๑o
♦ วีรบุรุษพเนจร ♦
…………
ซิเล้งกวาดสายตามองไปยังเงาร่างที่มาพลันบังเกิดความปีติอย่างใหญ่หลวงส่งเสียงร้องว่า
“ผู้ที่มาคือเจียะฉั้งเฮียกระมัง”
เงาร่างนั้นชะงักเท้าลงหันกลับมารับคำว่าถูกแล้ว ซิเล้งจึงพลิ้วกายเข้าหา จากนั้นนำพาเข้าสู่ตึกศิลาจุดโคมไฟขึ้น หลายเดือนที่ผ่านมามิเคยมีบุคคลที่สามอยู่ร่วมด้วย พอพบพานสหายคุ้นเคย ซิเล้งก็บังเกิดความตื่นเต้นยินดียิ่งนัก
เจียะฉั้งฮ้งสำรวจการตบแต่งที่สมถะไม่ฟุ่มเฟือยภายในห้อง ถึงกับรำพันว่า
“ซือแป๋ท่านถึงกับพำนักในสถานที่เช่นนี้มาหลายสิบปี แสดงว่าท่านผู้เฒ่าเป็นยอดคนที่ปราศจากจิตละโมบแม้แต่น้อย น่าเสียดายที่มิมีวาสนาได้กราบ พบเพียงแต่โบราณกาลมามังกรเทพยดาก็ปรากฏเศียรโดยมิอาจเห็นหางได้ง่ายดาย”
ซิเล้งถามว่า
“มิทราบเจียะฉั้งเฮียเร่งรุดมาครั้งนี้เพียงแวะผ่านหรือมีคำแนะนำประการใด?”
“เรามาเยือนโดยเฉพาะเพื่อบอกเล่าข่าวคราวต่อท่าน เกรงว่า…”
หยุดเล็กน้อยเปลี่ยนเป็นกล่าวว่า
“ท่านคงจดจำห้าจ้าวฉลามในสังกัดเทพไตรทะเลได้ พวกเราประหารไปสามคน หลงเหลือจ้าวฉลามเหลืองและเชียว เมื่อสองเดือนก่อนเราใช้ความสามารถทั้งมวลสร้างหลุมพรางกับดักขึ้น ใช้สุรานารีลดพลังฝีมือของจ้าวฉลามเหลือง จากนั้นยังต้องสูญเสียชีวิตของบริวารอีกสี่คนจึงปลิดชีวิตมันสำเร็จ
“แต่จ้าวฉลามเขียวกลับกลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์นัก มิเพียงไม่ตกหลุมล่อลวง หนำซ้ำกลับสืบสวนเรื่องที่วังวารีถูกทำลายล้าง จนล่วงรู้ความจริง
“เราคิดกลับสู่ประเทศดังเดิมเพื่อหลบหลีกเภทภัย แต่ท่านเองต้องระวังมากไว้ ฝ่ายตรงข้ามหากดำเนินอุบายลอบประทุษร้าย ท่านย่อมมิอาจป้องกันได้”
ซิเล้งรับฟังด้วยดวงใจที่ตื่นเต้นตระหนกกล่าวว่า
“ท่านกล่าวได้มิผิด ข้าพเจ้าสมควรกระทำอย่างไร?”
“ซิเฮียสมควรเสาะหาจ้าวฉลามเขียวจนพบ ปลิดชีวิตกำจัดไปเสีย หาไม่แล้วจะชักนำเภทภัยต่อท่านเอง”
“เรื่องนี้ข้าพเจ้าจะหารือกับซือแป๋เอง… อ้อ เฮ็กโกวเนี้ยเป็นอย่างไร?”
“นางมีเจตนายืนกรานเช่นเดิม ข้าพเจ้าจึงได้แต่ก่อสร้างอารามหลังหนึ่งให้นางใฝ่สันโดษ หากแม้นนางมิใช่บุคคลของสถาบันธรรมจริงๆ สักวันหนึ่งย่อมต้องติดตามเราใช้ชีวิตร่อนเร่กลางทะเลกว้าง”
พร้อมกับนั้นบ่งบอกว่านิวาสถานของนางอยู่แถบมณฑลกังโซวใกล้กับทะเลใหญ่ ทั้งสองสนทนากันจวบจนรุ่งสางสว่างเจียะฉั้งฮ้งจึงกล่าวคำอำลา
ซิเล้งส่งมันถึงริมฝั่ง พอหวนกลับมาภายในห้องก็พบเห็นซือแป๋กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงนอนแล้ว
ขุนพลไร้กรมีสีหน้าเคร่งขรึม ซิเล้งสำนึกได้ว่าต้องมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น ได้ยินชายชราเอื้อนเอ่ยว่า
“หนูเอยพวกเราต้องจากสถานที่นี้กันแล้ว”
ซิเล้งกล่าวว่า
“ซือแป๋ได้ยินคำสนทนาของเจียะฉั้งฮ้งแล้ว?”
“มิผิดเรารู้สึกว่าตัวเองสมควรท่องเที่ยวในวงนักเลงบ้าง ส่วนเจ้าก็ถึงเวลาแล้วที่ต้องออกสู่บู๊ลิ้ม เสาะหาจ้าวฉลามเขียว”
ครุ่นคิดเล็กน้อยจึงกล่าวสรุปว่า
“เมื่อต้องจากกันร่องรอยของเล่าฮูเจ้ามิต้องกังวล ขอเพียงจดจำไว้ คืนสารทตงชิว (ไหว้พระจันทร์) ของทุกปีเล่าฮูจะชมจันทร์ที่ประตูทักษิณในเมืองตั่วเมี่ยเซี้ย เจ้าต้องเร่งรุดให้ทันเวลา
“เล่าฮูจะแบ่งปันเงินทองให้กับเจ้าครึ่งหนึ่ง มอบกระบี่ยาวเล่มที่ประดับในตึกศิลาแก่เจ้าใช้เป็นอาวุธประจำตัว เด็กเอย จงสร้างสรรค์อนาคตที่รุ่งโรจน์ต่อตนเองในวงนักเลงเถอะเล่าฮูไปแล้ว”
ซิเล้งคุกเข่ากราบกรานสามครา ขุนพลไร้กรเปล่งเสียงหัวร่ออย่างฮึกเหิมกังวานทุ่มเทวิชาตัวเบาพุ่งปราดจากไปดุจประกายไฟแลบพุ่ง ซิเล้งยามติดตามออกนอกห้อง ซือแป๋ก็หายสาบสูญแล้ว
การพรากจากอย่างกะทันหัน ซิเล้งถึงกับจิตใจว้าวุ่นมิน้อย
หลังจากขบคิดใคร่ครวญเส้นทางเดินทาง ตกลงใจว่าจะสืบเสาะร่องรอยของเจ้าฉลามเขียวก่อน โดยมุ่งสืบเสาะตามตัวเมืองใหญ่ๆ
การรอนแรมเดินทางเริ่มต้นจากเมืองบุ้นเต็งกุ่ย ผ่านแฮ่ชึง ไฮ้เอี้ยง เจียกบั๊ก แชเต้า ยิกเจี่ย ตลอดรายทางล้วนปราศจากร่องรอยเบาะแสใด จวบจนเหยียบย่างเข้าสู่ตัวเมืองที่รุ่งเรืองแห่งหนึ่ง
ซิเล้งเดินเหินตามถนนสายกว้างใหญ่โดยปราศจากจุดหมาย พลันเหลือบเห็นบุรุษกลางคนผู้หนึ่งในคลื่นมนุษย์ รู้สึกคุ้นเคยราวกับรู้จักมาก่อน ฝ่ายบุรุษกลางคนก็จับจ้องมองตน จากนั้นถลันหายสาบสูญไป
ซิเล้งทบทวนความคิด พลันฉุกใจคำนึงได้ รำพึงในใจ
‘…ที่แท้คือผู้ดูแลคนหนึ่งในหมู่บ้านตระกูลฉี้ นามฉี้หงี เราตอนแยกจากฉี้อิง ยังอาศัยม้าของมัน…’
ซิเล้งรีบกวาดสายตาเสาะหาร่องรอยฉี้หงี กลับมิพบพานแล้ว หรือดรุณีผู้น่ารักฉี้อิงก็พำนักอยู่ในตัวเมืองฮั่งจิวด้วย?
เค้าหน้าที่โสภาสะคราญล้ำของฉี้อิง พลันปรากฏขึ้นในห้วงสมองอย่างชัดเจน ซิเล้งพลันถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อนคำนึงขึ้น
‘…เราไฉนอาวรณ์ถึงตัวฉี้อิงปานนี้? ตอนนี้นางคงเป็นภรรยาของผู้อื่น แม้ได้พบพานนาง ไยมิใช่เพิ่มพูนความขมขื่นรวดร้าวใจต่อตนเอง?…’
อารมณ์พอปั่นป่วน จึงคิดหาหนทางระบายออก ยามนั้นแลเห็นข้างทางมีเหลาสุราโออ่าหลังหนึ่งจึงเข้าไปทันที
ซิเล้งแม้สวมอาภรณ์ธรรมดา แต่บุคลิกอันคมคายสง่างามยังสยบผู้อื่นให้ระย่นย่อได้ ผู้รับใช้พอพบเห็นรีบเข้าต้อนรับจัดโต๊ะให้ ซิเล้งก็สั่งสุราอาหารมาดื่มกินอย่างเงียบงัน
เหลาสุราในเมืองลือนาม กิจการค้าครึกครื้นจอแจยิ่งนัก ยามนั้น ประกายตาของผู้ดื่ม ต่างหันไปมองคนผู้หนึ่งซึ่งเพิ่งปรากฏกายขึ้นมา
ซิเล้งกราดมองตาม แลเห็นผู้มาเป็นบุรุษอายุเยาว์เพียงยี่สิบเอ็ดยี่สิบสองปี ใบหน้ามีแววเมามาย แต่ท่วงท่ายังเหี้ยมหาญทรงอำนาจ แสดงว่ามิใช่ปุถุชนสามัญ
บุรุษหนุ่มพอปรากฏกายก็กวาดตาที่เจิดจ้าปานคบเพลิงกวาดมองรอบๆ ตลบหนึ่ง พลันสาวเท้ามายังโต๊ะของซิเล้งส่งเสียงเข้มแข็งว่า
“พี่ท่าน ข้าพเจ้ามีนามลี้ซานึ้ง ขอรับทราบนามอันสูงส่ง?”
ซิเล้งลุกขึ้นยืนด้วยท่วงท่าระมัดระวังยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า
“ข้าพเจ้าเป็นบุคคลไร้เกียรติภูมิ บ่งบอกนามไปก็มิมีความหมาย หากท่านมิรังเกียจ ขอเชิญร่วมดื่มกับเรา”
ลี้ซานึ้งหัวร่อดังสนั่นหวั่นไหว กล่าวว่า
“ขอบคุณในคำเชิญ แต่สหายหากเอื้ออารี ก็ขอเจือจานเงินทองสักยี่สิบตำลึงทอง ข้าพเจ้ายินดีรับใช้เท่าที่สามารถข้าพเจ้าลั่งจื้อ (ผู้พเนจร) อาจช่วยเหลือได้”
ซิเล้งพลันล้วงหยิบเงินทองมอบให้ พลางกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าต้องการถามร่องรอยคนผู้หนึ่ง มิทราบท่านทราบหรือไม่?”
“เราผู้พเนจร แม้ปราศจากพลังฝีมือสูงล้ำ ไร้การงานเป็นหลักแหล่ง แต่รอบรู้มิน้อย ขอเชิญท่านถามมา”
“ผู้ที่ข้าพเจ้าคิดเสาะหา เป็นบุรุษอายุสี่สิบปีเศษ ร่างกายสูงใหญ่สะพายดาบยาวเป็นอาวุธ มีสัญลักษณ์พิเศษคือบนปกเสื้อปักรูปฉลามร้ายสีเขียวตัวหนึ่ง”
ลี้ซานึ้งมีประกายตาเจิดจ้ากล่าวว่า
“บุคคลเช่นนี้ข้าพเจ้ากลับรับรู้มา มันมาอาศัยในเมืองฮั่งจิวเมื่อแต่ก่อน เนื่องจากมีนิสัยป่าเถื่อนโหดร้าย เคยสังหารผู้คน ก่อเหตุช่วงชิงนางคณิกาผู้หนึ่ง จึงมีเกียรติภูมิอื้อฉาว”
ซิเล้งคาดมิถึงว่าจะรับทราบเบาะแสที่ใคร่อยากรู้จากฝ่ายตรงข้ามจึงกล่าว
“มันมีร่องรอยอยู่ที่ใด?”
“สำนักของคนผู้นี้กลับมิทราบชัดแน่นอน เพียงรู้ว่ามันลุ่มหลงอยู่กับคณิกาแห่งจุ้ยง้วยอี่ (อาคารจันทร์สวาท) ในตรอกตรงข้ามกับเหลาสุรานี้ ไปหาความสุขทุกค่ำคืนมิว่างเว้น”
ลี้ซานึ้งลูบคลำเงินทองที่ได้มาอยู่ในมือ พลันพึมพำว่า
“เงินทองนี้อีกชั่วครู่จะต้องสลายไปกับนางคณิกา นี่จึงสามารถบรรเทาความคิดคำนึงถึงนางได้ชั่วขณะ”
ซิเล้งจับจ้องมองมันอย่างสงสัย คาดคำนวณจากฝ่ายตรงข้ามซึ่งมีบุคลิกเด่นล้ำ คงกำเนิดจากตระกูลสูงศักดิ์และเพราะเกิดความรักต่อนางในดวงใจผู้หนึ่ง แต่ด้วยความจำเป็นบางประการมิอาจอยู่ร่วมแอบอิง ทำให้วิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงเป็นเช่นนี้
ลี้ซานึ้งยามนั้นประสานมือขึ้นกล่าวว่า
“สหายนิรนาม ภายภาคหน้าเราสองคงมีโอกาสพบพานกันอีก… ลาก่อน”
พลางขยับร่างพุ่งออกจากหน้าต่าง วิชาตัวเบาที่สำแดงคล่องแคล่วปราดเปรียวยิ่งนัก ความเป็นมาของฝ่ายตรงข้ามนับว่าสร้างความเคลือบแคลงต่อซิเล้งขึ้น
ตอนนี้ จำต้องเสาะหาจ้าวฉลามเขียวก่อน ดังนั้นซิเล้งชำระค่าสุราอาหาร เดินถึงหมู่ตึกที่ปลูกเรียงรายอย่างสวยงาม ป้ายบ่งบอกนามอาคารจันทร์สวาท
ภายในอาคารจันทร์สวาท ดรุณีงามสะคราญมากหลายสวมใส่อาภรณ์สดใสบาดตาแสดงท่วงท่าอันยั่วยวนชวนพิศวาส
ซิเล้งดื่มน้ำชาท่ามกลางดรุณีงามขับกล่อมดนตรีเสนาะ ยามสมนาคุณก็จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย กอปรกับหล่อเหลาปานเทพบุตรเหล่านวลนางถึงกับรุมล้อมมิห่าง
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ซิเล้งล่วงรู้จากปากคำนางคณิกานามจุ่ยจุ่ย ทราบว่าจ้าวฉลามเขียวอยู่ในอาคารจันทร์สวาทจริงๆ รวมทั้งห้องหับที่มันอาศัยด้วย
ซิเล้งจากออกมาเสาะหาโรงเตี๊ยมพักผ่อนชั่วคราว ตนสำนึกว่าค่ำคืนนี้อาจต้องเกิดการต่อสู้ จึงนั่งขัดสมาธิโคจรลมปราณโดยมิประมาท
จวบจนเสียงเคาะเกราะดังมาสามครั้ง ซิเล้งจึงผุดลุกขึ้นเปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดรัดกุม พลิ้วกายออกจากหน้าต่างอย่างปราดเปรียว พริบตาเดียวก็บรรลุถึงอาคารจันทร์สวาท ยามนี้ความสนุกสนานได้ล่วงเลย ทุกแห่งหนมีแต่ความมืดมิด
ซิเล้งโลดแล่นเข้าสู่ตึกรามหลังหนึ่ง ล้วนหยิบผ้าดำคลุมหน้า จงใจบังเกิดเสียงฝีเท้าดังขึ้น แล้วแฝงกายลัดเลาะไปที่ริมหน้าต่างบานหนึ่ง
มิทันถึงที่หมาย พลันปรากฏเงาร่างสายหนึ่งพุ่งทะลวงออกจากบานหน้าต่างละลิ่วลงกึ่งกลางของตึกราม ส่งเสียงแค่นหัวร่อดังเฮอะฮะอย่างเหี้ยมเกรียม
ซิเล้งเบือนหน้ากลับไปเห็นผู้มามีเรือนร่างสูงใหญ่ สีหน้าดุร้ายอำมหิต ในมือกระชับดาบยาวเปลือยร่างท่อนบน แสดงกล้ามเนื้อที่หนาแน่แผ่อำนาจอันป่าเถื่อนเกรี้ยวกราด
บุรุษฉกรรจ์ผู้ดุร้ายชะงักเสียงหัวร่อลง เค้นเสียงกล่าว
“เจ้าเป็นใคร? แสดงกิริยาลับๆ ล่อๆ ด้วยจุดประสงค์อันใด?”
ซิเล้งจับจ้องมันอย่างเงียบงันกล่าวว่า
“ท่านประกาศศักดิ์ศรีของตัวเองออกมาเสียก่อน”
บุรุษฉกรรจผู้นั้นกล่าวอย่างเยือกเย็นชา
“เจ้าเร่งรุดมาเพราะเราชัดๆ บัดนี้พบพาน ไฉนต้องแสร้งมิรู้จัก เพียงแต่อาศัยเศษสวะเฉกเช่นเจ้า กลับคิดมาจัดการเรา นับว่าแส่หาที่ตายชัดๆ…”
จ้าวฉลามเขียวได้แสยะยิ้ม กล่าวต่อ
“ตั่วเอี้ย (ยกย่องตนเป็นเจ้านายใหญ่) มิได้สูดคาวโลหิตมนุษย์มาหลายวันแล้ว เจ้ายังคงมอบชีวิตมาเถอะ”
ท่ามกลางสำเนียงตวาดว่า ดาบในมือสะบัดออกอย่างฉับไว กรีดปาดใส่ใบหน้าซิเล้งอย่างหักโหม เพลงดาบกราดเกรี้ยวทารุณสุดแสน
ซิเล้งลากฝีเท้าโซซัดโซเซ หลบหลีกจากดาบแรกได้อย่างหวุดหวิด ดูผิวเผินรู้สึกหวาดเสียวยิ่งนัก
ได้ยินทางด้านนอกห่างไปหลายวา แว่วสำเนียงอุทานเบาๆ ซิเล้งพลันบังเกิดความตื่นเต้นสงสัย หรือมีผู้คนซุ่มซ่อนแอบแฝงอยู่ มิทราบมันเป็นใคร?
จ้าวฉลามเชียวกลับรั้งดาบกลับมา กวาดตาไปรอบบริเวณ กล่าวว่า
“ที่แท้เจ้ายังมีผู้ช่วย ไยมิเรียกให้ออกมารับความตายโดยพร้อมเพรียง?”
ซิเล้งกล่าวอย่างสงบ
“อาศัยฝ่ามือเลือดเนื้อของข้าพเจ้าทั้งสองข้าง ก็เพียงพอกำจัดท่านแล้ว”
จ้าวฉลามเขียวแผดหัวร่อดังสนั่นหวั่นไหว กล่าวว่า
“กล่าววาจาโอหังนัก”
วาจามิทันจบลงดาบยาวก็ตวัดจู่โจมออก
ซิเล้งพลันหดศีรษะ เรือนร่างเคลื่อนไหวดุจดั่งเมฆพลิ้วละลิ่วล่อง แฉลบเฉียดผ่านประกายดาบอย่างเหมาะเจาะสวยงามกลับวนเวียนมาถึงเบื้องหน้าฝ่ายตรงข้ามอีกครา
จ้าวฉลามเขียวสะท้านใจวาบ รีบวาดมือด้วยท่าอ่าวเท้งไคฮวย (บุปผาบานหลังเคหา) ประกายดาบลำยาวเหยียดกรีดพุ่งไปด้านหลังในฉับพลัน
ซิเล้งแม้จะฝึกปรือฝีมือจนสูงล้ำ แต่คาดคิดมิถึงว่าท่าร่างของศัตรูจะพิสดารลึกล้ำถึงปานนี้ แลเห็นคมดาบแฉลบใส่ท้องน้อย ยากที่จะหลบหลีกเลี่ยงพ้น ต้องแตกตื่นอย่างใหญ่หลวง
ยามนี้เสี่ยงภัยอันตราย รีบหดท้องน้อยยุบลงกว่าครึ่ง คมดาบจึงกรีดผ่านอาภรณ์ที่สวมใส่แทบจะทำร้ายถูกผิวเนื้อ
ซิเล้งระบายลมหายใจออกจากปาก ส่งเสียงดังกังวานว่า
“ระวังข้าพเจ้าจะจู่โจมแล้ว”
ฝ่ามือขวารั้งขึ้นอย่างแช่มช้า พริบตานั้นเรือนร่างพองโตขึ้นกว่าเดิม ดวงตาสาดประกายเจิดจ้า บุคลิกเหี้ยมหาญสุดจะเปรียบ
จากนั้นสะบัดฝ่ามือขวาออกไป กระแสพลังอันแกร่งกร้าว รวมรั้งเป็นมรสุมก่อกวน ปั่นป่วนทะลักทลายใส่อย่างหนักหน่วง ดาบยาวของจ้าวฉลามเขียวถึงกับปลิวกระเด็นสู่อีกทางหนึ่ง
แต่ทว่ากำลังฝ่ามือยังแผ่ทะลักออกโดยมิสูญสลาย กระแทกถูกทรวงอกของจ้าวฉลามเขียว ทำให้เรือนร่างซวนเซไปหลายก้าว อ้าปากกระอักโลหิตออกโอ๊กใหญ่
ซิเล้งรั้งมือกลับ หมายให้ออกเป็นคำรบสอง พลันปรากฏเงาร่างสายหนึ่งแล่นมา ยืนหยัดทางซ้ายมือของจ้าวฉลามเขียว มือกระชับกระบี่ยาว ปลายกระบี่ดีดพุ่งขึ้นกรีดเฉียงๆ จี้ใส่ซิเล้งอย่างกะทันหัน
ท่ากระบี่นี้ลึกล้ำพิสดารอย่างสุดแสน เพียงเหลือบแลก็คำนวณทราบชัดว่าสามารถเสื่อมโทรมพลังฝ่ามือได้กว่าครึ่ง ดังนั้นซิเล้งแม้จะจู่โจมออกไปอีกก็ยากที่จะทำร้ายคู่ต่อสู้
ซิเล้งงงงันไปวูบหนึ่งส่งเสียงหนักๆ ว่า
“ผู้ใดสอดมือยุ่งเกี่ยว?”
เงาร่างที่มามีเรือนร่างผอมเล็ก ใบหน้าก็ใช้ผ้าดำคลุมไว้ ปรากฏเพียงดวงตาที่แจ่มกระจ่าง เพียงแค่นเสียงหนักๆ โดยมิตอบคำ
จ้าวฉลามเขียวกลอกกลิ้งดวงตาตลบหนึ่ง พลันรวบรวมกำลังหันกายพุ่งร่างหมายหลบหนี ซิเล้งขณะกระวนกระวายจึงมิทันแยแสบุคคลที่สาม รีบกรีดร่างเป็นวงกว้างหมายไล่ล่าตาม
แต่ร่างเพิ่งก้าวเฉียงๆ ไปหลายก้าว ผู้คลุมหน้านั้นเคลื่อนเท้าอย่างกระชั้นชิด ปลายกระบี่ยังคงชี้เฉียง จี้สยบซิเล้งดังเดิม เพียงอาศัยท่ากระบี่นี้ ก็สะกดจนซิเล้งไม่สามารถทะลวงพ้นได้
ซิเล้งมีความจำเป็นต้องกำจัดจ้าวฉลามเขียวจึงตวาดว่า
“ท่านที่แท้คือใครไฉน คิดปกป้องอสูรร้ายใจทมิฬเล่า?”
ขณะนั้นจ้าวฉลามเขียวได้พุ่งร่างข้ามกำแพงตึกโลดแล่นหายลับตาไปแล้ว แม้ไล่ล่าก็ยากตามทัน
ผู้คลุมหน้านั้นส่งเสียงดังอ้อ รั้งกระบี่ต่ำลงกล่าวว่า
“เรามิทราบมันคืออสูรร้าย”
ซิเล้งฉวยโอกาสที่คนคลุมหน้าลดกระบี่ลง พุ่งผ่านฝ่ายตรงข้ามล่วงหน้าสองวาปานประกายไฟ แต่แล้วพลันชะงักฝีเท้าลง เบือนศีรษะจับจ้องคนเบื้องหน้า จิตใจเลอะเลือนอลวน
ที่แท้สุ้มเสียงของผู้คลุมหน้านี้ กลับเป็นอิสตรี มิหนำซ้ำคลับคล้ายฉี้อิงยิ่ง!
ซิเล้งระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านส่งเสียงออกไปว่า
“ท่านปลดผ้าคลุมหน้าออกมา”
ดรุณีคลุมหน้าหัวร่อคิกคักพลันสั่นศีรษะกล่าวว่า
“ไม่ ท่านปลดผ้าคลุมหน้าของตัวเองเสียก่อน… มาตรมิเช่นนั้นก็เอาชัยกระบี่ในมือของข้าพเจ้าก่อน”
ซิเล้งรับฟังจนต้องขบคิดในใจ
‘…นางมิเพียงมีสุ้มเสียงคล้ายฉี้อิง กระทั่งพฤติการณ์ก็ละม้ายนาง ดื้อรั้นถือดี ชอบเอาชัย จากกันสองปีตามเหตุผล นางสมควรเป็นกุลสตรีผู้สำรวม หาคาดไม่ว่ายังเป็นเช่นเดิม…’
ยามประหวัดใคร่ครวญ ซิเล้งก็ปลดผ้าคลุมหน้าของตัวเองลงมา ดรุณีคลุมหน้าจับจ้องอย่างงงงันครู่หนึ่ง จากนั้นหัวร่อพลางกล่าว
“ที่แท้เป็นอาคันตุกะของจุ่ยจุ่ยเจ้เจ๊นั่นเอง ข้าพเจ้าสมควรเรียกหาท่านเป็นเจ้ฮู (พี่เขย) เพียงแต่มิทราบท่านไฉนจึงล่าสังหารแขกเหรื่อของพวกเราเล่า?”
ซิเล้งพอฟัง คล้ายดั่งพลัดตกลงสู่หล่มน้ำแข็งอันเยือกเย็น ดวงวิญญาณกระเจิดกระเจิง คำพูดที่ฝ่ายตรงข้ามกล่าวอ้าง เป็นภาษาของนางคณิกา หรือผู้อยู่เบื้องหน้ามิใช่ฉี้อิง?
พลันส่งเสียงถอนหายใจออกมา สะบัดร่างวิ่งตะบึงกลับคืนสู่โรงเตี๊ยมที่พำนักด้วยจิตใจอันสับสน
คาดมิถึง ซิเล้งพอเร่งรุดถึงตึกที่พำนัก พลันพบเห็นห้องหับจับจองไว้ ปรากฏแสงโคมไฟสาดส่อง จิตใจต้องสะท้านอย่างรุนแรง บังเกิดความระมัดระวังขึ้นมา
ซิเล้งพลิ้วร่างลงที่หน้าห้องราวปุยนุ่นไร้น้ำหนัก แลเห็นประตูห้องมิได้ปิดสนิท เผยออกเป็นช่องหนึ่ง พอเหลือบมองพบว่ามีดรุณีนางหนึ่งนั่งหันหลังให้และมิขยับเคลื่อนไหว ไม่ทราบเป็นผู้ใดกัน?
ซิเล้งขบกรามกรอด ผลักประตูถลันร่างเข้าไป แต่ดรุณีบนเก้าอี้แม้ได้ยินเสียงบานประตูเปิดออกก็ยังมิหันร่างกลับมา
ซิเล้งกวาดตาพินิจดรุณีนั้น แลเห็นนางมีเค้าหน้างามสะคราญปานเทพธิดา นี่มิใช่ฉี้อิงที่ตนเองใฝ่ฝันหรอกหรือ? ซิเล้งถึงกับสะท้านทั้งร่างจับจ้องนางอย่างคลางแคลงมิเชื่อถือ
เนิ่นนานให้หลัง ซิเล้งจึงกล่าว
“เป็นท่านจริงๆ”
ฉี้อิงถลันร่างขึ้นมาดุจดั่งสกุณาตัวน้อยถลาเข้าสู่อ้อมอกฝ่ายตรงข้าม ซิเล้งพลันใช้สองแขนโอบรัดเกาะกอดนางเอาไว้อย่างแนบแน่น
ทั้งสองแอบอิงกันแทบเป็นเรือนร่างหนึ่ง ต่างมิส่งเสียงตักตวงความสุขกับวินาทีที่ยากจะสลัดลืมเลือนนี้อย่างเงียบสงบ
เนิ่นนานให้หลังซิเล้งพลันรู้สึกเจ็บแปลบปลาบบริเวณหัวไหล่ สำนึกทราบว่านางกำลังขบกัดตน แต่ก็มิเกร็งกำลังต้านทานและไม่ลืมเลือนความรู้สึกที่ได้รับ ภายหลังคล้ายดั่งถูกขบกัดจนโลหิตหลั่งไหลจนเจ็บปวดยิ่งนัก
ตนยังมิถามไถ่ โอบรัดนางไว้เช่นเดิม ความอบอุ่นจากเรือนกายของตนและผิวกายที่แข็งแกร่งบึกบึน กดดันจนฉี้อิงมิแสดงความดุร้ายอีกตลอดเรือนร่างถึงกับอ่อนล้าระทวย
นางส่งสำเนียงในลำคอเบาๆ กล่าวว่า
“โอบอุ้มข้าพเจ้าไปที่เตียงนอน… ”
ซิเล้งสะท้านทั้งกาย ร่างท่อนบนเบนห่างจากนางกล่าวด้วยสีหน้าอันเคร่งขรึม
“ข้าพเจ้ามิอยากให้ท่านกระทำเช่นนี้”
ฉี้อิงกล่าวอย่างสงสัย
“ข้าพเจ้ามิอาจเปรียบเทียบกับจุ่ยจุ่ยหรือ?”
ซิเล้งพอได้ยินจึงทั้งขุ่นเคืองทั้งขบขัน กล่าวว่า
“ท่านทราบเรื่องราวมิน้อย แต่ท่านมิเคยพบเห็นจุ่ยจุ่ยมาก่อนใช่หรือไม่?
ฉี้อิงผงกศีรษะรับคำ ซิเล้งเท่ากับวางใจจนปลอดโปร่งทราบว่า นางเพียงล่วงรู้เรื่องที่ตนเรียกหาจุ่ยจุ่ยมาปรนนิบัติเท่านั้น
ซิเล้งจึงอธิบายว่า
“แม้แต่กระทบกระทั่งนาง ข้าพเจ้าก็หามีไม่ ย่อมมิมีทางได้ร่วมกัน มิทราบท่านเชื่อถือวาจาข้าพเจ้าหรือไม่?”
“ข้าพเจ้าเชื่อ นี่เป็นบุคลิกประจำตัวของท่าน ในโลกมีแต่ข้าพเจ้าทราบว่าท่านยึดมั่นในจริยธรรมโดยปราศจากราคะจิต”
“ข้าพเจ้าเนื่องจากไล่ล่าจ้าวฉลามเขียว จึงปรากฏเข้าไปในแหล่งค้าสวาทแห่งนั้น”
จากนั้น ซิเล้งบ่งบอกความจำเป็นที่ต้องกำจัดจ้าวฉลามเขียวให้ฉี้อิงฟัง นางถึงกับถอนหายใจออกมากล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไร? ข้าพเจ้ารับทราบจากฉี้ตั่วเจ่ก (ยกย่องผู้สูงวัยที่แซ่ฉี้) ว่าพบพานท่าน จึงใช้สอยมันเที่ยวสืบเสาะ จนทราบว่าท่านมาพำนักในที่นี้ และไปที่แหล่งนางคณิกา ดังนั้นก็มาดักซุ่มอยู่ละแวกนี้เป็นเวลาเนิ่นนาน พอพบท่านออกจากโรงเตี๊ยมข้าพเจ้าพลอยสะกดรอยตามไป”
ซิเล้งรู้สึกว่านางมีแววตาสำนึกเสียใจจึงปลอบประโลมว่า
“เรื่องราวนับว่าผ่านเลยไปแล้ว มิว่าอย่างไรพวกเราสามารถพบพานกัน สำหรับข้าพเจ้ายินยอมเสียสละในทุกสิ่ง”
ฉี้อิงพลันลูบคลำหัวไหล่ของซิเล้งเบาๆ กล่าวว่า
“เจ็บปวดหรือไม่?”
“เรือนกายแม้ปวดร้าว หัวใจนั้นอบอุ่น”
พลันระบายลมหายใจยาวๆ ออกมากล่าวว่า
“เพียงแต่พวกเราแม้ประสบพบกัน กลับมิอาจอยู่ร่วมได้เนิ่นนาน”
วาจาพลันขาดห้วง มิทราบสมควรกล่าวต่ออย่างไร
ซิเล้งคิดถามว่า สามีของนางปฏิบัติต่อนางอย่างไร แต่รู้สึกนั่นเท่ากับสะกิดความปวดร้าวของนาง มิหนำซ้ำตนก็มิต้องการรับทราบ
ตนพลันรู้สึกว่า เหตุการณ์เยี่ยงนี้มิอาจโทษว่าผู้ใด ฉี้อิงปฏิบัติตามคำสั่งของบิดาสู่ดินแดนกังหนำเพื่อแต่งงาน ตอนนั้นซิเล้งก็กำลังเตลิดหนีเอาชีวิตรอด ไหนเลยยุยงนางให้ขัดขืน? นี่ล้วนเป็นลิขิตของชะตาชีวิตซึ่งยากหลีกเลี่ยงพ้น…
ซิเล้งแยกนางออกจากอ้อมกอด รินน้ำชาที่เย็นเฉียบสองถ้วย ยื่นให้แก่นางถ้วยหนึ่งกล่าวว่า
“ขอใช้น้ำชาแทนสุราพวกเราร่ำดื่มกัน”
ทั้งสองต่างดื่มน้ำชาจนเหือดแห้ง ในรสชาติที่ขมฝาดยังแฝงความหวานหอมอยู่บ้าง
ซิเล้งกล่าวพึมพำ
“ข้าพเจ้าเคยคำนึงถึงเรื่องราวบุรุษสตรีจำนวนมากในใต้หล้าที่งมงายในรัก ฝ่ายอิสตรีนับว่าแล้วกันไป แต่บุรุษเพศซึ่งเป็นชายชาติชาตรียังมีเรื่องราวหน้าที่อื่นที่พึงกระทำ ไฉนเพื่อสตรีนางหนึ่งถึงกับยินยอมสลัดละทิ้ง? แต่พอถึงคราข้าพเจ้า กลับยากที่จะไถ่ถอนตัวเองกว่าผู้อื่นเสียอีก…”
ฉี้อิงถาโถมเข้ามาในอ้อมอกซิเล้ง สะอึกสะอื้นด้วยความตื้นตัน กลิ่นหอมจากเรือนกายของนางโชยกระทบนาสิกตลอดเวลา เรือนร่างก็นุ่มนิ่มชวนพิศวาส ทำให้ซิเล้งบังเกิดอารมณ์ปั่นป่วนแทบมิอาจระงับ
แต่ซิเล้งเฝ้าย้ำคิด หากมีพฤติการณ์ตามอารมณ์ มิเพียงแต่ทำลายศักดิ์ศรีของนาง ยังทำให้ตัวเองมีบาปกรรมที่ยากชะล้างด้วย
ดังนั้นจิตใจแปรเปลี่ยนเป็นเข้มแข็งครุ่นคิดในใจ
‘…มีแต่ความรักบริสุทธิ์ จึงเป็นสิ่งสวยงามน่าเทิดทูน หากแฝงอารมณ์ปรารถนาก็จะกลับกลายเป็นสิ่งลามกน่าอดสู…’
นอกหน้าต่าง ขอบฟ้าบูรพาเริ่มปรากฏลำแสงรำไร ซิเล้งสะท้านใจอย่างรุนแรง เมื่อหวนระลึกว่าในวินาทีต่อไป ทั้งสองจะต้องแยกย้ายจากกันภายภาคหน้า ชั่วชีวิตอาจมิมีโอกาสประสบพบอีก
แต่ทว่าทั้งสองจะอยู่ร่วมกันตามความปรารถนาต่อไปได้หรือ ฉี้อิงมีผู้อื่นครอบครองแล้ว หากอยู่ร่วมอีกจะช่วยให้บังเกิดผลประโยชน์อย่างไรเล่า?
ฉี้อิงพลันส่งเสียงอันหดหู่ว่า
“ท้องฟ้าใกล้รุ่งสาง ข้าพเจ้าต้องไปแล้ว”
ทั้งสองต่างพร่ำเตือนให้ถนอมตัวอยู่เนิ่นนาน ยามนี้อาทิตย์อุทัยปรากฏแสงเรืองรอง ฉี้อิงพลันตัดใจผละจากมา พุ่งร่างออกไปทางประตูห้องทันที
ซิเล้งยืนแอบอิงที่ข้างประตู มิทราบผ่านพ้นเวลาเนิ่นนานเท่าใด ค่อยกลับเข้าห้องพักนอนหลับซึ่งก็หลับใหลไปอย่างเลอะเลือน ยามตื่นขึ้นมาเป็นยามสนธยาแล้ว หลังจากจัดแจงสัมภาระจึงชำระค่าที่พักหมายจากไป
พอออกจากตัวเมือง ซิเล้งก็เดินเหินอยู่ตามข้างทางถนนหลวง ม่านราตรีคลี่กางลงปกคลุม ทางเบื้องหน้ามืดทะมึนยากแล เห็นเฉกเช่นกับความรู้สึกภายในของตนสับสนเลอะเลือนไร้สิ้นสุด
ยามนั้นทางหลวงด้านซ้ายมือ ซึ่งเป็นดงพฤกษาอันหนาทึบ พลันปรากฏพลังแหลมคมรุนแรงมากมายหลายสายพุ่งจู่โจมเข้าใส่ซิเล้งปานประหนึ่งอสนีบาตแลบแปลบปลาบ
ประกายเจิดจ้าหลายสายนี้แยกย้ายมุ่งสู่เป้าหมายที่แตกต่างกัน ยามวิกาลมืดมิด การจู่โจมอย่างกะทันหัน ไหนเลยคาดคิดระมัดระวังล่วงหน้าได้?
ซิเล้งยามสติเลื่อนลอย มิอาจหักห้ามอารมณ์อันปั่นป่วน ย่อมมิมีทางหลบรอดจากการประทุษร้าย ทว่าสัญชาตญาณของผู้ฝึกปรือฝีมือ พอพลังอันเกรี้ยวกราดหลายสายกระจายเข้าใกล้ก็รู้สึกสำนึกได้ หากแต่สายเกินไปแล้ว!
ร่างของซิเล้งพุ่งปราดมาอีกด้านหนึ่งหมายเบี่ยงหลบจากวิถีอาวุธลับของฝ่ายตรงข้าม แต่เพียงรอดพ้นไปส่วนหนึ่งเท่านั้น
ยังปรากฏอาวุธลับอีกหลายเล่ม ซัดพุ่งใส่บนร่างของซิเล้งโดยมิเบนเบือน
ซิเล้งพลันสะกิดเท้า โผพุ่งร่างขึ้นสู่เบื้องสูง อาวุธลับหลายเล่มจึงเฉียดผ่านร่างกายไปอย่างหวุดหวิด แต่แล้วก็ส่งเสียงร้องดังเกรี้ยวกราดขึ้น
เรือนร่างซึ่งลอยอยู่กลางอากาศพลันร่วงหล่นลง อาวุธลับเล่มหนึ่งปักตรึงเข้าไปในเลือดเนื้อ ความเจ็บแปลบปลาบที่ได้รับทำให้สติสัมปชัญญะค่อยพื้นฟู
ภายในพุ่มพฤกษา ปรากฏเงาร่างสายหนึ่งถลันปราดออกมาท่ามกลางประกายจันทราซึ่งสาดส่องอย่างเลือนราง แลเห็นผู้ลอบทำร้ายคือจ้าวฉลามเขียว!
สีหน้าของจ้าวฉลามเขียวบิดเบี้ยวเปี่ยมอำมหิต พึมพำว่า
“เราแม้คิดปลิดชีวิตของเจ้าเพื่อชำระล้างความอัปยศ แต่ตอนนี้กลับคิดเค้นถามความจริงจากเจ้าก่อน”
พลางสาวเท้ามาถึงข้างกายซิเล้ง ตวัดเท้าเตะฉาดเข้าใส่จนร่างของซิเล้งกลิ้งกระเด็นไปหกเจ็ดทอดฟุบแน่นิ่ง มิอาจเคลื่อนไหว
จ้าวฉลามเขียวแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย รำพึงขึ้น
“อาวุธลับที่เราใช้จู่โจมคืออั๊กซัวจำ (เข็มฉลามเหี้ยม) ซึ่งท่านปรมาจารย์เฒ่า (หมายถึงอลัชชีโลกันตร์) เป็นผู้สร้างสรรค์ขึ้น บัดนี้เจ้าแม้มิตกตายภายภาคหน้าก็ไม่อาจดำรงชีวิตสืบต่อไป!”
มันฉกฉวยโอกาสที่ตวัดเท้าเตะใส่ซิเล้ง จี้สกัดจุดสำคัญไว้ ย่อกายลงตะปบคว้าร่างของซิเล้งเพื่อคร่ากุมไปสอบสวนในที่อื่น
ขณะนั้นเองนอกรัศมีหลายวา แว่วเสียงแค่นหัวร่ออย่างเย็นชาและแล้วสำเนียงอันสดใสดังขึ้นว่า
“บนถนนหลวงกลับกล้าลงมือประทุษร้ายผู้คน!”
จ้าวฉลามเขียวมีสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย พลันตวาดอย่างป่าเถื่อน
“ผู้ใดคิดสอดมือยุ่งเกี่ยว หรือรำคาญในการมีชีวิตสืบต่อ?”
คนกล่าววาจาก็ปรากฏกายก้าวตรงเข้ามา จ้าวฉลามเขียวจึงบังเกิดอำมหิตลุกฮือโหม เหวี่ยงร่างของซิเล้งลง สาวเท้าตรงเข้ามาบ้าง
ทั้งสองฝ่ายพอประชิดใกล้กัน แลเห็นผู้มากลับเป็นดรุณีในอาภรณ์ชุดดำ ผมเผ้ายาวสยายประบ่างามสะคราญผุดผาดบาดตา ในมือกระชับกระบี่ยาว
จ้าวฉลามเขียวในยามวิกาล พอพบพานอิสตรีที่โสภาเลิศล้ำปานนี้ ถึงกับใจสะท้านปั่นป่วนแสดงสีหน้าอันชั่วร้ายขึ้น
ดรุณีชุดดำก็คือฉี้อิงนั่นเอง นางพอแยกย้ายจากซิเล้งมาแล้วก็เปี่ยมความกังวล จึงหวนกลับสู่โรงเตี๊ยมที่พัก รับทราบว่าซิเล้งได้จากมาแล้ว ดังนั้นนางรีบควบขับรถม้าติดตามมา
บัดนี้พอพบเห็นซิเล้งนอนฟุบแน่นิ่งอยู่ข้างทางถนนหลวง จิตใจจึงร้อนรุ่มกระวนกระวาย พลันสืบเท้าออกไปเบื้องหน้า กระบี่ยาวสาดประกายอันเย็นยะเยียบในความมืดแค่นหัวร่อร้องว่า
“อสูรร้ายรับกระบี่”
นางสะบัดกระบี่ทิ่มแทงอย่างเลื่อนลอย ขณะยังอยู่ห่างจากเป้าหมายสองเชียะ บนปลายกระบี่พลันแผ่ทะลักพลังอันเข้มแข็งเข้าใส่จุดชีวิตบนอกฝ่ายตรงข้าม
จ้าวฉลามเขียวแม้ถูกความงามของนางก่อกวนจนเลอะเลือน แต่ยังนับเป็นยอดฝีมืออันสูงส่ง พอรู้สึกพลังกระบี่เริ่มคลี่คลุมลงจึ งรีบพุ่งขวับไปหลายเชียะ หลบหลีกเลี่ยงพ้นได้
จ้าวฉลามเขียวพลันตกลงใจลงมืออย่างอำมหิต มือซ้ายล้วงหยิบฉวยเข็มฉลามร้ายสองเล่มกำกระชับไว้ รอคอยโอกาสจู่โจม
ยามนี้ทั้งสองฝ่ายห่างกันเพียงห้าเชียะ จ้าวฉลามเขียวพลันรู้สึกกระบี่ของฉี้อิงบังเกิดกระแสลมปราณเย็นยะเยียบคุกคามคน ต้องร้องโพล่งอย่างแตกตื่น
“เจ้าใช้เพลงกระบี่ใด?”
ฉี้อิงเนื่องจากฝึกปรือวิชาฮั่งเซาะเพ็กกง (ลมปราณหิมะยะเยียบ) อันเป็นธาตุเยือกเย็น ดังนั้นมิว่าใช้อาวุธหรือจู่โจมด้วยฝ่ามือยามผนึกกำลังขึ้น จะแผ่ซ่านพลังยะเยือกเย็นข่มขู่ศัตรู
นางคำนึงขึ้น
‘…ซิเล้งยังมิทราบความเป็นตายร้ายดี เรามิอาจชักช้าเสียเวลา เป็นเหตุให้เขาได้รับอันตรายถึงชีวิต…’
พอฉุกคิดเช่นนั้นสองเท้าเคลื่อนไหวช้าๆ โยกย้ายตำแหน่งก้าวเฉียงๆ ไปสามก้าว พอก้าวที่สี่พลันเคลื่อนออกยังตำแหน่งพิสดาร
ทุกท่าเท้าที่เหยียบย่ำลงแฝงความพิสดารสุดหยั่งคาด ที่แท้เป็นท่าเริ่มต้นวิชาพุงง้วยซี่เส็ก (สี่กระบวนท่าขับจันทร์)
อันวิชาสี่กระบวนท่าขับจันทร์เป็นไม้ตายซึ่งนงคราญยะเยือกเสียวเง็กฮั้วบัญญัติขึ้น ดูผิวเผินฝึกปรือง่ายดายยิ่ง แต่ความจริงท่าร่างทั้งสี่แฝงท่าเริ่มต้นหลายร้อยชนิด
จ้าวฉลามเขียวแม้มีพลังฝีมือมิต่ำทราม แต่ไหนเลยซาบซึ้งถึงความพิสดารของยอดวิชาอันสูงสุดนี้ พอแลเห็นฉี้อิงก้าวเท้าเคลื่อนกายด้วยจังหวะอันสวยงามกลับยืดระยะของทั้งสองห่างออกไปย่อมมิลงมือขัดขวาง
ฉี้อิงยามนี้ ขอเพียงก้าวเท้าลงยืนหยัดมั่นก็จะเริ่มจู่โจมลงมือ คาดมิถึงจ้าวฉลามเขียวพลันก้าวเท้าไปทางขวาหนึ่งก้าว ยึดตำแหน่งว่างเปล่าไว้
นางบังเกิดความตื่นตระหนกอย่างใหญ่หลวง สำนึกว่าแม้ฝืนจู่โจมกระบี่ออก ก็ยากแผ่อานุภาพได้เต็มที่ แต่นางมิเชื่อว่าฝ่ายตรงข้ามจะรู้ซึ้งถึงหลักวิชาอันยอดเยี่ยมนี้ จึงก้าวเท้ามาทางขวาแล้วสะอึกปราดสู่ด้านซ้ายหนึ่งก้าว
เท้าก้าวนี้หากเหยียบย่ำลง ยามจู่โจมแม้มิอาจแสดงอานุภาพไร้ขอบเขตเฉกเช่นยามอยู่บนตำแหน่งพิสดาร แต่กระบวนท่าก็เกรี้ยวกราดยิ่งนัก
คาดมิถึงว่าจ้าวฉลามเขียวกลับก้าวเฉียงๆ ไปหนึ่งก้าว ซึ่งมาอยู่ในตำแหน่งว่างเปล่าอีกครั้งหนึ่ง พอทิศทางผิดพลาดจากการคาดคำนวณฉี้อิงย่อมมิกล้าจู่โจมโหมใส่
ฉี้อิงรีบสลับเท้าก้าวกลับมาที่ตำแหน่งพิสดารอย่างรวดเร็ว พอยืนหยัดได้มั่นคงอานุภาพก็แผ่ทะลักทันที แลเห็นประกายกระบี่สาดประกายออกราวสายรุ้งจากฟากฟ้า
จ้าวฉลามเขียวลอบคร่ำครวญแย่แล้วในใจ รีบหงายร่างท่อนบนดาบยาวแฝงประกายเย็นยะเยียบกรีดใส่ต้นแขนของนาง กระบวนท่านี้ใช้หลักตีโต้แทนต้านรับ นับว่าใช้ออกได้เหมาะสมสอดคล้องยิ่ง
คาดมิถึง ประกายกระบี่ของฉี้อิงยังคงฉวัดเฉวียนวนเวียนมิหยุดยั้ง แว่วเสียงดังตึง เมื่อดาบยาวถูกคมกระบี่สะบั้นหักสลาย จากนั้นเห็นเงากระบี่รวบพุ่งใส่คอหอยจ้าวฉลามเขียวโดยที่มิอาจหลบเลี่ยงแม้แต่น้อย ปรากฏห่าโลหิตสาดกระจายเรือนร่างล้มคว่ำไปด้านหลังทันที
ฉี้อิงใช้กระบี่เดียวปลิดชีวิตคู่ต่อสู้อย่างหมดจด จากนั้นกระโดดปราดพุ่งร่างถึงข้างกายซิเล้ง ยื่นมือลูบคลำขั้วหัวใจ ทราบว่ายังมิสิ้นชีวิตลอบขอบคุณเทพยดาฟ้าดินอยู่ในใจ
ขณะคิดโอบอุ้มซิเล้งขึ้น พลันรู้สึกสำนึกว่าผิดท่า รีบเงยหน้ากวาดมองแลเห็นบนถนนหลวงยืนหยัดด้วยคนผู้หนึ่งห่างเพียงสองวา
คนผู้นั้นยืนแน่วนิ่งประหนึ่งรูปสลักจากศิลา สวมใส่อาภรณ์ชุดนักศึกษาเรือนร่างสูงโปร่ง อายุมิถึงสามสิบปี แม้แลเห็นเค้าหน้าเพียงเลือนรางแต่ยังคมคายงดงามยิ่งนัก
ฉี้อิงความจริงมิได้ยินสำเนียงผิดปกติใดๆ แต่ความรู้สึกพิสดารกระตุ้นเตือนจนต้องเงยหน้าขึ้น
นางพอผุดลุกขึ้น บุรุษชุดนักศึกษาพลอยมีการเคลื่อนไหวสาวเท้าอย่างเนิบนาบ เดินตรงเข้ามาฉี้อิงพลันสะบัดกระบี่เสือกแทงออก
กระบี่นี้จู่โจมโดยไร้ไมตรี กำลังภายในแผ่ซ่านเข้าไปอย่างลึกล้ำ พลังกระบี่คุกคามจนอาภรณ์ฝ่ายตรงข้ามพัดพลิ้วปลิวไสว
บุรุษชุดนักศึกษาพลันสะบัดชายเสื้อข้างหนึ่งคุ้มครองร่างกายไว้ มือซ้ายดึงอาวุธออกมาเป็นขลุ่ยทองเลาหนึ่งเพียงกรีดออกเป็นครึ่งวงกว้าง ก็สกัดท่าร่างของฉี้อิงได้
เพียงกระบวนท่าเดียว ก็แสดงออกถึงพลังฝีมืออันสูงเยี่ยมไหวพริบอันปราดเปรื่อง สามารถคำนวณสภาวะอย่างแม่นยำ ยามลงมือจึงสงบมั่นคง
ฉี้อิงยามนี้ค่อยเห็นโฉมหน้าฝ่ายตรงข้ามชัดตา นางพลันถอยปราดไปหลายเชียะขมวดคิ้วกล่าวว่า
“กิมเม้งตี้ เมื่อครู่ท่านใช่เป็นคนส่งเสียงทางลมปราณถ่ายทอดวิธีการหลบหลีกการจู่โจมให้แก่จ้าวฉลามเขียวหรือไม่? เฮอะ ท่านมาตรแม้นอาละวาดทั่วใต้หล้าไร้ผู้ทัดเทียม แต่มิอาจก้าวร้าวรังควานข้าพเจ้าถึงปานนี้”
ที่แท้นักศึกษาผู้นี้ คือยอดคนรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน กระเดื่องลือนามเป็นเวลาถึงสอง มีนามกิมเม้งตี้!
กิมเม้งตี้แค่นหัวร่ออย่างเย็นชา ประกายตากวาดมองซิเล้งบนพื้นดินสีหน้าที่เยือกเย็น พลันปรากฏแววชั่วร้ายขึ้น
ฉี้อิงพลันสำนึกว่ากิมเม้งตี้เริ่มมีเจตนาร้ายต่อซิเล้งอย่างไร้สาเหตุ มิหนำซ้ำระหว่างซือแป๋ของบุรุษทั้งสองยังมีอริบาดหมางกันมาก่อน นางหากแพร่งพรายเรื่องราวเกี่ยวกับซิเล้งหรือแสดงความกังวล อาจชักจูงมหันตภัยให้แก่ชายในดวงใจก็ได้
ดังนั้นจำต้องส่งเสียงรำพึงขึ้น
“ประหลาดแท้ มันผู้นี้แม้ถูกอาวุธลับทำร้ายตรงจุดสำคัญ แต่มิมีภยันตรายถึงแก่ชีวิต”
กิมเม้งตี้เค้นเสียงกล่าวว่า
“เดียรัจฉานนี้ฝึกปรือฝีมืออันสูงล้ำ ไหนเลยตกตายไปในบัดดลได้? แต่ผ่านพ้นเวลาไปอีก ก็ยากรับรองความปลอดภัยแล้ว มันที่แท้เป็นใคร ท่านคงทราบแจ้งแล้ว?”
ฉี้อิงทราบดีว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังใช้เล่ห์คารม จึงกล่าว
“ท่านคงเคยได้ยินนามซิเล้ง ศิษย์ทรยศสังกัดผู้กล้าหาญดาบทอง”
กิมเม้งตี้ผงกศีรษะเป็นเชิงรับทราบ มิเอื้อนเอ่ยวาจา แต่ประกายตากลับทอแววอันหมกมุ่นเปี่ยมเลศนัย เป็นเชิงบีบเค้นให้ฉี้อิงอธิบายเรื่องราว ซึ่งขอเพียงนางอิดเอื้อน ซิเล้งย่อมประสบภยันตราย
ฉี้อิงมาตรแม้นสำนึกว่า ซิเล้งจะต้องได้รับการช่วยเหลือและรักษาโดยรีบด่วน ทว่าขณะเผชิญหน้ากับกิมเม้งตี้ มีแต่ระงับความรู้สึกภายใน มิอาจแสดงออกทางสีหน้าแม้แต่น้อย กล่าวว่า
“ข้าพเจ้าคิดคร่ากุมผู้แซ่ซินี้ให้แก่ผู้กล้าหาญดาบทองจูแป๊ะแปะ (ยกย่องผู้อาวุโสที่แซ่จู) หากได้รับของขวัญสิ่งนี้ ท่านย่อมต้องช่วยเหลือข้าพเจ้าสืบเสาะบิดาซึ่งหายสาบสูญตลอดเวลาสองปีอีกแรงหนึ่ง…”
นางพลันห่อปากส่งเสียงกู่ร้อง จากนั้นปรากฏรถม้าคันหนึ่งควบขับตรงมาสารถีเป็นบุรุษกลางคนนามฉี้หงีฉี้อิงกล่าวว่า
“หงีเจกเจ่กขนย้ายบุรุษบนพื้นเข้าสู่ในรถด้วย”
ฉี้หงีจัดการบรรทุกซิเล้งขึ้น ความจริงซิเล้งฟื้นฟูสติขึ้นมาตั้งแต่กิมเม้งตี้ปรากฏกาย ทราบดีว่านักศึกษาเบื้องหน้าคือทายาทของเทพเจ้าสันโดษ
ซิเล้งเป็นบุรุษหนุ่มเยาว์วัย มีความปรารถนาใคร่ทดสอบฝีมือกับกิมเม้งตี้ผู้มีเกียรติภูมิอันดับหนึ่งแห่งยุค ยามนี้บาดแผลที่ถูกเข็มฉลามร้ายปักตรึงอยู่นั้นมีอาการร้อนลวกราวถูกเปลวไฟนาบใส่ สร้างความเจ็บปวดอย่างสุดแสน!
มิหนำซ้ำเมื่อครู่ยังถูกจ้าวฉลามเขียวตวัดเท้าเตะทำร้าย จนลมปราณคุ้มครองกายแตกซ่านสลายแต่แรก รับบาดเจ็บจนอวัยวะภายในบอบช้ำสาหัส
ซิเล้งกล้ำกลืนความเจ็บปวด ลุกขึ้นโคจรลมปราณสำรวจตลบหนึ่ง พบว่าพลังภายในเสื่อมสูญไปสามสี่ส่วน
สถานการณ์เช่นนี้ ซิเล้งหากคิดประลองฝีมือกับกิมเม้งตี้ รับรองมิใช่คู่มือมันอย่างเด็ดขาด ได้แต่สะทกสะท้านทอดอาลัยพยายามหักห้ามความรู้สึกไว้
ฉี้อิงกระโดดนั่งหน้ารถแสร้งเป็นไม่กระตือรือร้น กล่าวว่า
“หงีเจกเจ่กพวกเราไปกันเถอะ”
กิมเม้งตี้แย้มยิ้มขึ้นกล่าวกับฉี้อิงว่า
“โอกาสหน้าพวกเราย่อมได้พบพานกัน ความงามสะคราญของท่าน เราจะระลึกหวนคำนึงโดยมิลืมเลือน”
วาจานี้เอื้อนเอ่ยอย่างล่วงเกิน แต่ฉี้อิงกลับเงียบงันมิแสดงกิริยาใด
ฉี้หงีก็พลิ้วกายขึ้นบนอานรถ สะบัดแส้ม้าดังขวับใหญ่ เร่งเร้าอาชาเคลื่อนออก
กิมเม้งตี้ยืนหยัดกับที่มุมปาก ปรากฏรอยยิ้มเยือกเย็นขึ้น
รถม้าขณะมุ่งตะบึงสู่เบื้องหน้า ทางด้านหลังยังแว่วเสียงฝีเท้าม้าควบขับติดตามมาทอดระยะห่างประมาณสิบวา รักษาระดับเช่นนี้อยู่ตลอดเวลา สร้างความกระสับกระส่ายแก่ฉี้อิงจนสุดจะเปรียบ
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป