๑๙
♦ อุบัติการณ์สะท้านขวัญ ♦
……………
ที่แท้ตามหลักทั่วไป หากแมลงป่องถูกต่อยใส่ก็ใช้น้ำลายของหอยทากถูทาจะขจัดพิษได้ เพียงแต่แมลงป่องตัวนั้นมีลักษณะใหญ่โตและเขี้ยวหางเป็นสีขาว ซิเล้งวิตกว่าน้ำลายของหอยทาก อาจมิสามารถช่วยเหลือได้
หลังจากผ่านการเสาะหาหอยทากจนถึงยามค่ำมืดยังมิได้พบพานแม้แต่ตัวเดียว
ฉี้อิงพลันส่งเสียงร้องมาว่า
“อาเล้ง เซี่ยวเพ้งคล้ายดั่งมิใช่ถูกพิษแทรกซึม”
ซิเล้งหวนกลับมาถามว่า
“ท่านพบเห็นอันใด?”
“ร่างกายของเซี่ยวเพ้งแม้ร้อนรุ่มน่าตระหนก แต่ลมหายใจสม่ำเสมอ คล้ายกับเป็นการผ่อนปรนลมปราณของผู้มีพลังการฝึกปรืออันลึกล้ำ มิหนำซ้ำโครงกระดูกภายในร่างกายของมันยังมีสำเนียงดังเกรียวกราวผิดปรกติ”
ซิเล้งฉุกใจได้คิดกล่าวว่า
“ท่านวางมันลงบนพื้นดิน คาดว่าร่างกายมันกำลังเปลี่ยนแปลงโครงกระดูกอย่างแน่นอน”
ตนตรวจตราดูทารกใหญ่ที่คมคายและแข็งแรงผู้นี้โดยละเอียดแล้วกล่าวต่อ
“มันกลืนกินแมลงป่องพิษตัวหนึ่งลงไปจึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ หากเนื้อของแมลงป่องทำให้มันชะล้างกล้ามเนื้อเปลี่ยนแปลงกระดูกได้ ท่านก็จัดการโยกคลอนร่างของมัน ซึ่งจะก่อเกิดประโยชน์ยิ่งขึ้น”
หากเป็นอิสตรีสามัญ ย่อมยากที่จะโยกคลอนทารกใหญ่ที่ล่ำสันผู้หนึ่งได้ แต่ฉี้อิงมิใช่ชนชั้นธรรมดา สามารถโยกไหวร่างกายของโค้วเพ้งโดยมิสูญเสียเรี่ยวแรง จนบังเกิดสำเนียงเพียะพะดังตลอดเวลา
ซิเล้งกล่าวอย่างแย้มยิ้มว่า
“พวกเราหากคาดคะเนมิผิด ทารกผู้นี้มีวาสนาปาฏิหาริย์ ผู้ฝึกปรือฝีมือ หากคิดรุดหน้าถึงขั้นชะล้างกล้ามเนื้อเปลี่ยนโครงกระดูก มิทราบต้องสูญเสียความพยายามสักเท่าใด สำหรับกับผู้ฝึกฝนฝีมือคราครั้งนี้อย่างน้อยต้องเพิ่มพูนพลังการฝึกปรือถึงยี่สิบปี”
ฉี้อิงรู้สึกเช่นนี้ด้วย พลางโอบอุ้มโค้วเพ้งออกจากตัวตึกอันมืดทึบนี้ กลับมาในสถานที่เดิม ซิเล้งจัดหาหญ้าแห้งกองหนึ่งมาปูลาดบนพื้นดิน เพื่อให้โค้วเพ้งหลับนอน
หนึ่งบุรุษหนึ่งดรุณี นั่งแอบอิงเคียงข้างกันอยู่ข้างกองหญ้า เพิ่งมีโอกาสได้สนทนาถึงความหลังเมื่อคราที่แยกจากกัน ยามรับฟังเรื่องราวของอีกฝ่ายหนึ่งต้องตื่นเต้นขวัญสะท้าน
จวบจนถึงยามวิกาลดึกดื่น ฉี้อิงตรวจดูชีพจรของโค้วเพ้งแล้วจึงกล่าวกับซิเล้งว่า
“ท่านกล่าวได้มิผิด เซี่ยวเพ้งได้รับวาสนากลืนกินวัตถุที่มีประโยชน์ในการบำรุงร่างกาย มิเพียงไม่ป่วยไข้ ยังใกล้บรรลุถึงขั้นลมปราณบริสุทธิ์แผ่กระจายทั่วทั้งร่างแล้ว”
คู่รักร่วมเผชิญเภทภัยมาตลอดเวลา ต่างประสานสบตาแย้มยิ้มให้แก่กัน รู้สึกค่ำคืนนี้แม้ตกอยู่ในอารามโบราณที่ชวนวิเวก แต่ขอเพียงได้อยู่ร่วมเคียงกัน ก็จะได้รับความอบอุ่นปลอบประโลมจิต
ชั่วครู่ให้หลัง ทั้งสองต่างมีท่วงท่าตื่นเต้นเคร่งเครียดสบตากันครั้งหนึ่งอย่างหมกมุ่นจริงจัง
ฉี้อิงกระซิบเบาๆ ที่ริมโสตของซิเล้งว่า
“คล้ายมีผู้คนรอบสังเกตพวกเราอยู่!”
ซิเล้งผงกศีรษะ แสดงว่าตนก็มีความรู้สึกเช่นนั้น
ฉี้อิงกล่าวเบาๆ ว่า
“บอกกล่าวตามความสัตย์ คล้ายดั่งเป็นภูตผีปิศาจคอยสังเกตพวกเราอยู่”
บุคคลทั้งสองต่างมิได้กลอกกลิ้งดวงตาเสาะหา เกรงว่าจะถูกฝ่ายตรงข้ามสังเกตพบเห็น เพียงใช้สองหูคอยรับฟังเสียง
สิ่งที่ทำให้ทั้งสองบังเกิดความเขม็งตึงเครียดขึ้นมาเป็นคลื่นเสียงอันพิสดารชนิดหนึ่ง ซึ่งแผ่วเบายิ่งนัก บัดเดี๋ยวได้ยินบัดเดี๋ยวขาดหาย คล้ายกับจังหวะการเคลื่อนไหวของภูตพรายปีศาจร้าย!
ซิเล้งกับฉี้อิงพอใช้โสตประสาทสดับฟัง ก็พบว่าทั่วสี่ทิศแปดทาง ล้วนมีคลื่นเสียงอันประหลาดดังแว่วมา
ฉี้อิงอดมิได้ต้องเบือนศีรษะเหลียวมองไปทางซ้ายมือ ประกายตาพอสาดพุ่งสำรวจ พลันพบเห็นที่ห่างไกลไปสามวา ปรากฏประกายสีเขียวเรืองรองสองจุด กระจายวูบหนึ่งแล้วดับสิ้นไป
แสงมรกตทั้งสองจุดนั้น คล้ายดั่งเป็นดวงตา แต่หากเป็นนัยน์ตาของสัตว์ป่าก็มิสมควรมีความสูงถึงปานนั้น ส่วนสูงเสมือนกับมนุษย์เรายามยืนหยัด ทว่ามาตรเป็นผู้คน ไหนเลยมีดวงตาสีเขียวปัดเรืองรอง?
ฉี้อิงกับขนลุกเกรียวกราว กล่าวเสียงแผ่วเบา
“ข้าพเจ้าแลเห็นนัยน์ตาสีเขียวคู่หนึ่ง”
“คงเป็นสัตว์ป่าแล้ว”
“มิถูกต้อง สัตว์ป่าไม่มีส่วนสูงถึงปานนั้น เพียงแต่เมื่อเป็นมนุษย์ ไฉนจึงมีดวงตาเป็นสีเขียวด้วย?”
ซิเล้งกล่าวอย่างตรึกตรอง
“ผู้คนที่มีดวงตาสีเขียว คือบุคคลประเทศอื่น ซึ่งในตงง้วนยากพบพาน แต่คนเมื่ออยู่ในความมืด ก็มิอาจแลเห็นประกายตาได้…”
ฉี้อิงกวาดสายตามองไปอีกทิศทางหนึ่ง พลันพบเห็นประกายสีแดงฉานคู่หนึ่งถลันวูบกลืนหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว ซึ่งสร้างความตื่นตระหนกให้กับนางอย่างใหญ่หลวง แนบร่างชิดสนิทกับซิเล้ง พลางบ่งบอกออกไป
ซิเล้งรู้สึกว่า เรือนร่างของนางสั่นสะท้านเล็กน้อย ล่วงรู้ว่าจิตใจของฉี้อิง บังเกิดความประหวั่นพรั่นพรึงอย่างใหญ่หลวง ดังนั้นลอบปลอบประโลมนางเบาๆ เพื่อกระตุ้นกำลังขวัญขึ้น
ซิเล้งทราบดีว่า ความ “หวาดหวั่น” มิใช่จิตสำนึกที่สามารถสะกดข่มกลั้นเฉกเช่นความรู้สึกอื่นๆ สาเหตุที่ทำให้เกิดการขลาดกลัวก็มีมากมาย บางคนเกรงกลัวสัตว์เลื้อยคลานที่มิอาจสร้างอันตราย หรือตื่นตระหนกไปกับฝันร้าย
สมควรทราบว่า การ “ประหวั่นพรั่นพรึง” ก็เป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งของสิ่งมีชีวิต หากแม้นมิมีความรู้สึกเกรงกลัวก็เท่ากับเป็นบุคคลที่ทอดอาลัยตายอยากแล้ว
สมมติว่าคนผู้หนึ่งเคยพบผ่านจากการถูกอัคคีเพลิงเผาผลาญ พบเห็นเปลวไฟก็จะแตกตื่น นี่เป็นความรู้สึกอันลึกซึ้งยากลบเลือน เนื่องจากผู้คนมีภาวะแวดล้อมแตกต่างกัน การหวาดหวั่นจึงผิดแผกไป
ซิเล้งฉกฉวยโอกาสกวาดสายตามองไปรอบบริเวณ ก็พบเห็นนัยน์ตาสีเขียวสีแดงหกเจ็ดคู่ ล้วนแต่ปรากฏวูบเดียวก็สลายหาย
เมื่อครู่ซิเล้งเหลือบแลเพียงวูบเดียว ก็คำนวณได้ว่าศัตรูในความมืดอยู่ห่างกว่าสามวา และในสถานที่อันมืดทมึนรกร้างเช่นนี้ หากแม้นฝ่ายตรงข้ามซุกซ่อนร่องรอย ก็ยากจะพบเบาะแส
ซิเล้งพลันใช้มือคลำไปตามพื้นดิน คัดเลือกก้อนศิลาที่ถนัดมือมาสองก้อน ส่งเสียงดังกังวานว่า
“ข้าพเจ้าและพวกอยู่ในที่นี้ เพียงเพื่อพักผ่อน หากมีผู้คนไม่อนุญาต ขอให้แสดงตนบ่งบอก ข้าพเจ้าจะจากไปในบัดดล แต่หากยังซุกซ่อนร่องรอย ข้าพเจ้าจะลงมือแล้ว”
กระแสเสียงเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว แสดงว่ากำลังขวัญผนึกจนอาจหาญ เมื่อเป็นเช่นนี้ฉี้อิงก็พลอยถูกกระตุ้นจนมีความกล้าหาญด้วย ผุดลุกขึ้นถามเบาๆ ว่า
“ท่านก็แลเห็นดวงตาเหล่านั้นแล้ว?”
ซิเล้งกล่าวว่า
“พบเห็นแล้ว บุคคลสามัญย่อมมิมีนัยน์ตาสีสันเช่นนั้น หรือสาดประกายในความมืดได้ อาจเป็นดวงตาของสัตว์ร้ายก็ได้”
ตนแม้มิพาดพิงถึงคำตัวภูตผี แต่ฉี้อิงก็ยังมีท่วงท่าหวาดหวั่น
ซิเล้งพลันสะบัดมือซัดพุ่งก้อนศิลา จู่โจมแยกย้ายเป็นทิศทางสองตำแหน่ง สภาวะว่องไวดั่งสายฟ้า พลันแว่วเสียงแค่นหนักๆ คล้ายดั่งมีผู้คนถูกกระแทกส่วนศิลาอีกก้อนหนึ่งกลับปะทะใส่ผนังข้างเคียง
ตนพลันหัวร่อแค่นๆ ลอบวางใจได้กล่าวกับฉี้อิงว่า
“ท่านได้ยินหรือไม่ นั่นเป็นสังขารที่กอปรจากเลือดเนื้อ พอถูกก้อนศิลากระแทกใส่ จึงรู้สึกเจ็บปวด บัดนี้ท่านมิต้องหวาดหวั่นแล้ว ยังคงตระเตรียมตัวรับการพันตูเถอะ”
ฉี้อิงเริ่มบังเกิดความเชื่อมั่นแล้วแต่ยังกล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้น ฝ่ายตรงข้ามไฉนมีดวงตาเช่นนั้น?”
ซิเล้งตอบเลี่ยงๆ ว่า
“นัยน์ตาของศัตรู คงสามารถแลเห็นวัตถุในยามวิกาล… ถูกแล้ว คาดว่าคงฝึกปรือวิชาเสริมสร้างจักษุชนิดหนึ่ง ทำให้ดวงตาพวกมันเปลี่ยนแปลงเป็นเช่นนี้”
“ถ้าเช่นนั้นท่านลองทดสอบดู หากแม้นเป็นมนุษย์มิว่าพวกมันจะฝึกปรือวิชาอะไร ข้าพเจ้าก็มิเกรงกลัวเลย”
ซิเล้งขยับร่างพุ่งปราดออกไป ด้วยความรวดเร็วราวสายฟ้าแลบพุ่ง ถาโถมไปเบื้องหน้า วิชาตัวเบาคราครั้งนี้นำพาร่างกายละลิ่วล้ำหน้าสามวา
ประกายตาพอกวาดมอง แลเห็นที่ห่างไปประมาณวาเศษมีผนังกำแพงที่รกร้างหักพัง ตรงช่องรอยแตกปรากฏเงาร่างสายหนึ่งนั่งยองๆ ซ่อนเร้นอยู่ ดวงตาสีเขียวปัดทั้งคู่ เคลื่อนไหววูบหนึ่งแล้วสูญสลาย
ซิเล้งปลายเท้าพอสัมผัสพื้น ก็พุ่งร่างตรงเข้าหาเท้าหนึ่งเหยียบย่ำลงบนกำแพง เรือนร่างพลันชะงักค้าง ด้วยความมั่นคงดั่งขุนเขาพลางก้มศีรษะลงเหลือบแล
คราครั้งนี้ พบว่า มีคนผู้หนึ่งนั่งย่องๆ อยู่กำแพง สวมใส่เสื้อผ้าสีดำ ในยามวิกาลมืดมิด สามารถปกปิดร่องรอย ดังนั้นจึงยากจะพบพาน
ยามนี้ซิเล้งตะปบกระบี่ยาวออกมา พลันได้ยินด้านหลังมีสำเนียงเบาๆ จึงรีบเบือนศีรษะมองไป หางตาเหลือบเห็นเงาดำสายหนึ่ง พุ่งเฉียดผ่านร่างของตนไป
แต่ซิเล้งมิหันกายไล่ล่า กระบี่ยาวพลันสะบัดต่ำลง ทิ่มแทงเข้าใส่จุดเส้นบนกลางหลังของเงาร่างที่หลบซุ่มอยู่ วิชาใช้ตาส่องวัตถุยามวิกาลของตน ก็สูงเยี่ยมยิ่งนัก ทั้งสองฝ่ายเมื่ออยู่ในระยะประชิดใกล้ ย่อมแลเห็นถนัดชัดแจ้ง
ดังนั้นกระบี่ยาวจู่โจมออก ก็พบว่าฝ่ายตรงข้ามได้พริ้มตาลง ซึ่งคงเข้าใจว่า ตนมิได้อยู่ที่เบื้องสูง จึงไม่หลบเลี่ยง ทำให้กระบี่จู่โจมประสบผล บุคคลนั้นส่งเสียงครางหนักๆ แล้วคว่ำลงบนพื้นดิน
ซิเล้งส่งเสียงดังกังวานว่า
“อาอิง ฝ่ายตรงข้ามเป็นมนุษย์จริงๆ”
พลางก้าวเท้าลงบนพื้นดิน ยื่นมือตะปบคอเสื้อของบุคคลผู้นั้นกระชากขึ้นมาเพื่อยลชม
ฉี้อิงพลันร้องอย่างขุนเคืองว่า
“ถ้าเช่นนั้นก็น่าชิงชังยิ่ง ข้าพเจ้าจะต้องจัดการกับคนบัดซบที่ปลอมแปลงเป็นภูตผีให้สาสมทีเดียว”
นางเกาะกุมแส้พายุดำ ขณะคิดพุ่งเข้าหา พลันเหลือบเห็นที่ห่างไปสามวาซ้ายมือ มีเงาร่างสองสายปรากฏขึ้น ดวงตาสีเขียวเรืองรองทั้งสี่ข้าง ในความมืดคล้ายดั่งไฟปีศาจลอยเคลื่อนอยู่ จึงบังเกิดความประหวั่นพรั่นพรึง มิกล้าสาวเท้าก้าวออก
ซิเล้งคร่ากุมบุรุษชุดดำนั้น ก้าวยาวๆ หวนกลับมา บุคคลนั้นเรือนร่างอ่อนระทวย เนื่องจากถูกจี้สกัดจุด
ซิเล้งเดินเหินมาเจ็ดแปดก้าว พลังรู้สึกร่างกายของบุรุษชุดดำกระทบถูกวัตถุที่เล็กละเอียดชนิดหนึ่ง เนื่องจากบุรุษชุดดำผู้นี้ ถูกพานำหน้า ตนจึงมิได้ปะทะถูก
ความรู้สึกเช่นนี้เล็กละเอียดยิ่งนัก ผู้มีพลังฝีมืออ่อนด้อยจะมิประสบพบ เพราะว่ามันแผ่วเบาราวกับปะทะใส่เส้นด้ายก็ปาน
แต่ซิเล้งยังคงชะงักเท้าลง สะบัดกระบี่ฟันใส่เบื้องหน้า คมกระบี่พอกระจายถึงตำแหน่งชายโครงของมนุษย์ ก็กระทบกับเส้นเชือกซึ่งดึงขวางอยู่เบื้องหน้าเส้นหนึ่ง
ตัวกระบี่ยังคงพุ่งต่ำลงไปเชียะเศษ กลับถูกเส้นด้ายที่มิอาจแลเห็นดันสะท้อนกลับขึ้นมา สร้างความตื่นตระหนกให้กับซิเล้งอย่างใหญ่หลวง ในใต้หล้าไหนเลยมีเส้นด้ายที่หยุ่นเหนียวถึงปานนี้?
ควรทราบว่า กระบี่ของซิเล้งครานี้ แฝงพลังภายในแกร่งกร้าว โดยเฉพาะสภาวะที่รวดเร็ว อย่าว่าแต่เชือกเอ็นที่เหนียวแน่น ยังต้องถูกกระบี่นี้ฟันขาดสะบั้น แต่กลับไม่สามารถทำลายเส้นด้ายนี้
ซิเล้งถอยปราดไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว รู้สึกว่าบุรุษชุดดำผู้ที่ถูกคร่ากุม กลับถูกเส้นด้ายอันเล็กละเอียดสายนั้นพันสนิทไว้ ต้องฉุดดึงอย่างรุนแรง ถึงกับแตกตื่นตระหนกเป็นที่ยิ่ง ร้องดังๆ ว่า
“อาอิง ระวัง ฝ่ายตรงข้ามใช้ด้ายละเอียดที่คล้ายใยแมงมุมขึงขวางทาง มีกำลังดูดพัน และยากจะฟันขาด”
ขณะกล่าววาจา ฝ่ามือซ้ายผนึกกำลัง ดันกระแทกออกไปเบื้องหน้า บุรุษชุดดำผู้นั้นจึงปลิวละลิ่วไป แต่พอกระเด็นไปวาเศษก็กระดอนกลับมา กระแทกลงบนพื้นดิน
ซิเล้งอาศัยบุรุษชุดดำผู้นี้ทดสอบว่า ฝ่ายตรงข้ามจะเป็นคู่มือที่มีพลังฝีมือเข้มแข็งหรือไม่ บัดนี้ค่อยวางใจขึ้นบ้าง ทั้งนี้ก็เพราะด้ายละเอียดอันประหลาดล้ำสายที่ขึงขวางทางนี้ แสดงว่าทั้งสองด้านล้วนมีผู้คนยึดถืออยู่
ดังนั้น ซิเล้งพอผนึกพลังผลักไสบุรุษชุดดำออกไป ผู้ถือเส้นด้ายอยู่ทั้งสองด้านมิอาจต้านทานไว้ ทำให้สายด้ายถูกดันจากที่เดิมอีกเล็กน้อย แล้วค่อยก่อเกิดพลังสะท้อน เหวี่ยงเอาบุรุษชุดดำกลับมา
ซิเล้งคำนวณว่า ขอเพียงพุ่งทะยานขึ้นไปเบื้องบนอากาศเหนือศีรษะของบุรุษชุดดำ ย่อมมิปะทะถูกเส้นด้ายอันพิกลสายนั้น หากทว่าตนมิกระทำเช่นนั้น
ทั้งนี้เพราะ ซิเล้งหากโถมเข้าสมทบกับฉี้อิง บุคคลทั้งสองก็จะแออัดอยู่ร่วมกัน กลับทำให้ยากจะสำแดงอนุภาพออก ยังคงแยกย้ายกันควบคุมตำแหน่งเพื่อแบ่งปันกำลังของศัตรู
บัดนี้ซิเล้งล่วงรู้ว่า เส้นด้ายที่ใช้ขวางทางนี้ คงเป็นการจัดขึงของเงาร่างที่กรีดผ่านไปเมื่อครู่นี้ หากแม้นผู้คนทั้งสองด้านเดินเป็นวงกว้าง เส้นด้ายก็จะรายล้อมตนเอาไว้
ซิเล้งขบคิดอย่างว่องไว กล่าวเสียงกังวานว่า
“อาอิง ใช้เปลวไฟเข้าจัดการ มิต้องระวังการใช้พิษจากศัตรู”
ขณะกล่าววาจาก็ล้วงหยิบคบเพลิงออกมา ส่วนฉี้อิงส่งเสียงกล่าวว่า
“ท่านวางใจ ข้าพเจ้ามิถูกพวกมันพัวพันได้หรอก”
ยามกล่าววาจา ก็สะบัดแส้อ่อนในมือ ตวัดฟาดไปทางบนล่างซ้ายขวา หากแม้นสัมผัสถูกเส้นด้าย จะทราบตำแหน่งที่มา ซึ่งทำให้หลบหลีกเลี่ยงได้
ซิเล้งกวัดแกว่งกระบี่คุ้มครองตน อาศัยวิชาฝีมือของทั้งสอง สามารถบรรลุถึงชั้นสายน้ำมิอาจสาดกระเซ็น ดังนั้นคงป้องกันมิให้ถูกเส้นด้ายทำร้ายใส่ได้ ปัญหาอยู่ที่จะสยบคู่ต่อสู้ได้อย่างไร
ซิเล้งจัดการจุดคบเพลิงชูขึ้น แลเห็นบุรุษชุดดำที่ล้มฟุบอยู่บนพื้น บนร่างมิมีวัตถุใดรัดพันอยู่
ตนขมวดคิ้วเข้าหากันกล่าวว่า
“อาอิง พวกเรามีแต่ใช้วิธีการอำมหิตแล้ว ท่านโยกย้ายเซี่ยวเพ้งไปอีกด้านหนึ่ง จุดกองกิ่งไม้แห้ง พวกเราจะวางเพลิงเผาผลาญอารามโบราณหลังนี้เพื่อทดสอบว่าฝ่ายตรงข้ามจะซุกซ่อนเร้นกายได้อย่างไร?”
ฉี้อิงมิคำนึง ร่ำร้องว่าประเสิรฐมาก ย่อเอวลงเคลื่อนย้ายโค้วเพ้งไปวาเศษ จากนั้นก็จุดเพลิงขึ้นที่กองกิ่งไม้แห้งกลุ่มใหญ่
ประกายไฟพอแลบกระจาย พริบตาเดียวก็เผาไหม้อย่างร้อนแรง ซิเล้งฉกฉวยโอกาสนั้นสำรวจดูรอบบริเวณ แลเห็นกองศิลาทางทิศบูรพามีสภาพน่าระแวง จึงซุกเก็บคบเพลิงโถมเข้าหาอย่างรวดเร็ว
ร่างยามพุ่งผ่านกองศิลา ในความมืดมีบุรุษชุดดำสามคนกระชับดาบกุมกระบี่ แหงนหน้าขึ้นพบเห็นเงาร่างของตน ก็รั้งอาวุธขึ้นชี้ตรงมา
ซิเล้งหัวร่อแค่นๆ ผนึกลมปราณพุ่งร่างลงไป ละลิ่วบนพื้นดินที่ห่างหลายเชียะ ขัดขวางทางล่าถอยของฝ่ายตรงข้ามบุรุษชุดดำทั้งสามขู่คำรามอย่างเกรี้ยวกราด พากันตวัดดาบจู่โจมมา
คนทั้งสาม มีสองคนตาเขียวปัด อีกคนตาแดงฉานสารรูปอัปลักษณ์น่าพรั่นพรึง กอปรกับส่งสำเนียงคำรามก้องคล้ายสัตว์ร้ายในคราบมนุษย์สามตัว
ซิเล้งสะบัดกระบี่ก่อเกิดประกาย ต้านทานการรุกอันดุร้ายของฝ่ายตรงข้ามไว้ ตวาดเสียงทุ้มหนักว่า
“พวกท่านเป็นใคร หากมิตอบคำตามความสัตย์ ก็ต้องหลั่งโลหิต ชโลมอารามร้าง”
บุรุษทั้งสามมิกล่าววาจา ยังคงขู่คำรามดังระงมกวัดแกว่งอาวุธมุ่งจู่โจม กระบวนท่าหักโหมดุดัน เสี่ยงชีวิต
ซิเล้งพลันรู้สึกว่า สภาพเช่นนี้คล้ายดั่งเคยเผชิญพบมาจากสถานที่ใดมาก่อน
ประกายกระบี่ของซิเล้งแผ่กระจายดุจสายฟ้าคะนองฝน ได้ยินเสียงเปรื่องปร่างสองครั้ง กระแทกดาบยาวสองเล่มเบนเบือนไป จากนั้นเสือกไสกระบี่ยาวโหมใส่
กระบี่นี้แฝงอานุภาพเกรี้ยวกราด แกร่งกร้าวยากต้านทาน เงากระบี่พอแผ่กระจายผ่านก็มีศัตรูผู้หนึ่งถูกทำร้ายล้มลง
ท่ากระบี่ของซิเล้งนี้มิทุ่มเทจนสุดกำลัง หาได้คิดทำร้ายถึงชีวิตไม่ เพียงแทงบริเวณบ่าของศัตรู กระบี่ยาวของซิเล้งพอแทงถูกก็ชะลอสภาวะ มิตะลุยไล่คู่ต่อสู้ที่หลงเหลืออีกสองคน
ที่แท้ตนพลันหวนคำนึงถึงความหลังเมื่อเก่าก่อน ขณะที่เร่งรุดเสาะหาขุนพลไร้กร ตามคำชี้แนะของนงคราญยะเยือกนั้น เคยเผชิญพบกับปีศาจประหลาดทำลายชีวิตส่ำสัตว์ ซึ่งตนอาศัยกำลังขวัญและใช้ปัญญาจนสามารถกำจัดปีศาจไพร
เรื่องราวนั้น ตนยังมิได้ลืมเลือน ปีศาจไพรนั้นความจริงเป็นคนดีงาม หากแต่ถูกอลัชชีโลกันตร์ใช้ตัวยาเปลี่ยนแปลงเป็นอสุรกาย นิยมทำลายล้างมนุษย์
บุรุษชุดดำที่มีนัยน์ตาพิสดารเหล่านี้ สะกดให้ซิเล้งหวนนึกถึงความหลังครั้งนั้น คนเหล่านี้แม้มีพลังฝีมือจำกัด แต่กลับมิเกรงกลัวต่อตวามตาย สภาพการที่มิอาจควบคุมตัวเองคล้ายกับปีศาจไพรที่ไม่สามารถข่มกลั้นสันดานอันดุร้ายได้
ซิเล้งพลันกู่ร้องดังกังวาน กระบี่ยาวจู่โจมดั่งพายุร้าย มิถึงเจ็ดกระบวนท่า บุรุษชุดดำอีกสองคนก็ล้มฟุบลงบนพื้นดิน
ที่แท้ตนใช้ปลายกระบี่จี้สกัดจุดเส้นของฝ่ายตรงข้ามไว้ ดูเผินๆ คล้ายดั่งคู่ต่อสู้ถูกตนประหารสิ้นแล้ว
เบื้องหน้าประมาณสองวา พลันปรากฏดวงตาสีเขียวสุกใสคู่หนึ่ง ซิเล้งรีบสะกิดปลายเท้าตวัดดาบยาวเล่มหนึ่งขึ้นกระชับมั่นที่มือซ้าย สาวเท้ายาวๆ เข้าหา
มือซ้ายที่ถือดาบ ปล่อยดาบให้ชี้เฉียงลงสู่พื้นดิน มีเจตนาคุ้มครองส่วนสัดตั้งแต่หัวเข่าลงไป ทุกครั้งที่เคลื่อนเท้าก้าวออก ดาบยาวจะอยู่ล้ำหน้าสองเท้าของตน
บุรุษนัยน์ตาเขียวปัดทางด้านตรงข้าม แน่วนิ่งมิเคลื่อนไหว กำลังรอให้ซิเล้งเข้ามาหา
ซิเล้งเคลื่อนร่างกายโดยมิหยุดยั้ง พริบตาเดียวห่างจากฝ่ายตรงข้ามเพียงเจ็ดแปดเชียะ ยามนี้ปลายดาบพลันสัมผัสถูกวัตถุอ่อนหยุ่นชนิดหนึ่ง เท้าที่คิดก้าวออกของซิเล้ง รีบชักกลับมา แต่ดาบยาวในมือซ้าย กลับผลักไสไปเบื้องหน้า
จริงดังคาดหมาย สภาวะดาบถูกวัตถุเหนียวแน่นชนิดหนึ่งสกัดไว้ มิสามารถพุ่งออก
ซิเล้งหมุนควงดาบอย่างรวดเร็ว พัวพันกับเส้นด้ายอันอ่อนหยุ่นสายหนึ่ง ม้วนรัดเป็นขดใหญ่
จวบจนบัดนี้ ซิเล้งแค่นหัวร่ออย่างเย็นชา กล่าวว่า
“อุบายเช่นนี้ ไหนเลยกักข้าพเจ้าไว้ได้”
ขณะกล่าววาจา ดาบยาวก็ผนึกพลังตวัดขึ้น ด้านซ้ายขวาทั้งสองทิศล้วนมีเสียงฝีเท้าดังแว่วมา โดยเว้นระยะห่างประมาณสามวา
แสดงว่าเส้นใยที่หยุ่นเหนียวนี้ มีความยาวถึงหกวา ทั้งสองด้านล้วนมีผู้คนยึดถืออยู่
ซิเล้งรีบย่อกายต่ำลงกระบี่ยาวรั้งเฉียงๆ ขวางอยู่เบื้องหน้า เป็นการตระเตรียมว่าอาจมีวัตถุใดพัวพันเข้ามา
พร้อมกับนั้นใช้มืออีกข้างหนึ่ง ล้วงหยิบชุดไฟจากอกเสื้อกวัดแกว่งไปมาหมายจุดขึ้น
คาดมิถึง ด้านตรงข้ามพลันปรากฏกระแสพลังอันรุนแรงกระโชกเข้าหา มิเพียงทำให้ชุดไฟดับวูบไป ยังบังเกิดประกายดาบสาดกระจ่างจ้า ฟาดฟันใส่เบื้องบนศีรษะอย่างดุร้าย!
ซิเล้งตวาดก้องร้องขึ้น เหวี่ยงชุดไฟในมือขวาทิ้ง สะบัดฝ่ามือกระแทกออก ได้ยินเสียงระเบิดดังโครม คู่ต่อสู้ที่เบื้องหน้า ถูกกำลังฝ่ามืออันหนักหน่วง กระแทกจนซวนเซไปเจ็ดแปดก้าว
แต่ยังคงปรากฏ บุรุษนัยน์ตาสีแดงอีกผู้หนึ่งเดินเข้ามา ยามผ่านซากศพสหายซึ่งถูกฝ่ามือมหรรณพทำร้ายจนตกตาย กลับมิเหลือบแลแม้แต่วูบเดียว
ซิเล้งถูกสถานการณ์คุกคามอย่างรุนแรง ตวาดก้องว่า
“พวกท่านที่แท้คิดทำอย่างไร ทางที่ประเสริฐ อย่าได้บีบบังคับให้ข้าพเจ้าลงมือ”
บุรุษดวงตาแดงฉานมิแยแสสนใจ ยังคงกระชับดาบยาวลากฝีเท้าคุกคามเข้ามา ซิเล้งทางด้านนี้เพราะถูกกำแพงศิลาขวางกั้นแสงไฟจากกองเพลิงที่ฉี้อิงจุดขึ้น ดังนั้นจึงมืดมิดผิดสามัญ ทำให้ยากสำรวจว่ามีสายใยอันร้ายกาจขึงกั้นอยู่เบื้องหน้าหรือไม่
ฉี้อิงได้ยินซิเล้งส่งสำเนียงตวาดอยู่ตลอดเวลา ต้องทั้งขุ่นเคืองทั้งร้อนรุ่ม ยามนั้นที่ห่างไปสี่วา ปรากฏบุรุษชุดดำสองคน หนึ่งตาสีแดง หนึ่งดวงตาเขียวปัดขึ้น พวกมันล้วนกุมดาบยาวยืนแน่วนิ่ง คล้ายมีเจตนาคอยควบคุมนาง
ฉี้อิงตัดสินใจพุ่งร่างเข้าหา พริบตามาถึงเบื้องหน้าคู่ต่อสู้
บุรุษชุดดำทั้งสองคน พากันส่งสำเนียงขู่คำรามสะบัดดาบอย่างฉับไว ยามลงมือท่าร่างดุร้ายอำมหิตยิ่งนัก
แส้พายุดำของฉี้อิงสบัดออกดังขวับใหญ่ แหวกฝ่าอากาศม้วนใส่ดาบยาวเล่มหนึ่ง พร้อมกับใช้วิชาตัวเบาหลบรอดจากดาบอีกเล่มหนึ่ง
จิตใจของนางชิงชังคลั่งแค้นยิ่งนัก แส้อ่อนจึงตวัดฟาดออกอย่างเกรี้ยวกราด ได้ยินเสียงเพียะเพียะโบยใส่ศัตรูทั้งสองโดยพร้อมเพรียง
บุรุษชุดดำทั้งสองส่งเสียงร้องอันหวนโหย แต่กลับมิล้มลง ยังคงหันกายถาโถมเข้ามา
ฉี้อิงบังเกิดความแตกตื่นตระหนกยิ่ง คำนึงขึ้น
“พวกมันแม้มีพลังฝีมือสามัญ ที่แท้ฝึกปรือพลังเทพยดาคุ้มครองร่างกายอันใด กลับมิเกรงกลัวแส้พายุดำของเรา”
นางมิกล้าประมาทเลินเล่อ ใช้ท่าร่างอันคล่องแคล่วแฉลบไปมาท่ามกลางเงาอาวุธ หักล้างกันสามกระบวนท่า ก็โบยใส่ศัตรูทั้งสองอีกแส้หนึ่ง
บุรุษชุดดำทั้งสอง เพียงแผดร้องคำรามอย่างโหยหวน แต่ยังคงจู่โจมเข้ามา
ฉี้อิงบังเกิดความประหวั่นพรั่นพรึง ใช้กระบวนท่าเล้งซิกิ้วข่วง (สายใยพันข้อมือ) แส้อ่อนสะบัดเป็นวงกลมสองวง คล้องใส่ดาบยาวของศัตรูช่วงชิงอาวุธมา พร้อมกับคล้องใส่ร่างคู่ต่อสู้อีกผู้หนึ่ง พลางเหวี่ยงฟาดจนมันล้มพุปลงมิอาจลุกขึ้นอีก
ฉี้อิงลอบปลอดโปร่งใจเล็กน้อย หวนคำนึงถึงโค้วเพ้งที่สลบไสลอยู่บนระเบียงตึก ต้องรีบกวาดสายตามองไป
นางพลันแตกตื่นตระหนกจนขวัญหนีดีฝ่อ ที่แท้ท่ามกลางกองเพลิงที่ลุกโชติช่วง แลเห็นบุรุษชุดดำผมเผ้าขาวโพลงทั่วศีรษะผู้หนึ่ง กำลังคุกเข่าอยู่ข้างกายโค้วเพ้งปากอ้ากว้างหมายขบกัดลงที่ลำคอ
นางต้องส่งเสียงกรีดร้องอย่างหวั่นไหว ซิเล้งรีบกล่าวว่า
“อาอิง ท่านเป็นเช่นใดแล้ว”
ฉี้อิงมิทันตอบวาจา รู้สึกฝ่ายตรงข้ามได้กระแทกหมัดต่อยผางเข้ามา สัญชาตญาณของนางบงการให้นางสะบัดฝ่ามือซ้ายฟาดออกอย่างฉับพลัน
พลังฝ่ามือนี้ฟาดใส่หว่างเอวของคู่ต่อสู้ ได้ยินบุรุษชุดดำส่งเสียงแผดร้องขึ้น เรือนร่างปลิวกระเด็นไปวาเศษ กระแทกโครมลงบนพื้นดินแน่นิ่งมิเคลื่อนไหว
ยามนี้ สายตาเหลือบเห็นบุคคลผมขาวโพลงผู้นั้น ขบกัดใส่ลำคอโค้วเพ้งแล้ว ทั้งร้อนรุ่มทั้งพรั่นพรึง ต้องกรีดร้องขึ้นมาอีกถึงกับปิดหน้าพริ้มตาลง
ซิเล้ง เนื่องเพราะกางกั้นด้วยกำแพงตึกชั้นหนึ่ง มิทราบเกิดเรื่องราวใด แม้จัดการกับคู่ต่อสู้ที่เบื้องหน้าแล้ว แต่เนื่องจากมีสายใยขึงอยู่รอบกาย จึงมิกล้าเคลื่อนไหวอย่างเลินเล่อ
ตนขบคิดอย่างว่องไว ผนึกพลังภายในเข้าสู่ดาบยาวตวัดขึ้นแล้วพุ่งร่างขึ้นไปยืนหยัดอยู่บนกำแพง ดาบยาวในมือยังมิยอมละทิ้ง เบือนศีรษะมองไปก่อน
แลเห็นฉี้อิงปิดหน้าร่ำไห้ กลับมิคล้ายได้รับบาดเจ็บ สร้างความพิศวงสงสัยอย่างใหญ่หลวง
ยามนี้ ทั้งสองด้านล้วนปรากฏผู้คนขึ้น เส้นใยสีดำที่รัดพันดาบยาวไว้ เพราะการขยับทั้งสองด้าน ทำให้เคลื่อนใกล้มาทางซิเล้งแล้ว
ช่วงวินาทีที่คับขันนี้ ซิเล้งเหลือบเห็นโค้วเพ้งบนระเบียงตึก กำลังถูกบุคคลเสื้อดำผมขาวขบกัดลำคอ หารู้ไม่ว่าใยดำที่พันดาบกำลังเคลื่อนเข้ามา
ซิเล้งพอพบเห็นโค้วเพ้ง จิตใจต้องร้อนรุ่มราวมีกองเพลิงแผดเผา เบิ่งตาแทบฉีกขาด ตวาดอย่างขุ่นเคือง โถมปราดเข้าไปอย่างเร่งร้อน
การโผพุ่งกายครั้งนี้รวดเร็วยิ่ง แต่สายใยทางด้านขวาพลันกระทบถูกข้อมือของซิเล้ง จนดูดพันเอาไว้อย่างแนบแน่น!
ร่างซิเล้งพุ่งไปได้สองวา ก็ถูกใยดำดูดรั้งจนมิมีทางเคลื่อนไหว ขณะคิดสลัดดาบยาวทิ้ง คาดมิถึงว่าข้อมือซ้ายถูกสายใยดำดูดรั้งไว้ มิอาจดิ้นรนหลุดพ้น
ฉี้อิงได้ยินสำเนียงตวาดของซิเล้ง ก็เบิ่งตาขึ้น เห็นซิเล้งโลดแล่นได้เพียงครึ่งทางก็ตกวูบลง ต้องสะท้านใจอย่างรุนแรง
ซิเล้งกล่าวเสียงเกรี้ยวกราด
“อาอิง รีบไปช่วยเหลือเซี่ยวเพ้ง”
ฉี้อิงร้องถามอย่างแตกตื่น
“ท่านเป็นอย่างไรแล้ว?”
“รีบไป ไม่ต้องสนใจข้าพเจ้า”
ซิเล้งเข้าใจว่า บุคคลชุดดำผมขาวโพลงผู้นั้น เป็นผู้นำของขบวนนี้ หากสามารถคร่ากุมฝ่ายตรงข้าม จะมีความหวังพลิกสถานการณ์ได้
ซิเล้งเองคาดมิถึงว่า ฝ่ายตรงข้ามจะมีวัตถุประหลาดปานนี้ เพียงแตะถูกข้อมือก็มิอาจสลัดหลุด ซึ่งกำลังดูดรั้งนี้หาใช่ปะทะถูกผิวเนื้อบนข้อมือเลย ความจริงแล้วยังกางกั้นชายเสื้ออยู่ชั้นหนึ่ง
ตามเหตุผล พอฉีกชายเสื้อออก สมควรหลุดพ้นเป็นอิสระ แต่ในความรู้สึก สายใยสีดำเส้นนั้นคล้ายกับมีกำลังดึงดูดอันรุนแรง ทะลวงฝ่าแขนเสื้อและผิวหนัง เข้าถึงกระดูกข้อมือทีเดียว!
เมื่อเป็นเช่นนี้ นอกจากซิเล้งจะฟันข้อมือขาดจากกัน หาไม่มิอาจสลัดหลุดได้
ฉี้อิงขณะพุ่งร่างไปเบื้องหน้า ประสาทยังได้ยินสำเนียงตักเตือนจากซิเล้ง ให้ระวังใยประหลาดนั่น ดังนั้นท่าร่างจึงเชื่องช้ากว่าปรกติ
พอเข้าใกล้ในรัศมีหนึ่งวาเห็นชัดตาว่า บุคคลเสื้อดำผมขาวนั้น กำลังขบกัดเส้นโลหิตบนบริเวณลำคอโค้วเพ้ง
ฉี้อิงบังเกิดอัคคีโทสะลุกฮือโหมตวาดอย่างขุ่นเคือง โถมปราดเข้าใส่ทันที
บุคคลผมขาวโพลงพลันสะบัดแขนทั้งสองข้าง เรือนร่างโค้วเพ้งก็ละลิ่วเข้าปะทะกับฉี้อิงอย่างกระทันหัน
ฉี้อิงยื่นมือออกปัด โค้วเพ้งจึงพุ่งเบนเบือนมาอีกด้านหนึ่งกระแทกลงบนพื้นบันไดขั้นล่างสุด นางเข้าใจว่าโค้วเพ้งตายแล้ว จึงมิยอมเข้ารับ เพื่อไม่ให้ศัตรูมีโอกาสหลบหนี
ยามนั้นเส้นพายุดำฟาดฝ่าอากาศออกไป ประกายตายามกวาดมอง กลับพบว่าบุคคลชุดดำผมขาวเป็นอิสตรี ใบหน้าขาวผ่องริมฝีปากแดงระเรื่อ รูปโฉมงามสะคราญยิ่งนัก
ฉี้อิงคาดมิถึงว่า ฝ่ายตรงข้ามจะเป็นอิสตรี ต้องงงงันไปวูบหนึ่ง พลังจากตัวแส้พลอยสลายไปสามส่วน
สตรีงามผมขาว ใช้ดาบคู่ออกต้านรับ แลเห็นดวงตาทั้งคู่ของนางสาดประกายเขียวเรือง ผมขาวตามรกต เสื้อดำกอปรขึ้นเป็นรูปโฉมอันลี้ลับพิสดาร
เค้าหน้าที่งามผุดผาด ปากแดงระเรื่อของนาง มิเพียงไม่อาจลบล้างกลิ่นไออันพิกล กลับทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกว่า นางเป็นปีศาจอเวจี
ดาบคู่ของนางยามจู่โจม ก่อเกิดกระแสพลังอันเกรี้ยวกราดรุนแรง หักล้างกับฉี้อิงได้อย่างคู่คี่ก้ำกึ่ง ยามนี้ทั่วสี่ทิศปรากฏบุรุษชุดดำมิน้อย ดวงตาแดงเขียวสารรูปดุร้ายยิ่ง
ฉี้อิงหักล้างกับดรุณีเสื้อดำผมขาวยี่สิบกว่ากระบวนท่า ยังมิมีผู้ใดได้เปรียบเสียเปรียบแก่กัน
ฉี้อิงพลันร้องอย่างชิงชัง
“บริวารอันชั่วร้ายของอลัชชีโลกันตร์ ท่านมีนามว่ากระไร?”
ดรุณีเสื้อดำผมขาวกล่าวเสียงเย็นชา
“เราเรียกว่าแป๊ะตูนึ่ง (นางแมงมุมขาว) เจ้ากลับทราบนามปรจารย์สำนักเรา คาดว่าคงมีความเป็นมามิต่ำทราม รีบประกาศนามมา”
“เฮอะ ข้าพเจ้าฉี้อิง ส่วนเขาคือซิเล้ง ท่านจดจำไว้บอกต่อพญายมเถอะ”
แส้ของนางพลันจู่โจมดุเดือดยิ่งขึ้น หลายคราแทบพัวพันถูกดาบศัตรู
นางแมงมุมขาวกวัดแกว่งดาบคู่จู่โจม กระบวนท่าที่ใช้หมายตกตายตามกัน สถานการณ์ยิ่งเยิ่นเย้อต่างฝ่ายยิ่งยากมีเปรียบได้
นางกล่าวอย่างเย็นชา
“ถึงแม้เจ้าสังหารเราได้ ก็มิอาจหลบรอดจากเทียนตูไต้ติ่ง (พยุหแมงมุมฟ้า) ของเรา ผลสุดท้ายพวกเจ้าต้องกลับกลายเป็นอาหารอันโอชะของเทพแมงมุม”
ยามนี้ แส้อ่อนของฉี้อิงพลันฟาดถูกร่างนางแมงมุมขาว ฝ่ายตรงข้ามแม้เจ็บปวดจนขมวดคิ้ว แต่ปราศจากอันตราย
เสื้อผ้าชุดดำของนางแมงมุมขาว มิทราบจัดสร้างจากวัตถุใด แส้พายุดำนับเป็นของวิเศษสิ่งหนึ่ง กลับมิสามารถฟาดเสื้อดำชุดนั้นเสียหายแม้แต่น้อย
นางแมงมุมขาวเค้นเสียงว่า
“เจ้าคงทราบแล้ว เรามิเกรงกลัวแส้ในมือของเจ้า หากยินยอมพ่ายแพ้ เราจะเห็นแก่เจ้าเป็นสตรี มิทารุณทรมานเจ้า”
ฉี้อิงถามว่า
“หากแม้นข้าพเจ้ายอมแพ้ ท่านมีเงื่อนไขใด?”
“เจ้ากับคนรักเชิญตามสะดวก เราต้องการเพียงทารกผู้นั้น”
ขณะกล่าววาจา ดวงตาเขียวปัดเขม้นมองฉี้อิงตลอดเวลา พลันพบว่าผิดท่าไป จึงกู่ร้องเบาๆ ขึ้น
ปรากฏบุรุษเสื้อดำสองคนโถมเข้ามา ในมือยึดถือสายใยสีดำคนละมุม เคลื่อนเข้าด้านหลังของฉี้อิง
ฉี้อิงทุ่มเทวิชาอี่เฮ้งอั่วอุ่ย (เคลื่อนร่างเปลี่ยนตำแหน่ง) ขยับร่างวูบถึงด้านหลังนางแมงมุมขาว ฝ่ายตรงข้ามพลันย่อกายลง สายใยสีดำเส้นนั้นจึงพุ่งเฉียดผ่านศีรษะ กางกั้นอยู่ระหว่างฉี้อิงกับนางแมงมุมขาว
ที่แท้คราแรกตกลงใจว่า จะสละแส้ใช้ฝ่ามือ ในห้ากระบวนท่าเชื่อว่าสามารถกำราบคู่ต่อสู้ได้
คาดมิถึง นางแมงมุมขาวสังเกตพบแววตาของฉี้อิงมีประกายวูบวาบ จึงออกคำสั่งขึ้นก่อน ใช้ใยแมงมุมขวางกั้นฝ่ายตรงข้าม
ฉี้อิงส่งเสียงกล่าวว่า
“ท่านต้องการทารกผู้นั้นไปไยกัน?”
นางแมงมุมขาวกล่าวว่า
“เราที่อาศัยอยู่ที่นี้ถึงสองปี เพราะเสาะพบแมลงป่องพิษใหญ่โตพันธุ์เฮียกอ้วง (จ้าวแมลงป่อง) อยู่ตัวหนึ่ง จึงรอคอยมันเติบโตถึงวันนี้ คาดไม่ถึงค่ำคืนนี้กลับถูกทารกน้อยนั้นกลืนกินลงไป”
นางกล่าวพลาง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันดังกรอดๆ แสดงออกถึงความอาฆาตแค้นในตัวโค้วเพ้งอย่างสุดแสน
ฉี้อิงกล่าวว่า
“ท่านผิดแล้ว ทารกนั้นไหนเลยมีความสามารถฆ่าจ้าวแห่งแมลงป่องพิษได้?”
“หากกล่าวถึงความร้ายกาจของจ้าวแมลงป่องในใต้หล้าไม่มีผู้คนจัดการได้จริงๆ นอกจากเฮ็กซิ้งตู (เทพแมงมุมดำ) ของเรา สามารถพ่นใยรัดพันจ้าวแมลงป่องตัวนั้นได้”
ขบกรามกรอบแล้วกล่าวต่อ
“แต่ทารกนั้น กลับเผาย่างแมลงป่องตัวหนึ่งก่อน กลิ่นหอมของเนื้อย่างชักนำจ้าวแมลงป่องปรากฏออกมา กลืนกินเนื้อย่างลงไป
“แมลงป่องหากกินเนื้อพันธุ์เดียวกัน จะสลบไสลเป็นเวลานาน ทารกนั้นได้อาศัยช่วงเวลาดังกล่าว ใช้ไฟเผาจ้าวแมลงป่องจนตกตาย แล้วรับประทานเนื้อจนหมดสิ้น”
ฉี้อิงเพิ่งเข้าใจได้จึงกล่าว
“ก่อกวนครึ่งค่อนวัน ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง บัดนี้เซี่ยวเพ้งกลืนกินเจ้าแมลงป่องแล้ว ท่านคิดจะทำอย่างไร?”
“ทารกนั้นกลืนกินจ้าวแมลงป่องของเรา เราก็จะกลืนกินมันเป็นการชดเชย!”
ฉี้อิงร้องอย่างขุ่นเคือง
“มันเป็นมนุษย์ไหนเลยรับประทานได้ อย่าว่ามันถูกท่านดูดโลหิตจนตกตายไปแล้ว พวกท่านเหล่าปีศาจร้าย อย่าได้คาดหวังว่าจะมีชีวิตรอดเลย”
นางแมงมุมขาวกู่ร้องอย่างเกรี้ยวกราด พริบตาเดียวปรากฏบุรุษสองคนพุ่งปราดเข้ามา แต่หาได้มุ่งปะทะกับฉี้อิง เพียงพุ่งเฉียดผ่านไป
ฉี้อิงรู้ว่า มันสองย่อมต้องยึดถือใยแมงมุมอยู่หมายพัวพันนาง จึงผนึกลมปราณพลิ้วกายล่าถอยไปหลายเชียะ จริงดังคาดหมาย ปรากฏใยแมงมุมดำสายหนึ่ง กรีดผ่านใต้เท้านางไปอย่างหวุดหวิด
ฉี้อิงขบคิดอย่างว่องไว พลันพุ่งเฉียงๆ ไปวาเศษ ม้วนเก็บแส้พายุดำ หยิบฉวยดาบยาวสองเล่มจากพื้น แล้วหันร่างโถมกลับไป
เห็นเงาร่างนางฉวัดเฉวียนอยู่กลางอากาศ ชั่วพริบตาเดียว สังหารคู่ต่อสู้ไปสองคน
พยุหแมงมุมฟ้าเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว บุรุษชุดดำหกคู่พุ่งกายโลดแล่นไปมา ยังปรากฏใยแมงมุมขึงไขว้สลับสุดซับซ้อน
พวกมันแม้กระทบถูกใยแมงมุมกันเอง แต่เพียงหมุนคว้างร่างก็ลื่นหลุดได้ แสดงว่าเสื้อดำที่สวมใส่อยู่ ป้องกันการดูดพันจากใยแมงมุม
ฉี้อิงพอสังหารพวกมันไปสองคน ดาบยาวในมือก็ถูกใยแมงมุมรัดพันไว้
บุรุษชุดดำที่ร่วมทางมากับนางแมงมุมขาว ความจริงมีจำนวนมิน้อยแต่ส่วนใหญ่ตกตายและบาดเจ็บไปมิน้อย ยามนี้เหลือเพียงสิบสองคน ก่อตั้งเป็นขบวนพยุหแมงมุมฟ้า จัดการกับฉี้อิง
ซิเล้งแม้มีกำลังก็ยากใช้ออก สร้างความร้อนรุ่มจนขบเคี้ยวฟัน แลเห็นฉี้อิงกระโดดพุ่งปราดโดยมิหยุดยั้ง แม้ยังไม่ถูกใยแมงมุมรัดพัน แต่นางก็มิสามารถลงมือกำจัดคู่ต่อสู้
ควรทราบว่าใยแมงมุมนั้น ยามวิกาลยากพบเห็น ดังนั้นฝ่ายตรงข้ามยิ่งวิ่งพลุกพล่านวุ่นวาย ฉี้อิงยิ่งไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกาย
ซิเล้งขณะร้อนรุ่มใจ พลันเหลือบเห็นโค้วเพ้งบนพื้นดินข้างกองไฟ ขยับร่างคราหนึ่งแล้วเงยศีรษะขึ้นมา
ซิเล้งถึงกับปีติยินดีอย่างใหญ่หลวง คราแรกตนเข้าใจว่าโค้วเพ้งถูกนางปีศาจดื่มโลหิตจนตกตายไป คิดไม่ถึงร่างกายโค้วเพ้งกลับแข็งแกร่งราวกับเหล็กไหล จนนางแมงมุมขาวไม่อาจขบกัดหลอดโลหิตแตกออกได้
ซิเล้งรีบส่งเสียงทางลมปราณกล่าวกับโค้วเพ้งว่า
“เซี่ยวเพ้ง เจ้าอย่าเพิ่งลุกขึ้น รับฟังวาจาข้าพเจ้าก่อน”
โค้วเพ้งรีบก้มศีรษะลงมิเคลื่อนไหว
ซิเล้งกล่าวต่อ
“พวกเราตอนนี้เผชิญอันตราย เจ้าต้องรับฟังวาจาข้าพเจ้า จึงสามารถพลิกสถานการณ์ได้”
โค้วเพ้งผงกศีรษะเล็กน้อย แสดงว่าเข้าใจวาจาฝ่ายซิเล้งดี ส่งเสียงทางลมปราณกล่าวอีกว่า
“ฉี้ซ่อซ้อ (น้าสาวแซ่ฉี้) ของเจ้ากำลังพัวพันกับคนร้ายสิบกว่าคน ฝ่ายตรงข้ามยังมิทันสนใจเจ้า เจ้าห่างจากกองไฟเพียงวาเศษ หากปีนบันไดขึ้นไปอย่างเงียบงันก็จะถึงได้…”
ซิเล้งสำรวจสภาพการณ์อีกครั้งหนึ่ง แล้วค่อยกล่าวต่อ
“กองเพลิงทางวงนอก มีเศษไม้สองท่อนถูกเผาไหม้ไปครึ่งหนึ่ง เจ้าพอปีนบันไดขึ้น ก็เสาะหาท่อนไฟสองท่อนนั้น
จากนั้น โยนท่อนหนึ่งมาให้ข้าพเจ้า และเหวี่ยงอีกท่อนหนึ่งให้ฉี้ซ่อซ้อ ที่อยู่ห่างสองวา… เจ้าหากเข้าใจก็เงยหน้าขึ้น”
โค้วเพ้งเงยหน้าขึ้นมาจริงๆ ซิเล้งจึงกล่าว
“เริ่มเคลื่อนไหวได้ ให้ระมัดระวังศัตรูอาจพบเห็น”
พวกฉี้อิงห่างจากโค้วเพ้งเพียงสองสามวา กองไฟก็ลุกช่วงโชติ สาดส่องโค้วเพ้งจนเด่นชัด การปฏิบัติการครั้งนี้จึงต้องรวดเร็วและระมัดระวังอย่างยิ่ง
ซิเล้งจับจ้องโค้วเพ้งก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น พอถึงขั้นที่สามซิเล้งพลันส่งเสียงทางลมปราณกล่าวว่า
“เซี่ยวเพ้ง รีบด่วนด้วย”
โค้วเพ้งปีนป่ายทั้งแขนขา พริบตาเดียวมาถึงข้างกองเพลิง ยื่นมือหยิบท่อนไม้ที่ติดไฟขึ้น สะบัดเหวี่ยงเข้าหาซิเล้งก่อน
เปลวอัคคีลุกไหม้ เสมือนกับอุกาบาตจากฟากฟ้ากรีดฝ่าอากาศ ลอยละลิ่วถึงเบื้องหน้าซิเล้ง
ซิเล้งยื่นมือออกรับไว้ ท่อนไม้ยามกระทบถูกข้อมือ รู้สึกมีกระแสพลังเข้มแข็ง หากมิใช่พลังฝีมือสูงเยี่ยม คงถูกแรงกระแทกหลุดจากมือไป
ตนตวาดเสียงดังว่า
“เซี่ยวเพ้ง โยนให้ฉี้ซ่อซ้อได้ แต่อย่าใช้พลังรุนแรงนัก”
โค้วเพ้งรีบเหวี่ยงไม้อีกท่อนหนึ่งพุ่งไปยังฉี้อิง ประกายไฟยามกรีดฝ่าอากาศกลับสวยงามยิ่ง พลันปรากฏบุรุษชุดดำสองคนขยับดาบโถมเข้าโค้วเพ้งอย่างประสงค์ร้าย
โค้วเพ้งกลับมิแตกตื่น พุ่งร่างลงจากเบื้องบน พริบตานั้นดาบยาวเล่มหนึ่งฟาดฟันลงจากเหนือศีรษะ โค้วเพ้งพลันแฉลบกายหลบเลี่ยง อาศัยสภาวะกระแทกหมัดออกไป
หมัดของโค้วเพ้งมิทันกระแทกถูกศัตรู กลับแลเห็นบุรุษชุดดำคนแรกร้องดังพิกล เรือนร่างปลิวกระเด็นไปด้านหลัง โค้วเพ้งงงงันไปครู่หนึ่ง ลืมเลือนหลบหลีกดาบยาวอีกเล่มหนึ่ง ที่กรีดเข้ามาแล้ว
รอจนพบเห็น คมดาบก็ห่างจากบ่าเพียงครึ่งเชียะ
คาดมิถึง บุรุษชุดดำผู้นั้นพลันปลิดกระเด็นไปอีกด้านหนึ่งดังโครมใหญ่
โค้วเพ้งงงงันไปอีก ริมโสตได้ยินเสียงซิเล้งดังว่า
“ครั้งต่อไปให้ระมัดระวังด้วย เจ้ากลับไปข้างกองเพลิง เสาะหาท่อนไม้จุดไฟขึ้น หากมีศัตรูรุกราน ก็เผาผลาญมันเลย”
แท้ที่บุรุษชุดดำคนที่สองถูกซิเล้งกระแทกฝ่ามือทำร้ายใส่นั่นเอง
ซิเล้งใช้ท่อนไม้ที่มีเปลวไฟลุกไหม้จี้ใส่สายใยสีดำ ได้ยินเสียงซู่ซ่าดังขึ้น ใยดำพลันถูกเผาไหม้หลุดออกจากกัน มิอาจขัดขวางการเคลื่อนไหวของตนต่อไปแล้ว
หลังจากเห็นโค้วเพ้งมีพลังหมัดพิสดาร มิทันสัมผัสถูกร่างกายศัตรู ก็สามารถทำร้ายฝ่ายตรงข้ามได้ จึงค่อยวางใจลง
ซิเล้งหยิบดาบยาวขึ้นมาเล่มหนึ่ง มือขวายังถือท่อนไม้ที่ลุกไหม้ โถมไปยังด้านฉี้อิง
ยามนี้ฉี้อิงได้พุ่งร่างรับท่อนไม้ที่ติดไฟ พอพลิ้วกายลงบนพื้นดิน ก็ใช้เปลวอัคคีเผาไหม้ ใยแมงมุมเสียหายไปสองเส้น
บุรุษชุดดำที่หลงเหลือพากันซุกเก็บใยแมงมุมตะปบดาบยาวออกมา นางแมงมุมขาวกลับควง ดาบคู่จู่โจมเข้าหาฉี้อิงอย่างดุร้าย
ซิเล้งพุ่งปราดจากเบื้องบน ประกายดาบกรีดกระจายแผ่รัศมีบาดตา ทำร้ายคนสองคนจนตกตายไป
จากนั้นจู่โจมโหมกระหน่ำอย่างอำมหิต ได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังระงม ชั่วพริบตาศัตรูทั้งหมดก็ถูกพิฆาตจนหมดสิ้น หลงเหลือเพียงฉี้อิงกับนางแมงมุมขาว ที่ยังปะมือกันอยู่
ซิเล้งใช้วิชาส่งเสียงทางลมปราณกล่าวกับฉี้อิงว่า
“นางปีศาจนี้แม้สมควรฆ่าทิ้ง แต่เรายังต้องจัดการกับสถาบันอำมหิต สมควรสอบถามความลับบางประการจากปากคำของนาง”
ฉี้อิงก็มีความคิดเช่นนั้น ซิเล้งพลันร้องดังๆ ขึ้นว่า
“อาอิง ท่านมั่นใจเอาชัยนางได้หรือไม่?”
ฉี้อิงตอบว่า
“ย่อมเอาชัยนางได้”
“ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าจะไปสำรวจบริเวณ ตรวจดูว่ายังมีบริวารหลงเหลืออยู่หรือไม่ ท่านระมัดระวังให้มากด้วย”
นางแมงมุมขาวขณะหักโหมต่อสู้อย่างรุนแรง กลับปรากฏสีหน้าอันปีติลิงโลด ประกายตาวูบวาบสุดชั่วร้าย!
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป