วีรบุรุษผู้พิฆาตเล่ม 27 ตอนที่ 70 :: ผู้พิฆาตโลกันตร์

0
3019

๗o
♦ ผู้พิฆาตโลกันตร์ ♦
……………

 

ยี่เอี้ยผู้นั้นอุทานดังเอ๊ะเบาๆ ขยับร่างพุ่งล่าถอย และกระแทกหมัดออกคราหนึ่ง ก็ขัดขวางสภาวะบุกกระหน่ำของโค้วเพ้งได้

            กี้เฮียงเค้ง พลันกล่าวว่า

“อาเล้งรีบลงมือสยบมันเป็นการด่วน”

ซิเล้งที่อยู่ข้างกายของนาง ได้พุ่งปราดขึ้นไปกลางอากาศ เรือนร่างกรีดเป็นวงโค้งอย่างสวยงาม พลิ้วอยู่เหนือศีรษะของยี่เอี้ยผู้นั้น

ร่างขณะลอยอยู่กลางอากาศ ก็จู่โจมออกหนึ่งฝ่ามือ กระแทกลงสู่เบื้องล่าง

ยี่เอี้ยได้ยินบนนภากาศ  บังเกิดเสียงดังกึกก้อง จึงแหงนหน้าขึ้นกวาดมอง และต่อยหมัดขึ้นไปอย่างหน่วงทันที

ทุกผู้คนรอบบริเวณ เห็นอย่างชัดเจนว่า เวลาที่ยี่เอี้ยผู้นั้นพุ่งหมัดออก กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างล้วนเบ่งพองขึ้นท่วงท่าเกรี้ยวกราดอย่างสุดแสน

ในสายตาของผู้ทรงฝีมือ มองวูบเดียวก็ทราบได้ว่าศัตรูผู้เข้มแข็งนี้ ด้านพลังหมัดมีความสำเร็จที่เด่นล้ำเหนือสามัญทั่วไป และการจู่โจมของมันครานี้ ก็ทุ่มเทกำลังทั่วทั้งร่าง

กิมเม้งตี้พลันย่อร่างลงเล็กน้อย ตระเตรียมจะโถมเข้าไปช่วยเหลือ

ทั้งนี้ก็เพราะ ซิเล้งลอยตัวอยู่บนอากาศ มาตรแม้นจู่โจมฝ่ามือออก แต่ยามแผ่กำลัง สภาวะได้ทะลักออกไปโดยมิคืนกลับ เพราะเหตุนี้อานุภาพหมัดของยี่เอี้ย ไม่กระแทกจนซิเล้งปลิวขึ้นไปก็แปลกไปแล้ว!

หากแม้นไม่มีผู้คนคอยขัดขวางยี่เอี้ย เมื่อซิเล้งร่วงหล่นลงมา ยี่เอี้ยก็จะลงมือซ้ำเติมได้ ซิเล้งอาจจะถึงกับถูกทำร้ายจนขาดใจตายทันที

ได้ยินเสียงโครมอย่างกึกก้อง กำลังภายในของทั้งสองฝ่าย ได้ปะทะเข้าหากัน

กิมเม้งตี้ รีบพุ่งร่างเข้าไป แต่แล้วก็แลเห็นซิเล้งพลิ้วร่างลงบนพื้นดินอย่างไม่มีเรื่องราว หาได้รับความกระทบกระเทือนจากพลังดาบของฝ่ายตรงข้ามไม่

กิมเม้งตี้ชะลอสภาวะเอาไว้ ในใจลอบร่ำร้องว่านี่เป็นเรื่องประหลาดพิกล และเบิ่งตาคอยดู

ซิเล้งกับยี่เอี้ยผู้นั้น ได้ยืนประจันหน้ากันห่างเพียงมิกี่เชียะ สามารถยื่นมือถึงตัว

ทั้งสองฝ่ายเขม้นมองอยู่ครู่ใหญ่ ซิเล้งกล่าวอย่างเย็นชาว่า

“พลังหมัดของท่านรุนแรงยิ่ง พวกเราหักล้างกันอีกท่าหนึ่งเป็นอย่างไร?”

ยี่เอี้ยผู้นั้นรวมรั้งลมปราณเท่าที่มีขึ้น กล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า

“ตกลง รับหมัดได้!”

ท่ามกลางสำเนียงตวาด ได้กวัดแกว่งหมัดกระแทกออกอย่างหักโหม มีความดุร้ายทารุณยิ่งนัก

ซิเล้งใช้กระบวนท่าหัตถ์หน้าในฝ่ามือมหรรณพ สภาวะฝ่ามือฟาดออกอย่างตรงๆ พลานุภาพเกรี้ยวกราดไพศาลอย่างสุดจะเปรียบ!

วินาทีนั้นเอง พละกำลังของทั้งสองฝ่ายได้ปะทะ บังเกิดเสียงระเบิดสะท้านแก้วหู ผลแพ้ชนะพลันมีการแยกแยะทันที

ยี่เอี้ยเซตึงตึงถอยไปด้านหลัง พอถอยถึงก้าวที่หกหลังเท้าก็สะดุดถูกก้อนหิน พลันหงายร่างล้มฟุบลงบนพื้นดิน มิเห็นมันขยับเคลื่อนไหวอีก!

กี้เฮียงเค้งระบายลมหายใจออกมา เรียกให้ทุกผู้คนขนย้ายก้อนหินไป จากนั้นต่างก็รายล้อมอยู่รอบกายของยี่เอี้ยผู้นั้น

แลเห็นมันมีโลหิตทะลักออกจากทวารทั้งเจ็ดบนใบหน้า ดวงตาทั้งคู่ทะลักออกนอกเบ้า มองวูบเดียวก็ทราบว่า เส้นชีพจรได้ขาดสะบั้น เสียชีวิตไปในบัดดล

ทุกผู้คนเห็นซิเล้งแสดงพลังการฝึกปรือที่แท้จริงออกมา ซึ่งนับว่าสูงล้ำไร้เทียมทาน ต่างกับนับถือเลื่อมใส

พร้อมกับนั้น เนื่องจากยี่เอี้ยผู้นี้มีวิชาฝีมือสูงเยี่ยม จึงเพิ่มความระมัดระวังขึ้น ล้วนนึกคิดว่าอลัชชีโลกันตร์สร้างสรรค์ยอดฝีมือเช่นนี้ออกมาได้ มิทราบว่ามันเองจะมีความสูงล้ำถึงขั้นใด

กี้เฮียงเค้งกล่าวกับทุกผู้คนว่า

“พวกเราในครั้งแรกนี้ ประสบชัยชนะอย่างงดงาม นับเป็นสภาพการณ์อันเป็นมงคล แต่ทว่ายิ่งบุกเข้าไป ก็ยิ่งเปี่ยมอันตราย

“และสมควรทราบว่า ผู้ที่ถูกอลัชชีโลกันตร์ชมชอบรับไร้ในสถาบันอำมหิต ล้วนแต่มีสันดานชั่วร้ายสร้างเภทภัยมากมาย เพราะเหตุนี้พวกเราพอลงมือ ก็มิต้องคำนึงถึงกฎระเบียบทั่วไป บางครั้งจะต้องใช้วิธีการลอบจู่โจม

“หาไม่แล้ว ศัตรูที่พอจะมีตำแหน่งสูงส่ง ก็จะส่งระเบิดเพลิงสัญญาณแจ้งข่าวในทุกโอกาส รายงานต่ออลัชชีโลกันตร์”

เจ้าสำนักเสียวลิ้ม เจ้าสำนักบู๊ตึง และประมุขพรรคธงเหลือง ล้วนทราบว่าวาจาของกี้เฮียงเค้ง ล้วนกล่าวกับพรรคมันโดยตรง เนื่องจากเมื่อยี่เอี้ยผู้นั้นบุกเข้าสู่ขบวนค่ายกล ทั้งสามต่างลังเลมิได้ลงมือ

กี้เฮียงเค้งกล่าวอีกว่า

“พวกเราบุกทลายสถาบันอำมหิตครั้งนี้ ทั่วทั้งบู๊ลิ้มมิทราบความ หากประสบความสำเร็จ ก็มิมีความจำเป็นต้องป่าวประกาศ หากแม้พ่ายแพ้ อลัชชีโลกันตร์ย่อมไม่ปล่อยโอกาสเริ่มกวาดล้างวงพวกนักเลง

เพราะเหตุนี้ พวกเรามิเพียงแต่จะต้องชนะ ห้ามมิให้พ่ายแพ้ พร้อมกับนั้นก็มิต้องเคารพกฎระเบียบในวงพวกนักเลงมาตรมิเช่นนั้น อลัชชีโลกันตร์เพียงอาศัยจุดอ่อนของพวกเรานี้ ก็สามารถหักโค่นเราทั้งหมด”

ยู้เชี่ยงชุนถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า

“อาตมามีวาจาประโยคหนึ่ง คิดจะเรียนถามต่อกิมฮูหยิน”

กี้เฮียงเค้ง กล่าวว่า

“ท่านเจ้าสำนักมีคำสั่งสอนอันใด?”

“หากแม้นชนชั้นที่พอมีศักดิ์ศรีเช่นพวกเรา ยังไม่รักษากฎระเบียบของวงพวกนักเลง แม้จะได้ชัยชนะ ก็จะทำให้ผู้คนทั่วใต้หล้ายอมรับนับถือหรอกหรือ?”

กี้เฮียงเค้ง กล่าวว่า

“กล่าวได้ประเสริฐ  แต่ข้าพเจ้าขอเรียนถาม ท่านเมื่อทราบว่าสถาบันอำมหิตสร้างสมความชั่วร้ายมากมาย หากแม้นไม่กำจัดโดยรีบด่วน ภายหลังจะมีผู้คนนับพันๆ หมื่นๆ สูญเสียชีวิตไป มิทราบว่าท่านเห็นว่าชะตากรรมของผู้คนนับพันหมื่นสำคัญกว่า หรือกฎระเบียบในวงนักเลงสำคัญกว่า?”

เจ้าสำนักบู๊ตึงยู้เชี่ยงชุน กล่าวว่า

“ชะตากรรมของผู้คน นับพันหมื่นสำคัญกว่า เพียงแต่วาจามิใช่จะกล่าวเช่นนั้น…”

กี้เฮียงเค้งยิ้มพลาง กล่าวสอดคำว่า

“ความหมายของท่านอ้างว่า พวกเราแม้จะเคารพกฎระเบียบของวงพวกนักเลง ใช้วิธีการอันเปิดเผยจัดการกับศัตรู ซึ่งก็จะประสบผลสำเร็จได้ใช่หรือไม่

แต่ข้าพเจ้ากล้ารับรองว่า หากแม้นพวกเราปล่อยให้ฝ่ายศัตรูส่งสัญญาณต่ออลัชชีโลกันตร์ ถ้าเช่นนั้นพวกเราทั้งหมด จะมีสองสามคนรอดชีวิตจากที่นี้ ก็เป็นวาสนาอย่างสุดแสนแล้ว”

นางหยุดยั้งไปเล็กน้อย กล่าวอีกว่า

“อลัชชีโลกันตร์มิเพียงแต่เปรื่องปราดทั้งอักษรศาสตร์และวิชาต่อสู้ โดยเฉพาะในด้านตัวยาอันพิสดารดังนั้นมันหากระดมกำลังผู้คน ทั้งยังมีเปรียบในสถานที่ พวกเราเพียงแต่สร้างความแตกตื่นต่อมัน ก็มิมีทางเอาชัยได้”

เจ้าสำนักฮุยไฮ้กล่าวว่า

“วาจาของฮูหยินเป็นความจริง แต่ว่า…”

กี้เฮียงเค้งกล่าวว่า

“ผู้อาวุโสทุกท่านมิต้องลังเลใจ พวกเราปฏิบัติการครั้งนี้ ขอให้อยู่เหนือกฎเกณฑ์ธรรมดา และภายหลังพวกเราก็สามารถปกปิดเป็นความลับ ไม่แพร่งพรายต่อภายนอก

พวกเราขอเพียงแต่กำจัดเภทภัยให้กับชนชาวโลก รักษาความสงบร่มเย็น บางเวลาก็ได้แต่เปลี่ยนแปลงตามสภาวะ ในใจแม้ไม่ยินยอม ก็เป็นเรื่องที่อับจนปัญญา”

นางกล่าวถึงตอนนี้ ประมุขพรรคธงเหลืองก็เอ่ยขึ้นว่า

“เมื่อเป็นเช่นนี้ เล่าฮูขอปฏิบัติตามทุกประการ”

ยู้เชี่ยงชุนกับฮุยไฮ้เซี่ยงซือสบตากันวูบหนึ่ง ในสถานการณ์เช่นนี้ นับว่าอับจนปัญญา จึงรับปากโดยพร้อมเพรียงกัน

กี้เฮียงเค้ง คลี่คลายปัญหาภายนได้แล้ว จึงกล่าวว่า

“พวกเราจะบุกจู่โจมแดนอัคคีใหญ่ ครั้งนี้คงเผชิญกับศัตรูที่น่าหวาดหวั่น ขอให้ทุกคนระวัง คอยสำรวจสิ่งของบนร่างกายอยู่เสมอจึงจะประเสริฐ”

ดังนั้นทุกผู้คนก็บุกทะลักเข้าสู่แดนอัคคีใหญ่ ซิเล้งมีความช่ำชองต่อเส้นทาง จึงเร่งรุดนำหน้า ประมาณหนึ่งชั่วยามให้หลัง ก็บรรลุถึงแดนอัคคีใหญ่นั้น

ทุกผู้คนอยู่บนที่สูง สำรวจมองลงไปก่อน แลเห็นพื้นที่ซึ่งยุบลงไป มีอาณาเขตกว้างขวางนี้  กึ่งกลางมีปล่องไฟสายหนึ่ง พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

รอบบริเวณของปล่องไฟ มีกงล้อที่มหึมาสิบสองอันเสริมประกอบด้วยฟันเลื่อยกับแกนกงล้อมากมาย ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าสภาพการณ์ประหลาดและลี้ลับ

ซิเล้งบอกกับทั้งหมดว่า แห่งใดเป็นที่อาศัยของพวกผู้คุมงาน และองครักษ์ดูแลถิ่นนี้ แห่งใดเป็นที่อยู่ของบรรดาบ่าวทาส ที่สำคัญก็คือโพรงร้อยอสูรบนผนังหน้าผา

กี้เฮียงเค้งมีการคาดคะเนอยู่ก่อน ขณะนี้พอได้สำรวจบริเวณจริงๆ จึงกล่าวเบาๆ ว่า

“โพรงร้อยอสูรนั้น มีอันตรายยิ่ง แม้จะเป็นผู้ทรงฝีมืออันดับหนึ่งในใต้หล้า พอเข้าไปภายในโพรงก็ได้แต่รามือรอมรณะเท่านั้น”

วาจาของนางทุกผู้คนล้วนเชื่อถือ เพราะเหตุนี้ทั้งหมดจึงตะลึงลานไป

ซิเล้งกล่าวว่า

“ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็จำต้องล้มเลิกความคิดเข้าไปในโพรงแล้ว”

กี้เฮียงเค้ง กล่าวว่า

“นั่นก็มิได้ หากแม้นไม่ประหารซาเอี้ยผู้นั้น ก็อย่าได้คิดจะกำจัดอลัชชีโลกันตร์”

นางหยุดอยู่เล็กน้อย จึงกล่าวอีกว่า

“พวกท่านมิต้องตื่นเต้น มิว่าอย่างไร โพรงร้อยอสูรนั้นก็มิอาจสยบข้าพเจ้าได้ บัดนี้ปล่อยให้ข้าพเจ้าคำนวณสักเล็กน้อยก็ทราบแล้ว”

ดวงตาของนางจับจ้องแกนกงล้อมากมายทางเบื้องล่าง สุดท้ายก็กล่าวกับปึงเซียะว่า

“ท่านจ้องจับเสาเหล็กรูปกลมท่อนแรกทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของปล่องไฟนั้น ช่วงเวลาพอมาถึงท่านก็ตัดเสานั้นให้ล้มลง”

เจ้าสำนักฮุยไฮ้ กล่าวว่า

“ฮูหยินเข้าใจว่าเสาแกนอันนั้น คือศูนย์รวมกลไกทั้งหมดภายในโพรงร้อยอสูรหรอกหรือ?”

กี้เฮียงเค้งกล่าวว่า

“มิใช่ศูนย์รวมกลไก หากแต่เป็นต้นกำเนิดกระแสพลังที่แจกจ่ายต่อกลไกกับดักภายในโพรงร้อยอสูร เสาแกนนี้พอหักสะบั้น กลไกภายในโพรง ก็ล้วนใช้การมิได้”

ซิเล้ง กล่าวว่า

“ข้าพเจ้าจดจำได้ว่า เวลากลางคืนบ่าวทาสทั้งหมดจะหยุดทำงาน พอถึงยามนั้นจะเข้าไปในโพรงร้อยอสูร ไยมิใช่ปลอดภัยแล้ว?”

กี้เฮียงเค้งกล่าวว่า

“ถามได้ประเสริฐ แต่ความจริงปล่องไฟอันนั้นเป็นที่กำเนิดกระแสพลัง แจกจ่ายไปยังสถานที่ต่างๆ ในเวลากลางวันมีความต้องการมากมาย จึงต้องใช้แรงงานบ่าวทาสเข้าเร่งเร้า

พอถึงยามกลางคืน มีสถานที่จำนวนน้อยที่ต้องการใช้กระแสพลัง เพียงปล่องไฟมหึมาอันนั้น ก็แจกจ่ายไปได้อย่างเหลือเฟือแล้ว”

นางขบคิดอยู่เล็กน้อย จึงกล่าวอีกว่า

“พอถึงยามกลางคืน นอกจากเสาแกนอันนั้นแล้ว เกรงว่าอย่างมากก็มีเสาแกนอีกสองอัน ที่หมุนเคลื่อนเท่านั้น”

ซิเล้งกล่าวว่า

“ถ้าเช่นนั้นไยมิรบกวนให้ปึงเฮียทำลายไปด้วย”

กี้เฮียงเค้งกล่าวว่า

“นี่เรียกว่าเป็นการตีหญ้าให้งูตื่น มิอาจกระทำได้ รอจนพวกเรากวาดล้างสถานที่นี้แล้ว จึงจะดำเนินการ พฤติการณ์ในเฉพาะหน้า จะต้องคำนวณอย่างรอบคอบ แล้วค่อยลงมือได้”

บุคคลอื่นเกี่ยวกับวิชานี้ ล้วนมิรู้จักแตกฉานย่อมไม่มีวาจาว่ากล่าว

กี้เฮียงเค้งปรายตาไปยังเจ้าสำนักฮุยไฮ้ ยู้เชี่ยงชุน และประมุขพรรคธงเหลือง กล่าวว่า

“พวกเราพอลงไป ก็จะสังหารผู้คุมเฝ้ารักษาทั้งหมด จากนั้นก็โถมเข้าสู่โพรงร้อยอสูร”

ผู้ทรงฝีมือทั้งสามล้วนผงกศีรษะรับคำ กี้เฮียงเค้งกวาดตามองมาทางนางแมงมุมขาว กล่าวว่า

“คราครั้งนี้ท่านต้องปลอมแปลงเป็นองครักษ์ประจำถิ่นนี้ต่อสู้กับโค้วเพ้ง ขณะที่ก้าวเดินก็หักล้างไปด้วย พอมีผู้คนมาช่วยเหลือท่าน ท่านก็ฉวยโอกาสฆ่าทิ้งไป อย่าได้ผิดพลาดจากคำสั่ง”

นางแมงมุมขาวส่งเสียงรับคำ ล้วงหยิบอาภรณ์ชุดหนึ่งจากห่อผ้า ถลันไปผลัดเปลี่ยนที่หลังก้อนหิน พอกลับออกมาก็กลายเป็นนางแมงมุมขาวที่สวมผ้าแพรเบาบาง เห็นส่วนสัดได้อย่างเลือนราง

“นอกจากปึงเซียะแล้ว บุคคลอื่นต่างหลีกเลี่ยงไม่กล้ามองนาง กี้เฮียงเค้งกำชับ ซิเล้ง ฉี้อิง อุ้ยเซี่ยวย้ง ทั้งสามอยู่หลายประโยค จากนั้นจึงโบกมือบงการให้จู่โจมได้!

นอกจากกี้เฮียงเค้ง บุคคลอื่นพากันโถมปราดลงไปคล้ายดั่งอุกกาบาตร่วงหล่นจากท้องฟ้า สาดพุ่งลงอย่างรวดเร็ว จนมิถึงพื้นที่อันยุบต่ำ

เพียงชั่วพริบตาเดียว รอบๆกงล้อมหึมา ก็มีผู้คุมงานสิบกว่าคนถูกประหารฆ่าทิ้ง ซากศพเรี่ยราดเกลื่อนกลาด มีเพียงคนเดียวส่งเสียงแผดร้องออกมา ที่เหลือปราศจากสุ้มเสียง

ซิเล้งกับฉี้อิง อุ้ยเซี่ยวย้ง ทั้งสาม ได้กระทำตามคำสั่งของกี้เฮียงเค้ง โถมตรงไปยังโพรงร้อยอสูร ฉี้อิงกับอุ้ยเซี่ยวย้ง พากันล้วงหยิบใบมะพร้าวออกมา ส่งเข้าไปในปากขบเคี้ยว

ทั้งสามคนพุ่งปราดๆ ไปตามขั้นบันได มีปฏิกิริยารวดเร็วยิ่งนัก

ปึงเซียะในยามนี้ ได้กุมกระบี่พลิ้วกายมาถึง ข้างเสาแกนอันนั้น กำลังจะลงมือตัดขาด พลันปรากฏสตรีนางหนึ่งพุ่งกายเข้ามาดั่งสายฟ้า ตวาดเสียงเกรี้ยวกราดว่า

“ท่านมาทำอะไร ท่านเป็นใคร?”

ท่ามกลางเสียงตวาด ได้สะบัดกระบี่ในมือ สาดเป็นประกายสีเงินผืนใหญ่ ใช้กระบวนท่าที่ดุร้ายอำมหิตจู่โจมต่อปึงเซียะ!

ในยามนี้ทั่วทั้งบริเวณ มิแลเห็นเงาร่างผู้คนที่น่าระแวง ที่แท้กี้เฮียงเค้งกำชับแล้วว่า ทุกผู้คนพอลงมือประสบผล ก็ต้องถลันเร้นกายหลบซุกซ่อนกาย

จวบจนมีศัตรูจากที่อื่นเร่งรุดมา จึงค่อยพุ่งออกไปสังหารอย่างฉับไว เพื่อมิให้ฝ่ายตรงข้ามสามารถส่งสัญญาณแจ้งเภทภัย

ปึงเซียะถอยปราดไปสามก้าว หลบเลี่ยงจากกระบี่ของฝ่ายสตรี กล่าวอย่างเย็นชาว่า

“ท่านคงเป็นองครักษ์ของถิ่นนี้ ประกาศนามออกมา”

สุ้มเสียงของมันนอกจากเย็นชากระด้าง วาจาที่เอ่ยออกก็คล้ายดั่งเป็นผู้ที่มีศักดิ์ศรีสูงส่งยิ่ง

สตรีนางนั้นอดงงงันมิได้ ยากจะคาดคำนวณศักดิ์ศรีของปึงเซียะ จึงกล่าวว่า

“เรามีนามว่า ฉิ่งค้ายี้”

ปึงเซียะกล่าวว่า

“ประเสริฐมาก ค้าโกว ท่านดูบนยอดเขานั้น มีผู้ใดยืนหยัดอยู่”

ค้าโกวสูญเสียการแยกแยะข้อเท็จจริงไปแล้ว จึงเบือนหน้าไปจ้องมอง แลเห็นบนที่สูงทางทิศตะวันตกยืนหยัดด้วยสตรีนางหนึ่ง แม้อยู่ห่างไกล ก็ยังเห็นได้ว่างามสะคราญยิ่ง

ปึงเซียะขณะนั้น ได้สะอึกปราดเข้าไปสองเชียะ พลันสะบัดกระบี่จู่โจม ประกายกระบี่สาดเป็นเส้นสายร้อยๆ พันๆ ทะลักทลายออกไป

ค้าโกวพอรู้สึกว่ามีพลังกระบี่คุกคามมา ก็รีบปิดป้องแต่หนึ่งนั้นสามารถแตกซ่าน สองนั้นปึงเซียะมีเพลงกระบี่อันรุนแรง พริบตาเดียวก็จู่โจมไปห้ากระบี่

ได้ยินเสียงเปรื่องปร่างดังติดต่อกัน จากนั้นห่าโลหิตก็ฉีดพุ่ง ค้าโกวผู้นั้นทรวงอกถูกทิ่มแทงหนึ่งกระบี่ สูญเสียชีวิตไป

ปึงเซียะรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ความจริงเป็นชนชั้นธรรมะ แต่เพราะทราบว่าอิสตรีในแถบนี้ ล้วนชั่วร้ายสร้างบาปมิน้อย และกี้เฮียงเค้งสั่งให้เข่นฆ่าโดยมิปราณี มันจึงลงมืออย่างอำมหิต

ปึงเซียะก้มศีรษะมองดูพื้นดินวูบหนึ่ง พลันแลเห็นเค้าหน้าที่คล้ายดั่งดรุณีอายุสิบแปดสิบเก้าปี เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงจนชราภาพ คล้ายดั่งสตรีเฒ่าอายุสี่ห้าสิบปี

นี่แสดงว่าอิสตรีส่วนใหญ่ในแถบนี้ มัวเมาอยู่ในทะเลปรารถนา ทำให้ชราเกินกว่าวัย ปึงเซียะจับจ้องจนสะอิดสะเอียนเป็นที่ยิ่ง

แน่นอน มันยังมิลืมเลือนภารกิจของตนเอง รั้งกระบี่ยาวขึ้น ฟาดฟันไปยังเสาแกนอันนั้นทันที

ได้ยินเสียงดังสดใส เสาแกนที่หยาบเท่าปากชามถูกฟันบิ่นไปครึ่งหนึ่ง ปึงเซียะผนึกพลังภายใน พุ่งกระบี่เข้าใส่อีกสองครั้ง ก็ปฏิบัติงานจนสำเร็จ

ขณะนี้ยู้เชี่ยงชุนเจ้าสำนักบู๊ตึง กำลังเร้นกายอยู่หลังก้อนหินข้างตึกศิลาแถวหนึ่ง พลันแลเห็นสตรีนางหนึ่ง ก้าวเดินออกจากหลังตึก

สตรีนี้เกล้ามวยผมสวมชุดชาววัง เค้าหน้าก็งดงามยิ่ง แต่ร่างท่อนล่างกลับสวมกระโปรงยาวที่เบาบางโปร่งใส จนคล้ายดั่งมิได้สวมใส่

ยู้เชี่ยงชุนคำนึงในใจว่า

“…สตรีนี้คงคือหนึ่งในขบวนนางผึ้งที่น่าหวาดหวั่น อา หากมิใช่ซิได้เฮียบสืบเสาะทราบความจริง มิว่าผู้ใดก็อย่าคาดวหวังว่าจะคำนวณได้จากเปลือกนอกเลย…”

ความคิดเช่นนี้ ทำให้มันสยิวกายอย่างหนาวเหน็บ พลันรู้สึกสำนึกถึงความร้ายกาจของอลัชชีโลกันตร์

มือซ้ายของมันล้วงหยิบกระบี่สั้นสองเล่ม นี่เป็นหนึ่งในวัตถุที่กี้เฮียงเค้งคิดค้นจัดสร้างขึ้น จากนั้นก็เดินเหินออกมาหมายจะลงมือ

พลันแลเห็นหลังก้อนหินที่อยู่ห่างสามวา ปรากฏบุคคลหนึ่งก้าวออกมา กลับเป็นผู้ทรงฝีมือแห่งยุค…กิมเม้งตี้

ตำแหน่งที่มันปรากฏกาย ประจวบเหมาะกับขวางกั้นทางเดินของสตรีชาววังนางนั้น เพราะเหตุนี้ นางจึงเหลือบเห็นได้ และบุรุษเบื้องหน้ามีความสง่างามยิ่ง ทำให้นางพิศวงสงสัยใจ

กิมเม้งตี้ประสานคารวะ กล่าวว่า

“โกวเนี้ยเชิญเถอะ เราได้หลงทาง กำลังวุ่นวายใจ ยังประเสริฐที่ได้พบกับท่าน”

สตรีงามชุดชาววังหัวร่อเบาๆ พลางกล่าวว่า

“เราคือ เก๊กฮูหยิน”

กิมเม้งตี้กล่าวว่า

“ที่แท้เป็นฮูหยินท่านหนึ่ง เราเรียกหาผิดพลาดไป โปรดให้อภัยด้วย”

เก๊กฮูหยิน กล่าวว่า

“ท่านคิดจะไปที่ใด?”

“เราทราบมาว่า ในที่นี้มีเทพเจ้าองค์หนึ่งเร้นกายอยู่ ต้องการจะขอกราบพบ มิทราบว่าฮูหยินสามารถแนะหนทางหรือไม่?”

เก๊กฮูหยินสำรวจมองฝ่ายตรงข้ามตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ในยามนี้ทั้งสองฝ่ายมีระยะห่างกันสองวา นางพลันกล่าวอย่างเย็นชาว่า

“ที่แท้ท่านจะพบประมุขเฒ่า เพียงมิทราบว่าท่านมีความมุ่งหวังอันใด?”

กิมเม้งตี้ กล่าวว่า

“ย่อมต้องการมีชีวิตยาวนานไม่แก่เฒ่า หรือว่าเราจะวิงวอนให้มันสอนเราฆ่คนวางเพลิง สร้างสมความชั่วร้ายด้วย?”

เก๊กฮูหยินเค้นเสียงกล่าวว่า

“ท่านเมื่อกล่าวเช่นนี้ แสดงว่ามีเจตนามาหาเรื่องราวแล้วท่านมีนามอันใด?”

“ตามการคาดคำนวณของท่านเล่า?”

“ท่านสะพายดาบ บนบ่าเสียบพัดจีบ ย่อมต้องเป็นศัตรูอันดับหนึ่งของสถาบันเรา มีนามกิมเม้งตี้นั่นเอง”

กิมเม้งตี้ผงกศีรษะกล่าวว่า

“มิผิดแม้แต่น้อย”

เก๊กฮูหยินกล่าวว่า

“ท่านมีความสง่างามสมดังคำร่ำลือ น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้สนิทสนมกัน เราจำต้องลงมือจัดการกับท่านแล้ว!”

นางมีท่วงท่าหมายจะโถมเข้าใส่ กิมเม้งตี้ก็รีบเอื้อมมือหมายชักดาบ

ยู้เชี่ยงชุนที่อยู่เบื้องหลัง เห็นเหตุการณ์อย่างชัดเจน พบว่าเก๊กฮูหยินได้พลิ้วปราดเข้าหาดั่งสายฟ้าแลบพุ่ง ว่องไวอย่างสุดจะบรรยาย!

กิมเม้งตี้มาตรแม้นเป็นยอดฝีมือในยอดฝีมือ แต่ก็เพียงสามารถดึงดาบออกจากฝัก นางได้โถมเข้ามาแล้ว หมายความว่ากิมเม้งตี้มิมีทางสะบัดทิ่มแทงฝ่ายตรงข้าม กลับถูกศัตรูคุกคามมาเบื้องหน้า กางแขนหมายโอบรัด!

ยู้เชี่ยงชุนถึงกับตาละลานพร่างพรายไป คำนึงในใจว่า

“…ในใต้หล้ากลับมีวิชาท่าร่างที่รวดเร็วถึงปานนี้ ช่างชวนให้ตื่นตระหนกและยากจะเชื่อถือ…”

ขณะนั้นเอง กิมเม้งตี้ได้อับจนปัญญา ลองคิดดูมันแม้เวลาที่ชักดาบก็มิเพียงพอ ไหนเลยจะแฉลบหลบหลีกได้?

แลเห็นสองแขนของเก๊กฮูหยินคล้ายกับห่วง พลันโอบรัดอย่างแนบแน่น กิมเม้งตี้เพียงสามารถสะบัดร่าง หมายความว่าเก๊กฮูหยินกลับกลายเป็นโอบกอดกิมเม้งตี้อยู่ทางด้านหลัง

แต่เรือนร่างของนาง ขอเพียงสัมผัสกับศัตรู บนสะดือก็จะพุ่งหนามพิษ หนามนี้ได้รวบรวมพลังแห่งชีวิตของนางพอปล่อยออกมาแล้ว ก็จะตกตายไป!

เพราะเหตุนี้ ความรุนแรงของอานุภาพ แม้จะมีวิชาคุ้มครองกายที่ยอดเยี่ยมสักปานใดก็ต้านทานไว้มิได้

แต่ทว่า กิมเม้งตี้กลับมิได้ล้มลง โดยนัยกลับศอกซ้ายของมันพลันกระทุ้งไปด้านหลัง ปลายข้อศอกพุ่งใบมีดที่คมกริบ ยาวประมาณห้านิ้วออกมา ล้วนปักตรึงเข้าไปในขั้วหัวใจของเก๊กฮูหยิน!

เก๊กฮูหยินคลายมือถอยกายไปสี่ห้าก้าว เขม้นมองกิมเม้งตี้อย่างยากจะเชื่อถือวูบหนึ่ง แล้วจึงล้มลงบนพื้นดิน

ยู้เชี่ยงชุนกระโดดปราดออกมา ใช้กระบี่ยาวเลิกกระโปรงท่อนร่างของเก๊กฮูหยินขึ้น แลเห็นหนามสีดำท่อนหนึ่ง ได้ทะลักออกนอกสะดือ

มันสั่นศีรษะ กล่าวว่า

“เรานับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว ในใต้หล้ากลับมีผู้ที่สามารถเคลื่อนไหวอย่างว่องไวถึงปานนี้”

ในยามนี้กี้เฮียงเค้งบนหน้าผา ได้โบกมือส่งสัญญาณ ส่งให้พวกซิเล้งทั้งสามถลันเข้าสู่โพรงร้อยอสูร

ภายในตึกศิลามีสตรีงามสามนางพุ่งออกมาอีก กิมเม้งตี้ ยู้เชี่ยงชุนและเจ้าสำนักฮุยไฮ้ ได้แยกย้ายพุ่งเข้าหา มิปล่อยให้พวกนางมีโอกาสส่งสัญญาณ

คนทั้งสามนี้ล้วนเป็นผู้ทรงฝีมืออันดับหนึ่ง ดังนั้นเพียงสิบขบวนท่า ก็กำจัดสตรีทั้งสามนางลงได้

ส่วนซิเล้งกับฉี้อิงและอุ้ยเซี่ยวย้ง พอเข้ามาในโพรงร้อยอสูร ก็ผ่านห้องหับที่ตกแต่งอย่างสวยงาม รอบบริเวณมีกลิ่นหอมชนิดพิเศษอบอวลอยู่

ซิเล้งสั่งให้ฉี้อิงอุ้ยเซี่ยวย้ง ไปยังห้องหับซึ่งอยู่ทางสองฟากข้าง จัดการกับเหล่าผู้คนที่อยู่ในโพรงร้อยอสูร ส่วนตัวเองพลิ้วร่างไปเบื้องหน้า ซึ่งเป็นโถงใหญ่หลังหนึ่ง

เรือนร่างเพิ่งพุ่งผ่านประตูห้องโถงเข้าไป กระแสพลังอันอ่อนหยุ่นสายหนึ่งก็ครอบคลุมเข้าใส่ สร้างความตื่นตระหนกให้กับซิเล้งเป็นอย่างยิ่ง

ทั้งนี้เนื่องจากซิเล้งรู้สึกว่า ผู้ที่จู่โจมพลังอันอ่อนหยุ่น แต่อำมหิต ประทุษร้ายต่อตนนี้ มีพลังการฝึกปรือที่สูงล้ำ แม้แต่ชนชั้นเฉกเช่นประมุขพรรคธงเหลืองก็ยังมิใช่คู่มือ

ซิเล้งรีบพุ่งปราดแฉลบร่างมาอีกด้านหนึ่ง กำลังภายในของตน สามารถใช้ตามจิตสำนึก ผิดแผกจากบุคคลอื่น ปฏิกิริยาจึงปราดเปรียวยิ่ง สามารถหลบเลี่ยงจากกระแสพลังนี้

ประกายตาพอกวาดมองไปป แลเห็นในห้องโถง มีบุรุษอายุสามสิบเศษอยู่ผู้หนึ่ง ส่วมใส่เสื้อผ้าอย่างพิถีพิถัน ซึ่งก็เป็นคนแรกที่ซิเล้งได้พบมา ลักษณะท่าทางของมัน มิน่าคบค้าอย่างที่สุด

มันเขม้นมองซิเล้งอย่างเยือกเย็นกล่าวว่า

“เจ้าเป็นศัตรูผู้บุกรุกกระมัง?”

ซิเล้งมิตอบคำ กล่าวว่า

“ท่านคงเป็นซาเอี้ย (เจ้านายอันดับสาม) ของที่นี้นั่นเอง?”

บุรุษหน้าขาวซีดผงกศีรษะอย่างโอหัง ประกายตาก็สาดเป็นแววอันกลอกกลิ้ง

แต่ซิเล้งพลันกล่าวขึ้นว่า

“ท่านมิต้องคิดใช้กลไกกับดักจัดการกับข้าพเจ้า พร้อมกับนั้นก็อย่าคาดหวังว่า จะส่งสัญญาณแจ้งเหตุต่ออลัชชีโลกันตร์ได้”

ซาเอี้ยผู้นั้นตะลึงลานไปชั่ววูบ แต่แล้วก็แค่นหัวร่อกล่าวว่า

“เจ้าคงทำลายกระแสพลังที่แจกจ่ายต่อโพรงร้อยอสูรแล้วจึงกล้าบุกเข้ามา แต่อาศัยเจ้า เราสามารถกำจัดได้ด้วยความสามารถของตัวเอง!”

มันพลันโถมปราดเข้าใส่ซิเล้ง ตวาดว่า

“นี่นับเป็นครั้งแรกที่เราลงมือต่อสู้กับผู้คน เจ้าแม้จะตกตายในเงื้อมมือของเรา ก็สมควรภาคภูมิใจ”

ฝ่ามือทั้งสองข้างผลักดันออกไปเบื้องหน้า แต่มิมีสุ้มเสียงแหวกฝ่าอากาศ เนื่องจากแนววิชาฝีมือของมันผิดแผกจากทั่วไป ซึ่งทำให้ฝ่ายตรงข้ามยากจะต้านรับ

ขณะที่พลังภายในของมันทะลักออก ไม่มีสุ้มเสียงที่กึกก้อง แต่ทว่าพอจู่โจมไปคราเดียว ก็ครอบคลุมรอบกายของซิเล้งไว้อย่างแน่นหนา

ตามการคาดคำนวณของมัน ซิเล้งจะถูกพลังการกดดันอันหนักอึ้งที่ทะลักออกไปนี้ กระแทกกระทั้นจนอวัยวะภายในขาดสะบั้นมิมีทางรอดชีวิตได้!

ซิเล้งก็รู้สึกว่า มีพลังอันเร้นลับจู่โจมมาจากฝ่ายตรงข้าม จึงผนึกพลังจิตสองสุดยอดขึ้นสะบัดฝ่ามือขวาออกไปเบื้องหน้า ใช้กระบวนท่ามหรรณพที่มีอานุภาพไร้เทียมทาน

แนวพลังภายในของซิเล้ง เป็นหลักที่แกร่งเกรี้ยวกราด และหลังจากฝึกปรือพลังจิตสองสุดยอดได้แล้ว ก็สามารถนำเอาพลังของธรรมชาติ  ผสมผสานใส่กำลังฝ่ามือของตนด้วย

คราครั้งนี้ ซิเล้งพอพบว่า ฝ่ายซาเอี้ยได้ใช้ไม้ตายประจำตัวที่พิสดาร จึงคิดจะหักล้างอย่างเด็ดขาด กำลังภายในของตน เต็มไปด้วยความดุดันรุนแรงยิ่ง

ทั้งสองฝ่ายพอลงมือก็หักหาญพลังภายในกัน และเพราะเป็นคนละแนวทาง พอประมือกันก็จะพิสูจน์ความเป็นความตายทันที

แลเห็นพลังฝ่ามือของซิเล้ง ได้ทะลักเป็นเส้นสายแหวกฝ่ากระแสพลังที่กดดันมาจากซาเอี้ย จนแตกกระจายและพุ่งใส่ซาเอี้ยอย่างหนักหน่วง ปานอสนีบาตทลายลง

ได้ยินดังโครมใหญ่ ร่างของซาเอี้ยคล้ายกับว่าวที่ขาดป่าน ปลิวกระเด็นไปอีกทางหนึ่ง พอล้มลงไปบนพื้นดินก็แน่นิ่งมิเคลื่อนไหว!

ซิเล้งถลันเข้าไปดู แลเห็นซาเอี้ยมีดวงตาเบิกโพลงสารรูปบิดเบี้ยวดั่งภูตผี ในที่สุดมันก็ตกตายไป โดยที่มิทันแผดร้องคร่ำครวญแม้แต่คำเดียว

ซิเล้งพอกำจัดซาเอี้ยได้แล้ว ก็ทราบดีว่าภายในโพรงร้อยอสูร มิมีศัตรูที่เข้มแข็งอื่นใดอีก จึงพุ่งกายไปช่วยเหลือฉี้อิงกับอุ้ยเซี่ยวย้งกำจัดเหล่าอสูรที่มีอยู่

ส่วนทางกี้เฮียงเค้ง ได้พุ่งกายลงมาจากเบื้องบนแล้ว ภายใต้การคุ้มครองของยู้เชี่ยงชุน ฮุยไฮ้เซี่ยงซือ ประมุขพรรคธงเหลือง และปึงเซียะสี่คน นางก็มุ่งตรงมาสำรวจดูที่ข้างปล่องไฟ

ปล่องไฟอันนี้ใหญ่โตยิ่งนัก เปลวอัคคีพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ร้อนอบอ้าวยิ่งนัก หากแม้ทั้งหมดมิได้กลืนกินยาอันทรงประสิทธิภาพ ที่กี้เฮียงเค้งปรุงขึ้นต้านทานกับพิษร้อน แม้แต่ชนชั้นยู้เชี่ยงชุน ก็ยากที่จะทนทานได้

รอบบริเวณปล่องไฟ มีเสาแกนอยู่ทั้งหมดสี่อัน ในยามนี้แม้ไม่มีแรงงานมนุษย์ผลักเคลื่อนกงล้อเหล่านั้น แต่ยังมีเสาแกนสองอัน ซึ่งจัดสร้างอย่างพิเศษ สามารถอาศัยพลังจากเปลวเพลิงที่พุ่งขึ้น เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ

กี้เฮียงเค้งมองดูอยู่ครู่หนึ่ง จึงเงยหน้าขึ้นกล่าวกับยู้เชี่ยงชุนว่า

“ข้าพเจ้าคิดจะเสี่ยงอันตราย ตัดโค่นเสาแกนสองอันนี้เสียก่อน”

ประมุขพรรคธงเหลืองกล่าวว่า

“ท่านมีความคิดเช่นนั้น ย่อมมิมีผู้คนขัดแย้ง เพียงมิทราบว่าพฤติการณ์นี้ เสี่ยงอันตรายในที่ใด?”

กี้เฮียงเค้งกล่าวว่า

“หากแม้นภูมิปัญญาของอลัชชีโลกันตร์ เหนือล้ำกว่าข้าพเจ้า  ถ้าเช่นนั้นพฤติการณ์ของข้าพเจ้านี้ เท่ากับเป็นการแส่หามหันตภัย กล่าวคือพวกเราพอตัดโค่นเสาแกนที่ยังเคลื่อนไหวอยู่สองอันนี้ ก็จะกระตุ้นถูกอัคคีใต้ดิน ก่อเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง สิ่งมีชีวิตในรอบรัศมีหลายสิบลี้ มิมีทางรอดพ้น”

ฮุยไฮ้เซี่ยงซือ กล่าวอย่างหวั่นไหวว่า

“เรื่องนี้นับว่ามิอาจวู่วามเลย”

ปึงเซียงพลันกล่าวว่า

“หากแม้นภูมิปัญญาของอลัชชีโลกันตร์มิสูงส่งตามที่คิดไว้ พฤติการณ์ของท่าน ก็ไม่กระตุ้นให้เกิดเภทภัยแล้ว แต่พวกเราจะได้รับประโยชน์อันใด?”

กี้เฮียงเค้งกล่าวว่า

“ผลประโยชน์มีมากมาย ตามการคาดคำนวณของข้าพเจ้า เสาแกนสองอันนี้พอถูกโค่นล้ม กอปรกับแกนอันอื่นไม่มีคนผลักเคลื่อน ถ้าเช่นนั้นความนึกคิดและการจัดสร้างของอลัชชีโลกันตร์ ล้วนจะติดขัดและล้มเหลวไป!

ตัวอลัชชีโลกันตร์แม้มิถึงกับถูกกักตายอยู่ในรังอันเร้นลับของมัน แต่ผู้ที่รอดพ้นมาด้วย เกรงว่ามีแต่พวกที่ใกล้ชิดมิกี่คนเท่านั้น”

ยู้เชี่ยงชุนกล่าวว่า

“ซึ่งก็หมายความว่า พฤติการณ์ของพวกเราครั้งนี้หากสำเร็จ ฝ่ายอลัชชีโลกันตร์ก็มิมีทางอาศัยทำเลและสิ่งก่อสร้างเป็นประโยชน์ ได้แต่หักหาญเสี่ยงชีวิตกับพวกเรา?”

กี้เฮียงเค้งผงกศีรษะ กล่าวว่า

“แต่ข้าพเจ้าขอบอกกับทุกท่านตามความสัตย์ โอกาสครั้งนี้มีความหวังสำเร็จหกสิบเปอร์เซ็นต์ และอาจล้มเหลวได้สี่สิบเปอร์เซ็นต์ ข้าพเจ้าจึงมิกล้าตัดสินใจอย่างฉับพลัน”

เจ้าสำนักฮุยไฮ้ประนมมือขึ้น กล่าวว่า

“โอมมณีตัสสะ หากมีโอกาสหกต่อสี่ อาตมาขอให้ลองเสี่ยงดู”

ยู้เชี่ยงชุน ผงกศีรษะกล่าวว่า

“อาตมาเห็นพ้องด้วย มิว่าอย่างไร จำต้องหาทางทำลายสิ่งก่อสร้างที่ช่วยหนุนเสริมปณิธานของอลัชชีโลกันตร์ แม้พวกเราอาจจะเสียชีวิตไปก็ตาม”

ประมุขพรรคธงเหลืองก็กล่าวว่า

“เล่าฮูมิมีความเห็นขัดแย้งใดๆ ทั้งสิ้น”

กิมเม้งตี้พลันกล่าวอย่างเกรี้ยวกราว่า

“อย่างมากก็เพียงตกตาย อาเค้ง ท่านมิต้องลังเลแล้ว”

กี้เฮียงเค้ง กล่าวว่า

“ตกลง ปึงเฮีย ขอให้ท่านลงมือตัดโค่นเสาแกนสองอันนั้น”

ปึงเซียะผนึกพลังสะบัด โหมฟาดฟันหกครั้ง จึงโค่นจนแกนทั้งสองอันล้มลง

ทุกผู้คนล้วนเงียบงันมิส่งเสียง รอดูผลที่บังเกิดขึ้น  แต่ครึ่งชั่วยามได้ผ่านไป ยังไม่มีความผิดปกติอันใด

กี้เฮียงเค้งโบกมือชักชวน นำพาสี่ผู้ทรงฝีมือล่าถอยมาถึงพื้นที่ราบแห่งหนึ่ง  ร้องดังๆ ว่า

“ทุกผู้คนระวัง อลัชชีโลกันตร์จะปรากฏกายขึ้นมาในบัดดลแล้ว”

วาจามิทันจบลง ได้ยินเสียงกู่ร้องอันเกรี้ยวกราดดังมาจากทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เสียงกู่นี้ดังฝ่าอากาศมา เคลื่อนเข้าใกล้อย่างรวดเร็วยิ่ง

กี้เฮียงเค้ง กล่าวว่า

“อลัชชีโลกันตร์ เร่งรุดมาแล้ว”

มินานให้หลัง บนหน้าผาปรากฏเงาร่างเจ็ดแปดสายทุกคนเงยหน้ามองขึ้นไป แลเห็นสตรีงามชุดชาววังกลุ่มหนึ่ง ได้ห้อมล้อมชายชราผมขาวเสื้อดำผู้หนึ่ง!

ชายชราผู้นี้ดูผิวเผินมีอายุหกเจ็ดสิบปีเท่านั้น ในมือถือไม้เท้าสีขาวอันหนึ่ง ประกายตาเจิดจ้ายิ่งกว่าสายฟ้า สำรวจมองทั่วบริเวณ!

นางแมงมุมขาวถลันหลบเข้าไปในตึกศิลา มิกล้าปรากฏกาย กิมเม้งตี้พาโค้วเพ้ง ยืนหยัดอยู่รอบนอกขบวนค่ายกล ซึ่งกี้เฮียงเค้งจัดให้ปึงเซียะ เจ้าสำนักฮุยไฮ้ ยู้เชี่ยงชุน ประมุขพรรคธงเหลือง คุ้มครองนางอีก

ทุกผู้คนกวาดสายตามองไป แลเห็นในกลุ่มของฝ่ายตรงข้าม นอกจากชายชราเสื้อดำนั้นแล้ว ยังมีบุรุษเยาว์ผู้หนึ่ง

นอกจากนั้นล้วนเป็นสตรีชุดชาววัง มีลักษณะการแต่งกายเฉกเช่นเก๊กฮูหยินนั้น ร่างท่อนล่างคลุมกระโปรงแพรโปร่งใสเพียงชิ้นเดียว

ประกายตาของชายชราเสื้อดำนั้น ในที่สุดได้จ้องจับอยู่บนใบหน้าของกี้เฮียงเค้ง กล่าวอย่างเย็นชาว่า

“เจ้าคงเป็นกี้เฮียงเค้งแล้ว?”

กี้เฮียงเค้งกล่าวว่า

“ท่านจะเรียกข้าพเจ้าอย่างไรล้วนใช้ได้ พวกท่านลงมาเถอะ พวกเราอยู่ห่างไกลเกินไป พลังภายในข้าพเจ้ามิเพียงพอไม่อาจกล่าวอีกแล้ว”

ชายชราชุดดำแค่นหัวร่อ เฮอะ ฮะ อย่างเย็นชา พลันโบกมือวูบหนึ่ง นำพาพวกทั้งหมดพุ่งปราดลงมา พริบตาเดียวก็คุกคามเข้าใกล้

สตรีงามชาววังเหล่านั้น มีทั้งหมดเก้านาง ปฏิกิริยาของพวกนาง ว่องไวดั่งสายฟ้า ทำให้ผู้คนจับจ้องจนหวาดหวั่นขวัญฝ่อ

ชายชราชุดดำกวาดสายตาไปยังกิมเม้งตี้ กล่าวว่า

“กิมเม้งตี้ คราก่อนเจ้าหลังจากมานะต่อสู้ จึงเอาชัยซ่งจงหลานศิษย์ของเล่าฮูได้ บุรุษผู้นี้มีนามฮ่วมค๊ก เจ้าสามารถเอาชัยมันหรือไม่?”

กิมเม้งตี้มองไปยังฮ่วมค๊ก แลเห็นมันใช้ผ้าดำคลุมหน้า ยากจะรู้จักรูปโฉม แต่จากท่าร่างที่มันโถมลงมา แสดงว่าย่อมต้องเป็นผู้ทรงฝีมือที่ฝึกปรือวิชาหัตถ์เทพยดาไร้เทียมทานได้สำเร็จ

กี้เฮียงเค้ง กล่าวตอบว่า

“ทารกอันต่ำต้อยไหนเลยจะคู่ควรกับสามีเรา ข้าพเจ้าเพียงส่งผู้หนึ่งผู้ใดออกไป ก็เอาชัยมันได้ เพียงมิทราบว่าบริวารของท่าน นอกจากฮ่วมค๊กแล้ว ยังมีผู้ทรงฝีมืออื่นใดอีกหรือไม่?”

อลัชชีโลกันตร์กล่าวอย่างเย็นชาว่า

“พวกเจ้าบุกรุกมาถึงที่นี้ คล้ายดั่งแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ แส่หาเภทภัยถึงแก่ชีวิต เล่าฮูจะบอกตามความสัตย์ ขณะนี้ผู้คนเท่าที่เล่าฮูระดมมาได้ ล้วนแต่อยู่ในที่นี้แล้ว

ฮ่วมค๊กความจริงเป็นผู้ปกครองเมืองมหาชั่วร้าย เพราะการงานได้มาหาเรา จึงไม่ถูกฝังทั้งเป็นอยู่ในเมืองเฉกเช่นกับคนทั้งหมด ซึ่งเสียชีวิตเพราะการตัดโค่นเสาแกนทั้งสองอันของพวกเจ้า”

มันโบกมือขึ้นวูบหนึ่ง สตรีงามชุดชาววังเก้านางนั้นได้กระจายออกในบัดดล โอบล้อมพวกกี้เฮียงเค้งทั้งเจ็ดอยู่ในระหว่างกลาง

อลัชชีโลกันตร์ร้องดังๆ อีกว่า

“เล่าฮูพอออกคำสั่งทีเดียว พวกเจ้าจะล้วนเสียชีวิตไป มิทราบว่ากี้เฮียงเค้งเจ้าเชื่อถือหรือไม่?”

กี้เฮียงเค้งแลเห็นพวกซิเล้งยังมิได้ออกมา จึงกระวนกระวายใจยิ่ง  ปากก็กล่าวว่า

“เชื่อแล้วจะเป็นอย่างไร มิเชื่อจะเป็นอย่างไร?”

อลัชชีโลกันตร์กล่าวว่า

“หากแม้นเชื่อถือ พวกเจ้าก็ยามรับการจับกุมโดยมิขัดขืน อาศัยศักดิ์ศรีและความสามารถของพวกเจ้าทั้งหมด เล่าฮูยินยอมละเว้นชีวิตของพวกเจ้า”

กี้เฮียงเค้งแสร้งทำเป็นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า

“มีบางเวลา ตกตายยังดีกว่ามีชีวิต ท่านก็ทราบดีแล้ว…”

กล่าวถึงตอนนี้ ได้เหลือบแลเห็นพวกซิเล้งทั้งสามปรากฏกายขึ้นพุ่งปราดตรงเข้ามา จึงปลอดโปร่งวางใจ แค่นหัวร่ออย่างเย็นชา กล่าวว่า

“มิว่าอย่างไร อลัชชีโลกันตร์ท่านก็มิมีหนทางอันประเสริฐให้กับพวกเรา ข้าพเจ้าจึงคิดจะเสี่ยงชีวิตอย่างสุดกำลัง!”

ขณะกล่าววาจามิกี่ประโยคนี้ ซิเล้ง ฉี้อิง อุ้ยเซี่ยวย้ง ทั้งสาม ก็พุ่งกายใกล้เข้ามาแล้ว

อลัชชีโลกันตร์คล้ายดั่งไม่แยแสสนใจพวกของซิเล้งบงการให้สตรีในสังกัดเปิดทางให้ ซิเล้ง ฉี้อิง อุ้ยเซี่ยวย้งสามคน จึงพุ่งเข้าหาในวงล้อม

อลัชชีโลกันตร์พลันกู่ร้องเสียงเกรี้ยวกราด แลเห็นสตรีเก้านางนั้น พากันแยกย้ายโถมเข้ามา ต่างเสาะแสวงฝ่ายตรงข้ามคนหนึ่ง หลงเหลือกี้เฮียงเค้งเพียงลำพัง ที่มิได้ถูกจู่โจม

สตรีทั้งเก้านางว่องไวดั่งสายฟ้า คล้ายดั่งกับก่อนที่ทุกผู้คนจะต้านรับได้ ก็โอบรัดใส่ฝ่ายตรงข้ามแล้ว

มีแต่ซิเล้ง กิมเม้งตี้ ฉี้อิง อุ้ยเซี่ยวย้ง สี่คนที่หันกายได้ทันท่วงที ส่วนปึงเซียะ เจ้าสำนักฮุยไฮ้ ยู้เชี่ยงชุน ประมุขพรรคธงเหลืองและโค้วเพ้ง อีกห้าคน ล้วนถูกพวกนางโอบกอดจากด้านหน้า

อลัชชีโลกันตร์ส่งเสียงหัวร่ออย่างเย็นชาออกมา พลันแลเห็นสตรีทุกนวลนาง ต่างก็คลายมือล่าถอยออกมา นี่เป็นเรื่องที่คาดคิดมิถึงมาก่อน แม้แต่อสูรเฒ่าเฉกเช่นมัน  ก็ถึงกับงงงันไป

จากนั้นมันก็พบว่า สตรีงามทั้งเก้านาง บนทรวงอกซ้ายมีคราบโลหิตแปดเปื้อน ซึ่งตำแหน่งแห่งนั้น พอถูกทำร้ายย่อมมิมีทางรอดชีวิตได้

อลัชชีโลกันตร์ตื่นตกใจเป็นที่ยิ่ง สมควรทราบว่า มันสูญเสียความมานะพากเพียร สร้างสรรค์ขบวนนางผึ้งเหล่านี้ มิเพียงแต่มีหนามพิษฆ่าคนได้ ปฏิกิริยาว่องไวผิดสามัญ

ยังมีอีกข้อหนึ่ง ที่บุคคลอื่นคาดมิถึง กล่าวคือพวกนางมีแต่ตำแหน่งตรงขั้วหัวใจที่เป็นจุดอ่อนเพียงแห่งเดียว

เพราะเหตุนี้ มาตรแม้นฝ่ายศัตรูสามารถหลบหลีกจากการพุ่งจู่โจมของพวกนาง และตีโต้กลับมาก็ยากจะทำร้ายพวกนางให้ตายคาที่ ดังนั้นจึงมิมีทางหลบรอดจากการโถมใส่เป็นครั้งที่สอง และสามของพวกนาง

แตทว่า บัดนี้สถานการณ์ได้พลิกกลับกลาย สตรีทั้งเก้านางถูกทำร้ายตำแหน่งแห่งเดียวกันทั้งสิ้น มิหนำซ้ำบรรดาศัตรูแม้จะถูกพวกนางโอบกอด แต่ก็ไม่มีอันตรายใดๆ

ในยามนี้อลัชชีโลกันตร์ ย่อมเห็นได้แล้วว่าทางฝ่ายตรงข้าม ตามปลายข้อศอกหรือบนข้อมือ ได้ซุกซ่อนใบมีดที่คมกริบ ใช้ทิ่มแทงเข้าไปในขั้วหัวใจของขบวนนางผึ้ง

พวกของซิเล้งทั้งหมด ได้ตระเตรียมอย่างรอบคอบมาแล้ว มิว่าจะถูกนางขบวนนางผึ้งโอบกอดทางด้านหน้าก็ดี โอบกอดทางเบื้องหลังก็ดี ล้วนสามารถปฏิบัติการปลิดชีวิตของนางผึ้งทั้งขบวน

แลเห็นสตรีงามที่คล้ายดั่งแกะสลักจากหยกทรงค่าทั้งเก้านางได้ทยอยกันล้มลงบนพื้นดิน กลับกลายเป็นซากศพที่เรี่ยราดเกลื่อนกลาด

อลัชชีโลกันตร์แม้จะแตกตื่นตระหนกในใจ ทั้งเดือดดาลคลั่งแค้น แต่บนใบหน้าหาได้แสดงท่าทีอันใดไม่

กี้เฮียงเค้งลอบส่งสัญญาณลับ พวกปึงเซียะ เจ้าสำนักฮุยไฮ้ทั้งสี่ ก็ขยับเคลื่อนร่างอย่างรวดเร็ว กระจายเป็นขบวนค่ายกลคุ้มครองกี้เฮียงเค้ง

และบุคคลทุกคนในยามนั้น ต่างลอบล้วงหยิบตัวยาชนิดหนึ่ง อมเข้าไปภายในปาก

อลัชชีโลกันตร์พลันสะบัดชายเสื้ออันกว้างใหญ่ กล่าวเสียงเกรี้ยวกราดว่า

“พวกเจ้าแม้ผ่านด่านนางผึ้งได้ แต่เล่าฮูยังสามารถกำจัดเจ้า ล้วนเสียชีวิตอยู่ในสถานที่นี้!”

ทุกผู้คนต่างมิตอบคำ เหลือบแลเห็นหมอกควันจางๆ ห้าสี ซึ่งมีนับร้อยพันสาย เลียดตามพื้นดินแผ่ขยายออกไป มีความรวดเร็วกว่าม้าห้อตะบึง สกุณาเหินบินหลายเท่านัก

พริบตาเดียว ควันหลายหลากสีนั้น ก็แผ่ขยายไปรอบรัศมียี่สิบวา ผู้คนทั้งหมดล้วนตกอยู่ในวงล้อมของควันหลายสีที่อ่อนจางนี้!

กี้เฮียงเค้งแค่นเสียง กล่าวว่า

“อลัชชีโลกันตร์ นี่คงเป็นโหงวตั๊กฮวยเจี่ยง (หมอกดอกท้อเบญจพิษ) กระมัง? หากแม้นการคาดเดาของข้าพเจ้ามิผิด ยาพิษธรรมดาสามัญนี้ ย่อมมิมีทำอันตรายต่อพวกเรา”

แน่นอน วาจาของนางหาได้คุยโอ่ไม่ ทั้งนี้ก็เพราะหมอกพิษชนิดนี้ บรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ขอเพียงแต่ถูกปกคลุมเพียงเล็กน้อยก็จะเสียชีวิตทันที

บัดนี้พวกซิเล้งทั้งหมดอยู่ในหมอกควันพิษครู่ใหญ่แล้ว ยังปลอดภัยไร้อันตราย แสดงว่ากี้เฮียงเค้งมีการตระเตรียมล่วงหน้าแล้ว

อลัชชีโลกันตร์นับเป็นครั้งแรกที่แสดงความรู้สึกที่พลุ่งพล่านดาลใจออกมา สีหน้าของมันแปรเปลี่ยนอย่างเกรี้ยวกราดยิ่งนัก!

แลเห็นมันโหมสะบัดชายเสื้ออันกว้างใหญ่ พลันปรากฏกระแสพลังม้วนตลบออกไป ขับไล่หมอกควันพิษผืนใหญ่กระจายไปจนหมดสิ้น

ทุกผู้คนล้วนระแวดระวังว่า มันอาจจะแสดงแนววิชาอันพิสดารบางชนิด แต่กระแสพลังพอทะลักผ่าน ก็หามีเรื่องราวอันใดอุบัติขึ้น

กี้เฮียงเค้งคำนึงในใจว่า

“…อลัชชีโลกันตร์เป็นจอมอสูรในหมู่อสูรร้าย แม้จะมีกำลังที่โดดเดี่ยว แต่พฤติการณ์ของมันย่อมมิกระทำอย่างปราศจากความหมาย…”

อลัชชีโลกันตร์ได้ฟื้นฟูสีหน้าเลือดเย็นไร้ความรู้สึก กล่าวว่า

“ฮ่วมค๊ก เจ้าออกไปพิชิตศัตรู”

ฮ่วมค๊กส่งเสียงรับคำ ถลันปราดออกไป ร้องดังๆ ว่า

“พวกท่านผู้ใดกล้ามาเสี่ยงชีวิตกับเรา?”

ประกายตาของมันจับจ้องไปยังกิมเม้งตี้ คล้ายดั่งต้องการประมือกับมัน ดังนั้นจึงไม่แยแสบุคคลอื่น

กิมเม้งตี้เพียงหัวร่ออย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง ขณะนั้นก็ปรากฏบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง ก้าวยาวๆ ออกมาอย่างฮึกเหิม

ฮ่วมค๊กสำรวจมองฝ่ายตรงข้าม กล่าวว่า

“ผู้ที่มาประกาศนาม”

บุรุษหนุ่มผู้นั้น กล่าวว่า

“ข้าพเจ้า ซิเล้ง”

ฮ่วมค๊กสั่นศีรษะ กล่าวว่า

“เจ้าใช้มิได้ เรียกให้กิมเม้งตี้ออกมา”

อลัชชีโลกันตร์ กล่าวสอดว่า

“มันเมื่อกล้าออกต่อสู้ ย่อมต้องมีความถือดี เจ้าระมัดระวังไว้บ้าง…”

ซิเล้งผงกศีรษะ กล่าวว่า

“ยังเป็นขิงแก่ที่เผ็ดร้อนกว่า มีประสบการณ์มากกว่าผู้ที่มีแต่ความโอหัง ฮ่วมค๊กข้าพเจ้าบอกกับท่าน ในวันนี้ท่านเมื่อเผชิญกับข้าพเจ้า ก็มีอันตรายมากกว่าวาสนา”

ฮ่วมค๊กแผดหัวร่ออย่างเกรี้ยวกราด พลันกระแทกฝ่ามือออกไป ก่อนที่จะลงมือ ไม่มีวี่แววล่วงหน้ามาก่อน

การลอบจู่โจมของฮ่วมค๊กครั้งนี้ เป็นพฤติการณ์ที่ผู้คนในสถาบันอำมหิตนิยมปฏิบัติเสมอมา มิชวนให้แตกตื่นสงสัยแต่อย่างไร

ซิเล้งพลันขยับร่างเล็กน้อย ฝ่ามือขวาพอรั้งขึ้น ก็ตะปบกระบี่ยาวที่กลางหลัง ตีโต้กลับไปหนึ่งกระบี่

ควรทราบว่าฮ่วมค๊กลงมืออย่างกะทันหัน พลังฝีมือพอแผ่ครอบคลุมไป ก็มีอานุภาพไร้ขอบเขต แม้แต่ชนชั้นยอดฝีมือเช่นกิมเม้งตี้ ก็มิง่ายดายต่อการหลบหลีกและตอบโต้ได้

เพราะเหตุนี้ ซิเล้งพอสามารถกระทำ ฮ่วมค๊กจึงแตกตื่นตกใจมิน้อย ฝ่ามือซ้ายขวาสลับฟาดออก กระแสพลังดังครืนครั่น กำลังกดดันคล้ายดั่งภูเขา ใช้วิธีการจู่โจมที่เกรี้ยวกราดยิ่ง

ผู้ที่ชมดูอยู่ด้านข้าง แลเห็นวิชาฝ่ามือของมันลึกล้ำพิสดารพลังภายในเข้มแข็งแกร่งกร้าว ต่างกังวลใจแทนซิเล้งอย่างใหญ่หลวง

ซิเล้งภายใต้การจู่โจมที่เกรี้ยวกราดจากฝ่ายตรงข้าม เพียงแต่ถอยกายไปสี่ห้าก้าว จากนั้นก็เริ่มมีปฏิกิริยาจู่โจมกลับไป

แลเห็นประกายกระบี่ของซิเล้งเจิดจ้าบาดตา สภาวะคล้ายดั่งสายรุ้งบนท้องฟ้า เพียงแต่พุ่งกระบี่ออกไปคราเดียวอย่างหักโหมก็บีบบังคับ จนฮ่วมค๊กล่าถอยไปหกเจ็ดก้าว!

กระบวนท่าของตนนี้ คือหนึ่งในหกกระบวนท่ามหรรณพดูอย่างผิวเผินรู้สึกธรรมดา ความจริงมีอานุภาพยิ่งนัก และซิเล้งยังฝึกปรือวิชาพลังจิตสองสุดยอดได้สำเร็จ สามารถดึงดูดพลังที่ไร้ขอบเขตของจักรวาลต้านทานกับศัตรู

ฮ่วมค๊กทั้งแตกตื่นทั้งเดือดดาล พอยืนหยัดได้มั่นคงก็กระแทกฝ่ามือตอบโต้อย่างรุนแรง มันทุ่มเทวิชาหัตถ์เทพยาดาไร้เทียมทาน โดยผนึกจากพลังการฝึกปรือชั่วชีวิต จึงดุดันเป็นที่ยิ่ง

ซิเล้งมีความมั่นคงดั่งขุนเขา หาได้ถอยกายแม้แต่ก้าวเดียว ทั้งสองฝ่ายมีการหักล้างที่ตื่นเต้นหวาดเสียว ทุกกระบวนท่าแฝงไว้ด้วยอานุภาพอันโหดเหี้ยมสะท้านขวัญ

คิ้วที่ขาวโพลงของอลัชชีโลกันตร์คู่นั้น พลันขมวดเข้าหากันอย่างแนบแน่น ประกายตาที่ดุร้าย สาดจนเจิดจ้า

กี้เฮียงเค้งตลอดเวลาได้สังเกตปฏิกิริยาของมัน จึงสำนึกว่าอลัชชีโลกันตร์กำลังจะใช้ไม้ตายอันอำมหิตแล้ว ซึ่งคงมีความร้ายกาจอย่างสุดแสน เพียงมิทราบว่าจะร้ายกาจถึงปานใด?

นางพอมีความคิด ก็ส่งสัญญาณลับทันที กิมเม้งตี้พลันดึงดาบยาวออกมา โถมปราดเข้าหาอลัชชีโลกันตร์ดั่งประกายไฟ ปากก็ตวาดเสียงเกรี้ยวกราดว่า

“อสูรเฒ่า ครานี้ท่านมิอาจรอดชีวิตแล้ว”

ท่ามกลางเสียงตวาด ประกายดาบผืนใหญ่ พลันสาดกระจายออกไป ม้วนตลบเข้าใส่อลัชชีโลกันตร์

อลัชชีโลกันตร์สะบัดชายเสื้ออันกว้างใหญ่ พลังอันเร้นลับสายหนึ่งก็พุ่งทะลักออก ร่างของกิมเม้งตี้ถูกกระเด็นไปหลายเชียะ!

กิมเม้งตี้สะท้านใจอย่างรุนแรง เพิ่งทราบว่าอสูรเฒ่าผู้นี้มีพลังฝีมือที่ทั่วใต้หล้ายากจะต่อต้าน มันหากมิได้ฝึกปรือดาบพุทธไร้เทียมทาน พอประมือกับมันก็ยากจะรักษาชีวิตไว้ได้

แต่มันยังตวัดดาบเข้าใส่ ด้วยความเกรี้ยวกราดกว่าเดิม อลัชชีโลกันตร์เพียงอาศัยชายเสื่อที่สะบัดพลิ้วทั้งคู่ ก็ห่อหุ้มเงาดาบอันหนาทึบของฝ่ายตรงข้ามไว้ มิมีท่าทีหนักมือกินแรงเลย

ฉี้อิงกับอุ้ยเซี่ยวย้ง ล้วนได้รับคำสั่งให้เข้าใกล้วงการต่อสู้ ตระเตรียมช่วยเหลือได้ทุกขณะ

อลัชชีโลกันตร์คล้ายดั่งมิแยแสสนใจพวกศัตรู ยามหักล้างกับกิมเม้งตี้ ก็มิใคร่ปรารมภ์ ประกายตามักกวาดมองไปยังซิเล้ง ฮ่วมค๊ก ทั้งคู่ ก็ต่อสู้อย่างดุเดือดอยู่

ซิเล้งกับฮ่วมค๊กได้หักหาญกันห้าสิบกว่ากระบวนท่า สภาวะกระบี่ของซิเล้งพลันรุนแรงขึ้นอีกหลายเท่า แลเห็นประกายกระบี่สาดกระจาย พริบตาเดียวก็ครอบคลุมฮ่วมค๊กอยู่ในรัศมีกระบี่

ในยามนี้ทุกผู้คนต่างเห็นได้ว่า ซิเล้งภายในสิบถึงยี่สิบกระบวนท่า สามารถพิชิตฮ่วมค๊ก อลัชชีโลกันตร์ก็ย่อมสังเกตออก มันเงยหน้าหัวร่อดังยาวนาน มันเงยหน้าขึ้นแผดหัวร่อ กล่าวว่า

“กี้เฮียงเค้ง เจ้าแม้มีภูมิปัญญาที่เลิศล้ำ สามารถทำลายรากฐานที่เล่าฮูเพียรสร้างมาอย่างไร้สุ้มเสียง แต่เจ้าก็อย่าได้ลำพองใจ เล่าฮูแม้ทระนงเป็นเวลานาน การป้องกันละเลย ทำให้ถูกเจ้าฉกฉวย แต่เล่าฮูก็มิใช่คุกคามได้อย่างง่ายดาย ผลสนองของพวกเจ้า กำลังาถึงแล้ว”

กี้เฮียงเค้งสดับฟังอย่างครุ่นคิดอย่างจดจ่อ ทำให้อลัชชีโลกันตร์พลันใช้กระบวนท่าตีโต้ อาศัยพลังการฝึกปรือมาเกือบร้อยปี บีบบังคับจนรัศมีของกิมเม้งตี้หดเล็กลง สถานการณ์เปี่ยมอันตรายยิ่ง

และกี้เฮียงเค้งกับมิแลเห็น ฉี้อิงกับอุ้ยเซี่ยวย้งล้วนกระวนกระวายใจ แต่เพราะมิได้รับคำสั่ง จึงไม่กล้าลงมืออย่างวู่วาม

กิมเม้งตี้ถูกรุกกรกระหน่ำจนถอยกรูดๆ ตลอดเวลา ท่าดาบเริ่มสับสนปั่นป่วน ซิเล้งที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ซึ่งรุกกระหน่ำคู่ต่อสู้อยู่ ยามอังเอิญได้เหลือบมองมา จนพบเห็นความคับขันของกิมเม้งตี้ จึงตวาดก้องว่า

“อาอิง อาย้ง พวกท่านยังมิลงมือ จะรออันใด”

อุ้ยเซี่ยวย้งพุ่งกระบี่ออกไปก่อน แหวกฝ่าอากาศอันแหลมคม ประจวบเหมาะกับต้านทานการจู่โจมจากอลัชชีโลกันตร์ ฉี้อิงมือซ้ายถือกระบี่สั้น มือขวาใช้แส้พายุ โถมเข้าไปในวงการต่อสู้ด้วย

กิมเม้งตี้ได้รับการช่วยเหลือจากสองดรุณี จึงพอจะระบายลมหายใจออกมาได้บ้าง

กี้เฮียงเค้งเพิ่งได้สติ มีเหงื่อกาฬแตกชุ่มโชก คำนึงว่า

“…ชีวิตของเม้งตี้ เกือบจะเสียชีวิตไปในเงื้อมมือของเรา…”

ในยามนั้นเอง อลัชชีโลกันตร์พลันส่งเสียงกู่ร้อง อันเกรี้ยวกราดยาวนานระคายโสต…

เสียงกู่ร้องนี้ แหลมเล็กน่าพรั่นพรึง มิใช่กล่าวออกจากปากของมนุษย์ กี้เฮียงเค้งตวาดว่า

“ทั้งหมดระวัง!”

พริบตานั้น แลเห็นทั่วสี่ทิศแปดทาง ล้วนมีเงาร่างผู้คน พวกซิเล้งพอกวาดสายตาจ้องมอง ที่แท้เป็นบรรดาบ่าวทาส มีจำนวนกว่าสองร้อยคน!

ท่ามกลางเสียงอันสนั่นหวั่นไหว ร่างของอลัชชีโลกันตร์พลันปลิวกระเด็นล้มคว่ำลง แต่ก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา บนทรวงอกมีบาดแผลเส้นยาวเหยียด โลหิตฉีดทะลักดั่งน้ำพุ!

ซิเล้ง เขม้นมองฝ่ายตรงข้ามอย่างเงียบงัน อลัชชีโลกันตร์มีประกายตาที่ยากจะเหลือเชื่อ สั่นศีรษะอย่างหมดหวัง กล่าวว่า

“ซิเล้ง พลังฝีมือของเจ้าคงได้จากเจดีย์ทองคำกระมัง?”

ซิเล้งกล่าวว่า “มิผิด”

อลัชชีโลกันตร์ล้มคว่ำลงไป ถอนหายใจกล่าวว่า

“เล่าฮูสมควรทำลายเจดีย์ทองคำนั้นไป จนมิต้องมีผลสุดท้ายเฉกเช่นวันนี้”

ทันใดนั้น บ่าวทาสสองคนได้โถมเข้าหา โอบกอดมันเอาไว้ เริ่มขบกัด และกระแทกจอมอสูรร้ายแห่งยุคผู้นี้อย่างคลุ้มคลั่งฟั่นเฟือน!

ซิเล้งแลเห็นอลัชชีโลกันตร์กลับมีบั้นปลายชีวิตที่อเนจอนาถถึงปานนี้ จึงสั่นศีรษะอย่างสะทกสะท้อน ขณะนั้นพวกบ่าวทาสก็โถมเข้าใส่ตนโดยมิแยกแยะ แต่ก็ถูกเข่นฆ่าล้มตายจนเกลื่อนกลาด

พวกกี้เฮียงเค้งทั้งหมดต่างสะอิดสะเอียนต่อสภาพเบื้องหน้า เริ่มต้นล่าถอยมาถึงที่เบื้องสูง ปึงเซียะเสาะหานางแมงมุมขาวจนพบ และชุมนุมอยู่ร่วมกัน ทางด้านล่างยังสับสนวุ่นวายดังเดิม กี้เฮียงเค้งกล่าวว่า

“พวกบ่าวทาสสูญเสียมันสมอง เมื่อครู่นี้อลัชชีโลกันตร์ สั่งให้เข่นฆ่าผู้ที่มีอยู่ ดังนั้นอลัชชีโลกันตร์เองจึงถูกพวกมันกัดกินเลือดเนื้อไป และพวกมันจะเข่นฆ่ากันจนหมดสิ้น นี่ก็อับจนปัญญา ยากจะช่วยเหลือได้”

ทุกผู้คนล้วนเงียบงันมิส่งเสียง นางถามอีกว่า

“อาเล้ง ผู้ใดคือฉื่อเซียวอุง?”

ซิเล้งกล่าวว่า “ข้าพเจ้ามิพบร่องรอยของนาง คาดว่า คงถูกส่งออกไปเมื่อหลายวันก่อนแล้ว”

“นั่นก็ประเสริฐยิ่ง ภายหลังนางย่อมมิไปหาท่าน นางหากอยู่ที่นี้ ข้าพเจ้าก็มิทราบว่าจะสะสางนางอย่างไร?”

หลังจากเงียบงันไปครู่หนึ่ง กี้เฮียงเค้งกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า

“พวกเราก็กลับไปโลกมนุษย์กันเถอะ ผู้อาวุโสทุกท่านอย่าเพิ่งกลับสู่สำนัก ขอให้อยู่เป็นอาคันตุกะในพิธีวิวาห์ของซิเล้งกับฉี้อิงอุ้ยเซี่ยวย้ง”

นางเริ่มหันกายก้าวออกไป ทุกผู้คนล้วนติดตามอย่างกระชั้นชิด ดังนั้นอีกมินาน ก็ไม่ได้ยินเสียงอันวุ่นวาย ที่พวกบ่าวทาสบดขยี้กกันเองอีก

กี้เฮียงเค้ง กล่าวอีกว่า

“ปึงเฮีย ท่านกับนางแมงมุมขาวน้องเรา ไยมิร่วมวิวาห์ในวันเดียวกับพวกซิเล้งเล่า?”

ปึงเซียะ หัวร่อพลางกล่าวว่า

“วาจาของกิมฮูหยินผู้เป็นวีรสตรี ข้าพเจ้าย่อมน้อมรับเชื่อฟัง”

ท่ามกลางเสียงหัวร่อที่ครึกครื้น บุคคลทั้งหมดได้เร่งฝีเท้าก้าวเดิน โดยที่บนใบหน้าของซิเล้ง ฉี้อิง อุ้ยเซี่ยวย้ง หนึ่งวีรบุรุษกับสองดรุณีงาม ต่างมีรอยยิ้มแย้มอันปลาบปลื้มปีติ…

จบบริบูรณ์

อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่