๒๕
♦ สถานการณ์บีบคั้น ♦
……………

ซิเล้งอดบังเกิดความตื่นเต้นตระหนกอย่างใหญ่หลวงมิได้ พยายามครุ่นคิดหาหนทางหลบหนี แต่ผู้กล้าหาญดาบทอง หาใช่ศัตรูธรรมดาสามัญไม่

            ความสูงส่งในสติปัญญา ความอำมหิตในพฤติการณ์ของมัน นับวันมิมีผู้ใดเทียมทาน ซิเล้งแม้จะมีปฏิภาณฉลาดปราดเปรื่อง แต่ขณะเผชิญกับสุนัขจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้ ล้วนมิอาจสำแดงใช้ออก ที่ยังสามารถรอดชีวิตได้ ล้วนเป็นวาสนาอำนวยเท่านั้น

คราครั้งนี้ซิเล้งอับจนไร้หนทางจริงๆ แต่ยามอยู่เบื้องหน้าอาฮกเฒ่า ไม่อาจแสดงสีหน้ากังวล กลับต้องสร้างรอยยิ้มที่ปลอดโปร่งใจกล่าวว่า

“ท่านกลับไปเถอะ ข้าพเจ้าย่อมมีหนทางหลบหนี ข้าพเจ้าฝึกปรือวิชาฝีมือชนิดหนึ่ง บุคคลสามัญยากที่จะแลเห็นเงาร่างของเราเลย”

อาฮกเฒ่าได้รับทราบจากเจ้านายน้องของคฤหาสน์จิวเท้งเกาว่า คราก่อนซิเล้งขณะหนีบร่างของมัน โลดแล่นออกจากห้องหับนี้ กลับไปยังตึกใหญ่ที่ท่านเจ้าใหญ่พำนักอยู่ มีสภาพราวกับเหาะเหินอยู่บนอากาศ มิถูกผู้ใดพบเห็น

ดังนั้นมันจึงเชื่อถือวาจาของฝ่ายตรงข้ามถึงเจ็ดแปดส่วน กล่าวคำอำลาแล้วจากไป

ซิเล้งรอจนมันจากไป ก็สำรวจเส้นทางที่สามารถหลบหนีออกจากอาคารหลังนี้ พบว่าตอนนี้ถูกศัตรูปิดสกัดโดยสิ้นเชิง

คราครั้งนี้ผู้กล้าหาญดาบทองยังมิได้แสดงตนออกมา แต่หัตถ์อสนบีบาต นำพายอดฝีมือในเมืองหลวง กอปรกับชนชาวบู๊ลิ้มที่ลือนามอีกยี่สิบเศษ นับเป็นขุมกำลังอันมหาศาล

ซิเล้งหากทะลวงฝ่าออกไปโดยตรง ตนเองมั่นใจอยู่หลายส่วน แต่นั่นเท่ากับชักนำเภทภัยทำลายล้างให้กับตระกูลจิว

สถานการณ์เฉพาะหน้า สร้างความกระวนกระวายจนซิเล้งถึงกับบังเกิดความคิดอันรวบรัด หมายอัตวินิบาตกรรมตัวเองเสียให้หมดจดเลย

ภายในห้องสมุดประจำคฤหาสน์หลังนี้ เจ้าของตึกจิวงังซิวกำลังสนทนากับหัตถ์อสนนีบาต การเสาะค้นตึกตระกูลจิวครั้งนี้ ย่อมต้องเป็นหัตถ์อสนีบาต อาศัยตำแหน่งผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ คุกคามจนเจ้าเมืองแห่งนี้ยอมสยบ มาเสนอเรื่องราวต่อจิวงังซิว

เมื่อยามเที่ยง ฝ่ายเจ้าเมืองได้นำพาหัตถ์อสนีบาตเข้ากราบพบจิวงังซิว โดยที่หัตถ์อสนีบาตเนี่ยฮงรายงานว่า

“ข้าพเจ้าความจริงมิกล้ามารบกวนท่านผู้ใหญ่ แต่เรื่องราวอุบัติอย่างประจวบเหมาะ นักโทษสำคัญของแผ่นดิน หลบหนีมาในละแวกใกล้เคียงพลันหลายสาบสูญ ข้าพเจ้าค้นหาบ้านเรือนข้างเคียงหลายหลังแล้ว ยังมิพบพาน จึงจำต้องมาตรวจตราคฤหาสน์นี้”

จิวงังซิวกล่าวว่า

“ในเมื่อเป็นนักโทษที่หน่วยทหารรักษาพระองค์กำลังไล่ล่า คงประกอบคดีอาญาสถานหนัก เล่าฮูย่อมยินดีให้ค้นตึก เพียงแต่มิทราบท่านไฉนจึงปักใจว่า นักโทษสำคัญได้มาหลบซ่อนอยู่ในละแวกใกล้เคียง?”

วาจานี้ถามไถ่อย่างรุนแรงยิ่ง ขอเพียงหัตถ์อสนีบาตตอบไม่ถูกต้อง จิวงังซิวก็สามารถใช้สอยผู้คนเข้ากราบทูลต่อพระเจ้าแผ่นดิน อ้างการล่วงละเมิดของมันได้

หัตถ์อสนีบาตแม้มีอุปนิสัยหยาบกร้าน แต่หาใช่ชนชั้นไร้ปัญญา ตอบว่า

“นักโทษสำคัญผู้นั้น ขณะถูกข้าพเจ้าไล่ล่า ได้เตลิดหนีมาถึงเมืองนี้ ภายหลังรู้ตัวว่ายากรอดพ้น จึงซ่อนกายอยู่ในบ้านเรือนใหญ่ๆ

แผนการนี้ความจริงมีผลสำเร็จได้ หากแม้นมิใช่นักโทษสำคัญ ข้าพเจ้าย่อมมิยอมตรวจค้นสร้างความแตกตื่นต่อชาวประชา แต่เรื่องนี้สำคัญยิ่ง จึงต้องล่วงเกินท่านผู้ใหญ่ ขอได้โปรดอภัยด้วย”

จิวงังซิวเมื่อมิได้รับราชการอยู่อีก จึงไม่สะดวกต่อการถามชื่อแซ่ความเป็นมาของนักโทษ และสถานการณ์ก็บีบบังคับจนมิอาจไม่อนุโลม

หัตถ์อสนีบาตกล่าวอีกว่า

“ข้าพเจ้าได้เชื้อเชิญสหายมาช่วยเหลือมิน้อย นอกจากนั้นได้ซุ่มซ่อนผู้คนอยู่บริเวณคฤหาสน์นี้ ขอเพียงท่านผู้เฒ่าเอ่ยปากยินยอม ก็จะลงมือตรวจค้นทันที

สหายที่ข้าพเจ้าพามา ล้วนเป็นบุคคลกระเดื่องนาม พฤติการณ์หมดจดรักษากฎระเบียบอย่างเคร่งครัด จะมิสร้างความปั่นป่วนใดๆ ในคฤหาสน์ของท่าน”

จิวงังซิวอุทานดังอ้อ กล่าวว่า

“นักโทษสำคัญนี้ ถึงกับทำให้ผู้บัญชาการใหญ่เสาะหาคนนอกเข้าช่วยเหลือ นี่เป็นเรื่องราวผิดสามัญแล้ว”

“มิผิด นักโทษผู้นี้ร้ายกาจยิ่ง หลบรอดจากเงื้อมมือข้าพเจ้าหลายครา ท่านผู้เฒ่าหากมีเจตนาช่วยเหลือ ขอให้ห้ามทุกคนในคฤหาสน์อย่าได้ออกสู่ภายนอกชั่วคราว”

“ก็ได้ เพียงแต่เมื่อครู่ บ่าวทาสมารายงานว่า ผู้รับใช้ชราคนหนึ่งถึงแก่ความตายเพราะโรคชรา เล่าฮูเห็นแก่มันที่ปรนนิบัติมานานปี จึงประทานโลงไม้อย่างดีให้ คิดขนย้ายซากศพไปกลบฝังยังนอกตัวเมือง”

กล่าวจบก็กวาดตาไปนอกประตู ร้องเรียกครั้งหนึ่ง คนรับใช้สีหน้าจัดเจนผู้หนึ่ง ก็สาวเท้าเข้ามา จิวงังซิวกล่าวถามว่า

โลงศพของอาฮก เคลื่อนย้ายไปบรรจุฝังแล้วหรือไม่?”

คนรับใช้นั้นตอบว่า

“ตอนนี้ฝาโลงยังมิทันปิดลง เล่าไท้เอี้ยท่านเมื่อครู่บ่งบอกว่า ต้องรอให้คนทางกรมเมืองตรวจดูก่อน แล้วค่อยเคลื่อนย้ายออกจากคฤหาสน์”

“ประเสริฐมาก เล่าฮูวันพรุ่งนี้ค่อยไปเซ่นไหว้มัน ท่านผู้บัญชาการใหญ่ ขอเชิญส่งคนไปตรวจดู จากนั้นเล่าฮูค่อยสั่งให้ผู้คนขนย้ายซากศพออกไป”

หัตถ์อสนีบาตมิยอมประมาทเลินเล่อแม้แต่น้อย รีบบงการให้บริวารผู้หนึ่งไปตรวจสอบสภาพผู้ตาย ส่วนมันอยู่ในห้องสมุด รับฟังคำบรรยายเกี่ยวกับแบบแปลนการก่อสร้างของคฤหาสน์นี้จากผู้ดูแลประจำตึก

ชั่วครู่ต่อมา บริวารที่ถูกส่งออกไป ก็กลับเข้ามารายงานว่าผู้ตายอาฮกเสียชีวิตไปจริงๆ ซากศพก็บรรจุอยู่ในโลงไม้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ผู้ตายอาฮกเฒ่าคือบุคคลเดียวกับที่เคยไปรายงานข่าวคราวต่อซิเล้ง ตอนนั้นมันยังแข็งแรงไร้โรคภัย แต่บัดนี้กลับตกตายอย่างกระทันหัน…

ฝ่ายหัตถ์อสนีบาต พอได้รับคำอนุญาตจากจิวงังซิว ก็ออกคำสั่งค้นตึก แต่ความจริงปรากฏฝีมือหกเจ็ดคน ล่วงล้ำเข้าสู่คฤหาสน์ คอยควบคุมสภาพการณ์อย่างลอบเร้นอยู่ก่อนแล้ว

ด้านนอกของคฤหาสน์ตระกูลจิว มีผุ้คนชุมนุมกว่าสองร้อยคน ส่วนใหญ่เป็นชนชาวบู๊ลิ้ม กับปะปนด้วยทหารรักษาพระองค์ ภายใต้การบัญชางานของยอดฝีมือสิบกว่าคน ทั่วสี่ทิศแปดทางจึงถูกรายล้อมอย่างแน่นหนา

ภายในคฤหาสน์ตระกูลจิว ยอดฝีมือที่เข้ามาปฏิบัติการมี ซัวมุ่งเทียนแห่งบู๊ตึง ฮุ้นฮงเซี่ยงซือแห่งเสียวลิ้ม กระบี่แห่งพิภพเฮียะเกา หัวหน้ากองสังกัดพรรคธงเหลือง ฉิงซาหงี ตุลาการโฉดและนางแมลงป่อง ยังมียอดฝีมือสำนักไท้เก๊ก ตงเอ๊กลิ้ม ซึ่งน้อยครั้งจะท่องเที่ยวในวงนักเลง

มิหนำซ้ำ กิมเม้งตี้กับกี้เฮียงเค้งก็ปรากฏตัวในพื้นที่ใกล้เคียง สังเกตการณ์อยู่ห่างไกล

ขบวนไล่ล่าซิเล้งครานี้ บุคคลจากสถาบันอำมหิตมีอึ้งไถ่เป็นผู้นำ และกำลังหนุนเกือบยี่สิบคน

ผู้คนจากสถาบันอำมหิตจำนวนยี่สิบเศษนี้ กระจายออกเป็นห้าหกหน่วย แยกย้ายอยู่รอบนอกของคฤหาสน์ตระกูลจิวโดยไม่ปะปนเข้าไป

กี้เฮียงเค้งที่ด้านนอก กลับทราบเรื่องราวและสภาพการณ์ในคฤหาสน์แซ่จิวมิน้อย ซึ่งนางสืบเสาะทราบมาตั้งแต่เมื่อคืน

นางคาดคำนวณอยู่ก่อนว่า หัตถ์อสนีบาตจะต้องตรวจค้นตึกตระกูลจิว ทั้งนี้เพราะนางทราบว่าเจ้าของคฤหาสน์จิวงังซิวมีความสัมพันธ์อยู่กับบิดาของซิเล้ง หัตถ์อสนีบาตต้องบังเกิดความระแวงว่า ซิเล้งจะหลบหนีมาขอความคุ้มครอง

นางยังคำนวณได้อย่างละเอียดลออว่า หัตถ์อสนีบาตจะแบ่งปันกำลังและดำเนินการค้นหาอย่างไร

มาตรแม้น คราแรกซิเล้งจะไม่ได้ซุกซ่อนอยู่ในตึกตระกูลจิว แต่หลายวันที่ทำการตรวจค้น จะบีบบังคับให้ซิเล้งเข้าสู่คฤหาสน์ตระกูลจิวเอง

หลังจากนั้น พวกมันอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างซิเล้งกับตระกูลจิว ทำให้ซิเล้งยินยอมอัตวินิบาตกรรม มากกว่าจะเป็นต้นเหตุให้ตระกูลจิวประสบเภทภัย

กี้เฮียงเค้งที่แท้ดำเนินแผนการอยู่ก่อน ในกลุ่มยอดฝีมือที่เข้าสู่ตระกูลจิว มีคนผู้หนึ่งลอบประสานงานช่วยเหลือซิเล้งร่วมกับนาง ซึ่งก็คือตงเอ็กลิ้ม

มันขณะเข้าสู่คฤหาสน์แซ่จิว อาฮกเฒ่าก็กลืนกินยาเม็ด ซึ่งกี้เฮียงเค้งเมื่อวันก่อนได้มอบให้แล้วจนตกตายอย่างกระทันหัน และโลงศพได้ถูกเคลื่อนย้ายมาจัดวางอยู่ลานกว้างหน้าตึก

ตงเอ๊กลิ้ม รอจนบริวารของหัตถ์อสนีบาตตรวจดูซากศพอาฮกเฒ่าแล้ว ก็ลอบให้ซิเล้งซุกซ่อนกายอยู่ในโลง นำซากศพที่แข็งทื่อของอาฮกเฒ่าทับอยู่เบื้องบน แล้วจึงปิดฝาโลง

ซิเล้งซุกซ่อนอยู่ในโลงศพ อาศัยพลังการฝึกปรือปิดสกัดกั้นลมหายใจ บังคับให้หัวใจเต้นช้าลง ซึ่งในสภาพเช่นนี้ ตนสามารถอดกลั้นได้หนึ่งชั่วยาม

ตงเอ๊กลิ้มพอปิดฝาโลงลง ก็เชื้อเชิญผู้มีศักดิ์ศรีสูงส่ง ในหน่วยทหารรักษาพระองค์นามตั้งเกียงมากล่าวว่า

“เรื่องราวในวันนี้มีผลสะท้อนใหญ่หลวงนัก โลงศพนี้กำลังจะเคลื่อนย้ายไปบรรจุฝัง ขอให้ท่านเป็นผู้ควบคุมส่งออกนอกประตูใหญ่”

ตั้งเกียงผงกศีรษะกล่าวว่า

“นี่เป็นความคิดเห็นที่ดี ข้าพเจ้าจะขอปฏิบัติตาม”

มันไม่ใช้ผู้คนในตระกูลจิว กลับเรียกหาบริวารมาหลายคน จัดการบรรทุกโลงศพเคลื่อนย้ายออกไป

ผ่านตึกรามหลายหลัง ขณะจะเปิดประตูใหญ่ออกจากคฤหาสน์ เบื้องหน้าพลันปรากฏผู้คนสกัดขวางทางเอาไว้

เป็นชายชราเรือนร่างผอมซูบผู้หนึ่ง ดวงตาทั้งคู่เจิดจ้าปานสายฟ้า เขม้นมองไปยังโลงศพแน่วนิ่ง มันก็คือซือเฮียของผู้กล้าหาญดาบทองนามอึ้งไถ่!

ศักดิ์ศรีของอึ้งไถ่ที่แสดงต่อผู้คนคือ ผู้มีฝีมือแถบดินแดนแคว้นหนึ่ง แต่ตั้งเกียงได้รับคำกำชับจากหัตถ์อสนีบาตแล้วว่า ขณะเผชิญกับผู้คนในสถาบันอำมหิตทั้งยี่สิบกว่าคน  มิอาจขัดขืนเป็นอันขาดโดยเฉพาะอึ้งไถ่ผู้นี้

ดังนั้น ตั้งเกียงรีบบงการให้บริวารหยุดขบวนลง ประสานมือกล่าวว่า

“อึ้งเล่าซือ (คำยกย่องผู้ฝึกปรือฝีมือแซ่อึ้ง) มีคำแนะนำประการใด?”

อึ้งไถ่กล่าวเสียงเย็นชาว่า

“โลงศพนี้ไยต้องรบกวนให้ทุกท่านขนย้ายออกมา?”

ตั้งเกียงกล่าวอย่างนอบน้อม

“เช้าวันนี้ในคฤหาสน์ตระกูลจิว มีชายชราผู้หนึ่งถึงแก่กรรม ท่านผู้บัญชาการแซ่เนี่ย (หัตถ์อสนีบาต) หลังจากตรวจสอบแน่ชัดแล้ว จึงอนุญาตให้บรรจุศพนำพาออกมา”

อึ้งไถ่เค้นเสียงกล่าวว่า

“ในโลงศพนี้มีซากศพเพียงซากเดียว? เล่าฮูรู้สึกน้ำหนักผิดปรกติไป”

มันเป็นชนชั้นยอดฝีมือ เหลือบแลวูบเดียวก็พบเบาะแส ตั้งเกียงยังมิทันส่งเสียง อึ้นไถ่กล่าวอีกว่า

“ทางที่ประเสริฐ ยังคงเปิดฝาโลงตรวจดูสักหนึ่ง!”

ตั้งเกียงย่อมมิกล้าขัดขืน ขณะคิดบงการให้บริวารวางโลงศพลง พลันเหลือบเห็นสายตาอันเกรี้ยวกราดของอึ้งไถ่ กวาดมองผู้แบกโลงศพทั้งหมด

ตั้งเกียงเห็นฝ่ายตรงข้ามกลับระแวงสงสัยพวกพ้องมัน ต้องบังเกิดเพลิงโทสะขึ้นมิน้อย เพียงแต่มิกล้าระบายออก กลับยิ้มแย้มกล่าวว่า

“พวกมันล้วนเป็นทหารรักษาพระองค์ ซึ่งท่านผู้บัญชาการแซ่เนี่ยคัดเลือกอย่างรอบคอบแล้ว สำหรับผู้ตายคงไม่มีปัญหา เพราะพวกเราเฝ้าดูแลมาตลอดทางทีเดียว”

มันเนื่องจากถูกอึ้งไถ่ พัวพันจนบังเกิดความเบื่อหน่ายขุ่นเคือง จึงอ้างหัตถ์อสนีบาตขึ้นมา

อึ้งไถ่เขม้นมองมันอย่างเย็นชา ความจริงมันมิเคยเชื่อถือผู้ใดมาก่อน แต่กับผู้ช่วยเหลือหัตถ์อสนีบาตผู้นี้ มันสืบเสาะความเป็นมาจนทราบแจ้ง ทราบดีว่าตั้งเกียงเป็นบริวารอันจงรักของผู้บัญชาการแซ่เนี่ย ไม่มีข้อน่าระแวงใดๆ

อึ้งไถ่เงียบงันครู่หนึ่ง จึงโบกมือกล่าวว่า

“รีบไปเถอะ ในคฤหาสน์ยังต้องรอให้พวกท่านกลับมาช่วยเหลือ”

ตั้งเกียงลอบแผดด่าในใจ “นี่ยังต้องให้มันบงการด้วย” แต่ตอบไปว่า

“อึ้งเล่าซือกล่าวถูกต้อง พวกเราจะรีบไปรีบกลับ”

กล่าวจบเคลื่อนย้ายกำลังเร่งรุดต่อไป ในที่สุด ผ่านวงล้อมออกนอกคฤหาสน์

หลังจากนั้นมอบโลงศพให้กับบุรุษที่ทำหน้าที่ทำหน้าที่บรรจุฝัง ซึ่งรอคอยอยู่หลายคน และได้แบกหามเคลื่อนย้ายมาถึงบริเวณสุสานทางนอกตัวเมือง

เขตสุสานเวิ้งว้างวังเวง โลงศพถูกจัดวางอยู่ในห้องเล็กๆ หลังหนึ่ง จากนั้นผู้คนก็ทยอยจากไปจนหมดสิ้น

ซิเล้งที่ซุกซ่อนภายในโลง เงี่ยหูรับฟังสำเนียงภายนอกอยู่ตลอดเวลา รอคอยเป็นเวลาเนิ่นนาน ค่อยพลิกกายขึ้นจากร่างอาฮกเฒ่า ยื่นมือผลักดันฝาโลง ได้ยินเสียงดังออดแอด ฝาโลงเผยออก

ตนกระโดดปราดออกจากโลง ระบายลมหายใจยาวๆ พอก้มศีรษะเหลือบมอง เห็นอาฮกเฒ่าร่างกายยังคงแข็งทื่อดังเดิม

ยามนี้ ท้องฟ้ามืดลง เบื้องนอกลมพัดกระหน่ำหนาวเหน็บ ต้นไม้ที่ปลูกรอบสุสาน บังเกิดคลื่นเสียงดังอึงคะนึง เพิ่มพูนบรรยากาศวิเวกสะท้านขวัญ

ยามนั้น หลังตึกพลันแว่วสำเนียงประหลาดพิกล คล้ายหัวร่อคล้ายร่ำไห้ ซิเล้งอดรู้สึกสมองพองโตแทบระเบิดมิได้ รีบเงี่ยหูสดับฟัง

สุ้มเสียงดังแว่วจากนอกหน้าต่างหลังตึก ซิเล้งหลังจากข่มกลั้นความรู้สึกก็สาวเท้ามาถึงริมหน้าต่าง ผลักหน้าต่างออก แลเห็นภายนอกมืดมิดวังเวง เงาต้นไม้ไหววูบวาบ ไม่อาจเห็นอันใด

ซิเล้งพอเปิดหน้าต่างเสียงประหลาดนั้นก็เงียบหายไป จึงปิดหน้าต่าง ครุ่นคิดอย่างหมกมุ่น

ทันใด ปรากฏสำเนียงผู้คนตวาดว่า

“คราครั้งนี้ดูว่า ท่านจะหลบหนีไปที่ใดได้อีก?”

กระแสเสียงแหบโหยสุดทนฟัง ซิเล้งกล่าวเสียงกังวาน

“ผู้ใด อย่าได้เสแสร้งเป็นภูตผี ระวังกระบี่เราจะทำร้ายท่าน”

นอกห้องแว่วเสียงแค่นหัวร่ออย่างเย็นชา กล่าวว่า

“ท่านตกอยู่ในวงล้อมอันแน่นหนา เพลงกระบี่แม้สูงล้ำก็ไม่อาจช่วยชีวิตได้”

ซิเล้งขบกรามกรอด ร้องคำประเสริฐแล้ว ตะปบกระบี่ออกจากฝัก กระแทกฝ่ามือไปยังหน้าต่าง บานหน้าต่างถึงกับพังทลายลง

ตนกลับพุ่งปราดออกทางประตู ทั่วสี่ด้านว่างเปล่าไร้ร่องรอยผู้คน ซิเล้งกวาดสายตาสำรวจดูครู่หนึ่งยังมิพบพานอันใด จึงบังเกิดความสงสัยอย่างใหญ่หลวง

พลันเหลือบเห็นไฟปีศาจสีเขียวเรืองรองสิบกว่าจุด ลอยละล่องอยู่บนยอดหญ้าด้านขวามือ เคลื่อนย้ายไปมาตามสายลม ดูไปริบรี่ เยือกเย็นน่าพรั่นพรึง

ซิเล้งยืนตระหง่านกับที่ ตนเคยพบเห็นไฟปีศาจมามิน้อย จิตใจจึงไม่หวั่นไหว

ขณะนั้น ในกลุ่มไฟปีศาจ พลันปรากฏเงาร่างสายหนึ่งพุ่งปราดขึ้น หัวร่อเสียงเจื้อยแจ้วกล่าวว่า

“สมาธิของท่านเข้มแข็งยิ่งนัก คาดว่าวันเวลาที่ผ่านมา พลังการฝึกปรือของท่านคงรุดหน้ามิน้อย”

ซิเล้งพอฟัง บังเกิดความลิงโลดอย่างใหญ่หลวง กล่าวว่า

“เป็นกี้เฮียงเค้งโกวเนี้ยกระมัง?”

เงาร่างสายนั้นโลดแล่นเข้ามา ผู้ใดว่ามิใช่กี้้ฮียงเค้ง ได้ยินนางกล่าวว่า

“การหลบหนีครั้งนี้มิง่ายดายเลย ท่านแม้มีพลังฝีมือสูงล้ำ แต่แผนการของฝ่ายตรงข้ามกลับสามารถสยบท่านอย่างแท้จริง”

ซิเล้งเชื่อถือวาจาของนางอยู่ตลอดเวลา และการรอดชีวิตมาครั้งนี้ ก็อาศัยการช่วยเหลือจากนางอีก

กี้เฮียงเค้งกล่าวต่อ

“มิแน่นักว่า จูกงเม้งตอนนี้อาจนำพายอดฝีมือติดตามมา ข้าพเจ้าต้องรีบช่วยเหลือชายชราผู้นั้นฟื้นชีวิตมาก่อน”

ทั้งสองกลับเข้ามาในห้องเล็กๆ ซิเล้งจุดเทียนไขขึ้นเปิดฝาโลงออก ฝ่ายกี้เฮียงเค้งล้วงหยิบขวดยาขึ้นมา งัดปากอาฮกเฒ่า หยดน้ำยาลงไปหลายหยด

จากนั้นยื่นมือนวดเฟ้นจุดเส้นบนร่างกายให้ โดยอธิบายว่าอาฮกอายุสูงวัย จำต้องเร่งเร้าให้โลหิตภายในกายโคจรสะดวก

ชั่วครู่ให้หลัง อาฮกเฒ่าฟื้นตื่นขึ้นมา ซิเล้งบ่งบอกแผนการอนาคต โดยจะให้อาฮกไปอยู่ร่วมกับอาชุนกับปู่ของนาง พร้อมทั้งมอบเงินทองให้ใช้สอย

อาฮกลุกขึ้นเดินเหิน รู้สึกเส้นเอ็นโครงกระดูกไม่อ่อนล้าเช่นกาลก่อน พอฟังวาจาซิเล้งก็พอใจยิ่งนัก  ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านอาชุนทันที

ภายในห้องจึงหลงเหลือซิเล้งกับกี้เฮียงเค้ง กี้เฮียงเค้งถามขึ้นว่า

“ท่านคิดรุดไปสังหารจูกงเม้งจริงๆ ?”

“ข้าพเจ้ามีความคิดเห็นเช่นนั้น เพียงแต่จะสำเร็จหรือไม่มิอาจทราบได้”

จากนั้น ซิเล้งบอกเล่าเหตุการณ์ที่รู้จักกับแป๊ะเอ็ง และเรื่องที่ผู้กล้าหาญดาบทองจะเร้นกายที่นานกิงให้ทราบโดยละเอียด

กี้เฮียงเค้งรับฟังอย่างตื่นเต้นสุดท้ายกล่าวว่า

“ข้าพเจ้ากลับหาทราบไม่ว่าจูกงเม้งยังมีโฉมหน้าอีกแบบหนึ่ง โอ บุคคลผู้นี้มีความคิดอ่านลึกซึ้งยิ่งนัก กลับคำนวณได้ว่าอนาคตอาจต้องพลาดพลั้งซุกซ่อนกาย ดังนั้นตลอดเวลาใช้แต่โฉมหน้าที่ปลอมแปลงขึ้น

นางหยุดเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อ

“สำหรับเรื่องนี้ แล้วแต่ท่านจะดำเนินการ ข้าพเจ้าเพียงคิดตักเตือนท่านว่า มาตรแม้จูกงเม้งจะเร้นกาย แต่ท่านยังต้องประเมินความสามารถของมันให้สูงล้ำ มิเช่นนั้นตนเองอาจพลาดพลั้งเสียที”

“ตามความคิดของท่าน หรือมันยังมีเล่ห์เหลี่ยมลวดลายอันใด?”

กี้เฮียงเค้งรุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว

“ประการแรก ท่านต้องระมัดระวัง ที่พำนักของมันอาจจัดสร้างกลไกกับดักชนิดต่างๆ ซึ่งกระทั่งแป๊ะเอ็งก็มิทราบ”

“แป๊ะเอ็งอยู่ร่วมกับมัน ไหนเลยมิทราบได้?”

“จูกงเม้งย่อมต้องคำนวณได้ว่า หลังจากที่มันเร้นกายหากยังถูกศัตรูเสาะพบ ย่อมเป็นแป๊ะเอ็งชักนำมา”

ซิเล้งค่อยเข้าใจกล่าวว่า

“ที่แท้เป็นเช่นนี้ มาตรแม้นมีศัตรูรุดมาจริงๆ มันเมื่อจัดสร้างกลไกไว้ดักรอ ก็มีความหวังได้รับชัยชนะ”

กี้เฮียงเค้งนิ่งเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าว

“นี่เป็นเพียงการสันนิษฐานเท่านั้น ประการสองคือ ผู้กล้าหาญดาบทองฝึกปรือวิชาฝีมือชนิดหนึ่ง สามารถตกตายร่วมกับศัตรู ยังระเบิดเพลิง ซึ่งท่านแม้จะหักโหมมีเปรียบ ยังมิแน่ว่าจะได้ชัย”

ซิเล้งกล่าวเสียงราบเรียบ

“ไม่ ซือแป๋เราซึ่งก็คือโกวบ้อ (ป้า) ของท่าน ต้องการรักษาเชื้อสายตระกูลซิให้ยั่งยืน ท่านหากมิหวงแหนชีวิตนี้ ภายภาคหน้าท่านผู้เฒ่าคงเศร้าเสียใจ ตำหนิว่าข้าพเจ้ามิคอยช่วยเหลือท่าน…”

วาจาของนางพลันหยุดชะงัก ซิเล้งนับว่าล่วงรู้ความลับประการหนึ่งโดยมิคาดคิดมาก่อน หรือว่าโกวบ้อต้องการให้ตนแต่งงานกับกี้เฮียงเค้ง?

แน่นอน โกวบ้อของตนมิมีการติดต่อกับตระกูลซิมาเนิ่นนาน ย่อมมิทราบสภาพการณ์ในครอบครัวแซ่ซิ แต่นางคงเคยเขียนจดหมายมายังบิดาของซิเล้ง โดยแสดงเจตนารมณ์อย่างจะแจ้ง

หาคาดไม่ว่าตระกูลซิประสบมรสุมคุกคามหลงเหลือซิเล้งเพียงผู้เดียว ขณะที่กี้เฮียงเค้งพบพานตน ก็ทราบว่าซิเล้งมีนางในดวงใจ และฉี้อิงยังเป็นน้องสาวบุญธรรมของนาง ทั้งด้านไมตรีและเหตุผล นางมิเพียงมิอาจช่วงชิงความรักมา ยังต้องส่งเสริมหนุ่มสาวคู่นี้

ซิเล้งขบคิดอย่างเงียบงัน ทราบว่าคงมิพลาด ตนแม้มิทราบว่านางมีความรู้สึกต่อตัวเองอย่างไร ยังประเสริฐที่นางทุ่มเทความรักต่อยอดคนรุ่นเยาว์แห่งยุคผู้หนึ่งมาตรมิเช่นนั้นแล้ว ซิเล้งย่อมรู้สึกมิสบายใจ

กี้เฮียงเค้งเงียบงันมิส่งเสียง ปล่อยให้ซิเล้งครุ่นคิด อิสตรีที่ทรงปัญญาเฉกเช่นนาง ย่อมทราบซึ้งถึงความในใจของซิเล้งเป็นอย่างดี

ซิเล้งหลังจากระงับอารมณ์ จึงกล่าว

“ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าสมควรกระทำอย่างไร”

“ง่ายดายยิ่ง พวกท่านรอจนจูกงเม้งเร้นกายเข้าพำนักแล้ว ก็เร่งรุดไปยังเมืองฉี้น้ำ ให้งี่แป๋ (บิดาบุญธรรมหมายถึงฉี้น่ำซัว) ประกอบพิธีวิวาห์กัน! ผ่านเวลาระยะหนึ่ง แล้วค่อยมุ่งสู่นานกิงไล่ล่าคู่อาฆาต”

“อา หนี้โลหิตประจำตระกูลมิทันชำระล้าง ข้าพเจ้าไหนเลยสงบจิตใจมีครอบครัวได้?”

กี้เฮียงกล่าวว่า

“การมีครอบครัว หาใช่ว่าท่านจะตักตวงความสุขไม่ แต่เพื่อให้ท่านหมกมุ่นฝึกปรือวิชาฝีมือ นอกจากนั้นท่านต้องเป็นผู้สืบวงศ์ตระกูลซิ นี่เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ข้าพเจ้าจะเป็นผู้แทนของซือแป๋ ปฏิบัติหน้าที่ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าว เข้าร่วมพิธีวิวาห์ของท่านกับอี้ฉิง แน่นอน กิมเม้งตี้ก็จะติดตามข้าพเจ้าไปด้วย…”

วาจาตอนท้ายมีความหมายบีบคั้น ความจริงที่กี้เฮียงเค้งเร่งเร้าให้ดำเนินพิธีแต่งงานครั้งนี้ นอกจากเหตุผลสองประการข้างต้นแล้ว อีกสาเหตุหนึ่งก็คือ นางสืบทราบชาติกำเนิดของลี้ซานึ้งผู้เป็นสหายซิเล้งแล้ว

ลี้ซานึ้งก็คือเจ้านายน้อยของตระกูลลี้แห่งฮั่งจิว มีนามจริงว่าลี้ฮุ้นช้ง มีศักดิ์ศรีเป็นคู่หมั้นหมายของฉี้อิง

หลังจากที่ลี้ฮุ้นช้งหรือลี้ซานึ้ง ได้รับความเสียใจจากฉี้อิงแล้ว ก็หลบหนีออกจากบ้าน พเนจรอยู่ในวงนักเลง ได้รับสมญาผู้พเนจร

พฤติการณ์อันแหลกเหลวและมั่วสุมอบายมุขของมัน ล้วนเกิดจากจิตใจที่หดหู่ แต่ความจริงแล้ว มันยึดมั่นในคุณธรรมตลอดเวลา

ภายหลังมันรู้จักกับซิเล้ง สืบเสาะจนล่วงรู้ว่า ซิเล้งมีความสัมพันธ์กับฉี้อิงอย่างลึกซึ้ง

มันพลันรู้สึกว่าไม่คู่ควรกับฉี้อิง จึงพยายามลืมเลือนนาง ยินยอมเสียสละนางให้ผู้อื่น

แต่กี้เฮียงเค้งยังหวั่งเกรงว่า ขอเพียงซิเล้งสืบทราบความจริงนี้ จะพาตัวเหินห่างจากฉี้อิง

ดังนั้น มุ่งหวังให้ซิเล้งแต่งงานอยู่กินกับคนรักโดยเร็ว ถึงเวลานั้นย่อมไม่มีปัญหาใดๆ

นางเกรงว่าซิเล้งมิยินยอมตกลง จึงกล่าวเพิ่มเติมว่า จะพากิมเม้งตี้เข้าร่วมในพิธีวิวาห์ด้วย ซึ่งทำให้ซิเล้งเข้าใจว่า กี้เฮียงเค้งที่ทำเช่นนี้เพื่อให้กิมเม้งตี้ล้มล้างความรู้สึกที่มีต่อฉี้อิง หันเหไมตรีให้กับนาง

ตนมักเสียสละเพื่อผู้อื่นอยู่เสมอ ดังนั้นจึงรับปากตกลง นัดแนะกันว่าอีกสองเดือนพบพานกันที่เมืองฉี้น้ำ

ปัญหาพอคลี่คลาย กี้เฮียงเค้งก็จากไปในบัดดล ซิเล้งพลันร้องเรียกว่า

“โกวเนี้ย ช้าก่อน”

กี้เฮียงเค้งขณะผ่านประตูห้อง ต้องชะงักเท้าลงเบือนหน้ากลับมา ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า

“เรื่องอันใด…ต้องการให้ข้าพเจ้าคาดเดาหรือไม่?”

“มิต้อง ข้าพเจ้ากำลังคิดว่า ท่านเป็นศิษย์รักของโกวบ้อและเป็นพี่สาวบุญธรรมของฉี้อิง ข้าพเจ้ายังได้รับการช่วยเหลือจากท่านหลายครั้ง รู้สึกสำนึกพระคุณยิ่ง…”

วาจากล่าวถึงบัดนี้ ยังมิได้แสดงเจตนาที่แท้จริง กี้เฮียงเค้งตัดบทว่า

“ข้าพเจ้าอายุยี่สิบสี่ปี ท่านอายุเพียงยี่สิบสอง ข้าพเจ้าทราบชัดเป็นอย่างดี”

ซิเล้งงงงันไป มิทราบสมองของนางกอปรขึ้นจากวัตถุธาตุใด กลับปราดเปรียวปานนี้ ความจริงตนคิดถามอายุของนาง สาบานเป็นพี่น้องกัน คาดมิถึงนางกลับคาดคะเนได้ล่วงหน้า

กี้เฮียงเค้งขบคิดครู่หนึ่งจึงกล่าว

“ท่านควรรับทราบเรื่องประการหนึ่ง พวกเราหากสาบานเป็นพี่น้องกัน ภายหน้าท่านเกิดการต่อสู้กับกิมเม้งตี้ นั่นจะยุ่งยากลำบากยิ่งขึ้น”

“ข้าพเจ้าทราบดี แต่ปัญหาข้อนี้คงมีหนทางคลี่คลายได้”

“กิมเม้งตี้จิตใจคับแคบ หากแม้นมันรับข้าพเจ้าเป็นภรรยา ทราบว่าพวกเราสาบานเป็นพี่น้อง กลับจะริษยาท่าน สะกิดเพลิงอำมหิตลุกฮือโหม”

ซิเล้งกล่าวอย่างสงบ

“ข้าพเจ้าเข้าใจ มันคงบังเกิดความรู้สึกว่าทุกผู้คนต่างดีต่อข้าพเจ้ายิ่งนัก แต่ขอเพียงท่านไม่รังเกียจ ข้าพเจ้ายังมุ่งหวังสามารถกราบกรานฟ้าดินเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับท่าน”

กี้เฮียงเค้งตื้นตันใจยิ่ง นางทราบดีว่าซิเล้งเพราะไม่ต้องการสังหารกิมเม้งตี้ จึงขอร้องให้นางร่วมสาบานเป็นพี่น้องกัน

ซิเล้งมีแต่ทำเช่นนี้จึงสามารถทดแทนบุญคุณกี้เฮียงเค้ง

กี้เฮียงเค้งต้องบังเกิดความสะทกสะท้าน ทั้งสองบ่งบอกชาตะวันเดือนปี กอบดินขึ้นต่างธูป กระทำพิธีกราบกรานเป็นพี่น้องกัน

ยามใกล้ฟ้าสาง ซิเล้งก็หวนกลับคฤหาสน์ตระกูลจิว หลบซ่อนกายอยู่ในห้องสมุดของจิวงังซิว นี่เป็นความคิดของกี้เฮียงเค้งเพื่อป้องกันมิให้เกิดความแตกตื่นและร่ำลือกันเกี่ยวกับซากศพที่สูญหาย

ดังนั้นซิเล้งเข้าพบจิวงังซิว บอกเล่าเหตุการณ์ทั้งมวล ยังประเสริฐที่หลังการเสาะค้นครั้งใหญ่นี้แล้ว ผู้กล้าหาญดาบทองกับหัตถ์อสนีบาต ย่อมไม่ระแวงมายังตระกูลจิวอีก

ซิเล้งหากสามารถอดรนทนรออีกสิบวัน ตนก็จะพลิกสถานการณ์จากการถูกไล่ล่า เป็นผู้ไล่ล่าสังหาร…

ฝ่ายจิวงังซิวพอพบพานทายาทของสหายสนิท ก็ทั้งแตกตื่นทั้งลิงโลด พอฟังว่าซิเล้งเป็นบุคคลที่หัตถ์อสนีบาตกำลังเสาะหา ต้องหมกมุ่นกังวลจวบจนรับฟังซิเล้งอธิบายทุกเรื่องราว จึงค่อยวางใจ

มันบ่งบอกสภาพการณ์ในเมืองหลวงให้ซิเล้งรับฟัง ที่แท้มันแม้ลาออกจากราชการ แต่ยังสนใจการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง ปลอบประโลมซิเล้งว่า ขุนนางทรยศนามงุ่ยตงเฮี้ยง ซึ่งร่วมมือกับผู้กล้าหาญดาบทอง ป้ายผิดต่อบิดาซิเล้งนั้น หวังมีอำนาจสูงขึ้น เพราะศักดิ์ศรีของมันเริ่มตกต่ำลง ขุนนางที่สัตย์ซื่อเริ่มกล้าแสดงตน เชื่อมั่นว่าการถูกใส่ไคล้ของตระกูลซิ ต้องได้รับการชะล้างมลทินอย่างแน่นอน

ทั้งสองสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง ซิเล้งก็ปลีกตัวจากมา ตกลงว่า ในเวลาสิบวันไม่ส่งข่าวคราวต่อกันเพื่อมิให้ถูกศัตรูพบเห็น

จากนั้นซิเล้งหวนกลับขึ้นมาบนเพดานห้องกักตุนเสบียงผ่านวันเวลาที่เปล่าเปลี่ยวไร้ความหมายต่อไปอีก

ผ่านมรสุมอันรุนแรงคราหนึ่ง ซิเล้งสงบจิตใจลงมิน้อย รักษาสมาธิจนราบเรียบ หมกมุ่นฝึกปรือวิชาฝีมืออย่างคร่ำเคร่ง

นับแต่ได้รับการช่วยเหลือฟื้นฟูพลังฝีมือจากอี้ฉิง กำลังภายในก็รุดหน้าอีกขั้นหนึ่ง แต่หลังจากนั้นเพราะโลดแล่นเดินทางตลอดเวลาไม่มีโอกาสฝึกฝนวิชาอย่างสงบเลย

ตอนนี้ซิเล้งผ่านกาลเวลาอันสุขสงบอย่างไม่เคยมีมาก่อน สมาธิมิต้องคำนึงเรื่องอื่นใด สามารถทุ่มเทกระแสจิต จดจ่ออยู่กับการฝึกปรือพลังภายใน

กาลเวลาผ่านพ้นอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวล่วงเลยมาแปดวัน ซิเล้งนั่งแน่วนิ่งมิเคลื่อนไหว ปราศจากสุ้มเสียงสำเนียงใด อิริยาบถเช่นนี้สามารถกระทำได้นานถึงสามวันแล้ว โดยที่มิต้องรับประทานอาหารเลย

ตนรู้สึกว่า เจตสิกยิ่งนานยิ่งสดใสกระจ่าง สามารถแลเห็นภูเขา ธารา พสุธา อย่างปลอดโปร่งรวมทั้งสีสันทุกชนิดบนจักรวาลอันไพศาล ประสาทของตนคล้ายดั่งลอยละล่องท่องเที่ยวไปทั่วพิภพจบแดนได้!

ความรู้สึกอันพิสดารเช่นนี้มิเคยมีมาก่อน ยามนั่งสงบปัญญาก่อกำเนิด นี่เป็นความสูงล้ำพิเศษสุดในแนววิชากำลังภายในนั่นเอง

ซิเล้งอาศัยทางสงบนี้ บุกเบิกสู่ความรุดหน้าของพลังภายใน เริ่มรู้สึกว่าผลลัพธ์มิเพียงกำลังภายในเพิ่มพูน ยังทำให้ประสาทแจ่มใสไร้นิวรณ์

เวลาล่วงเลยไปอย่างสงบ ผ่านไปอีกห้าวัน ประมุขประจำคฤหาสน์จิวงังซิว กลับรอคอยซิเล้งด้วยความกระวนกระวาย

ทั้งสองมีกำหนดนัดสิบวันอยู่ก่อน แต่บัดนี้ล่วงเลยมาสามวัน ซิเล้งยังไม่ปรากฏตน จิวงังซิวหากมิใช่เคยดำรงชีวิตอยู่ในวงราชการมานานปี จนมีความอดกลั้นอย่างยิ่งยวดแล้ว คงมาที่ห้องเสบียงเพื่อเสาะหาตน

มันย่อมมีความนึกคิดมากมายหลากหลายแทบเป็นความคิดที่อัปมงคล

มาตรแม้นเป็นเช่นนี้ มันยังจดจำคำตักเตือนของซิเล้งได้ มิแน่นักว่าขณะนี้ศัตรูส่งผู้คนปะปนอยู่ในคฤหาสน์คอยสังเกตเหตุการณ์

แต่ทว่ายามค่ำมืดของวันนี้ จิวงังซิวมิอาจอดรนทนรออีกต่อไป ออกจากห้องสมุดเพียงลำพัง หลังจากสำรวจสภาพหลายรอบกายตลบหนึ่ง ค่อยสาวเท้าก้าวออกไป

ยามนั้น ที่มุมมืดปรากฏเงาร่างสายหนึ่ง พุ่งปราดออกอย่างคล่องแคล่ว สะกดรอยตามจิวงังซิวอย่างเงียบเชียบ!

จิวงังซิวเดินผ่านห้องหับหลายหลัง สุดท้ายมาถึงห้องกักตุนเสบียง ซึ่งซิเล้งซ่อนกายอยู่ เงาร่างที่ติดตามมาพลันพุ่งปราดขึ้นบนหลังคาตึกตรงข้าม ซุ่มซ่อนคอยสังเกตการณ์

จิวงังซิวอย่าว่าแต่อายุสูงวัย หูตามิปราดเปรียว มาตรแม้นเป็นวัยฉกรรจ์ ก็หาทราบไม่ว่ากำลังถูกสะกดรอย

มันผลักประตูห้องออก กล่าวเบาๆ

“หลานเรายังอยู่ข้างบน?”

ซิเล้งเพิ่งฟื้นตื่นจากการนั่งสงบระยะยาว บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มแย้มอันอิ่มเอิบ รับคำว่า

“ท่านลุงไฉนมาด้วยตัวเอง?”

พลางเลิกแผ่นไม้บนเพดาน พลิ้วกายลงสู่พื้น

ภายในห้องแม้มืดมิด แต่ซิเล้งยังสามารถสังเกตเห็นสีหน้าอันปลอดโปร่งปลื้มประโลมของจิวงังซิว ตนถามว่า

“ผู้หลานใช่ล่วงเลยกำหนดนัดหมายแล้วหรือไม่?”

จิวงังซิวกล่าวว่า

“ที่แท้เจ้าลืมกำหนดเวลาไป ความจริงล่วงเลยกำหนดนัดมาสามวันแล้ว ตระกูลซิหลงเหลือเจ้าเพียงผู้เดียว เล่าฮูอดกังวลใจจนเร่งรุดมามิได้”

ซิเล้งพอฟัง หวนนึกถึงเรื่องราวที่กี้เฮียงเค้งต้องการให้ตนมุ่งสู่เมื่องฉี้น้ำ แต่งงานกับฉี้อิงโดยเร็ว

ในความมืดซิเล้งอดแย้มยิ้มมิได้คำนึงขึ้น

“…กี้เจ้เจ๊เกรงว่า เรามิอาจต้านรับกิมเม้งตี้ ถูกมันสังหารไป จึงต้องการให้เรามีทายาทสืบตระกูลต่อไป หรือเราต้องพ่ายแพ้ต่อกิมเม้งตี้จริงๆ…”

พอฉุกคิดถึงตอนนี้ บังเกิดความฮึกเหิมเปี่ยมล้นกล่าวกับจิวงังซิวว่า

“ผู้หลานหลังจากหมกมุ่นอยู่กับวิชาฝีมือ พลันแตกฉานหลักวิชาแขนงหนึ่ง เพราะศึกษาอย่างพากเพียร จึงนั่งสงบไปนานถึงแปดวัน”

จิวงังซิวอุทานดังอ้อ กล่าวว่า

“ถ้าเช่นนั้น เจ้านับว่าประสบความสำเร็จรุดหน้าอย่างไพศาลแล้ว”

ซิเล้งพลันกล่าวว่า

“ท่านลุงอย่าเพิ่งเคลื่อนไหว ผู้หลานจะออกไปจัดการกับคนผู้หนึ่ง!”

จิวงังซิวแตกตื่นจนปากอ้าตาค้างไป ซิเล้งพลันพลิ้วปราดออกราวมรสุมหอบพัด ละลิ่วสู่หลังคาตึกด้านตรงข้ามทันที

ปรากฏเงาร่างผู้คนถลันวูบ เตลิดหลบหนีไปอีกทางหนึ่งอย่างลนลาน

ซิเล้งแค่นหัวร่ออย่างเย็นชา ทะยานกายละลิ่วตามติด ขณะลอยตัวอยู่ยื่นมือออกไปเบื้องหน้า ตะกุยใส่ฝ่ายตรงข้าม ด้วยปฏิกิริยาที่หมดจดฉับไว

นิ้วทั้งห้าพอตะปบลง ก็คร่ากุมจุดเส้นสำคัญฝ่ายตรงข้ามได้ ฉุดกระชากลากพามา ละลิ่วลงบนพื้นที่ว่างหน้าห้องหับ ส่งเสียงเบาๆ

“ท่านลุงออกมาดูเถอะ”

จิวงังซิวสาวเท้าออกจากห้อง ภายนอกมีแสงเดือนสาดส่องอยู่บ้าง มันพอเหลือบแลก็ร้องโพล่งว่า

“เป็นลี้เถ่งหรือ?”

ซิเล้งเค้นเสียงกล่าวว่า

“มิผิด มันผู้นี้อยู่ในหน่วยทหารรักษาพระองค์ เป็นไส้ศึกให้กับหัตถ์อสนีบาต คาดว่าได้รับมอบหมายให้มาสังเกตความเคลื่อนไหวของท่าน

ตอนที่ท่านลุงรุดมา ผู้หลานตรวจพบว่ามีผู้คนสะกดรอยตามท่าน ดังนั้นจึงลงมือคร่ากุม คิดไม่ถึงกลับเป็นน้าชายของเท้งเกาหลานท่านลุงนั่นเอง”

จิวงังซิวเงียบงันไป กลับมิแตกตื่นลนลาน ขบคิดในใจว่าจะคลี่คลายสถานการณ์เบื้องหน้าอย่างไร

ซิเล้งกล่าวว่า

“หากแม้นท่านลุงมีเจตนาจำกัดเภทภัยรักษาความปลอดภัยให้กับบุตรหลานตระกูลจิวในภายหลัง ผู้หลานยินดีจัดการ”

จิวงังซิวมิส่งเสียง ยังคำนวณผลได้ผลเสียเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไป ลี้เถ่งผู้นี้เคยก่อกวนความสงบในคฤหาสน์ตลอดเวลา บัดนี้ยังเป็นไส้ศึกย่อมคู่ควรกับการถูกสังหาร เพียงแต่มันกังวลถึงปัญหาภายภาคหน้า สมมติว่าหัตถ์อสนีบาตหากส่งผู้คนทวงถามมัน จะคลี่คลายอย่างไรกัน

ในที่สุดกล่าว

“หลานเราสามารถนำคนผู้นี้จากไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยหรือไม่?”

ซิเล้งตอบว่า

“ย่อมได้ ผู้หลานจะทำให้มันมิมีผู้ใดเสาะพบได้”

“ถ้าเช่นนั้นก็มอบให้ท่านจัดการ”

ซิเล้งแผ่พุ่งกำลังใส่นิ้วทั้งห้าซึ่งคร่ากุมลี้เถ่งอยู่ กระแทกกระเทือนอวัยวะของมันจนแหลกสลาย ได้ยินลี้เถ่งครางหนักๆ ในลำคอก็จบชีวิตไป

จากนั้นตนหนีบร่างลี้เถ่งกลับมาที่ห้องสมุด วางซากศพของมันอยู่เบื้องนอก ซิเล้งบ่งบอกกับจิวงังซิวว่า จะเริ่มต้นบุกจู่โจมศัตรูแล้ว

พร้อมกับนั้นฉวยโอกาสนี้ ถ่ายทอดเคล็ดวิชารักษาร่างกายให้แข็งแรง และวิชาผนึกพลังภายใน โดยบอกให้ช่วยอบรมจิวเท้งเกาผู้เป็นหลานชายของมันแทนตนด้วย

พอพาดพิงถึงเท้งเกา ซิเล้งก็บอกเล่าเรื่องราวของอาชุนออกไปด้วย ซึ่งจิวงังซิวกล่าวว่า

“ดรุณีน้อยนางนั้น เมื่อเป็นศิษย์รักของพวกเจ้า ศักดิ์ศรีย่อมผิดแผกไป เล่าฮูจะส่งผู้คนไปทาบทามเรื่องมงคลนี้กับปู่ของนางเอง”

ทุกสิ่งอย่างลงเอยอย่างน่าพึงพอใจ ซิเล้งขณะอำลาจากมา ก็เป็นเวลายามสี่ของค่ำคืน ตนหนีบซากศพลี้เถ่งออกมานอกตัวเมือง ขุดหลุมลึกกลบฝังกลางท้องทุ่งอันรกร้าง

รอจนเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นเวลาฟ้าสางสว่าง ซิเล้งผนึกลมปราณอยู่เป็นเวลาครึ่งชั่วยาม ค่อยใช้น้ำบ่อล้างหน้าจัดแจงเสื้อผ้า เหยียบย่างทางหลวงมุ่งสู่ตัวเมืองไคฮง

ซิเล้งพบพานสารถีขับรถม้ารับจ้างผู้หนึ่งกลางทาง ตนว่าจ้างมันช่วยส่งข่าวต่ออี้ฉิงที่อารามร้าง แล้วจึงเดินทางอย่างผ่าเผย ประมาณยามเที่ยง เข้าสู่ตัวเมืองด้วยความสงบ

พลันเหลือบเห็บบุรุษฉกรรจ์สองคนถลันตรงเข้ามา ประสานมือคารวะกล่าวว่า

“ท่านคือซิเสียวเฮียบกระมัง ทางด้านนั้นมีสหายจำนวนมาก คอยรอพบอยู่!”


 อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่