วีรบุรุษผู้พิฆาตเล่ม 27 ตอนที่ 67 :: อาณาจักรอัคคีใหญ่

0
1853

๖๗
♦ อาณาจักรอัคคีใหญ่ ♦
……………

 

ซิเล้งกล่าวถามว่า

“นั่นเป็นเพราะเหตุใด?”

ฉื่อเซียวอุง กล่าวว่า

“เพราะแน่นักว่าบางครั้ง ฝ่ายเราจะแพร่งพรายวาจาที่มุ่งร้ายต่อฝ่ายตรงข้าม เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะถูกสหายสนิทใส่ร้ายชักนำเภทภัยมา”

“ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว สมมุติว่าท่ามกล่างกลิ่นหอมประหลาดของซาเอี้ยผู้นั้น มันหากถามปัญหาที่เกี่ยวกับผู้สนิทสนมที่สุดของท่าน ยามนั้นท่านมีสติมิแจ่มชัด ก็จะบอกตามความสัตย์ บางครั้งสหายท่านอาจเพียงกล่าววาจาแสดงความไม่พอใจ แต่นั่นก็จะชักนำเภทภัยต่อตัวเองใช่หรือไม่?”

ฉื่อเซียวอุง กล่าวว่า

“ถูกต้อง ดังนั้นขณะนี้พอเชื่อท่านได้ ก็รู้สึกปลาบปลื้มปีติอย่างสุดแสน”

ประกายตากวาดมองไปยังเบื้องหน้า กล่าวอีกว่า

“ทางด้านที่มีเปลวอัคคีลุกช่วงโชติจรดท้องฟ้านั้น ก็คือใจกลางของแดนอัคคีใหญ่ บ่าวทาสหลายร้อยคนผลัดเปลี่ยนกันทำงานอยู่ ที่นั่น”

ซิเล้งกวาดสายตาไป แลเห็นที่อยู่ห่างไปหลายลี้ ประกายอัคคีได้ลุกฮือโหมจนท้องฟ้ายามราตรีแถบหนึ่งกลับกลายเป็นสีแดงฉาน

คนในยามนี้ยังมิอาจแลเห็นสภาพที่แท้จริงของแดนอัคคีใหญ่ แต่เปลวเพลิงสีแดงช่วงโชตินั้น ทำให้ตนบังเกิดความรู้สึกที่หวั่นไหว

ได้ยินฉื่อเซียวอุงกล่าวว่า

“พวกเราทางที่ดี รอจนฟ้าสางสว่างแล้วค่อยเข้าไป”

ซิเล้งกล่าวว่า

“แล้วแต่ท่านเถอะ สำหรับท่านยามไปรายงานตัวต่อซาเอี้ยผู้นั้น ต้องระมัดระวัง อย่าได้มีพิรุธ”

“ความจริง ท่านจะมีพิรุธได้ง่ายกว่าข้าพเจ้า ดังนั้นที่ควรกังวลคือท่าน หาใช่ข้าพเจ้าไม่”

“โดยสรุปแล้ว พวกเราต้องระวังตัว ข้าพเจ้าจะรับประทานเสบียงอาหารก่อน เพื่อให้อิ่มท้องหลังจากนั้นอีกสองสามวัน ก็ปล่อยให้มันหิวโหยไป”

“หากแม้นมีโอกาส ข้าพเจ้าจะต้องส่งอาหารทั้งน้ำดื่มให้กับท่าน”

ซิเล้งโบกมือเป็นการตัดบท กล่าวว่า

“ท่านผิดพลาดไปแล้ว ในสองสามวันนี้ ท่านอย่าได้ติดต่อกับข้าพเจ้า หากแม้ท่านส่งอาหารหรือน้ำดื่มให้ข้าพเจ้า ก็หมายความว่าร่องรอยและแผนการพวกเรา ถูกระแคะระคายแล้ว

ข้าพเจ้าพอเห็นสัญญาณเช่นนั้น ก็จะปฏิบัติการอย่างฉับไวที่สุด ลงมือจู่โจมทันที อาจจะมีความหวังอยู่บ้างว่า สามารถฆ่าชนชั้นผู้นำได้ แล้วพวกเราค่อยหลบหนีไป”

ฉื่อเซียวอุงผงกศีรษะ กล่าวว่า

“นี่เป็นแผนการที่ประเสริฐจริงๆ หากแม้นพวกเราไม่รอบคอบรัดกุม ถูกซาเฮียสืบทราบเข้า ยามนั้นข้าพเจ้าจะแสร้งทำเป็นหวาดกลัว ต้องการสร้างความดีความชอบ เสนอแนะว่าจะส่งน้ำอิทธิฤทธิ์ไปให้ท่าน แน่นอนข้าพเจ้าต้องคุยโอ่ต่อมันก่อนว่า ท่านมีพลังฝีมือร้ายกาจ มันจึงยอมให้ข้าพเจ้าดำเนินแผนนี้”

นางหัวเราะอย่างลำพองใจ กล่าวอีกว่า

“พวกมันย่อมคาดคิดมิถึงว่า นั่นเป็นสัญญาณแจ้งให้ท่านลงมือได้”

ซิเล้งก็อดหัวร่อไม่ได้ กล่าวว่า

“แต่ทางที่ประเสริฐ ยังคงอย่าได้มีเหตุการณ์เช่นนั้น”

ในยามนี้ อีกเนิ่นนานถึงจะฟ้าสาง ซิเล้งดื่มน้ำลำธารที่ฉื่อเซียวอุงเสาะหามา จากนั้นก็ทรุดกายนั่งขัดสมาธิ ผนึกพลังจิตสองสุดยอดที่ทั่วใต้หล้าไร้เทียมทานนั้น

พอใกล้จะสว่าง ตนก็ลืมตาขึ้นมาพอดี แลเห็นฉื่อเซียวอุงพริ้มตาทำเป็นหลับใหล แต่แสดงว่ามิได้หลับสนิท พอได้ยินเสียงเคลื่อนไหว ก็ลืมตาขึ้นมา

ซิเล้งถามว่า

“ท่านมิได้หลับนอนหรือ?”

ฉื่อเซียวอุงสั่นศีรษะ นางแม้มิได้เอื้อนเอ่ยออกมา แต่จิตใจที่สับสน พรั่นพรึงและตึงเครียด ได้แสดงออกอย่างชัดแจ้ง

ซิเล้ง กล่าวว่า

“ท่านสงบอารมณ์ลงบ้าง อย่าได้ทำให้ตัวเองรู้สึกตึงเครียดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มิอาจระแวงคลางแคลงไปต่างๆ นานา จนมีพิรุธน่าสงสัย”

ฉื่อเซียวอุง กล่าวว่า

“ข้าพเจ้าไหนเลยจะมิทราบสาเหตุนี้ แต่ข้าพเจ้ามิมีหนทางทำให้สงบอารมณ์ลงได้”

“หากแม้นท่านมีความเชื่อมั่นในตัวข้าพเจ้า เข้าใจว่าแม้เรื่องราวจะถูกเปิดเผย ข้าพเจ้ายังมีกำลังคุ้มครองท่านหลบหนีไปได้ ท่านก็คงสามารถสงบอารมณ์แล้ว”

“หากถึงเวลานั้น ท่านเองคิดจะหลบหนียังมิทันท่วงที ไหนเลยจะมาดูแลข้าพเจ้าได้?”

ซิเล้งกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า

“หากจะให้ข้าพเจ้าล้มล้างสถาบันอำมหิต ด้วยกำลังเพียงลำพัง ย่อมเป็นเรื่องยากลำบากยิ่ง แต่ข้าพเจ้าหากบุกออกจากวงล้อมของพวกมันได้ แม้จะเป็นอลัชชีโลกันตร์นำบริวารทั้งหมดมา ข้าพเจ้าก็มิเกรงกลัว”

ตนหยุดไปเล็กน้อย กล่าวอีกว่า

“สำหรับท่าน ข้าพเจ้าได้รับการช่วยเหลือจากท่าน เข้าไปถึงถ้ำพยัคฆ์ หากมีอุบัติเหตุ ข้าพเจ้ายินยอมเสียชีวิต แต่จะไม่ทอดทิ้งท่านเลย”

ขณะกล่าววาจา ซิเล้งมีท่วงท่าแกร่งกร้าว น้ำเสียงก็แฝงไว้ด้วยพลังที่ผู้คนเชื่อถือได้ ทำให้ไม่เคลือบแคลงสงสัย

ฉื่อเซียวอุงระบายลมหายใจออกมา กล่าวว่า

“นี่คือความแตกต่างระหว่างท่านกับคนในอาณาจักรเรา ขณะอยู่กับท่าน มิขอกล่าวถึงความคมคายสง่างาม และบุคลิกที่ฮึกเหิมของท่าน ประการสำคัญคือ ท่านมีการแสดงออกที่ทำให้ผู้คนเชื่อถือได้”

ซิเล้งเพียงยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า

“พวกเราคงเดินทางได้แล้วกระมัง?”

ฉื่อเซียวอุงลุกขึ้นมาอย่างมิยินยอมพร้อมใจ กล่าวว่า

“อา โอกาสที่จะได้สนทนากันอย่างสงบเช่นนี้ ภายภาคหน้าจะมีหรือไม่เล่า?”

“ย่อมต้องมี แต่พวกเราอย่าเพิ่งไปนึกคิดให้มากความ สมควรรวบรวมกำลัง ต่อต้านกับด่านเฉพาะหน้าเสียก่อน”

ฉื่อเซียวอุง กล่าวเบาๆ ว่า

“ข้าพเจ้าแม้ตกลงใจแล้ว แต่พอเผชิญกับเหตุการณ์ก็หวั่นวิตกไม่สบายใจ แม้ทราบว่าในที่สุดก็ต้องไป แต่ยังเยิ่นเย้อลากถ่วงเวลา”

ซิเล้งขบคิดดู ในประสบการณ์ที่ผ่านมาของตน ความรู้สึกเช่นนี้ก็เคยมีมาก่อน จึงผงกศีรษะ กล่าวว่า

“ข้าพเจ้าเชื่อว่ามนุษย์ทุกรูปนาม เคยมีประสบการณ์อย่างนี้เช่นกัน”

ฉื่อเซียวอุงเบือนหน้ามามองซิเล้ง กล่าวว่า

“บัดนี้ ท่านนำวัตถุสำคัญบนร่างกาย รวมทั้งเสบียงอาหารทิ้งไปจนหมดสิ้น เพื่อมิให้ถูกตรวจค้นพบจนพวกมันระแวงสงสัย”

“ข้าพเจ้าในอกเสื้อมีแผนที่สำคัญใบเดียว สำหรับเสบียงอาหารที่เหลืออยู่ ไม่อาจทิ้งไปตามอำเภอใจ ข้าพเจ้าจะห่อแผนที่และเสบียงรวมกัน ฝังอยู่ในใต้ดิน”

ฉื่อเซียวอุงผงกศีรษะ กล่าวว่า

“ข้าพเจ้าจะไปเสาะหาดินโคลน กอปรกับยางไม้ชนิดหนึ่ง สามารถทำให้ท่านรู้สึกสกปรกมอมแมม เมื่อเป็นเช่นนี้ อาจจะช่วยให้ท่านรอดพ้นจากมหาภัยจากนงคราญได้”

ทั้งสองแยกย้ายกันทำงาน มินานให้หลัง ซิเล้งก็แปรเปลี่ยนรูปโฉมไป มาตรแม้นยังมีคิ้วเรียวงาม ตาสุกใส แต่เสื้อผ้าคร่ำคร่า ผมเผ้ารุงรัง กอปรกับมีหนวดเครางอกเงย ความจริงก็ทุลักทุเลยิ่ง

และหลังจากผ่านการตกแต่งเพิ่มเติมจากฉื่อเซียวอุง ก็เพิ่มรูปโฉมอันสกปรกมอมแมมขึ้นอีก

ฉื่อเซียวอุงมองซ้ายมองขวา รู้สึกพอใจยิ่งนักกล่าวว่า

“ใช้ได้แล้ว ท่านเคลื่อนไหวตามแบบอย่าง อึ้งยิ่มก็จะแสดงว่าเป็นบ่าวทาสคนหนึ่ง”

ซิเล้ง นึกทบทวนแผนการที่ตกลงกันไว้ รู้สึกว่าการเข้าสู่แดนอัคคีใหญ่ครั้งนี้ ได้วางแผนอย่างรอบคอบที่สุดแล้ว ส่วนการที่จะมีผลรับอันใด ก็ต้องแล้วแต่วาสนา

ฉื่อเซียวอุงเริ่มต้นนำพาซิเล้งก้าวเดินไป ตลอดรายทางล้วนเป็นเนินดินพื้นสีเหลือง ที่สูงต่ำไม่สม่ำเสมอ ต้นไม้มีน้อยยิ่งนัก

บนท้องฟ้าบางครั้งก็ได้เห็นเหยี่ยวชราหลายตัวบินวนเวียนอยู่ เหยื่อเหล่านี้ชอบกินเนื้อเน่าเปื่อย ซึ่งในเขตแถบนี้ มักมีบ่าวทาสนอนตายอยู่ข้างทาง ดังนั้นฝูงเหยี่ยวจึงกินเนื้อมนุษย์จนเคยชิน

นอกจากนี้แล้ว ก็ไม่มีร่องรอยของวิหคชนิดอื่นและบนพื้นดิน สัตว์จำพวกมดหนอนก็มองมิเห็น

ฉื่อเซียวอุง ซิเล้งและอึ้งยิ่มก็ถูกนำพามาด้วย ได้มาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ฉื่อเซียวอุงพลันกล่าวว่า

“ท่านดู พื้นที่ทางเบื้องล่าง คือใจกลางของแดนอัคคีใหญ่แล้ว”

ซิเล้งกวาดสายตามองไป แลเห็นพื้นที่เบื้องหน้าพลันจมลงไป ก่อเกิดเป็นที่กว้างคล้ายชามอ่าง มีรัศมีหลายลี้

กึ่งกลางของสถานที่ มีปากถ้ำที่ใหญ่หลายวาแห่งหนึ่งที่พ้นเปลวอัคคีที่ร้อนระอุออกมา

ปากเปลวไฟมหึมาอันนี้ ตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางรอบบริเวณจัดสร้างแคร่กงล้อมหึมามากมาย แกนของกงล้อทุกอันถูกบ่าวทาสหลายสิบคนช่วยกันเคลื่อนดัน จนหมุนตลบอยู่ตลอดเวลา

กงล้อพอเคลื่อนไหว ก็ชักนำถูกฟันขยักรอบกงล้อ และเสาแกนบางอันที่จมลงไปในพื้นดิน ใต้พื้นดินเสาแกนเหล่านั้นจะชักนำถูกวัตถุสิ่งใด ก็มิอาจทราบได้

ในยามนี้ ดวงอาทิตย์เพิ่งลอยขึ้น ยังมิได้แผ่อานุภาพ แต่ในพื้นที่รูปชามอ่าง ได้มีควันร้อนระอุพวยพุ่งขึ้นมาปะทะใบหน้า มิต้องถามไถ่ก็ทราบว่า ย่อมเป็นพลังร้อนที่ระบายมาจากปากเปลวเพลิงแห่งนั้น

ซิเล้งคำนวณระยะห่าง และครุ่นคิดขึ้นว่า

“…ปากปล่องไฟนั้น ห่างจากที่นี่ไกลโข แต่ก็ร้อนแรงถึงปานนี้ หากเข้าไปใกล้ เกรงว่าแทบจะทนทานมิได้ เฮอะ สถานที่นี้มีแดนอัคคีใหญ่ นับว่ามิผิดพลาด…”

บนลานกว้างของพื้นที่รูปชามอ่างแห่งนั้น บัดนี้มีบ่าวทาสสองสามร้อยคน กำลังทำงานหนัก ส่วนใหญ่มีหน้าที่ผลักเคลื่อนกงล้อมหึมาเหล่านี้ ที่หลงเหลืออีกสามสี่สิบคนได้คอนหาบสิ่งของ เดินไปเดินมา

ซิเล้งถามว่า

“ฉื่อโกวเนี้ย มีบางคนหาบสิ่งของ มิทราบว่ามีวัตถุอันใด?”

“นั่นเป็นแร่ชนิดหนึ่งที่ขุดมาจากเชิงหน้าผาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ข้าพเจ้าก็มิเข้าใจเท่าใด”

“คงนำมาสร้างโลหะทั้งห้า (ของจีนหมายถึง ทองคำ เงิน ทองแดง เหล็ก ดีบุก) ชนิดพิเศษอย่างหนึ่งกระมัง?”

ฉื่อเซียวอุง กล่าวว่า

“ไม่ ในใต้ดินที่อยู่ใกล้กับปล่องไฟ มีเตาหลอมอันหนึ่ง ซึ่งใหญ่โตกว่าห้องหับธรรมดาอีก ทุกๆ วันตั้งแต่รุ่งเช้าก็มีคนหลายสิบคน ขุดดินดำเหล่านั้น หาบมาที่ข้างเตาหลอมและเทลงไป

มิว่าผู้ใดก็ไม่เข้าใจว่า เตาหลอมนี้กับดินดำเหล่านั้นมีประโยชน์อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำอยู่ตั้งเนิ่นนานปี เตาหลอมนั้นก็ไม่เต็ม รู้สึกน่าประหลาดยิ่ง”

ซิเล้ง ถามว่า

“ดินดำเหล่านั้นถูกเทลงไปในเตาหลอมโดยมิหยุดยั้งหรือ?”

“ทุกวันล้วนเป็นเช่นนี้ จวบจนถึง ยามค่ำค่อยหยุดชะงัก”

“เรื่องนี้ต้องมีเลศนัย ปล่องไฟอันนั้น พ่นเพลิงออกมาโดยมิหยุดยั้ง ทุกๆ วันมิทราบว่าต้องใช้ถ่านหินจำนวนเท่าใด จึงจะเพียงพอ”

“นั่นเป็นปล่องไฟตามธรรมชาติ หลายร้อยพันปีที่ผ่านมาล้วนเป็นเช่นนี้”

ซิเล้งผงกศีรษะ กล่าวว่า

“ที่แท้นี่เป็นปากปล่องของอัคคีใต้ดินแห่งหนึ่ง มิน่าเล่าอลัชชีโลกันตร์จึงเลือกอาณาเขตแถบนี้ ก่อตั้งสถาบันอำมหิตขึ้น”

ประกายตาของตนกวาดไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทางด้านนั้นมีหน้าผาสูงชันตั้งตระหง่านอยู่ ผุดเด่นสูงเทียมฟ้ามองไปแต่ไกล คล้ายดังเป็นบังกั้นอันมหึมา

ตนพุ่งความสนใจไปยังบันไดที่ใช้แรงงานมนุษย์สร้างขึ้นอยู่บนผนังผา จนหายเข้าไปด้านใน ทั้งยาวและคดเคี้ยวทอดผ่านส่วนกลางของผนังหน้าผา ซึ่งมีส่วนสูงห่างจากพื้นดินกว่าสิบวาขึ้นไป

ซิเล้งส่งเสียง กล่าวว่า

“ผนังหน้าผาทางด้านนั้นมีบันไดสายหนึ่ง คาดว่าคงเป็นโพรงร้อยอสูรแล้ว?”

ฉื่อเซียวอุง กล่าวว่า

“ถูกต้อง อา สายตาของท่านยอดเยี่ยมยิ่ง ห่างไกลถึงปานนี้ ยังแลเห็นบันไดสายหนึ่ง”

“ถ้าเช่นนั้นพวกเราระมัดระวังด้วย มิแน่นักว่าซาเอี้ยอสูรร้ายนั้น ประจวบเหมาะกับออกมา แลเห็นพวกเราเข้า”

ฉื่อเซียวอุงสยิวกายอย่างหนาวเหน็บ กล่าวว่า

“พวกเรารีบเดินกันเถอะ ข้าพเจ้าจะพาพวกท่านไปพบกับผู้คุมงาน มันจะส่งพวกท่านไปทำงานทันที”

พฤติการณ์นี้ มิเพียงแต่ทำให้ซิเล้ง ปะปนเข้าไปในกลุ่มบ่าวทาส ไม่ต้องเผชิญอันตรายถูกซาเอี้ยสังเกตสนใจ พร้อมกันนั้นก็มุ่งหวังว่า หลีกเลี่ยงจากการพบอิสตรี ในตำแหน่งองครักษ์ได้ช่วยให้ซิเล้งไม่ถูกพวกนางพัวพัน

พวกของซิเล้งผ่านเส้นทางที่ทอดเฉียงๆ ลงอยู่เบื้องล่างสายหนึ่ง จนมาถึงพื้นที่รูปชามอ่างนั้น

ผู้คุมงานแถบนี้ เป็นบุรุษฉกรรจ์หนวดเครารกครึ้มในมือถือแส้หนัง เปลือยร่างท่อนบน เบื้องล่างสวมกางเกงยาวและรองเท้าหนัง

สำหรับบ่าวทาสทั้งหมด ต่างก็มีเสื้อผ้าฉีกขาดมอมแมม และกว่าครึ่งที่ไม่มีรองเท้าสวมใส่ พวกมันต่างร้อนอ้าวจนหอบหายใจตลอดเวลา

ซิเล้งเดินอยู่รั้งท้าย แม้ดวงตาทั้งคู่จะเบิกค้างเพ่งมองไปเบื้องหน้า แต่ยังแลเห็นได้ว่า อึ้งยิ่มผู้ร่วมทางมีเหงื่อกาฬทะลักชุ่มโชก จึงมิกล้าเลินเล่อ ก็ผนึกกำลังเค้นหยาดเหงื่อออกมา

ผู้คุมงานคนนั้น ยืนหยัดอยู่หน้าประตูศิลาหลังหนึ่ง ฉื่อเซียวอุงกำลังนำซิเล้งและอึ้งยิ่ม เดินตรงเข้ามาหามัน ทันใดนั้นอิสตรีนางหนึ่ง ได้พุ่งแฉลบเข้ามาขวางกั้นอยู่เบื้องหน้า

นางสำรวจมองอึ้งยิ่ม และซิเล้งอย่างพิศวงสงสัยถามว่า

“อุงโกว นั่นมิใช่ท่านหัวหน้าฝึกสอนหรอกหรือ?”

ฉื่อเซียวอุงผงกศีรษะ กล่าวว่า

“ค้าโกว ท่านมาได้ประเสริฐยิ่ง ข้าพเจ้ากลัดกลุ้มใจว่า ท่านจะถูกส่งออกไป”

ค้าโกว หัวร่อ คิก คิก กล่าวว่า

“เราถามท่านก่อน ท่านหัวหน้าฝึกสอนเป็นอย่างไรแล้ว?”

“ท่านย่อมต้องทราบดี มันไปหาข้าพเจ้าถึงในเมืองมหาชั่วร้าย ข้าพเจ้าจึงให้น้ำอิทธิฤทธิ์มัน”

ค้าโกวมีสีหน้าลิงโลด กล่าวว่า

“เดียรัจฉานนี้อวดโอ้แสดงอำนาจมาเนิ่นนาน การมีบั้นปลายเช่นนี้ น่าปลาบปลื้มใจยิ่ง นี่อุงโกว เราจะหารือกับท่านเรื่องหนึ่งเราอีกเนิ่นนานจึงจะถูกส่งออกไป คนใหม่ที่ท่านนำมานี้ มอบต่อเราเถอะ มันมีนามอันใด ร่างกายบึกบึนยิ่ง”

“มันเรียกว่าอาเฮี้ยง”

“ท่านยินยอมมอบหรือไม่ หรือว่าท่านมิอาจสละมัน?”

ฉื่อเซียวอุงกล่าวว่า

“ท่านอย่าใส่ความข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าไหนเลยจะปฏิเสธคำขอร้องของท่าน นี่เป็นระเบียบข้อห้ามของอาณาจักรเรา ท่านคิดจะท้ายจนข้าพเจ้าต้องฝ่าฝืนระเบียบหรอกหรือ?”

“มิกล้า แม้ท่านจะต้องมอบคนให้แก่เราแน่นอน แต่พวกเรานับเป็นพี่น้องกัน เราสมควรขอคนต่อท่านตามมารยาท”

ซิเล้งพอได้ยินฉื่อเซียวอุงบอกว่า นี่คือกฎระเบียบ ดังนั้นฉื่อเซียวอุงแม้จะคิดปกป้องช่วยเหลือ ก็อับจนปัญญา จึงกระวนกระวายใจอย่างใหญ่หลวง!

ฉื่อเซียวอุงหัวร่อออกมา กล่าวว่า

“มิต้องร้อนรน ข้าพเจ้ามีวาจาบอกกับท่าน รับรองว่าท่านได้ยินแล้ว จะต้องลิงโลดพอใจยิ่ง”

ค้าโกวจ้องมองนางอย่างระแวงสงสัย มีท่าทียากจะเชื่อถือ

“ฉื่อเซียวอุงกล่าวเบาๆ กับนางว่า”

“ค่ำคืนนี้ ข้าพเจ้าจะให้ท่านติดตามตัวเราไปกราบพบซาเอี้ย”

“เป็นความจริง?”

ย่อมต้องแน่นอน ค่ำคืนนี้ ข้าพเจ้าต้องรายงานตัวต่อซาเอี้ย ประจวบเหมาะกับข้าพเจ้าเผชิญกับความยุ่งยาก จำต้องหาตัวแทน เรื่องอันประเสริฐเช่นนี้ ย่อมต้องหาท่านก่อนใช่หรือไม่”

ค้าโกวบังเกิดความลิงโลดยิ่งนัก และมิแยแสสนใจซิเล้งอีก ทำให้ซิเล้งลอบระบายลมหายใจออกมา

ทั้งหมดก้าวเดินไปเบื้องหน้า จวบจนมาถึงหน้าห้องศิลา บุรุษเครารกครึ้มที่เป็นผู้คุมงาน ก็ดาหน้าเข้ามา น้อมกายแสดงความคารวะ

แต่ประกายตาของมัน ได้กวาดมองมายังฉื่อเซียวอุงกับค้าโกวสองอิสตรี ด้วยสายตาแวววาว เนื่องจากทั้งสองนางนวล ต่างมีลักษณะที่งดงาม และสวมอาภรณ์ชิ้นเบาบาง

ฉื่อเซียวอุงกล่าวว่า

“ท่านผู้คุมแซ่ลี้ สองคนนี้ท่านตรวจรับไว้ด้วย”

ผู้คุมแซ่ลี้จดลงไปในบันทึกเล็กๆ บนมือ พร้อมกับกล่าวว่า

“ท่านหัวหน้าฝึกสอนแซ่อึ้งก็มาด้วย นับว่าประหลาดยิ่ง”

ฉื่อเซียวอุงกล่าวว่า

“มันลำพองใจกระทำตามอารมณ์เกินไป ถึงกับมาหาข้าพเจ้าขณะปฏิบัติงานตามหน้าที่ ละเมิดกฎข้อห้าม ย่อมต้องประสบเภทภัย”

ผู้คุมแซ่ลี้โบกมือวูบหนึ่ง ก็มีชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งพุ่งตรงเข้ามา ถือน้ำป้านหนึ่งกับถ้วยใบหนึ่ง รินน้ำหนึ่งถ้วย และผู้คุมแซ่ลี้ส่งให้กับอึ้งยิ่มด้วยตนเอง

อึ้งยิ่มรับมาดื่มไปทันที ผู้คุมแซ่ลี้รินน้ำอิทธิฤทธิ์อีกถ้วยหนึ่ง ยื่นส่งต่อซิเล้ง!

มิว่าผู้ใดหากดื่มน้ำอิทธิฤทธิ์ลงไป มันสมองจะถูกทำลายเสียหาย ไม่มีความนึกคิดอีก จะกระทำตามคำสั่ง ถูกใช้สอยต่างม้าลาตลอดกาล และบัดนี้ซิเล้งต้องดื่มน้ำอิทธิฤทธิ์นั้น!

ฉื่อเซียวอุงเหลือบแลเห็นซิเล้งได้รับถ้วยมาถืออยู่ในมือจึงตกใจเป็นที่ยิ่ง ร้องว่า

“ท่านผู้คุมแซ่ลี้”

สุ้มเสียงรู้สึกเกรี้ยวกราดยิ่งนัก ผู้คุมแซ่ลี้อดมิได้ต้องเบือนศีรษะมองมา

ซิเล้งในยามนี้ ได้ถือถ้วยน้ำอิทธิฤทธิ์ขึ้น กำลังลังเลอยู่ จึงฉวยโอกาสเพียงวูบเดียว อมน้ำอยู่ในปาก ไม่ดื่มกินลงไป

หากแม้นผู้คุมแซ่ลี้มิเบือนศีรษะมองไป ถ้าเช่นนั้นซิเล้งจะดื่มน้ำอิทธิฤทธิ์หรือไม่ มองเพียงวูบเดียวก็ทราบได้

มาตรแม้นว่าน้ำอิทธิฤทธิ์นี้เป็นยาพิษชนิดหนึ่ง ซิเล้งยังมีความมั่นใจว่า สามารถซุกซ่อนยาพิษ คั่งค้างในกระเพาะหาโอกาสระบายออกมา

แต่ทว่า น้ำอิทธิฤทธิ์นี้ คล้ายดั่งร้ายกาจกว่ายาพิษทุกชนิด ซิเล้งจึงมิกล้าเสี่ยงอันตรายนี้

ฉื่อเซียวอุง พลันกล่าวอย่างเย็นชาว่า

“ถ้วยที่ท่านใช้ในวันนี้ คล้ายดั่งเล็กกว่าปรกติมิน้อย”

ผู้คุมแซ่ลี้ เนื่องจากเคารพฉื่อเซียวอุง ซึ่งเป็นองครักษ์ของสถาบันอำมหิตแล้ว จึงมีประกายตาแตกตื่น ปากก็ต้องตอบว่า

“เรากลับมิได้พบเห็นข้อนี้ รอให้เราไปไต่ถามดู”

ฉื่อเซียวอุงแค่นเสียงดัง เฮอะ กล่าวว่า

“แล้วกัน ไปเถอะ ความคิดอันมากเล่ห์ของพวกท่านผู้คุมงาน อย่าได้เข้าใจวาพวกเรามิทราบ”

ค้าโกว กล่าวเสริมว่า

“พวกท่านลอบเก็บยาผงจำนวนน้อยไว้ และโรยอยู่บนโคมไฟ ก็จะมีกลิ่นหอมประหลาดอบอวลไปทั่ว และใช้สำหรับมอมพวกเราเหล่าอิสตรีใช่หรือไม่?”

ผู้คุมแซ่ลี้ยิ้มอย่างกระดากกระเดื่อง ฉื่อเซียวอุงกล่าวว่า

“เรื่องนี้ภายหลังต้องสอบสวนให้กระจ่าง บัดนี้ข้าพเจ้าจะต้องทำรายงานฉบับหนึ่งเสียก่อน”

พลางชักชวนค้าโกวจากไป ผู้คุมแซ่ลี้งงงันไปวูบหนึ่งพึมพำขึ้นว่า

“นวลนางที่ตอแยยากที่สุด วันนี้กลับช่วยเรารอดจากความคับขันนับว่าคาดมิถึงอย่างแท้จริง”

มันบงการให้ชายฉกรรจ์ที่เป็นบริวารสองคน นำพาซิเล้งกับอึ้งยิ่มไป ตัวเองลาดตระเวนหนึ่งรอบ มาถึงสถานที่หนึ่งแลเห็นบ่าวทาสสี่สิบคน ล้อมกงล้อมมหึมาอันหนึ่ง คล้ายดั่งผลักเครื่องโม่หิน ผลักเคลื่อนแกนของกงล้อ

บ่าวทาสที่มาใหม่อาเฮี้ยง (ซิเล้ง) ก็ปะปนอยู่ในนั้น ขณะที่อาเฮี้ยงเพียงแต่มีผ้าชิ้นหนึ่ง ใช้สายรัดเอวพันไว้ คลุมปกปิดร่างกายเพียงชิ้นเดียว

ผู้คุมแซ่ลี้แลเห็นทาสที่มาใหม่มีร่างกายแข็งแรงทรวงอกผึ่งผาย กล้ามเนื้อตามแขนขาก็เจริญอย่างสมบูรณ์

มันมองวูบเดียวก็ทราบว่า ส่วนสัดเช่นนี้ ทั้งปราดเปรียวทั้งมีเรี่ยวแรง และมีความอดทน นับเป็นชนชั้นอันดับเยี่ยม

ผู้คุมแซ่ลี้จึงผงกศีรษะอย่างพอใจ คำนึงขึ้นว่า

“…คนที่มาใหม่นี้ สามารถเทียบเท่าบ่าวทาสอื่นสิบคน หากใช้อย่างเหมาะสม จะมีผลรับที่ประเสริฐยิ่งขึ้น…”

ดังนั้นมันก็จดข้อนี้ลงไปในบันทึก อาเฮี้ยงที่เพิ่งมานี้จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ นี่หมายถึงเรื่องอาหารการกิน จะผิดแผกจากบ่าวทาสอื่น เพื่อให้มันมีเรี่ยวแรงทำงานหนัก

มันเพิ่งจดเรียบร้อย นาสิกก็สูดกลิ่นหอม พอเงยหน้าขึ้นกวาดมอง แลเห็นฉื่อเซียวอุงยืนหยัดอยู่ด้านข้าง ใบหน้าเย็นชากระด้าง

ผู้คุมแซ่ลี้สะท้านใจวาบ รีบน้อมกายคารวะ เรียกหาเป็นท่านองครักษ์

ฉื่อเซียวอุง กล่าวว่า

“ท่านเขียนอันใดลงไปในบันทึก?”

นางขณะเดินเข้ามา แลเห็นผู้คุมแซ่ลี้จับจ้องซิเล้งผงกศีรษะอยู่ตลอดเวลา จากนั้นก็จดลงไปในบันทึก จึงหวั่นวิตกว่า จะสร้างรูปการที่ลำบากต่อซิเล้ง

ผู้คุมแซ่ลี้ กล่าวว่า

“เราพิจารณาคนใหม่นี้ รู้สึกว่าร่างกายแข็งแรง คิดว่าจัดอยู่ในขั้นดีเลิศ หมายจะใช้แรงงานยิ่งขึ้น”

มันขณะกล่าววาจา ก็เปิดบันทึก ส่งมาถึงเบื้องหลังของนาง

ฉื่อเซียวอุงมิเหลือบมอง กล่าวว่า

“ที่แท้เป็นเรื่องของบ่าวทาส ข้าพเจ้าคร้านจะข้องเกี่ยว แต่มีเรื่องหนึ่ง ข้าพเจ้ามิอาจไม่ยุ่งเกี่ยว จึงมาบอกกับท่านล่วงหน้า”

ผู้คุมแซ่ลี้สำนึกว่า ในวาจาของนางแฝงความหมาย จึงรีบถามว่า

“ท่านองครักษ์มีคำประทานแนะนำอันใด?”

“เรื่องที่ท่านลดจำนวนยาในน้ำอิทธิฤทธิ์ ข้าพเจ้าขณะไปรายงานตัวของซาเอี้ย จะน้อมเรียนความสัตย์ ซาเอี้ยจะจัดการอย่างไร ก็มิอาจทราบแล้ว”

ผู้คุมแซ่ลี้เหงื่อกาฬไหลทะลักออกมา บังเกิดความหวาดหวั่นพรั่นพรึงถึงขีดสุด แต่มันทราบดีว่า นวลนางเบื้องหน้ามีจิตใจเย็นชากระด้าง มิมีทางวิงวอนขอร้องได้

น้ำเสียงของฉื่อเซียวอุง พลันอ่อนโยนลงมิน้อย กล่าวว่า

“เป็นอย่างไร ท่านเข้าใจว่าซาเอี้ยจะพิจารณาลงทัณฑ์หรือ?”

ผู้คุมแซ่ลี้ กล่าวตะกุกตะกักว่า

“นี่แม้เป็นความลับที่เปิดเผยในหมู่พวกเรา แต่ซาเอี้ยหากทราบเข้า เราอย่างน้อยก็ต้องสูญเสียตำแหน่งผู้คุม”

ฉื่อเซียวอุงผงกศีรษะ กล่าวว่า

“พวกเราต่างมีวันทำผิด ดังนั้น ข้าพเจ้ามิคิดคุกคามผู้คนเท่าใด มิแน่นักว่าวันใดวันหนึ่ง ข้าพเจ้าต้องการความช่วยเหลือ จากผู้อื่นบ้าง”

“อ้อ หากแม้นท่านองครักษ์มีส่วนที่คิดใช้สอยเราผู้น้อย เราแม้จะบุกน้ำลุยไฟ ก็มิกล้าปฏิเสธ”

ฉื่อเซียวอุงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า

“ท่านบอกกับข้าพเจ้าก่อนว่า ยาผงที่ได้จากการลดจำนวนที่ผสมลงไปในน้ำ พอโรยลงบนโคมไฟ บังเกิดกลิ่นหอมพิกล อิสตรีมีวิธีการขัดขืนอย่างไร?”

ผู้คุมแซ่ลี้ กล่าวว่า

“ง่ายดายยิ่งนัก ขอเพียงแต่คราแรกขบเคี้ยวใบของต้นมะพร้าว รับรองว่ามิถูกกลิ่นหอมจากยาผงมัวเมาสติ ต้นมะพร้าวมีอยู่ทุกแห่งหน”

ฉื่อเซียวอุงต้องการทราบคำตอบในปัญหาข้อนี้ที่สุด พอรับรู้จึงปลาบปลื้มใจยิ่ง แย้มยิ้มออกมา กล่าวว่า

“เอาเถอะ พวกเราภายหลังมีโอกาสค่อยสนทนา”

รอยยิ้มของนางเปรียบประดุจบุปผาเบ่งบาน งามผุดผาดเป็นที่ยิ่ง ผู้คุมแซ่ลี้ถึงกับปากอ้าตาค้าง จ้องมองนางก้าวชดช้อยจากไป

ซิเล้งมีโสตประสาทที่ปราดเปรียว ดังนั้นแม้จะอยู่ห่างไกลก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน

ตนรู้สึกคลายใจในเรื่องหนึ่ง คาดคิดว่ากลิ่นหอมประหลาดในโพรงร้อยอสูรของซาเอี้ยผู้นั้น แสดงว่าเป็นตัวยาที่ผู้คุมแซ่ลี้ใช้จัดการต่ออิสตรี

ดังนั้นฉื่อเซียวอุงเพียงแต่ไปเสาะหาใบมะพร้าวมาขบเคี้ยวอยู่ก่อน ก็มิต้องกังวลแล้ว

ซิเล้งกับบ่าวทาสอื่นๆ คล้ายดั่งม้าลาผลักเคลื่อนกงล้อมหึมาอันนั้น ซึ่งการใช้เรี่ยวแรงเช่นนี้ มิทราบว่า จะก่อให้เกิดผลประโยชน์อันใด?

ผู้คุมแซ่ลี้ที่หนวดเครารกครึ้ม ได้ลาดตระเวนอยู่ท่ามกลางกงล้อที่กระจายอยู่รอบปล่องไฟ

และบริเวรของมันยังมีอีกยี่สิบกว่าคน แยกย้ายกันเฝ้าควบคุมตำแหน่งต่างๆ

ซิเล้งลอบพิจารณาดู พบว่าบรรดาชายฉกรรจ์ท่าทางดุร้ายเหล่านั้น หาได้สังเกตสนใจบรรดาบ่าวทาสเท่าใดนัก

แน่นอน นี่เป็นเพราะพวกบ่าวทาสถูกน้ำอิทธิฤทธิ์ชะล้างมันสมอง มิจำเป็นต้องใช้แส้เร่งเร้า ก็รู้จักทำงานจนสิ้นเรี่ยวแรง

หน้าที่ของกลุ่มชายฉกรรจ์ เพียงแต่ดูว่ากงล้อจะผลักเคลื่อนไปตามปรกติหรือไม่ และหากมีบ่าวทาสคนใดล้มลงไป ก็นำน้ำอิทธิฤทธิ์ถ้วยหนึ่งให้มัน จนฟื้นฟูเรี่ยวแรง ทำงานตามปรกติ

หากแม้นบ่าวทาสที่ล้มลงไป สถานการณ์ร้ายแรง ก็ปล่อยให้มันพักผ่อน

แต่ตามธรรมดา ฤทธิ์ยาในน้ำอิทธิฤทธิ์ สามารถกระตุ้นพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างของมนุษย์ บ่าวทาสเหล่านั้นพอล้มลงไป แสดงว่าทนทานมิได้ การพักผ่อนจึงไม่อาจช่วยเหตุการณ์ให้ดีขึ้น

ซิเล้งในยามเที่ยง แบ่งได้อาหารส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นขนมปังอันใหญ่ ใช้เนื้อแป้งที่หยาบๆ ทำขึ้น

ขนมปังกลับมีรสใหม่ ภายในยังยัดเนื้ออยู่หลายชิ้น มิทราบว่าเป็นเนื้ออันใด

แลเห็นบรรดาบ่าวทาสต่างอ้าปากกัดกินอย่างมิคิดชีวิต แต่ในสถานที่ซึ่งร้อนอบอ้าว บุคคลที่มีความสำเร็จเช่นซิเล้ง นอกจากรู้สึกกระหายน้ำ ย่อมมิมีความต้องการอย่างอื่น

พร้อมกับนั้น ซิเล้งก็มิคิดจะกลืนกินขนมปังนี้ แต่ตนไม่อาจเหวี่ยงขนมปังทิ้งไป เพราะว่ารอบกงล้ออันนี้ ไม่มีหลุมบ่อ คนเฝ้ารักษามองวูบเดียวก็เห็นได้

ตนมิมีหนทางซุกซ่อนอยู่ในร่างเช่นกัน เนื่องจากไม่มีอาภรณ์ประดับกาย ซิเล้งเริ่มต้นใช้ความคิด แลเห็นบ่าวทาสอื่นขณะผลักเคลื่อนกงล้อ ก็ขบเคี้ยวอย่างดุดัน

ทันใดนั้น ซิเล้งบังเกิดปฏิภาณวูบหนึ่ง รีบฉีกแบ่งขนมปัง ฉวยโอกาสที่ผู้เฝ้ารักษาหันหลังให้ แบ่งให้กับคนที่อยู่ทั้งหน้าหลัง

พวกมันคล้ายกับปิศาจหิวโหย รับขนมปังที่ซิเล้งแบ่งให้ และรับประทานอาหารไปในชั่วพริบตาเดียว

ซิเล้งแม้จะผ่านด่านยุ่งยากนี้ แต่ก็ทราบว่าหากมีผู้เฝ้ารักษาคุมเชิงอยู่ด้วย ก็มิมีทางกระทำได้

ตามการคาดคะเนของตน หลังจากกลืนกินขนมปังย่อมต้องมีน้ำดื่มด้วย นี่จึงจะเป็นด่านที่เปี่ยมอันตราย!

จริงดังคาดหมาย ชั่วครู่ต่อมาผู้เฝ้ารักษาคนหนึ่งก็ถือป้านน้ำมหึมาใบหนึ่งเดินตรงเข้ามา อีกมือหนึ่งถือถ้วยเหล็กสิบกว่าใบ

ซิเล้งรักษาความสงบเยือกเย็นเอาไว้ และตาคอยสาดส่อง หูก็คอยรับฟัง

ได้ยินผู้เฝ้ารักษาที่ถือน้ำมาคนนั้น ร้องดังๆ ว่า

“ผู้แซ่งุ่ย ท่านหัวหน้าแซ่ลี้ออกคำสั่งมาว่า คนที่มาใหม่ต้องดูแลเป็นพิเศษ”

ผู้แซ่งุ่ยส่งเสียงรับคำ พลางกล่าวว่า

“อาตั้ง วันนี้เราได้เห็นอุงโกว นับว่าโสภาจริงๆ ทำให้ผู้คนแทบอาจจะกลืนกินนางลงไป

อาตั้ง กล่าวว่า

“นางสามารถทำให้ผู้คนลุ่มหลงจริงๆ แต่ท่านมิต้องลำพองท่านลองเดาว่า เราเพิ่งพบเห็นผู้ใด?”

“ผู้ใดเล่า?”

“เป็นก๊กฮูหยิน ในความอุปการะของท่านประมุขเฒ่า”

ผู้แซ่งุ่ยกลืนน้ำลายลงสู่ลำคอ กล่าวว่า

“ถ้าเช่นนั้นวาสนาทางสายตาของท่าน ก็เข้มแข็งกว่าเราแล้ว”

อาตั้งหัวร่ออย่างทระนง กล่าวว่า

“ยังมีอีก จับอีกโกวก็อยู่ร่วมกับเก๊กฮูหยิน สนทนาตั้งครึ่งค่อนวันค่อยจากไปมิขอปกปิดท่าน เราแทบจะสลบไสลไปทีเดียว”

ซิเล้งพอได้ยินวาจานี้ ก็คำนึงว่า

“…อิสตรีสองนางนั้น  ย่อมต้องเป็นโฉมตรูผู้เลิศล้ำหาไม่แล้วอาตั้งเพียงยลชม ไหนเลยจะแทบสลบไสล?…”

ผู้แซ่งุ่ยรำพันขึ้นว่า

“ท่านมีวาสนายิ่ง พวกเราคราก่อนแม้เคยเห็นพวกนางหลายครั้ง ก็เพียงแต่มองเพียงวูบเดียว ท่านสามารถยืนหยัดอยู่ใกล้พินิจดูตั้งครู่ใหญ่ นับเป็นเรื่องคู่ควรแก่การภาคภูมิใจ”

หยุดอยู่เล็กน้อย จึงถามว่า

“จับอิกโกวคงเป็นผู้หว่างคิ้วมีไฝอยู่เม็ดหนึ่งกระมัง?”

อาตั้ง กล่าวว่า

“ถูกแล้ว เป็นนาง ผิวกายของขาวผุดผ่องเป็นพิเศษ หากสามารถสัมผัสสักคราหนึ่ง แม้ตกตายก็ยินยอม”

“นี่เรียกว่าเสียชีวิตใต้บุปผา เป็นปิศาจก็สำราญ แต่อาตั้งท่านย่อมมิมีความกล้า ไปติดต่อกับพวกนางแน่นอนใช่หรือไม่?”

กล่าวพลางส่งเสียงหัวร่อออกมา ซิเล้งรับฟังจากที่ห่างไกลพอได้ยินก็ทราบว่าบุคคลนี้มีอุปนิสัยกลอกกลิ้งชั่วร้ายยิ่งนัก

อาตั้งวางป้านน้ำลงบนพื้นดิน เทน้ำถ้วยหนึ่งยื่นส่งให้กับผู้แซ่งุ่ย

ผู้แซ่งุ่ยรับมา ส่งให้กับบ่าวทาสที่อยู่ใกล้ที่สุด พอถึงถ้วยที่ห้า ก็หมุนเวียนมาถึงซิเล้ง!

ผู้แซ่งุ่ยพลันกล่าวว่า

“อาตั้ง นี่คือบ่าวทาสที่มาใหม่ มีนามว่าอาเฮี้ยง”

อาตั้งชำเลืองมองวูบหนึ่ง กล่าวว่า

“ทารกนี้ มีส่วนสัดบึกบึนยิ่ง น่าเสียดายที่เราบัดนี้เพิ่งพบเห็น”

“มีอันใดน่าเสียดายด้วย?”

“หากแม้นเรา ทราบล่วงหน้าว่า เดียรัจฉานนี้ร่างกายบึกบึน เราก็สามารถบอกกล่าวกับเก๊กฮูหยินและจับอิกโกว ฉวยโอกาสที่รายงานเรื่องนี้สนทนาต่อหน้าพวกนางสักหลายประโยค”

ผู้แซ่งุ่ยพอได้ยินถึงตอนนี้ ก็หัวร่ออย่างกลอกกลิ้ง กล่าวว่า

“นี่กลับเป็นความคิดอันประเสริฐ แต่เรามิกล้ากระทำเช่นนั้น”

“เพราะเหตุใดเล่า?”

“พวกเราเพียงแต่ลอบชำเลืองพวกนาง ก็รู้สึกขวัญกระเจิดกระเจิง แทบมิอาจยืนหยัดอยู่ได้ หากแม้นกล่าววาจาต่อหน้าพวกนาง พออดรนทนมิได้ ก็ต้องสูญเสียชีวิต เรื่องเช่นนี้เราย่อมไม่กระทำ”

อาตั้งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า

“วาจานี้ก็ถูกต้อง”

พวกมันพอสนทนาถึงเก๊กฮูหยินและจับอิกโกว ก็ทุ่มเทสติสัมปชัญญะ จดจ่อกับคำตอบโต้ เพราะเหตุนี้ซิเล้งจึงสามารถเทน้ำอิทธิฤทธิ์ลงบนพื้นดิน

ชั่วครู่ต่อมา บ่าวทาสทั้งหมดต่างก็ดื่มน้ำกันถ้วยหนึ่ง ซิเล้งพลันได้รับเป็นถ้วยที่สอง

ในยามนี้อาตั้งกับผู้แซ่งุ่ย ล้วนแต่จ้องมองมาเพราะว่านี่เป็นถ้วยสุดท้าย มันทั้งสองต่างไม่ส่งเสียง ประกายตาพุ่งมาจดจ่อกับปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้าม

ซิเล้งได้แต่ดื่มเข้าไป แต่สำนึกทราบว่าหากแม้นอมน้ำทั้งคำใหญ่เช่นนี้ มิกลืนลงไป รอจนส่งถ้วยคืนให้กับฝ่ายตรงข้าม ย่อมต้องถูกพวกมันสังเกตพบ

อาตั้งกับผู้แซ่งุ้ยขอเพียงกล่าววาจากับซิเล้ง เพียงคำเดียวก็สามารถบีบบังคับตน เปิดเผยสภาพที่แท้จริง หากมิยอมเปิดเผยร่องรอย ก็จำต้องกลืนน้ำอิทธิฤทธิ์คำนี้ลงไป!

เนื่องจากประกายตาของฝ่ายตรงข้าม ต่างจับจ้องมองตามมา ดังนั้นซิเล้งจึงไม่กล้าพ่นน้ำออกมาทันที แลเห็นว่าพวกมันทั้งสองเริ่มก้าวเดินเข้ามา หมายจะรับถ้วยคืนไปแล้ว…

ซิเล้งจวบจนบัดนี้ยังอับจนปัญญา ห้วงสมองพยายามขบคิด แต่มิมีทางพ่นน้ำออกมาอย่างเด็ดขาด

ทันใดนั้น สำเนียงอันหยาดเยิ้มเสียงหนึ่งได้ดังขึ้น ผู้แซ่งุ่ยกับอาตั้ง พากันเบือนศีรษะมองไปโดยพร้อมเพรียง

ซิเล้งได้ยินว่าเป็นสุ้มเสียงของฉื่อเซียวอุง ทางหนึ่งเบือนสายตามองไป อีกทางหนึ่งก็พ่นน้ำอิทธิฤทธิ์ในปากออกมา

แลเห็นฉื่อเซียวอุง ยืนหยัดอยู่ใต้แสงแดดที่แผดจ้า เรือนร่างถูกปกปิดอยู่ภายใต้อาภรณ์ทั้งชุด แต่เบาบางราวกับปีกจักจั่นจึงสะท้อนผิวกายที่ขาวนวลอย่างผุดเด่น

ฉื่อเซียวอุงกำลังส่งเสียงถามไถ่ต่ออาตั้งกับผู้แซ่งุ่ย เกี่ยวกับร่องรอยของผู้คุมแซ่ลี้ ซิเล้งที่อยู่ด้านข้าง ทราบดีว่าความจริงนางมาเพื่อคลี่คลายวิกฤตกาลของตน

นางย่อมทราบดีว่า อันตรายจากการปลอมเป็นบ่าวทาสคือการดื่มน้ำอิทธิฤทธิ์ และเวลาดื่มน้ำนี้ นางก็สืบทราบมาได้

หากแม้นมิใช่ฉื่อเซียวอุงเร่งรุดมาทันท่วงที น้ำอิทธิฤทธิ์ของซิเล้งคำนี้ ก็ยากที่จะจัดการได้จริงๆ

มาตรแม้นว่าพอถึงวินาทีสุดท้าย ซิเล้งหากยอมเปิดเผยร่องรอย ก็ไม่ต้องกลืนน้ำอิทธิฤทธิ์ลงไป แต่เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับพลาดผิดล้มเหลว เพราะเรื่องราวเพียงเล็กน้อย นับว่าน่าเสียดายยิ่ง

อาตั้งกับผู้แซ่งุ่ย ล้วนตอบต่อฝ่ายตรงข้ามว่า มิทราบ ฉื่อเซียวอุงขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่จากไปในบัดดล

ผู้แซ่งุ่ยพลันสะอึกกายไปหลายก้าว คุกคามเข้าใกล้ฉื่อเซียวอุง กล่าวว่า

“น้อมเรียนท่านองครักษ์ บ่าวมีเรื่องหนึ่งคิดจะรายงานต่อท่าน”

ฉื่อเซียวอุงอุทานดังอ้อ กล่าวถามว่า

“เรื่องอันใด?”

“บ่าวในที่นี้ วันนี้มีทาสถูกจัดส่งมาใหม่ผู้หนึ่งเรียกว่าอาเฮี้ยง”

“ทาสผู้นั้นเป็นอย่างไร?”

ผู้แซ่งุ่ย กล่าวว่า

“มันมีร่างกายแข็งอย่างยากจะพบพาน บ่าวนับถือโกวเนี้ยที่สุด จึงน้อมเรียนต่อท่านเป็นพิเศษ หากแม้นท่านชมชอบก็สมควรนำพาไปโดยรีบด่วน”

ฉื่อเซียวอุงผงกศีรษะอย่างเป็นมิตร ให้กับมันกล่าวว่า

“กุศลเจตนาของท่าน ข้าพเจ้าขอรับไว้ด้วยใจ แต่มันผู้นั้นข้าพเจ้าพามาเอง ภายหน้ามีโอกาสค่อยว่ากล่าวกัน”

พลางหันกายก้าวจากไป ทันที

อาตั้งรับถ้วยจากมือซิเล้ง ถลึงตาเข้าใส่ผู้แซ่งุ่ยกระชากเสียงกล่าวว่า

“เจ้ากลับกระทำเช่นนี้ มิว่าช้าเร็วเราต้องฆ่าเจ้า”

มันเพิ่งทราบว่าถูกแซ่งุ่ยหลอกลวง แสร้งห้ามปรามมิให้มันรายงานเรื่องทาสผู้บึกบึนต่อเก๊กฮูหยินและจับอิกโกว อีกทางหนึ่งก็กลับรายงานต่อฉื่อเซียวอุง ดังนั้นอาตั้งจึงเดือดดาลอย่างสุดแสน

ผู้แซ่งุ่ยเป็นจอมเจ้าเล่ห์กลอกกลิ้ง พอได้ยินจึงแสยะยิ้มกล่าวว่า

“เพื่อความปลอดภัยของเรา มีแต่ฆ่าท่านในบัดดล”

พลันกระแทกหมัดต่อยออก สภาวะ รวดเร็วกำลังก็รุนแรงยิ่ง

อาตั้งรีบถลันหลบ แต่หัวไหล่ยังถูกต่อยใส่ ถึงกับปลิวกระเด็นไป มันยามคลั่งแค้น ก็โถมตรงเข้าหา กวัดแกว่งป้านน้ำในมือใช้ดั่งอาวุธ กระแทกใส่ผู้แซ่งุ่ย

ป้านนี้สร้างจากทองเหลือง มีน้ำหนักยิ่งนัก แม้มิอาจเทียบเท่าค้อนทองเหลือง แต่ก็ร้ายกาจกว่าหมัดฝ่ามือมากมายนัก

ผู้แซ่งุ่ยพลังฝีมือมิต่ำทราม ทุ่มเทวิชาท่าร่าง จนหลบหลีกจากสภาวะจู่โจม อย่างดุดันของฝ่ายตรงข้ามได้สี่ครั้งซ้อนๆ

แต่อาตั้งช่วงชิงเป็นฝ่ายมีเปรียบ ป้านทองเหลืองกวัดแกว่งดังครืนครั่น ขณะบุกจู่โจมถึงท่าที่หกผู้แซ่งุ่ยชักช้าไปเล็กน้อย กลางหลังจึงถูกฟาดใส่ดังโครมใหญ่

ร่างที่แข็งแกร่งของผู้แซ่งุ่ย พลันกระแทกลงบนพื้นดินอาตั้งโถมเข้าไป ตวัดเท้าเตะใส่ชายโครงผู้แซ่งุ่ยกลิ้งตัวไปเจ็ดแปดทอด อ้าปากกระอักโลหิตออกมา

การหักโหมครั้งนี้ แม้ดำเนินในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็รุนแรงยิ่ง หากทว่าบ่าวทาสรอบบริเวณ กลับมิมีปฏิกิริยาแต่อย่างไร

ซิเล้งความจริงเมื่อครู่นี้ ขณะที่ผู้แซ่งุ่ยแฉลบหลบจากการบุกจู่โจมด้วยป้านทองเหลืองของอาตั้ง ตนได้ลอบแผ่ทะลักพลังกระแสหนึ่ง ขัดขวางการเคลื่อนไวของผู้แซ่งุ่ย

เพราะเหตุนี้ อาตั้งจึงสามารถโค่นผู้แซ่งุ่ยล้มลงไป ภายในมิกี่กระบวนท่า และบัดนี้ผู้แซ่งุ่ยมิอาจขัดขืนดิ้นรนได้อีก

อาตั้งยังมิปล่อยปละละเว้น เหวี่ยงป้านทองเหลืองทิ้งไปกระแทกหมัดใส่ใบหน้า และตามร่างกายของผู้แซ่งุ่ยอย่างดุดัน

ผู้แซ่งุ่ยมีแต่รับการจู่โจม ส่งเสียงแผดร้องโดยมิขาดปาก สภาพการณ์ที่โหดเหี้ยมทารุณเช่นนี้ ทำให้ผู้คนรู้สึกสุดจะทนดู

อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่