๒๑
♦ เผชิญนงคราญ ♦
……………

แลเห็นผู้มาในมือกระชับดาบเย็นยะเยียบ เรือนร่างแข็งแกร่งท่วงท่าดุร้าย ยามเคลื่อนไหวแม้หนักแน่นแต่ปราดเปรียว

ซิเล้งเหลือบมองวูบเดียวก็ทราบได้ ผู้ที่มาคือหัตถ์อสนีบาตเนี่ยฮง ต้องงงงันไปวูบหนึ่ง คำนึงว่า

“…หัตถ์อสนีบาตมิเพียงเป็นผู้บัญชาการหน่วยทหารรักษาพระองค์ ยังเป็นผู้จงรักษ์ภักดีต่อผู้กล้าหาญดาบทอง มันเมื่อปรากฏกายดำเนินการด้วยตัวเองชนชาวบู๊ลิ้มจำนวนมาก ย่อมต้องถูกมันเชื้อเชิญมานั่นเอง…”

แผนการนี้พิสูจน์ชัดว่า ผู้กล้าหาญดาบทองต้องการใช้ยอดฝีมือมาจัดการกับซิเล้ง ทำให้ตนตกหลุมพราง กลับกลายเป็นคนชั่วถูกชนส่วนรวมมุ่งสังหาร จากนั้นมันค่อยปรากฏกายออกจัดการเอง

อุบายนี้นับว่าชั่วร้ายอย่างแท้จริง ซิเล้งจำต้องปลุกปลอบตัวเองให้ระมัดระวังยิ่งขึ้น เกี่ยวกับการปรากฏกายของหัตถ์อสนีบาตที่แท้มีจุดมุ่งหมายประการใด หรือมันพบพานร่องรอยของตนแล้ว?

หัตถ์อสนีบาตเหลียวศีรษะกวาดมองรอบๆ บริเวณ คล้ายดั่งกำลังค้นหาอย่างละเอียด

ซิเล้งสะท้านใจวาบคำนึงขึ้น

“…หากแม้นมันพบเห็นเราและส่งสำเนียงขึ้น ผู้ทรงฝีมือพอมาชุมนุม คราครั้งนี้เราเพราะเพื่อทะลวงฝ่าวงล้อม ย่อมต้องลงมืออย่างอำมหิตขอเพียงสังหารคู่ต่อสู้หนึ่งหรือสองคน ก็จะผูกพันเป็นหนี้โลหิต จูกงเม้งสามารถใช้ชนชาวบู๊ลิ้มมาจัดการกับเรา…”

ซิเล้งรีบปิดสกัดลมหายใจ ดวงตาก็หรี่เป็นเส้นสายเล็กๆ เพื่อมิให้ถูกฝ่ายตรงข้ามพบเห็นประกายสะท้อนในดวงตา

ชั่วครู่ต่อมา หัตถ์อสนีบาตพลันก้าวยาวๆ ขึ้นสู่บันไดศิลา และยืนหยัดอยู่หน้าห้องหับหลังแรก เงี่ยหูรับฟังอยู่ครู่หนึ่ง จึงเลิกม่านถลันกายเข้าไป

ซิเล้งจึงเข้าใจในบัดดล คำนึงขึ้น

“…ที่แท้เจ้าของอาคารหลังนี้ มีความสัมพันธ์กับหัตถ์อสนีบาตหรือผู้กล้าหาญดาบทอง ดังนั้นทั่วทั้งสี่ทิศ จึงเฝ้ารักษาอย่างเข้มงวดกวดขัน นี่เป็นคราวเคราะห์ของเราที่หลงพลัดเข้ามาในแดนศัตรู แต่ต้องสืบเสาะว่าเจ้าของตึกนี้เป็นใครกัน…”

ครู่ใหญ่ต่อมา ม่านประตูสั่นพลิ้ว หัตถ์อสนีบาตสาวเท้าก้าวออกมา จัดแจงอาภรณ์เล็กน้อย บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอันพิสดาร เหลียวดูรอบกายแล้วจึงพุ่งข้ามกำแพงตึกหายสาบสูญไป

ซิเล้งรีบถลันมาที่ข้างประตู เลิกม่านเข้าไป เห็นมีแสงโคมไฟสาดผ่านม่านชั้นในออกมา จึงเร้นกายอย่างเงียบงัน อาศัยช่องว่างแห่งหนึ่ง กวาดตามองสภาพภายใน

แลเห็นการตบแต่งในห้อง เฉกเช่นกับห้องหอของอิสตรี บัดนี้ปราศจากร่องรอยผู้คน ซิเล้งจึงตื่นเต้นสงสัยอย่างใหญ่หลวง ในเมื่อที่นี้ไร้ผู้คน หัตถ์อสนีบาตไฉนเข้ามาอยู่เนิ่นนาน?

ขณะขบคิดอยู่สาวเท้าก้าวเข้าไป หมายค้นหาดูว่ามีเบาะแสใด พลันสำนึกว่าผิดปรกติ รีบเบือนศีรษะมองไปอีกด้าน พบว่าที่เตียงนอนทางมุมห้องยืนหยัดไว้ด้วยสตรีสาวนางหนึ่ง รูปโฉมงามผุดผาด ผมเผ้าบนศีรษะยุ่งเหยิง ใบหน้าแดงสดใส ดวงตาที่หยาดเยิ้มทั้งคู่กำลังจับจองมองมา

ซิเล้งตื่นตกใจยิ่ง เนื่องจากสตรีสาวเบื้องหน้านี้กลับเปล่าเปลือยทั่วทั้งร่าง ผิวกายที่ขาวละลานยามถูกแสงโคมไฟสาดส่องได้สะท้อนประกายที่ชวนสะท้านอารมณ์

ซิเล้งค่อยทราบว่าสตรีนางนี้กับหัตถ์อสนีบาตเมื่อครู่ ประกอบการอันใด สิ่งที่สร้างความคลางแคลงใจให้กับตนก็คือฝ่ายสตรีเหตุใดมิกรีดเสียงร่ำร้อง หรือนางมิเกรงกลัวบุรุษเพศที่ล่วงล้ำเข้ามาอย่างกระทันหันเลย?

สตรีสาวเปล่าเปลือยนางนั้น พอแลเห็นฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจนก็แย้มยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า

“เนี่ยตั่วเอี้ย (จ้าวนายแซเนี่ยหมายถึงหัตถ์อสนีบาต) ใช้สอยท่านมาใช่หรือไม่?”

ซิเล้งตอบว่า

“มันมิได้ใช้สอยเพียงแต่ข้าพเจ้าพบเห็นและล่วงล้ำเข้ามาเอง”

สตรีสาวนางนั้นหัวร่ออย่างหยาดเยิ้ม พลันทอดกายนอนฟุบลงบนเตียงนอน กอปรขึ้นเป็นอิริยาบทอันเย้ายวนกวนอารมณ์ กล่าวว่า

“ที่แท้เป็นเช่นนี้ มาเถอะ รีรออันใดกัน?”

ซิเล้งก้าวมาถึงริมเตียงนอน ตนมิมีจิตมักมากในกามคุณ ความจริงไม่มีจิตใจหวั่นไหวอยู่แล้ว มิหนำซ้ำสภาพการณ์เบื้องหน้า สะกิดให้รำลึกถึงความหลังประการหนึ่ง จนบังเกิดดวงจิตที่เจ็บช้ำรวดร้าว

ตนกล่าวอย่างเฉื่อยชาว่า

“ข้าพเจ้ามิมีประสบการณ์ทางด้านนี้มาก่อน”

สตรีนางนั้นหายใจถี่เร็ว ปทุมถันที่เต่งตึงพลันสะท้อนขึ้นลง ส่งเสียงว่า

“นั่นยิ่งประเสริฐ เรามิเคยพบพานบุรุษเพศที่สง่างามเฉกเช่นท่านเลย”

ซิเล้งสั่นศีรษะ ในห้วงสมองทางหนึ่งบังเกิดเพลิงอำมหิต อีกทางหนึ่งปรากฏมายาภาพ อันเป็นเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน…

นั่นเป็นห้องหับแห่งหนึ่ง บนเตียงนอนฟุบไว้ด้วยสตรีงามเปล่าเปลือยนางหนึ่ง กำลังกางแขนออกเป็นเชิงชักชวน คราครั้งนั้นตนรู้สึกว่าผิดท่าไป และลำบากใจแทนสตรีงาม เนื่องจากตนมีความเคารพนาง และยกย่องเป็นซาซือบ้อ (ภรรยาคนที่สามของอาจารย์)

ตนพยายามสรรหาวาจากล่าวปฏิเสธ ฝ่ายสตรีงามหลังจากพัวพันอยู่เนิ่นนาน ทราบว่ามิมีความหวัง พลันส่งเสียงกรีดร้องขึ้น ซิเล้งทราบดีว่าผิดท่าแล้ว รีบทะลวงหน้าต่างหลบหนีไป หลังจากนั้น ตนก็กลับกลายเป็นศิษย์ทรยศ ละเมิดบัญญัติข้อสำคัญ

ความหลังเรื่องนี้ ทำให้ซิเล้งบังเกิดเพลิงอาฆาตลุกฮือโหม สตรีนางหนึ่งในเมื่อมิคำนึง ถึงความละอาย คบค้ากับบุรุษเพศเพราะจิตร่านราคะ ก็สมควรกับการพิฆาตฆ่าโดยมิเวทนา

ซิเล้ง ดวงตาสาดเป็นประกายอันเย็นยะเยียบน่าพรั่นพรึง สตรีงามบนเตียงนอนถึงกับสะท้านหวั่นไหว ขดร่างเข้าหากัน กล่าวอย่างขลาดกลัว

“ท่าน… เป็นใคร?”

ซิเล้งกล่าวเสียงเย็นชา

“บ่งบอกนามเจ้าของบ้านนี้มา ข้าพเจ้าต้องการทดสอบว่า ท่านได้ลืมเลือนนามของผู้อุปการะหรือไม่?”

“มันแซ่แป๊ะนามเอี้ยง”

“แป๊ะเอี้ยงเป็นยอดฝีมือในหมู่อธรรม มีเกียรติภูมิกระเดื่องดังในวงนักเลง ท่านกับมันมีความสัมพันธ์อย่างไร?”

“เราเรียกว่าโบตั๋น เป็นนางสนมอันดับสามของแป๊ะเอี้ยง”

ซิเล้งถึงกับเค้นเสียงกล่าวว่า

“เป็นนางสนมสามเช่นกัน?”

โบตั๋นย่อมมิทราบความหมายในวาจาของซิเล้ง กล่าวตะกุกตะกักว่า

“บอกกับท่าน แป๊ะเอี้ยงหาได้อยู่ที่นี่ ท่าน…?”

ซิเล้งพลันย่อเอวยื่นมือออก หยิบฉวยผ้าห่มผืนหนึ่งคลุมลงบนร่างของนาง จากนั้นประกบนิ้วจี้สกัดลง โบตั๋นส่งเสียงครางออกมาคราหนึ่งก็แน่นิ่งมิเคลื่อนไหว

ตนยืนหยัดอยู่หน้าเตียงนอน กล่าวอย่างเย็นชา

“สตรีแพศยาร่านราคะสมควรตาย ชายชู้ก็อย่าได้คาดฝันว่าจะมีชีวิตเลย”

ขณะคิดหันกายจากไป ทางด้านนอกพลันแว่วเสียงฝีเท้าดังมา จากนั้นมีสำเนียงของอิสตรีร้องเรียกว่า

“ซาอาอี้ (คำเรียกสนมคนที่สามของบิดา)…”

พร้อมกับนั้น เงาร่างผู้คนสายหนึ่งปรากฏขึ้น แลเห็นเป็นดรุณีอายุเยาว์นางหนึ่งเลิกม่านถลันเข้ามา นางเติบใหญ่งามสะคราญมิน้อย โดยเฉพาะสัดส่วนที่เปล่งปลั่งสมบูรณ์ ชวนให้บุรุษเพศพอพบพาน รู้สึกหลงใหลคลั่งไคล้

อิริยาบถของนาง บาดตาสะเทือนอารมณ์ยิ่งนัก คำนวณจากอายุของนาง มิอาจคะเนว่าที่แท้แต่งงานแล้วหรือไม่?

ดรุณีนางนั้นจ้องมองซิเล้งที่ยืนแน่วนิ่งอยู่ข้างเตียง ถึงกับพิจารณาดูโดยละเอียด พลันแย้มยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ เคลื่อนฝีเท้าก้าวใกล้มา

ซิเล้งคาดมิถึงว่า สตรีในบ้านหลังนี้ ล้วนใจกล้าบังอาจ พอพบพานคนแปลกหน้ากลับมิแตกตื่น ยังเบิ่งตาจ้องมอง ตนมีเจตนาดูว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีพฤติการณ์ใด ดังนั้นจึงเงียบงันมิเอ่ยวาจา

ดรุณีนางนั้นมาถึงริมเตียง ส่งเสียงเรียกหาอีกครั้งหนึ่ง พอแลเห็นนางไม่มีปฏิกิริยา จึงเลิกผ้าห่มนั้นขึ้นแลเห็นโบตั๋นบนเตียงนอน พริ้มตาเปล่าเปลือยกาย รู้สึกพิศวงยื่นมือออกหมายผลักไส

ซิเล้งพลันกล่าวเสียงเย็นชา

“นางตายแล้ว”

ดรุณีนางนั้นตื่นตระหนกยิ่ง พบว่าโบตั๋นสิ้นลมหายใจไปจริงๆ นางสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ กลับสงบอารมณ์ได้กล่าวว่า

“ซาอาอี้แสดงว่าถูกผู้คนย่ำยี จากนั้นถูกฆ่าทิ้ง”

“คาดคำนวณได้มิผิดพลาด”

ขณะที่ซิเล้งเค้นเสียงออกไป ก็ลอบผนึกลมปราณขึ้นหมายปลิดชีวิตดรุณีเบื้องหน้า ให้ตกตายด้วย

ดรุณีนางนั้นพลันกล่าวว่า

“ท่านลงมือ?”

ซิเล้งมิตอบคำ ย้อนถามว่า

“ท่านเป็นใคร?”

“เราแซ่แป๊ะนามเอ็ง”

“ท่านคงเป็นธิดาของแป๊ะเอี้ยงแล้ว”

ดรุณีนามแป๊ะเอ็งผงกศีรษะ ซิเล้งจึงเค้นเสียงกล่าวว่า

“ข้าพเจ้ายอมรับว่า นางถูกเราสังหารไป เพียงแต่ท่านต้องการทราบหรือไม่ว่า ผู้ใดย่ำยีนาง?”

แป๊ะเอ็งสั่นศีรษะ ในดวงตาปรากฏประกายเลอะเลือนคล้ายดั่งบังเกิดความโศกเศร้ารันทดอันลึกซึ้งสลักจิต

ซิเล้งรู้สึกระแวงคลางแคลงอย่างใหญ่หลวง คำนึงขึ้น

“…สตรีนางนี้มิเพียงมีร่างกายสมบูรณ์เกินอายุขัย กระทั่งความนึกคิดก็พลอยเจริญก้าวไกล นี่นับเป็นเรื่องราวอันพิกล หรือนางเผชิญกับความทุกข์ขมขื่น เคี่ยวกรำจนเติบใหญ่ปานนี้?…”

จากอิริยาบถอันลึกซึ้ง ซิเล้งพลันเปลี่ยนแปลงความรู้สึกที่มีต่อนาง เพลิงอำมหิตพลอยสร่างซา ส่งเสียงหนักๆ ว่า

“ท่านคงทราบว่า ชู้รักเป็นใครแล้ว”

แป๊ะเอ็งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า

“มันแม้เป็นสหายสนิทของบิดา แต่กลับกล้าข่มขืนย่ำยีอิสตรีตระกูลแป๊ะแทบทุกนวลนาง โดยที่บิดาหาทราบความไม่”

“ท่านหมายถึงผู้ใด?”

“หัตถ์อสนีบาตเนี่ยฮง”

ซิเล้งผงกศีรษะกล่าวว่า

“เป็นมันจริงๆ ข้าพเจ้าเห็นมันกับตา หรือท่านก็ถูก…”

ตนพลันรู้สึกว่ามิสมควรถามไถ่เกินเลยเช่นนี้ อย่าว่าแต่ฝ่ายตรงข้าอาจยังเป็นดรุณีในห้องหอ ไหนเลยอาศัยส่วนสัดที่เปล่งปลั่งจนคำนวณว่า นางมิใช่ดรุณีพรหมจารี?

ซิเล้งกลับมีใบหน้าแดงฉาน รู้สึกกระอักกระอ่วนยิ่งนัก  แป๊ะเอ็งชะม้ายชายตามองมากล่าวว่า

“ท่านก็สังเกตได้ด้วย? โอ เราชั่วชีวิตนี้ มิมีความหวังที่จะดำรงชีวิตเฉกเช่นอิสตรีทั่วไปเลย”

ซิเล้งถูกสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ทำให้ร้องโพล่งว่า

“เพราะเหตุใด?”

“ชาติกำเนิดและชะตากรรมของเรา ทำให้เรามิสามารถดำรงชีวิตอย่างปรกติสุข ท่านเข้าใจหรือไม่?”

ซิเล้งมาตรแม้นมิเข้าใจแต่ยังผงกศีรษะ

แป๊ะเอ็งกล่าวอีกว่า

“ท่านไปเถอะ เราจะสวมใส่เสื้อผ้าให้กับซาอาอี้ เพื่อมิให้ถูกร่ำลือในทางลามกน่าอดสู”

ซิเล้งสะท้านใจอย่างรุนแรง คำนึงขึ้น

“…หากแม้นมีผู้อื่นพบว่า เราเคยล่วงล้ำเข้ามาในห้องนี้ และสภาพการตายของโบตั๋นก็อุจาดบาดตา เราย่อมต้องถูกปรักปรำจนมัวหมองอย่างแน่นอน…”

พอฉุกคิดเช่นนั้น บังเกิดความคิดหมายหลบหนีอย่างรีบด่วน ส่งสียงเบาๆ กล่าวขอบคุณนางคราหนึ่งแล้วสาวเท้าก้าวออกไป

แป๊ะเอ็งถอนหายใจยาวๆ เอื้อมมือสวมใส่เสื้อผ้าให้กับซากศพโบตั๋น ยามนั้นซิเล้งพลันถลันกลับเข้ามา สีหน้าแปรเปลี่ยนไปกล่าวเบาๆ ว่า

“ทางด้านนอกมีผู้คนคอยสังเกตการณ์อยู่ มิสามารถออกไป ยังมีทางออกแห่งอื่นหรือไม่?”

แป๊ะเอ็งกล่าวว่า

“ผู้สังเกตการณ์ จะเป็นบิดาของเราหรือไม่? แต่หวังว่าท่านผู้เฒ่าอย่าได้เข้ามาตรวจค้นในที่นี้เลย”

ซิเล้งแตกตื่นตกใจเป็นที่ยิ่ง หากแม้นแป๊ะเอี้ยงเข้ามาตรวจค้น ตนก็ไม่มีทางชะล้างมลทินได้เลย จึงบังเกิดความเขม็งตึงเครียดจนสุดตัว

แป๊ะเอ็งกล่าวเบาๆ ว่า

“รีบช่วยเหลือเราด้วย”

ซิเล้งคำนึงถึงสิ่งอื่น ลงมือช่วยเหลือนางสวมใส่อาภรณ์ปกปิดร่างกายให้กับโบตั๋น

ซากศพที่เปล่าเปลือยของโบตั๋น ยังมีความอบอุ่นหลงเหลืออยู่ ดวงตาพริ้มสนิท ใบหน้าปราศจากแววอันปวดร้าว มุมปากกลับมีรอยแย้มยิ้ม คล้ายดั่งตกตายอย่างสงบสุข

เรือนกายอันอวบอัดซากนี้ ยังกอปรเป็นภาพที่ยั่วยวนตาอย่างใหญ่หลวง ซิเล้งพลันสั่นศีรษะ อดรู้สึกมิได้ว่า วิถีชีวิตของตนมักเผชิญกับการบีบเค้นจากอิสตรีอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะสถานการณ์ขณะนี้ อาจชักนำผลร้ายต่อตัวเองก็ได้

แป๊ะเอ็งพลันกล่าวว่า

“ท่านหากมิอาจระงับจิตใจ ก็ล่าถอยไปอีกทางหนึ่ง”

ซิเล้งกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าพียงคำนึงถึงเรื่องราวประการอื่นหาใช่…”

วาจามิทันจบ  แป๊ะเอ็งก็กล่าวสอดว่า

“ท่านมิต้องกล่าวหลอกลวง เราทราบล่วงหน้าแล้วว่าท่านเป็นใคร!”

“เมื่อเป็นเช่นนี้บิดาท่านคงได้รับคำมอบหมายจากผู้กล้าหาญดาบทอง กำลังเสาะหาร่องรอยของข้าพเจ้าแล้ว?”

“มิผิด ดังนั้นบุคคลที่ปรากฏกายทางด้านนอก เกรงว่าจะเป็นบิดาเรา”

ยามนี้แป๊ะเอ็งได้สวมอาภรณ์ให้กับโบตั๋นเรียบร้อยแล้ว หลังจากคลุมผ้าห่มทับลงไป จึงกล่าว

“พวกเราไปกันเถอะ”

นางเอื้อมมือเกาะกุมข้อมือซิเล้ง ดับตะเกียงภายในห้อง ก้าวออกมาทางด้านนอกโดยพร้อมเพรียงกัน ซิเล้งรีบสำรวจสภาพแวดล้อมก่อน

ซิเล้งพอตรวจตราดูอยู่เล็กน้อย จึงกล่าวเบาๆ ว่า

“ผู้สังเกตการณ์ยังอยู่บนหลังคาตึก แต่ทว่ามิได้มองมาด้านนี้ทุกเวลา”

แป๊ะเอ็งจึงกล่าว

“พวกเราฉกฉวยโอกาสที่ฝ่ายตรงข้ามมองไปทางอื่น รีบเร่งออกไปตามระเบียงทางขวามือพอผ่านห้องโถงใหญ่แห่งหนึ่ง ก็จะถึงตัวตึกที่เราพักอาศัยอยู่”

ซิเล้งพอฟังวาจาตอนท้ายของนาง ถึงกับมีความรู้สึกว่าเพิ่งออกจากวังมังกรก็เข้าสู่ถ้ำพยัคฆ์ แต่บัดนี้มิมีโอกาสใคร่ครวญ จำต้องปฏิบัติตาม

ตนทราบดีว่า… คำคืนนี้มิอาจหักหาญกับผู้หนึ่งผู้ใดเป็นอันขาด และห้ามถูกผู้ใดพบเห็นว่าตนเคยเข้ามาในตัวเมืองนี้ มาตรมิเช่นนั้นการตกตายของโบตั๋นจะเข้ามาพัวพันตน

ซิเล้งเขม้นมองเงาร่างบนตึกด้านตรงข้ามอย่างจดจ่อ รอจนมันเบือนหน้าไปทางอื่น ก็รีบโอบอุ้มแป๊ะเอ็งขึ้น ขยับร่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ปฏิบัติตามคำชี้แนะของนาง

เรือนร่างที่สมบูรณ์เปี่ยมพลังสะท้อนของแป๊ะเอ็ง พอแนบสนิทกับซิเล้ง ก็ยื่นแขนทั้งสองออกโอบรัดตนแนบแน่น

ทั้งหมดพอผ่านห้องโถงใหญ่แล้ว ซิเล้งพลันชะงักเท้าลง รู้สึกว่าหากหลบซ่อนในที่นี้จะประเสริฐกว่า

แป๊ะเอ็งส่งเสียงเบาๆ ว่า

“ท่านคิดทำอะไร?”

“ห้องโถงนี้ก็สามารถหลบซ่อนกายได้”

“มิได้ หัตถ์อสนีบาตมักหารือความลับกับบิดาเราในที่นี้ ยังคงไปยังห้องหับของเราเถอะ”

ซิเล้งตกอยู่สถานการณ์เช่นนี้ มิอาจไม่รับฟัง ได้แต่วิ่งตะบึงเข้าไปในตัวตึกหลังหนึ่ง ตนรู้สึกว่าแป๊ะเอ็งโอบรัดใส่จนแนบแน่น ต้องบังเกิดความระมัดระวังขึ้นมา

ห้องหอเบื้องหน้า แบ่งออกเป็นในและนอกสองหลัง ด้านนอกมีดรุณีรับใช้อีกสองนางกำลังหลับไหลอยู่ ซิเล้งวางร่างของแป๊ะเอ็งลง จี้สกัดจุดของสองดรุณีรับใช้ก่อน แล้วจึงก้าวเข้าสู่ห้องชั้นใน

ภายในห้องมืดมิด แป๊ะเอ็งนั่งแน่วนิ่งอยู่บนเตียงนอน จับจ้องบุรุษงามสง่าที่เบื้องหน้าอย่างเงียบงัน

ซิเล้งกลับกวาดตาสำรวจห้องหับหลังนี้ตลบหนึ่ง แลเห็นห่างจากประตูทางเข้าด้านซ้ายมือ จัดสร้างบานหน้าต่าง ส่วนผนังทางด้านขวามีตู้เสื้อผ้าสองใบ นอกจากนั้นเป็นเตียงนอนเตียงใหญ่

ตนชี้มือไปทางบานหน้าต่าง แต่แป๊ะเอ็งสั่นศีรษะกล่าวว่า

“นอกหน้าต่างเป็นตัวตึกของซี่อาอี้ (สนมบิดาอันดับที่สี่) ท่านมิอาจหลบหนีทางด้านนั้นเด็ดขาด บิดาเรารักใคร่นางสนมผู้นี้ยิ่ง มักอาศัยอยู่ทุกวี่วัน”

ซิเล้งอับจนหนทาง ตนเองมิคุ้นเคยกับสภาพอาคารหลังนี้ ได้แต่เชื่อฟังวาจาของนาง

แป๊ะเอ็งพลันส่งเสียงชักชวนให้เข้ามา ซิเล้งทราบดีว่า ด่านยุ่งยากมาถึงแล้ว ต้องปลุกปลอบสติสัมปชัญญะทรุดกายนั่งลงที่ข้างกาย นางกล่าวว่า

“โกวเนี้ยที่ยินยอมช่วยเหลือข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอดรู้สึกประหลาดใจมิได้”

แป๊ะเอ็งกล่าว

“ท่านมิเข้าใจจริงๆ ?”

“ข้าพเจ้ามิทราบเป็นความสัตย์”

“เราแม้มิใช่ดรุณีบริสุทธิ์ แต่ไม่เคยสนบุรุษเพศทั่วไปมาก่อน จวบจนบัดนี้ยังมิได้หมั้นหมาย ท่านสมควรทราบ บิดาเราแม้เป็นชนชาวอธรรมแต่มีทรัพย์สินมหาศาล การแต่งงานของเรา บิดาให้เราตกลงใจด้วยตนเอง!”

ซิเล้งรับฟังจนเหงื่อชุ่มโชก ในใจลอบใคร่ครวญ หากถึงยามจำเป็น จะดำเนินการอย่างไร ตนมิถนัดในการเก็บงำความรู้สึกจึงมีแววแสดงออกมาทางสีหน้า

แป๊ะเอ็งก็สังเกตพบได้ หัวร่อพลางกล่าวว่า

“ท่านมิต้องร้อนรุ่มใจเราหาใช่คิดแต่งงานกับท่าน ทราบมาว่าฉี้อิงธิดาของฉี้น่ำซัว มีการคบหากับท่าน นางคงโสภายิ่งนัก หากตกลงกันได้ เรายินดีเป็นข้าทาสนางสนมของท่าน”

ซิเล้งกลับรู้สึกว่านางยังคำนึงถึงเหตุผลอยู่บ้าง จึงกล่าวว่า

“โกวเนี้ยแม้ทราบข่าวลือความชั่วร้ายข้าพเจ้า ไฉนกลับสนใจข้าพเจ้าถึงปานนี้?”

แป๊ะเอ็งแย้มยิ้มอย่างผุดผาด กล่าวว่า

“คำตอบข้อนี้ก็เฉกเช่นกับท่านเมื่อครู่ที่ถามเราว่า เหตุใดจึงช่วยเหลือท่าน กล่าวคือท่านมีบุคลิกสง่างาม เราเชื่อว่าอิสตรีทั่วไปล้วนรักใคร่ท่าน เรากลับสงสัยใจว่า สตรีผู้ที่เป็นสนมของซือแป๋ท่าน ไฉนไม่ยินยอมต่อท่าน”

ซิเล้งรู้สึกว่าสมควรบ่งบอกความจริงกับนางแล้ว รีบกล่าวว่า

“เหตุการณ์เมื่อครั้งนั้น เกรงว่าท่านมิเชื่อถือ ความจริงนั่นเป็นหลุมพรางของผู้กล้าหาญดาบทอง คิดใส่ไคล้ข้าพเจ้าให้ผู้อื่นประณามสาปแช่งข้าพเจ้า จากนั้น จูกงเม้งก็สามารถปลิดชีวิตข้าพเจ้าอย่างมีเหตุผล”

“มันไฉนจึงวางแผนปรักปรำท่าน?”

ซิเล้งจึงอธิบายความจริงใจให้รับทราบ แป๊ะเอ็งขบคิดอยู่ครู่หนึ่งกล่าวว่า

“เราเชื่อถือวาจาของท่าน แต่ท่านยังมิได้บ่งบอกว่าสนมของกูจงเม้งนางนั้น เย้ายวนท่านอย่างไร?”

“นางก็เฉกเช่นกับซาอาอี้ของท่าน กล่าวตามความสัตย์ ซาอาอี้ของท่านเพราะพัวพันข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าหวนคำนึงถึงความหลังบังเกิดเพลิงอำมหิตสังหารนางไป”

“ที่แท้เป็นเช่นนี้ แต่เท่าที่เรารับทราบมา มิมีบุรุษเพศทนทานเสน่ห์ดึงดูดจากซาอาอี้ได้ แม้กระทั่งหัตถ์อสนีบาต แต่มันเคยอ้างว่าเราแม้งามสะคราญเทียบเท่าซาอาอี้ ทว่ายามที่เราปลดเปลื้องอาภรณ์แล้วกลับเย้ายวนกว่า!”

ซิเล้งมิทราบว่าสมควรตอบกระไร ความจริงตนก็มีความรู้สึกว่าดรุณีนางนี้มีส่วนสัดอวบอัดเป็นพิเศษ เปรียบประดุจอัคคีกลุ่มหนึ่ง ชวนให้ลุ่มหลงกว่าโบตั๋นมากมายนัก

แป๊ะเอ็งกล่าวว่า

“เราเพิ่งมีอายุสิบแปดปี เมื่อสามปีก่อนก็เติบใหญ่แทบเทียบเท่าปัจจุบัน ในค่ำคืนหนึ่งปรากฏผู้คลุมหน้าคนหนึ่งมาย่ำยีเรา ตอนนั้นพอดีหัตถ์อสนีบาตเป็นอาคันตุกะในบ้านเรา

พอวันที่สองหัตถ์อสนีบาตพบพานเรา ก็ส่งสิ่งของให้มากมาย จากคารมและท่วงท่า แสดงว่าเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนเป็นพฤติการณ์ของมัน เราจึงลอบระแวงสงสัยอยู่ก่อน และมินานก็พบว่าเนี่ยแป๊ะแปะ (ยกย่องลุงแซ่เนี่ย) มีการคบหากับซาอาอี้ฉันชู้สาวด้วย

เรารับทราบเรื่องราวจากซาอาอี้เกี่ยวกับตัวหัตถ์อสนีบาตมิน้อย สมมติว่าที่ทรวงอกของมันมีรอยแผลเป็น หลังจากค่ำคืนหนึ่งเราก็ถูกผู้คลุมหน้านั้นย่ำยีอีก เราแม้มิอาจแลเห็นใบหน้ามัน แต่ทรวงอกของมันหามีรอยแผลเป็นไม่”

แป๊ะเอ็งแอบอิงร่างมายังซิเล้ง กล่าวสืบต่อ

“จากนั้นอีกสามเดือน หัตถ์อสนีบาตก็มาเป็นอาคันตุกะที่นี้ ค่ำคืนหนึ่งมันลอบเร้นมายังห้องหับของเรา เราจึงพบว่ามันมิใช่ผู้คลุมหน้าคนนั้นจริงๆ

แต่ทว่า เรากลับมิได้สอบถามมัน เพราะการปิดบังโฉมหน้า ย่อมต้องเกรงกลัวต่อการถูกพบเห็น เราหากซักไซ้มิแน่นักว่าจะชักนำภยันตรายถึงแก่ชีวิต”

ซิเล้งค่อยพบว่า ดรุณีนางนี้มีความคิดอ่านลึกซึ้ง หาใช่ชนชั้นไร้ปัญญา จึงบังเกิดความระมัดระวังขึ้น

แป๊ะเอ็งกล่าวว่า

“จวบจนบัดนี้ เรายังมิทราบว่าผู้คลุมหน้าคนนั้นเป็นใคร มันมิได้มาเกือบหนึ่งปี ตอนนี้พลันปรากฏกายมาอีก เนี่ยแป๊ะแปะ (หัตถ์อสนีบาต) มักกล่าวว่าเราเป็นสตรีที่ชวนลุ่มหลง คาดว่านี่คงมิใช่การเยินยอ เพราะการลอบเร้นเข้ามาหาเรา เป็นการเสี่ยงภัยต่อการถูกพบเห็นแต่มันก็มิอาจสละลืมเลือนเราได้”

ซิเล้งรีบกล่าวเสเรื่องว่า

“แป๊ะโกวเนี้ย เมื่อยังอยู่ในห้องหอ ก็มิสมควรปล่อยให้เหตุการณ์ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

“นั่นเป็นเรื่องราวอับจนปัญญา เราไม่อาจบังคับตัวเองได้ นอกจากว่ารักใคร่ต่อบุคคลผู้หนึ่งและติดตามมันไป”

“นับแต่คราครั้งแรก ท่านก็สมควรบอกกล่าวเหตุร้ายต่อบิดาท่าน”

“เนี่ยแป๊ะแปะเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ที่ทรงอำนาจ พลังฝีมือก็สูงเยี่ยม บิดาแม้รับทราบไปก็ไม่มีทางสังหารหัตถ์อสนีบาตได้ มิแน่นักว่ากลับมาปลิดชีวิตเรา”

ซิเล้งรับฟังจนใจสะท้าน กล่าวว่า

“เหลวไหล พยัคฆ์แม้อำมหิต ก็มิกลืนกินลูกตนเอง บิดาท่านแม้ไม่สามารถจัดการกับหัตถ์อสนีบาต แต่ก็คงมิถึงกับจัดการกับท่านอย่างโหดเหี้ยมปานนั้น”

แป๊ะเอ็งกล่าวว่า

“ท่านหากมิเชื่อก็อับจนปัญญา สำหรับเรื่องนี้อย่าเพิ่งพาดพิงถึง ท่านตอนนี้สมควรให้เราทดสอบสักคราหนึ่ง ดูว่าคราก่อนท่านมิได้ปฏิบัติเรื่องราวอันละเมิดศีลธรรมต่อสนมของซือแป๋เราจริงๆ หลังจากนั้นเราจึงจะช่วยเหลือท่านหลบหนีไป”

ซิเล้งหวั่นเกรงว่า นางจะใช้วิธีการนี้ทดสอบกับตน ซิเล้งแม้สามารถสะกดนาง หาโอกาสเตลิดหนีไป แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องราวที่ตนบุกเข้ามาที่นี้ก็มีพยานยืนยัน ผู้กล้าหาญดาบทองสามารถทำให้ผู้คนทั่วใต้หล้า เข้าใจว่าซิเล้งเป็นผู้มักมากกามคุณ

หนทางเพียงประการเดียวที่จะกำจัดเภทภัยในภายหลังก็คือปลิดชีวิตแป๊ะเอ็งไปด้วย แต่วิธีนี้ซิเล้งไหนเลยปฏิบัติได้

ซิเล้งรำพึงกับตัวเองในใจ

“…หากแม้นเราสังหารดรุณีที่ไร้ความผิดนี้ พฤติกรรมเช่นนี้เมื่อเทียบกับผู้กล้าหาญดาบทอง ยังจะมีความแตกต่างอันใด?…”

พอฉุกคิดเช่นนั้น จิตใจบังเกิดความปลอดโปร่งสะดวกขึ้น แป๊ะเอ็งปล่อยม่านหน้าต่างทุกแห่งลง จากนั้นจึงจุดตะเกียงภายในจนสว่างไสว

ซิเล้งสังเกตการเคลื่อนไหวของนาง ในใจมาตรแม้นยังหมกมุ่นถึงสถานการณ์ด้านนอก แต่ก็จำต้องต้านรับอุบัติการณ์เฉพาะหน้านี้ก่อน

ซิเล้งแม้มีความมั่นใจว่าสามารถข่มกลั้นความรู้สึก แต่กับสถานการณ์ขั้นต่อไป ก็ยากที่จะทราบได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุคคลอื่นหากเข้ามาเผชิญพบสภาพเช่นนี้ ผลสุดท้ายจะเลวร้ายสักปานใด?

ยามนี้ การทดสอบเริ่มแล้ว เรือนร่างอันเปล่งปลั่งสมบูรณ์ของแป๊ะเอ็งแอบอิงเข้ามาในอ้อมอกตน กล่าวว่า

“เราร้อนรุ่มกายยิ่งนัก ท่านปลดเปลื้องอาภรณ์ให้เราด้วย”

ซิเล้งกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าปฏิเสธได้หรือไม่?”

“ไม่ได้ หาไม่แล้วเราจะทดสอบขันติของท่านได้อย่างไร มิเพียงแต่ท่านต้องปลดเปลื้องเสื้อผ้าให้กับเรา ตัวเองก็ต้องกระทำด้วย”

“ข้าพเจ้าไม่อาจปลดเปลื้องของตัวเอง ประการที่หนึ่งพฤติการณ์นี้มิมีเหตุผลเกินไป ประการที่สองหากมีผู้คนปรากฏกายมา ข้าพเจ้าก็ยากจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองแล้ว”

ซิเล้งยังมีวาจาอีกประโยคหนึ่งมิได้เอ่ยออก นั่นคือสภาพการณ์ตอนนี้ คล้ายคลึงกับเมื่ออยู่ในคฤหาสน์ของผู้กล้าหาญดาบทอง การจัดการทุกอย่างทำให้ซิเล้งยากโต้แย้ง มิแน่นักว่านี่เป็นหลุมพรางนงคราญอีกแผนหนึ่ง!

ได้ยินแป๊ะเอ็งกล่าวว่า

“ก็ได้ ท่านลงมือเถอะ”

ซิเล้งยื่นมือออก แต่มิทราบสมควรเริ่มต้นอย่างไร แป๊ะเอ็งจึงชี้แนะว่าต้องปลดกระดุมเสื้อก่อน แล้วจึงเปลื้องเสื้อผ้าชิ้นต่างๆ

ปฏิกิริยาจากซิเล้ง มาตรแม้นมิเคยชินและเชื่องช้า แต่ก็สงบสำรวมยิ่งนัก กระทั่งเรือนกายของนางหลงเหลือเสื้อชั้นในสีชมพูเพียงตัวเดียว แป๊ะเอ็งยังแลเห็นประกายตาอันสดใสของฝ่ายตรงข้ามได้

ในที่สุด ร่างของนางเปล่าเปลือยจนหมดสิ้น ภายใต้แสงตะเกียงสาดส่อง ส่วนโค้งเว้ารำไรน่าลุ่มหลง ผิวกายที่ขาวละลานเย้ยหิมะ ส่วนสัดของนางอวบอัดเบ่งบานยิ่งนัก แผ่กลิ่นหอมดึงดูดใจในวัยสาว ซึ่งทำให้ผู้คนยากต้านทาน

ซิเล้งจับจ้องร่างกายของดรุณีที่สมบูรณ์ร่างนี้จนจดจ่อ หากมิใช่ยามนี้ภายในห้องหับที่มิดชิด ซิเล้งมั่นใจว่าสามารถยลชมนางราวผลงานด้านศิลปกรรม แต่ตอนนี้อดใจเต้นระทึกมิได้

แป๊ะเอ็งปล่อยให้ซิเล้งพินิจชมอยู่ชั่วครู่ ค่อยยื่นมือออกมาลูบคลำร่างกายฝ่ายตรงข้าม จุมพิตใส่อย่างดูดดื่ม

นางเริ่มรู้สึกว่าสองแขนของซิเล้งหาได้โอบกอดอย่างนุ่มนวลเยี่ยงตอนแรก หากแต่ค่อยๆ เพิ่มพลังกดดัน จนนางบังเกิดความพลุ่งพล่านขึ้นมา

ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ นางพลันพลิกข้อมืออันขาวผ่อง หมายเปลื้องปลดอาภรณ์ให้กับฝ่ายตรงข้าม

ซิเล้งเรือนร่างสั่นสะเทือนคราหนึ่ง เกาะกุมข้อมือของนาง กล่าวว่า

“ท่านไฉนกระทำเช่นนี้?”

แป๊ะเอ็งกล่าวว่า

“คราแรกที่พบท่าน เราก็บังเกิดความรักแล้ว”

“ถ้าเช่นนั้น ท่านคงมุ่งหวังให้ข้าพเจ้าไม่อาจทนทานการเย้ายวนจากท่าน?”

“แน่นอน ดวงใจของเราเมื่อผูกพันกับท่าน ย่อมต้องมอบเรือนกายให้ด้วย!”

“หากแม้นข้าพเจ้าเป็นเช่นดั่งท่านคาดคิด ท่านยังชมชอบข้าพเจ้าอีกหรือ?”

แป๊ะเอ็งมิลังเลแม้แต่น้อยกล่าวว่า

“ย่อมยังชมชอบท่าน และยินยอมเป็นข้าทาสรับใช้ท่านจวบชั่วชีวิต”

“นั่นก็ผิดแล้ว ข้าพเจ้าหากเป็นบุคคลมากราคะ หรือยังคู่ควรกับสนใจของท่านอีก?”

“เรามิทราบ เพียงรู้ซึ้งว่า เราชมชอบท่านยิ่ง”

ซิเล้งสั่นศีรษะกล่าวว่า

“มิได้ เราไม่อาจปลดเปลื้องอาภรณ์เด็ดขาด”

แป๊ะเอ็งแย้มยิ้มอย่างหยาดเยิ้มกล่าวว่า

“เราทราบว่าท่านตอนนี้ยังข่มกลั้นได้ หากแม้นท่านเปลื้องเสื้อผ้าหลับนอนร่วมกันภายใต้ผ้าห่มผืนเดียว ถึงตอนนั้นท่านต้องมิอาจอดกลั้นได้!”

“ข้าพเจ้ามิมีความมุ่งหมายเช่นนั้น”

“ไฉนไยมิใช่? ลองคิดดู หากแม้นตอนนี้มีคนเข้ามาพบเข้า ท่านยังสามารถอธิบายโต้แย้งหรือความจริงท่านมิอาจควบคุมตัวเองจึงสรรหาเหตุผลมาบอกปัด มาตรแม้นท่านกล้าหลับนอนร่วมเตียงเดียวกัน เราจึงเชื่อว่าท่านมิใช่ผู้มักมากในกามราคะ”

ซิเล้งรู้สึกว่า เรื่องราวนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง หากแม้นนางเชื่อถือว่าตนเป็นผู้สำรวม ภายหลังผู้กล้าหาญดาบทองเมื่อคิดกล่าวหาว่า การตายของโบตั๋นซิเล้งคือฆาตกร นางย่อมมิยอมแพร่งพรายว่า เคยพบพานตนมาก่อน

ความจริงหากสามารถนอนร่วมเตียงกับดรุณีที่ทรงเสน่ห์นางหนึ่ง สำหรับบุรุษเพศทุกคน มิอาจนับเป็นประสบการณ์ที่ปวดร้าว

ดังนั้นภายในห้องจึงปราศจากแสงตะเกียง ความมืดมิดแผ่ปกคลุมทั่ว

เรือนกายที่ราบรื่นสองร่าง ยามสัมผัสเสียดสีกัน บังเกิดเปลวอัคคีสะท้านวูบขึ้นในดวงใจ ซิเล้งทราบดีว่าตนเองกำลังผจญกับด่านราคะ

ชั่วชีวิตของซิเล้ง นี่นับเป็นคราครั้งแรกที่ถูกระลอกคลื่นปรารถนา คุกคามจิตใจ ซิเล้งกระทั่งลมหายใจแทบมิอาจระบายออกโดยแรง

ความจริงแล้ว ผู้คนหาใช่ตอไม้ ไหนเลยไร้ความรู้สึก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่ามกลางความมืดมิดสติสัมปชัญญะสามารถสูญสลายไปอย่างง่ายดาย

ซิเล้งก็กอปรขึ้นจากเลือดเนื้อ ประจวบกับอยู่ในวัยคึกคะนอง แม้ไม่อาจทนทานรับได้ ก็นับเป็นเหตุการณ์สามัญ มิอาจตำหนิติเตียนได้เลย

ขณะที่ซิเล้งผ่อนคลายความคิด ทันใด สำเนียงสนทนาของผู้คนปลุกความรู้สึกตนมีสติแจ่มใสขึ้น

สุ้มเสียงมิดังนัก ดังแว่วมาจากนอกหน้าต่าง มาตรแม้นไม่แจ่มชัด แต่ยังจำแนกได้ว่า หนึ่งในสองเป็นเสียงของหัตถ์อสนีบาตเนี่ยฮง

ซิเล้งสูดลมหายใจลึกๆ ผนึกลมปราณรวบรวมสมาธิคอยสดับฟัง ประจวบเหมาะกับสำเนียงของหัตถ์อสนีบาตได้หยุดชะงัก อีกผู้หนึ่งส่งเสียงกล่าวว่า

“การเคลื่อนไหวค่ำคืนนี้ สามารถนับว่ายิ่งใหญ่ที่สุด ถึงกับระดมกำลังยอดฝีมือยี่สิบกว่าคนจากสารทิศต่างๆ มาชุมนุมอยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้”

หัตถ์อสนีบาตส่งเสียงดังอืมม์ บุคคลนั้นกล่าวต่อ

“หากมิใช่ศักดิ์ศรีผู้กล้าหาญดาบทอง ในใต้หล้ายังมีผู้ใดสามารถชักชวนยอดฝีมือมามากมายถึงปานนี้ เพียงแต่ท่านผู้กล้าหาญดาบทองแซ่จูกลับมิเร่งรุดมา รู้สึกชวนพิศวงยิ่ง”

ซิเล้งรับฟังถึงตอนนี้ ก็สันนิษฐานได้ว่าผู้ส่งเสียงคือประมุขตึกหลังนี้นามแป๊ะเอี้ยง

ซิเล้งรีบผุดลุกขึ้นสวมใส่อาภรณ์ แล้วเหวี่ยงเสื้อผ้าของแป๊ะเอ็งลงบนร่างของนาง หมุนตัวมายังริมหน้าต่างผนึกพลังคอยสดับฟัง

ในความมืดได้ยินเสียงสวมใส่อาภรณ์ของแป๊ะเอ็ง แสดงว่านางมิใช่วางหลุมพรางกับดัก หากแต่รักใคร่ซิเล้งอย่างแท้จริง

ซิเล้งได้ยินหัตถ์อสนีบาต กล่าวอีกว่า

“ผู้แซ่แป๊ะ พวกเราเมื่อเป็นคนสนิท เราจะบอกกับท่าน ท่านผู้กล้าหาญแซ่จูจะช้าเร็วต้องเร่งรุดมาเอง เพื่อจัดการกับศิษย์ทรยศซิเล้ง”

แป๊ะเอี้ยงกล่าวว่า

“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ท่านผู้กล้าหาญดาบทองรุดมายังเมืองนี้ ย่อมต้องเข้าพำนักในตึกเรา ข้าพเจ้าจะให้ผู้รับใช้ไปปัดกวาดห้องหับ”

“มิต้องวุ่ยวายไป ท่านผู้กล้าหาญแซ่จูมิต้องการรบกวนท่าน และต้องการดำเนินการเงียบเชียบ”

ซิเล้งรับฟังถึงตอนนี้ พลันสะท้านใจอย่างรุนแรง หันกายกลับมาที่เตียงนอน โอบกอดแป๊ะเอ็งไว้ กล่าวเบาๆ ที่ริมโสต

“ท่านบอกว่ามีหนทางช่วยเหลือข้าพเจ้าหลบหนี มิทราบต้องกระทำอย่างไร?  รีบด่วนด้วย มิแน่นักว่าผู้คลุมหน้าคราก่อนคืนนั้น ค่ำคืนนี้อาจมาเสาะหาท่าน”

แป๊ะเอ็งอุทานเบาๆ กล่าวว่า

“เป็นความจริง? หากแม้นผู้คลุมหน้าคนนั้นปรากฏกายขึ้นอีก เราก็มิทราบว่าสมควรขัดขืนมันหรือไม่?”

“หากแม้นท่านตกลงใจขัดขืน ข้าพเจ้าก็ไม่อาจจากไป บุคคลนั้นมีจิตใจอำมหิต พลังฝีมือสูงเยี่ยมยิ่งนัก ข้าพเจ้าหากมิยอมอยู่ร่วม มันย่อมต้องสังหารท่านเป็นการปิดปาก”

แป๊ะเอ็งสยิวกายออกมาอย่างหนาวเหน็บ บอกว่าขอเวลาครุ่นคิดสักคราหนึ่ง

ควรทราบว่า ผู้คลุมหน้าคนนั้นเป็นบุคคลแรกที่ทลายพรหมจารีนาง ในความรู้สึกย่อมยากจะลบเลือนได้ นั่นมิใช่เพราะความหวาดหวั่นทำให้มิกล้าขัดขืน หากแต่เริ่มต้นก็มิมีความคิดขัดขืนเลย

แต่ตอนนี้ซิเล้งเป็นผลสะท้อนต่อนางยิ่ง เนื่องเพราะนางหลงรักบุรุษเบื้องหน้านี้แล้ว และการที่ซิเล้งแสดงเจตนาอยู่ต่อไปเพื่อช่วยเหลือนาง ทำให้นางบังเกิดความรู้สึกตื้นตันใจยิ่ง

แป๊ะเอ็งจิตใจสับสนยากตกลงใจ ซิเล้งก็มีความรู้สึกหมกมุ่นกังวล มิทราบสถานการณ์ภายภาคหน้า จะเผชิญเหตุอันใด

ได้ยินหัตถ์อสนีบาตกล่าวกับแป๊ะเอี้ยงว่า

“จากร่องรอยเท่าที่รับทราบมา ซิเล้งและพวกได้เข้าสู่ตัวเมืองแห่งนี้ ซุ่มซ่อนอยู่ในละแวกใกล้เคียง ดังนั้นพวกเรา จะเฝ้าสังเกตการณ์จนฟ้าสางสว่าง ค้นหาพวกมันให้จงได้

ยังมีดรุณีที่ร่วมกับมันนามฉี้อิง เป็นทายาทของยอดคนบู๊ลิ้มท่านหนึ่ง มีพลังฝีมือสูงล้ำเช่นกัน และยังทราบที่ซุกซ่อนของประแจไขสู่เจดีย์ทองคำด้วย

หากแม้ซิเล้งได้ประแจเจดีย์ทองคำไป ไขประตูแห่งขุมทรัพย์ได้ ชนชั้นชั่วร้ายเฉกเช่นมัน บู๊ลิ้มต้องถูกมันก่อกวนจนล่มสลาย ดังนั้นท่านผู้กล้าหาญแซ่จูจึงต้องลงมือด้วยตนเอง เพื่อกำจัดเภทภัยให้กับบู๊ลิ้ม”

ซิเล้งรับฟังจนโทสะคุกรุ่นปรารถนาใคร่ออกไปประหารฝ่ายตรงข้ามกับมือ ผู้กล้าหาญดาบทองมาตรแม้นโฉดชั่วสุดแสน แต่หากมิมีบุคคลเยี่ยงหัตถ์อสนีบาต ย่อมมิอาจสร้างสรรเภทภัยปานนี้

ซิเล้งพอทราบว่าขบวนยอดฝีมือทั้งหมดกำลังเฝ้าสังเกตการณ์ตามจุดต่างๆ จวบจนอรุณรุ่ง ต้องสร้างความหวั่นไหวให้กับตนเป็นที่ยิ่ง

ซิเล้งกลับมาที่ข้างเตียงถามว่า

“จูกงเม้งคราก่อนเคยผ่านมาหรือไม่?”

แป๊ะเอ็งตอบว่า

“มันเคยรุดมาสองครั้ง บิดาถึงกับมอบหมายให้เราออกไปกราบพบ”

“มันย่อมต้องมาร่วมกับหัตถ์อสนีบาตกระมัง?”

“ไม่ ทั้งสองครั้งมันล้วนนำพาทายาทผู้หนึ่งมา”

ซิเล้ง ตำหนิความโง่เขลาของตัวเองในใจ คำนึงขึ้น

“…จูกงเม้งชั่วชีวิตมิมีเรื่องใดที่ไม่ใคร่ครวญอย่างละเอียดมาก่อน ไหนเลยยินยอมอยู่ร่วมกับหัตถ์อสนีบาต คาดว่าผู้คลุมหน้าที่ข่มขืนแป๊ะเอ็งก็คือมันนั่นเอง!

หัตถ์อสนีบาตมิสามารถกล้ำกลืนความพิศวาสต่อแป๊ะเอ็ง ภายหลังถึงกับสอดแทรกตัวเข้ามา ทำให้นางทราบได้ว่าผู้คลุมหน้าคนนั้นกับหัตถ์อสนีบาตเป็นคนละคน…”

ได้ยินแป๊ะเอ็งกล่าวเบาๆ ว่า

“หลังเตียงนอนมีประตูไม้ที่เตี้ยแคบบานหนึ่ง ภายในเป็นทางลับ สามารถทอดสู่ห้องหับรกร้างซึ่งอยู่ห่างไปหลังหนึ่ง ซึ่งบิดาเราเป็นผู้รับซื้อไว้”

นางยังบ่งบอกถึงที่ตั้งของตึกร้างหลังนั้น ซิเล้งรับฟังจดจำไว้ แล้วมาถึงหลังเตียงนอน สำรวจประตูลับนั้น

ประตูลับบานนี้ พอผลักขึ้นไปภายในเป็นเส้นทางแคบเล็ก ซิเล้งพอก้าวสู่ทางลับ ประตูไม้ก็ตกหล่นลงมา โดยปราศจากสำเนียงผิดปรกติใดๆ

ซิเล้งคิดล้วงชุดไฟหมายจุดขึ้น ในวินาทีนั้นได้ยินแป๊ะเอ็งอุทานเบาๆ กล่าวว่า

“เป็นเนี่ยแป๊ะแปะ (ยกย่องเป็นลุงหมายถึงหัตถ์อสนีบาต) หรือ?”

ซิเล้งแตกตื่นตระหนกยิ่งนัก ที่แท้ยามนี้มีผู้คนบุกรุกเข้ามาในห้อง เมื่อครู่ตนหากจุดไฟขึ้น ร่องรอยย่อมต้องถูกพบเห็น

ตนลอบชมเชยวาสนาตัวเอง รีบปิดสกัดลมหายใจ มิกล้าขยับเคลื่อนกายแม้แต่น้อย

มิทราบผู้มาคือหัตถ์อสนีบาตจริงๆ ? หรือเป็นผู้คลุมหน้าคนนั้น ซึ่งซิเล้งคาดคำนวณว่าเป็นการปลอมแปลงของผู้กล้าหาญดาบทอง

ซิเล้งสงบจิตรับฟัง จิตใจทั้งตึงเครียดทั้งดาลเดือด ทั้งนี้เพราะยามนี้ได้ยินเสียงปลดเปลื้องอาภรณ์ของฝ่ายตรงข้ามแล้ว

จากนั้น ท่ามกลางสำเนียงครวญคราง ได้ยินเสียงแผ่วเบาของบุรุษเพศ มาตรแม้นรับฟังมิชัดเจนแต่ซิเล้งยิ่งมั่นใจว่า ฝ่ายตรงข้ามคือผู้กล้าหาญดาบทอง!

เนื่องเพราะสำเนียงครวญครางนี้จงใจดัดแปลงจนแหบแห้ง ทั่วใต้หล้ามีแต่จิ้งจอกเฒ่าเฉกเช่นผู้กล้าหาญดาบทอง จึงสามารถข่มกลั้นอารมณ์ทั้งที่อยู่ในเวลาช่วงนี้ มิลืมดัดแปลงสุ้มเสียง!

ซิเล้งยามหวนนึกถึง แป๊ะเอ็งถูกบดขยี้ย่ำยี แทบปรารถนาฉกฉวยโอกาสนี้ถลันกายออกไป กระชากหน้ากากอันจอมปลอมของจูกงเม้ง

แต่จะอย่างไรตนต้องคำนึงถึงแป๊ะเอ็งก่อน เรื่องนี้หากแพร่งพรายออกไป นางย่อมมิอาจพบพานผู้คน

มิหนำซ้ำหากกระทำมิสำเร็จ จูกงเม้งกับหัตถ์อสนีบาต ยังมียอดฝีมืออื่นอีก จะร่วมกันกำลังตน รวมทั้งฆ่าปิดปากแป๊ะเอี้ยงกับธิดาด้วย


 อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่