๒๔
♦ อันตรายยังคุกคาม ♦
……………
ซิเล้งเร้นกายในความมืด เร่งรุดตามรายทางอันรกร้าง ตนหาใช่ไร้จุดหมายไม่ โดยนัยกลับนี่เป็นการเคลื่อนไหวที่กำหนดขึ้นก่อน โดยเร่งรุดสู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ อ้อมเป็นวงกว้าง แล้ววกสู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
มินานให้หลัง เร่งรุดอยู่ตามทางเดินสายใหญ่เป็นระยะทางเกือบห้าลี้ ริมทางหลวงปรากฏเก๋งพักผ่อนหลังหนึ่ง ซิเล้งพอเข้าสู่ตัวเก๋ง ก็ห่อปากส่งเสียงไปสามครั้ง ในพุ่มพฤกษาหลังเก๋งก็ปรากฏบุคคลขึ้นผู้หนึ่ง จูงม้าเร็วสองตัวมา
บุคคลนั้นกล่าวว่า
“ซิเสียวเฮียบมาได้รวดเร็วก่อนกำหนด ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงดำเนินอย่างราบรื่น”
ซิเล้งกล่าวว่า
“ยังประเสริฐที่จูกงเม้งมิกล้าปรากฏกายตามความคาดหมาย มันพอพบว่าพวกเราเดินทางอย่างเปิดเผย ทำให้หวาดระแวงว่าข้าพเจ้ามีหลักฐานแสดงความชั่วช้าของมัน ทราบดีว่ารูปการณ์ตอนนี้ไม่อนุญาตให้ฆ่าปิดปากข้าพเจ้า จึงมิกล้าปรากฏกายขึ้น”
บุคคลผู้นั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าว
“ลี้ซานึ้งไปที่ใดแล้ว? จะถูกผู้คนจดจำได้หรือไม่”
“ท่านถามมากเกินไปแล้ว มิว่าอย่างไรลี้ซานึ้งมิทราบทิศทางเร่งรุดของพวกเรา แม้จะถูกคร่ากุมก็ไม่อาจบ่งบอกร่องรอยของพวกเราได้”
ขณะเอื้อนเอ่ย ซิเล้งใช้สายตาที่แวววับจับจ้องฮุยเฮาอย่างจดจ่อ จวบจนบัดนี้ตนยังมีความหวาดระแวงในตัวฝ่ายตรงข้าม ซึ่งอาจกระทำตนเป็นไส้ศึกให้กับผู้กล้าหาญดาบทอง ดังนั้นจึงรักษาความลับเกี่ยวกับร่องรอยของลี้ซานึ้ง พร้อมกับหาทางทดสอบจิตใจฝ่ายตรงข้าม
ที่แท้ซิเล้งทั้งสามได้แยกทางกันในตัวเมืองตั้งลิ้ว บุรุษกลางคนกับบุรุษหนุ่มอีกคนหนึ่ง ซึ่งอาศัยร่วมกับซิเล้งภายในตัวรถ ล้วนถูกจ้างมาสวมรอย เป็นชาวเมืองธรรมดา โดยสมนาคุณด้วยจำนวนเงินมิน้อย
ส่วนลี้ซานึ้งกับฮุยเฮาต่างปลอมแปลงกายหนีไปทางประตูหลัง โดยที่ลี้ซานึ้งล่วงหน้าไปก่อน จากนั้นฮุยเฮาค่อยติดตามออกไป นัดแนะกันว่าจะมาพบพานในที่นี้
ซิเล้งความจริงมอบหมายให้ลี้ซานึ้งไปยังเมืองตงเม้งเฝ้าดูแลแป๊ะเอ็ง แต่ซิเล้งยามนี้กลับมิเดินทางในบัดดลเสแสร้งเป็นรอคอย ฝ่ายฮุยเฮาก็เงียบงันตลอดเวลา
ซิเล้งพลันกล่าวว่า
“ซานึ้งคงมิมาแล้ว ไปกันเถอะ”
ทั้งสองต่างกระโดดปราดขึ้นม้า เร่งรุดเดินทางสู่ทิศบูรพา ตลอดรายทางล้วนปราศจากเรื่องราวใดๆ ซิเล้งจึงวางใจลงกล่าวกับมันว่า
“ตามความเห็นของท่าน จะหลบรอดจากการติดตามของจูกงเม้งได้อย่างไร?”
ฮุยเฮากล่าวว่า
“เราขณะรอคอยท่าน มักหวั่นเกรงว่าจะถูกฝ่ายตรงข้ามติดตามมาถึง ขบคิดหาทางเอาชีวิตรอดได้สองประการ คือหนึ่งเร้นกายอยู่ตามป่าเขารกร้าง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก สองเสาะหาตำบลที่อยู่อันรุ่งเรือง พำนักโดยมิสนใจต่อเหตุการณ์ในวงนักเลง”
“มีวิธีสองประการนี้สามารถหลบรอดชีวิตได้จริงๆ เพียงแต่อาศัยความสามารถของท่าน มิสมควรลบเลือนไปจากแผ่นดิน ท่านสมควรปฏิบัติตามหนทางที่สาม คือรับใช้ต่อประเทศชาติ ภายภาคหน้าแม้ต้องตายก็ไม่เสียทีที่กำเนิดมาชีวิตหนึ่ง”
หยุดเล็กน้อย จึงกล่าวอย่างหมกมุ่น
“ขอให้ท่านไปยังตัวเมืองบารมีเกริกไกร กราบพบผู้บัญชาการทหารหลวงประจำเมืองนามฮ่องง้วนไค ท่านก็กระทำตนเป็นผู้คุ้มครองมัน คอยต้านทานโจรสลัดญี่ปุ่น ปกปักเอกราชของประเทศชาติ เพียงท่านอ้างว่า ข้าพเจ้าชี้แนะให้มา คงรับการอนุโลมอยู่ในกองทหารด้วย”
ฮุยเฮาบังเกิดความปีติลิงโลดเป็นอย่างยิ่ง กระโดดปราดจากหลังม้าคุกเข่าลงบนพื้น กล่าวว่า
“ขอบพระคุณในการชี้แนะ ภายภาคหน้ามิว่าจะประสบความสำเร็จหรือกลับกลายเป็นเถ้าถ่าน ก็จะไม่ลืมเลือนซิเสียวเฮีย ขอได้รับการกราบกรานจากเราด้วย”
ทั้งสองพอพรากจากกัน ซิเล้งบังเกิดความปลาบปลื้มประโลมใจ ทั้งนี้เพราะตนมิเพียงช่วยเหลือคนผู้หนึ่งกลับใจสำนึก ยังสร้างสรรค์ขุมกำลังให้กับประเทศชาติ ในมวลทหารหาญพอมีชนชาวบู๊ลิ้มเช่นฮุยเฮาร่วมด้วย ยังประเสริฐกว่ากองทหารนับร้อยพันอีก
ฮุยเฮาอาศัยม้าเร็วตัวหนึ่ง เดินทางสู่เมืองบารมีเกริกไกร ซึ่งในอดีตซิเล้งเคยไปเสาะหากราบพบขุนพลไร้กร ส่วนซิเล้งมุ่งหน้าเร่งรุดมุ่งสู่ทิศบูรพา
ยามฟ้าสาง ซิเล้งบรรลุถึงเมืองเล่งเล้ง ตนล่วงรู้ว่าในอาณาเขตนี้ ขอเพียงปรากฏตนขึ้นในตัวเมือง ย่อมต้องถูกบริวารของผู้กล้าหาญดาบทองพบเห็น
ซิเล้งจึงสลัดม้าในระหว่างทาง เร่งรุดเข้าสู่ตัวเมืองอย่างอาจหาญ รีบจับจองห้องพักแล้วเข้าพักผ่อนหลับนอน มิแยแสสนใจกับสภาพแวดล้อมเลย
ซิเล้งหลับใหลถึงยามเที่ยงค่อยตื่นขึ้นมา รู้สึกสติสัมปชัญญะและกำลังกายล้วนฟื้นฟู เริ่มครุ่นคิดว่าจะดำเนินการอย่างไร จึงไม่หลงพลัดเข้าสู่หลุมพรางกับดักของฝ่ายตรงข้าม
ตนทราบดีว่า คราครั้งนี้จูกงเม้งคงนำพาขุมกำลังของตนออกเสาะหา ดังนั้นซิเล้งเสาะหาโรงเตี๊ยมพักผ่อนอย่างเต็มที่ ฟื้นฟูกำลังต้านรับสถานการณ์ต่อไป
ซิเล้งครุ่นคิดขึ้น
“…หากต้องต่อสู้กับผู้กล้าหาญดาบทองมีอยู่สองวิธีคือ หนึ่งหาทางบีบบังคับมันเสี่ยงชีวิตกับเราอย่างหักโหม ไม่มีชนชาวบู๊ลิ้มอื่นยุ่งเกี่ยวด้วย
สอง เราพลันเตลิดหนีอย่างกระทันหัน ให้มันมิทันรวบรวมกำลังสกัดขัดขวางเราได้ วิธีการเหล่านี้แม้สามารถพลิกแพลงสถานการณ์ได้ แต่บุคคลกลอกกลิ้งเยี่ยงจูกงเม้ง ไหนเลยไม่มีแผนการป้องกัน?…”
ตนแหงนหน้าระบายลมหายใจยาวๆ ออกจากปาก หลายปีที่ผ่านมาซิเล้งเผชิญสภาพการณ์เลวร้าย ตลอดเวลา ประสบการณ์ที่ผ่านมาเคี่ยวกรำสติปัญญาของตนจนกระจ่างเจิดจ้ายิ่งขึ้น
พอก้าวเดินอยู่ภายในห้องพักสองตลบ ความคิดคำนึงก็เริ่มพลุ่งพล่านครุ่นคิดขึ้น
“…เราต้องคัดเลือกหนทางหนึ่งในสองวิธีปฏิบัติการณ์ เพียงแต่ตั้งแต่เราเหยียบย่างเข้าสู่ตัวเมืองจนถึงบัดนี้ ฝ่ายตรงข้ามยังมิมีปฏิกิริยาใดๆ แสดงว่าจูกงเม้งอาจกำหนดแผนการเรียบร้อยอยู่ก่อนแล้ว…”
แน่นอน ตนพลอยคำนึงว่า ผู้กล้าหาญดาบทองอาจยังมิทราบร่องรอยของตน จึงไม่ทันติดตามมา หรือมันมีปัญหายุ่งยาก ยังไม่อาจตกลงใจ?
แต่ซิเล้งย่อมมิคำนวณจูกงเม้งจนต่ำทรามไป ตนยินยอมประเมินความสามารถของฝ่ายตรงข้ามสูงล้ำกว่าสภาพความจริง แทนที่จะพลาดพลั้งเสียที เพราะสาเหตุจากการประมาทดูแคลนฝ่ายตรงข้าม!
ซิเล้งจมอยู่ในภวังค์ครุ่นคิดครึ่งชั่วยาม พลันนึกถึงระยะเวลาอีกยี่สิบกว่าวัน ก็จะครบกำหนดหนึ่งเดือน หมายความว่าตนสมควรอดรนทนรอยี่สิบกว่าวัน จากนั้นสามารถพลิกแพลงจากการถูกไล่ล่าเป็นฝ่ายตามล้างผู้กล้าหาญดาบทอง
ทั้งนี้ก็เพราะอีกหนึ่งเดือนให้หลัง จูกงเม้งจะนำพาแป๊ะเอ็งไปเร้นกายพำนักที่เมืองนานกิง
ซิเล้งคาดคะเนว่า ผู้กล้าหาญดาบทองในที่สุด คงแปรเปลี่ยนเป็นเศรษฐีรุ่มรวยประจำเมืองนานกิง ไม่มีผู้ใดสืบสาวความเป็นมาของมันได้
ยามนั้น ซิเล้งพลันขบคิดถึงวิธีการอันหนึ่ง หลังจากพิจารณาอยู่ครู่ใหญ่ จึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ถลันกายถึงข้างประตูเงี่ยหูคอยรับฟัง จนทราบว่า ภายนอกไม่มีร่องรอยผู้คน จึงเปิดประตูออกไป ถลันกายถึงห้องข้างเคียง หยิบฉวยป้านน้ำชาบนโต๊ะซุกซ่อนอยู่ในอกเสื้อแล้วกลับเข้ามาในห้อง
ตนฉีกเศษผ้าส่วนหนึ่ง ยัดอยู่ที่ปากของกาน้ำ ปิดฝากาจนแนบแน่น แล้วซุกเก็บอยู่ในห่อสัมภาระ จากนั้นนำป้านน้ำชาของห้องข้างเคียงวางชดเชย
และแล้ว ซิเล้งหยิบฉวยห่อสัมภาระ ชำระค่าที่พักออกจากตัวเมืองทันที มุ่งไปตามทางทิศประจิม ตนเพิ่งก้าวออกจากโรงเตี๊ยม ก็สำนึกว่ามีผู้คนสะกดรอยตามมา มิหนำซ้ำมีจำนวนไม่น้อย
ซิเล้งมีแผนการอยู่ก่อน จึงเดินเหินอย่างเฉื่อยชา มินานให้หลังก็ผ่านถนนที่จอแจ ถึงเขตประจิมประจำตัวเมือง บริเวณนี้มีแต่อาคารบ้านเรือนของข้าราชการที่ทรงอำนาจและทรัพย์สิน คฤหาสน์ทุกหลังยึดครองตำแหน่งกว้างไพศาล ปลูกตึกติดต่อกันสลับซับซ้อน
ตนวกเข้าสู่ทางเดินสายหนึ่ง พลันกระโดดปราดขึ้นสู่บนกำแพงล้อม ละลิ่วลงบนลานตากฟ้าหน้าคฤหาสน์หลังหนึ่ง
ประกายตาสำรวจมองรอบบริเวณ กลับไม่พบพานผู้คนใดๆ จึงลอบปีติลิงโลดอย่างใหญ่หลวง โคจรลมปราณพุ่งปราดหลบซ่อนอยู่หลังต้นไม้
จากการสำรวจเพียงวูบเดียว ซิเล้งก็พบว่านี่มิใช่สถานที่ของผู้มีทรัพย์ธรรมดา หากแต่เป็นคฤหาสน์ของผู้มียศศักดิ์ ดังนั้นแม้ดึกสงัดยังมีบรรยากาศอีกแบบหนึ่ง
ซิเล้งเงี่ยหูรับฟังอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงก้าวเข้าสู่ประตูทางซ้ายมือ มาถึงสถานที่หนึ่ง ได้ยินทางผนังข้างเคียงแว่วสำเนียงสนทนาดังมิขาดหู ระคนด้วยเสียงประกอบอาหาร แสดงว่าเป็นห้องครัว
ข้างกายเป็นบ่อน้ำเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทั่วทั้งสี่ด้านล้วนเป็นห้องลับ ประตูล้วนลงกลอนไว้ เหลือบแลวูบเดียวก็ทราบว่า คือสถานที่กักตุนเสบียงสัมภาระ
ซิเล้งสำรวจดู พบเห็นห้องหับหลังหนึ่ง แม้ใส่กุญแจแต่มิได้สวมสนิท จึงรีบปลดกุญแจออก ดันประตูเหลือบมองเข้าไป แลเห็นเป็นห้องที่กว้างขวาง ทั่วทั้งสี่ด้านล้วนมีแคร่ไม้ เบื้องบนเป็นเพดานฉลุชั้นหนึ่ง
ห้องหลังนี้ คล้ายดั่งเป็นสถานที่จัดวางสิ่งของ ซึ่งมักเข้ามานำไปใช้อยู่เสมอ มาตรแม้นมีแง่มุมบางแห่งสามารถซุกซ่อนร่องรอย แต่ยังมิสอดคล้องกับความต้องการ
ตนแหงนหน้ามอง เห็นทางมุมขวามือคล้ายดั่งโยกย้ายได้ จึงโคจรลมปราณพุ่งปราดขึ้นไป ยื่นมือออกกดใส่ เพดานไม้ด้านนั้นก็สามารถเผยอขึ้น
ซิเล้งถึงกับชมเชยวาสนาตัวเองอยู่ในใจ พลิ้วกายลงบนพื้นดิน ปิดประตูสนิท หยิบฉวยกุญแจซุกเก็บที่อกเสื้อ โดยป้องกันว่าจะถูกผู้อื่นใส่กุญแจกักขังตนอยู่ภายใน และเมื่อกุญแจหายไป ในคฤหาสน์ที่ใหญ่โตเช่นนี้ ทุกเรื่องราวย่อมเยิ่นเย้อ คงอีกเนิ่นนานค่อยหามาทดแทน
จากนั้นซิเล้งพุ่งกายขึ้นไปบนเพดาน มุดซ่อนอยู่ที่ตำแหน่งซึ่งพบพานอยู่ก่อน แลเห็นแสงสว่างมืดสลัวยิ่งนัก มีแต่แผ่นกระเบื้องโปร่งใสสองก้อนสาดประกายลงมา รอบบริเวณมีฝุ่นละอองกองสุม ความจริงแล้วชั้นในของเพดานห้อง ย่อมมิมีผู้คนมาทำความสะอาด
ซิเล้งจัดการทำความสะอาดตำแหน่งแห่งหนึ่ง อนุญาตให้นอนได้แล้วจึงหยิบฉวยกาน้ำชาในห่อสัมภาระออก จัดวางอยู่มุมหนึ่ง
ที่แท้ตนตกลงใจที่จะซุกซ่อนเร้นกาย แทนที่จะเที่ยวโลดแล่นหลบหนี มุ่งมั่นว่าในเวลายี่สิบกว่าวันจะไม่ออกจากสถานแห่งนี้เลย
ซิเล้งยามอับจนหนทาง ได้ขบคิดวิธีที่โง่เขลาเช่นนี้ขึ้น โดยหลบซ่อนอยู่ในบ้านเรือนของบุคคลอื่นอย่างนอกเหนือความคาดหมายของฝ่ายตรงข้าม เนิ่นนานวันก็มิยอมออกมา
นอกจากว่าผู้กล้าหาญดาบทองสามารถทำให้ทางกรมเมืองทุ่มเทกำลังเที่ยวค้นหาตามอาคารทุกหลังในละแวกใกล้เคียงนี้ จึงจะพบพานตน หาไม่แล้ว มิว่าผู้ใดก็ไม่อาจเสาะพบเบาะแสใดๆ เกี่ยวกับตน
วิธีการนี้ออกจะไความคิด แต่ก็มีความหวังอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นการซุกซ่อนโดยมิสนใจกับการแสดงตนตนภายนอก และเป็นหนทางที่ทุกผู้คนคาดคิดมิถึงมาก่อน
วันนี้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ในยามวิกาลซิเล้งสำรวจมองผ่านกระเบื้องใส พบเห็นเงาร่างผู้คนโลดแล่นเคลื่อนไหวถึงสองครา แต่ตนมิหมกมุ่นสนใจ
วันที่สองล่วงเลยมาถึงยามเที่ยง โดยปราศจากเหตุการณ์ นับตั้งแต่ซิเล้งเข้ามาซุ่มซ่อนกาย ก็มิมีผู้ใดเข้ามาในห้องเลย ทั้งๆ ที่ห้องหับข้างเคียงมักมีผู้คนใช้กุญแจเข้าออกหยิบฉวยสิ่งของอยู่เสมอ
เมื่อเป็นเช่นนี้ สร้างความพิศวงสงสัยอย่างใหญ่หลวง ทั้งนี้เพราะห้องหับนี้ ในเมื่อมิใคร่มีผู้คนเข้าออก ไฉนกลับมิใส่กุญแจเล่า?
ขณะนั้น ประตูห้องพลันเปิดอ้าออก แว่วเสียงฝีเท้าอย่างแผ่วเบาก้าวย่างเข้ามา จากนั้นปราศจากการเคลื่อนไหวใดๆ ซิเล้งบังเกิดความสงสัยใคร่อยากรู้ โน้มกายลงอาศัยช่องว่างมองไปทางเบื้องล่าง
แลเห็นดรุณีนางหนึ่ง นั่งแน่วนิ่งอยู่บนเก้าอี้ที่เก่าคร่ำคร่า นางสวมอาภรณ์สมถะ ไม่ได้แต่งกายเยี่ยงผู้รับใช้ อายุเพียงสิบสามสิบสี่ปี
ซิเล้งขณะระแวงแคลงใจ พลันมีผู้คนผลักประตูเข้ามา เห็นเป็นทารกชายวัยไล่เลี่ยกัน ใช้ห่วงทองรัดผมเผ้า สวมอาภรณ์ที่สวยงามรับเรือนกาย เค้าหน้าคมคายยิ่ง แย้มยิ้มอย่างบริสุทธิ์กล่าวว่า
“อ้อ ชุนเจ้เจ๊มาแล้ว ข้าพเจ้ายังกังวลว่าท่านไม่มา”
พลางหัวร่อดังเสนาะโสต ดรุณีน้อยก็หัวร่ออย่างปีติยินดีกล่าวว่า
“เราเมื่อคืนแทบมิหลับใหล เอี่ยเอี้ย (ปู่) ประเสริฐยิ่ง ถึงกับพาเรามา”
ทารกชายหญิงคู่นี้ หัวร่ออย่างไร้เดียงสา ซิเล้งเข้าใจว่านี่เป็นการลอบนัดพบ ตนพลอยถูกไมตรีอันจริงใจของฝ่ายตรงข้ามสร้างความสะทกสะท้อนตื้นตัน
ทารกชายในชุดสวยงามกล่าวว่า
“ชุนเจ้เจ๊ หรือท่านมิทราบ ทุกครั้งที่เอี่ยเอี้ยของท่านส่งอาหารมา เรามักวิงวอนท่านผู้เฒ่า อนุญาตให้ท่านมาเล่นกับเรา ท่านลองทายดู เอี่ยเอี้ยท่านบอกปัดอย่างไร?”
ดรุณีน้อยอาชุนเชิดศีรษะขึ้น เปียที่ยาวเหยียดสะบัดไปด้านหลังกล่าวว่า
“ท่านผู้เฒ่าย่อมต้องบอกว่า เท้งเกาเสียวเอี้ย (เจ้านายน้อยนามเท้งเกา) กับอาชุนล้วนเติบใหญ่แล้ว ศักดิ์ฐานะก็แตกต่างกัน หากผู้อื่นล่วงรู้ คงเลวร้ายอย่างยิ่ง…”
นางดัดสุ้มเสียงจนชราภาพ แต่พอถึงตอนท้าย ในดวงตาที่กลมโตมีหยาดน้ำไหลรินออกมา หากทว่าบุคลิกของนางยังเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก
ทารกชายซึ่งเป็นเจ้านายน้อยนามเท้งเกาจับจ้องมองอาชุนอย่างงงงัน เค้าหน้าและอิริยาบถของมันกลับนุ่มนวลจนอ่อนแอ มันจึงบังเกิดความรู้สึกเลื่อมใสอาชุน ซึ่งแกร่งกร้าวกว่า
ซิเล้งได้ยินทั้งสองสนทนากันต่อไปอีก จากใจความคาดคะเนได้ว่า ทารกคู่นี้เป็นเพื่อนเล่นกันมาก่อน แต่บัดนี้เท้งเกาถูกน้าแซ่ลี้กีดกัน โดยมีสาเหตุจากการแก่งแย่งเกี่ยวกับมรดกทรัพย์สินประจำตระกูลนั่นเอง
ทั้งนี้เพราะประมุขเฒ่าของคฤหาสน์นี้ รักใคร่เท้งเกาซึ่งเป็นหลานชาย ฝ่ายน้าแซ่ลี้เกรงว่าพ่อผัวจะแบ่งปันที่นาอันเป็นมรดกให้แก่เท่งเกา แทนที่จะมอบต่อบุตรของนาง จึงพยายามใส่ความทารกชายผู้นี้อยู่เสมอ
สภาพเช่นนี้เป็นการแสดงออกซึ่งความละโมบของปุถุชนอย่างชัดแจ้ง ถึงกับใส่ไคล้ทารกเล็กๆ ซึ่งมิรู้ความ อันจะชักนำความยุ่งยากไม่ปรองดองต่อครอบครัววงศ์ตระกูล
อาชุนพลันถามเท้งเกาว่า
“พวกเรามาเล่นกัน ยี่ซ้อ (น้าหญิง) ของท่านไฉนทราบเรื่องได้?”
“นางใช้น้องชายของนาง ซึ่งเราเรียกหาเป็นเถ่งกู่กู๋ (น้าชายแซ่เถ่ง) คอยเฝ้าดูเรา มันผู้นี้เอี่ยเอี้ยท่านกับอาฮกเฒ่าเกรงกลัวมันยิ่งนัก รวมทั้งบุคคลอื่นภายในบ้านด้วย รับทราบมาว่าคราก่อนมันเคยฆ่าฟันผู้คน ดุร้ายยิ่งนัก”
อาชุนแม้จะมีนิสัยเด็ดเดี่ยว แต่ก็เป็นทารกในชนบทพอได้ยิน ถึงกับแตกตื่นจนใบหน้าซีดเผือด ราวกับว่าน้าชายแซ่เถ่งที่ป่าเถื่อนผู้นั้นพลันปรากฏกายขึ้น เท้งเกากลับปลอบโยนนางว่า
“ท่านมิต้องกังวลใจ อาฮกเฒ่ากับเอี่ยเอี้ยท่านล้วนคอยเฝ้ารักษาต้นทางให้กับพวกเราอยู่ทางด้านนอก”
ซิเล้งที่อยู่บนเพดานห้องทดลองสดับโสตรับฟัง ก็ได้ยินทางด้านนอก มีสำเนียงสนทนากันอย่างทุ้มหนักสองเสียง ดังนั้นคาดคำนวณว่าอาฮกเฒ่าที่ว่าคงเป็นคนรับใช้ในคฤหาสน์นี้
ตนหันเหเป้าสนใจคอยเงี่ยรับฟังคำสนทนาระหว่างปู่ของอาชุนกับอาฮกเฒ่าทางด้านนอก จึงทราบว่าเจ้าของคฤหาสน์นี้แซ่จิว และน้าชายผู้ดุร้ายของเท้งเกามีนามว่าลี้เถ่ง ซึ่งเคยร่อนเร่อยู่ในวงนักเลงสังหารผู้คนมากมายจึงหนีมาหลบซ่อน อาศัยบารมีตระกูลจิวเป็นที่คุ้มครอง
จากนั้นริมโสตพลันแว่วเสียงเพลงอันอ่อนหวานไพเราะ ที่แท้อาชุนกำลังร้องเพลงชาวชนบทด้วยคลื่นเสียงที่กลมกลืน แม้แต่ซิเล้งก็ต้องรับฟังจนเคลิบเคลิ้มเลื่อนลอยไป
ทำนองเพลงชาวชนบทแถบทิศอุดร ซิเล้งก็คุ้นเคยด้วย แต่บัดนี้เริ่มเลอะเลือนจดจำแทบมิได้ หากทว่าในห้วงสมองกลับหวนคำนึงความหลัง เมื่อเยาว์วัย ซึ่งอาศัยอยู่ในครอบครัวอันสงบสุข
เพียงแต่ว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมา ไม่มีอุบัติขึ้นอีก อนาคตกาลของตนยังต้องเผชิญกับมรสุมอันปั่นป่วน อดมิได้ที่จะคำนึงถึงวิถีชีวิตภายภาคหน้าของอาชุนกับเท้งเกาคู่นี้ มิทราบจะดำเนินต่อไปอย่างไร
ทันใด ซิเล้งพลันรู้สึกว่าสถานการณ์ผิดคาดไป แต่ตนอยู่เบื้องบน ไม่อาจสำรวจพบว่าเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงเป็นประการใด
จากนั้น พอเงี่ยหูฟัง สรรพสำเนียงอันครึกครื้นจอแจจากห้องครัวข้างเคียงพลันเงียบลง แสดงว่าคงมีเรื่องราวผิดปรกติอุบัติขึ้น ในใจพลันหวนนึกถึงลี้เถ่งผู้ดุร้าย
ขณะนั้นประจวบเหมาะกับเสียงเพลงของอาชุนสิ้นสุดลง เท้งเการับฟังจนเคลิบเคลิ้มตะลึงลาน แม้แต่วาจาชมเชยก็มิอาจเอื้อนเอ่ยออก
ที่หน้าประตูตึก ชายชราผมหงอกขาวสองคน ใบหน้าซีดเผือด จับจ้องบุรุษฉกรรจ์ร่างหยาบกร้านที่เบื้องหน้า ซึ่งสวมเสื้อผ้าอันทรงค่า แต่ใบหน้าตะปุ่มตะป่ำ ประกายตากลอกกลิ้ง หว่างเอวเสียบดาบสั้นอยู่ในฝัก ประดับไข่มุกอันแพรวพราย
มันยื่นมือออกผลักไสคราหนึ่ง ชายชราทั้งสองฝีเท้าก็โซเซมาด้านข้าง หนึ่งในสองร้องโพล่งว่า “กู่เล่าเอี้ย (ยกย่องผู้มีศักดิ์เป็นน้าชาย)”
บุรุษฉกรรจ์ที่ดุร้ายกวาดสายตาไปยังประตูห้องที่ปิดแง้มไว้ แต่เนื่องจากภายในห้องมืดสลัว จึงมิอาจเห็นสภาพอันใด
มันแค่นหัวร่ออย่างเย็นชา สาวเท้าก้าวเข้ามาตวัดเท้าเตะบานประตูจนเปิดผางออก จึงพบเห็นบุคคลภายในห้อง
แต่แล้วสีหน้ามันแปรเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นสงสัย ที่แท้ภายในห้องมีแต่ดรุณีน้อยเพียงผู้เดียว กำลังหวีสางเปียเส้นยาวเหยียด ในดวงตาที่กลมโตพอประกายขุ่นเคืองและแตกตื่น
บุรุษฉกรรจ์ผู้ดุร้ายนี้ก็คือลี้เถ่ง มันย่อมมิใช่บุกฝ่ามาอย่างไร้เจตนา หากแต่ได้รับรายงานให้มาคร่ากุมทารกชายหญิงที่มานัดพบกันคู่นี้
ลี้เถ่งกวาดสายตาสำรวจรอบห้อง ยังมิพบพานร่องรอยของเท้งเกา มันจึงถลันกายออกจากห้อง ตรวจค้นละแวกใกล้เคียงอย่างรวดเร็ว
ขอเพียงทารกชายจิวเท้งเกาลอบหลบหนีออกจากห้องก่อนที่มันจะมาถึง ลี้เถ่งพอเริ่มเสาะค้นก็ย่อมมิอาจปกปิดร่องรอยไว้ได้ ส่วนสองชายชราซึ่งเป็นอาฮกเฒ่ากับเอี่ยเอี้ยของอาชุน ล้วนมิกล้ามีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย
ภายในห้องหับ บนเพดานห้องบังเกิดเสียงผิดปกติเล็กน้อย จากนั้นซิเล้งพลิ้วปราดลงบนพื้นดิน จับจ้องอาชุน กล่าวว่า
“ท่านกลับไปเถอะ”
อาชุนเบิ่งตาสำรวจมองบุรุษหนุ่มที่แปลกตาผู้นี้ กล่าวว่า
“ตั่วเอี้ย (ยกย่องผู้มีอายุ) ท่านเป็นใคร?”
ซิเล้งเร่งเร้าให้นางกลับไป แต่อาชุนสั่นศีรษะ มีแววตาใคร่อยากรู้อย่างเด็ดเดี่ยว จึงกล่าว
“ข้าพเจ้าเรียกว่าซิเล้ง เป็นผู้คนมาจากสถานที่อื่น”
อาชุนถามว่า
“ท่านไฉนมาหลบซ่อนอยู่ที่นี้”
ซิเล้งเห็นนางมีอุปนิสัยเด็ดเดี่ยว เรื่องราวที่นางตกลงใจแล้วผู้อื่นยากขัดขวาง จึงกล่าวต่อ
“ความจริงท่านมิสมควรรับทราบเลย ท่านไยต้องถามไถ่เรื่องราวของข้าพเจ้าด้วย?”
“ท่านหลบซ่อนอยู่ที่นี้ แสดงว่ากริ่งเกรงถูกผู้อื่นพบเห็น เมื่อครู่เพราะช่วยเหลือพวกเรา จึงยินยอมปรากฏกาย เราทราบว่าท่านเป็นคนดีงาม จึงคิดช่วยเหลือท่านเป็นการตอบแทน”
“ท่านเป็นดรุณีเหนือธรรมดา ข้าพเจ้าแม้คิดไหว้วานท่าน แต่ว่านั่นต้องเดินทางอย่างยาวไกล มิทราบท่านเคยออกจากบ้านหรือไม่?”
“มิว่าเป็นระยะทางเท่าใด เราสามารถเดินไปถึง ตั่วเอี้ยท่านบอกมาเถอะ”
ซิเล้งกล่าวว่า
“ท่านหากคิดช่วยเหลือข้าพเจ้า ก็เดินทางไปยังนอกเมืองไคฮงทางทิศประจิม ที่นั่นมีอารามโบราณแห่งหนึ่ง เสาะหาโกวเนี้ยแซ่ฉี้นามอิง นางเป็นภรรยาในอนาคตของข้าพเจ้า”
ตนหยุดเล็กน้อย แลเห็นอาชุนเม้มริมฝีปาก แสดงท่วงท่าสนใจยิ่งนักได้ จึงกล่าวต่อ
“ท่านบ่งบอกกับนางว่า ข้าพเจ้าต้องหลบซ่อนอยู่ที่นี้ยี่สิบกว่าวัน จวบจนผ่านกำหนดเวลา จึงดำเนินการตีโต้ได้ ขอให้นางมิต้องกังวล”
อาชุนพริ้มตาลง จดจำวาจาทั้งมวล แล้วจึงลืมตาขึ้นกล่าวว่า
“เราจดจำได้แล้ว เพียงแต่ซิตั่วเจ่ก (อาแซ่ซิ) ท่านจะปลอดภัยหรือ?”
“นั่นย่อมแน่นอน สถานที่นี้เหมาะแก่การซุกซ่อนยิ่งนัก นอกจากนั้นข้าพเจ้ายังอดอาหารได้นานนับสิบวัน ขอเพียงมีน้ำดื่มก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ ท่านเชื่อหรือไม่?”
“ท่านมีความสามารถใหญ่หลวง เราย่อมเชื่อถือ เราจะฝึกฝนตนเองให้มีความสามารถ เฉกเช่นท่านได้บ้างหรือไม่?”
“สำหรับเรื่องนี้ท่านต้องขอให้ ฉี้โกวเนี้ยอบรมถ่ายทอดให้ นางมีความสามารถสูงล้ำกว่าข้าพเจ้าอีก”
อาชุนมีสีหน้าเบิกบานแจ่มใส คล้ายดั่งแลเห็นอนาคตอันรุ่งโรจน์ของตัวเอง ซึ่งอาศัยความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว นางย่อมสามารถไต่เต้าจนพบความสำเร็จ
ซิเล้งบอกเส้นทางเดินเหินอย่างไร พร้อมกับตักเตือนนางว่า ศัตรูของตนเป็นบุคคลอันร้ายกาจแห่งยุค จึงมิอาจแพร่งพรายเรื่องนี้ต่อผู้ใดเป็นอันขาด
อาชุนพอออกจากห้องติดตามเอี่ยเอี้ยไปแล้ว ซิเล้งก็รู้สึกปลอดโปร่งใจ เนื่องจากภาระที่ไหว้วานอาชุนอำนวยผลประโยชน์ถึงสองประการ คือหนึ่งเมื่อมีการติดต่อกับฉี้อิง ก็สามารถบรรเทาความกังวลของนาง
สอง ป้องกันมิให้นางเผชิญกับอันตราย เพราะสาเหตุจากการที่นางอดรนทนมิได้ ออกมาเสาะหาตน จนถูกศัตรูไล่ล่า
กาลเวลาอันแห้งแล้ง ไร้รสชาติผ่านไปเจ็ดแปดวัน ซิเล้งอดบังเกิดความร้อนรุ่มใจมิได้ เนื่องจากวันเวลาเหล่านี้ล่วงลับไปอย่างยากลำบาก
วันนี้เมื่อยามเที่ยง เปลวแดดสาดใส่แผ่นกระเบื้องจนร้อนผะผ่าวอากาศบนเพดานอบอ้าวชวนอึดอัด ซิเล้งแม้มีพลังการฝึกปรือเยี่ยมยอด ยังบังเกิดความรู้สึกกระสับกระส่าย ถึงกับคิดลงไปเบื้องล่าง
หลายวันที่ผ่านมา ตนทราบว่าห้องกักตุนสิ่งของหลังนี้ น้อยครั้งจะมีผู้คนเข้าออก ดังนั้นแม้จะลงไปอาศัยอยู่ภายในห้อง ก็คงปราศจากเภทภัยอันใด
ขณะที่ซิเล้งเอื้อมมือหมายงัดแงะแผ่นเพดานออก พลันฉุกใจได้คิด คำนึงขึ้น
“…ตลอดเวลาเรามีความอดทนเป็นเยี่ยม เหตุไฉนตอนนี้กลับไม่อาจข่มกลั้นอารมณ์ วันเวลานี้เป็นช่วงจำแนกผลแพ้ชนะดำรงหรือตกตาย จูกงเม้งย่อมต้องทุ่มเทกำลังเสาะหาร่องรอยของเรา เพื่อความปลอดภัย เรามิสมควรเลินเล่อแม้แต่น้อย…
พอฉุกคิดเช่นนี้ จึงเปลี่ยนแปลงความตั้งใจ มิเพียงล้มเลิกความคิดหมายลงไป ยังทรุดกายนั่งขัดสมาธิ รวมรั้งกระแสจิตโคจรพลังภายในโดยมิลนลาน
ครานี้นั่งขัดสมาธิเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ซึ่งช่วงเวลานี้ ซิเล้งหาได้เข้าสู่ขอบเขตเคลิบเคลิ้มเลื่อนลอยไม่ หากแต่หมกมุ่นตีความเคล็ดวิชาฝีมือต่างๆ
วิชาฝีมือที่ซิเล้งฝึกฝนได้มา ล้วนลึกล้ำยุ่งยาก คราก่อนแม้ฝึกปรือสำเร็จ แต่ยังไม่บรรลุถึงขั้นสุดยอด นี่เป็นปมด้อย ของเคล็ดวิชาฝีมือที่สูงล้ำสุดยอด กล่าวคือไม่อาจแตกฉานในระยะเวลาสั้นๆ เลย
ตนเคยคำนึงถึงปัญหาข้อนี้ ซึ่งหากคิดมีพลังการฝึกปรือรุดหน้า ก็ต้องไต่เต้าทีละขั้น ไม่มีใครสามารถเรียนรู้กระจ่างแจ้งในพริบตาเดียว
มาตรแม้น ซิเล้งได้รับประสบการณ์ปาฏิหาริย์มามากครั้ง อาทิขุนพลไร้กรอาศัยวิธีหยิบยืมพลังลอบถ่ายทอดกำลังให้ ตนกับฉี้อิงผสมผสานธาตุกายกัน ทำให้ฟื้นฟูพลังฝีมือกับยังมีกำลังเพิ่มพูน แต่ก็ต้องผ่านระยะเวลาอันยาวนาน จึงจะบรรลุขั้นสุดยอดได้
เพียงแต่ ซิเล้งมิมีโอกาสอยู่อย่างสงบ ชะตาชีวิตบันดาลให้ต้องเตลิดหลบหนี สร้างสมศัตรูเข้มแข็งเช่นผู้กล้าหาญดาบทองและกิมเม้งตี้ จึงมีอุปสรรคอย่างยากแก้ไข
ดังนั้น ตนเคยหวนนึกถึงเจดีย์ทองคำ กับวิชาฝีมือที่จารึกอยู่ภายใน ตนอาจจะได้พบพานทางลัด นำพาไปสู่ความสำเร็จ
ยามนี้จิตใจของซิเล้งสงบราบเรียบ ตนนั่งอย่างสงบแน่นิ่ง จนแทบรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของกาลเวลา
ในความรู้สึกเคลิบเคลิ้มเลื่อนลอย ซิเล้งยังรู้สึกเลือนรางว่า ตัวเองหาใช่ปราศจากหนทางไม่ ขอเพียงเสาะพบปมคลี่คลาย ก็จะรุดหน้าอีกขั้นหนึ่ง เป็นยอดฝีมือเยี่ยมยอดแห่งยุคได้ทันที!
ซิเล้งมีสภาพสับสนอลวน คล้ายจริงคล้ายฝัน พอผ่านเวลาไปหนึ่งราตรี จิตใจพลันสงบสำรวมเป็นพิเศษ
สภาพเช่นนี้ดำเนินต่อไป ประกายสำนึกในห้วงสมองกระจ่างจ้าออกสู่จักรวาล
โดยมิรู้สึกตัวเป็นเวลายามเที่ยง ซิเล้งหรี่ตาลงเล็กน้อย กระแสจิตยังคงบัดเดี๋ยวเลอะเลือนบัดเดี๋ยวกระจ่าง ทันใดแว่วเสียงฝีเท้าเดินเหินกระทบโสต ใกล้เข้ามาทุกขณะ
ซิเล้งรับฟังจากเสียงฝีเท้าก็ทราบว่าผู้มาเป็นคนชรา ปราศจากวิชาฝีมือ แต่สิ่งที่สร้างความสนใจหาใช่สำเนียงฝีเท้าไม่ กลับเป็นความหมกมุ่นกับกาลเวลาของเสียงฝีเท้าที่ก้าวใกล้
เสียงฝีเท้ายิ่งกระชั้นชิด กาลเวลายิ่งหดสั้น นี่เป็นหลักที่แน่นอน เพียงแต่ในยามปรกติ ซิเล้งมิอาจรับรู้ถึงปัญหาข้อนี้ได้
แต่ยามนี้ซิเล้งกลับรู้สำนึก “กาลเวลา” กับ “ระยะเวลา” มีความสัมพันธ์อย่างล้ำลึกพิสดารถึงปานนี้ โดยที่ไม่สามารถแย่งแยกออกจากกันได้เลย
ซิเล้งพลันเข้าใจถึงเหตุผลข้อหนึ่ง กล่าวคือขอเพียงตนสามารถเข้าซึ้งถึงคำ “กาลเวลากับระยะเวลา” ก็จะมีสภาพอันมั่นคงไม่พ่ายแพ้ มิว่าศัตรูที่เข้มแข็งเช่นใด ก็ไม่อาจสยบตน
เสียงฝีเท้ามาถึงหน้าห้องก็หยุดชะงักลง ซิเล้งยิ้มน้อยๆ คำนึงขึ้น
“…ที่แท้วิถีทางลัดอยู่ตรงนี้เอง มิน่าเล่า ตั้งแต่เราสำนึกได้ว่ากาลเวลาผ่านพ้นจากข้างกายของเรา ก็คล้ายดั่งมีสามัญสำนึกเปรื่องปราดและรักษากระแสจิตที่เคลิบเคลิ้มได้อยู่ตลอดเวลา…”
ประตูห้องถูกผลักไสเปิดออกแล้ว แว่วเสียงฝีเท้าก้าวย่างเข้ามา ซิเล้งมิแยแสสนใจ ทุ่มเทจิตใจอยู่กับปมสำคัญของหลักวิชาอันสูงล้ำที่เพิ่งแตกฉาน
ชั่วครู่ให้หลัง ผู้คนทางเบื้องล่างส่งเสียงพึมพำกับตัวเอง สุ้มเสียงชราภาพยิ่งนัก และเปี่ยมแววประหวั่นพรั่นพรึง ซิเล้งต้องฉุกใจได้คิด เงี่ยหูรับฟังดูได้ความว่า
“พวกมันตรวจค้นตึกรามข้างเคียงทั้งซ้ายขวาจนแทบพลิกอาคารนี้ค้นหา บัดนี้คุกคามมายังอาคารของเรา เล่าไท้เอี้ย (เจ้านายใหญ่ผู้สูงวัย) ก็อนุญาตให้ฝ่ายตรงข้ามเข้ามาค้นตึก นับเป็นอุบัติการณ์ที่คาดคิดมิถึง”
วาจารำพันมิกี่ประโยคนี้พอแว่วกระทบโสตซิเล้ง อุปมาอสนีบาตกระแทกใส่ ทราบดีว่าสถานการณ์ผิดท่าแล้ว แน่นอนฝ่ายชายชรามีเจตนาบ่งบอกเรื่องราวให้กับตนชัดๆ
ซิเล้งรีบโน้มกายลง เลิกเพดานห้องขึ้น แลเห็นชายชราชุดซอมซ่อผู้หนึ่ง กำลังหยิบฉวยสิ่งของบนแคร่ไม้ ซิเล้งพลันกล่าวเบาๆ
“ท่านผู้เฒ่าเป็นอาฮกกระมัง?”
ชายชราสะท้านขึ้นทั้งร่าง เงยหน้าขึ้นกล่าวว่า
“บ่าวคืออาฮกเฒ่าจริงๆ ท่านรีบหลบหนีไปเถอะ”
“ขอบพระคุณท่านผู้เฒ่า แต่คนชั่วร้ายเหล่านั้น ตอนนี้คงรายล้อมอาคารนี้แล้ว ย่อมยากที่จะหลบหนีได้ ยังคงซุกซ่อนอยู่ในที่นี้จึงจะปลอดภัยกว่า”
“มิได้ บ่าวรับทราบว่า ตระกูลโฮ้วทางซ้ายมือ กับตระกูลเฮ้งทางขวามือ มีห้องหับบางแห่งแม้กระทั่งกระเบื้องมุงหลังคายังถูกถอดออกมา ตำแหน่งที่ท่านหลบซ่อนอยู่ มิปลอดภัยอย่างแน่นอน”
ซิเล้งมีความรู้สึกเห็นพ้องมิอาจโต้แย้ง จึงกล่าว
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าจำต้องลบร่องรอยที่มีอยู่ มิให้ฝ่ายศัตรูพบเห็นแล้ว”
“มิทราบท่านมีแผนการอย่างไร?”
“ข้าพเจ้าจะออกจากที่นี้ไป นี่หาใช่ข้าพเจ้าเกรงกลัวพวกมันไม่ หากแต่มีสาเหตุสำคัญกว่า จำต้องหลบหนีซ่อนกายชั่วคราว”
อาฮกเฒ่ากล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้นท่านรีบดำเนินการเถอะ โอ เล่าไท้เอี้ยกลับยินยอมให้ผู้คนค้นตึก เพียงรับการร้องขอจากเจ้าเมืองแห่งนี้ ทั้งๆ ที่ฝ่ายเจ้าเมืองเกรงกลัวเล่าไท้เอี้ยตลอดเวลา”
“สำหรับเรื่องนี้มิแปลกประหลาดเลย ฝ่ายตรงข้ามมีอำนาจยิ่งใหญ่ สามารถคุกคามผู้คนกระทำเรื่องราวได้โดยมิอาจขัดขืน คาดว่าท่านเจ้าเมืองแห่งนี้คงถูกใช้สอยมาอย่างแน่นอน”
ขณะกล่าววาจา ซิเล้งรีบเก็บกวาดเพดานลบร่องรอยทั้งมวล แล้วจึงพลิ้วกายลงบนพื้นดิน
อาฮกเบิ่งตาจับจ้องมองตน แต่แล้วงงงันไปวูบหนึ่งกล่าวว่า
“หน้าตาของท่าน เหลือบแลเพียงวูบเดียวก็ทราบว่ามิใช่คนร้าย มิหนำซ้ำสุ้มเสียงสุ้มเสียงและอิริยาบถของท่าน ทำให้บ่าวหวนนึกถึงบุคคลผู้หนึ่งซึ่งสร้างความเคารพนับถือให้กับผู้คนอย่างยิ่งยวด
อา พวกท่านละม้ายคล้ายกันยิ่งนัก ตอนนั้นมันเพิ่งมีอายุสามสิบเศษ คมคายสง่างามเฉกเช่นท่าน มิทราบมีอิสตรีจำนวนมากเท่าใดมาพัวพัน แต่มันกลับมิเคยยุ่งเกี่ยว นับเป็นบุคลิกที่ยากจะพบพาน”
ซิเล้งพลอยบังเกิดความเคารพเลื่อมใส กล่าวว่า
“คนผู้นั้นเป็นใคร ภายหน้าหากมีโอกาสข้าพเจ้าจะต้องขอกราบพบ”
“ท่านมิอาจพบได้แล้ว คนผู้นั้นถึงแก่กรรมไปเนิ่นนาน จวบจนบัดนี้เล่าไท้เอี้ย (เจ้านายเฒ่า) ยังคำนึงถึงสหายเก่าท่านนั้น สะทกสะท้อนอาลัยยิ่ง ท่านคงมิทราบ เล่าไท้เอี้ยเป็นราชบัณฑิตในเมืองหลวง แต่เพราะสหายเก่าท่านนั้น จึงท้อแท้ทอดอาลัย พบครบเกษียณจึงขอลาออก”
ซิเล้งพลันสะท้านใจเล็กน้อยกล่าวว่า
“นามของเล่าไท้เอี้ย คฤหาสน์ท่านคืองังซิว? และสหายสนิทของเล่าไท้เอี้ยนั้น เป็นซิซวง ซึ่งคราก่อนรับตำแหน่งผู้ตรวจการขององค์กษัตริย์กระมัง?”
“เอ๊ะ ท่านไฉนทราบได้?”
“อา นั่นเป็นบิดาผู้ล่วงลับ ขณะที่บิดาถูกใส่ไคล้ประหารทิ้ง ข้าพเจ้ายังเยาว์วัย แต่ยังรู้จักสหายของบิดาหลายคน มีอยู่ท่านหนึ่งคือลุงงังซิว”
“ท่านเป็นซิกงจื๊อจริงๆ มิแปลกปลอมแน่แล้ว บัดนี้บ่าวจะพาท่านไปน้อมพบท่านเล่าไท้เอี้ย คาดว่าเล่าไท้เอี้ยยอมต้องขับไล่ฝ่ายตรงข้ามไปจนหมดสิ้น”
ซิเล้ง มีสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นหมกมุ่นเคร่งเครียด กล่าวว่า
“หากแม้นท่านแพร่งพรายข่าวคราวเกี่ยวกับข้าพเจ้าให้ท่านลุงแซ่จิวรับทราบ ตระกูลจิวก็จะเฉกเช่นกับตระกูลของเรา ประสบเภทภัยถูกทำลายล้างจนหมดสิ้น!”
กระแสเสียงของตน เคร่งขรึมจริงจัง ชายชรามิอาจไม่เชื่อถือ ซิเล้งกล่าวสืบต่อ
“ผู้มาล้วนเป็นคนทำลายล้างครอบครัว ข้าพเจ้าเมื่อกาลก่อน ท่านลุงเมื่อคราก่อนขณะรับราชการยังมิอาจหักล้างได้ อย่าว่าแต่ลาออกมาเร้นกาย ปราศจากศักดิ์ศรีเลย โอ ข้าพเจ้ามิควรซ่อนกายในอาคารหลังนี้ มิน่าเล่า จูกงเม้งจึงต้องตรวจค้นตัวตึกแห่งนี้”
อาฮกเฒ่าพอฟังทราบว่าเรื่องราวมีอันตรายใหญ่หลวง ต้องแตกตื่นจนใบหน้าซีดเผือด มิทราบสมควรกระทำอย่างไร
ซิเล้งพยายามสงบสติอารมณ์ คำนึงขึ้น
“…เรามิอาจหลงเหลือร่องรอยใดให้จูกงเม้งเสาะพบว่า เคยเร้นกายอยู่ที่นี้ มิเช่นนั้นพวกมันย่อมต้องเข้าใจว่า ลุงแซ่จิวเป็นผู้ปกปักให้ความคุ้มครองต่อเรา
ถึงตอนนั้นฝ่ายตรงกันข้าม คงใช้วิธีการอันชั่วร้ายทำร้ายต่อครอบครัวท่านลุง เรื่องราวหากเปลี่ยนแปลงถึงขั้นนั้น เราแม้บดขยี้จูกงเม้งเป็นผุยผง ก็ไม่สามารถชดเชยได้…”
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป