๑๓
♦ สอบสิบสามตึก ♦
……………
กี้เฮียงเค้งมีสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย กล่าวว่า
“หรือซิเล้งตกเป็นเชลยอยู่ในบึงแจ้งอาคารกระจ่างแล้ว?”
แฮ่โฮ้วคงเค้นเสียงกล่าวว่า
“กี้โกวเนี้ยเมื่อเป็นชาญฉลาด เรื่องราวก็มิต้องเอื้อนเอ่ยใช้วกวน ความจริงเราผู้เป็นประมุขบึงแจ้งอาคารกระจ่าง มีเจตนาคบหากับประมุขบึงเร้นอาคารลับอยู่แล้ว
นับตั้งแต่ท่านกับซิเล้งหลบเร้นมาถึงดงไม้และก่อตั้งค่ายกลขึ้น ก็ตกอยู่ในการติดตามของเด็กเสื้อขาวบริวารเรา จากนั้นจึงได้คร่ากุมตัวมากักขังไว้”
กี้เฮียงเค้งลอบหวั่นไหวในใจ แต่สีหน้ามิมีแววผิดปกติแม้แต่น้อยกล่าวว่า
“ซิเล้งเป็นบุคคลที่ท่านคิดคร่ากุมมาเพื่อข่มขู่ข้าพเจ้า แต่บัดนี้ข้าพเจ้าได้เร่งรุดมาอย่างบังเอิญ มันย่อมไม่มีความสำคัญกับท่านอีก ยังคงปลดปล่อยมันออกมาเถอะ”
“เรื่องราวมิง่ายดายปานนั้น”
“ท่านมีข้อข่มขู่ประการใด”
แฮ่โฮ้วคงกล่าวเสียงเนิบนาบ
“เรายินดีปลดปล่อยซิเล้งเป็นอิสระ แต่โกวเนี้ยต้องร่วมประลองความสามารถกับเรา โดยฝ่าสิบสามตึกความรู้ ทุกๆ ตึกจะมีปัญหาเพียงข้อเดียวคอยขัดขวางเท่านั้น
สิบสามตึกของบึงแจ้งอาคารกระจ่าง สร้างขึ้นเพราะต้องการทดสอบกับบุคคลในสำนักท่านเท่านั้น หากแม้นมิอาจกักกันโกวเนี้ยไว้ได้ เราจะล้มล้างตึกเหล่านี้ทันที นับแต่นี้จะปราศจากนามบึงแจ้งอาคารกระจ่างอีก
โดยนัยกลับ โกวเนี้ยหากเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ขอให้ท่านลบล้างนามบึงเร้นอาคารลับไป พร้อมกันนั้นยอมสยบและอาศัยอยู่ในสถานที่นี้ด้วย?”
กี้เฮียงเค้งสะท้านใจวาบ หน้าผากและจอนหูมีหยาดเหงื่อไหลซึม ควรทราบว่าทะเลความรู้ไพศาลไร้ขอบเขต อาศัยภูมิปฏิภาณของบุคคลผู้หนึ่งไหนเลยจะแตกฉานวิชาทุกแขนงได้?
ผู้มีความสำเร็จเฉกเช่นนางกับแฮ่โฮ้วคง ในใต้หล้านับว่ายากจะเสาะพบอีก ดังนั้นนางจะมีความสามารถทดสอบผ่านพ้นด่านความรู้สิบสามตึกได้อย่างไร?
แต่ทว่าความเป็นความตายของชิเล้ง ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนาง เมื่อเป็นเช่นนี้นางนอกจากทดสอบเสี่ยงดูแล้ว ก็ปราศจากหนทางอื่นอีก
ปัญหามีเพียงว่า บึงเร้นอาคารลับดำรงเกียรติภูมิเป็นสถาบันแห่งภูมิความรู้มาทุกยุคทุกสมัย นางหากไม่สามารถผ่านด่านวิชาทั้งสิบสามตึกได้ เท่ากับบึงเร้นอาคารลับถูกล้มล้างในมือนาง
ในที่สุดกี้เฮียงเค้งกล่าวว่า
“ตกลง ท่านหากรักษาสัจจะวาจาทุกถ้อยคำข้าพเจ้าก็ยินยอมด้วย”
แฮ่โฮ้วคงหัวร่อแค่นๆ โบกมือเป็นนัยวูบหนึ่งกล่าวว่า
“บุรุษแซ่ซิจะมาพบท่านในบัดดล”
มินานให้หลัง เด็กเสื้อขาวสองคนได้ประคองบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเข้ามาในห้องโถงใหญ่ กี้เฮียงเค้งพอกวาดสายตามอง ถึงกับสะท้านใจอย่างรุนแรง
ผู้มาเป็นซิเล้งจริงๆ แต่ทว่าการเดินเหินกระทำอย่างลำบากยากเย็น ท่วงท่าอิดโรยอ่อนระโหยประกายตาแตกซ่าน มีลักษณะคล้ายดั่งผู้สูญเสียพลังฝีมือไปแล้ว
กิมเม้งตี้ก็สังเกตพบความผิดปกติด้วย มุมปากของมันบังเกิดรอยยิ้มอย่างเลือดเย็น
ซิเล้งกวาดตามองมายังกี้เฮียงเค้ง มุมปากปรากฏรอยยิ้มอันขมขื่น แต่มิยอมเอื้อนเอ่ยวาจา ลากฝีเท้าก้าวเข้าสู่ห้องโถงอย่างเงียบงัน
กี้เฮียงเค้งพลันสะอึกกายออกมา ยื่นมือแตะชีพจรข้อมือซิเล้ง อีกมือหนึ่งลูบคลำจุดเส้นทั่วทั้งกาย สีหน้าของนางเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างสุดระงับ
นางพอรู้จักวิชาแพทย์อยู่บ้าง จากการสำรวจร่างกายทราบว่า ซิเล้งมีลมปราณแตกซ่านยากรวมตัว มือเท้าชาด้าน สภาพการณ์แสดงว่าเผชิญกับการประทุษร้ายมาก่อน
ซิเล้งยามนี้ แม้มีพลังการฝึกปรือหลงเหลืออยู่เพียงส่วนหนึ่ง แต่ก็มิอาจแสดงอานุภาพออกได้ หรืออีกนัยหนึ่งเป็นผู้ปราศจากวิชาฝีมือเลย!
กิมเม้งตี้ที่อยู่ด้านข้าง พลันยื่นพัดจีบในมือออกวางลงบนบ่าซิเล้ง เค้นเสียงกล่าวว่า
“ชีวิตของมนุษย์มีคุณค่าชวนอาลัยอาวรณ์ ท่านว่าใช่หรือไม่?”
ซิเล้งเขม้นมองมัน ประสายตาสาดเป็นแววทระนงเด็ดเดี่ยว แม้ร่างกายมีสภาพอ่อนแอราวกับคนชรา แต่ยังทรงบารมีอย่างมิอาจรังควาน กล่าวเสียงอ่อนระโหยว่า
“หลายปีก่อน ข้าพเจ้าก็มิคำนึงถึงความเป็นความตายอยู่แล้ว เชื่อหรือไม่แล้วแต่ท่าน ความจริงข้าพเจ้ามักกังวลถึงผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา”
กิมเม้งหัวร่ออย่างเยือกเย็นกล่าวว่า
“กล่าวประเสริฐ ท่านยังคงห่วงใยตัวเองเถอะ กลับเป็นท่านที่กำลังเผชิญภยันตราย”
ซิเล้งมีประกายตาพลุ่งพล่าน ตนประสบเภทภัย จนพลังการฝึกปรือได้รับการกระทบกระเทือน ขณะนี้ยังถูกกิมเม้งตี้คุกคามหมายชีวิต เพราะอารมณ์ริษยาเคียดแค้นอีก
กี้เฮียงเค้งคราแรกเห็นกิมเม้งตี้ข่มขู่ซิเล้ง ส่วนลึกในหัวใจนาง มุ่งหมายให้กิมเม้งตี้ พิฆาตซิเล้งเสีย หากเป็นเช่นนั้น ฉี้อิงพอล่วงรู้ ย่อมชิงชังอาฆาตในตัวกิมเม้งตี้ จนมันไม่มีความหวังครอบครองฉี้อิงได้
ความคิดพอบังเกิด กี้เฮียงเค้งถึงกับแตกตื่นตกใจยิ่ง แสดงว่านางเริ่มหลงรักกิมเม้งตี้แล้ว ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่เคยรู้สึกมาก่อน มิทราบไฉนมีจิตปฏิพันธ์เช่นนั้น?
กี้เฮียงเค้งจวบจนบัดนี้ค่อยยื่นมือปาดพัดจีบที่พาดอยู่บนบ่าของซิเล้งเบนเบือนไป พลางกล่าวเสียงหนัก
“เม้งตี้ การกระทำของท่านเช่นนี้เป็นความของแฮ่โฮ้วคงที่เดียว”
กิมเม้งตี้คราแรกมิพอใจกี้เฮียงเค้งที่ลงมือขัดขวาง แต่มันหาใช่คนโง่เขลาไม่ ล่วงรู้ถึงสถานการณ์เบื้องหน้า จึงขบกรามกรอดคำนึงขึ้น
“…เดียรัจฉานแซ่ซิ ครานี้นับว่าวาสนายังคุ้มครอง ภายภาคหน้าท่านไม่มีโอกาสเช่นนี้อีก…”
กี้เฮียงเค้งเบือนหน้ามาทางแฮ่โฮ้วคง แค่นหัวร่อพลางกล่าว
“คาดมิถึงว่า ท่านประมุขผู้ยิ่งใหญ่กลับใช้วิธีการชั่วร้ายจัดการต่อผู้แซ่ซิ”
ซิเล้งแม้พบว่าพลังภายในกายของตนแตกซ่านสลาย มิอาจทุ่มเทใช้ออก แต่หาทราบไม่ว่าเกิดจากสาเหตุประการใด เพียงคาดคะเนว่าต้องมีส่วนสัมพันธ์กับการถูกคร่ากุมมายังบึงแจ้งอาคารกระจ่างนี้อย่างแน่นอน
แฮ่โฮ้วคงสังเกตเหตุการณ์อยู่ด้านข้างอย่างสงบ รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยต่อผลสุดท้าย บัดนี้กล่าวว่า
“บุรุษแซ่ซิตลอดเวลาที่อาศัยอยู่ในบึงแจ้งอาคารกระจ่าง นอกจากสูญเสียอิสรภาพแล้ว ก็มิได้รับการกระทบกระเทือนใดๆ เราเป็นบุคคลที่มิต้องการใช้กำลังอันป่าเถื่อนเข้าหักโหม กี้โกวเนี้ยย่อมสำนึกทราบดี”
“ถ้าเช่นนั้นก่อนที่ซิเล้งจะถูกคร่ากุมเล่า?”
“มันเพียงสูดดมมี่ฮุ้นเฮียง (ควันหอมหลงวิญญาณ) จากกระถางหยกเท่านั้น”
อันควันหอมหลงวิญญาณ เป็นกำยานพิเศษผสมอยู่ในธูป ยามกลุ่มควันระเหยแผ่กระจาย ผู้สูดดมเข้าไปจะมีอาการชาด้านไร้ความรู้สึกสูญเสียสติสัมปชัญญะ ปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามจัดการถ่ายเดียว
กำยานพิเศษชนิดนี้ เมื่อซึมซาบเข้าสู่อวัยวะภายใน จะทำให้พลังภายในแตกสญสลาย กระจัดกระจายไม่รวมตัวหากเป็นบุคคลสามัญก็ต้องสูญเสียวิชาฝีมือไปเลย
การผสมควันหอมหลงวิญญาณ กระทำด้วยความลำบากยากเย็น เนื่องจากวัตถุดิบมิอาจเสาะพบง่ายดายนักกอปรกับเป็นตำรับยาร้ายแรง ต่อมาภายหลังจึงหายสาบสูญไป หากมิถึงแฮ่โฮ้วคงได้มา
ซิเล้งคราก่อนสูดเอาควันหอมหลงวิญญาณเข้าไปจนเป็นเหตุลมปราณสูญสลาย ยังประเสริฐที่ฝึกปรือล้ำลึก มิถึงกับแตกสิ้น แต่ขณะนี้ตนยากจะใช้กำลังที่มีอยู่ สภาพการณ์ก็มิผิดแผกจากผู้สูญเสียพลังฝีมือเท่าใดนัก
กี้เฮียงเค้งก็รับทราบความร้ายกาจของควันหอมสูญวิญญาณนี้ แต่นางปราศจากหนทางช่วยเหลือซิเล้งได้ อย่าว่าแต่สถานการณ์ยามนี้มิอำนวยให้ใคร่ครวญต่อไป จึงกล่าว
“ข้าพเจ้าพร้อมที่จะทดสอบสิบสามตึกแล้ว คิดนำพาซิเล้งร่วมฝ่าเข้าไปด้วย”
แฮ่โฮ้วคงกล่าวคำเชิญตามสะดวก พลางเบือนหน้ามาทางกิมเม้งตี้กล่าวว่า
“ส่วนกิมเฮียแยกย้ายไปปฏิบัติงานอื่น โดยขอเชิญฝ่าสิบสามขบวนพยุหใหญ่ (จัยซาง้วนไต้ติ่ง)“ มาตรแม้นมิสามารถทะลวงฝ่าได้ ขอเพียงกล่าวคำพ่ายแพ้ต่อเรา ยังคงสามารถออกจากบึงแจ้งอาคารกระจางอย่างปลอดภัย”
กิมเม้งตี้กล่าวสอดว่า
“มีเรื่องราวที่ง่ายดายปานนั้น?”
“หากแม้นกิมเฮียไม่มีเจตนาเป็นศัตรู ภายภาคหน้าเรายังต้องขอความร่วมมือจากท่านอีก ไหนเลยกล้าทำลายยอดผีมืออันดับสูงเยี่ยมเช่นท่าน?”
กี้เฮียงเค้งเข้าหารือกับกิมเม้งตี้ครู่หนึ่ง จากนั้นชักชวนซิเล้งก้าวออกจากห้องโถง โดยมีแฮ่โฮ้วคงเป็นผู้นำทาง
ซิเล้งทราบดีว่าพลังฝีมือของตนเสื่อมสูญแทบหมดสิ้น แต่ยังสะกดข่มกลั้นความรู้สึกภายใน มิแสดงความสลดรันทดออกทางสีหน้า ยิ่งมิต้องการให้กี้เฮียงเค้งหวั่นวิตกกังวล
ตนรู้กระจ่างชัด นางกำลังฝ่าสิบสามตึกแห่งภูมิความรู้ ซึ่งต้องมีสมาธิหมกมุ่น และใช้ปัญญาอันเลอเลิศแก้ไขสถานการณ์ มาตรมิเช่นนั้นอย่าว่าแต่นางจะประสบเภทภัย กระทั่งซิเล้งเองคงเลวร้ายสุดขบคิด
ซิเล้งสาวเท้าก้าวติดตามกี้เฮียงเค้งอย่างเงียบงัน ขณะสังเกตสภาพแวดล้อม ยังครุ่นคิดหาหนทางฟื้นฟูวิชาฝีมือด้วยตนเอง
กี้เฮียงเค้งเหลือบมองซิเล้งวูบหนึ่ง กล่าวเบาๆ ว่า
“แฮ่ โฮ้วคงหาใช่สามัญชน เป็นบุคคลที่เปี่ยมอันตรายยิ่ง โดยเฉพาะมันมีภูมิปัญญาฉลาดล้ำความรู้แตกฉาน ดังนั้นอิริยาบถหรือถ้อยวจีของมัน จึงมีบุคลิกของบัณฑิตผู้คงแก่เรียน
แต่เนื่องจากมันปราดเปรื่องเกินไป ทำให้สามัญสำนึกและทัศนะคติรุนแรงยิ่งนัก บุคคลธรรมดาสามารถเชยชมกับเรื่องราวหนึ่งถึงสามหรือห้าปี ทว่ามันเพียงสามหรือหาวัน ก็เบื่อหน่ายรำคาญแล้ว ดังนั้นสามัญชนมีอายุร้อยปี ยังมิอาจเทียบเท่ามันมีชีวิตสิบปี
หมายความว่า การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจของมันซับซ้อนยิ่ง ไม่สามารถดำรงชีวิตที่มีทิวาราตรีอันยาวนานตามกฎธรรมชาติที่ยั่งยืนมานับหมื่นปี สำหรับมันแล้ว ราตรีหนึ่งสมควรมีกำหนดเพียงหนึ่งชั่วยาม แต่ความจริงย่อมมิเป็นเช่นนั้น ทำให้มันบางครั้งมันแทบวิปลาสคลุ้มคลั่ง”
คำวิจารณ์นี้ ยามรับฟังรู้สึกประหลาดพิสดาร แต่ความจริงเป็นเช่นนั้น อัจฉริยะจำนวนมากในใต้หล้า แทบเป็นบุคคลวิปลาส เนื่องจากทัศนคติและภูมิปัญญาของพวกมันฉลาดเฉลียวหลักแหลมเกินไป กาลเวลาวันหนึ่งๆ สำหรับผู้ปราดเปรื่อง รู้สึกชักช้ามิอำนวยประโยชน์แต่อย่างใด
ขณะนี้ แฮ่โฮ้วคงก้าวเดินไปตามระเบียงทางยาวสายหนึ่ง จากนั้นล่วงล้ำสู่อาคารอันกว้างใหญ่ เพดานด้านบนมีลักษณะกลมหลังหนึ่ง และทั่วทั้งสี่ด้านจัดสร้างแคร่หนังสือกองสุมตำราเอาไว้
ภายในอาคารยังจัดตั้งเครื่องมือทัศนาดวงดาวต่างๆ อีกมิน้อย สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือลูกโลกเวหาอันมหึมา สถานที่นี้เป็นตึกธรรมชาติหนึ่งในสิบสามด่านแห่งความรู้ ซึ่งกี้เฮีงเค้งจำต้องทะลวงฝ่านั่นเอง
พอล่วงล้ำเข้ามา หิ้งหนังสือตรงมุมห้องอันหนึ่งได้หมุนเคลื่อนพลิกกลับ ปรากฏเด็กชายชุดเขียวผู้หนึ่งสาวเท้าออกมา แฮ่โฮ้วคงกล่าวว่า
“เด็กผู้นี้แซ่แฮ่นามฮง เราจะบงการให้มันถามปัญหาบางข้อให้เราทดสอบเสียก่อน เพื่อคัดเลือกถามต่อกี้โกวเนี้ย หากสามารถโต้ตอบ ก็เท่ากับผ่านตึกธรรมชาติได้”
เมื่อคราก่อน กี้เฮียงเค้งกับกิมเม้งตี้ผลัดกันตั้งปัญหา บัดนี้สถานการณ์กลับกลาย การตอบปัญหาย่อมยากกว่าการตั้งปัญหามากนัก
เด็กชุดเชียวนามแฮ่ฮงกล่าวว่า
“ขอเรียนถามพสุธามีจัตุเคลื่อนไหวนั้น พบจากคัมภีร์เล่มใด?”
แฮ่โฮ้วคงสั่นศีรษะในบัดดลกล่าวว่า
“ง่ายเกินไป เตรียมปัญหาใหม่”
กี้เฮียงเค้งยามนั้นพลันหัวร่อพลางกล่าวว่า
“ข้อวิจารณ์ดังกล่าวพบจากคัมภีร์อุ่ยจือสมัยฮั่น โดยกล่าวอ้างว่า พื้นพสุธาแม้สงบนิ่ง แต่ทุกวินาทีเคลื่อนไหวตลอดเวลา ประดุจดังผู้คนอาศัยในลำนาวาโดยที่มิรู้สึกตัว
“และพสุธามีจัตุเคลื่อนไหวนั้น ก็คือยามฤดูใบไม้ผลิดาราเคลื่อนสู่ประจิม เมื่อฤดูร้อนดาราเหหันสู่อุดร พอฤดูใบไม้ร่วงดาราคล้อยบูรพา และฤดูหนาวดาราหมุนวนสู่ทักษิณ ในหนึ่งปีพสุธานับได้ว่าโคจรไปสู่ทิศทางต่างๆ”
เด็กชุดเขียวแฮ่ฮงขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าว
“ทฤษฎีเกี่ยวกับอวกาศของอัจฉริยะ ผู้มีนามซวงแม้ว่ากระไร?”
แฮ่โฮ้วคงค่อยผงกศีรษะกล่าวว่า
“ประเสริฐมาก ขอเชิญกี้โกวเนี้ยประทานคำตอบมา”
กี้เฮียงเค้งกล่าวเสียงเนิบนาบ
“โบราณกาลผู้ค้นคว้าเกี่ยวกับอวกาศ มีครอบครัวของฮุงเทียน ก่ายเทียน และซวงแม้ แต่ภายหลังซวงแม้ได้สูญหายการถ่ายทอด อนุชนรุ่นหลังมิอาจล่วงรู้ จึงยกย่องว่าฮุงเทียนมีความสามารถแตกฉานที่สุด”
ซิเล้งพอรับฟัง อดมีสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อยมิได้ เนื่องจากหลักทฤษฎีของซวงแม้ อนุชนรุ่นหลังเมื่อมิรู้ความ ก็เท่ากับ…
กี้เฮียงเค้งพลันกล่าวต่อ
“แม้ไร้การตกทอด ยังมีทฤษฎีบางส่วนซึ่งถูกอนุชนรุ่นหลังพบเห็น และเป็นหลักความรู้ที่ยึดเหตุผลที่สุดด้วย เคียงเม้งบุคคลสมัยตังฮั่น (ก่อนยุคสามก๊ก) เคยกล่าวอ้างถึงทฤษฎีของซวงแม้เพียงสั้นๆ ว่า
อวกาศไว้สภาพแท้จริง ยามแหงนมองทัศนาได้ แต่ห่างไกลสุดประมาณ คลองจักษุมิเจิดกระจ่าง จึงรู้สึกมืดทมึน สมมติว่าจากที่ไกลตาบรรพตสีเหลืองจะแลเห็นเป็นเขียวขจี พอก้มลงกวาดมองหุบเหวอันล้ำลึก กลับล้วนดำสนิทความจริงสีเขียวหาใช่ลักษณะแท้ สีดำมิใช่วัตถุธาตุ
หมู่สุริยจักรวาล ล้วนลอยละล่องอยู่ในบรรยากาศเว้งว้าง บ้างโคจร บ้างหยุดชะงัก และดาวทั้งเจ็ด (มีพระอาทิตย์ พระจันทร์ ดาวอังคาร ดาวพุธ ดาวพฤหัส ดาวศุกร์ ดาวเสาร์) ก็โคจรด้วยตำแหน่งทิศทางที่แตกต่างกัน
ส่วนการโคจรหมุนครบหนึ่งรอบของดวงดาวทั้งเจ็ดนี้ ต้องใช้กาลเวลาที่มิละม้ายเหมือนกัน บางดวงรวดเร็วบางดวงเชื่องช้า ผิดแผกมิเป็นเฉกเช่นกัน”
นางบรรยายทฤษฎีของซวงแม้ออกไปในคราเดียว แฮ่โฮ้วคงผงกศีรษะกล่าวว่า
“เรามิได้มุ่งหวังว่าตึกความรู้แห่งแรกสามารถกักโกวเนี้ยไว้อยู่”
จากนั้นก้าวนำหน้าต่อไป
ซิเล้งรู้สึกเลื่อมใสในตัวกี้เฮียงเค้งอย่างใหญ่หลวง ขณะเดินเหินด้วยกัน พลันเหลือบเห็นนางล้วงหยิบวัตถุสิ่งหนึ่งออกมา กลับเป็นกล่องทองเหลืองอันหนึ่ง
กี้เฮียงเค้งเปิดฝากล่องออกภายในมีเส้นลวดทองเหลือง อันประณีตและสับสนพัวพันกันจนยุ่งเหยิง ส่งสำเนียงติกตักออกมาด้วย
นางใช้นิ้วมืออันเรียวงามกดลงบนลูกตุ้มทองเหลืองลูกหนึ่ง ลูกตุ้มนั้นมีสปริงจัดสร้างไว้ พอขยับถูกจึงเคาะตกลงไปแล้วดีดพุ่งขึ้น ยามเคาะลงก็กระทบถูกแผ่นโลหะที่รองรับอยู่เบื้องล่าง จนเป็นจังหวะท่วงทำนองอันไพเราะเพราะพริ้ง
แฮ่โฮ้วคงที่อยู่ด้านหน้า เบือนศีรษะกลับมากล่าวว่า
“เสียงติกตักนั้น คล้ายดั่งเรียกว่าแป๊ะเม้งเจ็ง (นาฬิกากังวาน) ซึ่งตกทอดมาจากทวีปยุโรปใช่หรือไม่?”
กี้เฮียงเค้งตอบว่า
“มิผิด ท่านสามารถจัดสร้างได้?”
“เครื่องกลไกบ่งบอกเวลา แม้มีจักรกลละเอียดซับซ้อน แต่เราไหนเลยแยแสสนใจด้วย”
ซิเล้งพลันแค่นเสียงหนักๆ กล่าวว่า
“คุยเขื่องอักโขนัก”
ยามนี้ซิเล้งทราบว่า ทั้งสองฝ่ายกำลังพิสูจน์ปัญญากัน ตนสังเกตพบว่าการที่กี้เฮียงเค้งกดลูกตุ้มทองเหลืองส่งจังหวะก่อสุ้มเสียงนี้ อาจมุ่งหมายถ่ายทอดสัญญาณแจ้งเหตุการณ์ จึงเอื้อนเอ่ยวาจาหมายหันเหความสนใจแฮ่โฮ้วคง
บุคคลทั้งสามก้าวผ่านประตูบานหนึ่งเข้าสู่ห้องโถงลักษณะกลมอีกหลังหนึ่ง ที่นี้คือตึกภูมิศาสตร์ แลเห็นผนังทั้งสี่ด้านแขวนไว้ด้วยแผนผังของภูเขาธารา แน่นอนยังมีตำราอีกมากมายก่ายกอง
เด็กชุดเขียวนามแฮ่ฮง ได้น้อมรออยู่ในห้องโถงแล้วกล่าวกับแฮ่โฮ้วคงว่า
“วิชาภูมิศาสตร์ครอบคลุมดินแดนทุกแห่งหน ศิษย์คิดตั้งปัญหาที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ ขอได้โปรดพิจารณา”
แฮ่โฮ้วคงผงกศีรษะเห็นพ้องด้วย แฮ่ฮงจึงกล่าว
“พื้นพสุธากับอุปนิสัยของมนุษย์ มีผลสะท้อนเกี่ยวเนื่องกันอย่างไร? ขอให้ยกตัวอย่างประกอบโดยละเอียด”
กี้เฮียงเค้งหัวร่อพลางกล่าว
“ยังประเสริฐที่ข้าพเจ้าจดจำได้ ในตำราของก้วงจื้อเคยอ้างอิงถึงปัญหาข้อนี้ กล่าวคือดินแดนแถบมณฑลซัวตังดินน้ำยามขุดตวงมีน้ำหนักมาก กว่าแถบมณฑลฮ่อน้ำ
ดังนั้นประชาชนชาวซัวตังจึงสุขุมเยือกเย็น มีภูมิปัญญา และขยันขันแข็ง เพราะเหตุนี้โบราณกาลมา ทหารจากซัวตังจึงเข้มแข็งองอาจที่สุด”
แฮ่โฮ้วคงผงกศีรษะกล่าวว่า
“โกวเนี้ยมีความรอบรู้ไพศาล เรานับถือยิ่ง ถัดจากนี้คือตึกกาลวิทยาแล้ว
ทั้งหมดขณะออกจากห้องโถง เดินเหินอยู่ตามระเบียงทางยาว กี้เฮียงเค้งก็ล้วงหยิบกล่องทองเหลืองใบนั้นขึ้นมากดลูกตุ้มทองเหลืองอีก แล้วรีบซุกเก็บเอาไว้ พลางกล่าวเบาๆ กับซิเล้งว่า
“ท่านเคยรับฟังคำโบราณว่า ‘บรรพตทางประจิมถล่ม ระฆังบูรพากังวาน’ มาหรือไม่?”
ซิเล้งเคยคร่ำเคร่งวิชาตำรับตำรามาเช่นกัน จึงผงกศีรษะพร้อมกับเล่าว่า
“สมัยฮั่นบู๊ตี่ (ตอน ค.ศ.25) ทิวาหนึ่ง ระฆังหน้าวังพลันกังวานขึ้นอย่างไร้สาเหตุ แว่วต่อเนื่องกันสามวันสามคืน บู๊ตี่จึงตรัสถามต่อตังฮึงซวก และได้รับคำกราบทูลว่า ทองเหลืองเป็นบุตรบรรพต บรรพตคือมารดาทองเหลือง ธรรมชาติมีปฏิกิริยาต่อเนื่องกันอย่างพิสดาร
“พอภูเขาถล่มระฆังจะกังวาน เนื่องจากมีความเกี่ยวเนื่องระหว่างมารดากับบุตรนั่นเอง และมินานให้หลังท่านเจ้าเมืองแคว้นซี่ชวนก็ส่งหนังสือน้อมเรียนว่า เกิดภูเขาพังทลายลง”
หยุดเล็กน้อย จึงกล่าวถามกี้เฮียงเค้งอย่างพิศวงว่า
“เรื่องนี้ มิทราบมีความเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเราด้วย?”
“ย่อมต้องมี ข้าพเจ้าอาศัยหลักปฏิกิริยาเกี่ยวเนื่องเช่นเดียวกันนี้ ลอบส่งข่าวให้กับกิมเม้งตี้ ชี้แนะมันทะลวงฝ่าขบวนพยุหไปได้อย่างไร”
ซิเล้งรู้สึกว่า นางมีความสามารถเหนือมนุษย์จริงๆ ได้ยินกี้เฮียงเค้งอธิบายว่า
“ข้าพเจ้าช่วยเหลือ กิมเม้งตี้ด้วยสาเหตุสองประการคือ หนึ่งมันแม้ชั่วร้ายแต่มีความสามารถสูงล้ำ ข้าพเจ้าจะพยายามกล่อมเกลาให้เข้าสู่เส้นทางธัมมะ หากสำเร็จได้นับเป็นคุณประโยชน์ต่อชนชาวโลกทีเดียว
สอง มันหากถูกละเลย หลงลงในสถานที่นี้ มินานจะต้องถูกแฮ่โฮ้วคงเกลี้ยกล่อม จนเป็นพวกพ้องเดียวกัน ถ้าเช่นนั้นในใต้หล้าก็มิมีผู้ใดกำราบสองคนนี้ได้”
ทั้งหมดได้มาถึงตึกความรู้หลังที่สาม ภายในห้องโถงเวิ้งว้างไร้ผู้คน แฮ่โอ้วคงกล่าวว่า
“เราทราบว่า กี้โกวเนี้ยมีวิชาคำนวณกาลวิทยาสูงส่งยิ่งนัก จึงเพียงคิดไต่ถามตามระเบียนเท่านั้น ขอเรียนถามเมื่อสมัยซ่ง (ค.ศ.960) มีปฏิทินบ่งเวลาอยู่กี่ชนิด? ชนิดใดละเอียดที่สุด?”
ซิเล้งรีบเบือนศีรษะเหลือบมองกี้เฮียงเค้ง แลเห็นนางมีสีหน้าปรกติจึงลอบวางใจ กี้เฮียงเค้งตอบว่า
“ปฏิทินสมัยซ่งมีรวมสิบสองชนิด หากวิจารณ์กันแล้ววิชาปฏิทินทงเทียน (ครอบคลุมฟ้า) ของเอี้ยตงฟู้เนื่องจากปรับปรุงแก้ไขจนยุคหลังยกย่องกันว่าดีเยี่ยมที่สุด”
แฮ่โฮ้วคงกล่าวคำว่านับถือ และเชื้อเชิญให้เร่งรุดต่อไป
ทั้งสามมุ่งสู่ตึกความรู้หลังที่สี่ ซึ่งด่านนี้เป็นตึกประวัติศาสตร์ ซิเล้งรอให้กี้เฮียงเค้ง ติดต่อกับกิมเม้งตี้แล้ว ค่อยกล่าวกับนางว่า
“ประวัติศาสตร์ของจีนยาวนานยิ่งนัก ท่านมีความมั่นใจว่าจะผ่านด่านนี้ไปได้ยังไม่?“
ด่านนี้น่าหวั่นวิตกยิ่ง แฮ่โฮ้วคงขอเพียงถามปัญหาปลีกย่อยที่อนุชนรุ่นหลังมิสนใจกัน กลับจะทำให้ข้าพเจ้าเผชิญกับความยุ่งยากลำบาก”
ยามนี้ แฮ่โฮ้วคงนำหน้าเข้าห้องโถงใหญ่หลังที่สี่แล้ว แลเห็นภายในมีตำรากองสุมดั่งบรรพต กี้เฮียงเค้งมีสีหน้าหมกมุ่นกังวล รอคอยคำถามจากฝ่ายตรงข้าม
ความจริงในวิชาความรู้ต่างๆ ด้านประวัติศาสตร์สามารถนับเป็นวิชาสามัญแขนงหนึ่ง แต่เพราะธรรมดา กลับทำให้ยากที่จะแตกฉานเชี่ยวชาญ
ควรความว่าอัจฉริยะที่สามารถยิ่งใหญ่ ล้วนเป็นกลุ่มสามัญชนในทวารแห่งประวัติศาสตร์ ครอบคลุมเหตุการณ์ใหญ่น้อยทุกสิ่งที่เป็นอดีตกาล หากคิดเรียนรู้จึงลำบากยากเป็นยิ่งนัก
แฮ่โฮ้วคงสังเกตเห็นอากัปกิริยาของกี้เฮียงเค้ง จึงลอบลำพองผยอง หลังจากขบคิดอยู่ชั่วครู่ จึงกล่าว
“ในบันทึกของซีบู๊กวง (นักปราชญ์สมัยซ่ง) เคยบันทึกเหตุการณ์สมัยเลียดก๊กอยู่ตอนหนึ่งว่า ทหารของฉิ่งก๊กกำลังเข้มแข็ง เจี่ยง้วนสู่ตำหนักน้อมถามอุบายต้านศึกต่อเจี่ยอัน ก็ได้รับคำตอบเพียงสั้นๆ ว่า มีแผนการต้านรับอยู่แล้ว
เจี่ยง้วนมิกล้ากล่าวอีก แต่มอบหมายให้เตียง้วนไต่ถามต่อเจี่ยอันอีกครั้งหนึ่ง เจี่ยอันกลับออกคำสั่ง ออกท่องเที่ยวนอกเมือง เล่นหมากรุกร่วมกับง้วน
เล่าถึงตอนนี้ จึงถามปัญหาว่า
“ประวัติศาสตร์ตอนนี้ ทำให้อนุชนรุ่นหลังมิเข้าใจคือเจี่ยง้วนกับเตียง้วนมีนามเดียวกัน ถ้าเช่นนั้นเจี่ยอันเล่นหมากรุกกับเจี่ยง้วนหรือเตียง้วนเล่า?”
(การบันทึกเหตุการณ์ของจีน นิยมใช้ถ้อยคำจำกัดความ ดังนั้นบางครั้งชื่อแซ่ตัวบุคคลจึงไม่บันทึกโดยละเอียด ป.ล. ผู้เรียบเรียง)
ซิเล้งที่รับฟังอยู่ ได้แยกแยะจากเรื่องราวอย่างถี่ถ้วน ก็มิอาจทราบว่าเจี่ยอันเล่นหมากรุกกับผู้ใดจึงบังเกิดความกระวนกระวายอย่างใหญ่หลวง
กี้เฮียงเค้งในยามนั้นกล่าวว่า
“การบันทึกของซี่เบ๊กวงดูผิวเผิน รู้สึกเลินเล่อ แต่ความจริงมันคัดลอกเหตุการณ์ตอนนี้มาจากชีวประวัติของเจี่ยอัน จึงมิได้เปลี่ยนแปลง ซึ่งฉบับเดิมนั้นบันทึกว่าข้าพเจ้ากับง้วนผู้พี่เล่นหมากรุกกัน แสดงว่าคือ เจี่ยง้วนนั่นเอง”
แฮ่โฮ้วคงคาดมิถึงว่า ฝ่ายตรงข้ามจะทบทวนไปถึงต้นฉบับอื่น แล้วตอบคำถามข้อนี้ ถึงกับกล่าวว่า
“ด่านที่สี่ยังมิอาจกักกันโกวเนี้ยอีก ตึกต่อจากนี้เป็นตึกสรรพสิ่ง ทั้งสองเชิญเถอะ!”
ความจริง การทดสอบในตึกประวัติศาสตร์นี้ แฮ่โฮ้วคงคำนวณความในใจของกี้เฮียงเค้งผิดพลาดไป กล่าวคือนางหวั่นเกรงว่าฝ่ายตรงข้ามจะถามปัญหาธรรมดาษดื่น เนื่องจากปัญหาเช่นนั้นทั้งมากมายและง่ายดาย จนอาจลืมเลือนได้
แฮ่โฮ้วคงหากตั้งคำถามทั่วๆ ไป อาจสามารถสยบฝ่ายตรงข้าม แต่มันเห็นกี้เฮียงเค้งมีสีหน้ากังวล จึงรีบถามปัญหาพิสดาร เท่ากับตกหลุมพรางของนาง
ทั้งหมดเข้าสู่ตึกสรรพสิ่งแล้ว แฮ่โฮ้วคงล้มเลิกความคิดที่จะให้ศิษย์ของมันตั้งปัญหา หมายอาศัยความรู้ที่ร่ำเรียน หักโค่นกี้เฮียงเค้งลงให้จงได้
บรรยากาศเขม็งตึงเครียดยิ่ง ซิเล้งยังเยาว์วัยเปี่ยมอารมณ์วู่วาม หัวร่อแค่นๆ กล่าวว่า
“ปัญหาที่ท่านคิดถาม ต้องสูญเสียเวลานานเท่าใดค่อยสามารถเอือนเอ่ยได้?”
แฮ่โฮ้วคงยิ้มอย่างเยืยกเย็นกล่าวว่า
“ท่านหากคิดทดสอบ เราสามารถตั้งปัญหาถามท่านได้ทันที ขอเรียนถามมีกระบองยาวหนึ่งเชียะ วันหนึ่งตัดครึ่งส่วน จะต้องใช้เวลาเท่าใดจึงสามารถตัดหมดสิ้น?”
ความจริงหากเป็นไม้กระบองยาวเพียงหนึ่งเชียะ วันหนึ่งตัดครึ่งส่วน เพียงตัดมิกี่วันก็หมดสิ้น แต่ทว่าซิเล้งมิได้ตอบเช่นกันกลับกล่าวว่า
“หากแม้นอาศัยเหตุผล กระบองยาวหนึ่งเชียะ วันหนึ่งตัดไปครึ่งส่วน รับรองว่าชั่วกาลชั่วกัลป์ก็ไม่หมดสิ้น เนื่องจากตัดเพียงครึ่งหนึ่ง แม้จะเหลือเป็นท่อนไม้เล็กๆ ก็ยังเหลืออยู่ครึ่งหนึ่งนั่นเอง!”
คำตอบของซิเล้งนับว่าถูกต้อง แฮ่โฮ้วคงจึงแปรเปลี่ยนทัศนคติต่อบุรุษหนุ่มผู้นี้ มิกล้าเหยียดหยามดูแคลนอีก กล่าวกับกี้เฮียงเค้งว่า
“บัดนี้เราจะตั้งปัญหาแล้ว… โซวฉิ้งเป็นนักยุยงอันร้ายกาจ ถนัดในการใช้เล่ห์คารมมาล่อลวงผู้อื่น ขอให้บอกเล่าเรื่องราวประการหนึ่งเมื่อสมัยเลียดก๊ก โดยเรื่องที่จะอ้างอิงนี้ พิสูจน์ว่าโซวฉิ้งมีความสามารถในการยุยงที่สุด”
กี้เฮียงเค้งได้ยินปัญหาเช่นนี้ ต้องคำนึงในใจ
“…เมื่อสมัยเลียดก๊ก แผ่นดินจีนเเบ่งเป็นเจ็ดก๊กคือยุคที่ยุ่งเหยิงและเปี่ยมอุบายที่สุด แต่เราหากอ้างเรื่องราวแสดงว่าโซวฉิ้งเป็นนักยุยงได้มิกระจ่างชัด แฮ่โฮ้งคงจะตัดสินว่าไม่เข้าขั้นและพ่ายแพ้ ปัญหาเช่นนี้นับว่ายากลำบากยิ่ง…”
แต่นางถึงกับประหวั่นลนลาน ทบทวนเหตุการณ์ในสมัยเลียดก๊ก ตั้งแต่แรกเริ่มจนสิ้นสุดอย่างรวดเร็วตลบหนึ่งตระเตรียมตอบคำถาม
ที่แท้บึงเร้นอาคารลับ แม้ถูกยกย่องเป็นสถาบันแห่งความรู้ แต่อาศัยหลักใหญ่ว่าเปี่ยมเล่ห์เหลี่ยมพลิกแพลงดังนั้นเกี่ยวกับตำราที่บรรยายถึงกลอุบายอันยอกย้อน ได้พร่ำอ่านจนแตกฉาน เพราะเหตุนี้กี้เฮียงเค้งขณะเผชิญกับปัญหายุ่งยาก ทว่าเนื่องจากนางชำนาญด้านนี้ที่สุด จึงมิรู้สึกพรั่นพรึง
กี้เฮียเค้งกล่าวอย่างแช่มช้า
“ข้าพเจ้าจะเล่าเหตุการณ์ตอนนั้นเสียก่อน กล่าวคือเมื่อจ้าวฌ้อไฮว้อ้วงเสด็จสวรรคต ราชบุตรของฌ้อก๊กยังตกเป็นตัวประกันของฉี้ก๊ก นักยุยงโซวฉิ้งจึงน้อมเสนอต่อผู้สำเร็จราชการของฉี้ก๊กซึ่งมีนามซิกงว่า “ท่านไยมิกักกันราชบุตรของฌ้อก๊กต่อไป เพื่อแลกเปลี่ยนกับพื้นที่ส่วนหนึ่งของฌ้อก๊ก?”
ซิกงอ้างว่า “มิได้ หากแม้นฌ้อก๊กประกาศตั้งจ้าวคนใหม่ เราเท่ากับควบคุมตัวประกันที่ไร้ประโยชน์ไว้คนหนึ่งเท่านั้น” โซวฉิ้งแย้งว่า “ฌ้อก๊กหากแต่ตั้งจ้าวใหม่เป็นคนอื่น ท่านสามารถส่งทูตไปเจรจากับจ้าวใหม่ให้แบ่งแผ่นดินของฌ้อก๊กส่วนที่ต้องการให้ หาไม่จะสนับสนุนราชบุตรกลับไปครองราชย์”
การที่โซวฉิ้งต้องการให้ฉี้ก๊ก คร่ากุมราชบุตรของฌ้อก๊กนี้ก็เพื่อดำเนินอุบายอันยอกย้อน โดยพลิกแพลงสถานการณ์ถึงสิบครั้ง และมิว่าจะเป็นซิกงแห่งฉี้ก๊ก จ้าวใหม่ของฌ้อ และฝ่ายราชบุตรล้วนมีชิงชังมันทั้งๆ ที่โซวฉิ้งกอบโกยผลประโยชนจากเรื่องนี้ได้มากมายนัก”
แฮ่โฮ้วคงกล่าวสอดว่า
“โซวฉิ้งดำเนินอุบายอย่างไร ขอให้บ่งบอกโดยละเอียด”
กี้เฮียงเค้งกล่าวว่า
“อุบายขั้นแรกของโซวฉิ้ง ได้อ้างกับซิกงว่า ข้าฯ รู้สึกว่าฉี้ก๊กหากได้พื้นที่ส่วนของฌ้อก๊กตามที่ปรารถนาโดยรีบด่วนแล้ว จะทำให้ครองความยิ่งใหญ่ในพื้นพิภพนี้
ซิกงเห็นพ้องด้วย และถามว่าสมควรกระทำอย่างไร โซวฉิ้งตอบว่า “ข้าฯ จะเร่งรุดสู่ฌ้อก๊กเพื่อท่านในบัดดล ให้ฝ่ายตรงข้ามแบ่งบันพื้นที่ให้” ดังนั้นจึงได้รับคำอนุโลม
อุบายขั้นที่สอง โซวฉิ้งดำเนินงานโดยกล่าวกับจ้าวคนใหม่ของฌ้อก๊กว่า “ฉี๊ก๊กคิดสนับสนุนราชบุตรของฌ้อ แต่ข้าฯ สันนิษฐานเจตนาของซิกงได้ มันต้องการหน่วงเหนี่ยวราชบุตรไว้เพื่อแลกเปลี่ยนกับพื้นที่ของฌ้อก๊ก
“บัดนี้ท่านผู้เป็นจ้าว หากมิรีบแบ่งพื้นที่ส่วนนั้นให้ฝ่ายราชบุตรที่ถูกคุมขังอาจแบ่งปันดินแดนมอบต่อฉี้ก๊กเป็นเท่าตัวเพียงเพื่อให้แต่งตั้งมันเป็นจ้าว” ดังนั้นจ้าวแห่งฌ้อจึงปฏิบัติตามในฉับพลัน
อุบายขั้นที่สาม โซวฉิ้งได้หวนกลับสู่ฉี้ก๊กกล่าวกับซิกงว่า “ขอให้เล่าเรื่องราวที่จ้าวใหม่ของฌ้อยอมแบ่งพื้นที่แก่ฉี่ก๊กให้ราชบุตรฟัง เพื่อราชบุตรจะได้ทำการขอร้องพวกเราให้ช่วยสนับสนุนเป็นจ้าวแห่งฌ้อ แล้วให้แพร่งพรายข่าวคราวต่อจ้าวใหม่ของฌ้อก๊กด้วย” จ้าวฌ้อเพราะต้องการดำรงตำแหน่งสืบต่อ จึงจำต้องแบ่งปันพื้นที่เพิ่มอีก
“อุบายขั้นที่สี่ของโซวฉิ้ง วางแผนโดยกล่าวกับราชบุตรฌ้อก๊กว่า “ฉี้ก๊กต้องการยกย่องทานเป็นจ้าวฌ้อ แต่จ้าวคนใหม่ของฌ้อก๊กกลับแบ่งพื้นที่เพื่อให้ฉี่ก๊กหน่วงเหนี่ยวท่านไว้ ฉี้ก๊กตำหนิว่าพื้นดินน้อยเกินไป ท่านไยมิเพิ่มเป็นเท่าตัวมอบต่อฉี่ก๊ก? หากเป็นเช่นนั้นฝ่ายฉี้ย่อมต้องสนับสนุนท่านเป็นจ้าวแทน”
ราชบุตรฌ้อหลงกลเห็นพ้องด้วย จึงกระทำตามแผนการ จ้าวคนใหม่ของฌ้อก๊กพอล่วงรู้เข้า รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงยิ่ง รีบแบ่งบันพื้นที่มอบต่อฉี้ก๊กเพิ่มพูนขึ้น”
หยุดเล็กน้อยจึงกล่าวว่า
“เรื่องการแบ่งพื้นที่สิ้นสุดเพียงเท่านี้ โซวฉิ้งวางแผนการต่อไปอีก โดยอุบายขั้นที่ห้าโซวฉิ้งกล่าวกับจ้าวใหม่ของฌ้อว่า
“ฉี้ก๊กที่สามารถข่มขู่ขอพื้นที่จากฌ้อก๊ก เนื่องจากมีราชบุตรอยู่ในควบคุม และคงมิพอใจในผลรับ ดังนั้นเราคิดหาทางปลดปล่อยราชบุตรฌ้อก๊กออกมา ตอนนั้นได้ก๊กคงไร้วาจาคุกคามอีก ส่วนท่านโปรดคบค้ามีไมตรีกับฉี้ก๊กอันเข้มแข็งเอาไว้”
จ้าวฌ้อนิยมชมชอบยิ่งนัก แต่ความจริงอุบายขั้นที่หกของโซวฉิ้งคือทำให้ราชบุตรออกจากฌ้อก๊กด้วยความรู้สึกที่สำนึกพระคุณของโซวฉิ้ง ซึ่งมันได้กล่าวกับราชบุตรฌ้อก๊กว่า
“ฌ้อก๊กสามารถแบ่งปันพื้นที่ต่อฉี้ก๊กจริงๆ ส่วนท่านเพียงเอื้อนเอ่ยอย่างโคมลอย ฉี่ก๊กคงมิเชื่อท่าน ฉี้ก๊กเมื่อได้รับผลประโยชน์จากจ้าวฌ้อ ทั้งสองย่อมคบหากัน ท่านเท่ากับตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย สมควรวางแผนการหลบหนี”
ราชบุตรฌ้อก๊กรู้สึกมีเหตุผล ในยามค่ำคืนได้ลอบระดมรถม้าออกจากฉี้ก๊ก ในจิตใจของฝ่ายราชบุตรเข้าใจว่าโซวฉิ้งช่วยเหลือต่อมัน แต่โซวฉิ้งยังมิพึงพอใจ เพื่อแสดงความสามารถของมัน ได้ดำเนินอุบายขั้นที่เจ็ดต่อ
แผนการนี้ ต้องการให้ซิกงแห่งฉี้ก๊กชิงชังพยาบาทโซวฉิ้ง ภายหลังกลับผ่อนคลายโทสะไปทีละน้อย โซวซิ้งวางแผนโดยใช้สอยผู้คนกล่าวกับซิกงว่า
“ผู้เกลี้ยกล่อม ให้หน่วงเหนี่ยวราชบุตรณ้อไว้เป็นโซวฉิ้ง แต่มันมิได้คำนึงถึงท่าน เพียงแต่คิดอำนวยประโยชน์ต่อจ้าวฌ้อเท่านั้น โซวฉิ้งเนื่องจากเกรงว่าท่านจะล่วงรู้ถึงเจตนารมณ์ของมัน จึงบังคับฌ้อก๊กแบ่งปันพื้นที่ต่อฉี้ก๊กเพิ่มขึ้นหมายปกปิดความจริง บัดนี้ผู้ปลดปล่อยราชบุตรก็คือโซวฉิ้ง บุคคลผู้นี้นับว่าน่าระแวงยิ่งนัก”
ซิกงพอรับฟังย่อมอดดาลเดือดโซวฉิ้งมิได้ แต่ขณะนี้โซวฉิ้งยังดำเนินอุบายอันกลอกกลิ้งต่อไป ขั้นที่แปดคือใช้สอยผู้อื่นอ้างกับจ้าวฌ้อว่า
“ผู้เกลี้ยกล่อมซิกงควบคุมราชบุตรไว้คือโซวฉิ้ง ให้ฉี้ก๊กรักษาสัจจะก็เป็นมัน บุคคลช่วยเหลือราชบุตรออกจากฉี้ก๊กยังเป็นมัน บัดนี้มีผู้คนใส่ไคล้โซวฉิ้งต่อซิกง สาเหตุเนื่องจากมันจงรักต่อฉี้ก๊ก ขอท่านทราบซึ้งถึงความจงรักภักดีของมันด้วย” จ้าวฌ้อถึงกับประกาศแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้มันทันที
อุบายขั้นที่เก้า โซวฉิ้งมอบให้บุคคลอื่นน้อมพบซิกง กล่าวว่า “โซวฉิ้งเป็นปัญญาชนผู้มีวาทะยอดเยี่ยมยากพบพาน ท่านหากมิค้นหาปฏิบัติต่อมันอย่างล้ำเลิศเท่ากับสูญเสียยอดคนคนหนึ่ง ให้ผู้อื่นรับโซวฉิ้งไปสร้างผลประโยชน์ได้” ซิกงจึงคลายโทสะและให้ความใกล้ชิดกับโซวฉิ้ง
สุดท้าย โซวฉิ้งเข้าพบซิกงด้วยตนเอง โดยมิต้องใช้คารมแม้แต่คำเดียว ก็ได้รับการยกย่องเชิดชูจากฉี้ก๊กอย่างสูง มันอาศัยเล่ห์คารมยุยง สามารถพลิกแพลงเรื่องราวแปรเปลี่ยนไปมาอยู่ตลอดเวลา”
วาจาของกี้เฮียงเค้ง จวบจนบัดนี้ค่อยกล่าวจบลง
แฮ่โฮ้วคงขบคิดมิออกว่ายังมีเรื่องราวประการอื่นของโซวฉิ้ง ที่พลิกแพลงได้มากครั้งกว่าเรื่องนี้ จึงอนุโลมให้ผ่านด่านไป
กิมเม้งตี้เริ่มต้นล่วงล้ำเข้าสู่สิบสามขบวนพยุหใหญ่อันซับซ้อนพลิกแพลง มันกระทำตามข้อตกลงกับกี้เฮียงเค้ง ซึ่งส่งสัญญาณแจ้งข่าวให้ล่วงรู้อยู่ตลอดเวลา แล้วค่อยจำแนกทิศทางเบื้องหน้าเคลื่อนกาย
หลายครั้งเพราะรอคอยเสียงติกตักจากนาฬิกากังวาน ทำให้มันต้องยืนหยัดอยู่ที่เดิมเป็นเวลานาน มิกล้าเดินฝ่าอย่างวู่วาม หากเป็นคราธรรมดา มันย่อมมิสงบเยือกเย็นถึงปานนี้
แต่ตอนนี้ กิมเม้งตี้นิยมนับถือกี้เฮียงเค้งจับใจ ขณะตกอยู่ในขบวนพยุหที่มืดทึบมิอาจแลเห็นแสงตะวัน ผนังสองฟากข้างทางเดินและเพดานเบื้องบน ก่อสร้างจากวัตถุอันแข็งแกร่ง จนไม่มีทางทะลวงทำลายออกด้านนอกได้
กิมเม้งตี้มิเข้าใจเลยว่า กี้เฮียงเค้งหาได้อยู่ร่วมด้วยไม่ ไฉนจึงสามารถชี้แนะวิธีเดินเหินแก่มัน แต่มันก็มิอาจไม่ฝากความหวังไว้กับนาง เนื่องจากพอบุกฝ่ามาถึงภายใน ค่อยสังเกตพบว่าทางเดินทุกสายล้วนเคี้ยวคดยุ่งเหยิง ยากจำแนกแยกแยะ
มันย่อมมิทราบตัวเองกำลังอยู่ในค่ายกลแห่งที่ห้าในสิบสามขบวนพยุหใหญ่ ที่แท้กี้เฮียงเค้งจะต้องฝ่าพ้นตึกความรู้แห่งหนึ่ง จากนั้นพิจารณาแบบแปลนการก่อสร้างของตึกนั้น จึงสามารถชี้แนะหนทางกิมเม้งตี้ฝ่าค่ายกลได้
ยามนั้น นอกรัศมีสี่วาพลันปรากฏเงาร่างสายหนึ่ง ท่ามกลางแสงสีสันสลัวเลือนราง ยากเห็นเค้าหน้าและการแต่งกายของมัน
คนผู้นั้นแค่นหัวร่ออย่างเยือกเย็น กล่าวว่า
“ผู้ถูกยกย่องเป็นยอดคนอันดับหนึ่งแห่งยุคกิมเม้งตี้ ที่แท้ยามฝ่าค่ายกล กลับลังเลไหวหวั่นปานนี้ นับว่านอกเหนือความคาดหมายอย่างยิ่งยวด”
กิมเม้งตี้ ทางหนึ่งลอบทุ่มเทวิชาส่องประสาทสดับ ทางหนึ่งตวาดว่า
“ผู้ใด? หากมีความสามารถก็ปรากฏกายออกมา”
“ก็ได้ แต่ท่านต้องเคลื่อนเท้าเข้ามา เรามิรุดหน้าไปหรอก”
กิมเม้งตี้สาวเท้าก้าวไปเบื้องหน้า แต่เร่งรุดเพียงสิบก้าว พลันพบเห็นคนผู้นั้นยังอยู่ห่างสี่วา เงาร่างสลัวเลอะเลือน สังเกตมิออกว่ามันขยับเท้าเคลื่อนกายอย่างไร
กิมเม้งตี้สั่นศีรษะกล่าวว่า
“เรามิเชื่อว่า ท่าร่างของเจ้าจะว่องไวกว่า สถานที่นี้ย่อมมีความประหลาดพิสดารอื่น”
ขณะกล่าววาจา ร่างล่าถอยมาทางด้านหลังจนครบสิบก้าว ยืนหยัดกับตำแหน่งเดิม ความจริงมันขณะรุดหน้า ก็มีความคิดถอยกลับอยู่ก่อน เพื่อมิให้กี้เฮียงเค้งคำนวณทิศทางขบวนพยุหผิดพลาดไป
เงาร่างสายนั้นคล้ายดั่งรุดหน้าเช่นกัน ยามนี้ยังอยู่ห่างสี่วา แค่นหัวร่ออย่างเหยียดหยามกล่าวว่า
“กิมเม้งตี้ไฉนมิกล้าเข้ามาพิสูจน์ด้วยสายตาว่า เราเป็นบุคคลประเภทใด?”
กิมเม้งตี้หัวร่ออย่างเฉื่อยชากล่าวว่า
“ท่านเป็นเพียงบุคคลขลาดเขลาผู้หนึ่ง มีอันใดน่าดู?”
“นั่นก็แปลกไปแล้ว เราบอกว่าท่านเป็นบุรุษไร้กำลังขวัญ แต่ท่านกลับกล่าวว่า เราคือบุคคลขลาดเขลา นี่หมายความกระไร?”
“ความจริงแจ่มชัดยิ่ง เราอาละวาดไปทั่วบู๊ลิ้มมิใช่เพียงระยะเวลาสั้นๆ เจ้าหากมิใช่บุคคลขลาดเขลา ไฉนไม่กล้าหักหาญกับเราอย่างเปิดเผย? แสดงว่าท่านเป็นเต่าที่ซุกอยู่ในกระดองชัดๆ”
“ท่านตกอยู่ท่ามกลางดินแดนอันตราย กลับกล้ายโสโอหังเช่นนี้ เราจะต้องกระชากเนื้อหนังของท่านออกมา!”
กิมเม้งตี้แผดหัวร่อดังสนั่นหวั่นไหว ที่แท้มันทุ่มเทสมาธิโสตหนึ่ง คอยสดับรับฟังสำเนียงจากนาฬิกากังวาน บัดนี้พลันแว่วเสียงติกตังดังมา จึงส่งเสียงเสสรวลเพื่อกลบเกลื่อน มิให้ฝ่ายตรงข้ามได้ยินเสียง ซึ่งส่งจากภายนอก
เสียงติกตังที่ถ่ายทอดมาดังต่อกันสามครั้ง พลันชะงักขาดหายแล้วดังอีกครั้งหนึ่ง จังหวะที่ไม่แน่นอนเช่นนี้ มีแต่กิมเม้งตี้เข้าใจความหมายเท่านั้น
กิมเม้งตี้พลันชะงักเสียงหัวร่อลง ส่งเสียงหนักๆ ว่า
“เราล่วงรู้ศักดิ์ศรีของเจ้าแล้ว เจ้าย่อมต้องเป็นศิษย์ของเฒ่าเอกะประหลาด เมื่อเป็นเช่นนี้แฮ่โฮ้วคงก็คือทายาทของอลัชชีโลกันตร์นั่นเอง
เจ้าทั้งสอง หนึ่งนักสู้หนึ่งปัญญาชน ตบแต่งสถานที่เช่นนี้ มีเจตนาต่อเราอย่างไรมิทราบชัด แต่ท่านผู้มีครึ่งซีกหน้าเป็นสีเขียวคล้ำกลับเป็นสัญญลักษณ์จดจำได้ง่ายดาย”
เงาร่างด้านตรงข้ามถึงกับกล่าวว่า
“กิมเฮียมีความสามารถล้ำเลิศอย่างแท้จริง เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็มิต้องปกปิดอีกต่อไปแล้ว ผู้ต่ำต้อยแซ่โอ้วนามม่อ สมญาซังมิ่นนั้ง (คนสองหน้า) สถานที่นี้จัดประดับโคมไฟอีกแบบหนึ่ง ผู้อื่นหากลวงล้ำมาถึง มิอาจแลเห็นโฉมหน้าของเราเลย”
ขณะเอื้อนเอ่ย ร่างเคลื่อนไหวมาเบื้องหน้า ห่างจากกิมเม้งตี้วาเศษ
คนสองหน้าโอ้วม่อ แม้เอื้อนเอ่ยวาจาอ่อนโยน แต่กิมเม้งตี้หาได้ประมาทเลินเล่อไม่ กลับเพิ่มความระมัดระวังขึ้น
มันฉุกคิดถึงวิธีการของคนสองหน้า ต้องการกระตุ้นให้ตนจู่โจมลงมือ ทำให้ตำแหน่งทรงกายสับสน หลงพลัดอยู่ในสิบสามขบวนพยุหใหญ่
คนสองหน้าสวมอาภรณ์ชุดยาวมีครึ่งซีกหน้าเป็นสีเขียวคล้ำชวนสะอิดสะเอียน อีกครึ่งซีกหน้าขาวซีดราวซากศพ กอปรกับคิ้วดกหนาตาโปนโต ท่วงท่าป่าเถื่อนดุร้าย ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึง
มันดึงอาวุธคู่มืออกมา กลับเป็นกระบองหยาบใหญ่และมีหนามแหลมตะปุ่มตะป่ำ สาดประกายโลหะจนเจิดจ้า เหลือบแลเพียงวูบเดียวก็ทราบว่า เป็นศาสตราวุธอันร้ายกาจ
กิมเม้งตี้พลันแหงนหน้าหัวร่อดังกังวาน พร้อมกับสภาวะจู่โจมเริ่มทุ่มเทออก พัดจีบโบกสะบัดวูบ พลังอันเยือกเย็นกลุ่มหนึ่งทะลักใส่อย่างรุนแรง พร้อมกันนั้นขลุ่ยทองจี้สกัดเข้าหาอย่างฉับไว
ความสำเร็จด้านวิชาฝีมือของกิมเม้งตี้ สามารถกล่าวได้ว่าไร้เทียมทาน ยามนี้พอลงมือก็ใช้กระบวนท่าร่างสลับสนซับซ้อนศราตราวุธทั้งสองชนิดทั้งหลอกล่อทั้งจริงจัง
พร้อมกันนั้น ลมปราณภายในได้ถ่ายทอดอย่างสมบูรณ์เปี่ยมล้น เพียงท่าเริ่มต้น ก็มีอานุภาพประดุจอสนีบาตทลายลง
คนสองหน้า มีประกายตากราดเกรี้ยวครึ่งซีกหน้าที่เป็นสีเขียวคล้ำปรากฏแววอำมหิต กระบองหนามแหลมตวัดขึ้น กระบวนท่าฮ้วยเจ๊าะซีไฮ้ (อาละวาดมหาสมุทร) โหมจู่โจมฝ่ารอยโหว่ของม่าน พัดเงาขลุ่ยกลับเป็นท่าร่างอันเผ็ดร้อนชั่วร้าย
กิมเม้งตี้หัวร่อฮาฮา เรือนร่างเคลื่อนไหวรุกถอยตาม สภาวะกวาดกระหน่ำของกระบองคู่ต่อสู้ ดูผิวเผินปราดเปรียวสะดวกง่ายดาย แต่ความจริงทุกอิริยาบถได้เร่งรุดคล้อยตามการจู่โจมของคนสองหน้าอย่างเหมาะเจาะ
คนสองหน้าก็ล่วงรู้ถึงความนัยนี้ กระบองหนามแหลมพลันพลิกแพลง บัดเดี๋ยวทิ่มแทง บัดเดี๋ยวเสือกไส กิมเม้งตี้แม้สามารถคลี่คลายได้ แต่ยังลอบตื่นตระหนกต่อความสามารถของฝ่ายตรงข้าม
ควรทราบว่า กิมเม้งตี้มิใช่บุคคลผยองจนเลินเล่อ มันพลันพบว่า คู่ต่อสู้มีรากฐานพลังภายในลึกล้ำ น้อยครั้งจะพบพาน
ยังมี…คนสองหน้าร่ายรำกระบองหนามแหลมอันหนักอึ้ง กลับสามารถใช้แนววิชาอันรัดกุมถี่ยิบ แสดงว่าพลังการฝึกปรือของมัน บรรลุถึงขั้นเปลี่ยนแปลงตามใจปรารถนาแล้ว กิมเม้งตี้ตั้งแต่ท่องเที่ยวมายังมิเคยพบพานศัตรูที่สูงเยี่ยมถึงปานนี้มาก่อน
กิมเม้งตี้หลังจากต้านรับสิบกว่ากระบวนท่า ขลุ่ยทองในมือขวาพลันจู่โจมออกพลิกแพลงกระบวนท่าที่แทบเป็นไปมิได้ วิถีทางโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างสุดแสน
คนสองหน้าโอ้วม่อ ตวาดคำจู่โจมได้ประเสริฐ เรือนร่างเบี่ยงแฉลบหลบเลี่ยงรอดพ้น พร้อมกับกล่าวว่า
“กิมเฮีย หากไม่แสดงกระบวนท่านี้ เล่าฮูกลับเข้าใจว่าท่านมีเกียรติภูมิโคมลอยแล้ว”
“เฮอะ โฮ้วเฮียมีอายุไม่เกินสี่สิบปี ไฉนยกย่องตัวเองเป็นเล่าฮู?”
“ในสำนักมหากาฬ เล่าฮูถูกจัดอยู่ในอันดับสอง มีซือเฮียตี๋รวมสามคน ซือตี๋ (ศิษย์น้อง) ของเรา เทพไตรทะเลฮั้วง้วน ก็มีอายุห้าสิบหกปีแล้ว”
กิมเม้งตี้ดวงตาสาดประกายอันกลอกกลิ้ง แสร้งกล่าวไปว่ามันที่แท้มีวิชารักษารูปโฉม แต่ขณะนั้นได้ลอบทุ่มเทวิชาอันพิศดาร แฝงพลังภายในเข้าใส่พัดจีบและขลุ่ยทอง ซึ่งใช้ออกโดยมิขาดระยะ
พริบตาเดียว คนสองหน้ารู้สึกว่า กระบองหนามแหลมยามกวัดแกว่งมิคล่องแคล่วดังกาลก่อน คล้ายกับถูกคู่ต่อสู้สยบคุกคามตลอดเวลา จึงมีความคิดเปลี่ยนแปลงการต่อสู้ ใช้วิธีหักโหมแกร่งกร้าวเฉกเช่นคราแรก ซึ่งถนัดกว่า
คาดมิถึงว่า กิมเม้งตี้กำลังรอคอยให้มันพลิกแพลงพอดี โดยคิดฉวยโอกาสที่ฝ่ายตรงข้ามเริ่มเปลี่ยนแปลง หมายทุ่มเทท่าร่างประหลาดออกกำราบศัตรู
สมควรทราบว่ากิมเม้งตี้พอทราบว่า ฝ่ายตรงข้ามใช้รากฐานพลังภายในรักษารูปโฉม ก็ล่วงรู้ทันทีว่านั่นเป็นวิชาประเภทใด จึงมุ่งเป้าหมายจู่โจมต่อปมด้อยของวิชาแขนงนี้
คนสองหน้าหาคาดไม่ว่า คู่ต่อสู้จะร้ายกาจถึงปานนี้ เพราะวาจามิกี่ประโยค ทำให้กิมเม้งตี้พลิกแพลงสถานการณ์ต่อสู้ได้ ทั้งๆ ที่หากคิดหักโหมกัน ต้องพันกระบวนท่าขึ้นไปค่อยแยกแยะผลแพ้ชนะ
ขณะที่กระบองหนามแหลมผลักดันขึ้น หมายหันเหวิธีการต่อสู้นั้น กิมเม้งตี้พลันสะอึกปราดมาถึงด้านข้าง พัดจีบในมือซ้ายกดกระบองไว้ ขลุ่ยทองพลันจี้สกัดใส่จุดชีวิตบริเวณคอหอยอย่างกระทันหัน
คนสองหน้ามิมีปัญญาหลบหลีก มีแต่รามือรอมรณะ ช่วงเวลานั้นกิมเม้งตี้กลับลดขลุ่ยทองต่ำลง จี้ใส่จุดเส้นบนทรวงอกบุรุษ คนสองหน้าพลันกระแทกกายลงบนพื้นดิน ไม่อาจเคลื่อนไหวได้
กิมเม้งตี้เค้นเสียงกล่าวว่า
“โอ้วม่อ เจ้าเมื่อพ่ายแพ้ต้องน้อมส่งเราออกไป”
คนสองหน้ายังเอื้อนเอ่ยวาจาได้ กล่าวอย่างเย็นชาว่า
“ท่านพร่ำกล่าวไปก็ไร้ประโยชน์ เรามิชี้แนะหนทางออกจากขบวนพยุหโดยเด็ดขาด”
“เรามีเจ้าเป็นตัวประกัน คาดว่าแฮ่โฮ้วคงมิกล้าไม่ปลดปล่อยเราออกไปหรอก”
“แฮโฮ้วคงเคยอ้างว่า ‘ความปลอดภัยของโอ้วยี่กอ ขออภัยที่มิรับผิดชอบ’ ท่านมิอาจอาศัยเราเป็นเครื่องข่มขู่”
“เรามิเคยทอดทิ้งสิ่งของที่เข้าใจว่ามีประโยชน์ต่อตัวเอง ท่านก็ไม่นอกเหนือกฎเกณฑ์เช่นนั้น”
คนสองหน้าใบหน้าบิดเบี้ยว รู้สึกหวาดหวั่นขวัญฝ่อแต่ยังมิยอมชี้แนะทางออก สร้างความพิศวงให้กับกิมเม้งตี้คำนึงในใจ
“…มันมีจิตใจประหวั่นพรั่นพรึงชัดๆ กลับมิยอมสยบหรือมีเรื่องราวที่ทำให้มันต้องเกรงกลัวยิ่งไปกว่าความตายอีก?…”
กิมเม้งตี้พลันตบคลายจุดคนสองหน้า แต่ใช้วิชาประการอื่นสยบฝ่ายตรงข้ามจนมิสามารถสำแดงฝีมือ เพียงมีกำลังเดินเหินเฉกเช่นสามัญชนและบังคับให้ก้าวเดินตามมา อย่าได้มีความมุ่งหมายอย่างอื่น
ยามนั้นถึงเวลาที่กี้เฮียงเค้งบ่งบอกวิธีเดินเหินอีแล้ว กิมตี้จึงรีบสำรวมจิตใจคอยรับฟัง พอแว่วเสียงติกตังดังมา ก็ใช้เสียงกู่ร้องปกปิดอำพราง แล้วรีบเดินเหินต่อไป พลางกล่าวว่า
“เราอาละวาดทั่วใต้หล้า เคยสนใจว่าจะมีเรื่องราวอื่นใดที่น่าหวาดหวั่นไปกว่าความตาย จวบจนบัดนี้ยังมิพบพาน บุคคลหนึ่งหากมิเกรงกลัวกับความตายก็เท่ากับไร้ความหวั่นไหวแล้ว”
มันใช้คารมยอกย้อน คนสองหน้าแม้อายุหกสิบเศษในด้านความคิดมิอาจเทียบเทียมได้จึงกล่าว
“เล่าฮูจะบ่งบอกให้รับทราบ หากแม้นมีผู้คนสามารถทำให้ท่านกลับกลายเป็นตัวประหลาดคล้ายปีศาจหรือสุนัขอดโซที่แม้พบอาจม ยังต้องรับประทาน ท่านจะรู้สึกเป็นอย่างไร?!”
กิมเม้งตี้รับฟังจนแตกตื่นตระหนก หากแม้นวิถีชีวิตคนผู้หนึ่งต้องถูกทารุณจากบุคคลภายนอก โดยมิอาจดิ้นรนขัดขืน ย่อมรู้สึกทรมานน่าพรั่นพรึงยิ่งกว่าความตายเสียอีก
แต่กิมเม้งตี้กลับกล่าวว่า
“คาดมิถึงสหายแซ่โอ้ว กลับมีความเพ้อฝันนัก ในใต้หล้าไหนเลยมีเรื่องราวที่มนุษย์กลับกลายเป็นสุนัขเล่า?”
“เหตุการณ์เช่นนี้ สามารถอุบัติขึ้นอย่างแน่นอน!…”
มันพลันชะงักวาจาไว้ กิมเม้งตี้ก็เสแสร้งเป็นมิสนใจ หลังจากนั้น กี้เฮียงเค้งได้ส่งสัญญาณมาสองครา ซึ่งมันอาศัยเสียงกู่หรือสำเนียงเสสรวลกลบเกลื่อน ฝ่าทะลวงสิบสามขบวนพยุหใหญ่มาได้แปดแห่งแล้ว
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป