๒๗
♦ ร่ำไห้โดยพร้อมเพรียง ♦
……………
ซิเล้งผงกศีรษะกล่าวว่า
“ฉี้โกวเนี้ยหากเร่งรุดมามิพบพวกเราเกรงว่า…”
ตนขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เสาะหาทารกจากละแวกใกล้เคียงมาหลายคน มอบเศษเงินและกำชับให้วิ่งเล่นอยู่ที่นี้ หากพบดรุณีสาวนำพาหนึ่งทารกชายหนึ่งทารกหญิงมา ก็บ่งบอกให้ไปเสาะหาพวกตนทางด้านข้าง
พอสั่งการเรียบร้อย ซิเล้งกับปึงเซียะรวมทั้งนางแมลงป่อง พากันมาถึงภายในดงไม้อันมิดชิด
ปึงเซียะพลันกล่าวว่า
“ข้าพเจ้านับว่าพบเห็นไม้ตายของซิเฮียแล้ว แต่ท่านกลับมิเคยรับทราบวิชากระบี่ของสำนักเรามาก่อน นั่นออกจะไม่ยุติธรรม ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า ให้โกวเนี้ยท่านนี้ประลองฝีมือแทนซิเฮียสักหลายกระบวนท่า จากนั้นเราสองค่อยประมือกัน เพียงมิทราบโกวเนี้ยท่านนี้ยินยอมหรือไม่?”
นางแมลงป่อง แย้มยิ้มให้กับซิเล้งอย่างหยาดเยิ้ม แล้วล้วงหยิบตะขอเงินคู่มือออกมากล่าวว่า
“เรื่องราวของผู้อื่นเรามิคิดยุ่งเกี่ยว แต่เมื่อเป็นเรื่องของซิเฮีย ย่อมต้องยินดี เพียงแต่ตะขอเราคู่นี้อาบยาพิษ ยังขอให้ระมัดระวังด้วย”
ปึงเซียะ กล่าวขอบคุณในคำตักเตือน แล้วจึงร้องเชิญ ดึงกระบี่ยาวออกมา ทุ่มเทสมาธิอย่างพรักพร้อม
นางแมลงป่อง ก้าววนเวียนอยู่รอบกายมันตลบหนึ่ง สีหน้าของนางแม้ยังยิ้มแย้มยั่วยวน แต่ความจริงได้รวมรั้งสมาธิอย่างจดจ่อ
นางก้าววนอีกหนึ่งตลบ แล้วเสือกแทงตะขอเงินจู่โจมออกไป ปึงเซียะก็สะบัดกระบี่เข้าต้านรับ
ซิเล้ง สังเกตกระบวนท่ากระบี่ รู้สึกปราศจากความพิสดารอันใด เพียงแต่พลังที่ใช้ ลึกล้ำแกร่งกร้าวนัก ยังเหนือกว่านางแมลงป่องอีก
สำหรับข้อนี้ มิใช่เรื่องธรรมดา ควรทราบว่านางแมลงป่องมีเกียรติภูมิในวงนักเลงยิ่ง มีความสำเร็จอันแท้จริง สามารถดำรงชื่อเสียงโดยมิถูกโค่นล้ม
ส่วนปึงเซียะอายุยังเยาว์ มิเคยท่องเที่ยวอยู่ในวงนักเลงมาก่อน ปราศจากชื่อเสียงเรียงนาม วันนี้พอลงมือกลับพิสูจน์ ความสามารถที่สูงส่งกว่านางแมลงป่อง ไยมิทำให้ผู้คนแตกตื่นตระหนก?
นางแมลงป่อง พอพบว่าฝ่ายตรงข้าม ต้านรับอย่างรัดกุม ก็มิเกรงใจอีก ตะขอคู่ตะกุยใส่เป็นประกายอันเจิดจ้าผืนใหญ่ โหมจู่โจมอย่างสุดกำลัง
นางทราบดีว่ายากเอาชัยฝ่ายตรงข้ามได้ เพียงคิดรุกไล่จนเพลงกระบี่ของมันปั่นป่วน อึดใจเดียวก็โหมใส่ไปสิบกว่ากระบวนท่า
หาคาดไม่ว่า นางพอต่อสู้อย่างรุนแรง กระบี่ของปึงเซียะก็แผ่พุ่งพลังเพิ่มขึ้น ยังคงสามารถต้านรับอย่างมั่นเหมาะ นางแมลงป่อง มิเพียงไม่อาจรุกไล่มันล่าถอย กลับรู้สึกว่าตัวเองแทบมิอาจปักหลักยืนกายสืบต่อไป
คราครั้งนี้ นางทุ่มเทไม้ตายแทบหมดสิ้น ยังมิอาจมีเปรียบแม้แต่น้อย ดังนั้นหลังจากการจู่โจมอีกยี่สิบกระบวนท่า ก็บังเกิดความคิดหมายรั้งอาวุธล่าถอย
คาดมิถึงว่า พอบังเกิดความคิดเช่นนี้ สภาวะกระบี่ของคู่ต่อสู้มีการดูดพันอย่างแนบแน่น ขอเพียงนางรามือล่าถอย จะถูกตีโต้จากศัตรูจนตกตายคาคมกระบี่!
ในยามอับจนปัญญา ได้แต่จู่โจมตะขอราวพายุ ดูไปคล้ายดั่งมุ่งต่อสู้อย่างดื้อรั้น
ซิเล้ง ยิ้มน้อยๆ เพลงกระบี่คุนลุ้น แม้รัดกุมเข้มแข็ง มิแน่นักว่าจะต้านรับหกกระบวนท่ามหรรณพของตนได้
จากนั้น ตนพลันพบเห็นว่าวิชากระบี่ที่มุ่งแต่ต้านรับของฝ่ายตรงข้ามนี้ คล้ายดั่งใช้ต้านทานหกกระบี่มหรรณพโดยเฉพาะ นับว่าน่าพิศวงสงสัยแล้ว
ทั้งสองหักล้างกันกว่าห้าสิบกระบวนท่า นางแมลงป่อง แม้มุ่งจู่โจมอย่างดุร้ายเช่นเดิม แต่ความจริงกลับกลายเป็นผู้ถูกบังคับให้เคลื่อนไหว ไม่มีทางควบคุมสถานการณ์ได้เลย
ซิเล้งพลันได้ยินนางส่งเสียงหอบหายใจ บังเกิดความตื่นเต้นสงสัย หลังจากที่คราแรกไม่เข้าใจว่า นางไฉนยังมุ่งพัวพันโดยมิยอมเลิกรา บัดนี้พอจับจ้องอย่างสนใจ ก็พบความผิดปรกติ และสร้างความตื่นตระหนกแก่ตนอย่างใหญ่หลวง!
ที่แท้ใบหน้าของนางแมลงป่อง มีเหงื่อกาฬแตกชุ่มโชก หอบหายใจอยู่ตลอดเวลา ซิเล้งคราแรกมิทันสังเกตสนใจ บัดนี้ค่อยล่วงรู้ว่านางแมลงป่อง มิอาจไม่ลงมือ ตกอยู่ในสภาพสูญสิ้นเรี่ยวแรงแทบมิอาจดำรงสืบต่อไป
วิชากระบี่แนวทางอ่อนหยุ่นสุดยอดของปึงเซียะชนิดนี้ นับว่าร้ายกาจสุดแสน ขณะต้านรับสามารถคุกคามฝ่ายตรงข้ามเหน็ดเหนื่อยจนตกตาย!
นี่เป็นหลักวิชา “อาศัยอ่อนหยุ่นสยบแกร่งกร้าว” แน่นอนปึงเซียะ ย่อมสามารถกำจัดนางแมลงป่องแต่เนิ่นๆ แต่นี่เป็นเพียงการประลองฝีมือ ดังนั้นแม้ทราบช่องว่างรอยโหว่ ก็มิได้ตีโต้กลับไป
พริบตาเดียว หักล้างกันอีกยี่สิบกว่ากระบวนท่า ปึงเซียะยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิกรา ซิเล้งก็ขบคิดมิออกว่าเป็นสาเหตุใด
ดังนั้นกระชากกระบี่ออกมา พลังอันเกรี้ยวกราดอำมหิต ก็แผ่กระจายออกจากร่าง
รังสีกระบี่ของซิเล้ง พลันสร้างความหวั่นไหวต่อปึงเซียะ มันกวาดตามองมา รีบสะบัดกระบี่ยาว ดูดตะขอคู่ของนางแมลงป่อง เสือกพุ่งออกไปด้านข้าง
นางแมลงป่องมิอาจขัดขืน ร่างพุ่งละลิ่วกระแทกกายลงบนพื้นดิน ฟังจากสำเนียงรู้สึกผิดท่า เห็นนางล้มฟุบบนพื้น หอบหายใจจนร่างงองุ้ม จึงรีบวิ่งปราดเข้าหา
ปึงเซียะพอถลันไปช่วยเหลือนางแมลงป่อง ซิเล้งจึงมิอาจทุ่มเทสภาวะจู่โจม รีบล้มเลิกความคิดสลายพลังไป
ปึงเซียะทรุดกายนั่งลงข้างกายนางแมลงป่อง จัดให้นางนั่งขัดสมาธิ จากนั้นใช้วิชาของคุนลุ้น ตบใส่เส้นที่ส่วนหลัง กระแทกกระเทือนจนเส้นโลหิตของนางแผ่กระจายลมปราณ ช่วยอาการหอบหายใจสูญสิ้นไป
ปึงเซียะช่วยเหลือจนนางแมลงป่องสามารถผนึกกำลังพักผ่อนแล้ว ค่อยสาวเท้าเข้าหาซิเล้ง ฝืนหัวร่อกล่าวว่า
“ข้าพเจ้ามิทราบว่าพลังภายในของนางเสื่อมสูญไป หากมิใช่ซิเฮียลงมือทันท่วงที อาจก่อกวนเป็นเภทภัยขึ้น”
ซิเล้งกล่าวว่า
“ปึงเฮียในเมื่อไม่มีเจตนา ก็มิต้องใส่ใจ บัดนี้ข้าพเจ้ายินดีรับคำแนะนำจากท่านแล้ว”
“เราสองมิต้องประลองแล้ว ซือแป๋เคยกล่าวว่า หากแม้นผู้อื่นรู้ซึ้งถึงความพิสดารของวิชากระบี่นี้ ก็มิต้องใช้จู่โจม เมื่อครู่ท่านเห็นได้และขัดขวางทันเวลา แสดงว่าข้าพเจ้ามิต้องพิสูจน์ฝีมือกับท่านเลย”
ปึงเซียะก็ฟื้นฟูบุคคลิกอันสงบเยือกเย็นอย่างรวดเร็วกล่าวว่า
“ซิเฮียคงมิทราบว่า วิชากระบี่ไพศาลนี้ ซือแป๋เราเมื่อบัญญัติขึ้นมา เพื่อต้านรับหกกระบวนท่ามหรรณพของซิเฮียโดยเฉพาะ”
“ข้าพเจ้ามิทราบมาก่อนเลย ปึงเฮียยังคงบ่งบอกโดยละเอียด”
“ซือแป๋เมื่อห้าสิบปีก่อนได้ท่องเที่ยวอยู่ในวงนักเลง ภายหลังมีวาสนาพบพานท่านผู้อาวุโสแซ่อาวเอี้ยง ยามวิจารณ์ถึงวิชาฝีมือ รู้สึกนิยมชอบพอ แต่ในที่สุดซือแป๋เราก็พ่ายแพ้ต่อหกกระบวนท่ามหรรณพ”
ซิเล้งถึงกับปากอ้าตาค้างไป กล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้นปึงเฮียก็เป็นทายาทของผู้อาวุโสแห่งสำนักคุนลุ้นสมญาแป๊ะเท่าอง (จอมเฒ่าผมขาว) แล้ว?”
“นั่นเป็นซือแป๋ผู้มีพระคุณ”
“ซือแป๋ท่านเป็นยอดคนอันดับหนึ่งแห่งคุนลุ้น ทรงเกียรติภูมิตั้งแต่เจ็ดแปดสิบปีก่อน คาดมิถึงปึงเฮียยังเยาว์วัยก็เป็นทายาทของท่านผู้เฒ่า หากวิจารณ์ถึงศักดิ์ศรีในสำนักคุนลุ้น คงสูงส่งยิ่งนัก”
ปึงเซียะกล่าวว่า
“มิผิด เจ้าสำนักเรารุ่นนี้ นับเป็นหลานศิษย์ของข้าพเจ้า!”
“ซือแป๋มิเคยพาดพิงถึงจอมเฒ่าผมขาว แต่ข้าพเจ้าขณะอยู่ในคฤหาสน์ของจูกงเม้ง เคยรับทราบถึงนามของท่านผู้เฒ่า วันนี้มีวาสนาได้ยลวิชากระบี่ไพศาล สร้างความเลื่อมใสจนสุดหัวใจ”
“ซิเฮียกล่าวประเสริฐ แต่ความจริงวิชากระบี่นี้ยังมิอาจเปรียบเทียบกับหกกระบวนท่ามหรรณพ เพียงแต่สำนักเรายังมีวิชาอื่น สามารถชดเชยปมด้อยของเพลงกระบี่นี้”
ซิเล้งลดสำเนียงจนแผ่วเบากล่าวว่า
“ปึงเฮียมีไม้ตายอันเยี่ยมยอด หากเร่งรุดสู่อาณาจักรอัคคี ย่อมมีความมั่นใจอยู่หลายส่วน แต่อลัชชีโลกันตร์มีความสามารถสูงล้ำ พวกเรายากที่จะมีโอกาสได้เปรียบ ดังนั้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ จำต้องหารืออย่างรอบคอบ ยังขอให้ปึงเฮียโปรดอภัยในวาจาที่ล่วงเกิน”
ปึงเซียะก็กล่าวคำขอบพระคุณ ซิเล้งกล่าวเพิ่มเติมว่า
“อลัชชีโลกันตร์สามารถสร้างสรรตัวประหลาด หากแม้นมันพบพานร่องรอยพวกเรา คงอาศัยบุคคลประหลาดที่วิปลาสเหล่านั้นมาจัดการ มิทราบพวกเราจะต้านรับอย่างไร?”
ปมปัญหานี้สร้างความยุ่งยากให้กับปึงเซียะ จนเหลือกตาขบคิดอย่างหนักหน่วง
ทันใด แว่วสำเนียงร่ำร้องอย่างลิงโลด เงาร่างสองสายถลันปราดเข้ามา กลับเป็นฉี้อิงและโค้วเพ้ง แต่มิพบพานอาชุน ฉี้อิงโถมเข้าสู่อ้อมอกของซิเล้ง ร้องอย่างปลาบปลื้ม
“ในที่สุด พวกเราก็พบกัน”
หนึ่งบุรุษหนึ่งดรุณียามสบตากัน ก็แสดงความรักในใจอย่างชัดแจ้ง
โค้วเพ้งมิพบเห็นหนึ่งเดือน กลับเติบใหญ่ขึ้นมากมาย
ปึงเซียะจับจ้องฉี้อิงแวบหนึ่ง แล้วขบคิดปัญหาต่อไป จวบจนซิเล้งกับฉี้อิงจากไปก็มิทราบความ
ชั่วครู่ต่อมา นางแมลงป่องกระโดดปราดลุกขึ้น มิพบเห็นซิเล้ง กลับเพิ่มพูนโค้วเพ้ง จึงสอบถามต่อปึงเซียะ รับทราบว่าฉี้อิงมาถึงแล้ว และไปกับซิเล้ง
นางแมลงป่องกวาดสายตามายังโค้วเพ้งกล่าวเสียงเย็นชา
“เจ้ามีความสัมพันธ์อันใดกับฉี้อิง เป็นศิษย์ของนาง?”
โค้วเพ้งรู้ผงกศีรษะมิตอบคำ
นางแมลงป่องสาวเท้ามาถึงข้างกายมัน กล่าวว่า
“เจ้าแข็งแรงยิ่งนัก”
พลางยื่นมือลูบคำทรวงอกที่บึกบึนของมัน แต่แล้วเปลี่ยนบีบเค้นลำคอโค้วเพ้ง ใบหน้าปรากฏแววอำมหิต
ปึงเซียะที่อยู่ด้านข้างสะท้านใจอย่างรุนแรงร้องว่า
“โกวเนี้ยคิดทำอะไร?”
นางแมลงป่องเค้นเสียงเย็นชาว่า
“เราจะฆ่ามัน!”
“ทารกนี้ มิมีข้อบาดหมางกับท่าน ไฉนจึงมีจิตมุ่งร้าย ท่านหากกล้าทำร้ายมัน ตัวเองก็มิอาจรอดชีวิตไปได้”
นางแมลงป่องมิสนใจเสียงตวาดของฝ่ายตรงข้าม ปลายเล็บทั้งห้าแผ่พุ่งกำลังภายใน บีบเค้นจนโค้วเพ้งลมหายใจยากระบายออก
นางชั่วชีวิตสังหารผู้คนมากมาย ยามนี้นางทั้งอับอายอัปยศทั้งริษยาเคียดแค้น ต้องการสังหารบุคคลที่มีส่วนสัมพันธ์กับซิเล้งทุกคน โดยมิคำนึงถึงผลสุดท้ายใดๆ
ปึงเซียะแลเห็นนางลงมือปลิดชีวิตโค้วเพ้งจริงๆ จึงทั้งแตกตื่นทั้งตระหนก ตวาดอย่างเกรี้ยวกราด ขยับไหล่ทั้งสองโถมปราดเข้าหา กระชากกระบี่ยาวออก วาดท่วงท่าหมายเสือกแทง
พลังฝีมือของมันสูงล้ำยิ่ง กระบี่นี้แม้มิทันทุ่มเทกระบวนท่านางแมลงป่องก็มิมีทางต้านรับ จึงผลักไสโค้วเพ้งเข้าใส่ปลายกระบี่ทันที
ปึงเซียะรีบยื่นมือออกคว้าจับร่างโค้วเพ้ง พลันรู้สึกกล้ามเนื้อของทารกนี้ มีพลังสะท้อนชนิดหนึ่ง ต้องตะลึงลานงงงันไป
นางแมลงป่องฉกฉวยโอกาสนี้ หันร่างวิ่งเตลิดหนีพริบตาเดียวก็หายสาบสูญไร้ร่องรอย
ปึงเซียะมิสนใจนาง จับจ้องมองโค้วเพ้ง เห็นมันยังมีลมหายใจอยู่ จึงกล่าว
“โค้วเพ้ง เจ้ามิเป็นไรกระมัง?”
โค้วเพ้งลืมตาขึ้นกล่าวว่า
“ไม่เป็นไร เล็บของนางแหลมคมยิ่งนัก ข้าพเจ้ามิกล้าเคลื่อนไหวอย่างเลินเล่อ”
“ที่แท้เจ้าฝึกปรือวิชากำลังภายนอกอันสูงล้ำ แม้จุดตายก็สามารถปิดสกัดกั้น มิน่าเล่านางแม้ทุ่มเทจนสุดตัว ก็ไม่อาจปลิดชีวิตของเจ้า”
ขณะนั้นซิเล้งกับฉี้อิงได้หวนกลับมา ทั้งสองยามไปพร่ำพลอดกันอีกด้านหนึ่ง รู้สึกว่ามิใคร่เหมาะสม จึงรีบกลับมาสมทบ
ปึงเซียะบอกกล่าวเหตุการณ์เมื่อครู่นี้อย่างคร่าวๆ ฉี้อิงรีบเข้ามาตรวจดูบริเวณลำคอของโค้วเพ้ง แต่มิพบรอยเล็บขูดข่วนแม้แต่น้อย ที่แท้กล้ามเนื้อของโค้วเพ้งในยามนี้ แม้แต่ดาบกระบี่ก็มิอาจกร้ำกราย!
แต่ฉี้อิงยังอบรมต่อโค้วเพ้งว่า สมควรสลัดหลุดจากศัตรูและตีโต้กลับไปได้อย่างไร คำบ่งบอกของนางล้วนเป็นเคล็ดวิชาอันลึกล้ำ
เมื่อครู่ซิเล้งกับฉี้อิงขณะสนทนาถึงเรื่องราวต่างๆ บ่งบอกว่านางได้ถ่ายทอดวิชาฝีมือให้กับอาชุน และให้นางหวนกลับสู่มาตุภูมิ หมกมุ่นฝึกฝีมือต่อไป
หลังจากนั้นซิเล้งก็บอกเล่าประสบการณ์ที่ผ่านมาโดยละเอียด ฉี้อิงพอรับรู้ว่า กี้เฮียงเค้งต้องการให้ทั้งสองรีบวิวาห์ จิตใจเปี่ยมไปด้วยความปลื้มปีติ แทบต้องการร่วมทางกับซิเล้งมุ่งสู่ฉี้น้ำกราบพบบิดาประกอบพิธีในบัดดล
แต่สภาพการณ์ตอนนี้สร้างความผิดหวังให้กับนาง ทั้งนี้เพราะชนชาวบู๊ลิ้มเมื่อต้องการพบเห็นประแจที่ไขสู่เจดีย์ทองคำอย่างเร่งรีบ ก็จำต้องคลี่คลายกันเสียก่อน
พร้อมกับนั้น ซิเล้งรับปากตกลงกับมือกระบี่คุนลุ้นปึงเซียะ ในการที่จะร่วมทางรุดไปยังอาณาจักรอัคคีย่อมมิอาจกลับกลอกคืนคำ เมื่อเป็นเช่นนี้ มิทราบอีกเนิ่นนานเท่าใด ค่อยประกอบพิธีแต่งงานได้?
ซิเล้งได้ตกลงเรื่องราวเกี่ยวกับการมอบประแจเจดีย์ทองคำออกมากับฉี้อิงจนเรียบร้อย จากนั้นจึงร่วมทางกับปึงเซียะ หวนกลับไปพบพานกลุ่มยอดฝีมือ
ฉี้อิงได้ประกาศต่อบุคคลส่วนรวมว่า
“ข้าพเจ้าทราบที่ซ่อนของประแจทอง ข้าพเจ้ามิสนใจต่อเจดีย์ทองคำเท่าใดนัก เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ จะนำพาพวกท่านไปหยิบฉวย”
ดังนั้นทุกผู้คนจึงตระเตรียมเดินทางทันที โดยผู้เป็นเจ้าถิ่นกระสวยทองมาดารบุตรฮ่อเก่ง ได้ตระเตรียมอาชาพ่วงพีสิบแปดตัว พร้อมที่ออกเดินทาง
มิว่าผู้ใดก็มิกล้าถามว่า ประแจไขสู่เจดีย์ทองคำดอกนั้นซุกซ่อนอยู่ที่ใด เพียงติดตามฉี้อิงขึ้นม้า ควบตะบึงออกจากตัวเมืองไคฮง
ข้ามแม่น้ำเหลือง มุ่งไปตามทิศอุดร ด้วยขบวนผู้คนจำนวนมหาศาล ในวงนักเลงก็แพร่สะบัดข่าวคราวเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว
วันรุ่นขึ้นยามเที่ยง คนทั้งหมดเร่งรุดมาหมู่บ้านตระกูลนี้ ที่แท้ประแจทองดอกที่ชนชาวบู๊ลิ้มปรารถนาใคร่ครอบครองได้ซุกซ่อนอยู่ในสถานที่นี้เอง!
ฉี้อิงยามกลับมาถึงถิ่นมาตุภูมิ ต้องบังเกิดความสะทกสะท้อนหดหู่ แต่นางก็หักห้ามอารมณ์ นำพาผู้คนทั้งหมดรุดเข้าสู่ตึกชั้นในเปิดทางลับสายหนึ่ง และลงมาถึงห้องศิลาใต้ดินหลังหนึ่ง
ห้องใต้ดินแห่งนี้กว้างขวางยิ่งนัก มีโต๊ะเตียงเก้าอี้และเครื่องประดับอื่นๆ ครบครัน หมู่ผู้ทรงฝีมือล้วนมีประสบการณ์ช่ำชอง เหลือบแลวูบเดียวก็ทราบว่า ห้องศิลานี้ก่อสร้างอย่างประณีตแข็งแกร่ง
ในห้องยังสร้างท่อน้ำ มีน้ำบริสุทธิ์ถ่ายเทเข้ามา ดังนั้นหากใช้เร้นกาย ขอเพียงเสาะหาเสบียงกรังจำนวนหนึ่งก็จะดำรงชีวิตอยู่ได้เนิ่นนาน
ฉี้อิงสาวเท้ามาถึงข้างผนังห้อง แกะศิลาออกมาก้อนหนึ่ง จากช่องว่างภายในล้วงหยิบหีบเหล็กใบหนึ่งออกมา
หมู่ผู้ทรงฝีมือล้วนแต่คึกคักกระตือรือร้น เขม้นมองหีบเหล็กใบนั้น
ฉี้อิงเปิดฝาหีบขึ้น แลเห็นในหีบบุแพรแดงชั้นหนา จัดวางอัญมณียี่สิบกว่าชิ้น สาดประกายเรืองรองชวนละลานตา มีราคาค่างวดมิน้อย
นางรื้อค้นอัญมณีเหล่านั้นออกมา แต่ก็มิพบพานประแจทองจึงกล่าว
“ประหลาดแท้ ประแจทองอยู่ที่ใดกัน?”
ทุกผู้คนต่างบังเกิดความเขม็งตึงเครียด ซิเล้งเข้าไปช่วยค้นหา จากชั้นล่างสุด หยิบเอาถุงหนังปิดผนึกใบหนึ่ง กล่าวว่า
“ลองเปิดออกอ่านดูเป็นอย่างไร?”
ฉี้อิงรับคำ ซิเล้งจึงเปิดถุงหนังใบนั้นออก ค้นหาจดหมายออกมาฉบับหนึ่ง ฉี้อิงพออ่านดูหนึ่งตลบก็มอบให้กับซิเล้งกล่าวว่า
“นี่เป็นลายมือของบิดามิแปลกปลอม ท่านอ่านดูเถอะ!”
ซิเล้งรับมาอ่านเสียงดัง
“ประแจทองดอกที่แท้จริง ในเมื่อมิได้อยู่ในหีบใบนี้ ก็เท่ากับถูกจูกงเม้งยึดครองได้ไป บัดนี้จะถ่ายทอดวาจาหลายประโยค เพื่อให้ธิดาเราทราบความจริง เรายังมีมรกตหลายสิ่งจัดวางอยู่ที่…”
ตนมิได้อ่านต่อไป ทุกผู้คนในห้องใต้ดินล้วนแต่มีสีหน้าหมกมุ่นเคร่งเครียด ฮุ้นฮงเซี่ยงซือกล่าวว่า
“หากแม้นประสกแซ่ซิมิคิดเก็บงำ ก็ขอเชิญบ่งบอกให้กระจ่างชัด”
ซิเล้งขบคิดอยู่เล็กน้อยจึงกล่าวกับฉี้อิงว่า
“คราครั้งนี้สมควรพิสูจน์เรื่องราวให้ทุกผู้คนเข้าใจแจ่มแจ้ง”
ฉี้อิงผงกศีรษะกล่าวว่า
“ทุกสิ่งทุกอย่างปฏิบัติตามความคิดเห็นของท่านเถอะ”
ซิเล้งมอบจดหมายให้คนทั้งหมดได้อ่านด้วยตัวเอง แล้วจึงสาวเท้ามาถึงผนังห้องอีกด้านหนึ่ง นับแผ่นศิลาที่ปูลาด พลันใช้มือกดลง จนศิลาก้อนหนึ่งจมหายลงไป ปรากฏเป็นช่องกลวงว่างเปล่าแห่งหนึ่ง
ตนยื่นมือเข้าไปล้วงหยิบหีบเหล็กที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันใบหนึ่ง พอเปิดออกมาในหีบบุแพรขาวมีวัตถุอยู่สามสิ่ง เป็นผมเผ้ามนุษย์สองม้วน กับจดหมายฉบับหนึ่ง
ผมเผ้าทั้งสองม้วนในหีบเหล็ก มีสีสันแตกต่างกันเล็กน้อย ย่อมเป็นผมบนศีรษะของบุคคลสองคน
บรรยากาศพลันเปลี่ยนเป็นหมกมุ่นเคร่งเครียด การทิ้งผมเผ้าเหล่านี้เท่ากับเป็นมรดกบนร่างกายของบุคคลหนึ่งมอบให้ทายาทรุ่นหลัง แสดงว่าย่อมมีเหตุการณ์ผิดสามัญ
ซิเล้งให้ฉี้อิงฉีกจดหมายออกอ่านเอง ฉี้อิงก็ปฏิบัติตาม แต่อ่านดูเพียงครึ่งหนึ่ง หยาดน้ำตาก็ไหลรินพร่างพรูลงมา
นางส่งจดหมายให้กับซิเล้ง ซิเล้งรับมาอ่านอย่างว่องไวตลบหนึ่ง แล้วจึงมอบต่อฮุ้นฮงเซี่ยงซือ
ยามนี้ฉี้อิงฟุบร่างอยู่บนเตียงนอน สะอึกสะอื้นเบาๆ ซิเล้งรู้สึกกระวนกระวายใจ แต่ก็ทราบดีว่ามิอาจปลอบประโลม จึงปล่อยให้นางได้ระบายอารมณ์ออกมา
ซิเล้งกล่าวกับยอดฝีมือที่มาชุมนุมว่า
“จดหมายฉบับนี้เป็นลายมือของลุงแซ่ฉี้ บอกถึงเรื่องราวสำคัญของบู๊ลิ้มประการหนึ่ง ซึ่งท่านผู้เฒ่าได้ปิดบังต่อฉี้โกวเนี้ยมาตลอดเวลา จวบจนบัดนี้จึงค่อยแพร่งพรายให้รับรู้”
ตนสูดหายใจลึกๆ กล่าวอีกว่า
“ลุงแซ่ฉี้บอกฉี้โกวเนี้ยว่า ผมสองม้วนในหีบหนึ่ง คือมรดกตกทอดของมารดาของนางซึ่งถือแก่กรรมนานมาแล้ว อีกหนึ่งเป็นของลุงแซ่ฉี้เอง
“ท่านลุงอ้างว่า คราครั้งกระโน้นเพื่อเป็นการทดแทนพระคุณได้ช่วยเหลือฮูหยินแซ่เนี่ยท่านหนึ่ง พิทักษ์รักษาเจดีย์ทองคำ และฉี้ตั่วเนี้ย (มารดาของฉี้อิง) เพราะเหตุนี้ได้สูญเสียชีวิต แต่ก่อนที่นางจะตกตาย ได้ใช้ระเบิดเพลิงธิดาโปรยบุปผาของตระกูลงัก ทำร้ายใส่คู่ต่อสู้
“แต่ทว่า เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามมีพลังฝีมือสูงล้ำ จึงเพียงถูกสะเก็ดไฟเผาไหม้ผิวเนื้อบนทรวงอกเท่านั้นและนี่ก็เป็นเบาะแสของศัตรูเพียงสิ่งเดียว เพราะว่าฉี้ตั่วเนี้ยพอบอกเล่าเหตุการณ์แล้วก็จากโลกนี้ไป
“ท่านลุงแซ่ฉี้ คราก่อนยามไปช่วยเหลือตระกูลเนี่ย ได้ปกปิดร่องรอยจนเร้นลับ เข้าใจว่าฝ่ายศัตรู ยังมิทราบว่าเป็นสองสามีภรรยานี้ จึงมิได้มาสังหารปิดปาก และท่านลุงแสร้งอ้างว่าฉี้ตั่วเนี้ยป่วยไข้จนตกตาย ตบตาต่อคนภายนอก”
ซิเล้งหยุดเล็กน้อย แลเห็นทุกผู้คนมีสีหน้าแตกตื่นต่อข่าวลับนี้ และเชื่อถือมิน้อย จึงลอบปลาบปลื้มประโลมใจคำนึงขึ้น
“…ลุงแซ่ฉี้นับว่าร้ายกาจยิ่งนัก เมื่อหลายปีก่อนก็ทิ้งจดหมายลับฉบับนี้ไว้ ซึ่งสามารถเปิดโปงหน้ากากอันจอมปลอมของจูกงเม้งได้ทีเดียว”
ซิเล้งกล่าวต่อ
“หลังจากที่ท่านลุงแซ่ฉี้สืบเสาะเนิ่นนานปี พบว่าบุคคลที่น่าระแวงคือจูกงเม้งกับหัตถ์อสนีบาต ดังนั้นท่าผู้เฒ่าตกลงใจว่า เมื่อถึงเวลา จะใช้ประแจเจดีย์ทองคำล่อลวงชาวบู๊ลิ้มมาชุมนุมที่หมู่บ้านตระกูลฉี้ หาทางสังหารศัตรูให้จงได้
ลุงแซฉี้ยังกล่าวว่า จูกงเม้งมีเกียรติภูมิดีงามกระเดื่องดังไปทั่ว ดังนั้นท่านผู้เฒ่าอาจตกตายท่ามกลางกลุ่มผู้คนจำนวนมาก จึงทิ้งผมเผ้าไว้เป็นที่ระลึก แต่ท่านก็มิได้โทษว่าชนชาวบู๊ลิ้มเพียงตำหนิเทพยดาไฉนสร้างสรรค์บุคคลอันชั่วร้าย ตบตาทุกผู้คนทั่วใต้หล้าได้?”
ตนยังอ้างอิงหลักฐานบางประการซึ่งฉี้นำซัวสืบทราบถึงความชั่วร้ายที่จูกงเม้งประกอบขึ้นด้วย จากนั้นสาวเท้าถึงข้างเตียง จับจ้องเงาหลังฉี้อิงอย่างเงียบงัน
ซิเล้งอดมิได้ต้องหวนนึกถึงชาติกำเนิดอันอเน็จอนาถและความแค้นของตระกูลที่ถูกล้มล้าง คาดมิถึงว่าฉี้อิงก็มีชะตากรรมเช่นเดียวกัน
ชนชาวบู๊ลิ้มทั้งมวล ได้วิพากษ์วิจารณ์ถึงสภาพการณ์ของฉี้น่ำซัวในภายหลัง เนื่องจากคราก่อนขณะที่กำลังช่วงชิงประแจกัน จูกงเม้งกลับจากไปก่อน แสดงว่ามันมีความมั่นใจในการยึดครองอยู่แล้ว
หลังจากนั้นฉี้น่ำซัวก็หายสาบสูญไร้ร่องรอย ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า ขณะที่ถูกจูกงเม้งช่วงชิงประแจทองก็เผชิญกับการประทุษร้าย
สุดท้ายทั้งหมดหารือกันว่า จะไปเสาะหาจูกงเม้งกับหัตถ์อสนีบาต เพื่อพิสูจน์เหตุการณ์ให้กระจ่างชัด
มีผู้คนจำนวนหนึ่งแสดงความเห็นว่า สมควรเร่งรุดสู่บรรพตไต้เซาะซัว ตรวจตราสภาพของเจดีย์ทองคำ เพื่อดูว่าจูกงเม้งได้ไปถึงแล้วหรือไม่?
วิธีการทั้งสองล้วนมีเหตุผล ทั้งหมดจึงตกลงว่า แยกย้ายกันไปปฏิบัติการ นัดกำหนดเวลากันและไปชุมนุมที่ตัวเมืองเซียงเอี้ยง
ทุกผู้คนเชื่อมั่นว่า ซิเล้งกับฉี้อิงไม่มีเจตนายึดครองประแจเจดีย์ทองคำไว้เป็นสมบัติ และซิเล้งก็ประกาศว่าจะแสดงประแจทองต่อชนชาวส่วนรวมอย่างแน่นอน
ยอดฝีมือทั้งหมดต่างขึ้นไปบนห้องโถงหารือรายละเอียดปลีกย่อย ภายในห้องใต้ดินจึงหลงเหลือซิเล้งกับฉี้อิงตามลำพังแม้แต่โค้วเพ้งก็ถูกปึงเซียะฉุดลากออกไป
ซิเล้งลูบคลำหัวไหล่ฉี้อิงอย่างแผ่วเบา มิอาจสรรหาวาจาปลอบประโลม ตนเข้าใจถึงความรู้สึกของนางเป็นอย่างดี อย่าว่าแต่ตัวเองพลอยหวนคำนึงถึงข้ออาฆาตของวงศ์ตระกูลที่ถูกทำลายล้างด้วย
เนิ่นนานต่อมา ฉี้อิงพลันส่งเสียงร่ำไห้ออกมา
ซิเล้งก็อดมีน้ำตาไหลพร่างพรูมิได้ เปล่งเสียงร่ำร้องอย่างหวนโหย
ทั้งสองล้วนมีพลังฝีมือลึกล้ำ เสียงร่ำไห้จึงดังแว่วไปไกลโข ยอดฝีมือที่อยู่เบื้องบนยามรับฟัง ยิ่งเชื่อมั่นว่าข้ออาฆาตโชกเลือดของทั้งสอง เป็นความจริงอย่างแน่นอน
ซิเล้งกับฉี้อิง ย่อมมิมีเจตนาอาศัยพฤติการณ์นี้สร้างความเชื่อถือให้กับทุกผู้คน การแสดงออกครานี้เป็นความรู้สึกจากใจจริง ทั้งสองนับเป็นผู้วิปโยคที่จับจ้องผู้รันทด และหลั่งน้ำตาให้แก่กัน โอบกอดระบายอารมณ์ที่อัดอั้นออกมาโดยสิ้นเชิง
ยอดฝีมือ พอปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว ก็บ่งบอกแผนการให้กับปึงเซียะ เพื่อถ่ายทอดต่อซิเล้งกับฉี้อิง จากนั้นพวกมันทั้งหมดก็จากไป
ปึงเซียะกับโค้วเพ้งมิกล้าเข้าไปรบกวนซิเล้งฉี้อิงทั้งสอง แต่ขณะนี้ท้องฟ้าได้มืดสลัวลงแล้ว
ปึงเซียะจึงกล่าวกับโค้วเพ้งว่า
“เจ้าเฝ้ารักษาอยู่ที่นี่อย่าได้เที่ยววิ่งเล่น เราจะไปซื้ออาหารมา”
โค้วเพ้งรับคำ ปึงเซียะค่อยออกจากหมู่บ้านตระกูลฉี้
ปึงเซียะเพิ่งจากไปไม่นาน ก็ปรากฏอาคันตุกะลึกลับลอบเร้นเข้าสู่หมู่บ้านตระกูลฉี้!
ปึงเซียะมาถึงทางแยกพบเห็นป้ายไม้ชี้บ่งว่า สามารถทอดถึงหมู่บ้านข้างเคียงแห่งหนึ่ง แต่มันยิ่งลัดแล่นเดินทางยิ่งรกร้าง
ทันใดต้องชะงักเท้าลง ที่แท้พร้อมกับลมเขาที่หอบพัด แว่วเสียงกรีดร้องแหลมเล็กของสตรี
ปึงเซียะถึงกับมีเลือดลมระอุพลุ่งพล่าน เข้าใจว่าคงมีอิสตรีถูกข่มเหง รีบถลันปราดเข้าไปในดงไม้ข้างทาง ประมาณสิบวาเศษ ภูมิประเทศแปรเปลี่ยนเป็นรกร้างยากเดินเหิน
ปึงเซียะเคลื่อนไหวโดยมิบังเกิดสุ้มเสียง สามัญสำนึกคอยกระตุ้นให้ระมัดระวัง
ปึงเซียะพุ่งกายขึ้นสู้ยอดเนินแห่งหนึ่ง ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งปรากฏเงาร่างผู้คนห้อยโยงไหวเอนไปมาอยู่กลางอากาศ
ที่แท้เงาร่างที่ถูกแขวนโยงอยู่กลางอากาศเป็นนางแมลงป่อง ฉั่วกิมง้อเอง!
เพียงแต่มิอาจแลเห็นวัตถุที่ผูกมัดนาง มองจากที่ไกล คล้ายดั่งถูกภูตผีปิศาจใช้เวทมนต์คาถาชักลอยขึ้นก็ปาน
แลเห็นนางแมลงป่องในมือยังกระชับตะขอเงินทั้งคู่ ตะกุยตะกายคล้ายดั่งกำลังตัดวัตถุที่พันธนาการนาง แต่มิเป็นผลสำเร็จ
นางแมลงป่องส่งเสียงร่ำร้องขอความช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา ปึงเซียะพอฟัง ต้องบังเกิดความสมเพชเวทนาขึ้น ขณะคิดเข้าไปช่วยเหลือ พลันเหลือบเห็นเงาคนปรากฏ ต้องรีบชะงักเท้าลง
เงาร่างนั้น ถลันปราดออกจากพงหญ้าข้างต้นไม้ สวมอาภรณ์ชุดดำ สะพายดาบยาว ในยามสนธยาเลือนราง เห็นเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง
มันเงยหน้าขึ้นจับจ้องนางแมลงป่อง ประจวบเหมาะกับหันมาทางปึงเซียะ แลเห็นดวงตาทั้งคู่ของมันสาดประกายแดงฉาน คล้ายนัยต์ตาของสัตว์ป่า!
บุรุษชุดดำพุ่งกายขึ้น ยื่นมือจี้สกัดใส่ชายโครงนางแมลงป่อง แล้วจึงละลิ่วร่างลงมา แหงนหน้าอ้าปากหาว เสมือนกับยามหลับใหลถูกเสียงร้องของนางก่อกวนจนฟื้นตื่น
ปึงเซียะ แม้นรู้สึกต่อบุรุษชุดดำผู้นี้น่าชิงชังอยู่บ้าง แต่มิเห็นมันมีพฤติการณ์ชั่วร้ายอันใด จึงยังไม่คิดลงมือต่อฝ่ายตรงข้าม
ยามนั้นบุรุษชุดดำสาวเท้ามาถึงข้างพงหญ้า ก้มกายลงหยิบฉวยวัตถุสิ่งหนึ่งส่งเข้าปาก ปึงเซียะที่อยู่ด้านข้างมีสายตาคมกล้า แลเห็นฝ่ายตรงข้ามหยิบฉวยขาแพะขึ้นมาข้างหนึ่ง ทั้งๆ ที่มีโลหิตชุ่มโชก ยังขบเคี้ยวอย่างมูมมาม มุมปากแปดเปื้อนเป็นสีแดงฉาน
พร้อมกับนั้นปึงเซียะก็เหลือบเห็นบุรุษชุดดำอีกผู้หนึ่ง ปรากฏกายขึ้นกลางพงหญ้า เดินเข้าหาบุรุษคนแรก ขณะเข้าใกล้บุรุษคนแรกก็ส่งเสียงขู่คำราม คล้ายดั่งสัตว์ป่าขณะกลืนกินอาหาร มิอนุญาตให้สัตว์ใดชิดใกล้ก็ปาน
ปึงเซียะถึงกับคำนึงในใจ
“…บุรุษชุดดำอันลี้ลับมีความเป็นอยู่ราวเดียรัจฉาน มิทราบยังมีจำนวนอีกเท่าใด หากแม้นถาโถมเข้ามาหลายสิบคน อาจกัดกินเราเสียเลย…”
ยามนั้น ปึงเซียะพลันฉุกใจได้คิดคำนึงขึ้น
“…อ้อ นี่คงเป็นผลิตผลของอลัชชีโลกันตร์แล้ว…”
พอคาดเดาความเป็นมาของบุรุษชุดดำออก เพลิงอำมหิตก็สร่างซามิน้อย ทั้งนี้เพราะมันหวนนึกถึงศิษย์ผู้ร่วมสังกัดที่ประสบเคราะห์กรรมนั้น อาจมีสภาพเฉกเช่นกับบุคคลเหล่านี้ก็ได้
ปึงเซียะสังเกตการณ์เป็นเวลานาน ท้องฟ้าแทบมืดสนิทแล้ว มันหยิบก้อนศิลาก้อนหนึ่ง สะบัดพุ่งผ่าอากาศออกไป ขณะลอยอยู่เหนือศีรษะนางแมลงป่อง ก้อนศิลาพลันลอยค้างกับที่ คาดว่าคงถูกวัตถุใดพัวพันไว้
มันแม้ครุ่นคิดอย่างหมกมุ่น ก็คาดเดามิออกว่านั่นเป็นของเล่นเช่นไร พลันตกลงใจ เสี่ยงภยันตรายสืบเสาะเรื่องราว ก้าวยาวๆ ออกไป ส่งเสียงดังกังวานว่า
“ท่านทั้งสองเป็นใคร?”
บุรุษชุดดำคนแรกซึ่งมีดวงตาแดงฉาน และคนที่สองซึ่งมีนัยน์ตาสีเขียวปัด ต่างหยุดชะงักการขบเคี้ยว เขม้นมองมายังปึงเซียะ แต่ไม่มีปฏิกิริยาอื่นใด
ปึงเซียะพอคุกคามเข้าใกล้สองวา ฝ่ายตรงข้ามก็ส่งเสียงคำรามในลำคอ ปึงเซียะฉุกใจได้คิดถอยกายได้ด้านหลัง เสียงขู่คำรามก็หยุดชะงัก ต้องครุ่นคิดในใจ
“…นี่คล้ายการแสดงออกของสัตว์ป่า ที่หวนแหนอาหาร กลับมิมีเจตนาทำร้ายต่อเรา…”
ปึงเซียะพลันส่งเสียงกล่าวว่า
“พวกท่านเป็นใคร ไฉนแขวนร่างของสตรีผู้นั้นอยู่กลางอากาศ และที่แท้ใช้วัตถุใดโยงร่างนางไว้?”
วาจาถามไถ่ถึงสามคราก็มิได้รับคำตอบ บุรุษชุดดำทั้งสองพอพบว่าฝ่ายตรงข้ามมิมีปฏิกิริยาอื่นใด ก็ขบเคี้ยวอาหารในมือต่อไป
ปึงเซียะคาดว่า พวกมันทั้งสองคงมิรู้จักภาษามนุษย์จึงเคลื่อนกายต่อไป ขณะเข้าใกล้ในรัศมีหนึ่งวา บุรุษชุดดำทั้งสองพลันแยกย้ายออกเป็นซ้ายขวา สะบัดมืออย่างว่องไว เป็นท่วงท่าพิสดาร
ปึงเซียะรีบพุ่งกายเข้าหานางแมลงป่อง ยื่นมือออกคว้าจับตะขอเงินของนาง พบว่ามีสายใยสีดำเส้นหนึ่งห้อยลงจากต้นไม้ ล้อมรัดอยู่รอบอกนาง
ปึงเซียะสะท้านใจอย่างรุนแรง ลอบใช้วิชาถ่วงพันชั่งดูดรั้ง แต่สายใยยังคงมิสั่นสะเทือนเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย นับเป็นสายใยที่มีกำลังดึงดูดน่าตระหนก
ยามนี้ พลังลมอันแหลมคมโถมทะลักเข้ามา ปรากฏดาบยาวสองเล่มจู่โจมใส่ ปึงเซียะจึงรีบลอยร่างขึ้นไปวาเศษ
บุรุษชุดดำทั้งสองยืนห่างกันสองวาเศษ วิ่งตะบึงวนเวียนไปมา รอคอยให้ปึงเซียะละลิ่วร่างลง
ปึงเซียะพุ่งร่างลงไปในวงล้อมพวกมันอย่างรวดเร็ว ขณะอยู่ห่างจากพื้นดินเจ็ดเชียะ พลันกู่ร้องดังสดใส พุ่งร่างลงที่เบื้องหลังบุรุษเสื้อดำผู้หนึ่ง ยื่นมือจี้สกัดจุดฝ่ายตรงข้ามจนล้มฟุบลง
ปึงเซียะมีปฏิกิริยาดั่งสายฟ้า กระบี่ยาวเสือกพุ่งเป็นสายรุ้งยาวเหยียด จู่โจมใส่คู่ต่อสู้อีกผู้หนึ่ง บุรุษชุดดำผู้นั้นกวัดแกว่งดาบเข้าปัดป้อง กลับถูกปึงเซียะพุ่งดรรชนีใส่หัวไหล่จนล้มคว่ำลง
มันรีบย่อกายลง เพ่งมองบนพื้นดิน พบเห็นสายใยสีดำเส้นหนึ่ง โยงขวางอยู่ระหว่างบุคคลทั้งสอง ต้องคำนึงในใจ
“…ใยดำชนิดนี้ประหลาดล้ำนัก ผู้ใดหากถูกดูดพันก็ยากสลัดหลุดพ้น เพียงมิทราบกลัวน้ำหรือไม่?…”
พลางหยิบฉวยกิ่งไม้ท่อนหนึ่งถ่มน้ำลายจนแปดเปื้อน ยื่นสัมผัสกับใยดำ ก็ถูกดูดพันจนแม้ฉุดกระชากก็มิขยับเขยื้อน
ปึงเซียะหาได้หวั่นลนลาน ล้วงหยิบชุดไฟกวัดแกว่งจุดขึ้นใส่ใยดำ ก็ลุกไหม้จนขาดออกจากกัน มันจึงใช้เผาส่วนที่พันธนาการนางแมลงป่องจนนางเคลื่อนไหวได้
เพียงแต่ว่าใยดำที่รัดพันบริเวณทรวงอกและกลางหลัง ไม่สามารถเผาหลุดได้ ทั้งนี้เพราะใยดำสายนั้น ถึงกับทะลุผ่านเสื้อผ้า ดูดพันผิวเนื้อของนาง นับเป็นกำลังดูดอันพิสดารสุดพรั่งพรึง
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป