๖๘
♦ คุณสมบัติผู้ห้าวหาญ ♦
……………
ซิเล้งฉวยโอกาสกวาดมองไปรอบบริเวณ มิเห็นผู้เฝ้าควบคุมบ่าวทาสที่อยู่ด้านข้างจะเร่งรุดมา จึงลอบผนึกพลังภายใน ตะปบใส่ต้นแขนของผู้แซ่งุ่ย แล้วตวัดรั้งขึ้น
แลเห็นฝ่ามือขวาของผู้แซ่งุ่ยพลันกรีดขึ้นสูง จากนั้นก็กระแทกใส่ตำแหน่งอันตรายที่ชายโครงของอาตั้ง
อาตั้งได้ชิงเป็นฝ่ายมีเปรียบ เข้าใจว่าฝ่ายตรงข้ามมีแต่ทนรับการจู่โจม คาดมิถึงว่าจะถูกตีโต้ ดังนั้นจึงมิทันมีความคิดหลบเลี่ยงเลย
ได้ยินเสียงดังโครม ที่ชายโครงของอาตั้ง ถูกกระแทกใส่ไปคราหนึ่ง พลันหงายร่างล้มฟุบลง ตกอยู่ในภาวะสลบสิ้นสติ
ผู้เฝ้ารักษาที่แห่งอื่น หาใช่ไม่เห็นว่าพวกมันกำลังต่อสู้กัน หากแต่คนเหล่านั้นต่างมีจิตใจชั่วร้าย อย่าว่าแต่จะคิดไกล่เกลี่ยข้อบาดหมางของสหาย เกรงว่าหากมีโอกาส ยังจะสอดมือเข้ามา เพื่อบดขยี้คนอื่น เป็นการบำเรออารมณ์ ดังนั้นเวลาที่อาตั้งกระแตกกระทั้นผู้แซ่งุ่ย จึงมิมีผู้ใดสนใจ
แต่อาตั้งพอล้มลง ก็มีชายฉกรรจ์เปลือยร่างท่อนบนสามคนพุ่งปราดเข้ามา จากนั้นผู้คุมแซ่ลี้ที่มีหนวดเครารกครึ้มก็ได้รับรายงานเร่งรุดมาถึง
ผู้คุมแซ่ลี้สอบถามต่อทุกผู้คน แล้วตรวจดูอาการบาดเจ็บของคนทั้งสอง ได้รับข้อสรุปว่า บริวารสองคนต่อสู้กกันจนบาดเจ็บสาหัส
ขณะนั้นผู้แซ่งุ่ยมีอาการสาหัส ลมหายใจร่อแร่รวยรินจนยากจะรักษาได้ ส่วนอาตั้งยังมิใคร่หนักหนา ปากส่งเสียงครวญคราง
แม้มันถูกทำร้ายที่ตำแหน่งอันตราย แต่หากลงมือรักษาทันท่วงที ขอเพียงแต่พักผ่อนสักหนึ่งหรือสองเดือน ก็สามารถฟื้นฟูเป็นปรกติ
ซิเล้งคำนึงในใจว่า
“…หากแม้นอาตั้งกับผู้แซ่งุ่ยล้วนถูกรักษาฟื้นฟูชีวิต พอทำการสอบสวน ทราบว่าพวกมันเกิดการขัดแย้งเพราะเสนอเราต่อฉื่อเซียวอุง ปัญหาข้อนี้ก็ยุ่งยากแล้ว…”
ที่แท้ซิเล้งหาใช่เกรงว่าฝ่ายตรงข้าม จะตรวจพบร่องรอยที่ตนสอดมือเข้าไปในการต่อสู้ครั้งนี้ หากแต่เกรงว่าอาตั้งพอให้คำรายงาน ผู้เฝ้ารักษาคนอื่นก็ล้วนทราบเรื่องนี้ และคงเสนอตนต่อเหล่าสตรีแพศยาอื่นๆ อีก
เมื่อเป็นเช่นนี้ ด่านนงคราญที่ชวนยุ่งยากใจ ก็สุดที่ซิเล้งจะหลีกเลี่ยงได้
เพราะเหตุนี้ ซิเล้งจึงใช้สมองนึกคิด หาทางลอบสังหารผู้แซ่งุ่ยกับอาตั้งทั้งสอง ขออย่าได้มีเบาะแสเค้ามูล
ผู้คุมแซ่ลี้ได้จากไปชั่วครู่แล้ว เสียงครวญครางของอาตั้งยิ่งนานยิ่งกังวาน แสดงว่าได้มีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้นแล้ว
ซิเล้งยังอยู่ห่างจากอาตั้งกับผู้แซ่งุ่ยระยะหนึ่ง ดังนั้นจึงยากที่จะมีโอกาสและวิธีการลงมืออันแนบแน่น พลันแลเห็นผู้คุมแซ่ลี้นำพาสตรีกลางคนนางหนึ่งเดินตรงเข้ามา จึงกระวนกระวายใจอย่างใหญ่หลวง
บุคคลทั้งสองก้าวเดินมาที่ข้างกายของอาตั้งกับผู้แซ่งุ่ย บรรดาผู้เฝ้าควบคุมบ่าวทาส ต่างน้อมกายคารวะต่อสตรีนางนั้น ท่าทีนอบน้อมยิ่งนัก
ซิเล้งได้ยินพวกมันเรียกนางว่า “อั้งตั่วโกว” ยามกะทันหันยากจะจำแนกศักดิ์ศรีของนาง รู้สึกว่าบนใบหน้าที่อ้วนฉุของนางประดับไว้ด้วยดวงตาคู่ที่ทอประกายอันดุร้าย
นางตรวจดูอาการบาดเจ็บของอาตั้งกับผู้แซ่งุ่ย จากนั้นก็ลุกขึ้นมา กล่าวว่า
“ผู้แซ่งุ่ยยากที่จะรักษาได้ ฝ่ายอาตั้งมีความหวังสักแปดส่วน”
ผู้คุมแซ่ลี้แย้มยิ้มต่อนาง กล่าวว่า
“การตรวจอาการของอั้งตั่วโกว ย่อมมิมีการผิดพลาดเพียงมิทราบว่า จะมีคำสั่งอย่างไร?”
“อาตั้งแม้มีความหวังฟื้นฟูได้ แต่เพราะบาดเจ็บสาหัส เวลารักษายุ่งยากยิ่ง และต้องมีผู้คนคอยปรนนิบัติ”
“ถ้าเช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่ยากลำบาก กำลังคนของเราก็ไม่เพียงพออยู่แล้ว ไหนเลยจะจัดแบ่งไปปรนนิบัติมันได้เล่า?”
อั้งตั่วโกว กล่าวว่า
“เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็พาลไม่ต้องช่วยเหลือ นับเป็นวิธีที่ง่ายดาย”
ผู้คุมแซ่ลี้เป็นชนชั้นเจ้าเล่ห์ จึงรีบกล่าวว่า
“อั้งตั่วโกวเมื่อมีคำสั่งเช่นนี้ เราก็จะปฏิบัติตามกฎ
“เฮอะ อย่าได้ผลักไสว่าเป็นความคิดของเรา ท่านหากยินยอมรักษาพวกมัน เราก็จะจัดหาตัวยามาให้”
ซิเล้งพอได้ยิน ก็ทราบว่าทั้งสองล้วนเป็นชนชั้นกลอกกลิ้งมากเล่ห์เหลี่ยม ต่างระมัดระวังว่า ฝ่ายตรงข้ามจะผลักไสภาระหน้าที่มายังตัวเอง
ตนลอบครุ่นคิดว่า
“…คนในสถาบันอำมหิต ล้วนเป็นชนชั้นอันชั่วร้ายจริงๆ แม้สำหรับกับพวกเดียวกัน ก็ยังเป็นเช่นนี้ นี่คือเรื่องสำคัญถึงชีวิตพวกมันกลับต่างไม่ยอมรับผิดชอบ”
ในใจของตน เต็มไปด้วยความชิงชังคลั่งแค้น แทบอาจจะประหัตประหารบุคคลที่ไร้มนุษยธรรมเหล่านี้ให้หมดสิ้น เพื่อมิให้สร้างเภทภัยต่อชนชาวโลก
ได้ยินผู้คุมแซ่ลี้ กล่าวว่า
“อั้งตั่วโกว เราไหนเลยจะกล้าผลักไสไปยังท่าน เพียงแต่เรื่องนี้ท่านเป็นคนรายงานต่อทางเบื้องสูง เราหากจัดการไม่ถูกต้อง เกรงว่ามิอาจรับภาระได้”
มันบ่งบอกอย่างชัดแจ้งว่า ปัญหาของเรื่องนี้อยู่ในข้อที่ว่า อั้งโกวจะรายงานและตัดสินใจอย่างไร ซึ่งหมายความว่ามันเกรงว่านางเวลารายงาน จะใส่ความต่อมัน
อั้งตั่วโกวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“เช่นนี้เถอะ ท่านบอกวิธีจัดการต่อเรา หากเราเห็นพ้องด้วย ย่อมไม่โทษว่าท่าน”
วาจาเช่นนี้เท่ากับแบ่งภาระรับผิดชอบสมดุลกัน พอบังเกิดเรื่องราว มิว่าผู้ใดก็ไม่อาจหลบรอดได้
ซิเล้งเห็นพวกมันด้วยกันเอง ก็หักเล่ห์ชิงเหลี่ยมถึงปานนี้ ไม่มีการเชื่อถือและช่วยเหลือซึ่งกันและกันเลย ในใจรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง
ผู้คุมแซ่ลี้ กล่าวว่า
“หากใช้น้ำอิทธิฤทธิ์อาการของพวกมัน มิเพียงแต่ไม่ต้องรักษา เขตของเรายังเพิ่มคนที่มีประโยชน์อีกสองคน ท่านเห็นเป็นอย่างไร?”
อั้งตั่วโกวผงกศีรษะ กล่าวว่า
“วาจานี้สอดคล้องกับเจตนาของเราทีเดียว”
ซิเล้งจวบจนบัดนี้ จึงรู้สึกปลอดโปร่ง เพราะว่าตนได้หลุดพ้นจากการถูกคุกคามเรื่องหนึ่ง แต่พร้อมกับนั้นก็รู้สึกไม่พอใจแทนผู้แซ่งุ้ยกับอาตั้ง เนื่องจากมิว่าในด้านมโนธรรมหรือตามเหตุผล ล้วนไม่สมควรทอดทิ้งพวกเดียวกัน
ผู้คุมแซ่ลี้ส่งเสียงกล่าวว่า
“เซียวหู นำน้ำอิทธิฤทธิ์มา”
ชายฉกรรจ์เปลือยร่างท่อนบนผู้หนึ่ง รับคำพุ่งจากไปพริบตาเดียวก็ถือป้านน้ำกลับมา
สังเกตจากสีหน้าของมันกับผู้เฝ้าควบคุมอีกสองคน มิเพียงแต่ไม่มีแววเวทนาเห็นใจ กลับมีท่าทีลนลาน หมายจะให้ผู้แซ่งุ่ยแซ่ตั้งทั้งสอง รีบกลับกลายเป็นบ่าวทาส สำหรับข้อนี้ ยิ่งทำให้ซิเล้งเห็นชัดแจ้งว่า คนในสถาบันอำมหิต ล้วนเป็นผู้ที่สมควรฆ่าทั้งสิ้น
ผู้แซ่งุ่ยกับแซ่ตั้งถูกกลอกน้ำอิทธิฤทธิ์เข้าไป มินานให้หลัง ล้วนผุดลุกขึ้นนั่ง ดวงตาเบิ่งค้างเลื่อนลอย
ผู้คุมแซ่ลี้นำพาสตรีกลางคนอั้งตั่วโกวจากไปและก่อนไปก็บงการให้เซียวหูทำหน้าที่แทนผู้แซ่งุ่ย และให้บริวารอีกสองคนพาผู้แซ่งุ่ยกับอาตั้งจากไป
เรื่องพิพาทบาดหมาง จวบจนบัดนี้ก็สิ้นสุดแล้ว แต่ได้สร้างความรู้สึกต่อซิเล้งอย่างลึกซึ้ง
ซิเล้งทางหนึ่งผลักเคลื่อนกงล้อให้หมุนไปตามจังหวะ ทางหนึ่งครุ่นคิดขึ้นว่า
“…บุคคลเหล่านี้ ไม่มีคุณธรรมที่น่าซาบซึ้ง นับว่าชวนหวาดหวั่นยิ่ง เรามิเข้าใจว่า คนอื่นไฉนไม่สำนึกถึงภยันตรายบทเรียนเหล่านี้ หรือว่ายังมิเพียงพอ
ความนึกคิดของตน หมกมุ่นไปทางอั้งตั่วโกว คำนึงว่า
“…สตรีมีจิตใจอำมหิตยิ่ง นางคงเป็นบุคคลสำคัญแถบนี้ ต่ำแหน่งไม่ต่ำต้อยกว่าฉื่อเซียวอุง ดังนั้นพอเกิดเหตุขึ้น ผู้คุมแซ่ลี้ต้องรายงานต่อนางก่อน
และเนื่องจากต่างก็มาเล่ห์เหลี่ยม หวาดระแวงว่าจะถูกอีกฝ่ายหนึ่งยึดกุมข้อบกพร่องของตัวเอง จึงระแวดระวังอย่างเต็มที่ อา… นี่เป็นสถานที่อันน่าสะพรึงกลัว ทุกคนต่างดำรงอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่เคลือบแคลง คอยมุ่งร้าย และป่าเถื่อน…”
ตนครุ่นคิดถึงตอนนี้ พลันเข้าใจได้ คำนึงอีกว่า
“…มิน่า อาณาจักรอัคคีนี้ ก่อตั้งขึ้นมานานแล้ว แต่อานุภาพยังไม่อาจควบคุมทั่วใต้หล้า เนื่องจากต่างมุ่งประทุษร้ายซึ่งกันและกัน ผู้คนในขบวนการตกตายไปมากมาย ด้านขุมกำลังมิสามารถแผ่ขยายอย่างรวดเร็ว…”
ในยามนั้นเอง หางตาพลันเหลือบแลเห็นเซียวหูผู้นั้นยืดกายขึ้นอย่างตื่นเต้น กวาดมองไปยังด้านหนึ่ง
ซิเล้งรีบสำรวจมอง แลเห็นนอกรัศมีเจ็ดแปดวา ผู้คุมแซ่ลี้ได้นำพาสตรีนางหนึ่ง เดินเหินมาทางด้านนี้อย่างแช่มช้า
สตรีนางนั้นแม้ท่ามกลางเปลวแดดที่แผดจ้า ยังเกล้าผมเป็นมวยสูง สวมใส่ชุดชาววัง จนคล้ายกับเทพธิดาในภาพวาด!
แต่ทว่าร่างท่อนล่างของนาง คลุมไว้ด้วยกระโปรงแพรผืนหนึ่ง ซึ่งเบาบางจนโปร่งใส ปราศจากอาภรณ์ชิ้นอื่นปกปิดเพิ่มเติมเลย
สตรีงามชุดชาววังนางนี้ มีสภาพที่ชวนเย้ายวน กอปรกับนางคิ้วเรียวงามตาสุกใส ผิวขาวดั่งหิมะ ก่อเกิดเป็นโฉมสะคราญที่ยากจะพบพานประเภทหนึ่ง
ซิเล้งหวนนึกถึงคำสารภาพของอึ้งยิ่ม เกี่ยวกับอิสตรีในความอุปการะของอลัชชีโลกันตร์ ก็ทราบได้ว่าสตรีงามชุดชาววังนางนี้ คือหนึ่งในจำนวนที่ว่า
พร้อมกับนั้น ตนก็เข้าใจได้ว่า ในคำสนทนาระหว่างผู้แซ่งุ่ยกับอาตั้งเมื่อคราแรก อาตั้งบอกว่าเกือบจะสลบไสลไป นั่นกลับมีเหตุผลยิ่ง
บุคคลเช่นซิเล้ง ซึ่งฝึกปรือวิชาพลังจิตสองสุดยอด พอพบเห็นสตรีงามนางนั้น ในใจยังบังเกิดความรู้สึกพลุ่งพล่านหวั่นไหว หากเป็นคนธรรมดา โดยเฉพาะผู้คนของสถาบันอำมหิตที่มากมายชั่วร้าย ย่อมมีความรู้สึกที่รุนแรงกว่า
ผู้คุมแซ่ลี้พาสตรีงามชุดชาววังนั้น เดินใกล้เข้ามา ซิเล้งยามชำเลืองมอง ก็พบว่าบนใบหน้าของบุรุษเครารกครึ้มนี้ เต็มไปด้วยสีหน้าที่ละโมบ ลามก และพรั่นพรึง
ประกายตาของผู้คุมแซ่ลี้ มักจะเหลือบมองร่างท่อนล่างของสตรีงามผู้ร่วมมา แต่มันก็คล้ายดั่งพบพานภูตพราย รีบรั้งสายตากลับมา มิกล้าจับจ้องอย่างเนิ่นนาน
ฝ่ายเซียวหูก็เป็นเช่นนั้น มันยามน้อมกายคารวะ ก็ฉวยโอกาสมองจากปลายเท้าขึ้นไป จนถึงใบหน้าของนาง แต่จากนั้นก็มิกล้าเหลียวแลอีก
ซิเล้งลอบสำรวมประกายตา กวาดมองไปเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย เพราะเหตุนี้นอกจากนางมายืนหยัดอยู่เบื้องหน้า หาไม่แล้วตนก็มิมีทางแลเห็นสตรีงามนั้น
ในยามนี้ซิเล้งเริ่มใช้หูคอยรับฟัง ได้ยินผู้คุมแซ่ลี้กล่าวว่า
“จับอิกโกว กงล้ออันที่เจ็ดนี้ เป็นอันที่มีผลรับต่ำทรามที่สุดในแปดกงล้อ บ่าวได้รายงานไปแล้วว่า จะต้องคัดเลือกทาสที่ดีเยี่ยมบางคนมา”
สตรีงามนางนั้นอุทานดัง อ้อ กล่าวว่า
“ตามคำบอกเล่าของท่าน ทาสในกงล้ออันที่เจ็ดล้วนใช้มิได้เลย?”
นางขณะกล่าววาจา ซิเล้งรู้สึกว่า ตนกำลังถูกประกายตาคู่ที่คมกล้าแจ่มกระจ่างจ้องมองอยู่ จนบังเกิดความรู้สึกไม่สบายอย่างหนึ่ง
ผู้คุมแซ่ลี้ กล่าวว่า
“บ่าววันนี้เพิ่งได้ทาสดีเยี่ยมมาคนหนึ่ง ซึ่งก็เป็นทารกนั้น มีนามว่าอาเฮี้ยง แต่นอกจากมัน บุคคลอื่นต่างใช้ไม่ได้”
จับอิกโกวเบือนสายตาจากจ้องมองซิเล้ง กล่าวอย่างเฉื่อยชาว่า
“ท่านต้องคิดหาหนทางอื่น แต่เรารู้สึกว่าบ่าวทาสเหล่านี้มีสีหน้าหิวโหย คาดว่าคงได้อาหารไปไม่มาก พวกท่านสมควรแก้ไขเรื่องจำกัดเสบียงอาหารด้วย”
ผู้คุมแซ่ลี้รับฟังจนมีใบหน้าซีดเผือด ลนลาน กล่าวว่า
“บ่าวย่อมต้องแก้ไขตามความประสงค์”
“แต่ขณะนี้กลับมาปัญหายุ่งยาก เกรงว่าท่านยากจะแก้ไข”
“มิทราบว่าเป็นเรื่องอันใด?”
จับอิกโกว กล่าวว่า
“เรารู้สึกว่าอาเฮี้ยงผู้นี้ไม่เลวนัก คิดจะพามันไป แต่เมื่อเป็นเช่นนั้น กงล้ออันที่เจ็ดก็จะยิ่งทรุดโทรมอีก”
ผู้คุมแซ่ลี้มิกล้าลังเลแม้แต่น้อย กล่าวว่า
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ขอเพียงจับอิกโกวชมชอบทาสผู้นี้ แม้บ่าวก็รู้สึกเป็นเกียรติ สำหรับเรื่องกงล้ออันที่เจ็ด บ่าวสามารถส่งบริวารสองคนเพิ่มเติมกำลังได้ชั่วคราว”
ซิเล้งรับฟังถึงตอนนี้ ก็มีจิตใจสับสน คำนึงว่า
“…นี่เรียกว่าฟ้ามีการเปลี่ยนแปลงยากหยั่งคาด คนมีเภทภัยที่นึกไม่ถึง เราเพิ่งผ่านการคุกคามอย่างหนึ่ง แต่กลับมาบังเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น”
ตนทราบจากปากคำผู้อื่นว่า สตรีงามชุดชาววังเหล่านี้ผิดแผกจากนางแพศยาอื่นอีก กล่าวคือผู้ใดหากมีความสัมพันธ์กับพวกนาง ก็จะต้องเสียชีวิต ซึ่งความนัยของเรื่องนี้ ยังไม่มีการเปิดเผยกระจ่าง
จับอิกโกวหัวร่อคิกคักอย่างปลอดโปร่งใจ ท่วงท่างามสะคราญยิ่ง มิว่าผู้ใดก็คาดคิดมิถึงว่า โฉมตรูชุดชาววังนางนี้ กลับเป็นดาวมรณะที่ทุกผู้คนหวั่นหวาด
ซิเล้งในใจเต็มไปด้วยความร้อนรุ่มกังวล ในเมื่อจับอิกโกวสตรีในความอุปการะของอลัชชีโลกันตร์กลับมาพบพาน ตนคาดว่ายากจะหลบเลี่ยงได้แล้ว…
ขณะนั้นประกายตาของจับอิกโกว กวาดมองมาทางซิเล้งอีก แต่พลันเหลือบพบว่า ผู้เฝ้าควบคุมบ่าวทาสเซียวหู กำลังจ้องมองต้นขาของนาง จึงเบือนหน้าไปมองมัน
เซียวหูพลันเงยหน้าขึ้น และพบพานดวงตาคู่ที่แจ่มกระจ่างของจับอิกโกว พลันสะท้านขึ้นทั้งร่าง ปรากฏท่วงท่าที่สูญสิ้นสติสัมปชัญญะ
มันพลันย่อไหล่ลง คล้ายกับจะสืบเท้าไปเบื้องหน้าซิเล้ง ทางหนึ่งลอบชมดู อีกทางหนึ่งรู้สึกว่าเซียวหูเมื่อสอดแทรกกายเข้ามาเช่นนี้ ตนคงพอมีเวลาอยู่สงบได้บ้าง
ซิเล้งหวนนึกถึงวาจาของฉื่อเซียวอุง รู้สึกสว่าที่นี้เปี่ยมภยันตรายที่คาดคิดมิถึงทุกวินาที ดังนั้นจึงลอบตัดสินใจว่า หากวาสนายังเป็นของตน ค่ำคืนนี้จะต้องหลบหนีออกไปแล้ว!
เซียวหูสืบเท้าก้าวเข้าหาจับอิกโกว ซิเล้งก็ลอบระบายลมหายใจ กำลังนึกว่าผ่านด่านนี้ได้
ทันใดนั้น นอกรัศมีสามวา แว่วสำเนียงอันหยาดเยิ้ม แม้แต่เซียวหูก็งงงันวูบหนึ่ง เบือนสายตาไปมองดู
แลเห็นเงาร่างผู้คนถลันวูบ สตรีงามชุดชาววังที่มีส่วนสัดสมบูรณ์นางหนึ่ง ก็ยืนหยัดอยู่ห่างจากเซียวหูไม่เกินห้าเชี๊ยะ
นางรู้สึกว่าอายุสูงวัยกว่าจับอิกโกว แต่ก็ชวนให้ลุ่มหลงกว่า เซียวหูถูกอัคคีปรารถนาบดบังสติสัมปชัญญะ พอพบเห็นสตรีสาวเช่นนี้ ประกายตาก็เหลือบมองไปยังท่อนล่างของนาง และพบว่าสวมกระโปรงแพรที่บางเบาอยู่เช่นกัน
ผู้คุมแซ่ลี้ขณะนั้นได้ส่งเสียงว่า
“เก๊กฮูหยิน บ่าวขอน้อมพบ”
สุ้มเสียงของมันแม้กึกก้อง แต่เซียวหูยังงมงาย มิรู้สึกตัว จับอิกโกวขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายดั่งมิพอใจต่อการที่เก๊กฮูหยินช่วงชิงเซียวหูไป
ซิเล้งโดยมิต้องเหลือบมองก็ทราบได้ว่า เซียวหูได้โอบกอดเก๊กฮูหยินนั้นจากไปแล้ว ตามรายทางยังแว่วสำเนียงหัวร่อที่เจื้อยแจ้วไม่สำรวมของเก๊กฮูหยิน
จับอิกโกวขุ่นเคืองจนขยี้เท้า แต่ศักดิ์ศรีของนางคงต่ำต้อยกว่าเก๊กฮูหยินผู้สูงวัย จึงมิกล้าทำอย่างไร กลับถลึงตาเข้าใส่ผู้คุมแซ่ลี้
ผู้คุมแซ่ลี้ใจหายวาบ รีบกล่าวว่า
“จับอิกโกว เซียวหูมีเรือนร่างต่ำเตี้ย สารรูปหยาบกร้านไหนเลยจะคู่ควรกับท่าน ยังคงนำพาอาเฮี้ยงผู้นั้นไป รับรองว่ายอดเยี่ยมกว่าเซียวหูมากมายนัก”
ประกายตาอันดุร้ายของจับอิกโกว เบือนมาทางซิเล้ง แต่แล้วดวงตาทั้งคู่ของนางก็ค่อยๆ กลับคืนเป็นปรกติ
ซิเล้งเริ่มสำนึกได้ว่า ตนกำลังเผชิญกับความยุ่งยากอีกแล้ว ในใจได้ลอบแผดด่าผู้คุมแซ่ลี้ แต่เปลือกนอกยังแสร้งแสดงท่าทีอันเซื่องซึม แม้ดวงตาก็มิกลอกกลิ้ง
ผู้คุมแซ่ลี้รู้สึกได้ว่า จับอิกโกวมีความชมชอบต่อซิเล้งจึงกล่าวอีกว่า
“จับอิกโกว ท่านลองดูร่างกายของอาเฮี้ยงนั้นกล้ามเนื้อรวมตัวกันอย่างหนาแน่น หากคิดฝึกปรือฝีมือ กลับเป็นส่วนสัดที่ประเสริฐ”
จับอิกโกวผงกศีรษะกล่าวว่า
“ท่านกลับมีสายตาอยู่บ้าง”
“จับอิกโกวชมเชยเกินไปแล้ว บ่าวเพียงแต่รับหน้าที่คัดเลือกทาสที่แข็งแรงมาเนิ่นนาน จึงพอมีความชำนาญเกี่ยวกับการดูคนอยู่บ้าง”
“เฮอะ ท่านเมื่อคราแรกคล้ายกับมิยินยอมมอบอาเฮี้ยงให้กับเราด้วย”
“บ่าวแม้จะมีขวัญบังอาจเทียมฟ้า ก็มิกล้าเช่นนั้น”
จับอิกโกวแค่นหัวร่ออย่างเย็นชา กล่าวว่า
“ท่านเข้าใจว่าเราสังเกตมิได้หรือ เฮอะ วิชาสังเกตจิตใจของเรา ได้รับการถ่ายทอดมาจากท่านประมุขเฒ่า ท่านไม่อาจปิดบังเราหรอก”
“บ่าวมิกล้าจริงๆ เพียงมิทราบว่าอะไรคือวิชาสังเกตจิตใจ?”
“นั่นเป็นวิชาที่หยั่งคาดความในใจของบุคคลอื่น ซึ่งเป็นความรู้ที่ลึกซึ้ง พวกเราต่างได้รับถ่ายทอดจากท่านประมุขเฒ่า แต่ก็มิใช่สำเร็จแตกฉานทุกคน…”
นางหยุดเล็กน้อย กล่าวอีกว่า
“สมมุติว่าท่านเกรงว่าเราจะสอบสวนต่อไป จึงรีบถามว่าอะไรคือวิชาสังเกตจิตใจ หมายจะหันเหหัวเรื่องใช่หรือไม่?”
ผู้คุมแซ่ลี้ถึงกับอ้ำอึ้งไป จับอิกโกวพลันปรากฏรอยยิ้มขึ้น กล่าวว่า
“เราบอกกับท่าน ขณะนี้เราได้เปลี่ยนแปลงความคิดแล้ว”
ซิเล้งลอบโห่ร้องในใจ แต่แล้วก็หวนนึกว่า นางปิศาจนี้มีวิชาสังเกตจิตใจ จึงรีบผนึกพลังจิตขึ้น กลับกลายเป็นผู้ไม่มีทีท่าแสดงความรู้สึกใดๆ
ผู้คุมแซ่ลี้กล่าวอย่างสงสัยใจว่า
“จับอิกโกวมีความนึกคิดอันใด?”
“เราตลอดเวลาไม่ชมชอบบุรุษที่มีหนวดเครา แต่บัดนี้พลันนิยมขึ้นมา หมายความว่าเราบังเกิดความสนใจในตัวท่านแล้ว”
ผู้คุมแซ่ลี้แตกตื่นจนหน้าซีดเผือด กล่าวตะกุกตะกักว่า
“บ่าวมีตำแหน่งต่ำต้อย ไหนเลยจะคู่ควรกับการแยแสของโกวเนี้ย”
“อือม์ โบราณมีวลีว่า เสียชีวิตใต้บุปผา เป็นปิศาจก็สำราญ ท่านแม้แต่ความกล้าในด้านนี้ก็มิมีหรือ?”
“แต่บ่าวก็จดจำวลีที่ว่ามดปลวกยังรักชีวิตได้ การที่ว่าตายดีมิสู้อยู่อย่างลำเค็ญ เป็นความรู้สึกของบ่าว”
มันพลันมีท่าทีสงบและสามารถตอบโต้ ทำให้ซิเล้งพิศวงมิเข้าใจยิ่งนัก
จับอิกโกวแค่นเสียงออกมา กล่าวกับผู้คุมแซ่ลี้ว่า
“หมายความว่าท่านมิยอมสนิทสนมกับเราแล้ว?”
“ท่านประมุขเฒ่าเคยมีคำสั่งว่า พวกท่านศักดิ์ศรีสูงส่งยิ่ง ทุกผู้คนล้วนต้องเคารพนบนอบ บ่าวจึงมิกล้าวู่วามตามอารมณ์”
ซิเล้งจึงทราบได้ว่า ผู้คุมแซ่ลี้เริ่มอาศัยคำอ้างอิงมาปฏิเสธ แต่ทว่าจับอิกโกวกลับกล่าวว่า
“แต่เราสามารถออกคำสั่งเด็ดขาด ท่านมิอาจไม่กระทำตาม”
ผู้คุมแซ่ลี้คาดมิถึงว่า ฝ่ายตรงข้ามจะอาศัยศักดิ์ศรีของนางมาบีบบังคับ ซึ่งหากขัดขืน ก็ต้องตกตาย ท่ามกลางทัณฑ์ทรมานด้วย
เนิ่นนานให้หลัง ผู้คุมแซ่ลี้จึงกล่าวว่า
“ในเมื่อท่านมีเจตนาปองร้ายต่อเรา บ่าวแม้จะรักชีวิต ก็มิมีหนทางหลบเลี่ยงได้ เพียงแต่ก่อนตกตายยังได้รับความสุข นับว่าไม่เลวทรามนัก”
จับอิกโกวกล่าวว่า
“ท่านตัดสินใจได้ถูกต้อง แต่เรายังมิเข้าใจ มนุษย์เราย่อมต้องตกตาย นี่เป็นหลักมาแต่โบราณกาล ท่านเพียงจบชีวิตนี้ไปก่อน มีอันใดน่าหวาดหวั่นด้วย?”
“การไม่กลัวตาย จึงจะเป็นเรื่องอันพิกล นี่เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์เรา”
“นั่นกลับมิแน่นัก สมมุติว่าเรากับพวกพี่น้องล้วนมิกลัวตาย ท่านลองยกเหตุผลที่ต้องกลัวตายออกมาฟังดู”
ผู้คุมแซ่ลี้กล่าวอย่างตะกุกตะกักว่า
“เราสามารถยกเหตุผลได้พันข้อ สมมุติว่ามนุษย์พอตกตายแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในใต้หล้า ก็มิมีทางตักตวงอีก…”
“โดยสรุปแล้ว การตายของมนุษย์เป็นการหลับใหลตลอดกาลท่านเวลาหลับนอนรู้สึกเจ็บปวดหรอกหรือ?”
“เราไม่เข้าใจเหตุผลของท่าน เพียงแต่ว่าบุคคลทั่วไปล้วนเกรงกลัวต่อความตาย เราไม่นอกเหนือกฎเกณฑ์”
จับอิกโกว เงียบงันได้ครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“เราจะต้องไปฝึกปรือพลังฝีมือแล้ว การนัดพบของพวกเราขอยืดไปถึงค่ำคืนนี้ เราจะไปพบที่ห้องของท่าน”
ผู้คุมแซ่ลี้อับจนปัญญา ได้แต่บ่งบอกห้องที่พักอาศัย กล่าวต่อจับอิกโกว
จับอิกโกวพลันแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวานกล่าวว่า
“ท่าน ยังคงโกนหนวดเคราทิ้งไป เราเชื่อว่าหากกระทำเช่นนั้น ท่านคงสง่างามขึ้น”
ผู้คุมแซ่ลี้ ได้แต่รับคำ จ้องมองนางบิดกายจากไปและในยามนี้ก็มิสำรวมตนอีก เบิ่งตาเพ่งมองแต่ร่างท่อนล่างที่ถูกแพรบางปกปิดของนาง
จับอิกโกวพอไปแล้ว ผู้คุมแซ่ลี้พลันหยิบฉวยแส้หนังขึ้น หวดกระหน่ำใส่บรรดาบ่าวทาสที่ผลักเคลื่อนกงล้ออย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ ท่าทีป่าเถื่อนดุร้ายยิ่ง
แต่ทว่า ซิเล้งซึ่งพลอยถูกทำร้ายด้วย กลับมิตำหนิมัน เนื่องจากบุคคลพอทราบว่ากำหนดมรณะได้กรายมา และอับจนปัญญา มักมีปฏิกิริยาที่ผิดสามัญเช่นนี้
มีบ่าวทาสสามคน ล้มฟุบลงไปตามลำดับก่อนหลัง คาดว่าห่างจากความตายไม่ไกลเท่าใด และกงล้ออันที่เจ็ด ก็ได้รับผลกระทบกระเทือน ความเร็วเมื่อยามเคลื่อนไหวลดถอยลง
ซิเล้งย่อมมิได้รับบาดเจ็บ แต่ตนพลันรู้สึกกังวลใจ ทั้งนี้เพราะกงล้อเหล่านี้ แสดงว่ามีประโยชน์อย่างมหาศาล บัดนี้ความเร็วลดลง อาจจะทำให้อลัชชีโลกันตร์เร่งรุดมา
อาศัยสายตาและภูมิปัญญาของอลัชชีโลกันตร์ มิแน่นักว่าจะพบข้อพิรุธของซิเล้ง ทราบว่าตนไม่ถูกฤทธิ์ยาของน้ำอิทธิฤทธิ์ควบคุม
เหตุการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนั้น ซิเล้งก็มีแต่ลงมือเสี่ยงชีวิตแล้ว
ซิเล้งมิใช่เกรงว่าตนมีกำลังโดดเดี่ยว แม้จะต่อสู้จนสิ้นเรี่ยวแรงและเสียชีวิต ก็มิมีความหวาดหวั่น ปัญหาอยู่ที่ตนหากมิอาจไม่ลงมือ แผนการใหญ่ของกี้เฮียงเค้ง ก็จะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
กี้เฮียงเค้งคราครั้งนี้ รวบรวมกำลังทั้งหมด แต่หากมิมีทางกวาดล้างสถาบันอำมหิต โดยมิต้องสงสัย ภายภาคหน้ายิ่งไม่ต้องมุ่งหวังเลย
ซิเล้งกังวลในสถานการณ์ของใต้หล้า สำหรับความเป็นความตายของตัวเอง กลับไม่แยแสสนใจ นี่เป็นคุณสมบัติของวีรบุรุษผู้ห้าวหาญนั่นเอง
ตนคิดจะลอบเพิ่มเรี่ยวแรง ผลักเคลื่อนกงล้อให้รวดเร็วกว่านี้ แต่แน่นอน พฤติการณ์เช่นนั้นก็ไม่เหมาะสม ทำให้ผู้คนพบเห็นได้ว่าไม่ถูกต้อง และพอสืบสวนก็จะแพร่งพรายความลับ
ในยามนั้นเอง พลันได้ยินสำเนียงตวาดดังเจื้อยแจ้ว ซิเล้งรู้สึกปลอดโปร่งใจชื้นอีกอักโข เนื่องจากจดจำได้ว่า นั่นเป็นเสียงของฉื่อเซียวอุง
นางกล่าวอย่างเย็นชาว่า
“ผู้คุมแซ่ลี้ ท่านเป็นอย่างไรไปแล้ว?”
ผู้คุมแซ่ลี้ยังสะบัดแส้โดยมิหยุดยั้ง แต่ท่าทีแข็งกระด้างยิ่ง สวนคำวว่า
“ผู้ใดเป็นอย่างไรไป?”
ฉื่อเซียวอุง กล่าวว่า
“กงล้ออันที่เจ็ด ได้เชื่องช้าไปมิน้อย ท่านไม่ไปรายงานต่อทางเบื้องสูง กลับมาลงมือใส่บ่าวทาสอย่างไร้สาเหตุ เกรงว่าจะมีความผิดถูกลงทัณฑ์”
“ท่านมิต้องยุ่งเกี่ยว”
ฉื่อเซียวอุงได้ยินเช่นนั้น ก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัยคำนึงว่า
“…มันมีท่าทีผิดปรกติ คาดว่าคงมีเลศนัย เราแม้จะฆ่ามันได้ แต่เกรงว่าพอเกิดเรื่องขึ้นมา จะทำให้ศักดิ์ศรีของซิเล้งถูกเปิดโปง…”
ดังนั้นจึงกล่าวว่า
“ท่านกล้าไร้มารยาทต่อเรา คงมีความถือดีอันใด แต่ข้าพเจ้าขอตักเตือนท่าน หากท่านก่อกวนอย่างวุ่นวาย ก็เป็นการสร้างเภทภัยต่อตัวเองแล้ว”
ผู้คุมแซ่ลี้ถูกวาจาของนางกระตุ้นจนฟื้นฟูสติ พลันถอนหายใจยาวๆ กล่าวว่า
“เราเนื่องจากรู้สึกว่า ยากจะมีชีวิตสืบไป จึงกลับกลายเป็นเช่นนี้ อุงโกวอบรมได้ถูกต้องทีเดียว”
มันกวาดสายตามองไปรอบบริเวณ จากนั้นก็เรียกหาผู้เฝ้าควบคุมมา บงการให้แบ่งปันกำลังผู้คนจากแห่งอื่น มาชดเชยจำนวนที่ขาดแคลนของกงล้ออันดับเจ็ด และให้ผู้คนขนย้ายบ่าวทาสที่บาดเจ็บสาหัสจนเสียชีวิตสามคนนั้นไป
ในยามนั้นเอง ซิเล้งได้ใช้วิชาส่งเสียงทางลมปราณ บอกกล่าวเหตุการณ์ที่ผ่านมาต่อฉื่อเซียวอุง
ฉื่อเซียวอุง จับจ้องมองมาทางซิเล้งตลอดเวลา ประกายตามีแววห่วงใย ซิเล้งทราบว่านางมาครั้งนี้ เพราะเห็นตนพลอยถูกผู้คุมแซ่ลี้ใช้แส้ทำร้าย จึงส่งเสียงกับนางว่าตนมิเป็นไร
ทิวานี้ ในที่สุดก็ผ่านพ้นไป พอถึงเวลาที่สุริยันลาลับไป กงล้อที่มีอยู่ก็ชะงักการหมุนเคลื่อน ลมยามเย็นพอโชยพัดมา เริ่มรู้สึกหนาวเหน็บแล้ว
บ่าวทาสทั้งหมด ถูกไล่ต้อนไปที่ใต้ชะง่อนผา ทางด้านหลังของตึกศิลาสองแถว ห่างจากที่ใช้แรงงานยี่สิบกว่าวา
ในที่นั้นมีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง ภายในถ้ำกว้างขวางผิดสามัญ แต่อากาศชวนอัดอั้นยิ่ง
ซิเล้งถูกกลิ่นเหงื่อไคลบนร่างบ่าวทาสหลายร้อยคนรมจนศีรษะมึนงง แทบทนทานมิได้
ยามวิกาลได้กรายมา ภายในถ้ำมีคบเพลิงสี่ห้าอัน เสียบอยู่บนผนังถ้ำ พอจะมีแสงสว่าง เวลาเคลื่อนไหวสามารถเห็นโขดหินที่ยื่นยาวออกมา ไม่ถึงกับกระแทกถูก
ซิเล้งตลอดเวลาซุกกายอยู่ใกล้กับปากทางเข้านาสิกสูดกลิ่นอันคละคลุ้งอบอวล แลเห็นแต่ภาพที่มืดสลัว ได้ยินเสียงครวญคราง เสียงขบฟัน บางครั้งก็มีเสียงร้องอย่างคลุ้มคลั่ง
สภาพเหล่านี้ทำให้ผู้คนรู้สึกว่า นี่เป็นขุมนรกที่แท้จริง และบุคคลเหล่านี้ก็เป็นซากศพที่เดินได้ ผู้พบเห็นล้วนคิดจะเตลิดหนีจากที่นี้
ความอบอุ่นภายในถ้ำ พร้อมกับวิกาลที่ดึกสงัด ค่อยๆ ลดต่ำลง แต่การเปลี่ยนแปลงไม่ร้ายแรงเท่าใด
ซิเล้งเริ่มก้าวเดินออกมานอกถ้ำ พลันทราบว่าทางด้านนอกหนาวเย็นยิ่ง หากเป็นบุคคลธรรมดา บนร่างกายไม่มีเสื้อผ้ารักษาความอบอุ่น ก็จะแข็งตัวตายไป
ตนกวาดมองไปรอบบริเวณ มิแลเห็นเงาร่างผู้คน จึงพุ่งปราดๆ ไปอย่างว่องไว มาถึงละแวกใกล้เคียงของตึกศิลาสองแถวนั้น
นี่เป็นที่อยู่ของพวกผู้ควบคุมนักโทษ แลเห็นภายในห้องหับทุกหลัง ล้วนมีแสงโคมไฟสาดลอดออกมา
พอเข้าไปใกล้ นาสิกสามารถสูดกลิ่นหอมของสุราและเนื้อย่าง นี่ทำให้ตนพลันรู้สึกหิวกระหาย
ซิเล้งยิ้มน้อยๆ คำนึงว่า
“…นี่จึงจะเป็นการเย้ายวนอย่างใหญ่หลวง หากแม้นเราหิวโหยอีกหลายวัน เกรงว่าไม่อาจทนทานต่อกลิ่นหอมเหล่านี้ตามรูปการณ์ เรามิสามารถอยู่ที่นี้สืบไปจริงๆ…”
ซิเล้งทุ่มเทวิชาท่าร่างอันว่องไว วนเวียนอยู่รอบตึกศิลาทั้งสองแถวตลบหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ประมาณหกสิบหลัง ล้วนกว้างขวางและตกแต่งอย่างไม่เลวนัก หาใช่มีอย่างจำกัดตามความคาดคิดของตนไม่
มีอยู่บางห้องแม้จะจุดโคมไฟ แต่ไม่มีเงาร่างผู้คน บางห้องมีชายฉกรรจ์หกเจ็ดคน กำลังดื่มสุราหรือเล่นพนัน ส่วนบางห้องปิดประตูหน้าต่าง มิอาจแลเห็นสภาพภายใน
ซิเล้งสำรวจจนแน่ใจว่า รอบบริเวณไม่มีผู้คนลาดตระเวน จึงพุ่งกายไปยังห้องหับที่ผู้คุมแซ่ลี้อยู่อาศัย ซึ่งซิเล้งได้ยินเมื่อยามที่มันบอกต่อจับอิกโกว
ห้องหับหลังนั้นปิดประตูหน้าต่าง แต่มิได้ดับโคมไฟ
ซิเล้งคิดจะพุ่งไปที่ใต้หน้าต่าง ฟังดูว่าภายในห้องมีการเคลื่อนไหวอันใดหรือไม่
แต่ทว่า บานหน้าต่างของห้องแถวนี้ ทางด้านนอกเป็นพื้นที่ราบเรียบ ไม่มีต้นไม้หรือวัตถุอื่นใด กอปรกับทุกๆ ห้องล้วนจุดโคมไฟ จึงสว่างไสวยิ่ง
ดังนั้น ซิเล้งหากเร้นกายมาถึงใต้หน้าต่าง ขอเพียงแต่มีผู้คนผ่านมา ก็สามารถเห็นร่องรอยของตน เปี่ยมอันตรายยิ่งนัก
ซิเล้งขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลันพุ่งทะยานขึ้นไปเบื้องบนอากาศ โคจรลมปราณตลบหนึ่ง ร่างพลันกรีดขึ้นสูง พลิ้วลงบนหลังคาตึก
ตึกศิลาสองแถวนี้ หลังคาปูด้วยแผ่นกระเบื้อง ตนพอยู่บนหลังคาตึก ก็มิขยับเคลื่อนไหวอีก ย่อกายลงอย่างระมัดระวัง ใบหูเกือบจะแนบชิดกับแผ่นกระเบื้อง
ซิเล้งเริ่มรวบรวมสมาธิลอบรับฟัง อย่างนอกเหนือความคาดหมาย ภายในห้องกลับปราศจากสุ้มเสียงสำเนียงใด
“ซิเล้งสงสัยใจเป็นที่ยิ่ง คำนึงว่า
“…หรือว่าเราได้มาสายไปก้าวเดียว?…”
ตนยื่นมือลูบคลำแผ่นกระเบื้อง และพบว่ามีความแข็งแกร่งยิ่ง ไม่แตกสลายอย่างง่ายดาย ตนขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจว่า มิอาจไม่เสี่ยงอันตราย งัดแงะกระเบื้องสักแผ่นหนึ่ง
ดังนั้นจึงผนึกพลังภายในที่นิ้วทั้งห้า งัดขึ้นสู่เบื้องบนอย่างเบาไม่หนักหน่วง ในยามนี้ ซิเล้งทุ่มเทพลังภายในจนสุดตัว ควบคุมการใช้กำลังอย่างระมัดระวัง
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป