๑๔
♦ การหักล้างของประชาชน ♦
……………
ทางด้านกี้เฮียงเค้งได้ทดสอบผ่านตึกดนตรีลูกคิดและหมากรุกสามตึก บัดนี้เริ่มเข้าสู่ดินแดนแห่งความรู้ด้านที่เก้า ตึกอักษรศาสตร์
กี้เฮียงเค้งพลันลอบกล่าวกับซิเล้งว่า
“พวกเราผ่านด่านติดต่อกันมาแปดตึก ทว่าตั้งแต่ตึกที่เก้าเป็นต้นไป ข้าพเจ้าก็มิมีความมั่นใจแล้ว!”
ซิเล้งสะท้านใจอย่างรุนแรงกล่าวว่า
“เพราะเหตุใด?”
“สมมุติว่า ด่านแห่งความรู้ในตอนท้ายมีจิบโป้วอี่ (ตึกประมวลศาสตร์) ครอบคลุมวิชากาพย์ กลอน ตำรา บทวิจารณ์ จดหมายเหตุ หลักทฤษฎี ฝ่ายตรงข้ามหากต้องการให้เราบ่งบอกหลักวิชาของผู้หนึ่งผู้ใดตามสารบัญข้างต้นนี้ ข้าพเจ้าไหนเลยกระทำได้?”
ซิเล้งพลอยหมกมุ่นกังวลด้วย ขณะนี้ได้เข้ามาในห้องโถงใหญ่แล้ว แฮ่โฮ้วคงกล่าวอย่างแช่มช้าว่า
“ขอเรียนถาม ตำราจิวเอ๊ก (หนังสือเล่มที่ว่าด้วยหลักปรัชญา ประพันธ์ร่วมกันโดยขงจื้อ จิวกง บุ้นอ้วง) อักษรที่บันทึกอยู่ทั้งเล่มมี จำนวนเท่าใด?”
ซิเล้งคัดค้านว่า
“นี่นับเป็นปัญหาได้หรือ?”
กี้เฮียงเค้งกล่าวว่า
“สามารถนับได้ ท่านประมุขแซ่แฮ่โฮ้วรับฟังไว้ ในตำราจิวเอ๊กมีอักษรทั้งหมดสองหมื่นสี่พันสองร้อยเจ็ดตัว”
แฮ่โฮ้วคงโบกพัดขนนกในมือเบาๆ ยามนี้แม้แต่ซิเล้งก็สังเกตได้ว่า บุคลิกของมันมาตรแม้นสงบสำรวมดังเดิม แต่ภายในใจคงเขม็งตึงเครียดยิ่งนัก
ทั้งหมดเริ่มต้นเดินเหินต่อไป แฮ่โฮ้วคงเป็นผู้นำหน้าเช่นเคย กี้เฮียงเค้งอาศัยเรือนร่างของซิเล้งบดบังปกปิดมิให้ฝ่ายตรงข้ามพบเห็น ใช้นาฬิกากังวานส่งสำเนียงชี้แนะกิมเม้งตี้ฝ่าขบวนพยุหอีก
ยามนั้น หยาดเหงื่อไหลซึมจากหน้าผากนางต้องใจสะท้านหวั่นไหว คำนึงขึ้น
“…ที่แท้เรายามทดสอบความรู้ กับแนะนำหนทางให้กิมเม้งตี้ทะลวงค่ายกล กลับสูญเสียสติปัญญาไปมากมาย หากแม้นแฮ่โฮ้วคงสังเกตพบ ย่อมคิดหาคำถามที่มีคำตอบยาวเหยียด เคี่ยวเข็ญเราจนอิดโรย และพลาดพลั้งเสียที…”
นางมิได้แพร่งพรายความคับขันนี้ต่อซิเล้ง เพียงลอบโคจรลมปราณ เพื่อรักษาสติสัมปชัญญะที่มีอยู่มิให้เสื่อมโทรมสลาย
ควรทราบว่าพลังของมนุษย์ผู้หนึ่งมีขอบเขตจำกัด การใช้สมองขบคิดแก้ไขสถานการณ์ ทำให้อ่อนระโหยยิ่งกว่าการใช้พละกำลังทางร่างกาย
กี้เฮียงเค้งนับตั้งแต่เหยียบย่างเข้าสู่บึงแจ้งอาคารกระจ่าง ก็ใช้สติปัญญาตลอดเวลา ดังนั้นนางจึงมีสภาพเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียยิ่ง
สุดทางของระเบียงสายนี้ เป็นประตูวงกลมรูปวงเดือน พอออกนอกประตูแลเห็นพุ่มพฤกษาเขียวชอุ่ม มวลบุปผาหอมระรื่น เก๋งน้อยห้องหอจัดสร้างอย่างมีระเบียบภูเขาจำลองตั้งตระหง่าน ทางคดเคี้ยวตัดทอดผ่าน รู้สึกสงบสันโดษยิ่ง
แฮ่โฮ่วคงนำพากี้เฮียงเค้งกับซิเล้งเข้าสู่เก๋งแปดเหลี่ยมหลังหนึ่ง ภายในตระเตรียมน้ำชาและผลไม้อยู่แล้ว มันกล่าวว่า
“ท่านทั้งสอง ขอเชิญพักผ่อนในที่นี้สักครู่หนึ่งก่อน”
พลางเดินไปอีกมุมหนึ่ง นั่งลงกรีดนิ้วบนพิณโบราณ ส่งเสียงก้องกังวาลอบอวลบรรยากาศ จากนั้นท่วงทำนองแปรเปลี่ยนเป็นละห้อยหวน
กี้เฮียงเค้งเงี่ยหูรับฟัง กล่าวเบาๆ กับซิเล้งว่า
“มันเปิดเผยความในใจออกมาโดยมิรู้สึกตัว แล้วคล้ายดั่งเป็นความอัดอั้นกังวล นับว่าแปลกประหลาดนัก”
ซิเล้งกล่าวอย่างหมกมุ่นว่า
“ข้าพเจ้าคาดคิดว่า มันบังเกิดความนิยมรักใคร่ในตัวท่านแล้ว”
กี้เฮียงเค้งผงกศีรษะอย่างเงียบงัน พลางกล่าว
“แต่ความกลัดกลุ้มของมัน หาใช่เกิดจากเรื่องนี้ไม่ ต้องมีสาเหตุประการอื่น”
เสียงพิณพลันขาดหาย ที่แท้พิณโบราณพลันมีสายหนึ่งขาดผึงไป แฮ่โฮ้วคงพลันถอนใจออกมากล่าวว่า
“เรามักดีดพิณระบายอารมณ์ คาดมิถึงพลันปรากฏลางสังหรณ์อันอัปมงคล”
ซิเล้งบังเกิดความสงสัยใจ กี้เฮียงเค้งก็คำนึงในใจ
“…พวกเรามิมีความสามารถสังหารมันได้ ที่แท้เป็นผู้ปองร้ายชีวิตมัน ทำให้มันกลัดกลุ้มกังวล”
แฮ่โฮ้วคง พลันกล่าวว่า
“ตึกความรู้อีกสี่แห่ง แยกย้ายก่อตั้งอยู่ในสวนดอกไม้แห่งนี้ ภายในสวนดอกไม้มิเพียงซ่อนเร้นด้วยขบวนพยุหลึกล้ำ ยังมีการตบแต่งซึ่งสุดที่กำลังมนุษย์จะต้านทานได้ ขอให้ระมัดระวังทุกฝีก้าว”
กี้เฮียงเค้งจวบจนบัดนี้บังเกิดปฏิภาณวูบหนึ่งกล่าวว่า
“ขอเรียนถามท่านประมุข ในสำนักท่านยังมีผู้ใดที่ปราดเปรื่องกว่าท่านอีกหรือไม่?”
“ย่อมต้องมี”
อ้อ ถ้าเช่นนั้นสำนักท่านคงสามารถครองความยิ่งใหญ่ในตงง้วนแล้ว”
นางแม้กล่าวด้วยสีหน้าอันแตกตื่น แต่ในใจรู้สึกลิงโลดยิ่งนัก ที่แท้นางพอรับฟังวาจาตอนต้นของแฮ่โฮ้วคง คาดคิดได้ว่าสถานที่นี้กับเก้าตึกที่ฝ่ามา มีสภาพแตกต่างกัน สี่ตึกให้หลังต้องมีผู้ยอดฝีมืออื่นเฝ้ารักษาอยู่
ยอดคนผู้นั้นในศักดิ์ศรี ย่อมสูงล้ำกว่าแฮ่โฮ้วคง เพียงแต่ศักดิ์ศรีเป็นเรื่องหนึ่ง ความสามารถเป็นอีกเรื่องหนึ่งบุคคลผู้ที่ไม่ปรากฏโฉม แม้สามารถบงการแฮ่โฮ้คงได้ ทว่าด้านความสามารถมิแน่นักว่าจะยอดเยี่ยมกว่ามัน
สาเหตุที่นางยินดีคือแฮ่โฮ้วคงในเมื่อจัดตั้งตึกความรู้ได้เก้าแห่ง แทนที่จะเป็นผู้อำนวยการทั้งสิบสามตึก ตามความเข้าใจของนางแต่แรก แสดงว่าด้านวิชาความรู้มันมิอาจเปรียบเทียบกับกี้เฮียงเค้งเลย
นางอาศัยวาจาประโยคหนึ่ง เข้าใจถึงสาเหตุหลายประการยามนี้กล่าวกับแฮ่โฮ้วคงว่า
“ข้าพเจ้าคิดตกลงข้อแลกเปลี่ยนกับท่าน ให้ท่านหาทางช่วยเหลือกิมเม้งตี้ฝ่าพ้นออกจากสิบสามขบวนพยุหใหญ่ ข้าพเจ้าจะทะลวงด่านความรู้อีกสี่แห่งทำลายสิบสามตึกของบึงแจ้งอาคารกระจ่างโดยสิ้นเชิง”
เนื่องจากสภาพแวดล้อมในที่นี้ ผิดแผดจากเก้าตึกความรู้ที่ผ่านมา นางจึงไม่มีปัญญาชี้แนะวิธีผ่านค่ายกลให้กิมเม้งตี้อีก
แฮ่โฮ้วคงกลับมีท่วงทีใคร่ครวญอย่างหมกมุ่นชั่วครู่ค่อยกล่าวว่า
“เราแม้ภาวนาให้โกวเนี้ยผ่านด่านความรู้อีกสี่ตึก แต่มิสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขได้”
ซิเล้งคราแรกรู้สึกสงสัยยิ่ง แต่พอขบคิดก็เข้าใจได้ คำนึงขึ้น
“…ที่แท้ตึกความรู้อีกสี่แห่ง มีบุคคลอื่นเฝ้าดูแลรับผิดชอบ กี้เฮียงเค้งหากฝ่าไปได้ ภาระรับผิดชอบก็ตกอยู่ที่แฮ่โฮ้วคงกับบุคคลนั้นคนละครึ่ง เพียงแต่ฝ่ายตรงข้ามไฉนมิยอมตกลงด้วย?…”
ซิเล้งก็สังเกตเห็นสภาพอ่อนกำลังของกี้เฮียงเค้ง จึงกล่าวกับนางอย่างแผ่วเบาว่า
“กี้โกวเนี้ย สถานการณ์ตอนยากหยั่งคาด สติกำลังของท่านสมควรอดออมไว้ใช้ยามคับขับ ภาระการฝ่าด่านความรู้ต่อไป ข้าพเจ้าจะขอทดสอบเสี่ยงดู!”
กี้เฮียงเค้งฉุกใจได้คิด นางทราบดีว่าสถานการณ์ยิ่งนานยิ่งเลวร้าย อาศัยสติปัญญาของนางตอนนี้ยากที่จะต้านรับได้ จำเป็นต้องหาผู้อื่นมาปฏิบัติหน้าที่ฝ่าด่าน
หากแต่ตึกความรู้ต่อจากนี้ มิอาจสอบผ่านได้ง่ายดาย หากแม้นซิเลังพลาดพลั้งเสียที ผลสุดท้ายย่อมต้องเลวร้ายสุดขบคิด
นางเริ่มใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง เพื่อผลเลิศและความอยู่รอด จำต้องมอบภาระให้กับซิเล้งช่วงหนึ่ง ดังนั้นจึงกล่าว
“ตกลง”
ซิเล้งพลันกวาดสายตาไปรอบบริเวณ เหลือบเห็นในเก๋งแห่งนี้ นอกจากแฮ่โฮ้วคงกับพวกตนแล้ว ยังมีเด็กชุดเขียวอีกผู้หนึ่ง
ตนสะอึกกายออกไป ประกบนิวจี้สกัดใส่เด็กชุดเขียวผู้นั้น การจู่โจมครานี้แม้ใช้พลังเล็กน้อย แต่ปฏิกิริยารวดเร็ว เด็กชุดเขียวยามเลินเล่อ จึงถูกสกัดจุดมิอาจเคลื่อนไหวได้
แฮ่โฮ้วคงกล่าวเสียงกังวาน
“คิดใช้พลังฝีมือในที่นี้ เท่ากับแสดงพฤติการณ์วู่วาม สหายแซ่ซิมีความมุ่งหมายประการใด?”
ซิเล้งกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้ท่านมอบหมายผู้ใดไปส่งข่าวกับผู้อำนวยการในตึกความรู้อีกสี่หลัง สำหรับมันอีกหนึ่งชั่วยามจะเคลื่อนไหวได้เอง”
กี้เฮียงเค้งข่มดูอยู่ด้านข้าง อดคำนึงมิได้
“…ซิเล้งมิใช่บุคคลไร้ปัญญา ขณะอยู่ในสถานการณ์สับสนกลับรู้จักดำเนินแผนการ เป็นเชิงบีบบังคับแฮ่โฮ้วคงให้ออกปัญหาเอง การข่มขู่แฮ่โฮ้วคงต้องพึงพอใจด้วย เนื่องจากมันก็ภาวนาให้ผ่านตึกความรู้อีกสี่ด่านอยู่แล้ว…”
ยามนี้ทั้งหมดออกจากเก๋งน้อย เข้าสู่ห้องศิลาหลังหนึ่ง ทั่วทั้งสี่ด้านกองสุมด้วยตำรับตำราแน่นขนัด เป็นตึกประมวลศาสตร์อันกว้างไพศาล
กี้เฮียงเค้งพลันกล่าวว่า
“ซิเล้งจะขอตอบคำถามที่ท่านตั้งขึ้นแทน คาดว่าคงอนุโลมได้กระมัง?”
แฮ่โฮ้วคงเหลือบมองซิเล้งวูบหนึ่ง ผงกศีรษะกล่าวว่า
“ความจริงตึกความรู้อีกสี่ด่านนี้ เรามีแต่รับปัญหาจากผู้อื่นมาถามต่อท่าน บัดนี้เพราะความไม่สะดวก จึงขอถามเลย… ทฤษฎีเกี่ยวกับบรรยากาศและลำแสงของเกียงขิบเป็นอย่างไร?”
คำถามนี้อยู่ในหลักประมวลศาสตร์ โดยมิผิดเพี้ยนสำหรับผู้รอบรู้มิอาจนับว่าลำบากยากเข็ญ แต่หากเป็นบุคคลที่ทราบเพียงผิวเผิน ก็ไม่มีทางอธิบายให้กระจ่างแจ้ง
กี้เฮียงเค้งถึงกับขมวดคิ้วอย่างหมกมุ่นครุ่นคิด ซิเล้งกลับระบายลมหายใจออกจากปาก กล่าวว่า
“ทฤษฎีที่เกียงขิบเมื่อสมัยฉิ่งบัญญัติขึ้นสอดคล้องกับแนววิชาปัจจุบัน มีหลักสำคัญอยู่ว่า สุริยันยามทอแสง บนพสุธามีบรรยากาศปกคลุม จึงแลเห็นเป็นสีแดงและดวงโต พอถึงกึ่งกลางฟ้า เนื่องจากไร้อากาศลอยล่อง จึงมีสีขาวและดวงเล็ก
พร้อมกันนั้น เนื่องจากลำแสงสว่าง สาดผ่านนภากาศและเกิดการหักเห สุริยัน จันทรา ดวงดาวบนฟากฟ้า รัศมีเหินห่างจากโลก ยามเหลือมแลจึงแตกต่างจากรัศมีห่างไกลที่แท้จริง”
แฮ่โฮ้วคงงงงันไปวูบหนึ่งแล้วจึงกล่าว
“นับถือยิ่งนัก ตึกนี้นับว่าผ่านไปได้ท่านทั้งสองเชิญ”
ซิเล้งสูดลมหายใจลึกๆ ขณะนี้ตนมีใบหน้าขาวซีดไปกว่าเดิม ที่แท้ปัญหาด่านนี้ แม้ตอบได้ แต่ก็อาศัยความคิดอย่างหมกมุ่น จนเสื่อมสูญพลังกายมิน้อย เนื่องจากร่างกายอ่อนแออยู่ก่อน ยิ่งทำให้เหน็ดเหนื่อยอ่อนแรง
กี้เฮียงเค้งแม้สังเกตพบ ก็มิอาจช่วยเหลือได้ เพราะนางเองกำลังใช้สติปัญญาอีกทางหนึ่ง กล่าวคือพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบกาย เพื่อหาทางทลายขบวนพยุหให้กับกิมเม้งตี้
นางพอรับทราบว่า ตึกความรู้อีกด้านอีกสี่ด่านเป็นการจัดสร้างของผู้มีศักดิ์ศรีสูงส่งกว่าแฮ่โฮ้วคง จึงคาดคะเนได้ว่า ขบวพยุหอีกสี่แห่งซึ่งกิมเม้งตี้ต้องบุกฝ่าก็มีสภาพการตกแต่งผิดแผกจากตอนแรกเช่นเดียวกัน
ควรทราบว่า กิมเม้งตี้แม้อยู่ในสถานที่อีกแห่งหนึ่ง แต่ความจริงก็คืออยู่ในละแวกใกล้เคียงนี้ เนื่องจากสิบสามขบวนพยุหใหญ่ จัดตั้งในระหว่างสิบสามตึกความรู้ ตามห้องหับที่ผ่านมา เท่ากับห่างเหินกับกิมเม้งตี้เพียงผนังกำแพงขวางกั้นชั้นหนึ่งเท่านั้น
บัดนี้พวกตนอยู่กลางสวนดอกไม้ แสดงว่าทางเดินของขบวนพยุห ก็คือเส้นทางที่กระจัดกระจายในสวนดอกไม้นี้เอง เพียงแต่สำหรับกิมเม้งตี้เกินเหินในค่ายกลจึงเห็นแต่ความมืดมิด ในสายตากี้เฮียงเค้งทางเดินดังกล่าว ก็คือภูเขาจำลองหรือพื้นดินที่นูนสูงเด่น
ซิเล้งสามารถสอบผ่านตึกความรู้ด้านที่สิบแล้ว แต่กี้เฮียงเค้งยังขบคิดวิธีการชี้แนะกิมเม้งตี้มิออก บังความรู้สึกว่ากิมเม้งตี้ตกอยู่ในสภาพอันเลวร้ายแล้ว
ทั้งหมดมาถึงท่านที่สิบเอ็ดคือตึกคณิตศาสตร์แล้ว สถานที่เป็นเก๋งแปดเหลี่ยมสูงใหญ่หลังหนึ่ง บนโต๊ะศิลาจัดตั้งเครื่องมือคิดคำนวณ ด้านตำรับตำรามีจำนวนน้อย
ซิเล้งพอเริ่มเหยียบย่างเข้ามา สามัญสำนึกพลันรู้สึกว่า มีผู้คนลอบสังเกตการเคลื่อนไหวของตนอยู่
ภายในเก๋งแปดเหลี่ยม เด็กชุดเขียวผู้หนึ่งสองมือประคองจดหมายฉบับหนึ่ง ยืนสำรวมรอคอยอยู่ก่อน มันน้อมส่งจดหมายให้กับแฮ่โฮ้วคง หลังจากอ่านข้อความโดยละเอียดแล้ว แฮ่โฮ้วคงกล่าวว่า
“ปัญหาในด่านที่สิบเอ็ด ซือเฮียของเราซาเจ๊าะเล่านั้ง (ผู้เฒ่ามรณะ) เป็นผู้ตั้ง ตั้งใจรับฟังให้ดีและต้องตอบโดยพลันด้วย!”
ซิเล้งบังเกิดความเขม็งตึงเครียดในบัดดล สติสัมปชัญญะถูกความหมกมุ่นรวมรั้ง รับการทดสอบครั้งนี้
แฮ่โฮ้วคงกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ปัญหามีว่า พื้นที่ว่างเปล่ารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีเนื้อที่รวมหนึ่งหมื่นแปดพันตารางเชียะ หากแม้นความกว้างเพิ่มขึ้นสี่สิบเชียะแต่ส่วนยาวลดลงสามเชียะ จะมีพื้นที่เพิ่มขึ้นเจ็ดพันแปดร้อยแปดสิบตารางเชียะ อยากทราบว่าพื้นที่นี้เดิมกว้างและยาวกี่เชียะ!”
สุดท้ายกล่าวว่า
“คำถามข้อนี้ จำกัดเวลาให้ตอบ อย่าได้เกินจังหวะนับหนึ่งถึงร้อย หาไม่จะปรับเป็นแพ้”
ปัญหานี้สับสนยุ่งเหยิง ผู้ตอบสมควรรวบรวมสมาธิคำนวณอย่างเยือกเย็น มิหนำซ้ำยังต้องอาศัยการทดบนกระดาษจึงมีความหวัง แม้แต่กี้เฮียงเค้งพอรับฟังจบลง สีหน้ายังแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ซิเล้งขบคิดอย่างฉับไว แต่ห้วงสมองอันสับสนอลวนยากเสาะพบคำตอบ ขณะนั้นแฮ่โฮ้วคงเริ่มเสียงนับจากหนึ่ง สอง สามเรื่อยไปอย่างเนิบนาบ
ใบหน้าของซิเล้งเริ่มปรากฏหยาดเหงื่อแตกชุมโชก กี้เฮียงเค้งยามสังเกตเห็นอากัปกิริยาเช่นนั้น ถึงกับกระวนกระวายใจยิ่ง คำนึงในใจ
‘…ซิเล้งหากไม่มีปัญญาสงบอารมณ์ที่พลุ่งพล่านได้ ก็มิสามารถตอบคำถามข้อนี้อย่างแน่นอน…’
เสียงนับถึงครั้งที่ห้าสิบแล้วแต่ซิเล้งยังคงมีสภาพเดิม ขมวดคิ้วจนหมกมุ่น ในที่สุดระบายลมหายใจยาวๆ หมายตอบเดาสุ่ม
แต่วินาทีนั้น ซิเล้งพลันฉุกใจได้คิด รีบสลัดความกังวลที่กระสับกระส่าย สงบจิตใจให้เยือกเย็น ในด้านกระแสจิต ตนเคยผ่านการเคี่ยวเข็ญมาก่อน จึงสำรวมเป็นปรกติโดยเร็ว
แฮโฮ้วคงนับถึงแปดสิบแล้ว แต่ซิเล้งคล้ายดั่งมิได้ยิน ก้มศีรษะขบคิดอย่างละเอียด คำนวณจนแน่ชัด จึงเงยหน้าขึ้นพบว่าฝ่ายตรงข้ามนับถึงเก้าสิบสอง
ซิเล้งพลันกล่าวอย่างจริงจัง
“พื้นที่นั้นมีความกว้างเก้าสิบเชียะ ยาวสองร้อยเชียะ”
คำตอบนี้ แฮ่โฮ้วคงยอมรับว่าถูกต้อง หันร่างก้าวออกจากเก๋งหลังใหญ่ทันที
ซิเล้งพลันก้าวติดตามไป ขณะเดินเหินได้กล่าวกับกี้เฮียงเค้งว่า
“หากแม้นคนในสังกัดอลัชชีโลกันตร์ ล้วนถูกกำจัดไปสิ้น นั่นย่อมสร้างความสงบสันติให้กับชนชาวโลกได้ กี้โกวเนี้ยมีความคิดเห็นอย่างไร”
คาดมิถึงว่าแฮ่โฮ้วคงหันขวับกลับมาเขม้นมองกล่าวช้าๆ ว่า
“สหายผิดแล้ว หากวิจารณ์ในด้านความโหดร้ายอำมหิต ต้องกล่าวหาการรบพุ่ง ประจันบานระหว่างกองทัพหรือการคิด ช่วงชิงบัลลังก์เมื่อสมัยโบราณกาล”
เหล่าขุนพลผู้มีศักดิ์ศรีอยู่ในประวัติศาสตร์ ผู้ใดบ้างที่มิได้สร้างสมขึ้นจากซากศพและโครงกระดูกนับหมื่นพัน? เราแม้มีชีวิตยืนยงสักสองร้อยปี ยังมิอาจทำร้ายคนเทียบเท่ากับการประยุทธ์ฆ่าฟันครั้งหนึ่ง
ชัยชนะของคนเหล่านั้น กลับถูกยกย่องมาทุกยุคทุกสมัย ท่านไยมิกล่าวหาพวกมัน? ความป่าเถื่อนโหดเหี้ยม ละโมบโลภหลงจึงเป็นกมลสันดาน ซึ่งมีมาแต่กำเนิดของมนุษย์ทุกรูปนาม”
หยุดเล็กน้อย จึงกล่าวต่อ
“ปัจจุบัน บนโลกนี้แม้มีพื้นที่ไพศาล ทว่ามีเพียงพื้นดินบางส่วนที่เพาะปลูกได้ แต่จำนวนมนุษย์ถือกำเนิดมาโดยมิหยุดยั้ง หากมีการประหัตประหารหรือปรากฏบุคคลนิยมล้างผลาญ สถิติของผู้มีชีวิตจะทวีเพิ่มขึ้นโดยมิสิ้นสุด!
เมื่อถึงยุคนั้น ประชาชนนับหมื่นแสนจะไร้เครื่องนุ่งห่มปราศจากการรับประทานที่อิ่มหนำ ขอเรียนถามว่าท่านหากมีจิตเมตตาปรานีจะมีแผนการแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวได้อย่างไร?
ถึงตอนนั้น เกรงว่าเรื่องราวที่บิดาพิฆาตบุตร พี่ชายสังหารน้องร่วมอุทร เพื่อช่วงชิงซึ่งอาหารมื้อหนึ่งหรือเครื่องแต่งกายชิ้นหนึ่ง จะเป็นเหตุการณ์ที่มิน่าแตกตื่นเลย!”
ซิเล้งเคยรับทราบจากเทพไตรทะเลว่า บริวารของอลัชชีโลกันตร์ยึดหลัก ปุถุชนทั่วไปมีสันดานทมิฬมาแต่กำเนิด คาดมิถึงว่าจะได้ยินหลักวิจารณ์อันวิตถารผิดสามัญของแฮ่โฮ้วคง ถึงกับงงงันไปวูบ
กี้เฮียงเค้งแย้มยิ้มพลางกล่าว
“เมื่อเป็นเช่นนี้ สำนักซือแป๋ของท่าน (อลัชชีโลกันตร์) แม้ขนานนามว่าบ้วนอั๊กไผ่ (สถาบันอำมหิต) แต่ความจริงกลับมีดวงจิตมุทิตา ช่วยขจัดทำลายล้างอุบัติการณ์อันผิดทำนองคลองธรรมซึ่งจะประสบในอนาคตกาลใช่หรือไม่?”
“นับเป็นเช่นนั้นได้”
กี้เฮียงเค้งพลันกระชากเสียงว่า
“ที่แท้พวกท่านมองชีวิตผู้คนเป็นต้นหญ้าท่อนฟาง มิคำนึงถึงความรู้สึกที่มีทั้งรัก แค้น อาดูร ของปุถุชนทั่วไป เพียงเห็นเป็นวัตถุธาตุสิ่งหนึ่งเมื่อนิยมก็เก็บไว้ใช้สอย หากไม่ต้องการก็ทำลายล้าง
นี่เป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ พวกท่านมิเคยนำจิตใจของผู้อื่นมาใส่ตัวเอง ยังลืมเลือนถึงสิทธิอันพึงมีและควรเทิดทูนของมนุษย์ทุกผู้คน
ผู้ใดเมื่อถือกำเนิดมา สมควรมีสิทธิอันชอบธรรมในการดำรงชีพ ท่านยามพาดพิงถึงปัญหาสถิติของมนุษย์ เสมือนกับคำนวณจำนวนของเดียรัจฉานแสดงออกถึงความเห็นแก่ตัวอย่างสุดแสน!
พวกท่านต้องการใช้วิธีประหารผู้คน เพื่อลดจำนวนของมนุษย์ นี่จึงเป็นแผนการอันชั่วช้าไร้ประโยชน์ เมื่อโบราณกาลมนุษย์อาศัยในเทือกเขาดงไพร มีความเป็นอยู่มิแตกต่างจากสัตว์ป่า ยามนั้นก็เกิดปัญหาหิวโหย และหนาวเหน็บไม่อบอุ่นแล้ว
ต่อมาภายหลังได้เข้าใจถึงวิธีเพาะพันธุ์สัตว์เลี้ยง ทำไร่ไถนา จึงหลุดพ้นจากส่ำสัตว์ เป็นเลิศกว่าเดียรัจฉาน แสดงว่ามนุษย์สามารถอาศัยสติปัญญาแก้ไขวิกฤตกาลเฉพาะหน้าอยู่เสมอ
มนุษย์ยังสามารถชะลอการเกิดหรือสะกดมิให้จำนวนผู้คนทวีเพิ่มขึ้น ในด้านการแพทย์มีหนทางเช่นนี้อยู่แล้ว เกรงว่าแม้แต่อลัชชีโลกันตร์ยังมิเคยร่ำเรียน และหาได้ถ่ายทอดต่อพวกท่านไม่”
บทวิจารณ์นี้ อย่าว่าแต่ซิเล้ง กระทั่งแฮ่โฮ้วคงก็มิเคยรับฟังมาก่อน ถึงกับขบคิดอย่างเคร่งเครียด แลเห็นใบหน้าของมันปรากฏแววสับสับสนยุ่งเหยิง
กี้เฮียงเค้งอดลอบถอนหายใจมิได้ สำนึกทราบว่าคนผู้นี้ ตั้งแต่เล็กได้รับการกล่อมเกลาจากอลัชชีโลกันตร์ มิเพียงละเลยขนบธรรมเนียมแต่โบราณ ยังพยายามแสดงออกถึงกมลสันดานที่เลวร้ายของมนุษย์
แฮ่โฮ้วคง ตลอดเวลามิเคยอับจนถ้อยคำมาก่อน ครั้งนี้รู้สึกตนเองได้รับความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวง มันเนื่องจากมีความรู้สึกนึกคิดประหลาดพิกล ในยามนั้นถึงกับปรารถนากำจัดฝ่ายตรงข้ามในบัดดล
ในระยะชั่ววูบนี้ มันมีอุบายสามารถทำลายศัตรูได้ห้าหกวิธี ที่แท้ทั้งหมดตกอยู่อาณาเขต ซึ่งก่อสร้างโดยซือเฮียแฮ่โฮ้งคงนามผู้เฒ่ามรณะ มีกลไกกับดับไว้ประทุษร้ายคู่ต่อสู้ทุกฝีเท้า
กี้เฮียงเค้งสังเกตอากัปกิริยาของแฮ่โฮ้วคงตลอดเวลา บัดนี้พอพบว่าฝ่ายตรงข้ามมีใบหน้าบิดเบี้ยวเกรี้ยวกราด ต้องสะท้านใจอย่างรุนแรง
นางคำนึงอย่างรวดเร็ว หากแม้นฝ่ายตรงข้ามหากหันเหวิธีการ ใช้กลอุบายชั่วมุ่งร้ายกำจัดทั้งสอง เกรงว่าต้องประสบภาวะการณ์อันเลวร้าย
ซิเล้งสังเกตพบสีหน้าอันเคร่งเครียดกังวลของกี้เฮียงเค้ง จึงถามเบาๆ
“สถานการณ์รู้สึกผิดความคาดหมาย ข้าพเจ้าสามารถช่วยเหลือหรือไม่?”
กี้เฮียงเค้งขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าว
“พลังฝีมือของท่าน มิทราบตอนนี้มีสภาพอย่างไร?”
“ตลอดรายทาง ข้าพเจ้าลอบผนึกกำลังหมายฟื้นฟู แต่ตามจุดเส้นชีพจรคล้ายดั่งมีวัตถุแทรกซึม จนมิอาจโคจรสะดวก พลังภายในยามรวมรั้งเป็นปรกติ… หรือขั้นต่อไปจะต้องอาศัยพลังฝีมือด้วย?”
กี้เฮียงเค้งคล้ายดั่งตัดสินใจในเรื่องราวประการหนึ่งอยู่ ชั่วครูจึงกล่าว
“ข้าพเจ้าเกรงว่าฝ่ายตรงข้ามมิยอมเลิกราอย่างสันติ…ท่านเคยได้ยิน พละกำลังจากกำเนิดหรือไม่?”
“รับทราบมาว่า มนุษย์เรายามกำเนิด ก็มีพลังกระแสหนึ่ง คั่งค้างอยู่ตามจุดเส้นชีพจร พละกำลังเหล่านี้หากรวมรั้งกันขึ้น สามารถสำแดงอานุภาพได้ เพียงแต่ชนชาวบู๊ลิ้มรู้จักฝึกปรือฝีมือปรับรากฐานกำลังภายใน พลังจากกำเนิดนั้นจึงปราศจากคุณค่าใดๆ”
“ถูกต้อง และสาเหตุที่พลังจากกำเนิดถูกละเลยมิได้นำออกมาใช้ออกนั้น เนื่องเพราะแม้สามารถรวมรั้งขึ้นสำแดงอานุภาพ แต่กระแสพลังจะดำรงอยู่เพียงระยะเวลาสั้นๆ จากนั้นจะแตกซ่านสูญสิ้นไปตามกำหนดเวลา”
ซิเล้งฉุกใจได้คิด ตนยามนี้พลังการฝึกปรือที่พากเพียรสร้างขึ้นได้ เสื่อมสลายแทบหมดสิ้น ดังนั้นกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าปรารถนาฟื้นฟูกำลังภายในส่วนหนึ่ง ท่านหากสามารถรวมรั้งพลังจากกำเนิดนั้นได้ ก็สมควรเร่งรีบกระทำให้กับข้าพเจ้าด้วย”
“เพียงเกรงว่าวิธีนี้ จะก่อเกิดผลร้ายในภายภาคหน้า…”
“เหตุการณ์เฉพาะหน้า มิอนุญาตให้ใคร่ครวญลังเลแล้ว”
กี้เฮียงเค้งจึงล้วงหยิบกล่องสีทองใบหนึ่งจากถุงย่ามข้างกาย เปิดฝากล่องออก ภายในมีเข็มสีทองอยู่เจ็ดเล่ม ยาวสั้นหยาบละเอียดไม่เท่ากัน นางหยิบเข็มทองเล่มหนึ่ง ปักตรงเข้าบริเวณลำคอของซิเล้งทันที!
ซิเล้งขบกรามกรอด มิมีสีหน้าผิดปรกติแต่ประการใด เข็มอันคมกริบจมลึกลงบนผิวกายถึงสองนิ้ว จากนั้นกี้เฮียงเค้งก็ทยอยใช้เข็มทองปักเข้าสู่ส่วนสัดตามทรวงอก หัวไหล่ ท้องน้อยจนหมดสิ้น
เข็มทองยามปักอยู่บนเนื้ออ่อน ซิเล้งเพียงรู้สึกเจ็บแปลบปลาบวูบหนึ่ง ก็ปราศจากความรู้สึก จากนั้นภายในกายบังเกิดความพลุ่งพล่านปั่นป่วน ดุจมีมรสุมกระแสหนึ่งพัดก่อกวน
เบื้องบนศีรษะของซิเล้งปรากฏหมอกควันลอยพุ่งเป็นเส้นสาย สีหน้าที่อิดโรยจนขาวซีดกลับกลายเป็นแดงระเรื่อสดใส เหล่านี้ล้วนเกิดจากประสิทธิภาพของพลังจากกำเนิด ซึ่งถูกเข็มทองดึงดูดรวมรั้งนั่นเอง
กี้เฮียงเค้งระบายลมหายใจยาวๆ ออกมา จัดการถอนเข็มทองบนร่างซิเล้ง ซุกเก็บไปในกล่องตามเดิม ประกายตาของนางแตกซ่านผิดแผกจากเดิมเล็กน้อย แสดงว่าต้องสูญเสียกำลังต่อการช่วยเหลือซิเล้งคราครั้งนี้ด้วย
แฮ่โฮ้วคงสังเกตเหตุการณ์อยู่ด้านข้างอย่างเยือกเย็นพลันกล่าวว่า
“วิธีเช่นนี้ เรียกว่าดื่มน้ำพิษแก้กระหาย ภายภาคหน้าจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย พวกท่านไฉนมิปรารมภ์กับชีวิตของตัวเองเลย?”
กี้เฮียงเค้งแค่นหัวร่อกล่าวว่า
“ท่านเมื่อครู่วางแผนคิดสังหารพวกเรา เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วไยต้องมากังวลด้วย?”
แฮ่โฮ้วคงมีใบหน้าเย็นชา สาวเท้าก้าวเดินไปตามทางเดินปูลาดด้วยแผ่นศิลาสายใหญ่ อ้อมภูเขาจำลองพบเห็นตึกศิลายาวเหยียดหลังหนึ่ง
การก่อสร้างของตึกศิลา ด้านหนึ่งจัดสร้างบานหน้าต่าง อีกด้านหนึ่งเป็นผนังสีขาว แสงสว่างสาดส่องเข้ามาอย่างสมบูรณ์ บนผนังสีขาวซึ่งยาวเกือบแปดวาสูงประมาณสองวา ล้วนแขวนไว้ด้วยภาพวาดอันงดงามละลานตา
แฮ่โฮ้วคงนำพาซิเล้ง กี้เฮียงเค้งทัศนาภาพวาดจากมุมหนึ่งไปอีกมุมหนึ่ง ซึ่งเป็นผลงานของจิตรกรลือนามกว่าร้อยคน
หลังจากนั้น ทั้งหมดออกจากตัวตึกเหยียบย่างเข้าสู่อาคารรูปสี่เหลี่ยมหลังหนึ่ง แสงสว่างสาดลอดจากภายนอกอย่างเพียงพอ ภายในห้องจัดวางโต๊ะมหึมาตัวหนึ่ง
พื้นโต๊ะวางเรี่ยราดด้วยแผ่นกระดาษและเครื่องมือทุกชิ้นสำหรับเขียนภาพ ยังมีขวดสีหลายประเภท นอกจากนั้นได้จัดตั้งบันไดสำหรับปีนป่ายอีกด้วย
แฮ่โฮ้วคงชี้มือไปยังผนังสีขาวสะอาดด้านหนึ่งพลางกล่าวว่า
“นี่เป็นตึกศิลป ขอเชิญผู้ทดสอบวาดภาพลงบนผนังห้องเพื่อแสดงฝีมือได้”
กี้เฮียงเค้งแหงนมองผนังห้อง แลเห็นมีความสูงถึงวาครึ่งยาวเกือบสามวา หากคิดวาดภาพลงไปอย่างน้อยต้องสูญเสียเวลาสามเดือน หากต้องการความละเอียดสวยงาม คงต้องใช้เวลามิต่ำกว่าครึ่งปี
ดังนั้นนางสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ ทราบว่าด่านทดสอบนี้ยากทะลวงผ่านพ้น แต่ก็กล่าวเสียงราบเรียบว่า “ด่านนี้ผู้ใดเป็นฝ่ายตัดสินชี้ขาด?”
แฮ่โฮ้วคงกล่าวว่า
คาดว่าซือเฮีย (ศิษย์ผู้พี่) ผู้เฒ่ามรณะ อดมิได้ที่จะต้องปรากฏกายขึ้น”
วาจาเพิ่งจบลง นอกประตูแว่วเสียงเคาะแผ่นหยกดังกังวาน ทั้งหมดภายในห้องล้วนกวาดสายตาไปยังหน้าประตูแลเห็นบุรุษฉกรรจ์สวมชุดรัดกุมแปดคน ประคองดาบยาวก้าวเดินออกมา
บุรุษฉกรรจ์ทั้งแปดพอเหยียบย่างมาถึงก็แยกย้ายกระจายเป็นสองขบวน ยืนหยัดในรูปเส้นขนาน หันหน้ามาทางซิเล้ง กี้เฮียงเค้ง โดยที่ทั้งสองขบวนเว้นระยะห่างจากกันสี่เชียะ ยึดมั่นตำแหน่งอันมีเปรียบเอาไว้
ซิเล้งหลังจากรวบรวมพลังจากกำเนิดขึ้นมาได้แล้วก็มีพลังภายในแกร่งกร้าว สามารถเผชิญกับการปะทะพันตู จึงแค่นหัวรออย่างเย็นชากล่าวว่า
“พวกท่านหากคิดหักโหมด้วยกำลังข้าพเจ้าจะมีเกรงใจแล้ว”
นอกประตูพลันแว่วสำเนียงทุ้มหนักดังว่า
“ทารกแซ่ซิ หากคิดมีพฤติการณ์อันวู่วาม ยังคงไต่ถามความคิดเห็นจากกี้โกวเนี้ยก่อน”
พร้อมกับนั้น ชายชราชุดเขียวผู้หนึ่งสาวเท้าก้าวเข้ามาอย่างเนิบนาบ เพียงเดินเหินมิกี่ก้าวก็ชะงักกายลง ยืนหยัดอยู่เบื้องหลังของขบวนบุรุษฉกรรจ์ ทั้งสองฝ่ายสามารถแลเห็นซึ่งกันและกัน แต่ซิเล้งหากคิดจู่โจมมันก็ต้องสยบแปดบุรุษเสียก่อน
ชายชราชุดเขียวมีท่วงท่าหมกมุ่นเคร่งเครียด เคราสามแฉกสีดำใต้คาง ยิ่งเสริมบุคลิกอันน่าเกรงขาม แฮ่โฮ้วคงพอพบพานน้อมกายคารวะกล่าวว่า
“ผู้น้องน้อมพบซือเฮีย”
ชายชราชุดเขียวหรือผู้เฒ่ามรณะเพียงวาดมือกล่าวว่ามิต้องมากมารยาท อิริยาบถทระนงถือดียิ่งนัก
กี้เฮียงเค้งพลันกล่าวกับซีเล้งว่า
“ฝ่ายตรงข้ามจัดตั้งค่ายกลนี้ได้ร้ายกาจนัก เรียกว่าเทียนจั๊มตอติ่ง (ขบวนดาบฟ้าสังหาร) แม้มีเพียงแปดคน แต่ผู้ใดคิดทะลวงฝ่า จะต้องกำจัดอย่างน้อยหกคน ถึงตอนนั้นผู้เฒ่ามรณะมีโอกาสหลบหนีได้อย่างเหลือเฟือ
พวกเรามิอาจเคลื่อนไหวจนหลงกลอุบายฝ่ายตรงข้ามเด็ดขาด เนื่องจากทางด้านนอกยังมีผู้คนจำนวนมากคอยคุมเชิงเฝ้ารักษาอยู่ หากลงมือย่อมต้องทำลายชีวิตมนุษย์มิน้อย นั่นเท่ากับกระตุ้นเพลิงอำมหิตของบริวารมันนั่นเอง”
ซิเล้งผงกศีรษะกล่าวว่า
“แต่มิว่าอย่างไร แฮ่โฮ้วคงยังตกอยู่ในการควบคุมของพวกเรา ขอเพียงคร่ากุมมันได้ ก็เท่ากับเป็นตัวประกันอย่างดี”
ผู้เฒ่ามรณะสีหน้ามิแปรเปลี่ยนแม้แต่น้อยกล่าวว่า
“เจ้าหากกระทำอย่างหุนหันมิยั้งคิด เกรงว่าจะต้องพลาดพลั้งเสียที”
กี้เฮียงเค้งพลันกล่าวกับซิเล้งว่า
“ท่านอย่าเพิ่งลงมือ ผู้เฒ่ามรณะกำลังคิดอาศัยท่านสังหารแฮ่โฮ้วคง! พวกมันล้วนมีแต่ความคิดเห็นแก่ตัว ปราศจากน้ำใจของศิษย์พี่ศิษย์น้อง แม้อลัชชีโลกันต์มิได้เสี้ยมสอน แต่ต่างก็คอยประหัตประหารกันเองอยู่ตลอดเวลา”
แฮ่โฮ้วคงกล่าวว่า
“กี้โกวเนี้ยกลับรู้จักกล่าวปรักปรำ”
“กระนั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าขอยอมพ่ายแพ้สำหรับด่านนี้!”
วาจาพอเอ่ยออก แฮ่โฮ้วคงถึงกับมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป กล่าวคือกี้เฮียงเค้งสามารถผ่านตึกความรู้ที่มันปกครอง บัดนี้มาพ่ายแพ้ในด้านของผู้เฒ่ามรณะ มันจึงต้องรับการพิจารณาโทษทัณฑ์จากผู้เป็นซือเฮีย
ผู้เฒ่ามรณะปรากฏรอยยิ้มอันเลือดเย็นขึ้นกล่าวว่า
“โกวเนี้ยเมื่อยินยอมพ่ายแพ้ ก็ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงแล้ว”
กี้เฮียงเค้งกล่าวว่า
“ย่อมแน่นอน บึงเร้นอาคารลับจะไม่มีศิษย์ท่องเที่ยวในวงนักเลง ข้าพเจ้าก็จะอาศัยอยู่ที่นี้ แต่ซิเล้งต้องอนุโลมให้จากไปได้”
“เล่าฮูยินยอมปลดปล่อยทารกแซ่ซิไป หากมันมีความสามารถทะลวงฝ่าขบวนดาบฟ้าสังหารได้!”
ซิเล้งคาดมิถึงว่า สถานการณ์จะพลิกแพลงเป็นกี้เฮียงเค้งยินยอมพ่ายแพ้ พอได้ยินวาจาผู้เฒ่ามรณะ ต้องเลิกคิ้วสืบเท้าออกไปหมายต่อสู้
ผู้เฒ่ามรณะพลันโบกมือวูบหนึ่ง บุรุษฉกรรจ์แปดคนที่ยืนคุมเชิงอยู่พากันตวัดดาบในมือ ประดังกันเสือกแทงเข้าใส่ซิเล้งอย่างดุร้าย
แลเห็นเงาดาบฉวัดเฉวียนพร่างพรายตา ซิเล้งยื่นมือตะปบกระบี่ยาวที่กลางหลัง ประกายกระบี่สาดกระจ่างจ้า สกัดต้านทานการรุกกระหน่ำจากฝ่ายตรงข้าม
พร้อมกับนั้น ข้อมือได้ขยับวูบหนึ่ง ตัวกระบี่กรีดเป็นประกายโค้งอย่างพิสดาร บุรุษฉกรรจ์ชุดดำที่ประชิดใกล้ถูกสภาวะรุกไล่จนมิอาจทรงกายได้มั่น ซวนเซมาด้านข้างปะทะกับสหายข้างเคียง จนขบวนรวนเรสับสน
ซิเล้งพลันพลิกสถานการณ์เป็นฝ่ายลุก กระบี่ยาวโหมสะบัดดุจดั่งสายฟ้าคะนองฝน แยกย้ายจู่โจมใส่คู่ต่อสู้ทั้งแปด ที่กระจัดกระจายอยู่รอบกายอย่างดุเดือดรุนแรง
ตนทราบดีว่า พลังจากกำเนิดจะแตกซ่านสลายไปตามกาลเวลาในไม่ช้า ยามหักหาญจึงมิอาจชักช้าเลินเล่อเป็นอันขาด
บุรุษฉกรรจ์ทั้งแปดในยามกระทันหัน ได้แต่ผนึกกำลังร่ายรำดาบยาวต้านรับไว้ ผู้เฒ่ามรณะพอพบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ต้องคำนึงในใจ
‘…ทารกอายุเยาว์นี้ วิชาฝีมือแสดงว่าได้รับการอบรมมาจากปรมาจารย์แห่งยุค หากปล่อยให้มีชีวิตสืบไป ภายภาคหน้าย่อมเป็นอุปสรรคคอยขัดขวางแผนการล้างแผ่นดินของสถาบันเรา อย่างแน่นอน…’
ดังนั้นบังเกิดเพลิงอำมหิตลุกฮือโหม ส่งเสียงกู่ร้องเกรี้ยวกราด บุรุษฉกรรจ์ทั้งแปดคนที่พัวพันกับซิเล้งอยู่ พลันเคลื่อนกายเป็นรายล้อมไปรอบทิศ ถาโถมเข้าใส่ศัตรูเบื้องหน้าอย่างโหดเหี้ยม
ซิเล้งตวาดก้อง ฝ่ามือซ้ายกระแทกออกเบื้องหน้า ทุ่มเทวิชาฝ่ามือมหรรณพอันเกรี้ยวกราด ได้ยินเสียงโครมความดังต่อเนื่อง เงาร่างสองสายปลิวกระเด็นร่วงหล่นลงบนพื้นดิน ห่างไปกว่าหนึ่งวา
พวกพ้องพอตกตาย บุรุษฉกรรจ์ชุดดำที่หลงเหลือแทนที่จะประหวั่นพรั่นพรึง กลับบุกเข้าหาอย่างดุร้าย พากันล้ำชิงหน้าชิงจู่โจม
ทุกครั้งที่ลงมือ คนทั้งหกประสานกันอย่างเหมาะเจาะรัดกุม แสดงว่าผ่านการฝึกฝนมาก่อน อานุภาพจึงรุนแรงแกร่งกราวดุจมรสุมก่อตัว
ยามนั้น ผู้เฒ่ามรณะบังเกิดความคิดแบ่งแยก กี้เฮียงเค้งมาอีกด้านหนึ่ง เพื่อมิให้ช่วยเหลือซิเล้ง จึงกล่าวเสียงเย็นชา
“แฮ่โฮ้วซือตี๋ นำกี้โกวเนี้ยมาด้านนี้”
แฮ่โฮ้วคงมิกล้าขัดขืน ยื่นมือออกคร่ากุมข้อมือกี้เฮียงเค้ง หมายลากพาไป แต่แล้วรู้สึกในร่างกายฝ่ายตรงข้ามบังเกิดกระแสพลังอ่อนหยุ่นสายหนึ่งทัดทานไว้ มิสามารถฉุดล้ำแม้ก้าวเดียว
แฮ่โฮ้วคงหากคิดทุ่มเทพลังโดยมิยอมเลิกรา กี้เฮียงเค้งก็ต้องพิการแขนไปข้างหนึ่ง แต่ตัวมันย่อมต้องรับบอบช้ำภายใน จึงคลายมือออกกล่าวว่า
“ผู้น้องไร้ความสามารถ มิอาจปฏิบัติตามคำสั่งซือเฮียได้”
ผู้เฒ่ามรณะแม้มีศักดิ์ศรีเป็นศิษย์ผู้พี่ แต่ในด้านความสามารถมิอาจเปรียบเทียบกับแฮ่โฮ้วคง จึงมีความคิดเห็นลอบขัดแย้ง มุ่งพิฆาตฆ่ากันตลอดเวลา บัดนี้นับว่าเป็นโอกาสเหมาะจึงตวาดว่า
“แฮ่โฮ้วซือตี๋ เจ้าคิดทรยศแล้ว”
แฮ่โฮ้วคงสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นปั้นยาก ผู้เฒ่ามรณะพลันส่งเสียงกู่ ปรากฏบุรุษฉกรรจ์ชุดดำอีกสิบกว่าคน ฮือโหมมาจากภายนอก โอบกระหนาบแฮ่โฮ้วคงไว้
เงาดาบมากมาย โหมจู่โจมใส่อย่างโหดเหี้ยม แฮ่โฮ้วคงถูกบีบบังคับจนตวาดเสียงกึกก้อง ถลันกายหลบหลีกไปมา พลางกระชากแส้ยาว ม้วนตวัดใส่บุรุษชุดดำผู้หนึ่ง
ตรงปลายแส้ของมันจัดสร้างเป็นหัวงูอันประณีต ยามธรรมดาใช้คาดอยู่หว่างเอว ในหัวงูปรากฏแผ่นเหล็กยื่นออกมาครึ่งนิ้ว อาบยาพิษอันร้ายแรงอยู่ด้วย
บุรุษฉกรรจ์ผู้นั้นถูกปลายแส้ตวัดใส่เพียงผิวเนื้อแตกกระจุย ก็แผดร้องอย่างโหยหวน เสียชีวิตในบัดดล
แส้หัวงูของแฮ่โฮ้วคง ยังคงพุ่งแฉลบไปทุกทิศทาง กระบวนท่าร่างพลิกแพลงชั่วช้า ในยามกระทันหันคู่ต่อสู้มิสามารถกำจัดมันได้
ส่วนผู้เฒ่ามรณะ มีบริวารสองคนคอยอารักขา มันยังบงการให้บุรุษฉกรรจ์ซึ่งมาสมทบจากภายนอกอีกสี่คน เข้ากลุ้มรุมซิเล้ง
กี้เฮียงเค้งสังเกตสถานการณ์ด้วยความหมกมุ่นกังวล ยังประเสริฐที่แฮ่โฮ้วคงกลับกลายเป็นศิษย์ทรยศ หากสามารถรอดชีวิต ภายภาคหน้าย่อมต้องติดตามนาง
ซิเล้งพลันสังเกตได้ว่า บุรุษฉกรรจ์คล้ายถูกฤทธิ์ยาควบคุมประสาท กลับกลายเป็นบุรุษวิปลาส แต่ด้านพละกำลัง ยิ่งต่อสู้ยิ่งเหี้ยมหาญ
ซิเล้งทุกกระบวนท่าทุ่มเทใช้ไม้ตายออก พลันแว่นเสียงขู่คำรามอันบ้าคลั่ง บุรุษฉกรรจ์หน้าตาบิดเบี้ยวผู้หนึ่งโถมเข้าหา เสือกดาบใส่ เมื่อซิเล้งรีบสะบัดมือฝ่ามือมหรรณพออก เงาร่างสายหนึ่งปลิวละลิ่วออกจากวงทันที
อีกด้านหนึ่ง แฮ่โฮ้วคงใช้แส้อาบยาพิษสังหารบุรุษฉกรรจอีกผู้หนึ่ง แต่ยังตกอยู่ท่ามกลางวงล้อม
กี้เฮียงเค้งพลันร้องดังๆ ว่า
“ท่านประมุขแซ่แฮ่โฮ้วมีหนทางแก้ไขสถานการณ์หรือไม่?”
แฮ่โฮ้วคงตอบว่า
“บริวารของเราหลายสิบคนคงถูกคร่ากุมคุมขังแล้ว มิเช่นนั้นก็ไม่ต้องหวั่นเกรงศัตรูจำนวนมากแล้ว”
มันพอแบ่งแยกสมาธิกล่าววาจา ก็เผชิญกับการกลุ้มรุมอันคับขัน จนมิกล้าเลินเล่ออีก
กี้เฮียงเค้งมาตรแม้นมิได้ร่วมลงมือ แต่ห้วงสมองขบคิดใคร่ครวญโดยมิหยุดยั้ง จวบจนบัดนี้ยังหนักใจยิ่ง ร่างกายถึงกับรับความกระทบกระเทือนอย่างยิ่งยวด
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป