๒๖
♦ เผชิญเหล่ายอดฝีมือ ♦
……………

ซิเล้งมิแตกตื่นแม้แต่น้อย คล้ายดั่งทราบว่าต้องมีเหตุการณ์เช่นนี้อุบัติขึ้น ตนผงกศีรษะอย่างเงียบงัน ติดตามบุรุษฉกรรจ์ทั้งสองเร่งรุดไป

ชั่วครู่ต่อมาเหยียบย่างเข้าสู่คฤหาสน์หลังหนึ่ง รอบนอกของตัวตึก ไม่มีร่องรอยหรือสภาพผิดปกติใดๆ

ซิเล้งกวาดตามองเข้าไปในห้องโถงใหญ่ เห็นผู้คนอาศัยอยู่มิน้อย พบเห็นสตรีนางหนึ่ง รูปโฉมอ้อนแอ้นแน่งน้อย คาดคะเนว่านางคงเป็นนางแมลงป่อง ฉั่วกิมง้อ

ซิเล้งสาวท้าวก้าวเข้าไปในห้องโถงอย่างโอ่อ่าผ่าเผย ประกายตาที่เจิดจ้ากวาดสำรวจมองทุกผู้คนทั่วห้องโถง จำนวนทั้งหมดเกือบสิบสี่คน แต่มิพบเห็นร่องรอยของผู้กล้าหาญดาบทอง หรือหัตถ์อสนีบาตเลย

หลวงจีนอายุห้าหกสิบปีรูปหนึ่งพลันผุดลุกขึ้น ส่งเสียงสรรเสริญพระคุณดังกังวานกล่าวว่า

“อาตมาฮุ้นฮง ประสกคือซิเล้งกระมัง?”

ซิเล้งหัวร่อเบาๆ นางแมลงป่องที่นั่งอยู่ต้องจับจ้องมองอย่างตะลึงลาน คาดไม่ถึงว่าจะเผชิญพบกับบุรุษเพศที่คมคายกว่ากิมเม้งตี้อีก

ซิเล้งแม้นมิตอบคำ แต่ดูจากท่วงทีเท่ากับยอมรับแล้ว ฮุ้นฮงเซี่ยงซือจึงแนะนำบุคคลอื่นในห้องโถง อันมีกระบี่แห่งพิภพฮียะเกาซั่วมุ่งเทียนแห่งบู๊ตึง ตุลาการโฉด นางแมลงป่อง ฉิ้งซาหงี เจ็ดก้าวเบิกภูผา ซึ่งทั้งสองล้วนสังกัดพรรธงเหลือง ตงเอ๊กลิ้มแห่งสำนักไท้เก้ก และแป๊ะเอี้ยง

ฮุ้นฮงเซี่ยงซือแนะนำตามลำดับที่นั่ง พอพาดพิงถึงบุคคลหนึ่ง คนผู้นั้นก็ผุดลุกขึ้นผงกศีรษะ ในจำนวนทั้งหมดนี้ เกรงว่ากระบี่แห่งพิภพ ผู้มีเรือนร่างต่ำเตี้ยพิกล สะพายกระบี่โบราณ มีพลังการฝึกปรือสูงล้ำที่สุด

แป๊ะเอี๊ยงยามแสดงตน ซิเล้งพบว่าท่านมีอายุห้าสิบเศษ ท่วงท่าสง่างามภูมิฐาน คาดว่าเป็นบิดาของแป๊ะเอ็งผู้นี้ ยามเยาว์วัยคงคมคายยิ่ง

จากนั้นปรากฏบุรุษกลางคนรูปร่างหยาบกร้าน เค้าหน้าประพิมพ์ประพายยิ่งสองคนผุดลุกขึ้น ซึ่งฮุ้นฮงเซี่ยงซือได้แนะนำว่า

“ท่านทั้งสองนี้ เป็นยอดฝีมือสำนักปักมั่ง คนทางซ้ายคือคูจ้อลุ้ย คนทางขวาคือคูอิ๋วลุ้ย ความจริงคนภายนอกยากจำแนกออกว่าใครเป็นใคร เพียงอ้างอิงจากคำบ่งบอกของทั้งสองเองว่าผู้พี่จะยืนหยัดอยู่ด้านซ้าย และใช้ฝ่ามือซ้าย ส่วนผู้น้องจะอาศัยทางด้านขวา และใช้ฝ่ามือขวา โดยเป็นอุปนิสัยประจำตัว”

นอกจากนั้น ฮุ้นฮงเซี่ยงซือยังแนะนำยอดฝีมือจากสำนักง่อไบ๊เก๊งอิกเล้ง และท้ำอี่ตี่แห่งสำนักไท้ซัวสุดท้ายเป็นบุรุษอายุเยาว์วัยที่สุด สวมชุดขาวสะอาดสมถะ บนบ่าสะพานกระบี่ยาว

มันขณะผุดลุกขึ้น ซิเล้งถึงกับสะท้านใจวาบคำนึงขึ้น

“…คนผู้นี้บุคลิกลึกซึ้ง ดูผิวเผินสามัญธรรมดา ความจริงคาดว่าในห้องโถงนี้มันนับมีพลังการฝึกปรือสูงส่งที่สุด!”

ริมโสตได้ยินฮุ้นฮงเซี่ยงซือกล่าวว่า

“ท่านผู้นี้คือสหายมาจากต่างแดนไกลแซ่ปึงนามเซียะเป็นทายาทของสำนักกระบี่คุนลุ้น”

ซิเล้งต้องประสานมืออย่างลืมตัวกล่าวว่า

“คุนลุ้นซัวอยู่นอกดินแดนกำแพงใหญ่ ผู้คนจากสำนักท่านในร้อยปี น้อยครั้งจะเหยียบย่างเข้าสู่แผ่นดินตงง้วน วันนี้นับว่าเป็นวาสนาที่ได้พบ”

มือกระบี่จากคุนลุ้นปึงเซียะ เพียงหัวร่ออย่างสำรวมแล้วทรุดกายนั่งลง จากกิริยาของมันแสดงว่าไม่ถนัดในการใช้คารม หาใช้ดูแคลนซิเล้งมิยอมตอบวาจาไม่

ซิเล้งกล่าวกับฮุ้นฮงเซี่ยงซือ

“ทุกท่านในวันนี้ ล้วนเป็นชนชั้นยอดฝีมือแห่งยุค ข้าพเจ้าได้พบพานนับเป็นเกียรติยศน่าภาคภูมิ เพียงมิทราบไฉนไม่พบหัตถ์อสนีบาตเนี่ยฮง?”

ซัวมุ่งเทียนตอบแทนว่า

“มันมีภาระราชการผูกมัดตัว เมื่อวานได้กลับสู่เมืองหลวงแล้ว”

“อ้อ ถ้าเช่นนั้นทุกท่านเรียกหาข้าพเจ้ามา มิทราบมีคำแนะนำประการใด?”

สุ้มเสียงของซิเล้งยังสงบมิแตกตื่น ได้ยินกระบี่แห่งพิภพแค่นหัวร่ออย่างเย็นชากล่าวว่า

“ท่านคงทราบแล้วว่า พวกเรามีเจตนาสืบเสาะไล่ล่าท่าน?”

วาจาพอเอ่ยออก บรรยากาศก็เขม็งตึงเครียดขึ้น แต่ซิเล้งกลับกล่าวเสียงราบเรียบ

“ข้าพเจ้าย่อมทราบดี”

กระบี่แห่งพิภพพลันผุดลุกขึ้น ยื่นมือคว้าจับด้ามกระบี่ประจำตัว กล่าวเสียงเย็นชา

“ประเสริฐ วันนี้ท่านเมื่อกล้าเร่งรุดมาเอง คงมั่นใจว่าพวกเรามีแต่นามอันจอมปลอม ไม่สามารถหน่วงเหนี่ยวรั้งท่านไว้ได้แล้ว?”

ซิเล้งจับจ้องมันอย่างเงียบงันกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าทราบว่า ท่านชั่วชีวิตนิยมเลื่อมใสจูกงเม้งที่สุด ดังนั้นจึงคิดใช้วาจากระตุ้นยุยงทุกผู้คนในที่นี้ กลุ้มรุมต่อข้าพเจ้า หากแม้นข้าพเจ้าคาดคำนวณมิผิด ท่านออกจะไม่คำนึงถึงคุณค่าตัวเองจนเกินไป”

กระบี่แห่งพิภพถึงกับร้องเสียงพิกล กระชับกระบี่ก้าวยาวๆ ออกมา มันเรือนร่างต่ำเตี้ย แต่อาวุธคู่มือยาวผิดปรกติ จึงเน้นเสริมเป็นบุคลิกอันพิกลพิสดาร ส่งเสียงตวาดว่า

“บอกกับเจ้า วันนี้เจ้าหากคิดหลบหนีอย่างง่ายดาย เกรงว่ามิอาจกระทำได้ เราจะจัดการกับเจ้าเพียงลำพังเอง ชักกระบี่!”

ฝ่ามือซ้ายสะบัดวูบหนึ่ง เหวี่ยงฝักกระบี่ลงด้านข้าง ตัวกระบี่ที่ยาวเหยียดสาดประกายเย็นยะเยียบ

ซิเล้งก็หัวร่อแค่นๆ กล่าวว่า

“ข้าพเจ้า หากมิลงมือต่อสู้ ย่อมยากที่จะยุติเรื่องราวได้ แต่ขอบ่งบอกล่วงหน้า แนววิชาฝีมือของข้าพเจ้า ได้รับการอบรมมาเป็นพิเศษ บัดนี้ข้าพเจ้าจะขอรับทราบอนุภาพของวิชาชังไฮ้ไค่วเกี่ยม (กระบี่ไวแห่งพิภพ) ของท่านแล้ว

กล่าวจบดึงกระบี่ยาวออกมา กุมกระชับด้วยท่วงท่าอันปลอดโปร่ง

กระบี่แห่งพิภพรั้งอาวุธขึ้นผนึกกำลังเข้าใส่ พลันสาวเท้าก้าววนเวียน เสาะหาช่องว่างจู่โจม

มันนับเป็นชนชั้นปรมาจารย์ มีศักดิ์ศรีก่อตั้งสำนักขึ้นมาได้ สายตาจึงแหลมคม เพียงเห็นท่ากุมกระบี่ของซิเล้งก็สังเกตพบว่า ฝ่ายตรงข้ามมีบุคลิกของยอดนักสู้อย่างแท้จริง

ท่วงท่าของซิเล้งแม้เฉื่อยช้า แต่ยามวาดมือวางเท้า ก็สร้างท่วงท่าอันรัดกุมไร้ช่องว่างรอยโหว่

ยามนั้นกระบี่ยาวของซิเล้ง ยื่นเฉียงๆ ออก จี้ใส่ฝ่ายตรงข้าม ขยับเคลื่อนตามภาวะ เคลื่อนกายของกระบี่แห่งพิภพ

กระบี่แห่งพิภพสลับเท้าก้าววนเวียนรอบกายซิเล้งถึงสิบรอบ ยังมิอาจเสาะพบช่องว่างรอยโหว่ใดๆ ต้องบังเกิดความตื่นตระหนกอย่างใหญ่หลวง

ในห้องโถงใหญ่ ปึงเซียะแห่งคุนลุ้นนับเป็นผู้เชี่ยวชาญในเชิงกระบี่ผู้หนึ่ง มันก็สังเกตพบว่าวิถีกระบี่ของซิเล้งเป็นแนวทางแกร่งกร้าว ท่าเริ่มต้นก็ดุร้ายยิ่งนัก หากแม้นไม่มีความมั่นใจบุกจู่โจมอย่างเลินเล่อ จะตกตายใต้กระบี่ของซิเล้งทันที

ยามนั้นกระบี่ยาวของซิเล้ง พลันลดต่ำลงเล็กน้อย พริบตานั้นแสดงช่องว่างขึ้น แทบเป็นวินาทีเดียวกันกระบี่โบราณของกระบี่แห่งพิภพ พลันแผ่กระจายเป็นประกายผืนใหญ่ครอบคลุมใส่ช่องว่างนั้น

กระบี่แห่งพิภพรุกกระหน่ำกว่าสิบกระบี่ ทุกท่าเพลงล้วนแฝงพลังแกร่งกร้าวดุดัน

ซิเล้งถูกม่านกระบี่ รุกเค้นจนต้องถอยกรูดๆ ไปด้านหลังเจ็ดแปดก้าว การชิงชัยระหว่างยอดฝีมือ การมีเปรียบเพียงชั่ววูบ จะสามารถควบคุมสถานการณ์เฉพาะหน้าโดยสิ้นเชิง!

แต่กระบี่แห่งพิภพพลันรู้สึกผิดท่าไป มาตรแม้นพลังการจู่โจมของมันยังทะลักทลายใส่ราวกับสายน้ำอันเชี่ยวกราก แต่พลังการกดดันจากตัวกระบี่ฝ่ายตรงข้าม กลับเริ่มแทรกซึมเข้าสู่รัศมีกระบี่มัน จนลมหายใจอึดอัดลำบาก

กระบี่แห่งพิภพจู่โจมอีกสิบเจ็ดสิบแปดกระบี่ ซิเล้งคราครั้งนี้กลับต้านรับได้โดยมิล่าถอย บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ ขึ้น

ความจริงซิเล้งได้ใช้พลังภายในที่เพิ่งค้นคว้าแตกฉาน ทำให้สามารถแผ่พุ่งกระแสพลังชนิดหนึ่งออกจากตัวกระบี่ ตีโต้ใส่ศัตรูอย่างไร้สภาพ!

บัดนี้กระแสกำลังที่ผนึกมากับกระบี่ของฝ่ายตรงข้ามได้เสื่อมโทรมลงไป แสดงว่าตนประสบความสำเร็จนี่นับเป็นเรื่องราวที่ควรค่าแก่การปีติลิงโลด

ขอเพียงซิเล้งมีระยะเวลาหมกมุ่นฝึกปรืออีกช่วงหนึ่ง ก็จะบรรลุถึงขึ้นขั้นสูงล้ำสุดยอดแล้ว!

รอยยิ้มบนใบหน้าของซิเล้งพลันสูญสลาย ปรากกฏแววเคร่งเครียดขึ้น แผ่บารมีอันฮึกเหิมสงบขวัญ เป็นสัญญลักษณ์ว่าตนกำลังจะทุ่มเทวิชาไม้ตายออก

ได้ยินซิเล้งตวาดดังกึกก้อง ท่ามกลางกระบี่นับร้อยๆ พันๆ สาย ประเดประดังมาจากกระบี่แห่งพิภพ พลันกวัดแกว่งกระบี่ยาวเสือกพุ่งออกไปเบื้องหน้า

เสียงดังตึงกังวานก้อง กระบี่แห่งพิภพกลับไม่อาจรักษาร่างกายให้มั่นคง เซตึงตึงถอยกายไปสี่ห้าก้าว

ข้อมือของมันด้านชาด้าน กระบี่ฝ่ายตรงข้ามท่านี้หากไม่มีเจตนาฟาดฟันลงมาทางกระบี่โบราณ แต่จู่โจมใส่ร่างการของมัน เกรงว่าตนคงนอนฟุบเป็นซากศพไปแล้ว

กระบี่แห่งพิภพเขม้นมองซิเล้ง ประหวัดหวนนึกถึงสภาวะเมื่อครู่ ต้องถอนหายใจอย่างทอดอาลัย ลากกระบี่ยาวเดินกลับที่นั่งเดิม

ผู้คนทั่วห้องโถงต่างไม่ส่งเสียง ซิเล้งซุกเก็บกระบี่คืนสู่ฝักกล่าวอย่างสงบ

“ข้าพเจ้าฝืกปรือฝีมือที่มีแนวทางผิดแผกไป ซือแป๋มีนามอาวเอี้ยงง้วนเจียง เรียกหาตัวเองว่าขุนพลไร้กร ท่านผู้เฒ่ามิเคยเหยียบย่างเข้าสู่วงนักเลง

ซึ่งซือแป๋ของกิมเม้งตี้นามฉื่อซือก็เป็นเฉกเช่นกัน โดยน้อยครั้งจะคบหากับสามัญชน และยกย่องตัวเองว่าเทพสันโดษ มีแนววิชาฝีมืออันล้ำลึกไพศาล แทบจะมิมีวิชาใดที่ไม่ช่ำชอง และซือแป๋กับท่านผู้อาวุโสแซ่ฉื่อมีเกียรติภูมิร่วมกัน”

ในวงนักเลงมิมีผู้ใดทราบสำนักอาจารย์ของกิมเม้งตี้ ดังนั้นทุกผู้คนในห้องโถงจึงรับฟ้องอย่างจดจ่อ

ซิเล้งใคร่ครวญอยู่เล็กน้อย พลันตกลงใจว่าจะประกาศต้นตอด้านวิชาฝีมือของผู้กล้าหาญดาบทองออกไป ซึ่งพฤติการณ์นี้อาจมีผลประโยชน์ต่อตัวเอง จึงกล่าว

“ในใต้หล้ามียอดคนหลายท่าน ล้วนมิมีผู้ใดรู้จักมักคุ้น แต่ความจริงพลังการฝึกปรือของบรรดายอดคนเหล่านั้นได้บรรลุถึงขั้นสุดยอด คาดว่าเกือบจะทัดเทียมกับแนววิชาฝีมือของปรมาจารย์ประจำยุค ซึ่งจารึกอยู่ในเจดีย์ทองคำ และในจำนวนยอดอัจฉริยะมีอยู่ผู้หนึ่งเป็นซือแป๋ของจูกงเม้ง”

วาจาพอเอ่ยออก ทั่วทั้งห้องโถงถึงกับสงบสงัดไป ควรทราบว่าเกียรติภูมิของผู้กล้าหาญดาบทองจูกงเม้งกระเดื่องดังอยู่ในวงนักเลงหลายสิบปีแล้ว มิว่าชนชาวธัมมะหรืออธรรม จวบจนบัดนี้ก็ยังให้เคารพเลื่อมใสมัน ถ้าเช่นนั้นเหล่าผู้ทรงฝีมือที่ชุมนุมอยู่ ไฉนจึงยินยอมรับฟังวาจาของซิเล้งอย่างสงบเล่า?

สาเหตุนั้นมีอยู่สองประการ หนึ่ง คือ ซิเล้ง ตั้งแต่ถูกประกาศไล่ล่าเป็นเวลาสามปีแล้ว ซึ่งในกำหนดเวลาดังกล่าว ซิเล้งมิเคยสร้างสมความชั่วร้ายหรือผูกพันข้อพยาบาทกับสำนักใดมาก่อน

สอง แนววิชาฝีมือของผู้กล้าหาญดาบทอง ทั่วพื้นพิภพไม่มีผู้ใดล่วงรู้มาก่อน จึงเป็นปมปัญหาที่สร้างความหมกมุ่นสนใจให้กับทุกผู้คน

ซิเล้งพอพบว่า ผู้คนทั้งหมดไม่มีปฏิกิริยา จึงกล่าวต่อ

“ซือแป๋ของจูกงเม้งสมญาเฒ่าเอกะประหลาดสถาปนาสำนักมหากาฬขึ้น จูกงเม้งนับเป็นทายาทอันดับหนึ่งทีเดียว เพียงแต่เฒ่าเอกะประหลาดยังมีพี่ชายอยู่ผู้หนึ่ง สมญาอลัชชีโลกันตร์

“บุคคลนี้เป็นราชันย์ในมวลหมู่อสูร ชั่วชีวิตมิเคยลงมือประกอบความชั่วร้าย แต่หลายสิบปีที่ผ่านมามหันตภัยแทบทุกเรื่องราวที่ก่อตัวขึ้น ล้วนมีความสัมพันธ์กับมัน”

ขณะนั้นซัวมุ่งเทียนแห่งบู๊ตึงกล่าวว่า

“วาจาเหล่านี้ออกจะโคมลอยไร้เหตุผลอ้างอิงยากเชื่อถือ”

ซิเล้งกล่าวในบัดดล

“ข้าพเจ้าขอเรียนถาม หากนี่เป็นการเสกสรรปั้นแต่ง พฤติการณ์นี้สามารถชำระล้างมลทินที่ข้าพเจ้าถูกใส่ไคล้ได้หรือ? ในเมื่อไม่มี ข้าพเจ้าไยต้องพิรี้พิไรด้วย”

หยุดขบคิดครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ

“อลัชชีโลกันตร์ ก่อตั้งสถาบันอำมหิตขึ้น สำนักมหากาฬของเฒ่าเอกะประหลาดก็เป็นค่ายพรรคที่อยู่ในสังกัด จูกงเม้งเองก็ต้องปฏิบัติเรื่องราวตามกฎควบคุมของสถาบันอำมหิต

ความจริง จูกงเม้งเป็นผลิตผลที่อัชชีโลกันตร์สร้างสรรค์ขึ้น อลัชชีโลกันตร์นี้ มิเพียงเป็นยอดฝีมือสูงล้ำความคิดอ่านก็สะท้านโลก แตกฉานในวิชาแพทยศาสตร์และความรู้ทุกแขนง

มักเคยสร้างสรรค์อัจฉริยะขึ้นผู้หนึ่ง นามแฮ่โฮ้วคง คราก่อนแทบหักโค่นกับกี้เฮียงเค้งโกวเนี้ย ศิษย์บึงเร้นอาคารลับได้ แสดงว่าความรู้ของแฮ่โฮ้วคงผู้นี้ สูงส่งปราดเปรื่องถึงขั้นไร้เทียมทาน”

คราครั้งนี้เหล่ายอดฝีมือเริ่มบังเกิดความแตกตื่น เนื่องจากซิเล้งมีหลักฐานยืนยันคำบอกเล่าแล้ว โดยพาดพิงไปถึงบึงเร้นอาคารลับ ดินแดนแห่งภูมิความรู้ของบู๊ลิ้ม

ซิเล้งกล่าวช้าๆ

“สถาบันอำมหิต มีอุดมการณ์วิปลาสคลุ้มคลั่ง เข้าใจว่าทุกผู้คนในใต้หล้าล้วนเห็นแก่ตัว ละโมบมักมาก หากสามารถประหารฆ่าฟันได้มากเท่าใด ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อโลกกว้าง

“และนอกจากสร้างสรรค์บุคคลที่มีหน้ากากอันจอมปลอมเช่นผู้กล้าหาญดาบทองแล้ว ยังประกอบแต่เรื่องราวชั่วช้าสามาลย์ สนับสนุนขุนนางทรยศก่อกวนบ้านเมือง คอยล้มล้างข้าราชการที่สัตย์ซื่อ

“นอกจากนั้นยังพยายามยุยงให้บรรดาโจรสลัดเกิดการแตกแยกภายใน อันนี้เป็นสาเหตุให้ชนชาวเมืองถูกสลัดญี่ปุ่นคุกคาม ประสบเภทภัยยิ่งขึ้น”

ฮุ้นฮงเซี่ยงซือกล่าวว่า

“โอมมณีตัสสะ วาจาของประสกชวนเคลือบแคลงแล้ว โจรสลัดญี่ปุ่นเมื่อมีการแตกแยกภายใน ขุมกำลังย่อมอ่อนแอลง ไฉนกลับกล่าวว่าประกอบกรรมรุนแรงยิ่งขึ้นเล่า?”

“สลัดญี่ปุ่นที่ดุร้าย หากมีผู้นำหนึ่งหรือสองคนคอยควบคุม แม้จะมีขุมกำลังกล้าแข็ง แต่ยามปล้นสะดมก็ไม่มุ่งฆ่าฟันผู้คน และยังต้องวางแผนการตกลงก่อน ไม่ปล้นฆ่าทุกวี่ทุกวันเฉกเช่นตอนนี้ แต่เมื่อแตกแยกกันไป ก็ไม่มีกฎระเบียบควบคุม จึงปฏิบัติการตามอำเภอใจ”

การกล่าวอ้างนี้ นอกเหนือความคาดหมายของทุกผู้คน และซิเล้งยังชักนำเหตุการณ์ที่มีวังวารี ภายใต้การนำของเทพไตรทะเล และสนับสนุนโดยห้าจ้าวฉลาม แต่ถูกซิเล้งทำลายล้างไป

ภายหลังยังพาดพิงถึงเรื่องราวที่สังหารปีศาจไพร ซึ่งทุกผู้คนพอรับฟังว่า อลัชชีโลกันตร์สามารถทำให้ผู้คนแปรเปลี่ยนเป็นตัวประหลาดหรือเดียรัจฉานที่บ้าคลั่งฟั่นเฟือน ต่างก็ตื่นตระหนก

สุดท้ายซิเล้งกล่าวสรุปว่า

“พฤติการณ์ที่สถาบันอำมหิตสร้างสมขึ้น ล้วนแต่ชั่วร้ายผิดทำนองคลองธรรม แม้เป็นบุคคลชาวอธรรม ก็ไม่อาจทนรับการอาละวาดอย่างป่าเถื่อนได้

ดังนั้นวงนักเลงในยุกนี้ พวกเราต้องระมัดระวังจากสำนักนี้ ยิ่งสมควรสามัคคีรวมกำลังกัน ทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามให้สูญสิ้นไปจากโลก”

ทุกผู้คนในห้องโถงล้วนหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องราวเหล่านี้ สีหน้ากลับทอแววคลางแคลงมิเชื่อถือ

ซิเล้งยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า

“ข้าพเจ้าขอรับรองว่าสถาบันอำมหิต ได้ประกอบตัวขึ้นมาจริงๆ แต่ทุกท่านคงมิเข้าใจว่าอลัชชีโลกันตร์ ในเมื่อร้ายกาจปานนี้ ไฉนมิเคยปรากฏตนขึ้นในวงนักเลงมาก่อน”

เจ็ดก้าวเบิกภูผากล่าวว่า

“นั่นเป็นสาเหตุใด?”

“อลัชชีโลกันตร์ เพราะคร้ามเกรงต่อบุคคลผู้หนึ่ง หากแม้นมันประกอบความชั่วอย่างเปิดเผย ยอดคนท่านนั้นย่อมมิอาจไม่ยุ่งเกี่ยว ผู้อาวุโสท่านนั้นคือ เสียวเง็กฮั้ว สมญานงคราญยะเยือก ซึ่งมีอายุกว่าร้อยปี ข้าพเจ้าเคยกราบพบท่านผู้เฒ่ามาก่อน และได้รับการชี้แนะจนได้ไปเสาะหาซือแป๋ขุนพลไร้กร ยังมีฉี้อิงก็คือทายาทของท่านอาวุโสแซ่เสียว”

หยุดเล็กน้อยจึงกล่าวต่อ

“อลัชชีโลกันตร์หาใช่เกรงกลัวนงคราญยะเยือก ทั้งนี้ก็เพราะท่านผู้เฒ่าปลีกตัวเร้นกาย ไม่ข้องแวะกับโลกีย์วิสัย

แต่ท่านผู้อาวุโสแซ่เสียวมีสหายสนิทสองท่าน ซึ่งคือซือแป๋ข้าพเจ้ากับผู้ประสาทวิชาให้กิมเม้งตี้ ทั้งสองล้วนเชื่อฟังวาจาของผู้อาวุโสแซ่เสียว หากแม้นร่วมมือกันจัดการกับอลัชชีโลกันตร์ ย่อมประสบความสำเร็จ”

ทุกผู้คนพอหวนนึกถึงความสำเร็จของกิมเม้งตี้และอานุภาพของซิเล้งเมื่อครู่ รู้สึกว่าวาจาของตน หาได้คุยเขื่องประโคมโหมไม่

กระบี่แห่งพิภพแลเห็นผู้คนต่างเชื่อถือวาจาของซิเล้ง อดเสียงอย่างเกรี้ยวกราดมิได้

“ซิเล้ง เจ้าเหตุใดไม่พาดพิงเอ่ยถึงชาติกำเนิดของตัวเองบ้าง?”

ผู้คนส่วนใหญ่เพียงทราบว่าผู้กล้าหาญดาบทองเคยอุปการะซิเล้ง เนื่องจากเป็นสหายกับบิดาซิเล้ง แต่หลังกลับคิดย่ำยีซือบ้อ ซิเล้งก็ทราบว่ากระบี่แห่งพิภพเมื่อพ่ายแพ้ในวันนี้ เกียรติภูมิที่สร้างสมมา เท่ากับสูญสลายไป ย่อมบังเกิดความอาฆาตแค้นต่อตน

ซิเล้งกล่าวอย่างแช่มช้าว่า

“ความจริงข้าพเจ้าถือกำเนิดจากตระกูลสูงศักดิ์ บิดาผู้ล่วงลับเคยรับตำแหน่งผู้ตรวจการขององค์กษัตริย์ นามซิซวง

“ภายหลัง ถูกขุนนางทรยศงุ่ยตงเฮี้ยงป้ายความผิด จนครอบครัวถูกประหารสิ้น แต่ความเป็นจริงจูงกงเม้งเป็นคนบงการให้หัตถ์อสนีบาต ดำเนินเรื่องราวนี้ขึ้น

“จูกงเม้งที่รับอุปการะข้าพเจ้าจนเติบใหญ่ เพราะมีเจตนาเสริมสร้างเกียรติภูมิ ในความเข้าใจของมันข้าพเจ้าจะกำจัดฆ่าทิ้งเมื่อไรก็ได้

“ภายหลัง ข้าพเจ้าถูกใส่ไคล้ป้ายผิด ไม่มีพื้นพสุธาให้ยืนหยัด หากมิใช่ฟ้าลิขิตคงตกตายจากการไล่ล่าไปนานแล้ว”

ทุกผู้คนรับฟังจนมีสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคลือบแคลงสงสัย ซิเล้งฝืนยิ้มหัวร่อกล่าวว่า

“ข้าพเจ้า ไม่มุ่งหวังให้พวกท่านเชื่อถือ แต่ในเรื่องหนึ่งพวกท่านสมควรทราบข้าพเจ้าขณะอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลจู มิเคยได้รับการถ่ายทอดฝีมือ และยังถูกใส่ไคล้จนมัวหมอง ตอนนั้นตัวเองไม่เข้าใจสาเหตุความนัยเลย

“จวบจน กี้เฮี้ยงเค้งโกวเนี้ย สืบทราบเหตุการณ์ของครอบครัวข้าพเจ้า พบเห็นหัตถ์อสนีบาต มีการติดต่อกับงุ่ยตงเฮี้ยง กอปรกับตรวจพบว่าจูกงเม้งลอบให้การสนับสนุนขุนนางทรยศผู้นั้น ข้าพเจ้าคอยคาดเดาจากคำบอกเล่าจนเข้าใจ”

กระบี่แห่งพิภพพลันร้องดังๆ

“ซิเล้ง เจ้ากล่าววาจามากมาย แต่ยังมิอาจทำให้พวกเราเชื่อถือได้ นงคราญยะเยือกเป็นผู้ดีมีธัมมะ ไฉนกลับสนับสนุนเจ้า นางที่แท้ทราบความประพฤติของเจ้าหรือไม่?”

ซิเล้งพลันฉุกใจได้คิด คำนึงขึ้น

“…วาจาของมัน คล้ายดั่งคิดแย้งกับเรา แต่ความจริงลอบเปิดโอกาสให้กับเราหรือมันก็ระแวงสงสัยจูกงเม้งขึ้นมาแล้ว?”…

ดังนั้นตอบว่า

“ครั้งกระโน้น ข้าพเจ้าขณะติดตามฉี้โกวเนี้ยไปพบพาน ท่านผู้อาวุโสแซ่เสียวในตำหนักบาดาลได้ผ่านด่านทดสอบหลายด่านสร้างความเชื่อถือต่อท่านผู้อาวุโสแซ่เสียว”

ทุกผู้คนต่างรู้สึกเชื่อครึ่งมิเชื่อครึ่ง แป๊ะเอี้ยงพลันกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า

“ข้าพเจ้ามีวิธีการสามารถพิสูจน์ว่าเป็นความจริงหรือแปลกปลอม โดยพวกเราร่วมมือกันคร่ากุมมันแล้วค่อยเสาะหาจูไต้เฮียบกับเนี่ยฮงเฮีย เพื่อเป็นพยานยืนยันเรื่องราวให้กระจ่างชัดไปเลย”

ซิเล้งจับจ้องฝ่ายตรงข้ามอย่างเวทนา จวบจนบัดนี้ มันยังสนับสนุนผู้กล้าหาญดาบทองกับหัตถ์อสนีบาต หาทราบไม่ว่าธิดา และสนมรักมันล้วนแต่ถูกคนชั่วร้ายทั้งสองข่มขืนย่ำยี

ข้อคิดเห็นของแป๊ะเอี้ยง กระตุ้นยอดฝีมือในห้องโถงยืนหยัดลุกขึ้นสี่ห้าคน ซิเล้งกลับยิ้มน้อยๆ กล่าวเสียงกังวาน

“ข้าพเจ้าได้นัดแนะให้ฉี้โกวเนี้ยมายังที่นี้ หากแม้นทุกท่านไม่มีความคิดอย่างอื่น เพียงต้องการให้จูกงเม้งกับหัตถ์อสนีบาตมายืนยันเรื่องราว ข้าพเจ้าก็ยินดีพบพานมัน และรอคอยอยู่ในที่นี้”

บรรดาผู้คนที่ลุกขึ้น พอได้ยินก็ทรุดกายนั่งลง รวมทั้งแป๊ะเอี้ยงด้วย เพื่อมิให้หลังจากที่กลุ่มยอดฝีมือยอมรับข้อเสนอนี้ ซิเล้งจะเข้าใจว่าพวกมันเป็นศัตรู

กระบี่แห่งพิภพพลันร้องดังๆ ว่า

“เรามีความรู้สึกว่า การมาของซิเล้งมีเจตนารมณ์น่าขบคิด มันหากไม่มีพยานหลักฐาน ไหนเลยกล้าประกาศออก

“พร้อมกับนั้นเรื่องราวก็ประจวบเหมาะบังเอิญยิ่ง กล่าวคือจูงกเม้งกับหัตถ์อสนีบาตก็พลันจากไปโดยมิทิ้งร่องรอย หรือมีความระแวงหวั่นไหวบางประการ? ทุกท่านหากใคร่ครวญโดยละเอียดจะรู้สึกผิดปรกติ”

เจ็ดก้าวเบิกภูผาแห่งพรรคธงเหลือง กล่าวเสริมว่า

“วาจามีเหตุผล พวกเราล้วนท่องเที่ยวอยู่ในวงนักเลงมานานปี หากคิดกระทำเรื่องราวอันใด สมควรเข้าใจเหตุการณ์ให้ถ่องแท้”

ตุลาการโฉดถลึงตาใส่มัน คราก่อนเจ็ดก้าวเบิกภูผาเคยเร่งรุดร่วมไปกับขบวนผู้คน ไล่ล่าซิเล้งในการนำของหัตถ์อสนีบาต และครั้งนั้น เพียงฝ่ามือเดียวมันก็ถูกซิเล้งล่าถอย เข้าใจว่าเดียรัจฉานนี้คงเกรงกลัวซิเล้ง จึงกล่าววาจาคุ้มครอง

บัดนี้สมญาผู้กล้าหาญดาบทอง เริ่มทอนความเลื่อมใสดั่งเก่าก่อน การคลี่คลายสภาพการณ์ด้วยถ้อยคารมของซิเล้งครานี้ นับว่าประสบความสำเร็จมิน้อย

ซิเล้งผงกศีรษะเป็นเชิงขอบคุณต่อกระบี่แห่งพิภพกับเจ็ดก้าวเบิกภูผา แล้วจึงกล่าว

“หนี้โลหิตของข้าพเจ้า มิต้องให้ทุกท่านยุ่งเกี่ยว ข้าพเจ้าจะหักล้างกับศัตรูแยกแยะความเป็นตายด้วยความสามารถ บัดนี้จะสนทนาถึงเรื่องราวเกี่ยวกับเจดีย์ทองคำ”

วาจาพอเอ่ยออก สีหน้าทุกผู้คนต่างแปรเปลี่ยนไป เงี่ยหูรับฟังอย่างจดจ่อ

ซิเล้งกล่าวอย่างแช่มช้า

“เกี่ยวกับเจดีย์ทองคำนั้น ข้าพเจ้ารับฟังมาพอสังเขป และยินดีบ่งบอกออกไป เป็นที่ทราบกันแล้วว่า เจดีย์ทองคำหลังนั้น เป็นยอดคนรุ่นก่อนสองท่านร่วมกันก่อสร้างขึ้น หนึ่งคือปรมาจารย์วิชาแห่งบู๊ลิ้มสมญาเทพโฉดสะท้านโพยม อีกหนึ่งคือหลวงจีนอาวุโสจากชมพูทวีปมหาสมณะโพธิสัตว์

ความสำเร็จของยอดคนทั้งสองท่านนี้ ได้ครอบคลุมแนววิชาทุกแขนงในใต้หล้า แต่ล้วนไม่อาจเสาะพบทายาทที่เหมาะสม และเพื่อมิให้ไม้ตายที่ฝึกฝนได้สูญสลายจากโลก จึงจารึกวิชาทั้งมวลอยู่ในเจดีย์หลังนั้น

ตามคำร่ำลือ ในเจดีย์ทองคำยังซุกซ่อนทรัพย์สมบัติมหาศาล ดังนั้นผู้ยึดครองประแจทอง เท่ากับสามารถไขประตูแห่งขุมทรัพท์ได้”

ทุกผู้คนทราบว่า ซิเล้งเริ่มวกเข้าสู่ใจความสำคัญ จึงบังเกิดความกระตือรือร้น ได้ยินซิเล้งกล่าวต่อ

“เท่าที่ข้าพเจ้าทราบมา ประแจที่ไขสู่เจดีย์ทองคำดอกนั้น เพียงสามารถเปิดบานประตูที่จัดสร้างบนเจดีย์ แต่ความจริงแล้ว นั่นมิอาจนับเป็นประตู เพียงเป็นถ้ำลักษณะสี่เหลี่ยม กว้างยาวสองเชียะเท่านั้น”

ผู้คนที่ชุมนุมอยู่ในห้องโถง มีอยู่จำนวนหนึ่งเคยเร่งรุดสู่บรรพตไต้เซาะซัว และผู้พบเห็นเจดีย์มหึมาที่สูงสามวา วัดโดยรอบยาวเกือบสิบวาด้วยตนเอง จึงทราบว่าวาจาของซิเล้งมิผิดพลาด

คราก่อนมันหากมิมีพลังฝีมือสูงล้ำ ก็ไม่อาจทดลองไขบานประตูที่จัดสร้างอยู่เกือบยอดสุดของเจดีย์และยามปีนป่ายขึ้นไป ก็เปี่ยวล้นภยันตรายน่าหวาดเสียว

ซิเล้งกล่าวอีกว่า

“กุญแจจริงดอกนั้น พอไขประตูได้แล้ว ยามเข้าสู่ภายในก็จะพบประแจอีกสองดอก จวบจนบัดนี้ต้องดูว่าผู้ที่เข้าไปมีวาสนาปาฏิหาริย์ถึงขั้นใด”

วาจาของตนนับว่าสิ้นสุดลง ทุกผู้คนเริ่มซุบซิบหารือกันสับสนวุ่นวาย คาดคะเนเหตุการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ไปต่างๆ นานา

ซิเล้งสังเกตพบว่า ทั่วทั้งห้องโถงมีเพียงปึงเซียะแห่งคุนลุ้นที่มิส่งเสียง จึงฉุกใจได้คิด สาวเท้าก้าวเข้าหากล่าวว่า

“ปึงเฮียคล้ายดั่งไม่มีรสนิยมต่อเรื่องราวเกี่ยวกับเจดีย์ทองคำเลย?”

ปึงเซียะกล่าวอย่างสงบ

“มิผิด ข้าพเจ้าได้รับคำมอบหมายจากซือแป๋มายังแผ่นดินตงง้วนนี้ หาใช่เรื่องราวของเจดีย์ทองคำไม่”

ซิเล้งรู้สึกฝ่ายตรงข้ามเป็นคนเปิดเผยสัตย์ซื่อจึงบังเกิดความคิดสนิทชิดใกล้กล่าวว่า

“ถ้าเช่นนั้นปึงเฮียไฉนมาร่วมชุมนุมในวันนี้เล่า?”

“ข้าพเจ้าหลังจากรับทราบวาจาบ่งบอกของท่านแล้ว กำลังหาโอกาสสนทนากับท่าน เกี่ยวกับสาเหตุที่ข้าพเจ้ามาร่วมชุมนุมด้วย เนื่องจากรับทราบมาว่า ฮุ้นฮงเซี่ยงซืออยู่ที่ไคฮงจึงเร่งรุดมาพบพาน การร่วมชุมนุมครานี้นับเป็นเรื่องประจวบเหมาะ อีกทั้งได้ยลชมวิชาหกกระบวนท่ามหรรณพ นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว…”

มันแม้ไม่ถนัดในการกล่าววาจา แต่ถ้อยคารมเปี่ยมมารยาทอย่างแจ่มชัด

ซิเล้งบังเกิดความตื่นตระหนกอย่างใหญ่หลวง นี่นับเป็นคราแรกที่ได้ยินบุคลภายนอกอ้างอิงหกกระบวนท่ามหรรณพ ต้องคำนึงขึ้น

“หาคาดไม่ว่าความสูงส่งของมันยังนอกเหนือการคำนวณของเราด้วย…”

บนใบหน้าที่เคร่งขรึมสำรวมของปึงเซียะ ไม่มีความรู้สึกใดๆ ซิเล้งจึงมิอาจคาดเดาได้ว่า ฝ่ายตรงข้ามที่แท้ทราบความในใจของตนหรือไม่?

ได้ยินมันกล่าวช้าๆ ว่า

“ข้าพเจ้ารับส่งซือแป๋มายังตงง้วนเพื่อสืบเสาะเรื่องราวหนึ่ง เนื่องเพราะมินานมานี้ซือแป๋พลันได้รับจดหมายลับจากศิษย์ในสังกัดที่พำนักอยู่เมืองตงจิว

ข้อความในจดหมาย อ้างว่ามีศิษย์ร่วมสำนักผู้หนึ่งถูกก่อตั้งสถาบันอำมหิต อลัชชีโลกันตร์ประทุษร้าย จองจำอยู่ในอาณาจักรอัคคี

ศิษย์ผู้ประสบเคราะห์กรรม ใช้อักษรลับ บอกเล่าสภาพการณ์ไว้บนแผ่นไม้ใบ และกำกับสถานที่อยู่ของผู้ร่วมสำนักที่มีนิวาสถานอยู่เมืองตงจิวไว้ด้วย บ่งบอกว่าผู้ที่สามารถนำส่งแผ่นไม้ใบถึงที่หมาย จะได้รับเงินสมนาคุณหนึ่งร้อยตำลึง

แผ่นไม้ใบมิทราบผ่านมือผู้คนเท่าใด จวบจนภายหลังค่อยส่งมาถึงเมืองตงจิว”

มันหยุดขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวต่อ

“ศิษย์สำนักเราทั้งสองนั้น ความจริงมีฐานะร่ำรวย มิเคยออกท่องเที่ยวในวงนักเลง เพียงแต่เคยฝึกฝีมือจากสำนักเรา ดังนั้นชนชาวบู๊ลิ้มจึงมิทราบว่า สำนักคุนลุ้นมีศิษย์พำนักอยู่ในตงง้วน

ศิษย์สำนักเราที่ได้รับข่าว ขอความช่วยเหลือ เนื่องจากไม่เข้าใจเหตุการณ์ในบู๊ลิ้มตอนนี้ จึงรายงานเรื่องราวต่อซือแป๋ จากนั้นข้าพเจ้าค่อยถูกส่งมาที่นี้

เกี่ยวกับเรื่องราวของซิเฮีย ข้าพเจ้าเคยรับทราบจากฮุ้นฮงเซี่ยงซือ หลังจากพบหน้าท่าน ทราบรายละเอียดต่างๆ ค่อยรู้ซึ้งว่าท่านความจริงถูกใส่ไคร้ป้ายผิด”

ซิเล้งหัวร่อพลางกล่าว

“ขอบคุณปึงเฮียที่เข้าใจ ท่านหากทราบซึ้งถึงเกียรติภูมิของจูกงเม้ง ย่อมเข้าใจดีว่าชนชาวบู๊ลิ้ม คราแรกไฉนบังเกิดความชิงชังข้าพเจ้า”

“จูกงเม้งเมื่อเป็นบริวารสังกัดอลัชชีโลกันตร์ แสดงว่ามิใช่บุคคลดีงาม และอาณาจักรอัคคีก็อยู่ที่มณฑลซัวตัง ข้าพเจ้าตกลงใจว่าจะเร่งรุดไสักคราหนึ่ง”

“แต่ปึงเฮียมีกำลังเพียงลำพัง คาดว่ายังคงอย่าได้เสี่ยงอันตรายไปเลย”

ปึงเซียะยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า

“ข้าพเจ้าแม้มีพลังฝีมืออ่อนด้อย แต่คำสั่งซือแป๋ แม้ต้องเสี่ยงชีวิตก็มิอาจไม่ไป ความจริงข้าพเจ้าคิดทดสอบความสามารถของอลัชชีโลกันตร์อยู่แล้ว”

ซิเล้งมีน้ำใจระอุอุ่น พอฟังต้องร้องโพล่งว่า

“หากแม้ปึงเฮียมิดูแคลน ข้าพเจ้ายินดีติดตามร่วมทางไปด้วย”

ปึงเซียะบังเกิดความรู้สึกตื้นตันใจ แต่สีหน้ามิได้แสดงออกเพียงยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า

“การไปอาณาจักรอัคคีครานี้ มีภยันตรายสุดแสน หากท่านต้องการร่วมทางกับข้าพเจ้า ก็ต้องผ่านด่านทดสอบของเราก่อน ซิเฮียแม้มีไม้ตายเลิศล้ำ แต่ยังคงอย่าได้สร้างความลำบากใจแก่ข้าพเจ้า”

“หากแม้นปึกเฮียมีเจตนายืนกรานเช่นนี้ ข้าพเจ้าได้แต่น้อมรับคำสั่ง”

วาจาแม้ตอบโต้เช่นนั้น แต่ซิเล้งต้องระวังยิ่งขึ้นครุ่นคิดในใจ

“…มันพบเห็นเราใช้วิชาหกกระบวนท่ามหรรณพ แต่ยังต้องการพิสูจน์ฝีมือ แสดงว่ามีความมั่นใจอยู่หลายส่วน หากแม้นเราพ่ายแพ้ใต้คมกระบี่มัน ซือแป๋ผู้เฒ่าหากรับทราบ จะรู้สึกอย่างไร?…”

ยามนั้นมีคนไต่ถามเกี่ยวกับเจดีย์ทองคำ ซิเล้งจึงต้องรับฟัง และสังเกตจากสีหน้าเหล่ายอดฝีมือ ล้วนแต่หมกมุ่นสนใจ ขอเพียงตอบโต้มิถูกต้อง อาจก่อเกิดข้อบาดหมางได้

ซิเล้งใคร่ครวญอย่างหมกมุ่น ตกลงใจว่าต้องช่วงชิงหมู่ยอดฝีมืออยู่ฝ่ายตน เพื่อใช้ต้านทานจูกงเม้ง หัตถ์อสนีบาตตลอดจนสถาบันอำมหิต

ตุลาการโฉดถามว่า

“ซิเสียวเฮียบที่แท้ล่วงรู้ร่องรอยของประแจเจดีย์ทองคำหรือไม่?”

“นับว่าทราบได้ เพียงแต่สามารถยึดครองอยู่ในมือได้หรือไม่ ยังมิกล้ารับรอง…”

นางแมลงป่องหัวร่ออย่างหยาดเยิ้มกล่าวว่า

“ถ้าเช่นนั้นท่านต้องอนุญาต พวกเราคอยติดตามร่วมด้วย เช่นนี้เท่ากับแสดงความบริสุทธิ์ใจแล้ว”

ซิเล้งได้แต่ฝืนหัวร่อ สังเกตจากสีหน้าทุกผู้คน รู้สึกมีความเห็นพ้องกัน จึงกล่าว

“ก็ได้ แต่ข้าพเจ้าขอบ่งบอกล่วงหน้า ในขั้นแรกนี้จะนำพาทุกท่านไปเสาะหาประแจทองคำดอกนั้น หากแม้นมิได้มา ข้าพเจ้ายังมีเรื่องราวสำคัญมิอาจอยู่ร่วมด้วย”

ยอดฝีมือจากสำนักปักมั่ง สองพี่น้องฝาแฝดตระกูลคู ซึ่งเงียบงันตลอดเวลา พลันหัวร่อแค่นๆ ขึ้น พี่ใหญ่คูจ้องลุ้ยกล่าวเสียงเย็นชาว่า

“มิเกรงว่าจะล่วงเกินซีเฮีย เราขอถามวาจาประโยคหนึ่ง หากแม้นมิเสาะพบประแจเจดีย์ทองคำ พวกเราจะเชื่อมั่นได้อย่างไรว่าท่านมิได้ลอบไปแสวงหาเพียงลำพัง?”

วาจาของมันนับว่าให้ความเกรงใจ แต่ทุกผู้คนต่างเข้าใจถึงความมุ่งหมายในคารม ซิเล้งกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าขอบอกล่วงหน้า เรื่องที่ข้าพเจ้าต้องปฏิบัติการนั้น เปี่ยมภัยอันตราย เป็นดินแดนถ้ำเสือวังมังกร หากแม้นมีผู้คนสูญเสียชีวิต ข้าพเจ้าจะรับภาระได้อย่างไร…”

บรรยากาศพลันเปลี่ยนแปลเป็นตรึงเครียด ปึงเซียะทราบดีว่า ซิเล้งหมายถึงอาณาจักรอัคคี ดังนั้นผุดลุกขึ้นกล่าวว่า

“ข้าพเจ้ายินยอมเป็นพยาน ยืนยันในวาจาทั้งมวล”

มันมิยอมอธิบายว่า ดินแดนนั้นมีภยันตรายอันใด แต่จากสำเนียงที่แท้จริงจัง ทุกผู้คนมิอาจไม่เชื่อถือ

กระบี่แห่งพิภพพลันกล่าวว่า

“ปัญหาข้อนี้ภายภาคหน้าค่อยพูดจากัน ตอนนี้สมควรไปเสาะหาประแจแห่งเจดีย์ทองคำก่อน”

บุคคลทั้งหมดต่างเห็นพ้องด้วย ซิเล้งหลังจากคำนวณกำหนดเวลาแล้วกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าต้องไปพบพานฉี้โกวเนี้ยตามนัดหมายก่อน และเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจขอเชิญผู้หนึ่งผู้ใดติดตามข้าพเจ้าไป มิทราบ…”

วาจามิทันจบลง แว่วสำเนียงเจื้อยแจ้วดังอาสาขึ้น เป็นนางแมลงป่องเอง

ซิเล้งต้องขมวดคิ้วเรียวงาม แต่มิอาจปฏิเสธ ประกายตากวาดมองปึงเซียะกล่าวว่า

“รบกวนปึงเฮียร่วมทางด้วยเป็นอย่างไร?”

ปึงเซียะบอกว่า ยินดีร่วมสนอง ดังนั้นคนทั้งสามจึงออกจากคฤหาสน์หลังนี้

ทั้งหมดมาถึงเก๋งมังกร ฉี้อิงยังมิเร่งรุดมา นางแมลงป่องเอื้อนเอ่ยวาจาพัวพันซิเล้ง มาตรแม้นซิเล้งจะเบื่อหน่ายรำคาญ แต่ด้วยมารยาทจึงจำต้องปฏิสันถารด้วย

ปึงเซียะที่อยู่ด้านข้าง ทราบว่าซิเล้งรำคาญใจยิ่ง แต่มันมิถนัดในการปราศรัยกับอิสตรี จึงมิอาจช่วยเหลือ และทราบว่านางแมลงป่องลุ่มหลงต่อซิเล้งที่คมคาย แต่ซิเล้งกลับมิสนใจ แสดงว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้มิใช่คนมักมากในกามคุณเลย

ปึงเซียะยังเกิดความเคารพต่อความพฤติของซิเล้งเป็นอย่างยิ่ง ยื่นมือแตะด้ามกระบี่บนบ่า กล่าวกับซิเล้งอย่างฮึกเหิม

“ซิเฮียเมื่อครู่แสดงเจตนาต้องการทดสอบเพลงกระบี่สำนักคุนลุ้น ทางด้านข้างมีพื้นที่เงียบสงบ เหมาะกับการประลองฝีมืออยู่ทีเดียว”


 อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่