๒๓
♦ อานุภาพสะท้านโลก ♦
……………
ซิเล้งขมวดคิ้วเข้าหากันกล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าจะแบกท่านออกไป แต่ตอนนี้ข้าพเจ้ายังต้องช่วยเหลือสหายอีกคน มิทราบสมควรกระทำอย่างไร?”
บุรุษกลางคนหนึ่งกล่าว
“ขอเพียงให้เราออกจากดินแดนปีศาจแห่งนี้ ก็มีหนทางช่วยเหลือตัวเอง”
ซิเล้งใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว แล้วจึงตกลงใจจะช่วยเหลือฝ่ายตรงข้าม
บุรุษกลางคนผู้นั้นกล่าวคำขอบคุณอยู่ตลอดเวลา ซิเล้งสาวเท้าก้าวเข้าไป หันหลังให้ย่อกายต่ำลง เพื่อฝ่ายตรงข้ามสามารถแอบอิงร่างอยู่ส่วนหลัง จากนั้นจึงยืดหยัดขึ้น แบกพาวิ่งตะบึงออกจากคุกใต้ดินอย่างรวดเร็ว
ซิเล้งขึ้นมาถึงห้องชั้นบน แล้วค่อยหยุดชะงัก มิได้ฝ่าออกไปอย่างวู่วาม คอยเงี่ยหูสดับฟังสำเนียงรอบกาย เนื่องจากซิเล้งแบกร่างของบุรุษกลางคนอยู่บนบ่า จึงมิอาจแลเห็นอิริยาบถของฝ่ายตรงข้าม
ยามนี้ สีหน้าของบุรุษกลางคนปรากฏแววอำมหิต ดวงตาสาดประกายกลอกกลิ้งเลือดเย็น ฝ่ามือทั้งสองข้างขยับเคลื่อนไหวเล็กน้อย ราวกับกำลังเกร็งพลังภายใน
วินาทีนั้น ซิเล้งได้ยินบุรุษกลางคนที่ถูกบรรทุกอยู่ส่งเสียงครวญครางดังเบาๆ ขึ้น จึงกล่าว
“เป็นอย่างไร? ท่าน…”
วาจามิทันเอื้อนเอ่ย ซิเล้งพลันรู้สึกช่วงลำคออึดอัดติดขัด ที่แท้บุรุษกลางคนผู้นั้นได้ยื่นนิ้วหัวแม่มือซ้าย กดใส่จุดสำคัญบริเวณลำคอตน
การประทุษร้ายอย่างกระทันหัน ซิเล้งหาได้คาดคิดมาก่อน พริบตานั้น เรือนร่างถึงกับแข็งกระด้าง ร่วงฟุบไปเบื้องหน้า แต่ถูกประตูไม้ขวางกั้นไว้จึงมิถึงกับล้มฟุบลง
บุรุษกลางคนผู้นั้นหัวร่อแค่นๆ กล่าวว่า
“ซิเล้งที่ใจกล้าบังอาจ ถึงกับกำแหงรุกเข้าถ้ำเสือวังมังกร แต่ในที่สุดก็มิอาจรอดพ้นจากการคำนวณราวเทพยดาของเจ้าสำนักไปได้…”
ฝ่ามือขวาของมันยื่นออกจี้สกัดใส่จุดสำคัญอีกแห่งหนึ่ง แล้วมือซ้ายค่อยผ่อนคลาย
ซิเล้งกระชากเสียงกล่าวว่า
“นี่เป็นแผนต่ำช้ายิ่ง ท่านที่แท้เป็นใคร?”
“ตั่วเอี้ย (ยกย่องตัวเองเป็นนายใหญ่) แซ่ฮุยนามเฮา เจ้าจดจำให้แม่นยำ ภายภาคหน้ากลับกลายเป็นปีศาจ ค่อยมาทวงถามบัญชีกับเรา ฮาฮา…”
มันกระโดดลงจากกลางหลังซิเล้ง ฉุดลากฝ่ายตรงข้ามมานั่งบนเก้าอี้ที่ห้องชั้นใน กระบี่ยาวของซิเล้งร่วงหล่นอยู่บนพื้นก่อนแล้ว ยามนี้ร่างกายแข็งทื่อราวรูปปั้น มีแต่ถูกศัตรูจัดการถ่ายเดียว
แต่ซิเล้งยังมิมีท่วงทีประหวั่นพรั่นพรึง กล่าวเสียงเย็นชา
“ท่านต้องตายในเงื้อมมือข้าพเจ้า นอกจากท่านจะรีบปลิดชีวิตข้าพเจ้าเสียก่อน”
บุรุษนามฮุยเฮา หัวร่ออย่างกลอกกลิ้งชั่วร้ายกล่าวว่า
“เจ้าคาดคิดว่าพวกเรามิกล้าจัดการกับท่านหรือ? เจ้าผิดพลาดแล้ว ท่านเจ้าสำนักเคยมีคำสั่งมาว่า ให้จับตายเจ้า ตอนนี้เจ้ารอคอยสักครู่หนึ่ง เราจะนำกระบี่ของเจ้ามาส่งเสริมเจ้าเอง!”
แววอำมหิตปรากฏอยู่บนสีหน้าของมันอย่างเปี่ยมล้น ซิเล้งยามนี้มีสภาพดุจดั่งรูปสลักจากศิลา ขอเพียงตนถูกจู่โจมกระบี่เดียว ก็สามารถปลิดชีวิตของตนได้
ฮุยเฮาสาวเท้าก้าวมาอีกด้านหนึ่ง หยิบฉวยกระบี่ยาวกุมกระชับมั่น แล้วจึงหันกายกลับมา แต่แล้วต้องตะลึงลานไป
เบื้องหน้าห่างประมาณสามเชียะ ซิเล้งกลับยืนตระหง่านกับที่ คืนสู่อิสรภาพดังเดิม!
ซิเล้งลงมืออย่างว่องไว จี้สกัดจุดฝ่ายตรงข้ามพลางช่วงชิงกระบี่ยาวมา เหวี่ยงร่างของมันลงบนเก้าอี้ตัวเดิม แค่นหัวร่ออย่างเย็นชากล่าวว่า
“ผลสุดท้ายนี้ คงนอกเหนือความคาดหมายของท่านกระมัง?”
ฮุยเฮาปากอ้าตาค้างไป ซิเล้งกล่าวอีกว่า
“ท่านต้องการตายอย่างสะดวกสบาย หรือทารุณทรมาน”
ฮุยเฮาร้องโพล่งว่า
“ขอรับความสะดวกสบายในคราเดียวเถอะ”
“แต่ทางที่ประเสริฐ มิต้องตกตายใช่หรือไม่? นี่ออกจะกระทำมิได้ ท่านหากคิดให้ข้าพเจ้าส่งเสริม ก็บ่งบอกแผนการชั่วร้ายออกมา มิเช่นนั้นจะให้ท่านเผชิญกับทัณฑ์ทรมานอันสาหัส”
ฮุยเฮากล่าวในบัดดล
“เสียวเฮียบ (ยกย่องเป็นผู้กล้าหาญน้อย) เราปฏิบัติตามคำสั่งท่าน มิว่าอย่างไรก็ต้องตกตาย มิเกรงว่าจะถูกท่านเจ้าสำนักทารุณทรมานอีก แผนการร้ายนี้ กำหนดขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อนแล้ว
สถานที่นี้มีคุกใต้ดินทั้งหมดสามแห่ง แต่มีเพียงแห่งเดียวที่คุมขังเชลยที่แท้จริง คุกใต้ดินทางซ้ายขวาล้วนเป็นหลุมพรางกับดัก ใช้จัดการกับผู้บุกรุก คาดมิถึงนี่ยังไม่สามารประทุษร้ายเสียวเฮียบได้”
ซิเล้งรู้สึกหวาดเสียวยิ่งนัก เมื่อครู่ตนขณะย่อกายลงแบกฝ่ายตรงข้าม ก็ฉุกคิดได้ว่า สมควรผนึกลมปราณคุ้มครองร่าง ป้องกันภยันตรายอุบายชั่ว
สมควรทราบว่า การจัดสร้างในที่คุมขังมีข้อพิรุธมิน้อย สมมติเช่นคุกใต้ดินนี้ สามารถทำลายอย่างมิลำบาก และปราศจากผู้ดูแลรักษา มิหนำซ้ำฝ่ายฮุยเฮาก็มีท่วงท่าคึกคัก เสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน มิมีลักษณะของนักโทษเลย
ยังมี พฤติการณ์ของฮุยเฮาไม่สอดคล้องกับเหตุผล อาทิ หากแม้นมันเป็นชาวธัมมะ ก็มิสมควรไต่ถามชื่อแซ่ความเป็นมาของผู้ที่จะช่วยเหลือมัน และยังแสดงเจตนาให้ซิเล้งบรรทุกมันออกไป ซึ่งเปิดเผยความเห็นแก่ตัวอย่างชัดแจ้ง
ดังนั้น ซิเล้งจึงบังเกิดปฏิภาณวูบหนึ่ง ระแวงว่าฝ่ายตรงข้ามอาจเป็นคนในสถาบันอำมหิต และยังคาดคิดว่า ผู้กล้าหาญดาบทองเป็นจอมเจ้าเล่ห์มากอุบาย ถนัดในการดำเนินแผน
ซิเล้งถามว่า
“ถ้าเช่นนั้น ลี้ซานึ้งคงถูกกักขังที่ห้องข้างเคียงใช่หรือไม่?”
ฮุยเฮาบังเกิดความชั่วร้าย คำนึงขึ้น
‘หากแม้นเราบ่งบอกความจริงออกไป ปล่อยให้เจ้ารอดพ้นจากอันตราย เราไยมิใช่พลาดโอกาสล้างแค้น?…’
ดังนั้นตกลงใจอย่างรวดเร็ว สั่นศีรษะกล่าวว่า
“คุกใต้ดินทั้งสามแห่งล้วนเป็นเฉกเช่นกัน ไม่มีการจัดสร้างเป็นพิเศษเลย เกี่ยวกับคุกใต้ดินหลังกึ่งกลางที่แท้คุมขังผู้ใด เราล้วนมิทราบ นี่เป็นกฎระเบียบของสำนักเรา นอกจากผู้รับผิดชอบแล้ว บุคคลอื่นไม่อาจทราบได้”
ซิเล้งรู้สึกวาจาเหล่านี้กลับมีเหตุผล ผงกศีรษะกล่าวว่า
“ประเสริฐมาก ข้าพเจ้าจะประทานความสะดวกดายให้กับท่าน”
วาจาพอเอ่ยออก พลันสังเกตเห็นฮุยเฮาระบายลมหายใจออกจากปาก จึงเกิดปฏิภาณวูบหนึ่งคำนึงขึ้น
‘…มันกลับยินยอมรับความตาย แสดงว่าทัณฑ์ทรมานของสถาบันอำมหิตต้องทารุณสุดแสน หากอนุญาตให้มันมีชีวิตสืบต่อ ไยมิใช่สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงต่อมันไปกว่า อืมม์ เราสมควรทดสอบสักครา เพื่อมิให้หลงกลสู่กับดัก…’
กับบุคคลในสถาบันอำมหิต ซิเล้งอดระมัดระวังจนสุดตัวมิได้ เค้นเสียงออกไปว่า
“ข้าพเจ้าไม่นิยมสังหารผู้คน คราครั้งนี้เพียงสะบั้นแขนทั้งสองข้างของท่านเป็นการลงโทษ ท่านอย่าได้ลิงโลดไป ข้าพเจ้าไม่เชื่อถือวาจาของท่านแม้แต่น้อย
“ตอนที่ข้าพเจ้าเข้าไปในที่คุมขังห้องข้างเคียง ก็สำรวจตรวจตราอย่างถี่ถ้วน แล้วค่อยล่วงล้ำ ข้าพเจ้ายินยอมไม่อาจช่วยเหลือสหาย แทนที่ตัวเองจะต้องพลาดพลั้งเสียทีอีก
“จูกงเม้งคิดอาศัยเชลยที่คร่ากุมมาล่อลวงข้าพเจ้าสู่กับดัก ดังนั้นขอเพียงข้าพเจ้ายังปลอดภัย สหายของเราย่อมมิตกตายเช่นกัน ท่านเข้าใจความหมายนี้หรือไม่?”
ฮุยเฮามีเหงื่อกาฬแตกชุ่มโชก มันกำลังถูกฝ่ายตรงข้ามคุกคาม พาตัวสู่ภยันตราย ถึงกับคร่ำครวญว่า
“ซิไต้เฮียบ (ผู้กล้าหาญใหญ่แซ่ซิ) ขอท่านโปรดสร้างบุญกุศลสังหารเราเถอะ”
ซิเล้งกล่าวสวนว่า
“เหลวไหล มดปลวกยังรักชีวิต อย่าว่าแต่ท่านเป็นมนุษย์ ข้าพเจ้าไหนเลยสร้างบาปกรรมได้?”
“ท่านหากมิยอมสังหารเรา ก็อย่าได้จี้สกัดจุด เพื่อให้เรามีโอกาสอัตวินิบาตกรรม”
“ข้าพเจ้าอาจจะอนุโลม เพียงแต่ต้องการทราบว่า การจัดสร้างในคุกใต้ดินข้างเคียง เปรียบเทียบว่าการจัดสร้างในคุกใต้ดินข้างเคียง เปรียบเทียบกับที่คุมขังแห่งนี้ เป็นอย่างไร?”
คราครั้งนี้ ซิเล้งเจาะจงถามในสถานการณ์ที่ข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม ทำให้ฮุยเฮาจำต้องกล่าว
“เราสมควรตาย ที่คุมขังห้องข้างเคียง แม้มีลักษณะเปลือกนอกคล้ายคลึงกับด้านนี้ ความจริงผู้ล่วงล้ำเข้าไป พอกระทบกูกกลไกภายในมิว่าผู้ใดก็ไม่อาจมีชีวิตรอดได้”
ซิเล้งรุกเค้นถามว่า
“ภายในที่คุมขังมีกับดักใดคอยทำร้าย?”
“นอกจากอาวุธลับอาบยาพิษ และสามารถทะลวงฝ่าแนวพลังคุ้มครองกายหลายชนิดแล้ว ยังมีละอองน้ำกับควันพิษ ล้วนจัดสร้างอยู่ตามตำแหน่งอันเหมาะสม ผู้มีพลังฝีมือสูงล้ำเช่นใดก็ยากหลบรอด หากเป็นบุคคลอ่อนด้อย เพียงแค่ผู้เฝ้ารักษาก็สามารถกำจัดศัตรูที่รุกราน”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง เอาเถอะ ข้าพเจ้าจะมิทำลายสองแขนของท่านเป็นอย่างไร”
ฮุยเฮา แม้ยังมีสีหน้าประหวั่นพรั่นพรึง แต่ก็มิอาจทอดอาลัยเฉกเช่นคราแรก หลังจากครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย จึงกล่าว
“พฤติการณ์ของซิไต้เฮียบครานี้ เท่ากับบีบบังคับให้เราต้องทรยศแล้ว”
“นี่เป็นเรื่องราวใด?”
“ท่านเจ้าสำนัก มีนิสัยมากระแวงหากพบว่าเราปลอดภัย และท่านก็ช่วยเหลือสหายไปได้ มาตรแม้นเรามิรายงานตามความจริง ก็ต้องถูกซักไซ้เคี่ยวเข็ญ ทัณฑ์ทรมานนับร้อยพันของสำนักเรามิว่าผู้ใดก็ไม่อาจทนทานรับไว้ สมมติว่าในอาณาจักรอัคคี มีบุรุษชาติชาตรีจำนวนมากมาย ถูกกัดกร่อนทรมานจนคร่ำครวญขอความตายอยู่ทุกวี่วัน”
ซิเล้งกล่าวว่า
“วาจาเหล่านี้ ภายหลังค่อยว่ากล่าว ข้าพเจ้าจำต้องช่วยเหลือผู้คนโดยด่วน ท่านในเมื่อทรยศต่อสถาบันอำมหิตไยไม่พลาดช่วยเหลือข้าพเจ้า หากแม้นข้าพเจ้าโค่นจูกงเม้งล้มลง ท่านก็มิต้องหวั่นหวาดอยู่ตลอดเวลาแล้ว”
ฮุยเฮามีสีหน้ายุ่งยาก ในที่สุดกรามกรอด กล่าวว่า
“เรายินดีช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ แต่มีเรื่องหนึ่งขอให้ซิไต้เฮียบโปรดรับปาก กล่าวคือเราหากพลาดพลั้งเสียที ท่านก็จัดการปลิดชีวิตของเราไปก่อน!”
“เงื่อนไขของท่านนี้ประหลาดพิศดารยิ่ง แต่ข้าพเจ้าเข้าใจดี”
พลางเอื้อมมือตบคลายจุดฝ่ายตรงข้าม ถามว่า
“เท่าที่ท่านทราบมา มีหนทางใดทำลายกลไกกับดักในที่คุมขังห้องข้างเคียงได้?”
ฮุยเฮากล่าวว่า
“ต่อให้ท่านเจ้าสำนักอยู่ที่นี้ก็ยากปฏิบัติการได้ ทั้งนี้เพราะศูนย์รวมกลไกมีอยู่สองขั้นตอน ขั้นสำคัญมีคนเป็นผู้ควบคุม มิว่าผู้ใดล้วนมิทราบว่าจัดตั้งอยู่ที่ใด
ส่วนชั้นรองลงมา พวกเราทราบดี บัดนี้แผนดำเนินการมีอยู่ว่า จัดการทำให้ศูนย์รวมกลไกสูญเสียประสิทธิภาพ จากนั้นท่านก็สามารถบุกฝ่าเข้าไปสยบผู้เฝ้ารักษา พยายามช่วยเหลือสหายออกมา”
ซิเล้งในยามกระทันหัน มิทราบวาจาฝ่ายตรงข้ามเท็จจริงประการใด นี่เป็นช่วงอันคับขัน หากแม้นฝ่ายตรงข้ามยังมีเล่ห์เพทุบายตนพอเคลื่อนไหว ก็ยากรอดพ้นจากความตายได้
โดยนัยกลับ หากแม้นทุกถ้อยความของมันเป็นความสัตย์จริง การเคลื่อนไหวของตนครานี้ ก็เท่ากับกุมชัยชนะอยู่
ซิเล้งใคร่ครวญในใจ
‘…นี่เป็นปัญหาสำคัญอย่างยิ่งยวด มันหากคิดหาทางสังหารเรา ก็สามารถอ้างอิงความดีความชอบ ลบล้างโทษทัณฑ์คิดทรยศ อาศัยศักดิ์ศรีเฉกเช่นเรา ผลสุดท้ายมันหากล่อลวงเราจนตกตาย จูกงเม้งย่อมต้องปีติลิงโลด ไหนเลยจะตำหนิกล่าวหา…”
มิว่าผู้ใด ขณะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมต้องไหวหวั่นลังเล ควรทราบว่า การตกลงใจครั้งนี้ มีความสำคัญใหญ่หลวง เท่ากับตัดสินชะตาชีวิตของตนเอง
ในที่สุดก็ไม่มีทางอื่นนอกจากการแสดงความคิดที่ระแวงฝ่ายตรงข้าม กล่าวออกไปอย่างเปิดเผย
ฮุยเฮากล่าวอย่างจริงใจว่า
“ความประพฤติของซิไต้เฮียบ นับว่าผิดแผกจากผู้คนในสถาบันอำมหิต พวกมันเหล่านั้น มิว่าอย่างไรก็ไม่ยอมบ่งบอกความลับในใจออกมา
“ข้อระแวงนี้มิอาจไม่มี ดังนั้นท่านยังคงจี้สกัดจุดของเราก่อน รอจนช่วยเหลือสหายของท่านออกมาแล้ว ค่อยกลับมานำพาเราจากไป”
ซิเล้งยามนี้ มิอาจยึดมั่นคุณธรรมสัตย์ซื่ออีก ลงมือจี้สกัดจุดมัน
ฮุยเฮา พกพาจิตใจที่เขม็งตึงเครียดเฝ้ารอคอย มันถูกจี้สกัดจุดจนมิอาจเคลื่อนไหว แม้สำเนียงก็ไม่สามารถส่งออก
มันหาทราบไม่ว่า ซิเล้งใช้แนววิชาสูงเยี่ยมชนิดหนึ่ง จี้สกัดจุดตายของมัน ซิเล้งหากหลงกลถูกประทุษร้ายมิได้มาคลายจุดให้มัน ฮุยเฮาก็ไม่อาจมีชีวิตรอดได้
เวลาล่วงเลยไปครึ่งชั่วยามเต็มๆ ซิเล้งสมควรเสร็จสิ้นภารกิจที่ปฏิบัติแล้ว แต่มันไฉนยังไม่ปรากฏกายมา?
ยามนั้น เงาร่างถลันปราดเข้ามาภายในห้อง ผู้มาคือซิเล้ง บนหลังยังแบกบุรุษหนุ่ม อายุใกล้เคียงกันอีกผู้หนึ่ง สาวเท้ามาถึงข้างกายฮุยเฮา ตบคลายจุดให้อย่างรวดเร็ว
ฮุยเฮากระโดดปราดขึ้น กล่าวว่า
“ขอบคุณฟ้าดิน ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ พวกเรารีบไปกันเถอะ ยิ่งหลบหนีได้ไกลเท่าใดยิ่งประเสริฐ”
ซิเล้งผงกศีรษะกล่าวว่า
“วาจานี้ถูกต้องยิ่งนัก พวกเราจำต้องเร่งรีบจากไป”
ทั้งหมดออกจากอาคารหลังนี้อย่างปลอดภัย เนื่องจากเป็นยามราตรี ซิเล้งมิอาจแบกบุคคลผู้หนึ่งเดินเหินอยู่บนท้องถนน ดังนั้นทั้งหมดจึงหลบซ่อนอยู่ในสวนดอกไม้ที่ห่างมาหลายช่วงตึกชั่วคราว
ลี้ซานึ้งมีสติสัมปชัญญะอิดโรยระโหย ดวงตาหรี่ปรือคล้ายกับจะหลับใหล ความจริงมันสลบไสลอยู่ จวบจนซิเล้งค้นหาขวดยาจากซากศพของศัตรู ป้อนให้มันกลืนกิน ค่อยฟื้นตื่นขึ้นมา
มันนั่งอยู่บนพื้นหญ้า แต่กระทั่งท่านั่งก็ไม่มั่นคง ฮุยเฮาบังเกิดความกระวนกระวายใจ แต่ทราบดีว่าหากมิติดตามซิเล้งไปก็ต้องถูกผู้กล้าหาญดาบทองคร่ากุมกลับไป จึงมิกล้าหลบหนีเพียงลำพัง ยืนหยัดอยู่ข้างเคียงด้วย
ซิเล้งเกรงว่ายาขจัดพิษที่ใช้อยู่จะเป็นของปลอม บัดนี้แลเห็นลี้ซานึ้งหลับใหลไปอีก รีบเกาะกุมหัวไหล่มัน ใช้กำลังโยกไหวอยู่หลายครา
ในที่สุดลี้ซานึ้งลืมตาขึ้นเล็กน้อย กล่าวอย่างเลอะเลือน
“เราง่วงเหงายิ่ง”
ซิเล้งส่งเสียงหนักๆ ว่า
“มิได้ ท่านต้องรีบฟื้นสติมา”
“ตกลง ข้าพเจ้าจะมิหลับนอน…”
แต่สุ้มเสียงลี้ซานึ้งกลับอ่อนระโหยยิ่ง ดวงตามิสามารถลืมขึ้นได้
ซิเล้งโยกไหวมันอีกครา ลี้ซานึ้งพลันพึมพำว่า
“ฉี้อิง…ฉี้อิง… ท่านเป็นสตรีที่น้ำใจกระด้างที่สุด!”
ซิเล้งรับฟังอย่างชัดเจน ต้องงงงันไปวูบหนึ่งกล่าวว่า
“ท่านว่ากระไร?”
ลี้ซานึ้งส่งเสียงกรนเบาๆ จวบจนบัดนี้ ซิเล้งค่อยวางใจลง ทั้งนี้เพราะธรรมดาแล้ว ผู้ฝึกปรือฝีมือจะไม่นอนกรน นอกจากอ่อนเพลียถึงขีดสุด ดังนั้นนี่แสดงว่าลี้ซานึ้งที่ยังไม่คึกคักแจ่มใส เนื่องจากเหน็ดเหนื่อยอิดโรยเกินไป
เพียงแต่ลี้ซานึ้งไฉนจึงร่ำร้องนามฉี้อิง? กล่าวว่านางเป็นอิสตรีที่น้ำใจกระด้าง?
ซิเล้งบังเกิดปมปริศนากดดันจนอึดอัด แต่ยังคงยื่นฝ่ามือออกทาบอยุ่บนจุดเมี่ยมึ้งฮวกที่กลางหลังของลี้ซานึ้ง เร่งเร้าพลังภายใน ถ่ายเทเข้าสู่ร่างกายของมัน
ชั่วครู่ให้หลัง ลี้ซานึ้งค่อยมีลมหายใจราบเรียบปกติ ซิเล้งก็รั้งมือกลับมา พักผ่อนอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงโยกคลอนร่างลี้ซานึ้ง
คราครั้งนี้มันลืมตาขึ้นโดยเร็ว สติสัมปชัญญะแสดงว่าฟื้นฟูมาแล้ว ประกายตากวาดมองรอบๆ บริเวณด้วยความตื่นเต้นสงสัย จวบจนพบเห็นซิเล้ง พลันบังเกิดความลิงโลดอย่างใหญ่หลวง กล่าวว่า
“ที่แท้ได้รับการช่วยเหลือจากพี่ท่าน”
ซิเล้งกล่าวว่า
“เพราะข้าพเจ้าเป็นเหตุทำให้ท่านประสบเภทภัย ตอนนี้พวกเราอย่าเพิ่งสนทนาถึงเรื่องเหล่านี้ สมควรหาทางหลบรอดจากภยันตรายครานี้ก่อนเถอะ”
ลี้ซานึ้งผุดลุกขึ้นเคลื่อนไหว กล่าวอย่างฮึกเหิมว่า
“เมื่อมีพี่ท่านอยู่ร่วม มิว่าศัตรูใดก็สามารถหักล้างได้ ข้าพเจ้าฟื้นฟูกำลังเป็นปกติแล้ว”
ความจริงคราแรกที่มันพบพานซิเล้ง ก็บังเกิดความนิยมเลื่อมใสในตัวฝ่ายตรงข้าม คอยติดตามสืบเสาะ ภายหลังซิเล้งกับฉี้อิงถูกศัตรูคุกคาม จึงติดตามไปช่วยเหลือทันท่วงที
ซิเล้งพอได้ยินได้แต่ฝืนหัวร่อ ซึมทราบว่าแม้สามารถหักโหมกับศัตรู แต่ประการแรกพลังภายในของตนเสื่อมโทรมไปมิน้อย หากถูกศัตรูกลุ้มรุม ก็ยากที่จะรอดพ้นอันตราย
ประการสอง ยอดฝีมือที่ไล่ล่าตน ล้วนถูกจูกงเม้งเชื้อเชิญมา ตามรูปการณ์ไม่อาจไม่อาจทำร้ายพวกมัน หากแม้นลี้ซานึ้งเป็นบุคคลอื่นยังพอไกล่เกลี่ยได้ ทว่ามันมีนามอื้อฉาวเจ้าสำราญมิมีศักดิ์ให้ผู้ใดเชื่อถือได้
โดยสรุปแล้ว ตนมีแต่ใช้สติปัญญาคลี่คลายสถานการณ์ด้วยตนเองถ่ายเดียว ซิเล้งบอกเรื่องราวเกี่ยวกับฮุยเฮา กำชับลี้ซานึ้งคอยระมัดระวังมันบ้าง แล้วกล่าวว่า
“ข้าพเจ้ายังมีเรื่องบ่งบอกกับท่าน ในเมืองตงเม้ง มีชาวอธรรมนามแป๊ะเอี้ยง ธิดาของมันแป๊ะเอ็งถูกจูกงเม้งย่ำยี จูกงเม้งเพราะรักใคร่นางยิ่งจึงตกลงกับนางว่า จะนำพาไปร่วมพำนักอย่างลอบเร้นในเมืองนานกิง
“ผู้กล้าหาญดาบทองอ้างว่า ในกำหนดหนึ่งเดือนจะสังหารข้าพเจ้าให้จงได้ และคราใดที่เร้นกายในนานกิง จะใช้โฉมหน้าแท้จริงที่เพิ่งเปิดเผย มิว่าผู้ใดก็ไม่รู้จักมัน”
ลี้ซานึ้งกล่าวอย่างแตกตื่น
“จูกงเม้งนี้ สามารถนับเป็นชนชั้นชั่วร้ายแห่งยุคทีเดียว”
“ถูกต้อง ข้าพเจ้าจึงคิดไหว้วานท่านคอยสังเกตการเคลื่อนไหวของแป๊ะเอ็ง คอยสืบเสาะร่องรอยของจูกงเม้งจากนาง”
“หน้านี้มีความสำคัญยิ่ง ข้าพเจ้าหากแม้นพลาดพลั้งปฏิบัติการไม่สำเร็จ ก็ไม่อาจชดเชยด้วยคำขออภัยแล้ว”
ซิเล้งกล่าวอย่างหมกมุ่น
“เรื่องราวในใต้หล้า ไหนเลยมั่นใจเปี่ยมล้นได้? ข้าพเจ้าเพียงมุ่งหวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเสร็จสมตามความมุ่งหมาย สุดท้ายข้าพเจ้าอาจฝากฝังชีวิตนี้ไว้กับสถาบันสงฆ์ก็ได้!”
ซิเล้ง เพราะตกลงใจว่าจะต้องสืบเสาะความสัมพันธ์ระหว่างลี้ซานึ้งกับฉี้อิงให้รู้กระจ่าง หากแม้นพวกมันทั้งสองมีส่วนเกี่ยวข้องกันจริงๆ ซิเล้งแม้จะรักใคร่ฉี้อิงสักปานใดก็ยอมเสียสละนางได้ จึงกำหนดอนาคตของตัวเองเช่นนั้น
แต่ซิเล้งมิยอมอธิบายแม้แต่น้อยพลันกล่าวว่า
“พวกเราเริ่มต้นในบัดดล โดยเดินทางออกประตูทักษิณ แล้วไปตามถนนสายใหญ่ที่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อรุดสู่ตัวเมืองตั้งลิ้ว”
ทั้งหมดพากันเดินทางอย่างเร่งร้อน ตามรายทางปลอดภัยไร้อุปสรรคใดๆ
ประมาณยามเที่ยงก็บรรลุถึงเมืองตั้งลิ้ว
คนทั้งสามยังมิทันเข้าสู่ตัวเมือง ก็สังเกตพบว่ามีผู้คนคอยสะกดรอยตามมา พอเข้าสู่ตัวเมือง สายตาที่สนใจมีมากหลาย ทุกฝีเท้าก้าวย่างล้วนถูกติดตามมิว่างเว้น
ซิเล้งและพวกเพียงแวะดื่มกินอย่างเร่งร้อน ซื้อหาสิ่งของในร้านรวงบางแห่ง สุดท้ายว่าจ้างรถม้าคันหนึ่ง เร่งรุดไปทางถนนสายทักษิณ เดินทางสู่เมืองไฮ้เอี้ยง
ตลอดรายทางปราศจากเหตุการณ์ผิดปกติใดๆ ผ่านตัวเมืองกี้กุ่ย เร่งรุดอีกสิบกว่าลี้ ท้องฟ้าเริ่มมืดค่ำลง ยามนี้ห่างจากเมืองไท้คังเจ็ดแปดลี้ ตามเหตุผลสมควรพักผ่อนกันที่กี้กุ่ย แต่ซิเล้งยืนกรานให้เดินทางต่อ
สารถีรถม้าถูกกำชับบงการมาก่อน ขณะแวะเข้าเมืองกี้กุ่ยรับประทนอาหารค่ำ ก็ลอบไปส่งข่าวคราว หลังอาหารจึงควบขับรถม้าออกจากตัวเมือง
รถม้าขณะห้อตะบึงอยู่ตามทางหลวง ยากยิ่งจะพบพานผู้คน ถึงทางเลี้ยวแห่งหนึ่ง พลันหยุดยั้งชะงักลง
ซิเล้งชะโงกศีรษะออกนอกรถ แลเห็นสารถีถลันวูบเข้าสู่ดงไม้ข้างทางจนหายลับตา แสดงว่ามันล่อลวงพวกซิเล้งมาถึงที่นี่ด้วยจิตมิสัตย์ซื่อนั่นเอง
ซิเล้งแค่นหัวร่ออย่างเย็นชา กระโดดปราดลงมากล่าวว่า
“ผู้แซ่ฮุย น้องแซ่ลี้ พวกท่านมิต้องเคลื่อนไหว เรื่องราวด้านนี้หาได้เกี่ยวข้องกับพวกท่านไม่ ขอให้ข้าพเจ้าจัดการเอง”
วาจากล่าวจบ ภายในดงไม้ปรากฏเงาร่างหลายสายพุ่งปราดออกมา จากนั้นเปลวอัคคีลุกวูบวาบ บุรุษฉกรรจ์สี่คนพากันจุดชุดไฟขึ้น รอบรัศมีสิบวาสว่างไสวทันที
ภายใต้เปลวอัคคีสาดส่อง ซิเล้งเพียงจดจำหัตถ์อสนีบาตเนี่ยฮงได้คนเดียว นอกนั้นอีกห้าคนล้วนอยู่ในวัยกลางคน ทุกผู้คนท่วงท่าเคร่งขรึมเข้มแข็ง ประกายตาเจิดจ้าดั่งสายฟ้า แสดงว่าเป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น
ซิเล้งกล่าวเสียงเย็นชา
“ข้าพเจ้าซิเล้ง ทุกท่านเมื่อมีเจตนาสกัดขัดขวาง คาดว่ามิใช่ชนชั้นไร้นาม”
หัตย์อสนีบาตในอาภรณ์ชุดทหารรักษาพระองค์เปี่ยมราศี หัวร่อดังเฮอะฮะกล่าวว่า
“นับว่ามีกำลังขวัญอยู่บ้าง น่าเสียดายที่มีชีวิตแหลกเหลว ให้ผู้คนเหยียดหยามชิงชัง ทารกสำหรับเราเจ้าคงทราบนามแล้ว
สำหรับบุคคลอื่นจะแนะนำให้รับทราบ ท่านผู้นี้คือยอดฝีมือจากบู๊ตึงซัวมุ่งเทียน ท่านผู้นี้คือหัวหน้ากองสังกัดพรรคธงเหลืองสมญาเจ็ดก้าวเบิกภูผา ท่านผู้นี้คือตุลาการโฉดเงี่ยมฮ้ง ท่านผู้นี้คือผู้ทรงฝีมือแถบตงจิว จื้อบ้อกิมซอ (กระสวยทองมารดาบุตร) ฮ่อเก็ง
ยังมีอีกผู้หนึ่ง ย่อมต้องเป็นเฉาเหี่ยรองผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ บัดนี้เจ้าจะติดตามพวกเราไป หรือต้องให้พวกเราลงมือคร่ากุม?”
ซิเล้งกล่าวว่า
“นั่นต้องดูว่าท่านมีเจตนารมณ์อันใด? ยังมีผู้คนภายในรถ พวกท่านคิดจัดการอย่างไร?”
ซัวมุ่งเทียน แห่งบู๊ตึงมีเล่ห์เหลี่ยมมิใช่ชั่ว กล่าวตอบว่า
“สหายของท่านขอเพียงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประแจแห่งเจดีย์ทองคำ พวกเราย่อมไม่รบกวน”
“ที่แท้ พวกท่านมีเจตนาอยู่ที่ยอดวิชากับทรัพย์สมบัติในเจดีย์ทองคำนั่นเอง สำหรับเรื่องนี้ขออภัยที่ข้าพเจ้าไม่อาจช่วยเหลือได้”
รองผู้บังคับบัญชาการทหารรักษาพระองค์ นามเฉาเหี่ยกล่าวขึ้นว่า
“พวกเราคร่ากุมมันก่อน ค่อยบังคับมันบ่งบอกร่องรอยของดรุณีนามฉี้อิง”
ซิเล้งทราบว่า เฉาเหี่ยผู้นี้เป็นผู้ช่วยเหลือของหัตถ์อสนีบาตสร้างสมแต่ความชั่วร้ายมากมาย ยามนี้บังเกิดเพลิงอำมหิตลุกฮือโหม แต่สีหน้าหาได้แสดงออกไม่
วาจาของเฉาเหี่ยได้สร้างความรู้สึกต่อพวกซัวมุ่งเทียน ท่ามกลางชุดไฟที่สาดส่อง พลันปรากฏพลังกระบี่ประกายดาบกระจายคุกคาม ที่แท้พวกมันต่างชักอาวุธออกมาแล้ว
ซิเล้งกล่าวอย่างเฉื่อยชา
“ทุกท่านในที่นี้ ล้วนเป็นบุคคลกระเดื่องนาม มิว่าผู้ใดก็สามารถใช้เพียงมือเปล่าสยบเจ้าได้ ไยต้องหมกมุ่นเคร่งเครียด หรือจูกงเม้งบ่งบอกกับพวกท่านแล้วว่า ข้าพเจ้าได้รับการถ่ายทอดฝีมือจากมันแล้ว?
ความจริง จูกงเม้งเองกลับมิกล้าปรากฏกายมาพิสูจน์ความเป็นความตายกับเรา เนื่องเพราะข้าพเจ้าในรอบสองปีนี้ฝึกฝนวิชาฝีมือเอง”
เฉาเหี่ยเค้นเสียงกล่าวว่า
“ทุกท่านว่าน่าหัวร่อหรือไม่ หากแม้นมันฝึกปรือฝีมือเพียงสองปี ไหนเลยหักล้างกับจูไต้เฮียบได้ พวกเรายังคงเร่งรีบลงมือเถอะ”
ซิเล้งหัวร่อแค่นๆ กล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้นท่านไสหัวเข้ามา รับมือข้าพเจ้ากระบวนท่าหนึ่ง”
พลางสอดกระบี่คืนสู่ฝัก กวัดแกว่งฝ่ามือเป็นเชิงใช้ฝ่ามือเข้าต้านรับเท่านั้น
ยอดฝีมือที่ชุมนุมอยู่ ต่างคิดว่าต่อให้ซิเล้งฝีปรือฝีมือตั้งอยู่ในครรภ์มารดา ก็ไม่มีทางอาศัยมือเปล่าหักโค่นเฉาเหี่ยได้อย่างเด็ดขาด
เฉาเหี่ยสะอึกกายออกไปหลายก้าว กล่าวอย่างเย็นชา
“กระบวนท่าเดียวของเจ้าหมายความกระไร?”
มันกลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก มาตรแม้นยามเอื้อนเอ่ยเช่นนี้ ออกจะเสื่อมเสียศักดิ์ศรี แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันความเป็นความตาย จึงเน้นย้ำคำว่า “กระบวนท่าเดียว” โดยมิให้ฝ่ายตรงข้ามมีโอกาสเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้
ซิเล้งกล่าวอย่างหมกมุ่น
“ข้าพเจ้ากล่าวว่าในกระบวนท่าเดียว สามารถหักโคนท่าน และทางที่ประเสริฐท่านยังคงชักอาวุธออกมาตระเตรียมป้องกันตัวก่อนเถอะ”
เฉาเหี่ยเค้นเสียงกล่าวว่า
“เราไม่ถูกวาจากระตุ้นจนสมาธิแตกซ่านหรอก คารมที่พร่ำพิไรเจ้ายังคงอย่าได้เอื้อนเอ่ย”
“ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าจะลงมือแล้ว ข้าพเจ้าไม่ใช้แผนการอุบายหรือท่าร่างพลิกแพลงใดๆ เพียงจู่โจมออกไปยังเบื้องหน้าท่านฝ่ามือเดียวเท่านั้น”
ซิเล้งกล่าวพลางสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ทันใดตลอดทั่วกายแผ่ซ่านรัศมีอันอำมหิต สาวเท้าออกสามก้าว ดุจดั่งทัพม้าโถมทะยานอานุภาพชวนไหวหวั่นสะท้านขวัญ!
เฉาเหี่ยอดบังเกิดความรู้สึกหวาดหวั่นคร้ามเกรงมิได้ แลเห็นฝ่ามือของฝ่ายตรงข้ามรั้งขึ้น พร้อมกับเสียงตวาดดังกึกก้อง ประหนึ่งอสนีบาตทลายลง
และแล้ว สภาวะฝ่ามืออันเกรี้ยวกราดมหาศาลแผ่ทะลักออก
เฉาเหี่ยซึ่งเผชิญกับการจู่โจมจากซิเล้งทางด้านตรง กลับรู้สึกว่ามิมีทางหลบเลี่ยงพ้น แม้ปัดป้องก็ไม่สามารถกระทำได้เลย!
ในสถานการณ์เช่นนี้ พอลังเลเล็กน้อย ก็สูญเสียโอกาสแล้ว เฉาเหี่ยรีบรวมรั้งพลังภายในทั่วทั้งกาย ใช้กระบวนท่าซังปงเจี้ย (ฝ่ามือสองกระแทก) ดันตีโต้เข้าใส่
เสียงระเบิดดังโครมใหญ่ เรือนร่างของเฉาเหี่ยลอยละลิ่วขึ้นจากพื้น ปลิวกระเด็นไปสองวาเศษ พอร่วงหล่นลงบนพื้นดิน ก็มิอาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอีก
ทุกผู้คนล้วนปากอ้าตาค้างไป หัตถ์อสนีบาตรีบเข้าไปตรวจดู พบว่าเฉาเหี่ยเส้นชีพจรถูกสั่นสะเทือนจนขาดสะบั้นเสียชีวิต
หัตถ์อสนีบาตขบกรามกรอดร้องว่า
“มันตายแล้ว”
ซัวมุ่ยเทียนแห่งบู๊ตึงรีบกล่าวว่า
“เสียชีวิติอย่างไร?”
คำถามนี้แสดงออกถึงความจัดเจนของมัน โดยสามารถอาศัยคำตอบ เสาะหาวิธีรับมือศัตรู หัตถ์อสนีบาตตอบว่า
“คล้ายดั่งเส้นชีพจรได้รับการกระทบกระเทือนจนตกตาย”
เหล่ายอดฝีมือยามรับฟัง ต้องแตกตื่นตระหนกอย่างใหญ่หลวง เนื่องจากเท่ากับพิสูจน์ว่า ซิเล้งมีพลังการฝึกปรือลึกล้ำ สามารถปลิดชีวิตเฉาเหี่ยโดยความสามารถแท้จริง ซึ่งในระดับนี้ถึงกับเหนือล้ำกว่าผู้ทรงฝีมือทั่วไปทีเดียว
ซิเล้งแหงนหน้ากล่าวเสียงกังวาน
“บัดนี้ทุกท่านคงเชื่อถือวาจาข้าพเจ้าแล้ว จูกงเม้งที่มิกล้าปรากฏกายเอง เนื่องเพราะเกรงกลัวการหักล้างเสี่ยงชีวิตกับข้าพเจ้านั่นเอง”
หัตถ์อสนีบาตพลันโถมปราดเข้าหากล่าวอย่างเกรี้ยวกราด
“รอไว้เจ้าถูกคร่ากุมไปพบพานจูไต้เฮียบแล้วค่อยบ่งบอกเถอะ รับกระบวนท่า”
ฝ่ามือทั้งสองถูกกระแทกกระทั้นออกตามลำดับหน้าหลัง กระแสพลังรุนแรงผิดสามัญ
ซิเล้งมิหวั่นไหวแม้แต่น้อย ย่อกายลงต่ำ สะบัดฝ่ามือเข้าต้านรับ บังเกิดเสียงระเบิดดังโครมกึกก้อง
หัตถ์อสนีบาตถึงกับถอยกายไปสี่ก้าว รู้สึกลมปราณภายในพลุ่งพล่านปั่นป่วน ซิเล้งเนื่องจากมีเจตนากำจัดขุมกำลังของผู้กล้าหาญดาบทอง ชำระล้างหนี้โลหิต ไหนเลยยินยอมละเลยโอกาสนี้ ดันฝ่ามือจู่โจมตามติดออกไป
คาดมิถึงเจ็ดก้าวเบิกภูผาแห่งพรรคธงเหลือง พลันสะอึกกายมาจากซ้ายมือ กระแทกฝ่ามือเข้าขัดขวางดังโครม
โชคดีที่มันอยู่ในตำแหน่งด้านข้าง วิชาฝ่ามือมหรรณพของซิเล้งมิได้แผ่พุ่งกำลังต่อมันโดยตรง หาไม่แล้วผลสุดท้ายย่อมสาหัสสุดขบคิด
ยามนั้นปรากฎกระบี่ยาวสาดประกายออก แผ่พุ่งจากมือซัวมุ่งเทียน ลอดแทรกเข้าสู่หว่างกลางของซิเล้งกับหัตถ์อสนีบาตซึ่งอยู่ห่างไปวาเศษ
ส่วนตุลาการโฉด ก็คุกคามมาทางขวามือ รั้งขวานคู่มือขึ้นอย่างพรักพร้อมตระเตรียมจู่โจม
เหล่ายอดฝีมือพอแลเห็นว่าซิเล้งมีพลังฝีมือสูงเยี่ยม จึงกระตุ้นความคิดรวมกำลังกลุ้มรุมเอาชัย
ซิเล้งหัวร่อดังยาวนาน ส่งเสียงกล่าวว่า
“เนี่ยฮง ท่านกับจูกงเม้งคบคิดร่วมมือกัน ชนชาวโลกต่างมิรู้โฉมหน้าอันแท้จริงของจูงกงเม้ง ท่านหากยินยอมเป็นพยาน ตีแผ่ความชั่วร้ายของมัน ข้าพเจ้าจึงละเว้นชีวิตท่าน”
ยามนั้น หัตถ์อสนีบาตเนี่ยฮงกำลังโคจรปราณอยู่ ฝ่ายซัวมุ่งเทียนได้ส่งเสียงกล่าวว่า
“ผู้แซ่ซิ ถึงกับกล้าลบหลู่ทำลายชื่อเสียงอันดีงามของจูไต้เฮียบ หากแม้นเจ้ามีความคิดอันใด ไยมิกล้าไปเผชิญหน้ากันเลยเล่า?
ซิเล้งเขม้นมองมันกล่าวว่า
“ซัวมุ่งเทียน ท่านเสียทีเป็นยอดฝีมือสำนักบู๊ตึง เพราะคิดครองประแจเจดีย์ทองคำ ถึงกับลดตัวลงคบหาและยกย่องผู้อื่น นี่เป็นพฤติการณ์ของผู้ดีมีธัมมะหรือ?”
วาจาเพิ่งจบลง เบื้องหลังบังเกิดกระแสพลังอันรุนแรงสายหนึ่งแผ่ทะลักเข้ามา ที่แท้ตุลาการโฉดจามขวานเข้ามาอย่างดุดันแล้ว
ซิเล้งมิเหลือบแลแม้แต่น้อย พลิกข้อมือกระชากกระบี่ยาวออก หงายร่างท่อนบนเสือกแทงกระบี่ไปทางด้านหลัง ปากก็ระบายพลังออกก่อเกิดสำเนียงดังกัมปนาทสะท้านโสต
กระบี่ของต้นนี้แม้จู่โจมข้าว่า แต่ยังสามารถปะทะถูกคมขวานซึ่งมีปฏิกิริยาก่อน แลเห็นหัตถ์อสนีบาตมีฝีเท้าโซเซ ถอยเลี่ยงมาด้านข้าง อาวุธแทบหลุดออกจากมือ
ซัวมุ่งเทียนพลันขยับข้อมือ กระบี่ยาวสาดเป็นประกายหนาแน่นถี่ยิบ ครอบคลุมใส่ซิเล้งดั่งสายฟ้าคะนองฝน เป็นเพลงกระบี่ที่รวบรมความพลิกแพลง ฉับไว เผ็ดร้อน โหดเหี้ยมอย่างพร้อมมูล
ซิเล้งเบิ่งตาสาดประกายเจิดจ้า กระบี่ยาวพุ่งปราดออกไปเบื้องหน้าอย่างหักโหมปราศจากความพิสดารที่แท้ อาศัยเคล็ดหนักแน่นสยบพลิกแพลง
เงากระบี่ที่กระจายเกลื่อนฟ้า พลันสลายสูญไป พร้อมกับซัวมุ่งเทียนประคองกระบี่ถอยกายไปด้านหลังสามก้าวใหญ่ ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือดเล็กน้อย
นับตั้งแต่ซิเล้งหักล้างกับกลุ่มยอดฝีมือ ล้วนใช้เพียงหนึ่งกระบวนท่า ก็แยกแยะความสูงล้ำต่ำต้อยได้ ผลการต่อสู้เช่นนี้ควรค่าแก่การแตกตื่นสะท้านโลกทีเดียว
ซิเล้งพลันส่งเสียงอย่างเกรี้ยวกราดว่า
“ข้าพเจ้ากับจูกงเม้งมีข้ออาฆาต แม้มิยอมอยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน แต่มิคิดก้าวก่ายกับบุคคลอื่น หากแม้นพวกท่านยังคิดขัดขวาง ผู้ต้องตกตายในวันนี้ มิใช่มีเพียงเฉาเหี่ยเท่านั้น”
กล่าวถึงตอนนี้ เรือนร่างพลันกระโดดปราดละลิ่วไปยังดงไม้ข้างทางที่มืดมิด ยอดฝีมือขณะคิดติดตามก็มิทันท่วงทีแล้ว
แต่ภายในรถม้ายังมีอีกสองคนซึ่งมิได้ปรากฏกายออกมา ซัวมุ่งเทียนจึงถลันมาที่ข้างรถ ใช้กระบี่ตัดม่านรถขาดออก แลเห็นภายในมีคนสองคนนั่งอยู่ แต่มิเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
ซัวมุ่งเทียนอุทานดัง อ้อ กล่าวว่า
“ที่แท้พวกมันถูกซิเล้งจี้สกัดจุดไว้”
บุคคลทั้งสองภายในรถ หนึ่งอายุประมาณสี่สิบปี อีกหนึ่งเป็นบุรุษวัยยี่สิบเศษ พวกมันแม้ลืมตา แต่ลมหายใจสม่ำเสมอราวกับหลับใหลไป
ยามนั้นเหล่ายอดฝีมือต่างก็รายล้อมเข้ามา หัตถ์อสนีบาตได้รับคำกำชับจากผู้กล้าหาญดาบทองแล้วว่าพฤติการณ์ที่สังหารปิดปาก ลี้ซานึ้งกับฮุยเฮานั้น ขอให้พิจารณาสถานการณ์ อย่าได้ลงมือโดยวู่วาม
ดังนั้นมันจึงกล่าว
“พวกเรายังคงนำพาคนทั้งสองนี้กลับสู่ตัวเมืองไคฮง เสาะหาผู้มีความสามารถตบคลายจุดให้ จากนั้นค่อยนำมาไต่สวนพิจารณา”
คราครั้งนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้แพร่สะบัดไปทั่ววงนนักเลง ทุกผู้คนต่างทราบซึ้งว่า ซิเล้งมีพลังการฝึกปรือสูงล้ำสุดยอด ยังมีคารมที่ประจานผู้กล้าหาญดาบทอง ก็แพร่งพรายกระจายทั่ว มาตรแม้นไม่มีผู้คนเชื่อถือ แต่ยังร่ำลือต่อๆ กันไป
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป