๒๘
♦ นักสู้ผู้องอาจ ♦
……………
ปึงเซียะสำรวจดูสภาพการณ์ของนางแมลงป่องอีกครั้งหนึ่ง พบว่าวิชาจี้สกัดจุดที่ฝ่ายตรงข้ามลงมือต่อนาง นับว่าพิสดารยากคลี่คลาย ต้องคำนึงขึ้น
“…เราสามารถพานางจากไป แต่ภายหลังสมควรช่วยเหลืออย่างไร น่าแปลกที่บุรุษชุดดำทั้งสอง คล้ายดั่งมิใครดุร้ายเลย…”
ขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงลงมือสกัดจุดบุรุษชุดดำทั้งสองอีกหลายแห่ง พริบตาเดียวพวกมันก็ลืมตาขึ้น ในลำคอยังคงส่งเสียงขู่คำราม แต่มิอาจเคลื่อนกายได้
ปึงเซียะหาทราบไม่ว่า พฤติการณ์นี้เท่ากับช่วยให้มันรอดพ้นจากมหันตภัย ที่แท้ในพงหญ้าห่างไปมิไกลนัก มีบุคคลเสื้อดำตามรกตผู้หนึ่ง หมอบซุ่มสังเกตการเคลื่อนไหวของมันอยู่
บุคคลผู้นี้ใช้ผ้าดำผืนหนึ่งโพกศีรษะไว้ แต่ยังเผยเห็นถึงผมเผ้าสีขาวโพลงมิน้อย ส่งเสียงเจื้อยแจ้วว่า
“เจ้าเป็นใคร?”
ปึงเซียะพอฟังต้องสะท้านใจอย่างรุนแรง หันขวับมองไป แลเห็นฝ่ายตรงข้ามเป็นอิสตรีมีเรือนร่างสมสัดส่วน นัยน์ตาเขียวเรืองรอง ผมเผ้าก็เป็นสีขาว เพิ่มความลี้ลับพิสดารยิ่งขึ้น
แต่จากน้ำเสียงของนาง คล้ายดั่งมิมีเจตนาอันชั่วร้าย ปึงเซียะจึงน้อมกายคารวะกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าปึงเซียะ เป็นศิษย์สำนักคุนลุ้น นามโกวเนี้ยสามารถบ่งบอกได้หรือไม่?”
สตรีชุดดำนางนั้นกล่าวว่า
“เราเรียกว่านางแมงมุมขาว รับทราบมาว่าวิชาสำนักคุนลุ้นลึกล้ำแกร่งกร้าว แต่เจ้าอย่าได้คาดหวังว่าจะหลบรอดจากเงื้อมหัตถ์ของเราได้”
“โกวเนี้ยอย่าได้คุยโอ่ไป ข้าพเจ้าหากถูกบีบบังคับ ก็ต้องเสี่ยงชีวิตสักคราแล้ว”
นางแมงมุมขาวหัวร่อพลางกล่าว
“ท่านเป็นคนซื่อสัตย์ คงมิใช่บุรุษชั่วร้ายอันใด เอาเถอะ เราจะมิใช้เทพแมงมุมดำจัดการกับท่าน เมื่อครู่เห็นท่านไม่ทำร้ายบริวารเรา จึงเลิกล้มความคิดปล่อยเทพแมงมุมดำ”
“อ้อ หรือเทพแมงมุมดำสามารถพ่นใยดำเหล่านี้? นับว่าร้ายกาจยิ่งนัก ข้าพเจ้าเคยรับทราบมาว่า เทพแมงมุมดำมีพิษร้ายกาจกำเนิดในดินแดนธิเบต ในรัศมีร้อยลี้ของมัน มนุษย์หรือสัตว์ป่ายากมีชีวิต โกวเนี้ยกลับสามารถนำติดตัวได้หรือ?”
“ย่อมแน่นอน เราเมื่อเยาว์วัยก็เล่นกับแมงมุมชนิดนี้ ตอนนี้เราจะคร่ากุมท่านก่อน”
“โกวเนี้ยไยคิดลงมือ พวกเราปราศจากข้ออาฆาตบาดหมาง คบหากันเป็นสหายมิใช่เป็นเรื่องอันประเสริฐหรือ?”
นางแมงมุงขาวคราแรกขมวดคิ้ว จากนั้นมีสีหน้าลิงโลดกล่าวว่า
“ท่านคิดคบหาเราเป็นสหาย? ท่านมิกลัวเราหรือ”
ปึงเซียะรู้สึกว่าสตรีนางนี้แม้ลี้ลับ พกนำสัตว์พิษติดตัว แต่ยังบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ฟังจากน้ำเสียงของนาง กลับมิเคยมีสหายมาก่อน ชะตากรรมเช่นนี้นับว่าน่าเวทนานัก
ดังนั้นกล่าวว่า
“พวกเราเมื่อเป็นสหายกัน ยังมีอันใดต้องพรั่นพรึง เพียงมิทราบนางแมลงป่องผู้นี้ ล่วงเกินอันใดท่าน จึงถูกใยเทพแมงมุมห้อยโยงร่างกายไว้?”
นางแมงมุมขาวมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป กล่าวเสียงเย็นชา
“ที่แท้ท่านรู้จักนาง ถ้าเช่นนั้นพวกท่านก็เป็นสหายด้วย?”
“โกวเนี้ยเข้าใจความหมายคำสหายหรือไม่ กล่าวคือผู้เป็นชนชาวเดียวกันนับเป็นมิตร ผู้มีสรณะสอดคล้องกันเรียกว่าสหาย คนทั่วไปเรียกหาผู้รู้ใจเป็นสหาย แต่ความจริงเพียงพอพบพานก็ผงกศีรษะให้ หามีไมตรีอันใดไม่ หากคิดคบหาผู้อื่นเป็นสหายแท้จริง หาใช่เรื่องราวอันง่ายดายไม่”
นางแมงมุมขาวเงียบงันครู่หนึ่งค่อยกล่าว
“วาจาของท่านมิมีเหตุผล”
ปึงเซียะจึงอธิบายว่า เพียงรู้จักกับนางแมลงป่องอย่างผิวเผิน และชิงชังในความประพฤติของนางด้วยนางแมงมุมขาวจึงลิงโลดยิ่งนัก อ้างว่าสตรีนางนี้มิใช่คนดีงาม
ปึงเซียะจึงอ้างว่า สมควรให้นางแมลงป่องได้รับความทรมานอย่าเพิ่งปลดปล่อยลงมา แล้วค่อยถามไถ่ว่า
“ท่านเป็นชาวเมืองใด?”
นางแมงมุมขาวกล่าวว่า
“ซือแป๋บอกว่า เราเป็นชาวเมืองฮ่อน้ำ เพราะถูกทอดทิ้งตั้งแต่เด็ก จึงมิทราบชื่อแซ่แท้จริง เราเองก็มิแยแสสนใจ บุคคลเฉกเช่นเรา มิมีบิดามารดาก็ประเสริฐ มาตรมิเช่นนั้น ต้องเชื่อฟังวาจาอยู่ทุกถ้อยคำ”
ในดวงตามรกตของนางพลันปรากฏหยดน้ำปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง คล้ายดั่งน้ำตาเอ่อคลอ ปึงเซียะแสร้งเป็นมิพบเห็น รู้สึกว่าสตรีนางนี้มีชาติกำเนิดอาภัพยิ่งนัก แม้แข็งใจกล่าวเช่นนี้ แต่ความจริงปราถนาได้รับความอบอุ่นจากบุพการี
นางแมงมุมขาวพลันปลดผ้าดำที่โพกศีรษะออก ดังนั้นผมเผ้าสีเงินยวงพลอยยาวสยายลงมา นางยังกล่าวอีกว่า ตั้งแต่กำเนิดก็มีสภาพเช่นนี้ ซือแป๋นางพยายามใช้ตัวยารักษานาง จนมีสภาพเฉกเช่นอิสตรีทั่วไป สุดท้ายกล่าวว่า
“คราก่อนเราแทบช่วยเหลือตัวเองได้สำเร็จ แต่น่าเสียดายที่จ้าวแมลงป่องตัวนั้น ถูกผู้อื่นกลืนกินเสีย เรากลับไปเสาะหาซือแป๋ ค่อยนำบริวารมาอีกสี่คน คราครั้งนี้เราต้องมุ่งสู่ดินแดนนอกกำแพงใหญ่…”
ปึงเซียะพลันกล่าวสอดขึ้น
“ท่านกล่าวถึงจ้าวแมลงป่อง? ข้าพเจ้าอาจรู้จักผู้ที่กลืนกินลงไป”
“พวกมันมีทั้งหมดสามคน แต่เรามิอาจบอกกับท่าน แม้แต่ซือแป๋เรายังไม่ทราบเลย”
“พวกมันล้วนเป็นสหายกับข้าพเจ้า ในจำนวนนั้นมีผู้หนึ่งแซ่ซิใช่หรือไม่?”
นางแมงมุมขาวปลื้มปีติจนหัวร่อออกมา นับเป็นความงามอีกแบบหนึ่ง ได้ยินนางกล่าวว่า
“ท่านกับซิเล้งล้วนเป็นบุคคลประเภทเดียวกัน เราจึงรู้สึกว่าท่านมิใช่คนชั่วร้าย ซิเล้งมิอนุญาตให้เราสังหารผู้คน ดังนั้นเราจึงไม่กำจัดสตรีที่น่าชังผู้นี้”
ปึงเซียะกล่าวอย่างสำรวม
“ซิเฮียประกอบแต่พฤติการณ์อันดีงาม ควรค่าแก่การนับถือ”
“อืมม์ พวกมันขณะนี้พำนักอยู่ที่ใด?”
“ห่างจากที่นี้มิไกลนัก ความจริงเราออกมาซื้อหาอาหาร คาดมิถึงจะพบพานท่าน”
“เรามีเสบียงอาหารอยู่มิน้อย เราจะไปพบพานพวกเขา เจ้เจ๊ฉี้คงอยู่ด้วย คราครั้งนี้เราต้องไปแถบภูเขาเชี่ยงแป๊ะซัวเสาะหาสัตว์พิษ มีอุปสรรคยากเข็ญ อาจอีกหลายปีค่อยกลับมา จึงคิดร่ำลาพวกซิเล้งเลย”
ปึงเซียะพอได้ยินจึงรับปากตกลง นางแมงมุมขาวพลันห่อปากส่งเสียงดังพิกล ภายในพงหญ้าปรากฏบุรุษชุดดำกระโดดปราดออกมาอีกสองคน ซึ่งรักษาอยู่ที่นี้ จากนั้นจึงนำพาบุรุษสองคนแรก ซึ่งปึงเซียะตบคลายจุดให้ ร่วมทางกันไป
ขณะที่ปึงเซียะออกจากหมู่บ้านตระกูลฉี้ อาคันตุกะลึกลับ ได้ล่วงล้ำเข้าห้องโถงหลังที่สร้างทางลับ ทอดลงไปใต้ดิน
โค้งเพ้งซึ่งปฏิบัติหน้าที่เฝ้ารักษา ขณะหันกายมองประตูห้องโถง ก็แลเห็นชายชราเรือนร่างผอมซูบผู้หนึ่ง ใช้สายตาที่เจิดจ้าปานสายฟ้าเขม้นมองมา
โค้วเพ้งพลันบังเกิดความระมัดระวังตัว ถามว่า
“ท่านผู้เฒ่าเสาะหาผู้ใด?”
ชายชราลึกลับสาวเท้าก้าวสู่ห้องโถง ประกายตาสาดพุ่งไปยังปากทางอุโมงค์ เค้นเสียงกล่าวว่า
“ซิเล้งกับฉี้อิงล้วนอยู่ภายในกระมัง?”
โค้งเพ้งผู้ซื่อสัตย์ กล่าวว่า
“ถูกแล้ว ท่านผู้เฒ่าเป็นใคร?”
“เล่าฮูอึ้งไถ่! เจ้าเรียกว่ากระไร มีความสัมพันธ์ฉันใดกับพวกมัน?”
“ข้าพเจ้าแซโค้วนางเพ้ง พวกมันเป็นเจกเจ่กซ่อซ้อ (ยกย่องเป็นอาชายน้าหญิง) ของเรา”
“เฮอะ ที่แท้เจ้าก็คือเด็กน้อยตระกูลโค้ว เมืองไคฮง รับทราบจากคำรายงาน เจ้ามีอายุเพียงสิบสามสิบสี่ คาดไม่ว่าจะเติบใหญ่แข็งแรงปานนี้”
โค้งเพ้งรับฟังถึงตอนนี้ก็ทราบซึ้งว่า อึ้งไถ่ผู้นี้ก็คือคนของจูกงเม้ง มุ่งประทุษร้ายต่อซิเล้ง จึงบังเกิดความรู้สึกเป็นศัตรูถลึงตาเข้าใส่ กล่าวว่า
“พวกท่านล้วนเป็นคนชั่วร้าย ข้าพเจ้าไม่พูดจาด้วย”
มุมปากอึ้งไถ่ปรากฏรอยยิ้มอันเลือดเย็น กล่าวว่า
“เจ้าไสหัวไป!”
โค้วเพ้งถึงกับกำหมัดแนบแน่น เขม้นมองฝ่ายตรงข้าม มันยังจดจำวาจาปึงเซียะได้ว่า ฉี้อิงกับซิเล้งตอนนี้อยู่ในอารมณ์โศกเศร้า หากถูกศัตรูประทุษร้ายคงยากรักษาชีวิต
ท่าวาดหมัดของมันพอแสดงออก ก็ปรากฏพลังแผ่ทะลักใส่ฝ่ายตรงข้าม อึ้งไถ่ถึงกับร้องโพล่งว่า
“ประหลาดแท้ เจ้ากลับมีพลังฝีมือมิต่ำทราม”
พลันสืบเท้าไปหนึ่งก้าว คุกคามถึงเบื้องหน้าโค้วเพ้งในบัดดล
โค้วเพ้งรู้สึกตาลายพร่างพราย รีบรวบรวมกำลังต่อยหมัดออก การจู่โจมครานี้กระทำอย่างเหมาะสมยิ่ง อึ้งไถ่มิเพียงไม่อาจใช้วิชาคว้าจับคร่ากุม ยังต้องชะงักสภาวะพุ่งเข้าหา สะบัดชายเสื้อออกต้านรับ
ได้ยินเสียงระเบิดดังโครม อึ้งไถ่ส่ายร่างโงนเงนเล็กน้อย บัดนี้ค่อยสังเกตพบว่าพลังหมัดของโค้วเพ้ง หนักหน่วงปานบรรพตทีเดียว
อึ้งไถ่แค่นหัวร่อเฮอะฮะอย่างดาลเดือด ชายเสื้อทั้งสองข้างกวาดออก แยกย้ายเป็น หนึ่งแกร่งกร้าวหนึ่งอ่อนหยุ่นทะลักทลายใส่
โค้วเพ้งทยอยต่อยหมัดออก แว่วเสียงโครมโครมสองครั้ง กลับปัดป้องรับไว้ได้โดยมิเป็นอัตราย
อึ้งไถ่ทุ่มเทท่าร่างที่รวดเร็ว วิ่งวนรอบโค้วเพ้ง จนผู้คนมิอาจจำแนกเงาร่างได้
โค้วเพ้งแม้ตกอยู่ท่ามกลางเงามายา ยังคงต่อยหมัดอย่างดุดัน สภาวะจู่โจมยังคงต่อเนื่องมิติดขัด นี่เป็นวิชาซึ่งฉี้อิงเมื่อครั้งหนึ่งเดือนก่อนถ่ายทอดให้ เพลงหมัดชั้งคุ้ง (หมัดพิการ)
เพลงหมัดนี้มีทั้งสิ้นยี่สิบสี่กระบวนท่า สามารถเริ่มใช้ตั้งแต่ท่าแรกจนสิ้นสุด และทบทวนใช้ได้ตลอดเวลา วิถีหมัดล้วนหนักหน่วงแกร่งกร้าว กำลังภายนอกยิ่งเข้มแข็งปานใด จะยิ่งแผ่อานุภาพปานนั้น
ฉี้อิงขณะคัดเลือกวิชาหมัดพิการถ่ายทอดให้มัน ได้ผ่านการขบคิดพิจารณาแล้วค่อยตกลงใจ นางกล่าวกับโค้วเพ้งว่า
“เพลงหมัดนี้ เป็นซือแป๋เรานงคราญยะเยือกบัญญัติขึ้น เพลงหมัดนี้ผิวเผินสอดคล้องต่อเนื่องกัน แต่ความจริงยังบกพร่องอยู่บ้าง จำต้องเพิ่มเติมกระบวนท่าอื่นหนุนส่ง เพลงหมัดนี้ค่อยสมบูรณ์ เพียงแต่ท่านผู้เฒ่าไม่มีเวลาคิดค้นจริงจัง จวบจนบัดนี้ยังพิการบกพร่อง
“ข้าพเจ้าคราก่อน ได้ยินซือแป๋เอ่ยอ้างเช่นนี้ จึงสะกิดความสงสัยใจ และหมกมุ่นฝึกปรือ แต่เนื่องจากเพลงหมัดนี้ อนุญาตให้บุคคลที่มีกำลังภายนอกอันเข้มแข็งฝึกปรือ สำหรับเรานับว่าปราศจากคุณประโยชน์”
โค้วเพ้งเนื่องจากรับประทานเนื้อจ้าวแมลงป่อง จนชะล้างโครงกระดูก และยังได้รับการเสริมส่งจากฉี้อิง ฝึกฝนวิชามังกรทองพิทักษ์เสาอันเยี่ยมยอด วิชาพลังภายนอกของโค้วเพ้งนับได้ว่า สำเร็จสูงล้ำสุดเปรียบประมาณ
บัดนี้ เพลงหมัดพิการพอสำแดงออก แม้ตกอยู่ท่ามกลางเงามายา แต่พละกำลังที่ทุ่มเทใส่ มิเป็นรองอึ้งไถ่ซึ่งมานะฝึกฝนมาหลายสิบปี จึงสร้างความแตกตื่นตระหนกอย่างยิ่งยวด
โค้วเพ้งจู่โจมอีกเจ็ดแปดหมัด พบว่าคู่ต่อสู้ได้ถอยกายเจ็ดแปดก้าว จึงยั้งมือกระโดดปราดออกมา รักษาที่มั่นไว้
อึ้งไถ่มีเพลิงอำมหิตลุกฮือโหม สีหน้าปรากฏแววชั่วร้าย พลันสะอึกร่างเข้าใส่อีกครา นิ้วทั้งห้ากางงองุ้มดั่งตะขอ ตะกุยใส่ศีรษะของโค้วเพ้ง!
นิ้วทั้งห้าของมันแฝงด้วยพลังภายในอันรุนแรง โค้งเพ้งต้องเบี่ยงศีรษะมาด้านข้าง สองหมัดพุ่งออกโดยพร้อมเพรียง ทางหนึ่งปัดป้อง ทางหนึ่งตีโต้
พลังเย็นที่แผ่พุ่งจากนิ้วทั้งห้าของอึ้งไถ่ตะกุยถูกต้นแขนของโค้วเพ้ง ตามการคาดคิดของทารกผู้นี้เปลือกนอกหาเป็นไรไม่ แต่กระดูกเส้นเอ็นคงรับความกระทบกระเทือนอย่างสาหัส
มันจึงถีบเท้าลงสู่พื้นดิน เร่งเร้าพลังกระแสใหม่ กระแทกใส่ซ้ำเติมอีกฝ่ามือ โค้วเพ้งก็ต่อยหมัดตอบโต้
หนึ่งชราหนึ่งทารกก็พลันตูอย่างดุดัน แลเห็นสองเท้าโค้วเพ้งเคลื่อนไหวอยู่ในรัศมีเพียงสี่เชียะ ต่อสู้กับศัตรูอย่างสุดกำลัง ในยามกระทันหัน ถึงกับหักล้างกันอย่างคู่คี่ก้ำกึ่ง
ทั้งสองฝ่ายพัวพันกันกว่าสามสิบกระบวนท่า อึ้งไถ่ยิ่งนานยิ่งอำมหิต ตัดสินใจว่าจะต้องทุ่มเทความสามารถทั้งมวลปลิดชีวิตทารกผู้นี้ให้จงได้
ผ่านพ้นไปอีกยี่สิบกระบวนท่า อึ้งไถ่พลันตวาดก้อง สะอึกกายเข้าใกล้ ฝ่ามือหนึ่งสยบภาวะหมัด อีกฝ่ามือหนึ่งเสือกใส่เข้า กระแทกทรวงอกโค้วเพ้ง
ที่แท้อึ้งไถ่ทางหนึ่งทุ่มเทท่าร่างบุกฝ่าเข้ามาในม่านหมัดของโค้วเพ้ง อีกทางหนึ่งก็ลงมือสะกดการจู่โจมจากฝ่ายตรงข้าม คราครั้งนี้เนื่องจากโค้วเพ้งมีท่วงท่าชะลอชักช้าไปชั่ววูบ จึงถูกอึ้งไถ่ฉกฉวยโอกาสทำร้าย
แต่มันก็ทราบว่าพฤติการณ์นี้ มีผลกระทบกระเทือนต่อมัน กล่าวคือขณะที่มันถลันร่างเข้ามาสะกดภาวะหมัด กำลังหมัดจากโค้วเพ้งได้ทุ่มเทมาแล้ว ยามต้านรับอย่างหักโหม ต้องเสื่อมสูญกำลังมิน้อย เพียงแต่คราครั้งนี้หากประสบความสำเร็จก็ลบล้างความเสียหายได้
มันนับว่าสามารถจู่โจมถูกเป้าหมายสมปรารถนา จึงรีบถลันกลายล่าถอยมาหกเจ็ดเชียะ คอยจับจ้องฝ่ายตรงข้ามขาดใจตายไปอย่างเยือกเย็น
โค้วเพ้ง มีใบหน้าเป็นสีม่วงจางๆ เรือนร่างส่ายโงนเงนไปมา มีสภาพราวกับคนเมามาย เพียงส่ายร่างเล็กน้อยก็ยืนหยัดได้!
อึ้งไถ่ ทั้งตระหนกทั้งคลางแคลง ได้ยินโค้วเพ้งกระชากเสียงว่า
“ท่านหากกล้าต่อสู้สืบต่อ ข้าพเจ้าก็สามารถต่อยท่านตกตายไป”
กระแสเสียงเข้มแข็งกังวาน หามีสภาพได้รับบาดเจ็บไม่ อึ้งไถ่หลังจากสงบอารมณ์เล็กน้อยจึงกล่าว
“เจ้าฝึกปรือวิชาคุ้มครองร่างอันใด?”
“ข้าพเจ้าไม่พูดจากับท่าน”
โค้วเพ้งแม้มิใช่คนโง่เขลา แต่ก็ไม่ชาญฉลาดนัก ที่มิยอมแพร่งพรายต่อฝ่ายตรงข้ามว่า ตนเองฝึกปรือวิชาคุ้มครองร่างอันใด เนื่องเพราะยามขุ่นเคือง ไม่ยอมสนทนากับฝ่ายตรงข้าม หาคาดไม่ว่าการนี้ ได้ช่วยชีวิตของมันไว้!
สมควรทราบว่า อึ้งไถ่รอบรู้กว้างขวาง หากแม้นมันทราบว่าวิชาที่โค้วเพ้งฝึกปรือคือ มังกรทองพิทักษ์เสา ขอเพียงมันยินยอมสละพลังภายในที่ฝึกฝนมาสักแปดหรือสิบปี ก็สามารถสำแดงวิชาอันชั่วร้าย สยบวิชาคุ้มครองกายชนิดนี้ ปลิดชีวิตโค้วเพ้งได้
แผนการของอึ้งไถ่ตอนนี้ เพียงคิดรีบเร่งกำจัดโค้วเพ้ง แล้วค่อยบุกฝ่าเข้าสู่ทางลับใต้ดิน จัดการกับซิเล้งและฉี้อิง
อึ้งไถ่หมุนกายไปรอบๆ หนึ่งตลบ ฝ่ามือข้างหนึ่ง ฉวยโอกาสที่ใช้ท่าร่างเป็นเครื่องปกปิดล้วงหยิบวัตถุจากถุงย่าม นั่นเป็นวงแหวนสีดำมะเมื่อมคู่หนึ่ง
มันจัดการสวมใส่ลงบนนิ้วกลางของทั้งสองมือ ที่แท้วงแหวนทั้งสองมีเข็มทองเหลืองยาวประมาณครึ่งนิ้วยื่นออกมา ยามใดกระแทกถูกศัตรู เข็มบนวงแหวน สามารถทิ่มแทงใส่ผิวเนื้อฝ่ายตรงข้าม
แน่นอน เข็มวงแหวนนี้ย่อมอาบยาพิษร้ายแรงอยู่ ยามนี้เห็นอึ้งไถ่ถลันร่างถึงเบื้องหน้าโค้วเพ้ง ลงมือจู่โจมอย่างฉับไว
โค้วเพ้ง ต่อยหมัดน้อยคืนสนอง คราครั้งนี้กลับลงมือพันตูเกรี้ยวกราดกว่าเดิม ที่แท้โค้วเพ้งความจริงมิเคยมีประสบการณ์ก่อน ดังนั้นทุกครั้งที่พันตูท่าร่างจะรุดหน้าอีกก้าวหนึ่ง อีกทั้ง โค้วเพ้งยามเดือดดาล อานุภาพย่อมผิดแผกไป
ทั้งสองฝ่ายพุ่งฉวัดเฉวียน หักโค่นกันสี่สิบกว่ากระบวนท่า อึ้งไถ่พลันรุกรานเข้ามาในม่านหมัด สะบัดฝ่ามือกระแทกใส่ทรวงอกโค้วเพ้ง
อึ้งไถ่มีเจตนาใช้เข็มพิษทำร้ายศัตรู ดังนั้นกระแสพลังจึงแกร่งกร้าวมากกว่าเดิม กระแทกโค้วเพ้งถอยกายไปสองก้าว
อึ้งไถ่พอสำนึกว่า เข็บนวงแหวนได้ทิ่มแทงใส่ร่างฝ่ายตรงข้าม ก็อาศัยสภาวะถอยปราดมาหลายเชียะ คอยสังเกตปฏิกิริยาของโค้วเพ้ง
เรือนร่างโค้วเพ้งไม่ส่ายโงนเงน สีหน้าก็มิมีสภาพผิดปรกติ แต่อึ้งไถ่หาได้รู้สึกแตกตื่น ทั้งนี้เพราะมันเพียงต้องการทดสอบความสำเร็จของฝ่ายตรงข้าม
นั่นคือเข็มพิษบนวงแหวนที่สวมอยู่ข้างขวาของอึ้งไถ่นี้ เพียงใช้สำหรับพิสูจน์ว่า ศัตรูผู้เข้มแข็งฝึกปรือแนววิชาประเภทใด ดังนั้นอึ้งไถ่จึงจับตาสังเกตดูผลสะท้อนจากศัตรู
โค้วเพ้ง ยามนี้ทราบว่าฝ่ายตรงข้ามมีพลังฝีมือสูงเยี่ยม ชั่วพริบตาเดียวก็สามารถกระแทกตนเองหนึ่งฝ่ามือ แต่ทว่าตนหามีจิตไหวหวั่นไม่ ทั้งนี้เพราะแม้จะถูกกระแทกจนถอยไปสองก้าว ก็ไม่ปวดคันแม้แต่น้อย
มันรีบสะอึกปราดไปสองก้าว ร้องว่า
“พวกเราต่อยตีกันอีก”
อึ้งไถ่พบว่า ฝ่ายตรงข้ามมิมีสภาพผิดปรกติ ค่อยตื่นตระหนกอย่างใหญ่หลวง คำนึงขึ้น
“เข็มพิษเล่มนี้ ใช้ทดสอบมาหลายครา มิเคยปราศจากประสิทธิภาพเฉกเช่นวันนี้เลย…”
มันพลันบังเกิดความคิดอันชั่วร้ายขึ้น ตกลงใจว่าครั้งต่อไป จะจัดการปลิดชีวิตคู่ต่อสู้ ควรทราบว่ามันเพิ่งใช้เข็มพิษบนวงแหวนข้างขวา ส่วนแหวนเข็มพิษวงซ้ายมือยังมิทันใช้จู่โจมออก
เชื้อพิษที่อาบอยู่บนเข็มเล่มซ้ายมือเป็นพิษร้ายแรง มาตรแม้นจะเป็นปรมาจารย์ที่ฝึกปรือพลังคุ้มครองตนจนสูงล้ำ พอถูกเข็มทิ่มแทง ก็มิมีทางรักษาชีวิตได้!
อึ้งไถ่ โถมร่างเข้าหาอีกครา จู่โจมด้วยสภาวะอันเกรี้ยวกราดดุดัน เพียงแต่โค้วเพ้งหลังจากถูกทำร้ายหลายครา ก็พยายามป้องกันต้านรับอย่างสุดความสามารถ ทั้งๆ ที่หักโหมกันถึงเจ็ดสิบกว่ากระบวนท่า ก็ยังไม่มีโอกาสฉกฉวยได้
ความจริงแล้ว อึ้งไถ่เสื่อมสูญพละกำลังไปมากมาย สามารถหักโหมกับศัตรูอีกเพียงครั้งเดียว จึงเร่งเร้ากระบวนท่าประเดประดังรุกไล่
จวบจนถึงกระบวนท่าที่เก้าสิบ อึ้งไถ่จึงเสาะพบโอกาส โถมปราดเข้าใส่อย่างดุร้าย ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งปิดป้องท่าหมัดของศัตรู ฝ่ามือซ้ายฟาดฉาดถูกชายโครงโค้วเพ้ง
ฝ่ามือนี้ กระแทกจนเด็กหนุ่มถอยกายไปสี่ก้าว อึ้งไถ่มิชะลอชักช้า รีบถลันร่างไปยังปากทางเข้าสู่อุโมงค์ใต้ดินทันที
ทั้งนี้เพราะอึ้งไถ่มั่นใจว่า โค้วเพ้งย่อมต้องตกตายทันที ดังนั้นมิจำเป็นต้องเหลือบแลอีก
คาดมิถึงเรือนร่างเพิ่งสะอึกไป เบื้องหน้ากำลังอันหนักหน่วงสุดเปรียบสายหนึ่ง พลันทะลักเข้าสกัดขวาง อึ้งไถ่เมื่อครู่เสื่อมสูญพลังภายในแทบหมด จึงมิกล้าต้านรับอย่างหักโหม รีบแปรเปลี่ยนสภาวะ ถอยปราดไปด้านหลัง
ยามนี้มันมีสีหน้าผิดปรกติยิ่ง ที่แท้ผู้ลงมือขัดขวางมัน กลับเป็นโค้วเพ้ง!
อึ้งไถ่ บังเกิดความแตกตื่นตระหนกอย่างแท้จริง ยามนี้มันเสื่อมสูญกำลังภายในสิ้น ตัดสินใจหลบหนีถลันปราดไปยังประตูห้องโถงราวสายฟ้าแลบพุ่ง
โค้วเพ้งยามงงงันไปวูบหนึ่ง ก็ปราศจากเงาร่างของศัตรูแล้ว ถึงกับขมวดคิ้วพึมพำว่า
“เฒ่าผู้นี้เลวร้ายจริงๆ ปึงเจกเจ่กหากมิใช่ห้ามไม่ให้เราไปจากที่นี้ คงต้องไล่ล่าหามันมาต่อยตีให้สมใจ”
ยามนี้ มันสังเกตพบว่า ภายในห้องโถงมืดมิดยิ่ง คาดว่าการพันตูเมื่อครู่ สูญเสียเวลามิน้อย
โค้วเพ้งเงี่ยหูรับฟังดู ยามนี้ซิเล้งกับฉี้อิงปราศจากสุ้มเสียงใดแว่วออกมา คาดว่าคงร่ำไห้จนเหน็ดเหนื่อยและหลับใหลไป ตนสั่นศีรษะอย่างเห็นใจ คำนึงขึ้น
“…ฉี้ซ่อซ้อ น่าสงสารยิ่งนัก เทพยดาฟ้าดินไม่สมควรลิขิตให้นางต้องเศร้าโศกปานนี้เลย…”
ทันใดสุมเสียงแผ่วเบาดังกระทบโสต โค้วเพ้งรีบเบือนสายตามองไปตามเสียง จำแนกออกว่า นั่นเป็นเสียงฝีเท้าเดินเหิน
ปรากฏหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี สาวเท้าก้าวเข้าสู่ห้องโถงมา
โค้วเพ้งจดจำออกว่า ผู้มาคือกิมเม้งตี้กับกี้เฮียงเค้ง คราครั้งกระโน้นพวกมันเคยรุดสู่คฤหาสน์ตระกูลโค้วรังควานซิเล้งกับฉี้อิง ได้ยินกิมเม้งตี้กล่าวว่า
“ท่านดู นั่นมิใช่ทารกคนนั้นหรือ เพียงมิพบพานหนึ่งเดือนไฉนเติบใหญ่เพียงนี้ ประกายตาแจ่มกระจ่าง แสดงว่ามีพลังการฝึกปรือลึกล้ำ นับว่าน่าประหลาดนัก หรือพวกซิเล้งมีความสามารถลึกล้ำใด?”
ฝ่ายโค้วเพ้งทราบดีว่า กิมเม้งตี้เป็นศัตรูกับซิเล้ง แต่กี้เฮียงเค้งกลับเป็นสหายอันประเสิรฐของซิเล้งและฉี้อิง สำหรับกิมเม้งตี้ตอนนี้ มิอาจนับเป็นคู่แค้นกัน เนื่องจากคนทั้งสองมีการนัดแนะว่า ภายในกำหนดหนึ่งปีมิรุกรานต่อกัน
มันจึงเรียกหาทั้งสองว่า กิมเจกเจ่ก (อาแซ่กิม) กับกี้โกวโกว (อาหญิงแซ่กี้) พร้อมกับถามว่า
“พวกท่าน คงคิดพบพานซิเจกเจ่กกับฉี้ซ่อซ้อกระมัง?”
กิมเม้งตี้บังเกิดความมิพอใจในคำเรียกหา “ฉี้ซ่อซ้อ” ของโค้วเพ้ง ซึ่งคล้ายกับว่าบุรุษดรุณีคู่นี้เป็นสามีภรรยากันแล้ว แต่มันยังระงับอารมณ์ได้กล่าวว่า
“พวกมันอยู่ที่นี้กระมัง?”
“พวกเขาทั้งสองเมื่อครู่ร่ำไห้เป็นเวลานาน ตอนนี้คงหลับใหลไปแล้ว”
ในคำตอบของโค้วเพ้ง มีเจตนามิให้พวกซิเล้งได้รับความแตกตื่น
กี้เฮียงเค้งทราบดีว่า โค้วเพ้งหากตอบคำมิเหมาะสม อาจก่อกวนจนกิมเม้งตี้บังเกิดเพลิงอำมหิต จึงรีบกล่าวว่า
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ดังนั้นเจ้าจึงเฝ้ารักษาอยู่ปากทาง มิอนุญาตให้บุคคลอื่นเข้าไป นี่นับเป็นการกระทำอันถูกต้อง ไม่เสียทีที่พวกซิเล้งให้ความเมตตาต่อเจ้า”
นางเมื่อกล่าวเช่นนี้ กิมเม้งตี้ก็ไม่อาจตวาดให้โค้วเพ้งเปิดทางแล้ว พร้อมกับนั้นกี้เฮียงเค้งได้ถามไถ่ว่า ขณะเฝ้ารักษาอยู่ได้บังเกิดเรื่องราวอันใด
โค้งเพ้งก็บอกเล่าเหตุการณ์ตามความสัตย์จริง กิมเม้งตี้รับฟังจนปากอ้าตาค้างยากเชื่อถือ
กี้เฮียงเค้งถามว่า
“ถ้าเช่นนั้นตอนที่เจ้าถูกเข็มในฝ่ามือของอึ้งไถ่ ทิ่มแทงหรือมิมีความรู้สึกใดๆ เลย?”
โค้วเพ้งหัวร่อพลางกล่าวว่า
“ความจริง เนื้อของเรามิถูกทิ่มแทงเลย ข้าพเจ้าเคยทดสอบดู โดยนำเข็มแทงใส่ท่อนขา ดูไปคล้ายจมลึกลงไปในเนื้อ แต่ความจริงผิวหนังไม่ถูกแทงทะลุ”
“อ้อ มิน่าเล่า แผนการชั่วร้ายของมันจึงมิประสบผล เม้งตี้ ท่านว่าเข็มพิษบนวงแหวนของอึ้งไถ่สองเล่มมีเลศนัยน่าคลางแคลงหรือไม่?”
กิมเม้งตี้ คอยรับฟังอย่างจดจ่อ กี้เฮียงเค้งกล่าวอีกว่า
“อาวุธลับชนิดนี้ยากเสาะหา ย่อมต้องมีคุณประโยชน์เป็นพิเศษ พิษร้ายที่อาบอยู่บนวงแหวนทั้งสองอันของมันย่อมแตกต่างกัน คาดคำนวณจากคำบอกเล่าของโค้วเพ้ง เข็มพิษบนฝ่ามือทั้งสองข้าง ใช้ออกตามลำดับก่อนหลัง”
กิมเม้งตี้ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ผงกศีรษะเห็นห้องด้วย
ในยามนี้มันคิดจะขยับกาย ลงไปตรวจตราดูซิเล้งกับฉี้อิง แต่พลันฉุกคิดได้ว่า หากไปพบเห็นมันทั้งสองนอนหลับอยู่ด้วยกัน ย่อมต้องบังเกิดอารมณ์หึงหวงอาฆาต มิอาจระงับอารมณ์ลงมือมิได้ จึงล้มเลิกความคิดไป
กี้เฮียงเค้งที่อยู่ด้านข้าง ก็จับจ้องมองสีหน้าอันพิสดารของมัน คำนวณออกถึงความในใจฝ่ายตรงข้าม คำนึงขึ้น
“…แสดงว่ามันมีความรักใคร่ต่อฉี้อิงม่วยม่วย อย่างลึกซึ้งจริงใจ อา…”
นางบังเกิดความเวทนาในตัวเอง จนอดทอดถอนหายใจมิได้
กิมเม้งตี้พลันกล่าวว่า
“อาเค้ง (คำเรียกหาที่สนิทสนม) ท่านเข้าไปดูพวกมัน หากโศกเศร้าจนเกินไป จนสติเลอะเลือน ก็ใช้วิชานวดเฟ้น ช่วยฟื้นฟูโดยเร็ว เรากับโค้วเพ้งจะออกไปสำรวจเบื้องนอกสักคราหนึ่ง”
กี้เฮียงเค้ง ทราบว่า มันมีเจตนาหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ จึงผงกศีรษะกล่าวว่า
“ตกลง เซี่ยวเพ้งเจ้าติดตามกิมเจกเจ่กไปเถอะ”
โค้วเพ้ง เชื่อฟังคำบงการของกี้เฮียงเค้ง ติดตามกิมเม้งตี้ออกไป
กี้เฮียงเค้งหันกายก้าวลงไปในทางลับ เดินถึงห้องหับใต้ดินแลเห็นฉี้อิงหมอบฟุบกายบนเตียงนอน เรือนร่างยังสั่นสะท้านอยู่น้อยๆ สะอึกสะอื้นเบาๆ ส่วนซิเล้ง กระแทกกายนั่งบนพื้นดิน กำลังผนึกลมปราณใกล้เสร็จสมบูรณ์
นางกวาดมองรอบบริเวณตลบหนึ่งพลันร้องว่า
“อาเล้ง พวกท่านเป็นอย่างไร?”
ซิเล้งลืมตาขึ้น กล่าวอย่างลิงโลด
“เค้งเจ้เจ๊มาแล้ว”
ทั้งสองกราบกรานฟ้าดิน สาบานเป็นพี่สาวน้องชาย จึงมีคำเรียกหาเช่นนี้ กระแสเสียงของซิเล้ง ก็เต็มไปด้วยความปลื้มปีติ ให้ความเคารพราวกับเจ้เจ๊แท้จริง
กี้เอียงเค้งสาวเท้ามานั่งลงข้างเตียง ยื่นมือลูบคลำจุดเส้นบริเวณกลางหลังฉี้อิง ส่วนจิตใจถูกไมตรีอันจริงจังของซิเล้งสร้างความตื้นตัน รู้สึกว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้คล้ายกับน้องชายร่วมสายโลหิตทีเดียว
นางกล่าวว่า
“ข้าพเจ้ากับกิมเม้งตี้เร่งรุดมาด้วยกัน เมื่อครู่อึ้งไถ่ได้มารุกรานพวกท่านแต่ถูกโค้วเพ้งขัดขวางเอาไว้”
ส่วนฉี้อิงก็ถูกสำเนียงสนทนาของทั้งสอง ก่อกวนจนตื่นขึ้นมา พอพบกี้เฮียงเค้ง ก็ร่ำไห้ออกมา กี้เฮียงเค้งลูกคลำผมเผ้าอันนุ่มสลวยของนาง ปลอบประโลมด้วยวาจาอันอ่อนโยน
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป