๓o
♦ ปัญญาอันเปรื่องปราด ♦
……………
กี้เฮียงเค้งผงกศีรษะกล่าวว่า
“ซือแป๋ท่านเคยพาดพิงถึงสำนักเราหรือ ใช่อลัชชีโลกันตร์หรือไม่?”
นางแมงมุมขาวรับคำ กี้เฮียงเค้งชี้มือไปทางกิมเม้งตี้กล่าวว่า
“มันเป็นสหายสนิทของข้าพเจ้า ท่านเก็บใยเทพแมงมุมดำคืนไปเถอะ”
นางแมงมุมขาวกลับปฏิบัติตามโดยมิลังเล พฤติการณ์นี้แม้แต่ฉี้อิงก็ประหลาดใจ ถามว่า
“ท่านไฉนกลับเชื่อฟังวาจาของนาง?”
นางแมงมุมขาวกล่าวว่า
“ซือแป๋เราเคยบอกว่าหากพบพานบุคคลจากบึงเร้นอาคารลับ ห้ามมิให้ประมือด้วย สมควรเตลิดหนี นางเมื่อสั่งให้เรากระทำ ย่อมต้องปฏิบัติตาม”
ฉี้อิงกล่าวว่า นี่จึงถูกต้อง
กี้เฮียงเค้งขณะสาวเท้าเข้าหาโค้วเพ้ง มันพลันขยับกายกระโดดปราดขึ้นร้องว่า
“กิมเจกเจ่ก คราแรกรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก บัดนี้กลับสบายเหลือแสน ท่านนับว่าช่วยให้ข้าพเจ้าฝึกปรือวิชาคุ้มครองกายสำเร็จ”
มันพลันพบเห็นผู้คนชุมนุมอยู่มากมาย พอเหลือบเห็นนางแมงมุมขาว ก็ส่งเสียงทักทายอย่างยินดี
บัดนี้พวกปึงเซียะค่อยทราบว่า กิมเม้งตี้หามีเจตนาทำร้ายโค้วเพ้งพร้อมกับนั้นก็คาดคิดว่า อาศัยเหตุนี้มันกลับฝึกฝนวิชาประเภทหนึ่งได้แตกฉาน จึงเข้าไปกล่าวคำลุแก่โทษ แต่กิมเม้งตี้ตอบโต้ด้วยท่วงท่าอันเย็นชาซึ่งปึงเซียะก็หาได้สนใจ
ฉี้อิงได้ลอบซักถามอาการของบุรุษชุดดำทั้งสองคนต่อนางแมงมุมขาว ซึ่งก็รับทราบว่าผู้หนึ่งแขนหักสะบั้น อีกผู้หนึ่งถูกสกัดจุด และฉี้อิงก็เข้าไปตบคล้ายจุดให้
ฝ่ายกิมเม้งตี้กลับมิแยแสสนใจสภาพแวดล้อม เดินมาถึงข้างกายโค้วเพ้ง สนทนากับมันอย่างแผ่วเบา ซึ่งในยามนั้นฉี้อิงได้แนะนำกี้เฮียงเค้งต่อปึงเซียะกับนางแมงมุมขาว
กี้เฮียงเค้งพอรับทราบเรื่องราวเกี่ยวกับนางแมงมุมขาว ก็บังเกิดความเวทนาเห็นใจ ตกลงใจว่าจะช่วยเหลือนางรอดพ้นจากมืออสูร จึงยื่นมือไปลูบคลำผมเผ้าสีขาวของนาง พินิจพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง
ปึงเซียะพลันกล่าวว่า
“รับทราบมาว่ากี้โกวเนี้ยเป็นปัญญาชนอันดับหนึ่ง เพียงมิทราบผมเผ้าของโกวเนี้ยนางนี้ มีสภาพมาแต่กำเนิดหรือไม่?”
กี้เฮียเค้งกระตุกผมสีขาวของนางแมงมุมขาวเส้นหนึ่ง ทดสอบความเหนียวแน่นแล้วจึงกล่าวกับปึงเซียะว่า
“ตามความเห็นของปึงเฮียเล่า?”
ปึงเซียะบังเกิดความเลื่อมใสขึ้นกล่าวว่า
“ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเป็นลักษณะมาแต่กำเนิด!”
นางแมงมุมขาวสะท้านทั้งร่างร้องโพล่งว่า
“อะไร ผมของเราเป็นสีขาวตั้งแต่กำเนิด ถ้าเช่นนั้นก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้ว”
ปึงเซียะก็ยอมรับว่า มิทราบชัด กี้เฮียงเค้งกล่าวสอดว่า
“โกวเนี้ยมิต้องร้อนรุ่มใจ บัดนี้ขอถามปึงเฮียว่ามีเหตุผลใดเกี่ยวกับความคิดเห็นเช่นนั้น?”
“ข้าพเจ้าเคยไปยังประเทศแถบดินแดนตะวันตกมาหลายครา ได้เห็นบุคคลที่มีผมเผ้าสีสรรต่างๆ มิน้อย นัยน์ตาก็มีสีเขียวมรกต คราม เทาและส้ม ผิวกายขาวสะอาดเป็นพิเศษ นี่เป็นชาวต่างประเทศที่มีเผ่าพันธุ์แตกต่างกัน”
ฉี้อิงอุทานดังอ้อ กล่าวว่า
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ หากแม้นม่วยม่วยของเราผู้นี้ มิใช่ชนชาวตงง้วนก็ไม่น่าประหลาดแล้ว”
ปึงเซียะกล่าวอีกว่า
“ความจริงก็มิต้องเปลี่ยนแปลงแต่อย่างไร สภาพเช่นนี้ก็น่าดูแล้วเพียงแตกต่างกับผู้อื่นจนรู้สึกกระดากกระเดื่อง หากแม้นท่านไปยังดินแดนตะวันตก หรือพาลพำนักในที่นั้นก็มิต้องกังวลใดๆ เลย”
นางแมงมุมขาวเบิ่งตาอย่างตะลึงลาน กี้เฮียงเค้งกล่าวว่า
“แต่ตามความเห็นของข้าพเจ้า ความจริงผมเผ้าของนางมิใช่เป็นสีขาว การที่แปรเปลี่ยนถึงปานนี้ ล้วนเกิดจากประสิทธิภาพของตัวยา!”
ปึงเซียะกับฉี้อิงล้วนจับจ้องนางอย่างแตกตื่นสงสัย กี้เฮียงเค้งกล่าวสืบต่อ
“อลัชชีโลกันตร์ใช้วิธีใดทำให้นางเปลี่ยนแปลงเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้ายังมิอาจบ่งบอก มิหนำซ้ำปัญหาที่ว่า โกวเนี้ยนางนี้จะเป็นชนชาวตงง้วนหรือไม่ ผมเผ้าความจริงมีสีสรรอย่างไร มีแต่คลี่คลายในภายหลัง บัดนี้ยังมีปริศนาสำคัญอยู่ประการหนึ่ง”
นางแมงมุมขาวรีบกล่าวว่า
“เจ้เจ๊บ่งบอกมา”
“อืมม์ ท่านเคยคาดคิดหรือไม่ว่า อลัชชีโลกันตร์ซือแป๋ท่านไฉนจึงทำให้ผมเผ้าเป็นสีขาว? หากแม้นท่านเป็นชาวต่างประเทศ มันเหตุใดจึงอุปการะท่าน และการนำสัตว์พิษเฉกเช่นแมงมุมดำ ซึ่งสามารถอาละวาดทำร้ายผู้เลี้ยงดูอย่างป่าเถื่อน มาให้ท่านชุบเลี้ยงนั้น ที่แท้มีเจตนารมณ์อย่างไร?”
นางแมงมุมขาวกล่าวอย่างเซื่องซึม
“เรามิเคยคิดมาก่อน”
“อลัชชีโลกันตร์ ย่อมไม่มีดวงจิตมุทิตา สำหรับข้อนี้ท่านย่อมทราบดี สาเหตุที่มันอุปการะท่านน่าเคลือบแคลงยิ่ง มาตรแม้นท่านเป็นชาวต่างประเทศ ก็คงมีครอบครัวที่อบอุ่นสุขสบาย บิดามารดาพี่น้องของท่านเพราะการที่ท่านหายสาบสูญ ก็ต้องโศกเศร้าเสียใจ”
ในดวงตามรกตของนางแมงมุมขาวมีหยดน้ำตาไหลรินออกมากี้เฮี้ยงเค้งกล่าวอีกว่า
“อลัชชีโลกันตร์สนใจวิชาแพทยศาสตร์ยิ่งนัก หาทางรวบรวมตัวยาวิเศษทุกชนิดในใต้หล้า มาใช้เป็นประโยชน์ บุคคลเฉกเช่นโกวเนี้ยเป็นเครื่องมือของมันอย่างดียิ่ง”
มันอาศัยความนึกคิดของทุกผู้คน ที่ต้องการดำรงชีวิตในวงสังคมอย่างสงบสุข ทำให้ยินยอมเสี่ยงภยันตรายตรากตรำเดินทาง เสาะหาตัวยานานาชนิด โดยอ้างว่าคิดปรุงยาช่วยให้ผมขาวกลับเป็นดำ ความจริงหามีเรื่องเช่นนั้นไม่ โกวเนี้ยลองใคร่ครวญดูจะทราบดี
นางแมงมุมขาวก้มศีรษะจมอยู่ในภวังค์ครุ่นคิด ทุกผู้คนก็มิส่งเสียงรบกวน จวบจนบัดนี้ฉี้อิงปึงเซียะค่อยทราบว่า กี้เฮียงเค้งต้องการเปิดโปงอุบายของอลัชชีโลกันตร์เตือนสตินางแมงมุมขาว
นี่เป็นสาเหตุที่อลัชชีโลกันตร์กำชับนางแมงมุมขาวยามเผชิญกับบุคคลจากบึงเร้นอาคารลับอย่าได้ประมือด้วยนั่นเอง
นางแมงมุมขาวพอรับฟังแผนอุบายของอลัชชีโลกันตร์ ก็ขบคิดเรื่องราวออกได้ ต้องบังเกิดความชิงชังคลั่งแค้นขึ้น
ปึงเซียะพลันมีจิตใจเปี่ยมธัมมะถามว่า
“กี้โกวเนี้ยพอมีหนทางใด สลายตัวยาจากอลัชชีโลกันตร์ วิเคราะห์สีสรรดั้งเดิมของผมเผ้า เพื่อให้โกวเนี้ยนางนี้รู้จักกำหนดวิถีชีวิต สมมุติว่านางหากมิใช่ชนชาวตงง้วน ก็สามารถไปพำนักในดินแดนตะวันตก”
“ข้าพเจ้าย่อมต้องกระทำอย่างสุดความสามารถ แต่ควรทราบว่าสถาบันอำมหิต ร้ายกาจยิ่ง อลัชชีโลกันตร์ขอเพียงรับทราบเรื่องนี้ ก็จะทุ่มเทกำลังผู้คนประทุษร้ายต่อนาง…”
นางคล้ายดั่งฉุกใจได้คิด ขมวดคิ้วเข้าหากัน เหลือบแลไปยังบุรุษชุดดำที่อยู่ห่างไปหลายวา ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งกล่าวว่า
“สมมุติว่าบริวารของนางเหล่านั้น มักคอยควบคุมสังเกตการณ์นาง…”
นางแมงมุมขาวกล่าวสอดว่า
“เป็นไปมิได้ พวกมันล้วนไร้ความนึกคิด วาจาสนทนาก็หาเข้าใจไม่ มีแต่เราที่สามารถควบคุมบงการพวกมัน”
“สำหรับเรื่องนี้กลับน่าคลางแคลงยิ่ง ควรทราบว่าอลัชชีโลกันตร์แตกฉานในวิชาแพทย์ มีวิธีการที่ภูตเทพยากหยั่งคาด อาจอาศัยพลังจากจิตจัดการกับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าขอถามท่าน ตอนท่านบงการพวกมันมีวิธีพิเศษใดหรือไม่?”
“เราต้องอาศัยกระแสจิตแฝงเข้าไปในวาจา ให้พวกมันรู้สึกว่า เราเป็นซือแป๋ที่คอยบงการมันอยู่”
กี้เฮียงเค้งผงกศีรษะกล่าวว่า
“นั่นก็ถูกแล้ว หากแม้นจิตใจของท่านเริ่มไหวระแวงต่ออลัชชีโลกันตร์ จิตชนิดนี้จะถูกทำลายด้วย ตอนนั้นพวกมันมิเพียงไม่รับคำสั่ง ยังจะคอยหาโอกาสประทุษร้ายท่าน
พฤติการณ์ของพวกมัน ความจริงถูกอลัชชีโลกันตร์คอยควบคุมอยู่ ข้าพเจ้าคาดว่า พวกมันต้องหาหนทางทำลายพลังควบคุมเทพแมงมุมดำของท่าน ให้ท่านตกตายด้วยเล็บพิษของแมงมุมชนิดนี้”
ปึงเซียะ ฉี้อิงพอฟัง ก็หวนนึกถึงวาจาที่ว่า ในรัศมีร้อยลี้ สิ่งมีชีวิตล้วนต้องตกตาย ทำให้สีหน้าต้องแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง
นางแมงมุมขาวกลับกล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้นพวกมันย่อมมิอาจประสบความสำเร็จแล้ว เพราะว่าวิธีบังคับเทพแมงมุมดำ หาใช่แบบอย่างซือแป๋เราถ่ายทอดให้ จวบจนบัดนี้กระทั่งซือแป๋ก็ยังมิทราบความ”
กี้เฮียงเค้งดวงตาทอประกายตื่นเต้นกล่าวว่า
“นั่นก็ประเสริฐแท้ แต่ตามการคาดคำนวณของข้าพเจ้า สัตว์พิษชนิดนี้ยากลำบากต่อการควบคุม อาจบังเกิดสันดานดุร้ายกำเริบขึ้น”
“วาจาของเจ้เจ๊หมายความกระไร?”
“ท่านลองใคร่ครวญดู หากแม้นซือแป๋ท่านเป็นคนดีงามรักเมตตาท่าน ย่อมไม่ดำเนินอุบายต่อท่าน ซือแป๋ที่ชุบเลี้ยงท่าน เพียงคิดอาศัยท่านกระทำเรื่องราวที่บุคคลอื่นมิอาจกระทำได้ มันเนื่องจากมีจิตใจชั่วร้าย จึงมักระแวงคลางแคลงผู้อื่นตลอดเวลา”
“เจ้เจ๊เอื้อนกล่าวเช่นนี้ หากแม้นซือแป๋ท่านเป็นคนดีงามรักเมตตาท่าน ย่อมไม่ดำเนินอุบายต่อท่าน ซือแป๋ที่ชุบเลี้ยงท่าน เพียงคิดอาศัยท่านกระทำเรื่องราวที่บุคคลอื่นมิอาจกระทำได้ มันเนื่องจากมีจิตใจชั่วร้าย จึงมักระแวงคลางแคลงผู้อื่นตลอดเวลา”
เจ้เจ๊เอื้อนกล่าวเช่นนี้ หากแม้นซือแป๋เราคอยดำเนินการคอยระแวดระวังเรา ก็สามารถยืนยันเรื่องราวสองประการ หนึ่งคือมันเป็นบุคคลชั่วร้าย สองมันหาได้รักใคร่เราจริงๆ”
กี้เฮียงเค้งจึงกล่าว
“เรื่องราวใดหากมีเหตุการณ์ก็คู่ควรกับการเชื่อถืออลัชชีโลกันตร์เมื่อจัดการกับท่านถึงปานนี้ ท่านคงชิงชังมันแล้ว?”
“ถูกต้อง มันทำร้ายเราจนต้องดำรงชีวิตในยามราตรี ผิดแผกจากสามัญชน…”
นางอ้างอิงเหตุการณ์อีกหลายประการ ผู้รับฟังต่างบังเกิดความเห็นอกเห็นใจอย่างใหญ่หลวง โค้วเพ้งถึงกับร้องอย่างขุ่นเคือง
“คนชั่วร้ายปานนี้ ข้าพเจ้าต้องต่อยมันจนตาย ท่านอย่าได้ขุ่นเคืองไปแล้ว”
กี้เฮียงเค้งหัวร่อพลางกล่าว
“เจ้าอย่าได้ขุ่นเคืองแทนแล้ว”
นางแมงมุมขาวอดหัวร่อมิได้ กวาดมองมายังโค้วเพ้งอย่างตื้นตัน
กี้เฮียงเค้งกล่าวว่า
“ท่านนำเทพแมงมุมไปซุกซ่อนอยู่ในสถานที่อื่นก่อน จากนั้นค่อยมาทดสอบบริวารทั้งสองของท่านดูว่าจะประทุษร้ายต่อหน้าท่านหรือไม่?”
นางแมงมุมขาวรับคำ แล้วพุ่งปราดไปไกลโข ชั่วครู่ก็หวนกลับมา กล่าวว่าเทพแมงมุมดำมิได้อยู่ประจำตัวนางแล้ว
กี้เฮียงเค้งจึงกล่าว
“บัดนี้ท่านออกคำสั่งต่อพวกมัน ให้กระทำเรื่องราวประการหนึ่ง พิสูจน์ว่ามันจะปฏิบัติตามหรือไม่?”
ฉี้อิงพลันกล่าวสอดว่า
“เค้งเจ้เจ๊ ไฉนต้องทดลองให้บริวารเหล่านั้นกระทำเรื่องราวเล่า?”
“น้องเราหาทราบไม่ หากแม้นนางบงการให้บริวารอัตวินิบาตกรรมในสถานการณ์เช่นนี้ การตอบโต้ของพวกมันก็มิอาจจำแนกว่า เกิดจากสาเหตุที่ถูกภาวะแวดล้อมบังคับ หรือเป็นการกระตุ้นจากอลัชชีโลกันตร์ ควรทราบว่าบุคคลหนึ่งย่อมมีสัญชาตญาณรักชีวิต ท่านหากให้มันฆ่าตัวตาย มันย่อมต้องมีกิริยาตอบโต้”
ฉี้อิงแลบลิ้นออกมากล่าวว่า
“นับว่าข้าพเจ้าผิดพลาดไป ท่านถึงตอนชราภาพ มิปวดศีรษะอยู่เสมอก็แปลกไปแล้ว”
กี้เฮี้ยงเค้งถอนหายใจออกมากล่าวว่า
“ตอนนี้ ข้าพเจ้าก็ปวดศีรษะเพียงพอแล้ว ข้าพเจ้าไหนเลยสามารถมีชีวิตจนถึงวัยชราได้เล่า?”
ฉี้อิงมีใบหน้าหดหู่ กี้เฮียงเค้งกลับกล่าวกับนางแมงมุมขาวว่า
“ท่านบงการให้บริวารลองวิ่งวนเวียนสักหนึ่งรอบ”
นางแมงมุมขาวก็ปฏิบัติตาม ส่งเสียงออกคำสั่งบุรุษชุดดำผู้นั้นในดวงตาสีแดงฉาน พลันสาดประกายเจิดจ้ามิขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
นางแมงมุมขาวตวาดอย่างขุ่นเคือง ฝ่ายบุรุษชุดดำกลับส่งเสียงร้องดังเกรี้ยวกราด สะบัดดาบฟาดฟันเข้าใส่
ทุกผู้คนต่างสะท้านใจไหวหวั่น แลเห็นมันมีท่วงท่าดุร้ายอย่างยิ่งยวด เงาดาบแผ่กระจายจ้า เป็นท่าร่างที่มิคำนึงถึงตัวเอง
แลเห็นนางแมงมุมทุ่มเทท่าร่างอันปราดเปรียวหลบเลี่ยงจากม่านดาบ พลันปรากฏโลหิตสาดกระจาย ที่แท้นางได้ตวัดดาบตีโต้ ทิ่มแทงใส่ทรวงอกฝ่ายตรงข้ามแล้ว
บุรุษชุดดำอ้าปากกระอักโลหิตออกมากองโต โลหิตพอพ้นจากปาก ก็กลับกลายเป็นหมอกโลหิตกลุ่มหนึ่ง ครอบคลุมอาณาเขตไปทั่ว โค้วเพ้งที่อยู่ใกล้เคียงถึงกับย่นจมูกร้องว่า
“เหม็นคาวยิ่งนัก”
นางแมงมุมขาวยืนเซื่องซึมราวรูปปั้น จับจ้องบุรุษชุดดำผู้นั้นล้มฟุบลง ใบหน้าปรากฏแววแตกตื่นตระหนก
ชั่วครู่ให้หลัง นางจึงเบือนศีรษะมากล่าวกับกี้เฮียงเค้งว่า
“โอ ยังประเสริฐที่เจ้เจ๊แนะนำให้เรานำเทพแมงมุมดำไปที่อื่น หาไม่แล้ว หมอกโลหิตจากปากของมัน สามารถกระตุ้นให้เทพแมงมุมดำบังเกิดสันดานป่าเถื่อนขึ้น แม้แต่เราก็ต้องตกตาย”
ทุกผู้คนล้วนสะท้านใจอย่างรุนแรง รู้สึกเรื่องราวมีผลสะท้อนอย่างรุ่นแรง หากมิใช่กี้เฮียงเค้งอาศัยสติปัญญา คาดคำนวณได้ล่วงหน้า เภทภัยที่อลัชชีโลกันตร์วางแผนขึ้นก่อน ก็ต้องอุบัติโดยมิอาจคลี่คลาย
กี้เฮียงเค้งกล่าวกับนางแมงมุมขาวว่า
“ในใจของท่านคงมิมีข้อเคลือบแคลงอีกแล้ว ท่านคิดทำอย่างไร?”
นางแมงมุมขาวเพียงตอบว่า มิทราบ อย่างเลื่อนลอย กี้เฮียงเค้งจึงกล่าวอีกว่า
“ท่านมิต้องกังวล พวกเราล้วนเป็นสหายของท่าน ก่อนอื่นผมเผ้ากับดวงตาของท่าน สีสันดั้งเดิมที่แท้เป็นประการใด พวกเราจะช่วยสืบเสาะหลังจากนั้นค่อยพิจารณาบุคคลหนึ่ง ติดตามท่านไปดินแดนแถบตะวันตก หาทางสืบเสาะมาตุภูมิถิ่นกำเนิดของท่าน”
นางแมงมุมขาวกล่าวคำขอบคุณด้วยหยาดน้ำตาไหลพร่างพรู ปึงเซียะรู้สึกเวทนาจนจับจิต กล่าวอย่างลืมตัว
“ดินแดนแถบตะวันตก ข้าพเจ้าคุ้นเคยอยู่บ้าง ยินดีร่วมทางไปกับนาง”
นางแมงมุมขาวจิตใจปลาบปลื้มปีติยิ่ง แทบโห่ร้องออกมา
กี้เฮียงเค้งเหลือบมองนาง เพียงวูบเดียวก็ทราบได้ คำนึงขึ้น
“…ที่แท้นางบังเกิดความรักต่อปึงเซียะ เพียงแต่ปึงเซียะสังกัดสำนักมาตรฐาน รั้งตำแหน่งประมุขคุนลุ้นในอนาคต แต่นางกลับเป็นศิษย์อลัชชีโลกันตร์ ชาติกำเนิดเป็นปริศนา ความรักนี้จะสำเร็จหรือไม่ ต้องแล้วแต่ฟ้าดินบันดาลแล้ว…”
นางพลันกล่าวว่า
“เพียงแต่ปึงเซียะยังต้องไปกระทำเรื่องราวสำคัญประการหนึ่ง ความเป็นความตายมิอาจหยั่งคาด…”
นางแมงมุมขาวรีบกล่าวว่า
“เขาเมื่อยินยอมช่วยเหลือ เราก็จะช่วยเขาก่อน รอจนสำเร็จเสร็จสิ้น ค่อยร่วมทางไปดินแดนตะวันตก”
กี้เฮียงเค้งพลันกล่าวอย่างหมกมุ่น
“ข้าพเจ้าหากคาดเดามิผิด ม่วยม่วยกับอลัชชีโลกันตร์คงมีการนัดหมายวันเวลาติดต่อกันในระยะหนึ่ง
“หากแม้นท่านเร่งรุดไปยังดินแดนตะวันตก พอพ้นกำหนดมิมีการติดต่อ อลัชชีโลกันตร์คงทราบว่ามีเหตุเปลี่ยนแปลง ถึงตอนนี้มันคงมีวิธีการสังหารท่าน”
นางแมงมุมขาวสะท้านใจวาบกล่าวว่า
“ถูกต้อง ซือแป๋เคยบอกว่าภายในหนึ่งปี หากไม่ติดต่อมาจะมีความผิดเท่ากับเป็นศิษย์ทรยศ มิอาจอภัยละเว้น!”
การสันนิษฐานเรื่องราวได้อย่างแม่นยำปานเทพยดาของกี้เฮียงเค้ง ทำให้ปึงเซียะต้องเลื่อมใสอีกครั้งหนึ่ง ได้ยินนางกล่าวช้าๆ ว่า
“ตอนนั้นอลัชชีโลกันตร์คงต้องปรากฏกายขึ้นเอง มันอาจใช้วิธีการอันชั่วร้าย และนำบุคคลที่ถูกตัวยาสร้างสรรค์ขึ้นเข้าร่วมจัดการ”
นางแมงมุมกล่าวอย่างแตกตื่น
“มันมีวิธีการเช่นนั้นจริงๆ เจ้เจ๊ท่านยอดเยี่ยมยิ่ง โอ มันหากนำพาฮงพั้วจื้อ (ขบวนนางเฒ่าผึ้ง) มา เราก็ต้องตายแน่แล้ว”
“จากคำพูดของท่านเช่นนี้ อลัชชีโลกันตร์คงชุบเลี้ยงผึ้งพิษชนิดหนึ่ง ถ่ายเทเข้าสู่ร่างผู้คนที่ชราภาพ สามารถสยบท่านกับเทพแมงมุมดำใช่หรือไม่?”
“ถูกแล้ว”
นางมีสีหน้าประหวั่นพรั่นพรึงกล่าวอีกว่า
“นางเฒ่าผึ้งมิเพียงแต่สยบเราได้ บุคคลทั่วไปก็หวั่นเกรงนาง เนื่องจากพวกนางเคลื่อนไหวปานสายลม มีสันดานป่าเถื่อนโหดร้าย
ผู้ที่อยู่ในขบวนนางเฒ่าผึ้ง ภายในร่างจะมีเข็มพิษเล่มหนึ่งขอเพียงโอบกอดผู้คนไว้ ก็สามารถทำร้ายศัตรูตกตายได้ แต่สุดท้ายพวกนางเองก็ต้องเสียชีวิตด้วย ผลสุดท้ายเช่นนี้พวกนางมิเพียงไม่คำนึงถึง กลับยังนิยมกระทำเช่นนั้น”
กี้เฮียงเค้งถามว่า
“เข็มพิษที่ว่าคงฝังลึกอยู่ในร่างกายของพวกนางประดุจเหล็กในของผึ้งพิษแล้ว?”
นางแมงมุมขาวกล่าวว่า
“เท่าที่รับทราบมาแม้เป็นเช่นนั้น แต่พวกนางยามจำเป็น ก็สามารถซัดพุ่งเข็มพิษที่ว่าออก ในรัศมีสองวามิว่าผู้ใดก็ยากหลบเลี่ยงได้”
ฉี้อิงพลันสั่นศีรษะกล่าวว่า
“กับบุคคลธรรมดาพอนับได้ แต่กับผู้มีพลังฝีมือสูงเยี่ยม ข้าพเจ้ามิเชื่อว่าจะหนีไม่พ้น”
นางแมงมุมขาวมิทันกล่าววาจา กี้เฮียงเค้งก็กล่าวอย่างสำรวม
“ม่วยม่วยเข้าใจผิดพลาดแล้ว อลัชชีโลกันตร์เป็นบุคคลชนชั้นใด มันสร้างสรรค์นางเฒ่าผึ้งขึ้นขบวนหนึ่ง ท่านอย่าคาดคิดว่ามันจะใช้ลงมือต่อคนธรรมดา
“ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า มันคงคิดมุ่งใช้จัดการกับซือแป๋ของท่าน รวมทั้งซือแป๋กิมเม้งตี้ กับซิเล้ง อลัชชีโลกันตร์ซึมทราบว่ายอดคนทั้งสามท่านนี้มีความสำเร็จสูงล้ำ จึงต้องคิดค้นหาทางมุ่งพิฆาต”
ฉี้อิงยังมิยินยอมพร้อมใจ ทุ่มเถียงว่า
“อลัชชีโลกันตร์หรือมีความสามารถเทียบเทียมเทพยดาจริงๆ ? ข้าพเจ้ากลับมิเชื่อถืออยู่บ้าง”
กี้เฮียงเค้งเงียบงันไปเนิ่นนาน จึงกล่าวอย่างแช่มช้า
“ม่วยม่วยรับฟังไว้ ในพื้นพิภพสิ่งมีชีวิตมีพร้อมสรรพ แต่ “ชัชวาลแห่งชีวิต” เป็นสิ่งที่พิสดารล้ำลึกที่สุด อลัชชีโลกันตร์หมกมุ่นสนใจทางด้านนี้ คาดว่าคงพบเห็นเคล็ดลับสำคัญในชีวิตได้
มันเพาะสร้างบุคคลเฉกเช่นขบวนนางเฒ่าผึ้งซึ่งพอสังหารศัตรูไปหนึ่งคน ตัวเองก็ต้องตกตายตามกัน แสดงว่ามีความร้ายกาจอย่างสุดแสน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เข็มพิษที่พวกมันซัดพุ่งออกเท่ากับพ่นเอาชัชวาลแห่งชีวิตของพวกนางออกมา จึงนับว่ารุนแรงเป็นที่ยิ่ง หากแม้นอลัชชีโลกันตร์ เข้าใจถึงเคล็ดสำคัญของชีวิต ขบวนนางผึ้งพิษนี้ก็เป็นสาตราวุธที่ผู้คนยากต้านทานแล้ว”
ฉี้อิงกับปึงเซียะล้วนเป็นยอดฝีมือแห่งยุค พอฟังรู้สึกมีเหตุผล เนื่องเพราะทั้งสองล้วนทราบซึ้งใน “วิถีฝีมือ” ซึ่งความจริงก็มิได้แตกต่างไปจากการฝึกฝนร่างกายชนิดอื่น
การฝึกปรือฝีมือก็คือการนำเอาพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างออกมาสำแดง พร้อมกับสามารถบังคับได้ตามใจนึก
แน่นอน บุคคลมีภูมิปฏิภาณแตกต่างกันดังนั้นพลังที่ซ่อนเร้นจึงเหลื่อมล้ำต่ำสูงไม่เท่ากัน และมาตรแม้นจะเป็นผู้มีพลังฝีมือสูงสุด ก็ยังมิอาจทุ่มเทกำลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างกายจนหมดสิ้น
อลัชชีโลกันตร์ย่อมเข้าใจเคล็ดลับของการดำรงชีวิตนี้ จึงคิดใช้วิธีการพิเศษพิสดาร ปลดปล่อยพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างของมนุษย์ออกมา
นอกจากนั้นยังประกอบวัสดุอันประหลาดล้ำ สมมุติเป็น “เข็มพิษ” ก็สามารถสูงล้ำกว่ายอดฝีมือที่ยอดเยี่ยมอย่างมิต้องสงสัย
ควรทราบว่าวิถีการฝึกปรือฝีมือ ยึดมั่นการบำรุงร่างกายเป็นหลักใหญ่ เรื่องต้านรับศัตรูเป็นเรื่องรองลงมา ดังนั้นวิธีการปลดปล่อยพลังที่ซ่อนเร้นออกจากร่าง ย่อมไม่สามารถสัมพันธ์กับหลักบำรุงร่างกาย
แต่ทว่าอลัชชีโลกันตร์ มิสนใจในหลักปรับรากฐานที่จำเป็น โดยนัยกลับ มันพยายามหาหนทางปลดปล่อยพลังซ่อนเร้นซึ่งใช้ยึดเหนี่ยวชีวิต ทุ่มเทใช้ออกในคราเดียว ดังนั้นความร้ายแรงของอานุภาพ ย่อมไม่มีผู้คนต้านทานรับได้!
อาศัยเหตุผลบางประการ กี้เฮียงเค้งพออ้างอิงถึงเคล็ดลับของชัชวาลแห่งชีวิต ฉี้อิงกับปึงเซียะจึงเข้าใจในบัดดล รู้สึกว่าเรื่องนี้อาจเป็นความจริงได้
กี้เฮียงเค้งหัวร่อออกมากล่าวว่า
“แต่อลัชชีโลกันตร์ อาจยังมิบรรลุถึงขั้นสูงสุดยอด หากแม้นมันบรรลุผลถึงขอบเขตใกล้สำเร็จ คงปรากฏกายขึ้นอย่างเปิดเผยแล้ว”
ฉี้อิงก็ภาวนาให้เป็นเช่นนั้น กล่าวว่า
“แต่อย่างไร เจ้เจ๊ควรครุ่นคิดหาหนทาง ต้านรับขบวนนางเฒ่าผึ้งพิษเหล่านั้น”
“นั่นย่อมแน่นอน เพียงแต่สำหรับข้อนี้ข้าพเจ้ามิมีความมั่นใจ”
นางเบือนศีรษะมายังนางแมงมุมขาว กล่าวว่า
“บัดนี้ท่านคงได้คิดแล้ว อลัชชีโลกันตร์ หากมิถูกกำจัด ท่านเองจะมีภยันตรายอย่างยิ่งยวด”
นางแมงมุมขาวถอนหายใจกล่าวว่า
“เราทราบดี แต่จะมีหนทางใดเล่า? เรามิกล้าไปสังหารมัน”
กี้เฮียงเค้งกล่าวว่า
“ปึงเซียะเฮียกำลังจะไปเสาะหาอลัชชีโลกันตร์ เนื่องจากศิษย์ร่วมสำนึกผู้หนึ่ง ถูกคร่ากุมสูญอิสรภาพ ปึงเซียะครานี้ต้องสังหารอลัชชีโลกันตร์ให้จงได้ มาตรมิเช่นนั้นจะถูกฝ่ายตรงข้ามกำจัดเสีย”
นางแมงมุมขาวมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป กล่าวกับปึงเซียะอย่างเร่งร้อน
“ท่านมิอาจไปเด็ดขาด มิเช่นนั้นชีวิตท่านคงมิอาจรักษาไว้ได้”
ปึงเซียะยิ้มน้อยๆ แต่ยังแสดงเจตนารมณ์อันเด็ดเดี่ยวมิเปลี่ยนแปลง
กี้เฮียงเค้งกล่าวว่า
“ยังมีซิเล้งกับฉี้อิงน้องเรา ซึ่งจะร่วมทางไปกับปึงเซียะ เมื่อเป็นเช่นนี้คงมิเป็นปัญหา”
นางแมงมุมขาวยังคงสั่นศีรษะกล่าวว่า
“มิได้ พวกท่านไฉนจึงจำต้องไปเล่า? มันร้ายกาจยิ่งนักนอกจากเจ้เจ๊แซ่กี้ท่านนี้ร่วมทางไปด้วย จึงจะพอมีความหวังหักล้างกัน”
“ข้าพเจ้ามีเรื่องราวอื่นต้องกระทำมิอาจร่วมทางด้วย”
กี้เฮียงเค้งเมื่อให้คำตอบเช่นนี้ นางแมงมุมขาวก็ต้องขบกรามกรอด พริ้มตาขบคิดอยู่ครู่หนึ่งค่อยกล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้นเราได้แต่ร่วมทางไป”
ปึงเซียะทราบดีว่ากี้เฮียงเค้งหาทางให้นางกล่าววาจาประโยคนี้ มันพอได้ยินรู้สึกว่ามิเหมาะสม กล่าวว่า
“นั่นจะใช้ได้อย่างไร”
นางแมงมุมขาวกล่าวว่า
“เราแม้หวาดหวั่นเฒ่าผู้นั้นอย่างยิ่งยวด แต่เราหากเป็นผู้นำพาไป พวกท่านค่อยมีโอกาสเสาะพบมัน อาณาจักรอัคคีเป็นสถานที่กว้างขวาง เปี่ยมเภทภัย เราหากมิเป็นคนนำพา พวกท่านชั่วชีวิตก็อย่าคาดหวังจะได้พบผู้เฒ่านั้น”
สำหรับเรื่องนี้มีความสำคัญเกี่ยวกับความปลอดภัยของบู๊ลิ้ม ดั้งนั้นปึงเซียะได้แต่เงียบงันไป
กี้เฮียงเค้งพลันสืบเท้าไปข้างหน้า ตวัดเท้าเตะใส่จุดชีวิตบุรุษชุดดำอีกผู้หนึ่ง จากนั้นบงการให้นางแมงมุมขาวกับปึงเซียะ รีบรุดไปสังหารบุรุษชุดดำอีกสองคนและปลดปล่อยนางแมลงป่อง
ปึงเซียะกับนางแมงมุมขาวรีบจากไป กี้เฮียงเค้งเกาะกุมมือของฉี้อิงกล่าวว่า
“พวกท่านทางที่ประเสริฐ ยังคงรีบแต่งงานกัน แล้วค่อยจัดการจูกงเม้ง สุดท้ายจึงลงมือต่ออลัชชีโลกันตร์”
ฉี้อิงจวบจนบัดนี้ยังมิทราบว่า กี้เฮียงเค้งเกรงว่าซิเล้งจะทราบชาติกำเนิดของลี้ซานึ้ง กับความสัมพันธ์ระหว่างมันและฉี้อิง ซึ่งกี้เฮียงเค้งก็มิอาจบ่งบอกความนัยออกไป เนื่องจากเกรงว่าฉี้อิงที่ดื้อรั้นถือดีจะได้รับความกระทบกระเทือนใจ
ได้ยินฉี้อิงกล่าวตอบว่า
“เจตนาของอาเล้ง ต้องการให้ข้าพเจ้าปฏิบัติเรื่องราวบางประการก่อนเช่นปัญหาเกี่ยวกับประแจเจดีย์ทองคำ ฟื้นฟูเกียรติภูมิของบิดา ตอนนี้ยังมีเรื่องของปึงเซียะ ดังนั้นคงไม่มีความหวังเลย”
กี้เฮียงเค้งลอบทอดถอนใจ คำนึงขึ้น
“…เราแม้หาหนทางให้มันสองอยู่ร่วมฉันสามีภรรยา แต่เทพยดาฟ้าดินหาได้อนุโลม หรือว่าชะตาชีวิตลิขิตเป็นเช่นนี้?…”
ยามนั้น ที่ห่างไกลพลันแว่วสำเนียงดังว่า
“อาอิง พวกท่านอยูที่นั้นกระมัง?”
กิมเม้งตี้ซึ่งสนทนาอยู่กับโค้วเพ้งตลอดเวลา พอฟังสุ่มเสียงก็ทราบว่าเป็นซิเล้ง จึงรีบโบกมือชักชวนกี้เฮียงเค้ง แล้วพุ่งปราดจากไป ปฏิกิริยาเช่นนี้แสดงว่าไม่ต้องการประจันหน้ากับซิเล้ง
กี้เฮียงเค้งได้แต่สั่นศีรษะ รอจนซิเล้งโลดแล่นเข้าใกล้ นางจึงกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าต้องไปแล้ว พวกท่านทางที่ประเสริฐให้รีบแต่งงานอยู่กินกัน แล้วค่อยปฏิบัติเรื่องราวประการอื่น เหตุการณ์ต่างๆ ให้อิงม่วยม่วยบอกเล่า มิว่าอย่างไรหากปฏิบัติตามวาจาของเรา รับรองว่ามิมีผลเสียงหาย”
ซิเล้งตะลึงลานอยู่กับที่ กี้เฮียงเค้งเพียงโบกมือเป็นเชิงอำลาแล้วสาวเท้าจากไป
ฉี้อิงอดหลั่งน้ำตามิได้ ขยี้เท้าอยู่ตลอดเวลา ฝ่ายซิเล้งคล้ายดั่งกับถูกจับยัดเข้าไปในหมอกควันอันหนาทึบ แต่พอพบเห็นอิริยบถของฉี้อิงก็มิกล้าถามไถ่
เนิ่นนานต่อมา ได้ยินฉี้อิงเค้นเสียงว่า
“ข้าพเจ้าชิงชังมันยิ่ง”
ซิเล้งปากอ้าตาค้าง ถามว่า
“ท่านว่ากระไร ชิงชังผู้ใด?”
“ท่านคงเห็นเค้งเจ้เจ๊แล้ว ข้าพเจ้าเกลียดชังกิมเม้งตี้อย่างยิ่งยวด”
“อ้อ ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว เพราะเหตุว่าเค้งเจ้เจ๊ได้รับความสะเทือนใจจากกิมเม้งตี้ ท่านจึงชิงชังมันแต่เรื่องนี้ ผู้หนึ่งคอยทำร้ายอีกผู้หนึ่งยอมกล้ำกลืน พวกเรายังจะมีหนทางใดเล่า?”
“เฮอะ ข้าพเจ้าจึงมิทราบว่า กิมเม้งตี้มีความดีเลิศอันใด เค้งเจ้เจ๊กับถูกมันกลืนกินลงไป”
จากนั้นฉี้อิงบอกเล่าเหตุการณ์ที่กิมเม้งตี้หักล้างกับปึงเซียะและนางแมงมุมขาวเมื่อครู่นี้ พร้อมกับเหตุการณ์ในภายหลังให้รับทราบโดยละเอียด สุดท้ายจึงกล่าว
“ข้าพเจ้ามุ่งหวังให้กิมเม้งตี้ถูกสังหารไป แต่ก็มิเป็นผลสำเร็จ”
ซิเล้งกล่าวอย่างอ่อนโยน
“ยังประเสริฐที่โศกนาฏกรรมเช่นนั้นมิได้อุบัติขึ้น หาไม่แล้ว เค้งเจ้เจ๊คงโศกเศร้ารันทด ไร้คู่ครองไปจวบชั่วชีวิต”
ฉี้อิงกล่าวอย่างดื้อรั้น
“การกระทำของข้าพเจ้ามิผิดพลาดแม้แต่น้อย หากแม้นกิมเม้งตี้ตกตายไป เค้งเจ้เจ๊ไม่นิยมชมเชยบุรุษผู้อื่น ข้าพเจ้าก็จะบีบบังคับท่านรับนางเป็นภรรยา”
“อย่าได้ล้อเล่นไป ข้าพเจ้ากับเค้งเจ้เจ๊สาบานเป็นพี่น้องแล้ว ไหนเลยแปรเปลี่ยนเป็นสามีภรรยาได้”
ฉี้อิงที่บังคับให้ซิเล้งรับกี้เฮียงเค้งเป็นภรรยา แม้กล่าวจากใจจริง แต่ซิเล้งพอปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยวนางพยอยรู้สึกปลาบปลื้มประโลมใจขึ้น
จวบจนบัดนี้ นางจึงเชื่อถือซิเล้งอย่างสนิทใจ มิกังวลในเรื่องการแต่งงานกล่าวว่า
“พวกเราสนทนาในเรื่องอื่นเถอะ บัดนี้มีเรื่องราวสามประการต้องกระทำ คือหนึ่งเร่งรุดสู่อาณาจักรอัคคี ล้มล้างสถาบันอำมหิต สองเสาะหาจูกงเม้งกับหัตถ์อสนีบาตปลิดศีรษะพวกมัน สามเร่งรุดไปตัวเมืองฉี้น้ำกราบพบบิดา”
ซิเล้งหัวร่อพลางแสร้งกล่าวว่า
“กราบพบบิดาไยกัน?”
ฉี้อิงเอียงอายจนก้มศีรษะลงใบหน้าที่แดงระเรื่อของนางมิทันจางหาย ก็ทุบใส่ซิเล้งหมัดหนึ่งกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าเริ่มชิงชังท่านแล้ว”
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป