ง

พอคำนึงถึงแป๊ะเอ็ง มันก็บังเกิดความประหวั่นพรั่นพรึงอย่างสุดระงับ ทราบดีว่าชะตากรรมอันเลวร้ายน่าพรั่นพรึงที่กำลังเผชิญอยู่ ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้

ยามนั้น มันหวนนึกถึงประสบการณ์ตั้งแต่รู้จักกับแป๊ะเอ็งจวบจนบัดนี้ คราก่อนมันได้รับมอบหมายไปที่ตัวเมืองตงเม้ง เนื่องจากรับทราบมาว่า แป๊ะเอ็งเป็นสตรีร่านราคะ มันหลังจากใคร่ครวญอย่างรอบคอบ ค่ำคืนหนึ่งได้เร้นกายเข้าสู่คฤหาสน์ตระกูลแป๊ะ

มันสืบทราบห้องหอที่แป๊ะเอ็งพักอาศัยอยู่ก่อน ดังนั้นจึงมิผิดพลาด สามารถพบพานแป๊ะเอ็งใต้โคมไฟ

ในความเข้าใจของมัน แป๊ะเอ็งย่อมมิอาจนับเป็นสตรีที่สามารถสร้างความลุ่มหลงให้กับบุรุษเพศ แต่คราแรกที่เผชิญพบกลับผิดคาดหมาย คืนนั้นลี้ซานึ้งใช้ผ้าคลุมหน้า เสแสร้งเป็นโจรลักขโมย แป๊ะเอ็งยามลุกขึ้นจากเตียงนอน ถึงกับเปล่าเปลือยมิสวมใส่อาภรณ์

ลี้ซานึ้งปล่อยให้เหตุการณ์เลยตามเลย แสร้งเป็นมิอาจทนทานรับการเย้ายวนจากเรือนกายของนาง จากนั้นดำเนินการย่ำยี ผ่านราตรีสวาทเป็นครั้งแรก

หลังจากนั้นทุกระยะเวลาหนึ่ง มันจะรุดไปเสาะหาแป๊ะเอ็งคราหนึ่ง มันนับว่าลุ่มหลงคลั่งไคล้ต่อนงคราญนางนี้อย่างจริงใจ บังเกิดความคิดที่จะอยู่ร่วมฉันสามีภรรยา

แต่ลี้ซานึ้งยังจดจำคำไหว้วานของซิเล้งได้ ซึมทราบว่านี่เป็นความหวังเพียงใยเดียว ในการช่วยให้ซิเล้งสามารถล้างแค้นพิฆาตศัตรู จึงพยายามหักห้ามตัวเอง ไม่อ้างอิงว่าจะขออยู่กินกับนาง

มินานต่อมา จูกงเม้งก็มาถึงเมืองตงเม้งอย่างลอบเร้นนำพาแป๊ะเอ็งจากไป ลี้ซานึ้งสนใจเรื่อนี้อยู่เช้าค่ำ พอเห็นว่าแป๊ะเอ็งตกอยู่ในอ้อมอกบุคคลอื่น ความคับแค้นภายในใจย่อมสุดบรรยาย

มันติดตามแป๊ะเอ็ง จนมาถึงนานกิง พบว่าแป๊ะเอ็งกลับเป็นสนมรักของขุนนางแซ่โอ้ว ดังนั้นโอ้วเท้งนี้ ก็คือตัวปลอมของจูกงเม้ง อย่างมิต้องสงสัย

และหากแม้นมิมีเบาะแสจากทางแป๊ะเอ็ง ซึ่งนางลอบถ่ายทอดให้ มันก็มิอาจเสาะพบได้ตลอดกาลทีเดียว

พอมาถึงเมืองนานกิง ลี้ซานึ้งมิมีหนทางใกล้ชิดกับแป๊ะเอ็งเลย มันทราบดีว่า จูกงเม้งเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่ง หากแม้นล่วงล้ำเข้าไปในยามวิกาลย่อมต้องถูกพบเห็นและสังหารไป

ขณะไร้แผนการ วันนี้พอดีพบเห็นขุนนางแซ่เฮียะไปเยี่ยมเยือนโอ้วเท้งนี้ ลี้ซานึ้งทราบดีว่าขุนนางแซ่เฮียะเป็นสหายสนิทของบิดามัน จึงฉุกคิดด้วยภูมิปัญญา เข้าไปขอความคุ้มครองจากขุนนางแซ่เฮียะ แสร้งอ้างว่าตัวเองเคยประกอบคดีขึ้นในวงนักเลงหลายครั้งครา บัดนี้คิดกลับใจปฏิบัติตัวใหม่ จึงขอเปลี่ยนชื่อแซ่

นับแต่นันมันทำงานเป็นผู้รับใช้ของผู้แซ่เฮียะ เนื่องจากโอ้วเท้งมีความสัมพันธ์กับขุนนางใหญ่งุ่ยตงเฮี้ยงอย่างลึกซึ้ง ขุนนางแซ่เฮียะจึงต้องพยายามคบค้าด้วย หลังจากติดต่อกันระยะหนึ่ง ลี้ซานึ้งก็สามารถเสาะหาโอกาสพบพานแป๊ะเอ็ง

แป๊ะเอ็งยืนยันว่า โอ้วเท้งผู้นี้ก็คือจูกงเม้ง จากนั้นยังแพร่งพรายว่า จูกงเม้งมีความคิดสุดชั่วร้าย พอถึงเมืองนานกิง ก็ให้แป๊ะเอ็งรับประทานยาพิษชนิดหนึ่งเข้าไป

ดังนั้นทุกระยะเจ็ดวัน นางต้องกลืนกินยาขจัดพิษ มาตรมิเช่นนั้นก็จะเผชิญกับความทุกข์ทรมานเคี่ยวเข็ญนานับประการ จนตกตายไป

แป๊ะเอ็งเคยมีความคิดหลบหนีไปกับลี้ซานึ้ง แต่บัดนี้สถานณ์ได้เปลี่ยนแปลง กลับคอยกำชับลี้ซานึ้งมิให้เสี่ยงภยันตรายมาเสาะหานาง หาไม่แล้วหากเลิ่นเล่อถูกพบเห็น ทั้งสองจะถูกจูกงเม้งสังหารเป็นแม่นมั่น

สิ่งที่ลี้ซานึ้งประหวั่นพรั่นพรึงคือ ซิเล้งและพวกวันใดหากปลิดศีรษะจูกงเม้งลงได้ แป๊ะเอ็งก็ต้องพลอยตกตายตามด้วย

ดังนั้นลี้ซานึ้งมีแต่ใช้วิธีผ่อนผัน แสร้งเป็นแจ้งข่าวว่า ยังมิพบพานร่องจูกงเม้งมันเองก็รู้ซึ้งว่านี่หาใช่วิธีแก้ไข สักวันหนึ่งย่อมต้องเผชิญกับสภาพที่แท้จริง

ดังนั้นลี้ซานึ้งมีแต่ใช้วิธีผ่อนผัน แสร้งเป็นแจ้งข่าวว่า ยังมิพบพานจูกงเม้ง มันเองก็รู้ซึ้งว่านี่หาใช่วิธีแก้ไข สักวันหนึ่งย่อมต้องเผชิญกับสภาพที่แท้จริง

ซิเล้งก็พบเห็นท่วงท่าครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียดของลี้ซานึ้ง จึงกล่าวอย่างจริงจังว่า

“ท่านคล้ายมีความคับแค้นใด ไฉนมิบ่งบอกมาหารือกัน?”

ลี้ซานึ้งรีบสั่นศีรษะกล่าวว่า

“ผู้น้องเพียงรู้สึกว่า จูกงเม้งถึงกับแปรเปลี่ยนเป็นข้าราชการแผ่นดิน มีตำแหน่งมิต่ำทราม พวกเราหากลงมือต่อมัน ก็จะกลับกลายเป็นนักโทษแผ่นดิน ถูกบ้านเมืองประกาศจับกุม”

ซิเล้งทราบว่า มันแสร้งหาเหตุผลมาบอกปัด แต่วาจานี้ก็มิใช่ไร้เหตุผล จึงกล่าว

“พวกเราจะไม่ลงมืออย่างวู่วาม ย่อมต้องวางแผนอย่างรบคอบ ตอนนี้ข้าพเจ้าคิดทราบความเป็นอยู่ของจูกงเม้ง ท่านสืบทราบแล้วหรือไม่?”

ลี้ซานึ้งย่อมรู้แจ้งเป็นอย่างดี จึงกล่าวออกโดยละเอียด ทั้งสองสนทนากันครู่หนึ่ง ซิเล้งพลันกล่าวว่า

“พวกเราจะหวนกลับโรงเตี๊ยมข้าพเจ้าคิดหารือกับฉี้อิงเล็กน้อย”

ความจริงตนหามีเจตนาเช่นนั้นไม่ หากแต่ต้องการคลี่คลายปัญหาเกี่ยวับความสัมพันธ์ระหว่างลี้ซานึ้งกับฉี้อิง ซึ่งคั่งค้างอยู่ในจิตใจตนนานแล้ว

ลี้ซานึ้งคิดบอกปัด แต่ซิเล้งมิอนุญาตให้มันจากไป ทั้งสองหวนกลับมาถึงโรงเตี้ยม ซิเล้งปล่อยให้ลี้ซานึ้งรอคอยอยู่ในห้องพักของตน ส่วนตัวเองไปที่ห้องข้างเคียงเรียกหาฉี้อิง

ลี้ซานึ้งจิตใจเขม็งตึงเครียด พลันแลเห็นซิเล้งก้าวเข้ามาภายในห้องกล่าวว่า

“ประหลาดแท้ นางกลับมิได้พักอยู่ มิทราบไปที่ใดแล้ว?”

กระแสเสียงเต็มไปด้วยความหวั่นไหวกังวล ยามนี้ผู้รับใช้โรงเตี้ยมมาที่หน้าประตูห้อง ร้องดังๆ ว่า

“เมื่อครู่มีผู้คนส่งจดหมายมาฉบับหนึ่ง โกวเนี้ยพออ่านดูแล้วก็จากไปอย่างเร่งร้อน ซิเซียงกงมิพบเห็นนางหรือ?”

ซิเล้งสะท้านใจอย่างรุนแรง ลี้ซานึ้งพลันร้องโพล่งอย่างฉุดคิดขึ้น

“ผู้น้องกลับลืมเลือนเรื่องนี้ไป จดหมายฉบับนั้นผู้น้องได้มอบหมายบุคคลอื่นนำส่งมา”

มันโบกมือให้ผู้รับใช้จากไปกล่าวว่า

“ผู้น้องก่อนไปสืบเสาะดูพวกปึงเซียะ เคยระแวงว่าพวกมันเป็นบุคคลของจูกงเม้ง จึงเขียนจดหมายขึ้นก่อน มอบหมายให้คนเฝ้าโรงเตี๊ยมแห่งนี้ว่า หากพ้นกำหนดนัดหมาย ข้าพเจ้ามิมาสมทบก็ให้ส่งจดหมายต่อพวกท่าน”

ซิเล้งอุทานดังอ้อเป็นเชิงเข้าใจ การที่ลี้ซานึ้งไม่นัดหมายให้ตนเร่งรุดไป เพราะมิคิดพบหน้ากับตน ดังนั้นจึงตกลงกับบริวารของมัน หากแม้นพวกปึงเซียะมิใช่ผู้สังกัดจูกงเม้ง มันย่อมเร่งรุดกลับมา ทวงจดหมายของความช่วยเหลือคืนไป เมื่อเป็นเช่นนี้มันยังไม่ต้องพบหน้ากับตน

ลี้ซานึ้งกล่าวสรุปว่า

“ในจดหมายเพียงอ้างถึงสถานที่และบ่งบอกว่าข้าพเจ้าจะไปสืบเสาะ ฉี้โกวเนี้ยยามนี้คงเร่งรุดไปสมทบกับพวกปึงเซียะแล้ว”

ซิเล้งจึงระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกกล่าวว่า

“ถ้าเช่นนั้นเราสองไปสมทบกับพวกมันทางด้านนั้นเถอะ”

ลี้ซานึ้งมิอาจบอกปัด ได้แต่ร่วมทางกับซิเล้ง ทั้งสองออกจากโรงเตี้ยม เดินเหินได้ระยะทางหนึ่ง รถม้าคันหนึ่งก็ควบตะบึงมาทางเบื้องหลัง เฉียดผ่านพวกซิเล้ง มุ่งตรงไปทางทิศใต้อย่างรวดเร็ว

พวกซิเล้งความจริงสมควรวกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แต่ซิเล้งกลับงงงันไปวูบหนึ่งกล่าวว่า

“พวกเรารีบตาม…”

พลางหันกายพุ่งติดตามรถม้าไป

รถม้าคันนั้นขณะอยู่บนถนนหลวง ย่อมมิอาจควบขับเร็วเกินไป แต่ก็มิเชื่องช้านัก ชั่วพริบตาซิเล้งลี้ซานึ้งก็ไล่ล่ามาถึง

ผู้คนตามท้องถนนหลวงล้วนเหลือบมองมายังพวกตน จึงได้แต่ติดตามรถม้าคันนั้นห่างๆ จวบจนออกนอกตัวเมือง ค่อยทุ่มเทฝีเท้าโลดแล่นถึงข้างรถ

ลี้ซานึ้ง รีบสะอึกปราดไปที่หน้ารถหมายสยบสารถี คาดมิถึงเรือนร่างเพิ่มบรรลุถึง ชายฉกรรจ์ผู้ทำหน้าที่ขับรถก็ส่งแส้ม้าให้กล่าวว่า

“เชิญท่านกระทำเถอะ”

คราครั้งนี้นอกเหนือความคาดหมายของลี้ซานึ้งอย่างยิ่งยวด จึงกล่าวเสียงทุ้มหนัก

“หยุดรถที่ใต้ต้นไม้”

รถม้าหยุดชะงักอยู่ใต้ร่มไม้ข้างทางหลวง ซิเล้งมีสายตาเจิดจ้าปานสายฟ้า เขม้นมองตัวรถ ขณะขบคิดว่าจะลงมืออย่างไร แลเห็นม่านรถพลันเลิกขึ้น ปรากฏเค้าหน้าอันสวยสะคราญงามสง่า ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า

“ท่านก็ติดตามข้าพเจ้ามาจริงๆ”

เค้าหน้านี้สร้างความตื่นเต้นลิงโลดให้กันซิเล้งกล่าวว่า

“เค้งเจ้เจ๊เร่งรุดมาถึงเมืองนานกิงตั้งแต่เมื่อใด?”

ที่แท้สตรีงามเลิศล้ำผู้นี้ก็คือ กี้เฮียงเค้งเจ้าปัญญาอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน นางหัวร่อพลันกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าเพียงร้องเบาๆ ว่าช่วยชีวิตด้วย ท่านก็ติดตามมาโดยมิคำนึงถึงตัวเอง แสดงว่าเป็นนักสู้ที่ยึดมั่นธัมมะอันดีงามอย่างแท้จริง”

“อย่าได้ล้อเล้นแล้ว ท่านชักนำผู้น้องมายังที่นี้ย่อมต้องมีจุดมุ่งหมาย อ้อ ซานึ้ง รีบมาพบเค้งเจ้เจ๊”

ลี้ซานึ้งน้อมกายคารวะต่อนาง ความจริงทั้งสองเคยพบหน้ามาคราหนึ่ง นั่นเป็นยามที่ลี้ซานึ้งแสร้งปลอมแปลงเป็นซิเล้ง ขณะอยู่ในบ้านตระกูลโค้วอำพรางกิมเม้งตี้

กี้เฮียงเค้งกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าเมื่อวันวานได้มาถึงที่นี้ และก็พำนักที่โรงเตี้ยมอันลี้ เพียงแต่พวกท่านมิได้พบเห็นพวกเราเท่านั้น”

ซิเล้งถามว่า

“กิมเฮียขณะนี้อยู่ที่ใด?”

“ข้าพเจ้าให้เขาลอบติดตามอาอิง เพื่อพอเกิดเหตุสามารถช่วยเหลือกลับคาดมิถึงว่า ในที่นั้นเป็นสถานที่ซึ่งพวกปึงเซี๊ยะซุกซ่อนเร้นกายอยู่”

นางลงมาจากรถม้า และชักชวนซิเล้งลี้ซานึ้งก้าวเข้าไปในตำแหน่งอันสงบสงัด ท่ามกลางพุ่มพฤกษาแล้วจึงถามไถ่เรื่องราวที่จูกงเม้ง

ซิเล้งจึงบอกเล่าความเป็นอยู่ของจูกงเม้งให้รับทราบ ซึ่งเป็นข่าวคราวที่รับทราบจากปากคำของลี้ซานึ้ง จากนั้นก็อ้างว่ามันได้เป็นขุนนางของแผ่นดิน จึงมีอุปสรรคเกี่ยวกับการประหารคู่อาฆาตผู้นี้

กี้เฮียงเค้งยิ้มพรางกล่าวว่า

“สำหรับเรื่องนี้หาลำบากยากเย็นไม่ นับแต่โบราณกาลมา การประทุษกรรมส่วนมากมักประกอบขึ้นโดยแอบอ้างเรื่องอื่นมาประกอบ และมีหนทางมากหลาย สมมุติว่าพวกเราพอสามารถสังหารจูกงเม้งได้ มิว่ามันจะมีสภาพการตายอย่างไร ข้าพเจ้าสามารถตกแต่งจนคล้ายกับว่ามันได้รับอุบัติเหตุก็ปาน”

ซิเล้งกล่าวอย่างเลื่อมใสว่า

“เรื่องราวที่ยุ่งยากอย่างไร พอท่านลงมือก็สะดวกง่ายดายยิ่ง”

“นั่นกลับมามิแน่นัก เรื่องบางประการข้าพเจ้าก็อับจนปัญญา บางคนประกาศว่าพลังงานมนุษย์สามารถพิชิตเทพยดา แต่ตามความเห็นของข้าพเจ้าหาเป็นเช่นนั้นไม่ เจตนาของฟ้าดินคือการชี้ขาดขั้นสุดท้ายมิว่าผู้ใดก็มิอาจแข็งขืน”

ซิเล้งรู้สึกว่า ทุกถ้อยคำของพี่สาวร่วมสาบานผู้นี้ เต็มไปด้วยสติปัญญาควรค่าแก่การคบคิดแยกแยะ แม้ตนมีความร้อนรุ่มใคร่อยากทราบสาเหตุที่นางชักจูงมาถึงที่นี้ก็มิได้เอ่ยสอดคำ

กี้เฮียงเค้งกล่าวอีกว่า

อาศัยจูกงเม้งเป็นตัวอย่าง ความกลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์ของบุคคลนี้เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า กอปรกับความสำเร็จของมัน ย่อมไม่พ่ายแพ้ตลอดกาลและตักตวงเกียรติยศซึ่งชนชาวโลกประทานให้อย่างสงบ

“แต่ภายใต้ลิขิตของฟ้าดิน มันกลับมาพ่ายแพ้ต่อบุรุษเยาว์วัยที่แทบไร้ความหมายเฉกเช่นท่าน บัดนี้ต้องหาทางรักษาชีวิตและลองคิดดูคราก่อนมันขณะวางแผนการสำหรับตัวเองยามคิดเร้นกาย ไหนเลยจะล่วงรู้กลับปรากฏแป๊ะเอ็งมาทำลายแผนที่กำหนดอยู่ก่อนเล่า?”

ซิเล้งรู้สึกว่าเป็นความสัตย์จริงทุกถ้อยกระทงความและกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าขอฉวยโอกาสนี้ เรียนถามวิธีการลงมือต่อเค้งเจ้เจ๊ บัดนี้พวกเราในเมื่อสืบทราบร่องรอยของมันได้แล้ว ก็สมควรรีบเร่งลงมือ เพื่อมิให้เกิดเหตุเปลี่ยนแปลง”

“สำหรับครั้งนี้ ข้าพเจ้ากับเม้งตี้จะร่วมงานด้วย ข้าพเจ้าหลังจากใคร่ครวญอย่างรอบคอบแล้ว รู้สึกว่าเรื่องมีความสำคัญใหญ่หลวงยิ่งนัก และไม่อาจล้มเหลวอย่างเด็ดขาด”

ประกายตาที่แจ่มกระจ่างของนางเหลือบแลไปยังลี้ซานึ้งวูบหนึ่ง กล่าวว่า

“คำนวณจากขุมกำลังของพวกเราในยามนี้สมควรไม่มีทางพลาดพลั้ง แต่ความจริงยังอาจประสบความล้มเหลวอยู่หลายด้าน!”

ซิเล้งกับลี้ซานึ้งล้วนแต่สะท้านใจอย่างรุนแรง สบตากันอย่างแตกตื่นและพิศวง

กี้เฮียงเค้งกล่าวว่า

“ข้าพเจ้ามิได้แกล้งกล่าววาจาชวนให้ตระหนกพฤติการณ์คราครั้งนี้ สาเหตุสำคัญที่อาจจะพ่ายแพ้มีอยู่สองประการ หนึ่งจาก “มนุษย์” สองจาก “วัตถุ” และความจริงแล้วทุกเรื่องราวในใต้หล้าก็แทบมินอกเหนือจากสาเหตุทั้งสองนี้ ผลสำเร็จหรือพ่ายแพ้ของเหตุการณ์ใดๆ ล้วนมีส่วนสัมผัสกับมนุษย์และวัตถุ”

นางหยุดอยู่เล็กน้องก็กล่าวสืบไปว่า

“สำหรับสาเหตุจากด้านมนุษย์ หาใช้ชี้บ่งแต่ขุมกำลังของฝ่ายพวกเรา หากแต่ครอบคลุมไปถึงปัญหาของผู้ที่ร่วมงาน จะมีความรู้สึกต่อกัน และมีประสบการณ์อันกระอักกระอ่วนอีกด้วย”

วาจาเหล่านี้มีแต่ลี้ซานึ้งรับฟังเข้าใจ และเคารพนับถือนางจนสุดหัวใจ ซิเล้งรู้สึกว่าเหตุผลของนางยากเข้าใจ แต่มิได้ซักไซ้

กี้เฮียงเค้งกล่าวอีกว่า

“ทางด้านวัตถุ ประการสำคัญอยู่ที่สภาพของสถานที่ และกลไกกับดักในนิวาสถานของจูกงเม้ง ซึ่งข้อนี้อย่าได้คาดหวังว่าจะสืบทราบจากแป๊ะเอ็ง หากแม้นความลับของมันยังถูกแป๊ะเอ็งล่วงรู้ ก็มิอาจเป็นเฒ่าเจ้าเล่ห์อันดับหนึ่งแห่งยุคแล้ว”

ลี้ซานึ้งกล่าวว่า

“เมื่อเป็นเช่นนี้ บุคคลภายนอกไยมิใช่ยิ่งไม่มีหนทางสืบทราบได้”

“นี่เป็นสาเหตุที่ข้าพเจ้าไฉนต้องเร่งรุดมายังเมืองนานกิง ร่วมมือช่วยเหลืออีกกำลังหนึ่งแล้ว”

ซิเล้งยังเกิดความร้อนรุ่มกระวนกระวายขึ้นมา กล่าวอย่างคับแค้นใจว่า

“จนถึงเวลานี้ ยังมีอุปสรรคนานาประการ ข้าพเจ้ามิทราบว่าสมควรกระทำอย่างไรเลย”

กี้เฮี้ยงเค้งขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็กล่าวกับลี้ซานึ้งว่า

“เกี่ยวกับปัญหาที่ว่า ในคฤหาสน์ของจูกงเม้งแห่งนี้ ได้จัดสร้างกลไกกับดักหรือไม่! ข้าพเจ้าคิดอาศัยหนทางอย่างอื่นสืบเสาะจนรู้แจ้ง เรื่องนี้มีแต่ท่านที่สามารถช่วยเหลือข้าพเจ้า เพียงแต่ว่าท่านจะมีหนทางปลีกตัวไปสักหลายวัน ช่วยค้นหาแทนข้าพเจ้าได้หรือไม่?”

“โกวเนี้ยเชิญบงการมา ข้าพเจ้าย่อมปฏิบัติอย่างสุดความสามารถ”

กี้เฮียงเค้งกล่าวว่า

“ประเสริฐมาก ข้าพเจ้าในที่นี้มีรายนามอยู่แผ่นหนึ่ง ซึ่งจำนวนผู้คนที่กล่าวอ้างมีอยู่มิน้อย ส่วนใหญ่เป็นป้ายยี่ห้อของร้านรวงที่รับก่อสร้างบ้านเรือนของเมืองนานกิงที่มีชื่อเสียงอยู่บ้าง นอกจากนั้นยังมีช่างไม้และช่างดินปูนที่ลือนามอีกหลายคน”

ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านสืบเสาะเสียก่อนว่า คฤหาสน์ของจูกงเม้งหลังนั้น คราครั้งกระโน้นร้านค้าใดได้รับเหมาก่อสร้าง? พอสืบทราบกระจ่างแล้วก็รุดหน้าอีกก้าวหนึ่ง ติดต่อกับผู้ก่อสร้างโดยตรง

ท่านยามปฏิบัติงาน มิต้องคำนึงถึงวิธีการลงมือจะข่มขู่กรรโชก หรือล่อลวงด้วยทรัพย์สินล้วนแต่ใช้ได้และจำต้องสืบรู้ให้จงได้ว่า ภายในคฤหาสน์หลังนั้น มีการจัดสร้างกลไกกับดักเป็นประการใด”

วิธีการของนางคราครั้งนี้ แม้กระทั้งลี้ซานึ้งซึ่งเป็นนักเลงที่จัดเจนช่ำชองก็มิเคยรับฟังมาก่อน ถึงกับปากอ้าตาค้างไป

ควรทราบว่าวิธีการเช่นนี้ ในเวลานั้นมิเคยถูกผู้ใดใช้เป็นประโยชน์เลย ทั้งนี้ก็เพราะคราครั้งกระโน้นกรมแผ่นดินเกี่ยวกับการปลูกสร้างเคหา มิได้ควบคุมบังคับ ขอเพียงแต่พื้นที่ดินไม่มีเรื่องการแก่งแย่งช่วงชิง มิว่าผู้ใดหากมีเงินทอง ก็สามารถระดมพลังงานก่อสร้างบ้านเรือนขึ้น

แน่นอน ยิ่งไม่จำเป็นต้องนำแบบแปลนการก่อสร้างของอาคารบ้านเรือน ส่งไปให้ทางกรมแผ่นดินพิจารณา ดังนั้นจึงมิมีผู้คนคาดคิดว่าจะสืบเสาะแบบอย่างยามก่อสร้างคฤหาสน์จากการค้นหาทางภายนอก

และความจริง ชนชาวที่ท่องเที่ยวในวงพวกนักเลง ก็น้อยคนที่จะมีทรัพย์สินศฤงคารมากมาย จนก่อสร้างนิวาสสถานขึ้นเป็นพิเศษ โดยทั่วไปแล้วก็จัดสร้างทางใต้ดิน ผนังเลื่อนได้ หรือกำแพงสองชั้นเท่านั้นเอง

กี้เฮียงเค้งได้กล่าวอีกว่า

“สำหรับเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างใหญ่หลวง นอกจากไหว้วานท่านไปสืบเสาะแล้ว ข้าพเจ้าจะปฏิบัติการด้วยตนเอง ลอบคำนวณเนื้อที่ของตัวตึกที่มันยึดครองทั้งหลาย เพื่อจะสันนิษฐานว่า มีห้องเร้นลับสร้างเสริมขึ้นหรือไม่

บัดนี้ข้าพเจ้ากับซานึ้งจะไปโมงพร้อมเพรียง ตกลงรายละเอียดอีกบางประการ อาเล้งกลับไปที่โรงเตี๊ยมรอรับฟังข่าวคราวจากข้าพเจ้า”

ดังนั้นพฤติการณ์สังหารจูกงเม้ง ภาระส่วนใหญ่ก็ตกอยู่ที่กี้เฮียงเค้ง ความจริงนางไม่ตกลงว่าจะร่วมด้วย ประการแรกกิมเม้งตี้กับซิเล้งไม่มีทางอยู่ร่วมกันได้

ประการที่สอง นางซึมทราบดีว่า ก่อนที่ฉี้อิงยังมิได้เป็นคู่ครองของบุรุษอื่นโดยชอบธรรมแล้ว การปล่อยให้นางเผชิญหน้ากับกิมเม้งตี้นับเป็นเรื่องราวที่เปี่ยมอันตราย อย่างน้อยที่สุดก็จะขัดขวางไมตรีของกิมเม้งตี้ที่มีต่อกี้เฮียงเค้ง ซึ่งงอกเงยเพิ่มขึ้นทุกวี่วัน

แต่กี้เฮียงเค้งหลังจากใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน ก็ทราบซึ้งว่าการเคลื่อนไหวครานี้ มีความสำคัญต่อซิเล้งกับฉี้อิงมากมายนัก นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่มีแต่ได้ชัยชนะ ห้ามมิให้พลาดพลั้ง

อาศัยความกลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์ของจูกงเม้ง ซิเล้งฉี้อิงทั้งสองก็ยากที่จะจัดการแล้ว โดยเฉพาะสภาพความเป็นอยู่ของจูกงเม้งในยามนี้แตกต่างกับกาลก่อนมากมายนัก

บัดนี้มันเพียงคิดเอาชีวิตรอด ซึ่งสำหรับกับมันยามหลบหนีย่อมง่ายดายยิ่ง นอกเสียจากว่าวางแผนการอย่างรอบคอบรัดกุมล่อลวงจูกงเม้งมาสู่กับดักเอง จึงจะลงมือได้สำเร็จ

เพราะเหตุนี้ กี้เฮี้ยงเค้งจึงตกลงใจว่า เร่งรุดสู่นานกิงสลัดผลประโยชน์ส่วนตัวไปโดยสิ้นเชิง เรื่องราวจะลงเอยอย่างเป็นเภทภัยหรือวาสนา ก็แล้วแต่เจตนาของฟ้าดิน!

ในขั้นแรก นางสมควรชักจูงลี้ซานึ้งจากไป ทั้งนี้ก็เพราะซิเล้ง ฉี้อิง ลี้ซานึ้ง ทั้งสามคนหากได้ประจันหน้ากัน ก็จะก่อเกิดปัญหาขึ้นทันที

เมื่อเป็นเช่นนี้ ฉี้อิงกับซิเล้งอาจจะไม่มีทางครองคู่กัน และที่น่าหวาดหวั่นก็คือ ทั้งสองพอได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจครานี้ จะมีผลสะท้อนถึงแผนปฏิบัติการด้วย!

หลังจากนั้นกี้เฮี้ยงเค้งต้องคอยป้องกันมิให้กิมเม้งตี้ค้นพบความจริงที่ซ่อนเร้น หาไม่แล้วมันจะใช้ลี้ซานึ้งมาทำลายความสัมพันธ์ของซิเล้งกับฉี้อิง ซึ่งหากประสบผล มันย่อมรู้สึกว่ามีโอกาสได้ยึดครองฉี้อิง

ดังนั้นเอง นางจึงมอบภาระสืบสวนแบบแปลน การก่อสร้างของตัวตึกให้แก่ลี้ซานึ้ง และให้มันติดต่อประสานงานกับนางโดยตรง ขณะนี้คาดว่าคงมิมีปัญหาอันใด แต่สถานการณ์พอมีการเคลื่อนไหว ก็ยากที่จะมิให้บุคคลทั้งหมดพบพานกันแล้ว

อาศัยกี้เฮียงเค้ง ที่ฉลาดเฉลียวทรงภูมิปัญญา ก็ยังรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องราวที่ควรยุ่งยากลำบากอย่างสุดแสน

กี้เฮียงเค้ง ได้ปลอมแปลงเป็นสตรีชรานางหนึ่ง ประคองถือไม้เท้า ลาดตระเวนสืบเสาะอย่างแช่มช้าอยู่รอบนอกคฤหาสน์ของจูกงเม้ง ขั้นแรกตรวจดูอาคารข้างเคียงติดกับคฤหาสน์แซ่โอ้ว และเสาะหาอิสตรีที่พำนักอยู่ในละแวกใกล้เคียง ซึ่งนิยมสนทนาเรื่องราวของชาวพาราชักชวนกันปฏิสันถาร

ผ่านการตรวจตราเป็นเวลาสามวัน นางก็อาศัยภูมิความรู้เท่าที่ร่ำเรียนมา จนมีความเข้าใจต่ออาคารหลังที่จูกงเม้งปลูกสร้างตั้งแต่สามสิบปีก่อนได้อย่างผิวเผิน

อีกสามวันให้หลัง นางก็กุมไม้เท้าเดินวนเวียนอยู่รอบๆ เวทีขอพิรุณประจำตัวเมืองนี้ รอคอยติดต่อกับลี้ซานึ้ง

ในหกวันที่ผ่านมา ซิเล้งกับฉี้อิงได้ขนย้ายมาพำนักอยู่ร่วมกับพวกปึงเซียะก่อนแล้ว และกี้เฮียงเค้งลอบกำชับฉี้อิง ให้นางพยายามคบหากับกิมเม้งตี้ อย่าได้ทำให้มันรู้รำคาญใจ

ทั้งนี้ก็เพราะกี้เฮียงเค้งยามมาดูลาดเลาที่คฤหาสน์ของจูกงเม้ง ไม่อาจร่วมทางมากับกิมเม้งตี้ และมิสามารถปล่อยให้มันท่องเที่ยวอย่างวุ่นวาย จนอาจถูกจูกงเม้งพบเห็นโดยบังเอิญ

เพราะเหตุนี้ นางมีแต่ให้ฉี้อิงกล่อมเกลามัน ซึ่งยามปฏิบัติการ ก็ยังอาศัยมันช่วยเหลือได้ และในเมื่อกิมเม้งตี้พำนักอยู่กับฝ่ายปึงเซียะตลอดวัน ซิเล้งหากอาศัยอยู่ด้วย มิว่าช้าเร็วย่อมบังเกิดข้อบาดหมางกัน

ดังนั้นกี้เฮียงเค้งทุกวี่วันจะสรรหาเรื่องราวให้ซิเล้งไปกระทำ แบ่งแยกบุรุษทั้งสองนี้ออกจากกัน ยังประเสริฐที่ทางด้านฉี้อิงยังมีปึงเซียะนางแมงมุมขาวร่วมด้วย หาใช้กิมเม้งตี้กับฉี้อิงพำนักกันเพียงสองคน

บัดนี้เป็นวันที่หกแล้ว ลี้ซานึ้งเร่งรุดไปตัวเมืองฮั่วจิว ก็สมควรกลับมาแล้ว ดังนั้นกี้เฮียงเค้งจึงไปรอคอยอยู่ ณ สถานที่ซึ่งนัดแนะตกลงกันก่อน

ลี้ซานึ้งเนื่องจากสืบเสาะผู้รับเหมาก่อสร้างคฤหาสน์ของจูกงเม้ง จึงเดินทางสู่ฮั่งจิว มันหลายวันก่อนได้สูญเสียความพยายาม จนสืบเสาะเบาะแสนี้ และกี้เฮียงเค้งก็มอบหมายให้มันเร่งรุดไป

ซิเล้งปลอมแปลงเป็นชายชราตามชนบทผู้หนึ่ง ซุกซ่อนกายอยู่ภายในดงไม้ จับตาดูเงาร่างของกี้เฮียงเค้งที่อยู่ห่างไกล นี่เป็นภาระที่กี้เฮียงเค้งมอบหมายให้ หนึ่งเพื่อกีดกันซิเล้งออกมา สองเพื่อความปลอมภัยของตัวนาง จำต้องมีผู้คนคอยอารักขาด้วย

ประมาณยามเที่ยง กี้เฮียงเค้งได้นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ ผู้คนที่ผ่านทางมา มิว่าผู้ใดก็ไม่สังเกตสนใจสตรีชราเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงเอนร่างกับลำต้นอย่างปลอดโปร่งใจ พริ้มตาผนึกลมปราณพักผ่อน

ทันใดนั้น นางพลันมีสัญชาตญาณสะกิดเตือน ขณะคิดจะลืมตาขึ้น คาดมิถึงว่ากลิ่นหอมอันพิศดารกลุ่มหนึ่ง ได้โชยคละคลุ้งกระทบนาสิก และถึงกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปในบัดดล!

ซิเล้งที่อยู่ห่างไกล แลเห็นได้อย่างชัดแจ้ง ปรากฏว่ามีชายชราที่ล่ำสันแข็งแรงผู้หนึ่ง ก้าวยาวๆ มาที่เบื้องหน้าของกี้เฮียงเค้ง และก้มศีรษะลงกล่าววาจากับนาง

หลังจากนั้นกี้เฮียงเค้งได้ผุดลุกขึ้น เรือนร่างอันแน่งน้อยส่ายโงนเงนเล็กน้อย ชายชราผู้นั้นก็ยื่นมือไปประคองนาง และพากันสาวเท้าไปทางถนนหลวง

ซิเล้งมิอาจเสาะพบร่องรอยผิดปรกติแต่ประการใด เข้าใจว่าชายชราผู้นั้นคงมีเรื่องราวอันใดขอความช่วยเหลือจากกี้เฮียงเค้ง และกี้เฮียงเค้งได้แต่ติดตามไป ตนจึงเฝ้ารออยู่ตำแหน่งเดิมอย่างสงบ

หาคาดไม่ว่ากี้เฮียงเค้งในยามนี้กำลังถูกภยันตรายคุกคาม ภายใต้แผนปฏิบัติงานอย่างรอบคอบปราศจากเค้ามูลใดๆ แม้กระทั่งซิเล้งยังมิรู้สึกสำนึก!

จวบจนยามพลบค่ำ กี้เฮียงเค้งยังมิได้หวนกลับมา ซิเล้งเริ่มบังเกิดความพิศวงคลางแคลงขึ้นมา มุดกายออกจากดงไม้ สาวเท้ามาเหลียวมองที่ถนนใหญ่ ยังมิพบพานร่องรอยของนาง

ซิเล้งขณะสงสัยใจอยู่ พลันเหลือบแลเห็นอาชาตัวหนึ่งควบตะบึนเข้ามาดั่งเหินบิน พริบตาเดียวก็โลดแล่นเข้าใกล้ ความเร็จจึงชะลอชักช้าลง

ผู้ขับขี่พาหนะมีฝ่าละอองมอมแมม ซิเล้งจดจำได้ว่าคือลี้ซานึ้งจึงรีบส่งเสียงออกไป

ลี้ซานึ้งกระโดดปราดลงจากหลังม้า โดยมิรอให้ซักไซ้ก็กล่าวเบาๆ ว่า

“ผู้น้อยสืบทราบได้แล้ว ภายในคฤหาสน์หลังนั้น กลับมีทางลับเข้าออกถึงสี่สาย นับเป็นข่าวคราวที่ชวนตื่นตระหนก หากแม้นมิสืบดูเสียก่อนย่อมต้องถูกจูกงเม้งหลบหนีได้…”

ซิเล้งพอรับทราบข่าวคราวนี้ ก็ใจสะท้านหวั่นไหว กล่าวว่า

“ยังประเสริฐที่เค้งเจ้เจ๊ มีภูมิปัญญาอันเลิศล้ำ หาทางสืบเสาะเรื่องราวนี้ก่อน คราครั้งนี้ได้สร้างความลำบากให้กับซานึ้งท่านแล้ว”

“เรื่องราวอันเล็กน้อยมิคู่ควรกับการอ้างอิงจากซิเสียวเฮียบข้าพเจ้าได้จากเมืองฮั่งจิว นำแบบแปลนการก่อสร้างคฤหาสน์ตั้งแต่แรกเริ่มมาด้วย ซึ่งแม้ไม่ละเอียดแต่ก็พอทราบตำแหน่งที่ตั้งของทางลับใช้สำหรับหลบหนีทั้งสี่สายนั้น”

ขณะกล่าววาจา มันก็เอื้อมมือหยิบเอาม้วนกระดาษหนาเก่าคร่ำคร่าออกมาจากถุงหนังข้างอานม้า

ซิเล้งพลันเหลียวแลไปรอบกายกล่าวว่า

“”ประหลาดแท้ เค้งเจ้เจ๊ติดตามชายชราผู้หนึ่งไปครึ่งค่อนวันยังมิเห็นนางหวนกลับมา มิทราบว่าอยู่ที่ใดกัน?

ลี้ซานึ้งกล่าวว่า

“กี้โกวเนี้ยทรงภูมิปัญญาไร้ผู้เทียมทาน ย่อมมิบังเกิดเหตุการณ์อันใด คาดว่าสถานการณ์ทางด้านนั้นมีความสำคัญยิ่ง จึงไม่อาจปลีกตัวกลับมา”

มันมีความเชื่อมั่นในตัวกี้เฮียงเค้งอย่างรุนแรง และแสดงออกจากปากคำอย่างโล่แจ้ง ซิเล้งก็พลอยถูกระบาดด้วย จึงปลอดโปร่งใจขึ้นบ้าง ผงกศีรษะกล่าวว่า

“มิผิด ถ้าเช่นนั้นพวกเรากลับไปก่อน เค้งเจ้เจ๊ย่อมคาดคำนวณที่หมายของพวกเราได้ มิต้องมาที่นี่อีก”

ซิเล้งยึดครองแบบแปลนก่อสร้างใบนั้น หวนกลับเข้าไปในเมืองลี้ซานึ้งได้ควบม้าล่วงหน้าไปก่อน ตกลงว่าจะพบพานกันตรงที่พักพวกปึงเซียะ แล้วค่อยวิเคราะห์แบบก่อสร้างที่ได้มา แต่ลี้ซานึ้งอ้างว่ามันต้องชำระกายผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า จึงจะไปสมทบ

ดังนั้นซิเล้งแม้เดินเหินอย่างเชื่องช้า แต่พอกลับมาถึงที่พำนักลี้ซานึ้งยังมิได้มาถึง

ปึงเซียะ นางแมงมุมขาว กิมเม้งตี้ กับฉี้อิง ล้วนชุมนุมอยู่ด้วยกัน แต่กี้เฮียงเค้งมิได้ร่วมด้วย ซิเล้งพลันรู้สึกไม่สบายใจ จึงบอกเล่าเหตุการณ์ในวันนี้ออกไป

สุดท้ายก็กล่าวอย่างประหลาดใจว่า

“เค้งเจ้เจ๊ไปที่ใดกัน และชายชราผู้นั้นเป็นผู้ใดเล่า?”

ฉี้อิงหัวร่อพลางกล่าวว่า

“ท่ามิต้องร้อนรุ่ม เจ้เจ๊ของข้าพเจ้าผู้นี้ มีสติปัญญาเป็นเลิศมิว่าผู้ใดอย่าได้คิดประทุษร้ายนางเลย”

ซิเล้งเงียบงันไปครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า

“แต่ข้าพเจ้ารู้สึกมิวางใจจนปลอดโปร่ง ซึ่งก็มิทราบว่าเป็นเหตุผลกลใด”

ปึงเซียะผงกศีรษะกล่าวว่า

“พวกเราไม่อาจเลินเล่อ เพียงมิทราบว่านางจะกลับไปพักผ่อนที่โรงเตี๊ยมหรือ”

พลางกวาดสายตามาทางกิมเม้งตี้เชิงถามไถ่ ฝ่ายกิมเม้งตี้ก็ยักไหล่กล่าวว่า

“เราก็มิทราบซึ้งถึงพฤติการณ์ของนาง แต่วิจารณ์การตามเหตุผล นางมิสมควรกลับไปที่โรงเตี๊ยมเลย”

ปึงเซียะผุดลุกขึ้นนำกระบี่ยาวสะพายอยู่กลางหลังกล่าวว่า

“กิมเฮีย พวกเราไปสืบเสาะกับเป็นอย่างไร?”

กิมเม้งตี้แม้มิต้องการจากฉี้อิง แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่มีหนทางปฏิเสธ อย่าว่าแต่ซิเล้งกลับมาแล้ว มันอยู่ร่วมด้วยก็มิมีความหมาย จึงออกไปพร้อมกับปึงเซียะทันที

ซิเล้งกับฉี้อิงนางแมงมุมขาวสามคน ได้คลี่กางแบบแปลนการก่อสร้างร่วมกันสำรวจดู โคมไฟกับเทียนไขล้วนถูกจุดขึ้น จนภายในห้องสว่างไสวยิ่งนัก พลันได้ยินที่ประตูใหญ่แว่วสำเนียงที่ใช้เป็นสัญญาณลับเข้าใจกันโดยเฉพาะดังขึ้น

นางแมงมุมขาวจึงพุ่งกายออกไป และกลับมาอย่างรวดเร็วส่งเสียงกล่าวว่า

“ลี้ซานึ้งมาแล้ว”

ซิเล้งกับฉี้อิงต่างก็หัวขวับมองไป ฉี้อิงนับเป็นคราแรกที่ได้พบพานลี้ซานึ้ง ท่ามกลางแสงโคมไฟที่สาดส่อง แลเห็นมันมีท่วงท่าอันคมคายเปี่ยมบุคลิกอันสูงเด่น กลับเป็นลี้ฮุ้นช้ง คู่หมั้นหมายของนางเมื่อกาลก่อน!

นางอดมิได้ต้องอุทานดังอ้อ แต่กลับยื่นมือปิดปาก อิริยาบถแสดงออกถึงความตื่นเต้นคลางแคลง และนอกเหนือความคาดหมายอย่างใหญ่หลวง

ซิเล้ง รีบเหลือบแลนางวูบหนึ่ง ในใจได้ถอนหายใจยาวๆ ออกมาคำนึงว่า

“…เป็นความจริงดังที่เราคาดคะเน ลี้ซานึ้งเป็นสามีในนามของฉี้อิงจริงๆ…”

ตนย่อมต้องบังเกิดความเจ็บปวดรวดร้าวใจสำหรับเรื่องนี้มาตรแม้นมีความระแวงสงสัยมาก่อน และปรารถนาใคร่อยากจะแสวงหาข้อเท็จจริง แต่ย่อมมิมุ่งหวังให้ความคลางแคลงของตน เป็นสภาพแท้จริงขึ้น

แต่ทว่าบัดนี้เรื่องราวได้พิสูจน์ชัดแจ้งแล้ว ในยามกระทันหันซิเล้งคล้ายดั่งสำนึกว่า ตัวเองอยู่โดดเดี่ยวเปล่าเปลี่ยว ร่อนเร่พเนจรในวงพวกนักเลงอย่างอเนจอนาถ…

ลี้ซานึ้งกลับมีสีหน้ามิเปลี่ยนแปลง น้อมกายลงคารวะกล่าวว่า

“ท่านผู้นี้ก็คือท่านผู้กล้าหาญหญิงแซ่ฉี้กระมัง ข้าพเจ้านับถือมาเนิ่นนานแล้ว”

ท่วงท่าและน้ำเสียงของมันล้วนสงบราบเรียบ เสมือนกับชั่วชีวิต มิเคยพบเห็นฉี้อิงมาก่อน

ฉี้อิงในยามนั้นงงงันไป พลันมีสีหน้าเคร่งเครียดลง

กล่าวอย่างเฉื่อยชาว่า

“มิกล้า”

นางไม่เหลือบแลมันอีก เบือนสายตามาทางซิเล้งกล่าวว่า

“ท่านสมควรรับประทานอาหารสักเล็กน้อย”

ซิเล้งสั่นศีรษะกล่าวว่า

“มิต้องวุ่นวาย ข้าพเจ้าจะไปตามท้องถนน เสาะหาอาหารประทังหิวเอง”

พลางกล่าวกับลี้ซานึ้งว่า

“ท่านเชิญนั่งตามสะดวก หนทางที่ประเสริฐขอให้วิเคราะห์ดูแบบแปลนอีกครั้งหนึ่ง และบอกเล่ารายละเอียดที่ได้สำรวจต่ออาอิงด้วย”

นางแมงมุมขาวได้เข้าไปเสาะหาน้ำชามาต้องรับ และซิเล้งก็ออกจากห้องไปซื้อหาอาหาร ดังนั้นจึงหลงเหลือแต่ฉี้อิงกับลี้ซานึ้งเพียงสองคน

ฉี้อิงหมกมุ่นสนใจกับแบบแปลนของคฤหาสน์มิแยแสสนใจลี้ซานึ้งแม้แต่น้อย นางรู้สึกว่าลี้ซานึ้งไร้มารยาทต่อนาง แสร้งแสดงเป็นมิรู้จัก จึงบังเกิดความขุ่นเคืองตอบโต้ด้วยกิริยาอันทระนงเย็นชา

ลี้ซานึ้งย่อมทราบว่า นางมีโทสะแล้ว และมิเข้าใจมันเลย ความจริงมันทราบซึ้งว่า ฉี้อิงคือคู่หมั้นหมายที่คราก่อนมันเคยมีจิตปฏิพันธ์ และการที่กล้ามาพบหน้าก็ผ่านการใคร่ครวญมาก่อน

มันรู้สึกว่าสถานการณ์ในขณะนี้ ไม่อนุญาตให้หลบเลี่ยงฉี้อิงไปตลอดกาล จึงตกลงใจว่าจะแสร้งแกล้งเป็นมิรู้จักนาง และมุ่งหวังให้ฉี้อิงเข้าใจความบากบั่นของมัน พลอยทำเป็นมิเคยพบหน้า ต่างก็ซุกซ่อนความลับปกปิดซิเล้งไปตลอดกาล

หากแม้นแผนการครานี้สำเร็จลุล่วงได้ ก็นับว่าทุกผู้คนต่างมีผลประโยชน์ และซิเล้งก็มิต้องเพราะเรื่องนี้ทำให้ไม่สบายใจ

ความจริงตั้งแต่ทราบซึ้งถึงความประพฤติของซิเล้ง มันก็ให้ความเคารพเลื่อมใส กอปรกับพอเหยียบย่างเข้าสู่วงพวกนักเลง ก็มีชีวิตอันเหลกแหลว มิคู่ควรกับฉี้อิงที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ภายหลังมันจึงมีความรู้สึกดีขึ้นมากมาย เข้าใจว่าอาศัยซิเล้งที่เป็นผู้กล้าหาญแห่งยุค จึงจะเหมาะสมกับฉี้อิง

เมื่อมินานมานี้ ก็บังเกิดเรื่องราวประหนึ่ง กล่าวคือมันได้รักใคร่ต่อแป๊ะเอ็ง คราแรกเพียงแต่หลงงมงายในเรือนกายที่ผิดแผกจากสามัญชนของนาง แต่พอเวลาต่อมาก็บังเกิดความรักอย่างจริงใจ

เนื่องจากมันพอรับทราบว่า แป๊ะเอ็งถูกจูกงเม้งประทุษร้าย ให้รับประทานยาพิษ ทุกๆ เจ็ดวันต้องกลืนกินยาขจัดพิษชนิดหนึ่ง และจูกงเม้งหากตกตายไป แป๊ะเอ็งก็มิอาจรอดชีวิตได้

ลี้ซานึ้งยามรับรู้ก็ร้อนรุ่มใจยิ่ง ถึงกับมิกล้าส่งข่าวต่อซิเล้ง แพร่งพรายถึงร่องรอยของจูกงเม้ง เพราะว่ามันไม่มีหนทางช่วยเหลือแป๊ะเอ็งมิต้องตกตายพร้อมกับจูกงเม้ง

ในเมื่อจิตใจของมันมีแป๊ะเอ็ง และยินยอมอยู่กินกับนางฉันท์สามีภรรยา เกี่ยวกับความหลังที่มีส่วนสัมพันธ์กับฉี้อิง จึงเริ่มจืดจางลงและเพราะเพื่อซิเล้ง มันรู้สึกว่าสมควรปกปิดเป็นความลับตลอดไป

ลี้ซานึ้งพลันพบเห็นว่า ฉี้อิงมิแยแสมันแม้แต่น้อย ก็อดไม่สบายใจมิได้ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า

“กี้โกวเนี้ยเร้นหายไปเนิ่นนานแล้ว พวกเราสมควรเร่งรีบสืบเสาะจูกงเม้งมีความสามารถอันยิ่งใหญ่ มิแน่นักว่าจะเป็นการก่อกวนของมัน”


 อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่