๒o
♦ อุสยบนางแมงมุมขาว ♦
……………
ซิเล้งพลันส่งเสียงทางลมปราณกล่าวว่า
“อาอิง ฝ่ายตรงข้ามย่อมมีวิชาชั่วร้ายอื่นอีก ข้าพเจ้าจะลอบสังเกตดูอยู่ข้างเคียง”
กล่าวจบพุ่งกายข้ามกำแพงตึก เร้นหายไป
ฉี้อิงมือซ้ายถือท่อนไม้ที่ติดไฟ ต้านรับกับดาบคู่ของศัตรู ยามนี้เปลวไฟบนยอดท่อนไม้เริ่มดับลง
โค้วเพ้งเลือกท่อนไม้ที่ลุกไหม้ อีกท่อนหนึ่งเหวี่ยงให้ฉี้อิงรับไว้
นางแมงมุมขาวมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป ลอบแผดด่าสุนัขน้อยที่สมควรตาย พริบตาเดียวพวกนางก็หักหาญกันอีกสิบกว่ากระบวนท่า
ซิเล้งใช้วิชาถ่ายทอดเสียง กล่าวกับฉี้อิงว่า
“ท่อนไฟในมือท่าน คล้ายดั่งสร้างความหวั่นไหวให้กับนาง ท่านพัวพันต่อไปอีกครู่หนึ่ง แม้นมีโอกาสก็อย่าเพิ่งลงมือ”
ตนสังเกตการณ์อยู่ด้านข้าง เห็นนางแมงมุมขาวหวาดกลัวต่อท่อนไม้ที่ติดไฟ แต่บางครั้งพบว่านางคล้ายแสร้งให้ฝ่ายตรงข้ามสยบได้ ทำให้คาดคิดว่านางแมงมุมขาวอาจมีวิธีการอันชั่วร้ายอื่นหมายทำร้ายต่อศัตรู
ซิเล้งพอถ่ายทอดเสียงชี้แนะฉี้อิงกับโค้วเพ้ง ตัวเองก็พลิ้วร่างมาอีกด้านหนึ่ง เก็บกวาดกิ่งไม้แห้งกองใหญ่ วางอยู่มุมกำแพงตึก
จากนั้นกลับมาบนกำแพงตึกสังเกตการณ์ต่อไป โค้วเพ้งก็เติมฟืนให้กองเพลิงลุกโชติช่วง ซิเล้งพลันส่งสัญญาณให้กับฉี้อิงหลังจากที่ตกลงกันก่อนแล้ว
ฉี้อิงพลันจู่โจมอย่างเร่งร้อน พลันภายในโหมทะลักออก ฝ่ายนางแมงมุมขาวต้านรับอย่างสุดชีวิต พลันสะบัดดับหนึ่ง ฟันท่อนไม้ที่ติดไฟในมือของฝ่ายตรงข้ามหักสลาย สีหน้าของนางพลันปรากฏแววลิงโลด
แต่ทว่าพฤติการณ์ของฉี้อิงครั้งนี้ เป็นแผนการล่อลวงศัตรู แลเห็นเรือนร่างของนางขยับวูบหนึ่ง กรีดผ่านฝ่ายตรงข้ามไป ทั้งสองฝ่ายยามเข้าประชิดติดพัน ฉี้อิงได้กระแทกดาบในมือขวาของคู่ต่อสู้ร่วงหล่น พร้อมกับจี้สกัดจุดเส้นที่ชายโครงนาง
นางแมงมุมขาว กระแทกกายลงบนพื้นดิน มิอาจขยับเขยื้อนอีก ยามนี้โค้วเพ้งได้วิ่งปราดตรงเข้ามา ในมือถือท่อนไม้ที่จุดไฟจนลุกช่วงโชติสิบกว่าท่อน
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ซิเล้งได้หอบเอากิ่งไม้แห้งมากองใหญ่ พุ่งข้ามกำแพงเข้ามา
ทั้งสามร่วมมือปฏิบัติงานอย่างรวดเร็ว จัดสร้างกองเพลิงเป็นวงกว้างอยู่รอบกายนางแมงมุมขาว ทั่วสี่ด้านนาง มีเพียงแห่งหนึ่งที่ปรากฏช่องว่างเล็กน้อย
ซิเล้งเสาะหาใบไม้แห้งมาส่วนหนึ่ง จัดวางเป็นรูปเกือกม้า รายล้อมอยู่รอบนอกของช่องว่างแห่งนั้น สามารถก่อไฟเผาไหม้ขึ้นทุกโอกาส
โค้วเพ้งวุ่นวายอยู่กับการเพิ่มเชื้อเพลิง ยังประเสริฐที่สถานที่นี้มีท่อนไม้ใบไม้แห้งอยู่มากมาย สามารถเสาะพบอย่างมิลำบาก ซิเล้งกล่าวว่า
“รออีกครู่หนึ่งย่อมต้องมีเหตุเปลี่ยนแปลง ขอให้คอยสังเกตดู”
นางแมงมุมขาวนอนหงายอยู่ในกองเพลิง แลเห็นดวงตาทั้งคู่พริ้มสนิท คล้ายดั่งหลับไหล เค้าหน้างามสะคราญ ผิวกายขาวสล้าง แต่ทว่าผมเผ้าสีขาวทั่วศีรษะ ทำให้บาดตาเป็นพิเศษ
ทันใด อาภรณ์สีดำบริเวณหว่างเอวของนางสั่นพริ้วเล็กน้อย คล้ายดั่งมีวัตถุใดอยู่ภายในกำลังดิ้นรนคิดเคลื่อนไหว
ซิเล้งร้องโพล่งว่า
“พวกท่านคอยดู ข้าพเจ้าคาดคะเนได้มิผิด นางปีศาจนี้ร้ายกาจยิ่งนัก แม้ตกตายยังสามารถทำร้ายผู้คน”
ฉี้อิงถามว่า
“นั่นเป็นวัตถุใด?”
“เทพแมงมุม ข้าพเจ้ามิทราบว่าสัตว์พิษชนิดนี้มีลักษณะอย่างไรแต่ได้ยินนางพาดพิงถึงหลายครา คงมีความดุร้ายอย่างยิ่งยวด”
“มีเหตุผล นางไม่มีโอกาสปล่อยสัตว์พิษชนิดนั้นออกมาตลอดเวลา แต่หวังว่ากองเพลิงนี้สามารถสกัดเหล่าแมงมุมพิษได้”
แลเห็นในเสื้อดำของนางแมงมุมขาว ปรากฏวัตถุเลื้อยมุดออกมาแล้ว ซิเล้งกับฉี้อิงต่างเพ่งสายตามองไป แลเห็นเป็นแมงมุมที่โตกว่ากำปั้นตัวหนึ่ง หมอบนิ่งอยู่บนร่างของนาง
จากนั้นแมงมุมสีดำอีกตัวหนึ่ง เลื้อยคลานออกมานอกอาภรณ์ ทั้งสองตัวเลื้อยคลานไปตามเท้าทั้งสองข้างของนางแมงมุมขาว พริบตาเดียวอยู่บนพื้นดิน
ซิเล้งกล่าวว่า
“ตำแหน่งที่ปลายเท้าของนางแมงมุมขาวยื่นเหยียดออกไป เป็นช่องว่างเพียงแห่งเดียวของวงเพลิง แสดงว่าแมงมุมดำทั้งสองตัวเกรงกลัวเปลวเพลิงจริงๆ สัตว์พิษชนิดนี้สายตาไม่ดีเลิศ มิอาจแลเห็นสภาพรอบกาย เพียงรู้สึกทางด้านนั้นมีอัคคีเพลิงอ่อนล้ากว่า จึงคิดฝ่าออกจากช่องว่างแห่งนั้น”
ขณะกล่าววาจาก็หยิบท่อนไม้ที่มีเปลวเพลิงลุกไหม้ขึ้นมาสองท่อนแบ่งท่อนหนึ่งต่อฉี้อิง ให้นางยืนหยัดอยู่อีกมุมหนึ่งของช่องว่างแห่งนั้น รอจนเทพแมงมุมดำทั้งสองตัวเลื้อยคลานมา ก็รีบจุดกองกิ่งไม้ที่สุมเป็นรูปเกือกม้าทางด้านนอก ให้ลุกไหม้ขึ้น
พร้อมกับนั้นก็ปิดสกัดช่องว่างรอยโหว่นั้น เพื่อให้แมงมุมพิษทั้งสองตัวไม่อาจหวนกลับไปอีก ซึ่งคราครั้งนี้ ซิเล้งหาคาดไม่ว่ากลับช่วยชีวิตของนางแมงมุมขาวอย่างบังเอิญ
ควรทราบว่าเทพแมงมุมดำเหล่านั้น มาตรแม้นจะถูกนางแมงมุมขาวเลี้ยงดูมาเนิ่นนานปี แต่สัตว์พิษชนิดนี้มีสันดานดุร้ายหากแม้นมิอาจออกจากวงล้อมอัคคี ถูกบีบบังคับเลื้อยคลานกลับมาถึงข้างกายของผู้เป็นเจ้าของ ในยามเดือดดาลก็มิคำนึงว่าจะเป็นผู้ใด มุ่งกัดกินเป็นอาหาร
เทพแมงมุมดำทั้งสองตัวพอเลื้อยคลานออกจากช่องว่างแห่งนั้น ซิเล้งกับฉี้อิงก็ลงมือโดยพร้อมเพียงกัน จุดไฟเผากองกิ่งไม้แห้งที่รอบนอกพร้อมกับเขี่ยวงล้อมอัคคีที่ลุกไหม้อยู่ก่อน นำเปลวเพลิงมาปิดสกัดช่องว่างไว้ โดยมีโค้วเพ้งคอยเพิ่มเติมเชื้อเพลิงอยู่ตลอดเวลา
เมื่อเป็นเช่นนี้ เทพแมงมุมดำทั้งสองตัว ได้แต่วุ่นวายอยู่ในรัศมีมิกี่เชียะ ท่วงท่าดุร้ายน่าพรั่นพรึงอย่างสุดแสน
ซิเล้งส่งเสียงกล่าวว่า
“เซี่ยวเพ้ง ท่านทางหนึ่งคอยเพิ่มเติมเชื้อเพลิงอีกทางหนึ่งสังเกตสัตว์พิษทั้งสองตัวนี้ พอแลเห็นเทพแมงมุมดำคิดฝ่าออกจากกองเพลิงก็รีบบ่งบอกกับพวกเรา”
โค้วเพ้งรับคำว่า
“ทราบแล้ว”
ซิเล้งกับฉี้อิงพากันเดินมาถึงข้างกายนางแมงมุมขาว ซิเล้งกล่าวว่า
“นางปีศาจนี้สามารถเลี้ยงสัตว์พิษที่ร้ายกาจถึงปานนี้ เรือนร่างย่อมต้องมีพิษอยู่ อย่าได้สัมผัสถูกร่างกายของนาง”
ฉี้อิงกล่าวว่า
“ท่านมีความคิดอันใด?”
“นางย่อมมิคาดคิดว่า พวกเราจะกักเทพแมงมุมดำของนางได้ พวกเราจะใช้สัตว์พิษสองตัวนั้นแลกเปลี่ยนเงื่อนไขกับนาง”
“นางมิรู้จักจับหาแมงมุมอื่นเลี้ยงดูหรือ?”
ซิเล้งกล่าวอย่างจริงจัง
“ขณะนี้ปัญหาอยู่ที่ จะทำให้นางมิประกอบกรรมสร้างความชั่วต่อชนชาวโลกได้อย่างไร สำหรับเทพแมงมุมดำ ย่อมมิใช่สัตว์พิษที่สามารถเสาะพบได้ง่ายดาย กลับมิเกรงว่านางจะมิยอมสยบ”
ฉี้อิงมิมีความเห็น เพียงพึมพำว่า
“สตรีนางนี้น่าหวั่นไหวยิ่งนัก ถึงกับชุบเลี้ยงแมงมุมพิษอันร้ายกาจติดตัว นับว่ามิเคยพบพานมาก่อนเลย”
ซิเล้งยามรับฟังก็รู้สึกมีเหตุผล จึงตกอยู่ในภวังค์ครุ่นคิดอันหมกมุ่นจนเงียบงันไป
ฉี้อิงก็มิรบกวน กลับมาสังเกตพิจารณาเทพแมงมุมดำที่อยู่ในวงล้อมอัคคี ซึ่งชั่วชีวิตของนางมิเคยพบเห็นแมงมุมที่น่าเกลียดน่ากลัวเช่นนี้เลย ทำให้สะอิดสะเอียนแทบอาเจียน นางกล่าวกับโค้วเพ้งว่า
“เซี่ยวเพ้ง เจ้าเกรงกลัวหรือไม่?”
โค้วเพ้งตอบ
“ข้าพเจ้ามักจับแมลงป่องมาเผาไม่กลืนกิน แต่แมงมุมมิเคยเล่นมาก่อน ความจริงก็เกรงกลัวแมงมุมอยู่บ้าง ตอนนี้กลับมิหวั่นไหว ยังคิดเข้าไปเล่นกับพวกมันด้วย นี่อาจจะมีสาเหตุจากการที่รับประทานจ้าวแมลงป่องตัวนั้นก็ได้”
ฉี้อิงรู้สึกพิศวงสงสัยกล่าวว่า
“วาจานี้หมายความกระไร?”
“ข้าพเจ้าหลังจากรับประทานเจ้าแมลงป่อง พอฟื้นตื่นมา รู้สึกร่างกายมีสภาพแตกต่างจากคราก่อน พลังกายเพิ่มพูนมากมาย เมื่อครู่หมัดเดียวของข้าพเจ้าก็ต่อยเอาคู่ต่อสู้จนตายไป ทั้งๆ ที่ยังมิทันกระแทกถูก”
“อืมม์ ความจริงเจ้าได้ชะล้างเส้นเอ็นเปลี่ยนแปลงโครงกระดูกแล้ว ร่างกายแข็งแกร่ง ดาบกระบี่ยากทำร้าย แม้แต่นางปีศาจผู้นั้นคิดดูดโลหิตของเจ้า ยังมิสามารถขบหลอดโลหิตแตกออกได้”
โค้วเพ้งอุทานดังอ้อ สายตาเหลือบแลไปยังนางแมงมุมขาว จับจ้องอยู่ครู่หนึ่ง พลันถามฉี้อิงว่า
“นางรูปโฉมน่าดูยิ่ง ไฉนผมเผ้ากลับขาวโพลง? เหี้ยมโหดชั่วร้ายด้วย?”
“นั่นมีแต่ถามนางแล้ว”
ซิเล้งร้านฉุกใจได้คิด เรียกหาฉี้อิงเข้ามา ให้คลี่คลายจุดของนางแมงมุมขาว แน่นอนเพียงแต่ให้นางสามารถเอื้อนเอ่ยวาจา หาได้คืนอิสรภาพแก่นางไม่
นางแมงมุมขาวพลันลืมตาขึ้น รู้สึกตลอดเรือนร่างอ่อนล้าระโหย ขยับปากอยู่หลายครา แต่ปราศจากสำเนียงดังออกมา
ซิเล้งกับฉี้อิงมิทราบนางมีจุดมุ่งหมายอย่างไร พลันได้ยินโค้วเพ้งร้องว่า
“แมงมุมพิษทั้งสองตัวคล้ายกับตายแล้ว กระดอนขึ้นมาจนสูงลิบ”
ซิเล้งเข้าใจในบัดดลกล่าวเสียงเย็นชาว่า
“โกวเนี้ย ท่านคิดเรียกเทพแมงมุมดำมาจัดการกับพวกเราใช่หรือไม่? อย่าว่าแต่ข้าพเจ้ากักกันสัตว์พิษเหล่านั้นได้แล้ว มาตรมิเช่นนั้นอาศัยแมงมุมเพียงสองตัว ก็มิอาจทำร้ายข้าพเจ้าเลย”
นางแมงมุมขาวกระชากเสียงว่า
“เจ้าอย่าได้ประโคมโหมไป ฉี้อิงเมื่อครู่ยังตกอยู่ในพยุหแมงมุมฟ้าของเรา แทบพ่ายแพ้เสียที อย่าว่าแต่เทพแมงมุมดำจะออกอาละวาดเองเลย”
“อ้อ ที่แท้เทพแมงมุมดำชนิดนี้สามารถพ่นสายใยพัวพันศัตรูได้ ถ้าเช่นนั้นก็ยากลำบากต่อการป้องกัน แต่ข้าพเจ้าสามารถใช้ดาบกำจัดมันก่อน นี่คงมิใช่เรื่องราวที่ยุ่งยากเลย”
“เฮอะ ทางที่ประเสริฐ เจ้าทดสอบดูเถอะ”
ซิเล้งกลับยิ้มพลางกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าไม่หลงกลอุบายครั้งนี้ ในคราคาดคะเนของข้าพเจ้า ท้องของแมงมุมพิษชนิดนี้ คงพิสดารยิ่ง ยามใช้ดาบฟันลง หากมิใช่ปรากฏน้ำพิษสาดกระเซ็น ก็มีควันพิษพวยพุ่งออก ใช่หรือไม่?”
นางแมงมุมขาวเงียบงันมิตอบคำ ซิเล้งกล่าวเสียงราบเรียบ
“ข้าพเจ้าใช้วงล้อมอัคคีกักตัวเทพแมงมุมดำของท่าน แต่มิมีจิตทำร้ายมัน”
นางแมงมุมขาวมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไป ดวงตาสีเขียวทั้งคู่จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าซิเล้ง จวบจนบัดนี้นางเพิ่งพบว่า บุรุษหนุ่มเบื้องหน้าสง่างามยิ่งนักและยังมีพลังอันมหาศาลยากต้านทานสยบมันได้ เฉกเช่นกับผู้เป็นซือแป๋ อลัชชีโลกันตร์
ชั่วชีวิตของนาง เหล่าบุรุษเพศมีแต่อลัชชีโลกันตร์ที่ทำให้นางเคารพยำเกรง บุรุษเพศอื่นพอพบพานนาง ก็ต้องถูกสยบ กลับกลายเป็นข้าทาสมีดวงตามรกตหรือนัยน์ตาแดงฉาน มิอาจกล่าววาจาไม่มีความนึกคิด เชื่อฟังคำสั่งของนางเท่านั้น
บัดนี้กลับปรากฏซิเล้ง ซึ่งมีเสน่ห์ดึงดูดของบุรุษเพศ คุกคามนางจนหวั่นไหว ได้ยินนางแมงมุมขาวกล่าวอย่างแช่มช้าว่า
“ตกลง นับว่าท่านได้ชัย ขอให้มอบเทพแมงมุมดำคืนแก่เรา”
ซิเล้งสำนึกดีว่า บุคคลที่ผิดแผกจากสามัญชนเช่นนั้น พฤติการณ์และความนึกคิดประหลาดพิกลอีกแบบหนึ่ง หากคิดไต่ถามความลับจากนาง ก็ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ
ตนกล่าวว่า
“คืนให้แก่ท่านก็ได้ ข้าพเข้าแม้ยึดครองเทพแมงมุมดำก็ไร้ประโยชน์ แม้กำจัดทิ้งไปยังปราศจากคุณค่า”
“ย่อมแน่นอน ในใต้หล้ามีเราที่บังคับเทพแมงมุมดำได้ ผู้อื่นหากได้ไปก็มิรู้จักวิธีป้อนอาหาร สุดท้ายมันผู้นั้นต้องถูกกัดกินเป็นอาหาร และมิถึงสิบวันผู้คนและสัตว์เลี้ยงในรอบรัศมีร้อยลี้ ก็ต้องตกตายจนหมดสิ้น”
ซิเล้งสะท้านใจอย่างรุนแรง แต่พยายามมิแสดงออกจากสีหน้ากล่าวว่า
“ร้ายกาจถึงปานนั้นหรือ ความสามารถของเท่านับว่าใหญ่หลวงนัก สามารถพกติดตัวโดยมิเกรงว่าจะถูกเทพแมงมุมดำกัดกิน”
“ไม่ สัตว์พิษชนิดนี้พอหิวโหยก็จะกัดกินเราด้วย เพียงแต่เรามิเคยลืมเลือนการป้อนอาหารให้”
“อ้อ อลัชชีโลกันตร์เกรงกลัวเทพแมงมุมดำชนิดนี้หรือไม่?”
นางแมงมุมขาวขบคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว
“ซือแป๋ของเรามิใช่หวาดหวั่น หากแต่มีวิธีการสยบควบคุม และมียาขจัดพิษจากเล็บขาของเทพแมงมุมดำจึงนับว่ามิเกรงกลัว”
ซิเล้งมีเจตนาอ้างอิงเทพแมงมุมดำ พาดพิงไปถึงอลัชชีโลกันตร์จึงมิยอมละเลยเบาะแสนี้กล่าวอีกว่า
“เมื่อเป็นเช่นนี้ บุคคลในสังกัดอลัชชีโลกันตร์ขอเพียงได้รับยาขจัดพิษจากมัน ก็มิเกรงกลัวเทพแมงมุมดำแล้ว”
นางแมงมุมขาวสั่นศีรษะกล่าวว่า
“บุคคลอื่นได้ตัวยาไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่าซือแป๋ของเราทั้งผิวกายเลือดเนื้อ เส้นเอ็น กระดูกและสายโลหิตล้วนมีธาตุพิษอยู่ ผิดแผกจากปุถุชนทั่วไป”
“ถ้าเช่นนั้น ท่านไฉนมิหวั่นเกรงเล็บพิษของแมงมุม หรือธาตุโลหิตบนร่างกายของท่าน ก็มีเชื้อพิษอยู่ด้วย”
“มิผิด เราตั้งแต่เยาว์วัยก็เติบใหญ่อยู่ในถ้ำแมงมุม กลืนกินตัวยาพิสดารชนิดต่างๆ ที่สามารถต้านทานพิษแมงมุมทุกประเภท มิแน่นักว่า เทพแมงมุมดำนี้หากกัดกินเลือดเนื้อของเราแล้ว กลับจะถูกพิษแทรกซึมจนตายไป”
วาจาเหล่านี้ รับฟังจนฉี้อิงขนลุกเกรียวกราวไปทั่วร่าง รีบเดินห่างไปอีกทางหนึ่ง
ซิเล้งกลับถามว่า
“ท่านความจริงเป็นชนชาวเมืองใด? อยู่ในสังกัดอลัชชีโลกันตร์ตั้งแต่เมื่อใด?”
“เราความจริงเป็นชาวเมืองฉี้น้ำ เมืองอายุเจ็ดปีก็อยู่ในถ้ำแมงมุมร่วมกับทารกหญิงอีกห้าคน แต่มีเราที่รอดชีวิตเพียงลำพัง ที่หลงเหลือล้วนตกตาย ตอนนี้เรากลับกลายเป็นบุคคลในสถาบันอำมหิต ฝึกปรือฝีมือร่ำเรียนตำรา และผสมตัวยา รู้สึกสนุกสนานยิ่ง”
ซิเล้งอดขนลุกชี้ชันมิได้ ถามอีกว่า
“บุคคลร่วมสำนักกับท่านมีมากมายเพียงใด?”
“เรารู้จักเพียงสองสามคน แต่ซือแป๋บอกว่าเรายังมีซือเฮียซือเจ้ที่ทรงความรู้อีกมากมาย รวมทั้งบริวารจำนวนสุดคณานับ เพียงแต่เรามิเคยมีโอกาสพบพาน”
“เพราะเหตุใด?”
“เราหลังจากฝึกปรือฝีมือ ก็ต้องเที่ยวเสาะหาตัวยา ไหนเลยมีเวลาพบพานผู้อื่น คราแรกที่ฝึดหัดวิชา ล้วนเป็นเวลายามวิกาลซึ่งย่อมปราศจากผู้คน”
ซิเล้งเข้าใจได้ รู้สึกว่าชะตาชีวิตของนาง ก็น่าเวทนาสงสาร ต้องบังเกิดความเห็นอกเห็นใจ
นางแมงมุมขาวกวาดสายตาออกไปนอกวงล้อมอัคคีกล่าวว่า
“เทพแมงมุมดำของเราอยู่ที่กองเพลิงแห่งหนึ่งใช่หรือไม่?”
ซิเล้งผงกศีรษะ นางจึงกล่าว
“หากแม้นท่านมิปิดสกัดทางถอย เทพแมงมุมดำพอถูกบังคับกลับมา ก็ต้องดาลเดือดและทำร้ายเรา เรากลับต้องขอบคุณท่าน!”
ซิเล้งรู้สึกว่า นางยังมีน้ำใจของมนุษย์หลงเหลืออยู่ จึงประหลาดใจยิ่งนักกล่าวว่า
“โกวเนี้ยกลับมิต้องขอบพระคุณ มิว่าอย่างไรท่านยังไม่อาจเสียสละสัตว์พิษชนิดนี้ ต้องการนำติดตัวอีกต่อไป สักวันหนึ่ง เทพแมงมุมดำจะมีสันดานดุร้ายกำเริบ และทำอันตรายต่อท่าน”
นางแมงมุมขาวถอนหายใจกล่าวว่า
“นั่นก็เป็นเรื่องอับจนปัญญา เพราะว่าตัวยาที่ซือแป๋เราให้ไปเสาะหา ล้วนแต่อยู่ในหุบเขาร้างบรรพตสูงชัน เปี่ยมภยันตรายหวาดเสียว เราหากมิมีการช่วยเหลือจากเทพแมงมุมดำก็มิอาจไปถึงได้”
“อาศัยพลังฝีมือเฉกเช่นท่าน ยังมีสถานที่ซึ่งเร่งรุดไปมิได้อีกหรือ?”
“ท่านยังมิทราบ ภายในบรรพตเทือกทิวเขาอันรกร้าง ยังมีสถานที่ซึ่งแม้ลิงค่างก็ขึ้นไปมิได้อยู่มากมาย เราหากมิได้รับความช่วยเหลือจากใยแมงมุม ก็ต้องพลัดตกลงมาจนตกตายแล้ว โอเราแม้เสาะแสวงหาตัวยามาได้มากมาย ก็ปราศจากคุณค่า ยังต้องตรากตรำลำบากต่อไปอีก”
ซิเล้งถามอย่างระมัดระวังว่า
“ของสิ่งใดที่ปราศจากคุณค่า?”
“ก็คือยาวิเศษที่เสาะหามาเหล่านั้น เราเนื่องจากภายในร่างมีเชื้อพิษแทรกซึม ทำให้ผมเผ้าต้องขาวโพลงไป และยากที่จะมีชีวิตอยู่ ซือแป๋เราให้เทียบยาใบหนึ่ง ซึ่งหากรับประทานแล้ว ผมเผ้าจะกลับคืนเป็นสีดำ เราจึงเที่ยวเสาะหาตัวยาตามใบแจ้งที่ระบุไว้ แล้วนำตัวยากลับไปทดลอง แต่ล้วนมิประสบผล”
ซิเล้งพลันฉุกใจได้คิดคำนึงในใจ
“…อลัชชีโลกันตร์คิดอาศัยความรู้สึกที่รักสวยรักงามตามธรรมชาติของนาง หลอกลวงให้นางไปเสาะหาตัวยามีค่าต่างๆ แต่วาจาเหล่านี้มิมีหลักฐานมายืนยันยังคงอย่าได้บ่งบอก หาไม่แล้วนางหากแพร่งพรายต่ออลัชชีโลกันตร์ กลับทำให้นางสูญเสียชีวิต…”
ควรทราบว่าบุคคลที่เลือดเย็น ลึกซึ้ง ชั่วร้าย เฉกเช่นอลัชชีโลกันตร์ หากล่วงรู้ว่านางแมงมุมขาวระแวงสงสัยมัน ย่อมต้องลงมือสังหารนางเสียก่อนเป็นการกำจัดเภทภัยในภายหลัง
ซิเล้งมิกล้าซักไซ้ถึงความเป็นมาของบุรุษชุดดำ เพียงถามได้ความว่าบุคคลเหล่านั้น รับประทานยาพิษที่อลัชชีโลกันตร์ปรุงขึ้น กลับกลายเป็นสภาพเช่นนี้ ยามวิกาลจะมีพละกำลังมหาศาล ยามทิวากลับอ่อนแอใช้การมิได้ และหลับไหลอยู่ตลอดเวลา
เกี่ยวกับจ้าวแมลงป่อง ตามคำบอกเล่าของอลัชชีโลกันตร์ หากได้เนื้อจ้าวแมลงป่องผสมกับตัวยาจะทำให้ผมขาวของนางกลับกลายเป็นดำสนิท แต่บัดนี้พลาดโอกาสได้ไปแล้ว
ซิเล้งขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงถามนางแมงมุมขาวว่า
“ท่านนอกจากเสาะหาจ้างแมลงป่องตัวนี้ ยังมีตัวยาอื่นต้องสืบเสาะอีกหรือไม่?”
“ยังมีงูพิษชนิดหนึ่ง ประสิทธิภาพทัดเทียมกับจ้าวแมลงป่อง แต่ยากที่จะพบพาน ซือแป๋บอกว่าหากไม่ได้จ้าวแมลงป่อง ก็จับฮ่วยกุกตั่วตั๊กจั้ว (อสรพิษสลายกระดูก) ชนิดนั้นกลับไปก็ได้”
“ประเสริฐมาก ท่านก็ไปเสาะหาอสรพิษสลายกระดูกนั้นเถอะ ภายหน้าหากแม้นซือแป๋ท่านสูญเสียชีวิต ข้าพเจ้ารับรองว่าจะเสาะหายอดคน ช่วยเหลือท่านผสานสร้างตัวยา มิทราบท่านเชื่อถือหรือไม่?”
นางแมงมุมขาวงงงันไปชั่วครู่ จึงกล่าว
“มิทราบว่าเหตุใด เราเชื่อถือวาจาของท่านยิ่ง แต่ซือแป๋เราจะมิตกตายเด็ดขาด ท่านผู้เฒ่ามีอายุหนึ่งร้อยปีเศษแล้ว และจะยืนยงไปตลอดกาล”
“มิว่าอย่างไร เรื่องราวในวันนี้ท่านมิอาจถ่ายทอดต่อผู้อื่นเด็ดขาด ตกลงหรือไม่?”
“ก็ได้ หากแม้นเราบอกกล่าวกับท่านผู้เฒ่า ท่านคงไม่อาจมีชีวิตรอด”
ซิเล้งยิ้มน้อยๆ คำนึงในใจ
“…เรากระทำไปเพื่อรักษาชีวิตของท่านต่างหาก ไหนเลยเกรงกลัวการไล่สังหารจากอลัชชีโลกันตร์ด้วย…”
ตนย่อมมิกล่าวเช่นนั้นออกไป ตนยังมีเงื่อนไขอีกข้อหนึ่ง จึงกล่าว
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง กล่าวคือทุกผู้คนในใต้หล้ามิว่าจะเป็นบุรุษ สตรี ชรา เยาว์วัย ล้วนเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับพวกเรา ล้วนคิดมีชีวิตอยู่สืบไป ท่านไม่อาจใช้วิชาที่ฝึกปรือมากับเทพแมงมุมดำ ทำร้ายชีวิตผู้คนตามอารมณ์”
นางแมงมุมขาวกล่าวว่า
“ซือแป๋กำชับให้เรา อย่าได้คบค้าหาสู่กับบุคคลอื่น ท่านผู้เฒ่าบอกว่า ชนชาวโลกล้วนชั่วร้าย ยามใดที่มีผู้คนมาชิดเชื้อก็สังหารเสียเลย!”
“ท่านเข้าใจว่า ข้าพเจ้าเป็นคนชั่วร้ายหรือไม่?”
“ย่อมไม่”
“นั่นก็ถูกแล้ว ความจริงในใต้หล้ายังมีคนดีงามอยู่มิน้อย ดังนั้นภายภาคหน้าท่านมิอาจทำร้ายผู้หนึ่งผู้ใด เป็นอย่างไร?”
นางแมงมุมขาวก็รับปากตกลง ซิเล้งกลับระแวงขึ้นมา กล่าวว่า
“ท่านสามารถไม่ทำลายผู้คนจริงๆ?”
นางแมงมุมขาวแย้มยิ้มออกมา รอยยิ้มงามสะคราญปานบุปผาเบ่งบานกอปรกับผมขาวตามรกตกกลับเป็นเสน่ห์ดึงดูดอันพิสดารอีกแบบหนึ่งได้ยินนางกล่าวว่า
“เรื่องนี้กลับมิลำบาก เราจะทำใจมิสังหารผู้ใด แต่หากมีบุคคลมารุกราน เราจะให้มันกลืนกินตัวยากลับกลายเป็นข้าทาสบริวาร”
ซิเล้งห้ามมิให้นางใช้ตัวยาทำร้ายผู้ใดอื่นอีก ซึ่งนางหากยอมปฏิบัติตามก็จะคืนเทพแมงมุมดำทั้งสองตัวให้
นางแมงมุมขาวครุ่นคิดแล้วค่อยกล่าวว่า
“ตกลง ประหลาดแท้ เราไฉนรู้สึกว่าต้องเชื่อฟังวาจาของท่าน?”
ฉี้อิงสาวเท้าก้าวเขามา ยิ้มพลางกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าทราบสาเหตุได้ เนื่องเพราะเขาเป็นบุคคนอันดีงาม วาจาของเขาย่อมมิหลอกลวง หรือก่อเภทภัยใด”
นางแมงมุมขาวผงกศีรษะเห็นพ้อง พลางใช้สายตาอันเลื่อมใสจับจ้องฝ่ายตรงข้าม
ซิเล้งพิจารณาจนทราบซึ้งว่า นางแมงมุมขาวปราศจากเล่ห์เพทุบายแอบแฝงอยู่ จึงตบคลายจุดเส้นที่นางถูกสกัดไว้กล่าวว่า
“พวกเราจะไปแล้ว พบกันครั้งหน้าท่านคงมีผมเผ้าที่ดำสนิทแล้ว”
ฉี้อิงก็ร่ำลาจากไป ในค่ำคืนนั้นก็ออกจากสถานที่แห่งนี้
ขณะเร่งรุดบนถนนหลวงซิเล้งกล่าวกับฉี้อิงว่า
“ท่านเมื่อครู่นี้พอเข้สู่วงสนทนา ข้าพเจ้าพลันรู้สึกหวั่นวิตกกังวล”
ฉี้อิงหัวร่อพลางกล่าวว่า
“อย่าได้เข้าใจว่าข้าพเจ้ามีจิตริษยาหึงหวง คราก่อนกี้เฮียงเค้งเจ้เจ๊เคยกล่าวว่าท่านเป็นผู้ยึดมั่นในธัมมะ ให้เราเชื่อถือท่าน หากมีสตรีอื่นมานิยมท่าน ก็ขออย่ามีจิตหึงหวง เนื่องเพราะนั่นเป็นเรื่องราวที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงพ้น”
“เหตุไฉนมิอาจหลีกเลี่ยงพ้น?”
“เพราะท่านคมคายสง่างามเกินไป”
ซิเล้งสั่นศีรษะมิเห็นพ้องกล่าวว่า
“กิมเม้งตี้คมคายกว่าข้าพเจ้ามากนัก มันนิยมท่านแต่ท่านหามีจิตปฏิพันธ์ไม่ แสดงว่าความสง่างามเป็นเรื่องหนึ่ง อิสตรีชมชอบหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
“วาจานี้ก็มีเหตุผล แต่ประการสำคัญ กี้เจ้เจ๊ทำนายชะตาของท่านว่า จะมีนงคราญมาพัวพัน ยากสลัดหลุดได้”
“เหลวไหล ท่านก็เชื่อถือนางด้วย?”
“นางทำนายพยากรณ์ได้แม่นยำดั่งเทพยดา ข้าพเจ้าย่อมเชื่อถือ”
ซิเล้งมิเกี่ยงงอนด้วย กล่าวเสเรื่องว่า
“อาอิง เกี่ยวกับเซี่ยวเพ้งย่อมมีคุณประโยชน์อย่างยิ่งยวดต่อพวกเรา”
“นั่นย่อมแน่นอน ข้าพเจ้าตระเตรียมถ่ายทอดวิชาเทพยดาคุ้มครองร่าง ชนิดที่ดาบกระบี่มิกล้ำกราย ฤดูกาลไม่อาจคุกคามแขนงหนึ่งให้กับมัน คาดว่าภายภาคหน้ามันสามารถช่วยเหลือพวกเรากระทำเรื่องราวได้มิน้อย”
“กล่าวถึงวิชาพิทักษ์กาย ข้าพเจ้าหวนนึกถึงคำบอกเล่าของซือแป๋ ท่านเคยอ้างว่าผู้อาวุโสแซ่เสียวรู้จักวิชากิมเล้งเยี่ยวเถียว (มังกรทองพิทักษ์เสา) ประการหนึ่ง แต่วิชานี้ต้องเป็นผู้ที่มีธาตุอัคคีบริสุทธิ์จึงฝึกฝนได้ ซือแป๋เรามิเข้าใจว่า ท่านผู้อาวุโสแซ่เสียวรู้จักวิชานี้ได้อย่างไร และจะมีประโยชน์อันใด?”
ฉี้อิงกล่าวว่า
“ต้องการให้ข้าพเจ้าอธิบายหรือไม่ วิชาประเภทนั้นมิใช่ว่าผู้มีร่างกายบริสุทธิ์จะฝึกปรือสำเร็จ ยังต้องมีภูมิปฏิภาณมาแต่กำเนิด มีอุปนิสัยเข้มแข็งแกร่งกร้าว ไม่ถนัดในการใช้เล่ห์อุบาย และจิตใจบากบั่นไม่ย่อท้อจึงจะฝึกฝนได้
โดยทั่วไปแล้ว บุรุษเพศที่มีนิสัยห้าวหาญเช่นนั้น ย่อมง่ายดายต่อการถูกผู้อื่นใช้เป็นเครื่องมือ แต่หากฝึกปรือวิชานั้นก็สามารถคุ้มครองตัวเองอย่างเหลือเฟือ ช่วยให้พิภพนี้ยังหลงเหลือบุรุษที่แข็งแกร่งน่ารักอยู่บ้าง”
ซิเล้งหัวร่อพลางกล่าวว่า
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ยังประเสริฐที่เซี่ยวเพ้งอายุเยาว์วัย มาตรมิเช่นนั้น ข้าพเจ้าไม่อิจฉาหึงหวงก็แปลกไปแล้ว”
ฉี้อิงมิแยแสสนใจยังคงกล่าวว่า
“เซี่ยวเพ้งแม้มิใช่คนโง่เขลา แต่อุปนิสัยสัตย์ซื่อยึดมั่น เป็นบุคคลที่ง่ายต่อการถูกล่อลวง แต่เหตุผลที่ทำให้ข้าพเจ้าคิดถ่ายทอดวิชาเทพยดามังกรพิทักษ์ ก็เพราะมันกลืนกินจ้าวแมลงป่องเข้าไป ร่างกายกลับกลายเป็นแข็งแกร่งราวเหล็กไหล
ตามการคาดคำนวณของข้าพเจ้า พลังภายในของมันเข้มแข็งยิ่งนัก เพียงแต่ไม่มีวิถีการใช้ออก บุคคลอื่นหากฝึกปรือวิชานี้ อย่างน้อยต้องสูญเสียเวลายี่สิบปี สำหรับเซี่ยวเพ้งคิดว่าใช้เวลาเพียงแปดหรือสิบวันเท่านั้น”
พวกซิเล้งพลันหันเหทิศทางไม่หวนกลับสู่ตัวเมืองไคฮง เร่งรุดไปทางทิศทางตะวันตกเฉียงใต้ มินานให้หลังก็ล่วงล้ำเข้ามาในตัวเมืองแห่งหนึ่ง
ขณะนี้ยามสามผ่านพ้นไปแล้ว ตลอดตัวเมืองล้วนเงียบสงัด พวกซิเล้งย่อมไม่สร้างความแตกตื่นให้กับชนชาวเมือง จึงผ่านเมืองนี้ไป
พอออกนอกเมือง พลันได้ยินเสียงระเบิดดังกึกกอง พอเบือนศีรษะมองไป เห็นแสงสีอันแพรวพรายกลุ่มหนึ่ง พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า พอลอยขึ้นสูงก็แตกระเบิดออก กระจายเป็นเส้นสายมากมาย เกลื่อนกลาดเด่นชัดบาดตา
ซิเล้งพลันกล่าวว่า
“พวกเราคงไม่มีเวลาอันสงบถ่ายทอดวิชาให้แก่เซี่ยวเพ้งแล้ว”
ฉี้อิงกล่าวว่า
“มิผิด นี่ย่อมต้องเป็นสัญญลักษณ์ที่บริวารของผู้กล้าหาญดาบทองได้ส่งออก พวกเราขณะผ่านตัวเมืองมา คงถูกขุมกำลังที่ฝ่ายตรงข้ามซุ่มซ่อนอยู่ประสบพบเข้า”
ซิเล้งชะงักเท้าลง ขบคิดอย่างเคร่งเครียด ชั่วครู่จึงกล่าวกับฉี้อิงอย่างจริงจัง
“ข้าพเจ้าจะแยกจากท่านไปสักหนึ่งชั่วยาม เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ก่อน”
ฉี้อิงถอนหายใจออกมากล่าวว่า
“ข้าพเจ้ากลับรู้สึกว่าท่านมิควรจากพวกเราไป…”
“ท่านอย่าได้ครุ่นคิดเหลวไหลแล้ว อาศัยพลังฝีมือของท่านย่อมสามารถรักษาตัวเองได้ ข้าพเจ้าปฏิบัติงานเพียงลำพังย่อมคล่องแคล่วกว่า ท่านรีบไปเถอะ เพียงจดจำทิศทางจนไม่หลงเดินก็ใช้ได้”
ฉี้อิงได้แต่นำพาโค้วเพ้งเร่งรุดไปยังทิศทางอันรกร้าง ซิเล้งรอจนนางจากไปไกลโข ค่อยเดินเหินตามทางหลวงเบื้องหน้า
หลังจากรอนแรมประมาณเจ็ดลี้ ผ่านตัวเมืองอีกแห่งหนึ่ง คราครั้งนี้ซิเล้งเข้าเมืองจากทางด้านข้าง เพียงผ่านบ้านเรือนมิกี่หลัง ก็ถูกสุนัขเฝ้าบ้าน ส่งเสียงเห่าหอนดังอื้ออึง
ซิเล้งรีบล่าถอยออกจากตัวเมือง เร่งรุดต่อไปอีกภายในระยะเวลาสั้นๆ ตนผ่านหมู่บ้านมาสามแห่ง ทุกครั้งพอล่วงล้ำถึง สุนัขก็ส่งเสียงเห่าหอน ตนก็ถอยหลบอ้อมทางผ่านไป
ทุกครั้งพอจากมา จะเสาะหาต้นไม้สูงใหญ่ หรือเนินดินสูงล้ำ ขึ้นไปสังเกตสภาพทางเบื้องหลัง ก็พบพานเงาคนเคลื่อนไหว คล้ายดั่งถูกส่งเสียงเห่าของสุนัข ทำให้เที่ยวเสาะค้นร่องรอยศัตรู
ซิเล้งเข้าใจดีว่า บุคคลเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ช่วยเหลือของผู้กล้าหาญดาบทอง มิเพียงไม่ใช่คนเลวร้าย ส่วนใหญ่กลับเป็นชาวบู๊ลิ้มที่ยึดถือธัมมะ
คราครั้งนี้ ผู้กล้าหาญดาบทองจูกงเม้งกลับล่อหลอกชาวธัมมะมาจัดการกับซิเล้ง สาเหตุประการแรกคือ ซิเล้งมิกล้าทำลายล้างชาวธัมมะอย่างอำมหิต
ประการสอง ซิเล้งหากลงมือทำร้ายผู้คนก็เท่ากับสร้างข้ออาฆาตกับบุคคลส่วนรวมขึ้น
ซิเล้งขณะอยู่ในความมืด ทางหนึ่งโลดแล่นวิ่งตะบึง ทางหนึ่งคอยคาดคำนวณแผนการของผู้กล้าหาญดาบทอง คำนึงในใจ
“…หากแม้นเรามิมีประสบการณ์ในวงนักเลง ครานี้ย่อมต้องตกหลุมพราง กลับกลายเป็นบุคคลอันชั่วร้าย ยากชำระล้างมลทินได้”
ทางเบื้องหน้าเป็นตัวเมืองใหญ่อีกแห่งหนึ่ง ซิเล้งพอเร่งรุดเข้าใกล้ก็จดจำออกว่าเป็นตัวเมืองตงเม้ง ซิเล้งพุ่งกายเข้าไปในเงามืดข้างทางหลวงก่อน ใช้สติปัญญาครุ่นคิด
“…คำนวณตามระยะเวลา ตั้งแต่ปรากฏสัญญาณอัคคีจนถึงบัดนี้ คงล่วงเลยเวลาไปมิน้อย หากแม้ผู้กล้าหาญดาบทองกับซือเฮียของมันอึ้งไถ่เริ่มเร่งรุดคงมาถึงสถานที่นี้ก่อนแล้ว
มาตรแม้นพวกมันมิได้มา สถานที่นี้ยังคงเป็นตำแหน่งสำคัญ ผู้กล้าหาญดาบทองหากปิดสกัดทางเข้าออกทั่วสี่ทิศของเมืองไคฮง ดินแดนแห่งนี้ย่อมต้องส่งยอดฝีมือมาเฝ้ารักษา…”
ซิเล้งกวาดมองตัวเมือง มืดทมึนที่ไกลตา คำนึงในใจ
“…เมืองนี้เราเคยผ่านมาสองครั้ง จดจำได้ว่ามีถนนกว้างใหญ่สองสามสายเท่านั้น แต่บ้านเรือนใหญ่โต กลับมีอยู่มิน้อย สถานที่เช่นนี้ย่อมลำบากแก่การตรวจตราดูแล มาตรแม้นเราเป็นผู้กล้าหาญดาบทองจะจัดการอย่างไร?…”
สำหรับข้อนี้ ซิเล้งครุ่นคิดเป็นเวลาเนิ่นนาน รู้สึกว่านอกจากจัดกำลังจำนวนมาก ลาดตระเวนตามจุดต่างๆ แล้ว ก็ปราศจากหนทางอื่น
ซิเล้งขบคิดใช้ปัญญา จวบจนชั่วครู่ให้หลังจึงตกลงใจได้ รีบเร่งรุดสู่ตัวเมือง ผ่านถนนเงียบสงัดสายหนึ่ง การปรากฏกายของตนก่อกวนให้สุนัขเห่าหอนดังเกรียวกราว
พร้อมกับนั้น รอบบริเวณก็แว่วสำเนียงสุนัขหอนรับดังระงม ซิเล้งก็รีบล่าถอย แต่เพิ่งวิ่งตะบึงได้สองสามวา ก็ปรากฏเงาร่างสองสายพลิ้วปราดพุ่งข้ามหลังคาตึกทางซ้ายมืออย่างว่องไว
ซิเล้งสะท้านใจอย่างรุนแรง สถานที่นี้ถึงกับมียอดฝีมือซุ่มซ่อนอยู่ จึงรีบขบคิดใคร่ครวญเบือนร่างถลันวูบเข้าไปในเงามืดของมุมดำแพงตึก
เงาร่างสองสายนั้น กรีดร่างลงบนท้องถนนล้วนพกอาวุธติดตัว วิชาท่าร่างคล่องแคล่วปราดเปรียว เหลือบแลเพียงวูบเดียวก็ทราบว่าเป็นยอดฝีมือมิใช่ชั่ว
พวกมันย่อมมีจุดประสงค์ไล่ล่าร่องรอยซิเล้ง ต่างแยกย้ายกันสำรวจสภาพรอบบริเวณ ค้นหาสถานที่ต่างๆ อย่างช่ำชองชำนาญ
ซิเล้งชมดูจนใจสะท้านหวั่นไหว สถานการณ์ครานี้ผิดความคาดหมายของตน ขบคิดมิออกว่า ผู้กล้าหาญดาบทองได้ผู้ร่วมฝีมือที่มีความสามารถสูงล้ำเช่นนี้ได้อย่างไร?
ยามนี้ ทั้งสองฝ่ายยังอยู่ห่างจากตนหลายวา แต่คำนวณจากการค้นหาอย่างว่องไว จะมาถึงตำแหน่งนี้โดยเร็วที่สุด
ซิเล้งขบคิดหาหนทางอย่างรวดเร็ว ฉกฉวยโอกาสที่ฝ่ายตรงข้ามแยกย้ายกระจายกำลังอยู่ สะบัดแขนพาร่างแนบติดกับกำแพง ลอยละลิ่วขึ้นไป
พอขึ้นถึงบนกำแพง ร่างก็รีบกลิ้งละลิ่วตกวูบไปเบื้องหลัง เห็นเป็นลานกว้างหน้าตึกของผู้อื่น ซิเล้งรีบถลันเข้าสู่ประตูด้านข้างทางซ้ายมือ ลัดเลาะพาร่างไปตามระเบียงทางยาวถึงตึกหลัง
ตลอดรายทางซิเล้งมุ่งความสนใจที่บนหลังคาตึกอย่างยิ่งยวด พบว่าบนหลังคาของอาคารหลังข้างเคียง คล้ายดั่งมีเงาคนเคลื่อนไหว แสดงว่าตนหากเตลิดหนีไปทางหลังคาตึก ย่อมต้องถูกฝ่ายตรงข้ามพบเห็นร่องรอย
สำหรับตึกหลังที่ซิเล้งมาถึงนี้ มีต้นไม้งอกเงยอยู่มิน้อย เหมาะกับการซ่อนเร้นแฝงกาย ซิเล้งรีบพุ่งปราดมาถึงประตูหลัง เผยออกเป็นช่วงเล็กๆ กวาดสายตาออกไปด้านนอก
แลเห็นเบื้องนอกเป็นตรอกซอยกว้างขวางสายหนึ่ง ด้านตรงข้ามประจวบเหมาะกับมีตัวตึกสูงตระหง่านอยู่หลังหนึ่ง หากมีผู้คนเฝ้าดูจากเบื้องสูง ก็สำรวจสภาพของตรอกซอยสายนี้ได้
เพียงแต่ว่า หากแม้นคนเฝ้าดูทางด้านบนมิใช่ชนชั้นยอดฝีมือ ซิเล้งอาจสามารถพุ่งผ่านสายตาหลบหนีต่อไปได้
เพื่อพิสูจน์ให้รู้แจ้ง ซิเล้งพอคำนวณระยะแล้ว ก็หยิบหินเล็กๆ ก้อนหนึ่ง สะบัดเหวี่ยงออกไป ก้อนหินแหวกฝ่าอากาศร่วงหล่นลงบนแผ่นกระเบื้องที่ห่างไปสี่วา ก่อเกิดสำเนียงดังสดใส
ท่ามกลางราตรีอันสงัดเงียบ กระแสเสียงนี้จึงกังวานเป็นพิเศษ ซิเล้งมุ่งความสนใจที่ตึกรามหลังตรงข้าม พลันเห็นศีรษะหัวหนึ่งปรากฏออกมา สำรวจที่มาของสำเนียงอย่างหมกมุ่น
ซิเล้งถึงกับร้องคร่ำครวญในใจอย่างหวนโหยคำนึงขึ้น
“…ผู้ช่วยเหลือของจูกงเม้ง ไฉนมียอดฝีมือมากมายปานนี้ สำเนียงครานี้ห่างจากตึกหลังตรงข้ามถึงห้าวา หากแม้นเป็นชนชั้นต่ำต้อย ย่อมยากจะได้ยินได้…”
ซิเล้งพลันล้มเลิกความคิดหมายหลบหลีกจากสถานที่นี้วกกลับเข้าสู่ตึกชั้นใน เดินเหินตามทางระเบียงอย่างระมัดระวัง มักเสาะหาที่ซุกซ่อนร่องรอย แล้วค่อยรุดหน้าครั้งละช่วงใหญ่
ซิเล้งเดินผ่านระเบียงช่วงนี้สุดสิ้น แล้วจึงพุ่งปราดเข้าไปในตัวตึกหลังหนึ่ง เรือนร่างเพิ่งซ่อนเร้นได้ ก็ปรากฏเงาร่างสายหนึ่งพุ่งควับลงมาที่หน้าตึก
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป