๑๕
♦ ซิเล้งสิ้นชีพ? ♦
……………

ยามนั้นปรากฏเงาร่างสายหนึ่ง พุ่งปราดมาดุจสายฟ้า สองมือของมันกระชับพัดจีบและขลุ่ยทอง (กลับเป็นกินเม้งตี้นั่นเอง!)

กี้เฮียงเค้งพอพบเห็น ถึงกับระบายลมหายใจออกมา

ความจริงนางพอขาดการติดต่อชี้แจง กิมเม้งตี้ได้อาศัยคนสองหน้า ล่อลวงให้นำพาออกจากค่ายกลและเร่งรุดมายังที่นี้

กิมเม้งตี้ยังมิทันรุดหน้า ก็ถูกขบวนบุรุษซึ่งกำลังกลุ้มรุมซิเล้งและแฮ่โฮ้วคงแยกย้ายกันออกมาขัดควางไว้ ดาบคมกริบสองเล่มตวัดใส่ด้วยท่าเพลงอันหักโหม

กิมเม้งตี้หัวร่อแค่นๆ พัด ขลุ่ยใช้ออกพร้อมเพรียง ปะทะกับดาบยาวทั้งสองเล่มโดยมิผิดพลาด ขณะที่อาวุธของศัตรูถูกกดดันจนเบนเบือน พัดจีบขลุ่ยทองก็เสือกพุ่งออก ทำร้ายใส่ใบหน้าฝ่ายตรงข้าม

บุรุษฉกรรจ์ชุดดำที่ขวางทางทั้งสอง ปรากฏโลหิตสาดกระจายเต็มใบหน้า แผดร้องออกมาสุดเสียง กระแทกลงบนพื้นดินแน่นิ่งไป เพียงกระบวนท่าเดียวก็ปลิดชีวิตคู่ต่อสู้ สร้างความแตกตื่นตระหนก ให้กับเหล่าบุรุษฉกรรจ์อย่างใหญ่หลวง

กิมเม้งตี้ถลันปราดมายังเบื้องหลังบุรุษฉกรรจ์ที่กลุ้มรุมซิเล้งยามวาดมือจู่โจม ก็ปลิดชีวิตฝ่ายตรงข้ามไปผู้หนึ่ง ซิเล้งได้รับการช่วยเหลือกระบี่ยาวจึงกรีดสะบัด ปรากฏบุรุษฉกรรจ์ผู้หนึ่งล้มหงายลงทรวงอกถูกฉีกเป็นทางยาว

เหล่าบุรุษชุดดำ เริ่มบังเกิดความปั่นป่วน กิมเม้งตี้ยังก่อกวนให้สับสนยิ่งขึ้น โดยแฉลบเคลื่อนร่างไปทางแฮ่โฮ้วคงบ้าง พัดจีบและขลุ่ยทองคำระดมจู่โจม กำจัดคู่ศัตรูได้อีกสองคน

กิมเม้งตี้ตั้งแต่ปรากฏกาย เหล่าบุรุษฉกรรจ์จึงต้องแบ่งเบากำลังเข้าต่อต้าน ซิเล้งจึงผ่อนคลายไปอักโข พอเหลือบมองมาทางกี้เฮียงเค้ง ก็ต้องสะท้านใจอย่างรุนแรง

แลเห็นใบหน้านางซีดสลด ดวงตาที่กลมโตทั้งคู่ไร้ประกาย หากมิใช่แผ่นหลังพิงกับผนัง คงต้องล้มลงบนพื้นดินแต่แรกแล้ว

ซิเล้งบังเกิดความตื่นตระหนกอย่างใหญ่หลวงตวาดก้องร้องขึ้น กระบี่ในมือแผ่อานุภาพถึงสิบสองส่วน วิถีกระบี่ครอบคลุมอาณาเขตอันไพศาล และแน่นหนารุนแรงยิ่งนัก

ปรากฏบุรุษฉกรรจ์ผู้หนึ่งถูกคมกระบี่ปาดใส่ อีกผู้หนึ่งอาภรณ์ขาดวิ่น บนร่างได้รับบาดแผลเกลื่อนกลาด ส่วนที่หลงเหลือเผชิญกับพลังกระบี่คุกคามจนส่วนเซไปเจ็ดแปดก้าว

ซิเล้งรีบถลันออกจากวง นำพากี้เฮียงเค้งละลิ่วออกนอกตึก พลางผนึกลมปราณของตนเอง หมายถ่ายทอดเข้าสู่ร่างของนาง

แต่ตนพลันพบว่า พลังจากกำเนิดได้เสื่อมสูญไปกว่าครึ่งแล้ว

ซิเล้งรีบทาบฝ่ามือที่กลางหลังและขม่อมของนาง แผ่ซ่านกำลังภายในเข้าไป ช่วยเหลือให้นางฟื้นฟูกำลัง

กี้เฮียงเค้งอาศัยพลังจากภายนอก รวมรั้งกับลมปราณภายในของตัวเอง ผนึกเป็นกระแสเดียว โคจรไปตามส่วนสัดต่างๆ จากนั้นจึงระบายลมหายใจออกมากล่าวว่า

“ข้าพเจ้ามิเป็นไรแล้ว ร่างกายเพียงอ่อนล้าเพราะตรากตรำเกินขอบเขต ความจริงข้าพเจ้ามิใช่ผู้ที่ร่างกายแข็งแรงนัก ทราบดีว่ามิอาจมีชีวิตยืนยาวถึงวัยชรา!”

ซิเล้งตื่นตระหนกยิ่ง กล่าวว่า

“ท่านกล่าวเหลวไหลไปแล้ว”

“ความจริงเป็นเช่นนั้น นับแต่โบราณกาล ปัญญาชนที่เลอเลิศมักมีอายุสั้น เทพยดามักไม่ลิขิตปุถุชนผู้หนึ่งให้สมบูรณ์เพียบพร้อมในทุกด้านหรอก”

ซิเล้งเงียบงันไป อิสตรีเฉกเช่นกี้เฮียงเค้ง หากมีอายุขัยจำกัด นับว่าเป็นที่น่าเสียดายยิ่ง

ภายในห้องหับ กิมเม้งตี้พลันส่งเสียงดังกังวานว่า

“แฮ่โฮ้วคง เราจะแสดงให้ท่านชมดูว่าเกียรติภูมิกระเดื่องดังของเรา หาใช่ได้มาอย่างโชคช่วยไม่ ท่านเองก็ทุ่มเทวิชากำจัดศัตรูได้อย่างเต็มที่”

แฮ่โฮ้วคงก็ปรารถนาชมความสามารถของกิมเม้งตี้ ตนเองทุ่มเทใช้ออกด้วยแนววิชาอันเกรี้ยวกราด แส้อาบยาพิษกวัดแกว่งเป็นม่านอันกว้างใหญ่

มันมิทราบว่า กิมเม้งตี้ที่แท้กำลังใช้ลวดลายประการใด แต่ถ้าว่าอุบัติเหตุการณ์อันพิสดารก็ได้บังเกิดขึ้น

เพลงแส้ของมันยามใช้ออก แผ่อานุภาพอย่างสุดยอด ศัตรูแม้มีจำนวนถึงสิบห้าคน แต่ไม่มีเพลงดาบใดสามารถทัดทานไว้ได้

ผู้ชมการต่อสู้อยู่ด้านข้าง ย่อมพิศวงสงสัยอย่างใหญ่หลวง ทั้งนี้เพราะแฮ่โฮ่วคงและกิมเม้งตี้ทั้งสอง ขณะตกอยู่ท่ามกลางขบวนดาบยาว มิว่าจะรุกถอยหรือโหมจู่โจม ล้วนประสานกันอย่างเหมาะเจาะ

ชั่วพริบตาเดียว บุรุษฉกรรจ์ทั้งสิบห้าคน ก็บังเกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย จากนั้นจำนวนผู้มีชีวิตก็เริ่มลดถอย

แฮ่โฮ้วคงใช้แส้พิษปิดชีวิตศัตรูอยู่ตลอดเวลา กิมเม้งตี้ก็ตามติดอยู่เบื้องหลังอย่างกระชั้นชิด พัดจีบและขลุ่ยทองสำแดงถ้าร่างกันประหลาดล้ำ

บุรุษฉกรรจ์ชุดดำที่พันตูอยู่ หลงเหลือเพียงสี่คน พวกมันหาใช่ไม่หวาดหวั่น หากแต่มิสามารถหลบหนีได้

พวกมันล้วนมีความรู้สึกว่า กระบวนท่าร่างซึ่งกิมเม้งตี้ใช้ออกนั้นได้ควบคุมการเคลื่อนไหวทุกก้าวย่าง ไม่มีปัญญาปฏิบัติการตามใจนึก ต่างแตกตื่นจนขวัญหนีดีฝ่อ

ยามนั้นเสียงแผดร้องอันโหยหวยดังระงมขึ้นอีก จากนั้นบุรุษฉกรรจ์ทั้งสิบห้าคน ล้วนตกตายไปจนหมดสิ้น โดยที่ตลอดเวลา กิมเม้งตี้มิได้ลงมือสังหารผู้ใด แต่ความจริงผู้เสียชีวิตล้วนตายเพราะพลังการฝึกปรืออันพิสดารของมัน

ขณะนี้แฮ่โฮ้วคงเพิ่งเข้าใจ กิมเม้งตี้ได้อาศัยวิชาฝีมืออันสูงสุด และประสบการณ์ที่ผ่านมา กอปรกับสายตาอันคมกล้า พริบตาเดียวสามารถรู้ซึ้งถึงวิถีฝีมือของมัน

จากนั้นบัญญัติวิชาท่าร่างและกระบวนท่าสอดคล้องกับมัน ปล่อยให้แฮ่โฮ้วคงลงมือประหารศัตรูได้อย่างเต็มที่ อันความสำเร็จเช่นนี้นับว่าชวนแตกตื่นสะท้านโลกทีเดียว

แฮ่โฮ้วคง ขณะคิดเอ่ยวาจาพลันรู้สึกชาวูบที่หว่างเอว ที่แท้กิมเม้งตี้ได้จี้สกัดจุดของมัน มิอาจเคลื่อนไหว

ได้ยินกิมเม้งตี้กล่าวเสียงเย็นชา

“พวกเรามาร่วมมือสู้ศัตรู แต่ความสำเร็จท่านสูงล้ำมิน้อย เรามีแต่อาศัยโอกาสนี้กำจัดท่านไป”

แฮ่โฮ้วคงกล่าวเสียงราบเรียบ

“พฤติการณ์ของท่าน เรานับถือยิ่ง หากแม้นเป็นเราก็จะกระทำเช่นนี้…เราตกตายมิอาลัย เพียงเสียดายที่ไม่มีโอกาสปลิดชีวิตซือเฮีย

“การปล่อยให้จิ้งจอกเฒ่านั้นหลบรอดไปได้ภายภาคหน้า กี้โกวเนี้ย ซิเลียวเฮียบ และกิมเฮียท่านย่อมต้องเผชิญกับการประทุษร้ายจากฝ่ายตรงข้าม”

กิมเม้งตี้หัวร่อแค่นๆ กล่าวว่า

“เรายินดีพิสูจน์ความสามารถกับคนในสำนักอลัชชีโลกันตร์ หลังจากที่สังหารคนสองหน้าโอ้วม่อ ก็เตรียมใจกับการไล่ล่าอยู่แล้ว”

พร้อมกับนั้น กลับตบคลายจุดแฮ่โฮ้วคง กล่าวว่า

“เราเปลี่ยนความตั้งใจแล้ว พวกเราสร้างข้อบาดหมางกับสำนักอลัชชีโลกันตร์ หากมีท่านดำรงอยู่ในโลกอีกผู้หนึ่ง กลับสามารถตัดทอนกำลังของฝ่ายตรงข้ามบ้าง”

กล่าวจบพุ่งกายออกจากห้อง แฮ่โฮ้วคงหลังจากงงงันอยู่ครู่หนึ่ง จึงถลันร่างติดไป สมทบกับซิเล้งและกี้เฮียงเค้งซึ่งรอคอยอยู่

ทั้งสี่พออยู่ร่วมกัน กี้เฮียงเค้งกล่าวว่า

“ผู้เฒ่ามรณะหายสาบสูญไปแล้ว บุคคลเฉกเช่นมันหากมีชีวิตรอดอยู่ เท่ากับเป็นอันตรายคุกคามต่อพวกเรา จำต้องไล่ล่าติดตาม”

แฮ่โฮ้วคงจัดการสำรวจบึงแจ้งอาคารกระจ่างตลบหนึ่ง แล้วจึงปรากฏกายออกมา กล่าวว่า

“บริเวณแถบนี้คงต้องรกร้างแล้ว ผู้จงรักภักดีต่อเราล้วนถูกผู้เฒ่ามรณะกำจัดไปตั้งแต่เมื่อครู่ ร่องรอยของซือเฮียเราก็มิอาจทราบแจ้ง”

แฮ่โฮ้วคงนำพากี้เฮียงเค้งทั้งสามออกจากบึงแจ้งอาคารกระจ่าง ทั้งหมดเร่งรุดเสาะหาเป็นเวลาเนิ่นนานยังมิอาจพบเบาะแสเกี่ยวกับผู้เฒ่ามรณะเลย

ทั้งหมดหยุดยั้งที่หน้าลำธารน้ำสายหนึ่ง กระแสน้ำอันเชี่ยวกรากไหลหลั่งอย่างรุนแรง กี้เฮียงเค้งพลันคำนึงขึ้น

“…แฮ่โฮ้วคงรักใคร่เรา แต่เรามินิยมมันเพียงคิดติดตามกิมเม้งตี้ สภาพอันยุ่งเหยิงเช่นนี้สมควรคลี่คลายอย่างไร?”

ขณะนั้นกิมเม้งตี้ยืนหยัดอยู่มุมหนึ่งอย่างเงียบงัน กี้เฮียงเค้งจึงชักชวนแฮ่โฮ้วคงมาอีกทางหนึ่งกล่าวว่า

“ท่านสมควรอยู่ร่วมกับพวกเรา จึงมีถูกบุคคลร่วมสำนักประทุษร้าย แต่ต้องมีข้อตกลงสามประการ”

แฮ่โฮ้วคงกล่าวว่า

“เชิญท่านบ่งบอกมา”

“ประการแรก ภายภาคหน้าท่านมิอาจฆ่าคนอีก”

“ตกลง ประการที่สองเล่า?”

“ท่านต้องอาศัยความรู้ที่ร่ำเรียนมา ช่วยเหลือมนุษย์ร่วมโลกประกอบแต่ความดี”

แฮ่โฮ้วคงผงกศีรษะ กี้เฮียงเค้งจึงกล่าวต่อ

“สำหรับประการที่สาม ท่านทุกวี่วันต้องแยกแยะความหมายในคำสอนของแม่งจื้อ (ปัญญาชนผู้ยึดหลักว่ามนุษย์มีอุปนิสัยเลอเลิศ) และบั๊กจื้อ (ยึดหลักสามัคคีและสงบสันติ ทั้งสองล้วนอยู่ในสมัยเลียดก๊ก) ยังสมควรหมกมุ่นในหลักธรรมของจูจื้อ (บุคคลเมื่อสมัยซ่ง) จวบจนท่านเคารพในเหตุผล จึงสิ้นสุดการเรียน”

“ข้อตกลงสุดท้ายนี้ร้ายกาจยิ่งนัก กลับคิดล้มล้างทัศนะคติเดิมของเรา แต่ก็ขอตกลง”

กี้เฮียงเค้งคาดมิถึงว่า บุคคลที่ทระนงและทรงภูมิความรู้ ยามงมงายในความรัก กลับเชื่องเชื่อถึงปานนี้ แต่นางยากที่จะทอดไมตรีให้ จึงรู้สึกละอายใจและบังเกิดความเห็นใจอย่างลืมตัวกล่าวว่า

“เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็ยินยอมอยู่ร่วมกับท่าน”

“ขอบพระคุณ แต่เรามิอาจร่วมด้วยรู้สึกเสียใจยิ่ง เนื่องจากเราต้องไปยังสถานที่อันเร้นลับแห่งหนึ่ง อย่างน้อยต้องสามปีค่อยปรากฏกายอีกครั้ง”

“อ้อ ท่านมิเกรงว่าอลัชชีโลกันตร์จะติดตามพบหรอกหรือ?”

“ท่านผู้เฒ่าแม้จะมีภูมิปัญญาอันเลิศล้ำ แต่คงคาดมิถึงว่าเราจะเร้นกาย ในดินแดนอันเปี่ยมภยันตรายเช่นนั้น เราขอล่วงหน้าแล้ว”

กล่าวจบประสานมือคารวะ จากนั้นหันร่างพุ่งปราดจากไปอย่างสง่างาม

กี้เฮียงเค้งยืนเซื่องซึมอยู่กับที่ กิมเม้งตี้พลันสาวเท้าเข้ามาใกล้กล่าวสั้นๆ ว่า

“มันไปแล้ว?”

กี้เฮียงเค้งเงียบงันมิตอบคำ รู้สึกสลดหดหู่ในการจากไปของแฮ่โฮ้วคงมิน้อย

กิมเม้งตี้พลันสังเกตพบว่า ดรุณีเบื้องหน้านี้เติบใหญ่สมบูรณ์ มีเสน่ห์รัดรึงใจเพศตรงข้ามอีกแบบหนึ่ง หาใช่เอียเท้าเยาว์วัยที่มิรู้ความไม่ แต่มันมิเคยสนใจไยดีมาก่อน

กี้เฮียงเค้งเคลื่อนร่างถึงข้างกายซิเล้งกล่าวว่า

“ท่านตอนนี้ รู้สึกเป็นอย่างไร?”

ซิเล้งตลอดเวลาพักผ่อนผนึกลมปราณอยู่อย่างเงียบงัน ตอนนี้กล่าวว่า

“พลังภายในกายเริ่มแตกซ่าน รู้สึกอ่อนเพลียยิ่ง”

กี้เฮียงเค้งผงกศีรษะเป็นเชิงรับทราบ พลันล้วงหยิบขวดหยกมาใบหนึ่ง ยื่นส่งออกกล่าวว่า

“ท่านรีบกลืนกินยาเม็ดในขวดลง มิต้องถามว่าเป็นตัวยาใด ขอเพียงท่านเชื่อถือข้าพเจ้าก็แล้วกัน”

ซิเล้งแม้รู้สึกมีเลศนัย แต่ตนนับถือความสามารถของนาง จึงรับขวดมาเทยาเม็ดสีเงินออกกลืนกินลงไป

จากนั้นทรุดกายนั่งลงริมลำธาร เนิ่นนานให้หลังยังมิขยับเคลื่อน

กิมเม้งตี้หันเหความสนใจมายังซิเล้ง ดวงตาของมันสาดประกายอำมหิตขบคิดขึ้น

“…เดียรัจฉานนี้คราก่อนสูญเสียพลังฝีมือในบึงแจ้งอาคารกระจ่าง ยังสามารถสั่งหารคู่ต่อสู้ หากมีพลังการฝึกปรืออย่างสมบูรณ์ ย่อมเป็นศัตรูอันเข้มแข็งของเราชัดๆ บุคคลเช่นนี้ไหนเลยปล่อยให้มีชีวิตอยู่รอด?..”

เมื่อฉุกคิดเช่นนั้น พลันสะอึกกายเข้าหา เขม้นมองกี้เฮียงเค้งกล่าวว่า

“ท่านหากคิดร่วมเดินทางกับเราอีก ก็มิต้องแยแสบุรุษอื่นใด โดยเฉพาะอย่าได้ให้ความช่วยเหลือต่อเดียรัจฉานแซ่ซิ!”

กี้เฮียงเค้งเหลือบแลซิเล้งที่ลำธาร พลันถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า

“ท่านมีต้องกังวล บัดนี้ซิเล้งตกตายแล้ว!”

กิมเม้งตี้สะท้านขึ้นทั้งร่าง ร้องโพล่งว่า

“เป็นความจริง?”

“ผู้คนเสียชีวิตหรือไม่ ท่านมิรู้จักพิสูจน์เอง?

อุบัติการณ์ครานี้นอกเหนือความคาดหมายของกิมเม้งตี้อย่างแท้จริง มันพุ่งร่างเข้าหาซิเล้ง ก็สังเกตพบความผิดปรกติทันที

ซิเล้งซึ่งนั่งแนวนิ่ง ดูผิวเผินมิมีความผิดปรกติใดๆ แต่ความจริงปราศจากลมหายใจ ระบายออกทางทวารทั้งเจ็ดแล้ว!

กิมเม้งตี้ทางหนึ่งลอบเกร็งกำลังขึ้น พร้อมกับยื่นมือขวาไปลบคลำชีพจรซิเล้ง เห็นไม่มีอาการเต้นระรัวแต่อย่างใด จากนั้นจึงสัมผัสบริเวณทรวงอกของฝ่ายตรงข้ามบ้าง

ตลอดทั่วทั้งร่างของซิเล้ง เย็นยะเยียบดั่งราวกับซากศพ แม้ยังอยู่ในท่านั่งอันสงบ แต่ได้สูญเสียชีวิตไป

กิมเม้งตี้มาตรแม้นตื่นเต้นมิเชื่อถือ หากแต่มันได้พิสูจน์ด้วยตัวเองแล้ว จึงกล่าว

“เดียรัจฉานแซ่ซิ ไฉนตกตายอย่างกระทันหัน?”

กี้เฮียงเค้งกล่าวอธิบายว่า

“หากเปรียบเปรยก็เฉกเช่นกับต้นไม้ยามงอกเงย ต้องมีสายน้ำหล่อเลี้ยงรากต้นไม้ชุ่มชื่น ยามใดที่ขาดการบำรุง ก็ต้องเหี่ยวแห้งโรยรา

“ซิเล้งทุ่มเทกำลังออกจนหมดสิ้น ไม่หลงเหลือพลังใดๆ มายึดเหนี่ยวให้สามารถดำรงอยู่ ข้าพเจ้าในขั้นสุดท้ายก็สังเกตพบ พยายามหาทางช่วยยึดชีวิตแต่ก็ปราศจากผล”

กิมเม้งตี้พลันหัวร่อดังสนั่นหวั่นไหว กระแสเสียงเต็มไปด้วยความภาคภูมิผยอง กี้เฮียงเค้งซึ่งอยู่เคียงข้างต้องรู้สึกหวั่นไหวยิ่งนัก

ขณะนั้นในดวงใจของกิมเม้งตี้ บังเกิดความคิดอันอำมหิตคำนึงขึ้น

“…เดียรัจฉานแซ่ซิแม้ตกตาย แต่ซากศพมิสมควรมีสภาพสมบูรณ์เช่นนี้ สมควรกลืนหายไปในสายธาราเสียเลย…”

พอฉุกคิดเช่นนั้น พลันสะกิดเท้าเตะซิเล้งบนพื้นดิน ได้ยินเสียงดังโครม เรือนร่างของซิเล้งคล้ายว่าวขาดป่าน ลอยละลิ่ว ร่วงหล่นลงบนธารน้ำดังตูมใหญ่

ร่างกายของซิเล้ง ยังคงแข็งทื่อไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย มีสภาพราวกับขอนไม้ท่อนหนึ่ง ลอยกระเพื่อมไปตามกระแสคลื่น

มุมปากของกิมเม้งตี้ เริ่มปรากฏรอยยิ้มอย่างเบิกบาน แลเห็นร่างที่คล้ายซากศพของซิเล้ง เริ่มจมวูบลงสู่ธารน้ำ รอยแย้มสรวลก็ยิ่งขยายกว้างขึ้น

กี้เฮียงเค้งขมวดคิ้วอย่างหมกมุ่นอยู่ตลอดเวลา แต่หาได้มีปฏิกิริยาทัดทานไม่ กลับเป็นกิมเม้งตี้พอปลอดโปร่งวางใจก็หันมาชักชวนว่า

“พวกเราเดินทางต่อไปเถอะ”

กี้เฮียงเค้งก็มิซักไซ้ ใช้วิชาตัวเบาโลดแล่นติดตามกิมเม้งตี้ไป นางหลังจากผ่านการพักผ่อนมาระยะเวลาหนึ่ง ก็ฟื้นฟูร่างกายเป็นปรกติ เเต่การทดสอบปัญญาตอนอยู่ในบึงแจ้งอาคารกระจ่าง ได้สูญเสียพลังจิต กำลังสมองไปมากมาย ท่วงท่าจึงยังอิดโรยระโหย

สายธารยังคงม้วนตัวไหลหลั่ง กลืนร่างของซิเล้งจมหายลงไปแล้ว

กาลเวลาล่วงเลยไปเนิ่นนาน บนผิวน้ำยังคงสภาพเดิม หรือซิเล้งเสียชีวิตแล้ว?

            กี้เฮียงเค้งกับกิมเม้งตี้เร่งรุดเข้าสู่ตัวเมืองเสาะหาโรงเตี๊ยมจับจองห้องพักสองหลัง หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นแล้ว กี้เฮียงเค้งค่อยถามว่า

               “ท่านมีแผนการต่อไปอย่างไร?”

กิมเม้งตี้ตอบว่า

“เรากำลังเสาะหาร่องรอยของฉี้อิงเพื่ออาศัยช่องทางสู่ที่ซ่อนของประแจซึ่งไขเจดีย์ทองคำ ภายในเจดีย์ทองคำที่แท้มีทรัพย์สมบัติใดซุ่มซ่อนอยู่?”

กี้เฮียงเค้งกล่าวอย่างแช่มช้า

“เท่าที่ทราบจากคำร่ำลือ ครั้งกระโน้นยอดฝีมือในบู๊ลิ้ม ซึ่งมีฮุ้นฮงไต้ซือแห่งเสียวลิ้ม กระบี่แห่งพิภพนางแมลงป่องและพวก หลังจากได้ร่วมกันครอบครองประแจจากหมู่บ้านตระกูลฉี้แล้ว ก็เร่งรุดสู่เจดีย์ทองคำที่บรรพตไต้เซาะซัว

“จวบจนบัดนี้ ยังมิได้หวนกลับออกมา คาดว่าคงไม่อาจเสาะพบสิ่งที่ปรารถนา”

กิมเม้งตี้ผงกศีรษะกล่าวว่า

“คงเป็นเช่นนั้น เนื่องจากประแจที่พวกมันได้ไปเราทราบว่าเป็นของปลอม และหากคิดเสาะหาประแจดอกที่สามารถไขเจดีย์ทองคำ ก็มีแต่บีบเค้นต่อฉี้น่ำซัวเท่านั้น

“เพียงแต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ร่องรอยของฉี้น่ำซัวเป็นปริศนามืดมน ธิดาของมันฉี้อิง ย่อมต้องมีการติดต่อกับผู้ให้กำเนิดขอเพียงเสาะพบร่องรอยของนาง ก็จะได้เบาะแสเกี่ยวกับประแจดอกที่แท้จริงเอง”

กี้เฮียงเค้งอดนับถือในการสันนิษฐานเรื่องราวของกิมเม้งตี้มิได้ เนื่องจากฉี้อิงคราก่อนได้รับการชี้แจงจากนางเสาะหาฉี้น่ำซัวแล้ว เพียงแต่มิทราบฝ่ายตรงข้ามจะมีหนทางติดตามร่องรอยของฉี้อิงอย่างไร

ขณะนั้นกิมเม้งตี้เขียนจดหมายขึ้นฉบับหนึ่ง มอบหมายผู้รับใช้นำส่งออกไป ชั่วครูต่อมา ชนชาวบู๊ลิ้มที่ทรงเกียรติภูมิประจำตัวเมืองนี้จำนวนหกคน ก็เร่งรุดมาขอน้อมพบกิมเม้งตี้

กิมเม้งตี้เชื้อเชิญพวกมันเข้ามาสู่ห้องพัก แนะนำให้รู้จักกับกี้เฮียงเค้ง จากนั้นกล่าวอย่างหมกมุ่นว่า

“พวกท่านคงทราบข่าวว่าลือเกี่ยวกับประแจที่สามารถไขสู่เจดีย์ทองคำซึ่งอดีตประมุขหมู่บ้านตระกูลฉี้ครอบครองอยู่ และหากต้องการทราบร่องรอยของฉี้น่ำซัวมีแต่สืบเสาะจากผู้เป็นธิดาฉี้อิง ดังนั้นทุกท่านสมควรกระจายข่าวนี้ออกไป ร่วมมือกันค้นหานางให้จงได้”

ชนชาวบู๊ลิ้มที่มาพากันรับคำอย่างนอบน้อมและจากไปในบัดดล

กี้เฮียงเค้งจึงกล่าว

“ที่แท้ท่านคิดใช้ยอดฝีมือทั่วใต้หล้า เป็นหูตาช่วยสืบเสาะ โดยอาศัยศักดิ์ศรีของท่านให้ผู้อื่นต้องเคารพคำสั่ง ท่านเท่ากับสร้างสรรเภทภัยให้กับฉี้ม่วย (น้องสาวแซ่ฉี้) ชัดๆ

“ฉี้อิงเพียงแต่มิอาจเคลื่อนไหวอย่างอิสระเท่านั้น ไหนเลยมีภยันตรายเกี่ยวกับชีวิต?”

ทั้งสองพักอาศัยในโรงเตี๊ยมอยู่สองวัน ร่องรอยของฉี้อิงก็ถูกชนชาวบู๊ลิ้มสืบทราบ นำมารายงานต่อกิมเม้งตี้จริงๆ ตามข่าวคราวนางรอนแรมมุ่งไปตัวเมืองไคฮง

กิมเม้งตี้จึงนำพากี้เฮียงเค้งเร่งรุดเดินทาง โดยซื้อม้าฝีเท้าดีสองตัว ข่าวคราวเกี่ยวกับเบาะแสของฉี้อิง ยังรับคำรายงานอย่างมามิขาดระยะ และทั้งสองก็เร่งรุดติดตามไปอย่างมิใครเร่งร้อนนัก

หลายวันต่อมา ทั้งสองมาถึงตัวเมืองลกเอี้ยง ขณะอยู่กลางถนนหลวงหาสถานที่รับประทานอาหารค่ำ พลันปรากฏบุรุษฉกรรจ์สองคน น้อมกายลงคารวะ หนึ่งในสองประคองส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้

กิมเม้งตี้รับมาอ่านดู แล้วส่งให้กี้เฮียงเค้ง ที่แท้จดหมายฉบับนี้ ลงนามโดยผู้กล้าหาญดาบทองจูกงเม้ง เชื้อเชิญให้ไปรับประทานอาหาร และบ่งบอกนามของแขกเหรื่อที่มาร่วมชุมนุมด้วย พร้อมกับอ้างว่าหากแวะไปจะน้อมต้อนรับด้วยตัวเอง ถ้อยคำกลับยกยอกิมเม้งตี้ยิ่ง

มันผงกศีรษะรับ ก็มีบุรุษฉกรรจ์ผู้หนึ่งโลดแล่นไปก่อน ส่วนอีกผู้หนึ่งเป็นฝ่ายนำทาง

กี้เฮียงเค้งขณะเดินทางพลางกล่าว

“แขกเหรื่อที่ถูกผู้กล้าหาญดาบทองเชื้อเชิญมา ถึงกับเป็นขบวนของกระบี่แห่งพิภพซึ่งไปยังเจดีย์ทองคำและปราศจากข่าวคราวมาระยะหนึ่ง บัดนี้มาชุมนุมอยู่ที่ลกเอี้ยง หากคาดคะเนมิผิด ย่อมมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ฉี้อิงเช่นกัน”

ยามนี้วกผ่านถนนมสายหนึ่ง แลเห็นผู้กล้าหาญดาบทองในชุดสมถะมิฟุ้งเฟ้อ นำพาศิษย์สองคนมาต้อนรับ ที่ห่างไปเจ็ดวามีคฤหาสน์โอ่อ่าอยู่หลังหนึ่ง

กิมเม้งตี้มีท่วงท่ายโสถือดี มิยอมลงจากหลังม้า แต่ผู้กล้าหาญดาบทองคล้ายดั่งมิสังเกตพบ ประสานมือขึ้นกล่าวว่า

“ผู้แซ่จู รับทราบว่าท่านทั้งสองผ่านทางมา รู้สึกปลาบปลื้มยินดีจนลนลาน”

กี้เฮียงเค้งเงียบงันมิตอบคำ พฤติการณ์ของทั้งสอง ทำให้ศิษย์ที่ติดตามจูกงเม้งมาสองคน พากันรู้สึกขุ่นเคือง

ได้ยินกิมเม้งตี้กล่าวเสียงเย็นชา

“จูกงเม้ง ท่านบอกกล่าวตามความสัตย์ ไฉนเชื้อเชิญเรามา?”

ศิษย์อันดับสองของผู้กล้าหาญดาบทอง นามโจ้วเสียวอดทนสืบไปมิได้ ตวาดว่า

“หุบปาก นามของซือแป๋ ไหนเลยให้ท่านเรียกหาได้”

ศิษย์อันดับสามนามโคยเกียง พลอยกล่าวบ้างว่า

“ท่านมิรู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำชัดๆ วันนี้ต้องรับการอบรมสั่งสอนบ้าง”

กิมเม้งตี้มีสีหน้าเป็นปรกติ กี้เฮียงเค้งกลับบร้องว่า

“เศษสวะคู่นี้ ยังคงรับฟังคำอบรมจากซือแป๋ของท่านเถอะ”

คารมของนางนี้ร้ายกาจยิ่งนัก หากแม้นผู้กล้าหาญดาบทองเกรงว่ากิมเม้งตี้จะสังหารศิษย์ในสังกัด ก็ต้องตำหนิดุด่า ซึ่งเท่ากับแสดงว่ามิกล้าตอแยกิมเม้งตี้ แต่หาไม่กระทำเช่นนี้ ทั้งโจ้วเสียว และโคยเกียงก็จะมีอันตรายคุกคาม

ผู้กล้าหาญดาบทอง ขณะอยู่ในสถานการณ์ยุ่งยาก สีหน้ายังสำรวมยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า

“กี้โกวเนี้ยไม่เสียทีที่เป็นทายาทของบึงเร้นอาคารลับ วาจาประโยคเดียวก็แสดงความร้ายกาจออกมา”

หยุดเล็กน้อยค่อยกล่าวว่า

“กิมเฮียเมื่อไม่มีเจตนาลงมือ ข้อบาดหมางนี้ก็ขอให้เลิกรากันไป ท่านทั้งสองไยมิลงจากหลังม้า ร่วมร่ำดื่มสักหลายจอก”

กิมเม้งตี้กลับมีดวงตาสาดประกายเย็นยะเยียบ สำรวจมองโจ้วเสียวตลบหนึ่งพลางกล่าว

“ผู้ล่วงเกินเรามิอาจให้อภัย ภายในสามกระบวนเราจะทำให้เจ้าเท้าทั้งสี่ชี้ขึ้นฟ้า”

กล่าวจบ ร่างพลิ้วปราดลงจากหลังม้า ลากฝีเท้าไปเบื้องหน้า

ความจริงหน้าคฤหาสน์ที่ห่างไปเจ็ดแปดวา มีผู้ชุมนุมอยู่กลุ่มหนึ่ง ตอนนี้ทั้งหมดต่างเร่งรุดมาชมเหตุการณ์ด้านนี้

จูกงเม้งแม้เสียเปรียบทั้งคารมและเล่ห์เหลี่ยม แต่ยังมิมีท่วงท่าแปรเปลี่ยนอย่างไร กล่าวว่า

“กิมเฮียก็อบรมศิษย์ผู้ไร้มารยาทของเราสักคราหนึ่ง ให้สหายทั้งหมดได้เปิดหูเปิดตา ค่อยขอเชิญเข้าร่วมรับประทานอาหารกัน”

คำพูดของมันร้ายกาจยิ่ง ใช้คารมผูกมัดกิมเม้งตี้ มิอาจไม่ร่วมงานเลี้ยง หากทั้งสองยังสะบัดหน้าจากไป ผู้คนที่ชุมนมอยู่ต้องกล่าวหาพวกมันเสียมารยาท

ยามนั้นกิมเม้งตี้ได้ตวาดก้องร้องขึ้น ขยับไหล่ทั้งสองข้างเล็กน้อย เรือนร่างคล้ายดั่งเมฆพลิ้วละลิ่วล่อง สะอึกปราดเข้าใส่โจ้วเสียว

โจ้วเสียวเห็นมันลดบ่าซ้ายลงต่ำ คำนวณออกว่าฝ่ายตรงข้ามต้องก้าวเท้าขวา ดังนั้นรีบถอยเฉียงๆ ไปครึ่งก้าว แผ่พุ่งกำลังเข้าใส่ดรรชนีทั้งห้า ตระเตรียมตะกุยใส่เท้าของศัตรู กิมเม้งตี้เคลื่อนเท้ารุกจู่โจมตามความคาดหมาย หากแต่ยื่นเท้าซ้ายออก

เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่ามือของโจ้วเสียวจึงคลาดเคลื่อนจากเป้าหมายไปหลายนิ้ว เมื่อพลาดผิดรีบสะบัดเอวปราดไปสองเชียะ แต่ยังกางเล็บทั้งห้า ยื่นออกปักทะลวงใส่เท้าขวากิมเม้งตี้ ด้วยพลังอันแหลมคมราวกระบี่

กิมเม้งตี้กลับสามารถรั้งเท้าให้ชะงักค้างได้ ลดตัวต่ำลงไปเชียะเศษ แล้วค่อยสะอึกพรวดไปเบื้องหน้า แต่ถึงอย่างไรยังถูกจู่โจมที่กระดูกหน้าแข้ง

เพียงแต่ตำแหน่งพอคลาดเคลื่อน สถานการณ์ก็แตกต่างไป โจ้วเสียวในสภาวะเช่นนี้ไม่สามารถลงมือได้ รีบพุ่งร่างขึ้นสู่เบื้องบน พริบตาเดียวเท้าทั้งสองก็ลอยขึ้นไปได้สามเชียะ

กิมเม้งตี้ตวาดว่า อยู่ ฝ่ามือพลันกระแทกลงใส่ศีรษะ พอจู่โจมก็ปรากฏพลังอันแกร่งกร้าวทะลักออก เพียงคำนวณจากกำลังฝ่ามือ ทราบได้ว่ามีอานุภาพรุนแรงยิ่ง

โจ้วเสียวย่อมสังเกตได้ รีบใช้วิชาถ่วงพันชั่งบังคับร่างให้ลอยละลิ่วลง

วินาทีนั้น เท้าข้างหนึ่งของกิมเม้งตี้ตวัดขึ้นทั้งๆ ที่อยู่ในท่วงท่าซึ่งมิอาจผนึกกำลังแผ่ออกไป แต่ได้ยินเสียงดังโครมเมื่อโจ้วเสียวกระแทกกายลงกับพื้นดินดังโครมใหญ่ และสองแขนสองขาชี้ขึ้นสู่ท้องฟ้าจริงๆ

โจ้วเสียวมิอาจขยับเคลื่อนร่าง เนื่องจากกิมเม้งตี้โช้เท้าเหยียบอยู่บนท้องน้อยมัน แผ่พุ่งกำลังอันเกรี้ยวกราดกดดันเอาไว้ นับเป็นสภาพการณ์ที่เปี่ยมอันตราย

กิมเม้งตี้แหงนหน้าหัวร่อดังกังวาน ยังมิทันเอื้อนเอ่ยวาจา กี้เฮียงเค้งก็ร้องดังๆ ว่า

“จูกงเม้ง พวกเราจะจัดการอบรมศิษย์ของท่านเอง โคยเกียงท่านหากยินยอมโขกศีรษะขอขมาต่อกิมเม้งตี้ มันก็จะละเว้นโจ้วเสียวหาไม่แล้วซือเฮียของท่านต้องสิ้นชีวิต”

โคยเกียงพอได้ยิน ถึงกับแตกตื่นตระหนกใบหน้ามีหยาดเหงื่อแตกชุ่มโชก ชั่วครู่ยังปราศจากสำเนียง กลับมิอาจตัดสินใจได้

ขณะนั้น หัตถ์อสนีบาตเนี้ยฮงซึ่งคราก่อนถูกฉี้น่ำซัวทำร้ายบาดเจ็บสาหัส คิดส่งเสียงกล่าววาจา กลับถูกสำเนียงของกี้เฮียงเค้งขัดขวางไว้ก่อนว่า

“เรื่องราวครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงเกียรติภูมิของท่านผู้กล้าหาญดาบทอง คนภายนอกมิอาจไกล่เกลี่ยได้ นอกจากคิดเสี่ยงชีวิตกับกิมเม้งตี้ กอบกู้ศักดิ์ศรีแทนจูกงเม้ง จึงมีคุณสมบัติกล่าววาจา”

วาจาประโยคนี้ สามารถทัดทานยอดฝีมือที่ชุมนุมอยู่มิกล้าเสนอตัวออกไกล่เกลี่ย เนื่องจากทราบดีว่ามิใช่คู่มือกิมเมงตี้ ผู้กล้าหาญดาบทองพอรับรู้ภูมิปัญญาของกี้เฮียงเค้ง ต้องคำนึงในใจ

“มิน่าเล่า ผู้เฒ่ามรณะ แฮ่โฮ้วคงและคนสองหน้า ยังถูกพวกมันทำลายล่มไป ที่แท้พวกมันมีความสามารถจริงๆ…”

มันหาได้กระวนกระวายแม้แต่น้อย ขอเพียงสามารถรักษาเกียรติภูมิตนเอง แม้ต้องเสียสละศิษย์ไปสักร้อยคนก็มิอาลัย นี่จึงเป็นพฤติการณ์ของคนในสังกัดสำนักมหากาฬตลอดมา

ความเงียบสงัดปกคลุมไปครู่หนึ่ง กี้เฮียงเค้งจึงหัวเราะแค่นๆ กล่าวว่า

“โคยเกียงท่านตกลงใจแล้วหรือไม่?”

โคยเกียงมีใบหน้าบิดเบี้ยวปั้นยา ยังคงมิอาจตัดสินใจ

ในความเข้าใจของผู้กล้าหาญดาบทอง โคยเกียงต้องเข้าหักโหมกับกิมเม้งตี้ ช่วงชิงโจ้งเสียวออกมา

แต่ทว่าปัญหาสำคัญอยู่ที่กำลังขวัญ โคยเกียงยามนี้มิสามารถปลุกปลอบจิตใจให้เข้มแข็งได้ เหลือบเห็นประกายตาอันเหี้ยมเกรียมจากกิมเม้งตี้ มันกลับก้มศีรษะลงกล่าวว่า

“ข้าพเจ้ายอมพ่ายแพ้”

พลางงอเข่าทั้งสองลง โขกศีรษะครั้งหนึ่งจริงๆ

ผู้กล้าหาญดาบทองและกลุ่มยอดฝีมือล้วนงงงันไป กิมเม้งตี้ชักเท้ากลับมาแหงนหน้าหัวร่อดังสนั่นกล่าวว่า

“ที่แท้ศิษย์ในสังกัดผู้กล้าหาญดาบทอง กลับกลัวตายถึงปานนี้ นับคาดคิดมิถึงอย่างแท้จริง”

ผู้กล้าหาญดาบทองโบกมือขึ้น บงการให้โคยเกียงกับโจ้วเสียวที่เพิ่งตะเกียกตระกายลุกขึ้นจากไป จับจ้องกี้เฮียงเค้งกล่าวว่า

“กี้โกวเนี้ยดำเนินอุบายเช่นนี้ น่านับถืออย่างยิ่งยวด ในเวลาสั้นๆ ก็ทำลายอนาคตของบุรุษผู้หนึ่งไป! ผู้แซ่จูมุ่งหวังว่ามีโอกาสอยู่ร่วมกับท่านทั้งสองเพื่อทดสอบดูว่า กี้โกวเนี้ยยังจะความสามารถใด?”

บุคคลนี้มิเสียทีเป็นจอมเจ้าเล่ห์แห่งยุค เพียงวาจามิกี่ประโยคก็ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าพฤติการณ์ของนางโหดเหี้ยมชั่วร้าย

กี้เฮียงเค้งไหนเลยยินยอมแสดงความอ่อนแอหัวร่อพลางกล่าวว่า

“ท่านผู้กล้าหาญแซ่จูกล่าวประเสริฐ หากท่านมิกระทำเรื่องราวอันเลวร้ายต่อหน้าผู้คนมากมาย ข้าพเจ้าก็จะเกลี้ยกล่อมเม้งตี้เข้าร่วมรับประทานอาหารด้วย”

ผู้กล้าหาญดาบทองจูกงเม้ง จัดการเชื้อเชิญทุกผู้คนเข้าไปในคฤหาสน์ ซึ่งจัดตั้งโต๊ะสุราอาหารอยู่ก่อน ผู้ร่วมรับประทานล้วนเป็นยอดฝีมือที่เร่งรุดสู่เจดีย์ทองคำ อันมี

ฮุ้นฮงเซี่ยงซือแห่งเสียวลิ้ม กระบี่แห่งพิภพเฮียะเกา หัตถ์อสนีบาตเนี้ยฮง ซัวมุ่งเทียนแห่งบู๊ตึง นางแมลงป่องฉั่วกิมง้อ สองยอดฝีมือแห่งพรรคธงเหลืองฉิ้งซาหงี กับเจ็ดก้าวเบิกภูผา และตุลาการโฉดเงี่ยมฮ้ง

หลังจากดื่มสุราครบสามรอบ ผู้กล้าหาญดาบทองกล่าวว่า

“รับทราบมาว่า กิมเฮียกับกี้โกวเนี้ยเดินทางอย่างเร่งร้อน เข้าใจว่าต้องมีความสัมพันธ์กับธิดาของฉี้น่ำซัว ประจวบเหมาะกับที่พวกเราต่างกำลังเสาะหาร่องรอยของฉี้เฮีย ดังนั้นจึงเชื้อเชิญท่านทั้งสองมาเป็นพิเศษ เพื่อมิต้องตรากตรำรอนแรม”

หัตถ์อสนีบาตกล่าวเสียงกังวาน

“วาจาของจูเฮียมิผิดแม้แต่น้อย ผู้น้องได้ยินท่านกล่าวเช่นนี้มาก่อน”

จูกงเม้งกล่าวเสริมว่า

“บัดนี้พวกเราได้รวบรวมกำลังสหายชาวบู๊ลิ้ม สืบเสาะร่องรอยฉี้โกวเนี้ย กิมเฮียกับกี้โกวเนี้ยหากเชื่อถือ ไยมิอยู่ในที่นี้รอคอยด้วยกัน รับรองว่าต้องรับทราบข่าวคราวแน่นอน”

กิมเม้งตี้กล่าวว่า

“ทุกท่านเสาะหาฉี้น่ำซัว คงมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ประแจแห่งเจดีย์ทองคำแล้ว เพียงมิทราบพวกท่านคราก่อน เร่งรุดไปยังบรรพตไต้เซาะซัว ประสบผลเป็นประการใด?”

นางแมลงป่องชิงกล่าวว่า

“เจดีย์ทองคำเพราะถูกหิมะปกคลุมไว้ พวกเราทั้งหมดแทบสูญเสียกำลังทั้งมวลค่อยเสาะพบ

“เจดีย์ทองคำสูงสามวาทั่วสี่ทิศแปดทางล้วนมีรูประแจ จัดสร้างอยู่รอบผนังทั้งสี่ด้าน พวกเราใช้ประแจที่มีอยู่ ทดลองตามรูกุญแจทุกแห่ง”

กี้เฮียงเค้งผงกศีรษะกล่าวว่า

“จำนวนของรูกุญแจ นับว่าน่าชมยิ่งนัก มิว่าผู้ใดก็ต้องทดลองเป็นเวลาหลายวัน อย่าว่าแต่พวกท่านทั้งหมด ต้องผลัดเปลี่ยนกันไปทดสอบวันเวลาที่ต้องอาศัยอยู่จึงยาวนานชวนร้อนรุ่มใจ”

“เอ๊ะ ท่านทราบได้อย่างไรว่าพวกเราผลัดกันทดสอบ”

กี้เฮียงเค้งกล่าวว่า

“สาเหตุนี้ง่ายดายยิ่ง หากคนสองคนร่วมกันไปไขรูกุญแจ หนึ่งในสองไม่สามารถเปิดออกอีกผู้หนึ่งย่อมต้องเข้าไปทดลองบ้าง นี่เป็นหลักธรรมดา อย่าว่าแต่เจดีย์ทองคำมีความสำคัญใหญ่หลวง

“ดังนั้นมิว่าผู้ใดก็ไม่เชื่อถือฝ่ายตรงข้าม ผู้ที่ทดลองมาแล้วก็เกรงว่าบุคคลอื่นสามารถเปิดเจดีย์ทองคำจึงอยู่เฝ้าดูพฤติการณ์โดยมิยอมจากมา”

นางแมลงป่องรับฟังจนจิตใจแตกตื่น ลอบนับถือความสามารถของกี้เฮียงเค้ง

ผู้กล้าหาญดาบทองกล่าวมาบ้างว่า

“ครั้งก่อนมียอดฝีมือเพียงแปดคนเร่งรุดสู่ไต้เซาะซัว ภายหลังผู้แซ่จูได้เร่งรุดไปสมทบนั่นกลับมิใช่มีจิตใจละโมบ หากแต่เพื่อขอร้องให้พวกท่านอย่าได้มีความคิดขัดแย้งกัน หาทางร่วมมือเพื่อคลี่คลายปริศนาของเจดีย์ทองคำหลังนั้น”

กระบี่แห่งพิภพส่งเสียงที่เคารพเลื่อมใสขึ้นว่า

“ครั้งนั้น พวกเรามีข้อบาดหมางและระแวงซึ่งกันและกันจริงๆ ยังประเสริฐที่ท่านผู้กล้าหาญแซ่จูเข้าเกลี้ยกล่อม พวกเราสำนึกพระคุณอย่างยิ่ง”

กี้เฮียงเค้งสังเกตเห็น บรรดายอดฝีมือล้วนเคารพนับถือในเกียรติภูมิ อันจอมปลอมของผู้กล้าหาญดาบทอง ยากที่จะเปลี่ยนแปลงความเข้าใจของส่วนรวม ทำให้หมกมุ่นกังวลอยู่ตลอดเวลา

ชนชาวบู๊ลิ้มทั้งหมด พักอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ของผู้กล้าหาญดาบทองเป็นเวลาเจ็ดวันแล้ว แต่ยังคงปราศจากข่าวคราวของฉี้อิง

ค่ำคืนหนึ่ง ผู้กล้าหาญดาบทองจัดสุราอาหารเลี้ยงต้อนรับผู้คนทั้งหมดอีก กิมเม้งตี้ขณะติดตามกี้เฮียงเค้งไปร่วมด้วย ได้กล่าวถามนางว่า

“โบราณว่าจัดงานเลี้ยงไม่มีจิตประเสริฐ ผู้กล้าหาญดาบทองกลอกกลิ้งชั่วร้ายนัก ท่านว่ามันจะวางแผนการประทุษร้ายพวกเราในงานเลี้ยงหรือไม่?”

กี้เฮียงเค้งกล่าวอย่างครุ่นคิด

“ตอนนี้สามารถวางใจได้ชั่วคราว เพียงแต่ผู้กล้าหาญดาบทอง ย่อมต้องคิดปองร้ายหมายชีวิตพวกเราอย่างแน่นอน”

สุราอาหารจัดอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ชั้นใน ตบแต่งสถานที่อย่างสวยงาม ยังมีคณะดนตรีขับกล่อม สภาพการณ์โอ่อ่าโอฬารยิ่ง

ผู้ร่วมงานเลี้ยง นอกจากเหล่าผู้คนคราแรกแล้ว ยังมีอาคันตุกะแปลกหน้าอีกผู้หนึ่งนั่งร่วมโต๊ะด้วย เป็นชายชราผอมซูบ สารรูปธรรมดาสามัญ ดวงตาทั้งคู่ก็มีประกายมิใคร่สมบูรณ์ เรือนร่างต่ำเตี้ย ผมเผ้าเริ่มขาวหงอกประปราย

จากคำแนะนำของผู้กล้าหาญดาบทอง ชายชราผู้นี้มาจากเชี่ยงแป๊ะซัว นอกดินแดนกำแพงใหญ่นามอึ้งไถ่ เนื่องจากมันมิใคร่ยกย่องแขกเหรื่อที่มาใหม่ผู้นี้เท่าใดนัก ชนชาวบู๊ลิ้มจึงไม่ได้แยแสสนใจ

งานเลี้ยงคืนนี้ จัดเพื่อเป็นเกียรติแก่อึ้งไถ่ แต่แล้วไม่ได้รับความสนใจจากผู้อื่นเท่าใดนัก สำหรับข้อนี้กี้เฮียงเค้งกลับรู้สึกผิดปรกติ บังเกิดความคลางแคลงในตัวอึ้งไถ่

นางมิได้แพร่งพรายเรื่องราวให้กับกิมเม้งตี้ล่วงรู้ วันรุ่งขึ้นก็เริ่มปฏิบัติการ ขั้นแรก นางต้องการทดสอบพลังฝีมือของฝ่ายตรงข้าม โดยมิให้มันรู้ตัว

ยามค่ำมืด กิมเม้งตี้ขณะนั่งผนึกลมปราณอยู่ที่ห้องข้างเคียงกี้เฮียงเค้งก็เข้ามากล่าวว่า

ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านลอบเร้นเข้าไปที่ตึกชั้นใน แต่ต้องพุ่งผ่านหลังคาตึกทางซ้ายมือ จากนั้นส่งเสียงผิดปรกติเล็กน้อย พอถึงเขตตึกชั้นในให้รออยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยหวนกลับมา”

กิมเม้งตี้กล่าวอย่างพิศวง

“เพราะเหตุใด?”

“ย่อมต้องมีความหมายลึกล้ำ เพียงแต่ท่านอย่าเพิ่งไต่ถาม”

กิมเม้งตี้ก็ไม่ซักไซ้อีก ผุดลุกขึ้นผลักประตูออกไป ขณะนี้ท้องฟ้ามืดมิดสนิท แต่มันยังสามารถแลเห็นสภาพรอบกายได้ ทุ่มเทวิชาตัวเบาโลดแล่นไป

ฝ่ายกี้เฮียงเค้งเสาะหาสถานที่ซุกซ่อนกายอยู่ก่อน พบห็นเงาร่างสายหนึ่ง ปรากฏกายจากตึกข้างเคียง สะกดติดตามกิมเม้งตี้ในระยะห่าง แต่พริบตาเดียวก็วกกลับมา

มินานให้หลัง กิมเม้งตี้ก็มาถึง โดยสนทนากับกี้เฮียงเค้งภายในห้อง กล่าวว่า

“ยังมีอันใดต้องกระทำหรือไม่?”

“ย่อมต้องมี แต่รอไว้วันพรุ่งนี้ค่อยดำเนินการ ค่ำคืนนี้นับว่ารับผลสำเร็จมิน้อยแล้ว คืนนี้ท่านตอนเคลื่อนไหว ได้ถูกคนผู้หนึ่งสะกดติดตาม มันผู้นั้นก็คืออึ้งไถ่ ซึ่งอ้างว่ามาจากเชี่ยงแป๊ะซัว”

“เราก็รู้สึกตัว เพียงมิทราบว่าเป็นมัน เพราะไม่อาจเบือนหน้ากลับไป และยังรู้ซึ้งว่ามันผู้นั้นพลังฝีมือธรรมดาสามัญยิ่ง จึงมิสนใจ”

“นั่นก็ใช่แล้ว พวกเรารอไว้วันรุ่งขึ้นค่อยปฏิบัติการขั้นต่อไป”

กิมเม้งตี้พกพาความพิศวง รอคอยถึงรุ่งเช้า กี้เฮียงเค้งก็นำมันไปซุ่มซ่อนอยู่หลังต้นไม้นอกระเบียงตึกข้างเคียง มินานให้หลังคนรับใช้ผู้หนึ่งก็นำกาน้ำป้านหนึ่งเดินผ่านมา

กิมเม้งตี้ผนึกลมปราณถึงขั้นสูงสุดอยู่ก่อนยื่นมือจี้สกัดจุดผู้รับใช้ ฝ่ายตรงข้ามถึงกับยืนแข็งทื่อมิเคลื่อนไหว

วินาทีนั้น กี้เฮียงเค้งพลิ้วร่างลงที่เบื้องหลังของมัน เปิดฝากาน้ำชาขึ้น ดีดยาผงส่วนหนึ่งลงไปแล้วล่าถอยกลับที่เดิม กิมเม้งตี้ก็พุ่งดรรชนีออกคายจุด การปฏิบัติการครั้งนี้ใช้เวลาเพียงชั่วกระพริบตา

ในความรู้สึกของคนรับใช้ เพียงรู้สึกร่างกายชาวูบเล็กน้อย จากนั้นหายเป็นปกติในชั่วพริบตา

กี้เฮียงเค้งพอลงมือเสร็จ ก็แยกย้ายเฝ้าอยู่ที่ปากทางเข้าออกของตึกหลังข้างเคียง จวบจนถึงยามเที่ยง ภายในตึกยังมีมีสิ่งผิดปรกติใด

ทั้งสองรับประทานอาหารอย่างลวกๆ กิมเม้งตี้แสดงเจตนาว่าจะไปตรวจตราเหตุการณ์ แต่กี้เฮียงเค้งสั่นศีรษะกล่าวว่า

“มิต้อง ผู้แซ่อึ้งที่พำนักอยู่ห้องข้างเคียงนั้น ย่อมเป็นยอดฝีมือจากเชี่ยงแป๊ะซัวอย่างแน่นอน”

กิมเม้งตี้กล่าวว่า

“บัดนี้ ท่านสมควรเปิดเผยความจริงแล้ว”

“ก็ได้ ข้าพเจ้ามีเจตนาอาศัยฤทธิ์ยาพิสูจน์พลังการฝึกปรือของอึ้งไถ่ เมื่อเช้านี้ข้าพเจ้าลอบใช้ยาพิษที่ร้ายกาจยิ่ง หากเปลี่ยนเป็นท่านถูกประทุษร้าย ก็มิอาจต้านทานได้ แต่อึ้งไถ่ผู้นั้นกลับมิเป็นอันตราย!”

“เมื่อเป็นเช่นนี้ เฒ่าบัดซบนั้นก็มีพลังการฝึกปรือที่สูงล้ำกว่าเรา?”

กี้เฮียงเค้งอธิบายว่า

“มิใช่กล่าวเช่นนั้น แต่อย่างน้อยมีพลังฝีมือคู่คี่ก้ำกึ่งกับท่าน ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า มันต้องเป็นบริวารอันเข้มแข็งของอลัชชีโลกันตร์ ในด้านศักดิ์ศรียังสูงล้ำกว่าพวกผู้เฒ่ามรณะ แฮ่โฮ้วคงอีกขั้นหนึ่ง!”

“ท่านยังอธิบายมิแจ่มแจ้ง”

“ยังมีปมสำคัญอีกข้อหนึ่ง ข้าพเจ้ามิทันบอกกล่าวคือ อึ้งไถ่เรียนรู้วิชาสมุนไพรตัวยาจากอลัชชีโลกันตร์ ดังนั้นพอถูกพิษร้ายแทรกซึม ทางหนึ่งอาศัยพลังการฝึกปรือสะกดกั้น อีกทางหนึ่งใช้ตัวยาขจัดพิษ จึงมิเป็นอันตราย”

กิมเม้งตี้กล่าวแย้งว่า

“วาจาแม้มีเหตุผล แต่มีอีกสองประการที่มิได้ยืนยันคือหนึ่ง อึ้งไถ่ใช่ดื่มน้ำชาป้านที่ผสมพิษร้ายหรือไม่? สอง จำนวนพิษร้ายที่ท่านใช้รับรองได้ว่าจะประสบผลแน่ชัดหรือไม่?”

“ปัญหาเหล่านี้ยากยืนยัน สมมุติว่าปัญหาข้อสองเกี่ยวกับปริมาณของยาพิษ นอกจากท่านยินยอมสละตัวเองมาทดสอบดู จึงจะทราบถึงความสามารถของข้าพเจ้า”

หยุดเล็กน้อยกล่าวว่า

“กับคำถามข้อแรก สามารถอาศัยสภาพแวดล้อมอธิบายได้ กล่าวคือเวลาที่ส่งน้ำชาเช้าเป็นพิเศษ เวลาดื่มน้ำชาของพวกเราต้องเกือบเที่ยง จากข้อนี้แสดงว่าอึ้งไถ่มีอุปนิสัยดื่มน้ำชาตอนเช้า

พร้อมกับนั้น มันย่อมคิดมิถึงว่า ในเขตอิทธิพลของพวกมันเองจะมีผู้คนลอบใช้ยาพิษ ดังนั้นคงดื่มน้ำชานั้นเข้าไป เป็นเหตุให้พวกเราคาดคะเนความเป็นมาที่แท้จริงของมันได้”

กิมเม้งตี้ไร้วาจาโต้แย้งเพียงถามว่า

“ถ้าเช่นนั้นท่านมีแผนการขั้นต่อไปอย่างไร?”

“ข้าพเจ้าจะใช้พิษทำร้ายอีก หาหนทางกำจัดบุคคลผู้นี้อย่างสุดความสามารถ แต่ทว่ามันพลาดพลั้งมาครั้งหนึ่ง ภายหลังย่อมต้องระมัดระวัง อาจไม่สามารถจัดการกับมันได้ง่ายดาย

แต่อย่างน้อยสามารถทำลายความสามัคคีระหว่างอึ้งไถ่กับผู้กล้าหาญดาบทอง ควรทราบว่าพวกมันทุกผู้คนล้วนมีจิตใจ ระแวงต่อกันอยู่ตลอดเวลา

“ประเสริฐมาก นี่เป็นหนึ่งอุบายประสบผลสองประการ รับรองมิมีแผนการใดลึกซึ้งไปกว่าแล้ว”

กี้เฮียงเค้งล้วงหยิบยาผงเจ็ดแปดห่อออกจากถุงย่ามที่พกติดตัว ผสมตัวยาหลายชนิดอย่างจดจ่อ สูญเสียเวลาครึ่งชั่วยาม ค่อยสำเร็จเป็นยาพิษขนานหนึ่งซึ่งมีปริมาณน้อยนิด สามารถซุกซ่อนอยู่ในเล็บมือ

จวบถึงยามเที่ยงของอีกวันหนึ่งจึงใช้ยาพิษขนานนี้ ผสมเข้าไปในอาหาร โดยดำเนินแผนการเมื่อครั้งก่อน

ยามค่ำของวันนั้นมีงานเลี้ยงอีก อึ้งไถ่ผู้นี้กลับปรากฏกายขึ้นโดยมิมีสภาพผิดปรกติใดๆ เพียงแต่ยามดื่มกิน สังเกตได้ว่ามันมีความระมัดระวังมากขึ้น

อึ้งไถ่จะสำรวจสุราอาหารก่อนแล้วค่อยดื่มกิน อากัปกิริยาของมันแม้เป็นอย่างธรรมดา แต่ในสายตาของกี้เฮียงเค้งและกิมเม้งตี้ ทราบว่าแผนยุยงให้แตกแยกกำลังจะบังเกิดผลแล้ว

กี้เฮียงเค้งรู้สึกพอใจยิ่ง งานเลี้ยงพอเลิกรานางกล่าวกับกิมเม้งตี้ว่า

“ภายภาคหน้ามิต้องลงมืออีก หาไม่แล้วมีแต่เภทภัยไร้ประโยชน์”


 อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่