๖๕
♦ อันตรายทุกฝีก้าว ♦
……………
ในยามนั้นซิเล้งได้กล่าวว่า
“ท่านออกจะเชื่อถือตัวเองเกินไปแล้ว บอกกับท่านหากแม้นข้าพเจ้ามีเจตนาปลิดชีวิตท่าน เฮอะ ท่านหากรอดได้สามกระบวนท่า ข้าพเจ้าก็จะปลิดศีรษะของตัวเองได้เลย”
ดวงตาของตนสาดประกายอันเจิดจ้าคุกคามผู้คนกวาดตามองทั้งอึ้งยิ่มและฉื่อเซียวอุง กล่าวอีกว่า
“พวกท่านอาจจะพบเห็นผู้มีวาจาไร้สัจจะมาจนเคยชิน มิเชื่อว่าข้าพเจ้าจะกล้าปลิดศีรษะของตัวเอง แต่นั่นก็ตามใจพวกท่าน ข้าพเจ้าตั้งแต่มีชีวิตมา มิเคยกล่าวคำโป้ปดมาก่อน”
ตนหัวร่ออย่างฮึกเหิม กล่าวอีกว่า
“บัดนี้ข้าพเจ้าจะบอกกับท่านว่า ไฉนไม่คิดปลิดชีวิตท่านในสามกระบวนท่า เพราะว่ามีแต่อึ้งยิ่มท่านที่รู้จักทางลับสำหรับเข้าออกอาณาจักรนี้ หากแม้นท่านบ่งบอกตามความสัตย์ ข้าพเจ้าสามารถละเว้นชีวิตของท่าน”
อึ้งยิ่มกล่าวขึ้นว่า
“ท่านออกจะยกย่องตัวเองเกินไปแล้ว หากแม้นศิษย์ของเราอยู่ในนี้ เฮอะ ท่านก็มิมีโอกาสแม้แต่คิดหลบหนีเอาชีวิตรอดเลย”
ซิเล้งมีสีหน้าเคร่งเครียดลง กล่าวว่า
“น่าหัวร่อ ศิษย์ของท่านเพียงแต่ฝึกหัดวิชาหัตถ์เทพยดาไร้เทียมทาน ไม้ตายแขนงหนึ่งเท่านั้น ข้าพเจ้าทราบเรื่องมาก่อนแล้วทั้งยังกล้าบุกฝ่าเข้ามาเพียงลำพัง ไหนเลยจะเกรงกลัวพวกท่าน?”
ขณะกล่าววาจา ตนวางแผนเฉพาะหน้าจนเรียบร้อยพลังจิตเริ่มถูกรวมรั้งขึ้น
อึ้งยิ่มกล่าวว่า
“วาจาคุยเขื่องกล่าวให้น้อยลง หากมีความสามารถก็มาหักล้างกัน”
ซิเล้งผงกศีรษะอย่างเยือกเย็น พลันกล่าวกับฉื่อเซียวอุงว่า
“ท่านถอยห่างไป สำรวจดูรอบบริเวณ หากมีผู้คนปรากฏกายมา ก็รีบบอกล่าวกับข้าพเจ้า”
ฉื่อเซียวอุงมิทราบว่าเพราะเหตุใด กลับสยบอยู่ใต้อำนาจอันห้าวหาญของซิเล้ง ปากได้ส่งเสียงรับคำ แต่ความจริงในใจยังคำนวณว่า สมควรส่งสัญญาณแจ้งเหตุหรือไม่?
อึ้งยิ่มตวาดว่า
“นางแพศยา เจ้ากล้าทรยศจริงๆ”
ฉื่อเซียวอุงพอได้ยิน ก็พลันตกลงใจกล่าวว่า
“ซิไต้เฮียบระวัง อย่าให้มันมีโอกาสล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ หาไม่แล้ว ท่านประมุขเฒ่าจะได้รับสัญญาณในทันที”
ซิเล้งกล่าวว่า
“มันจะมิมีโอกาสเช่นนั้นอย่างเด็ดขาด”
ฉื่อเซียวอุงพลันพุ่งร่างไป เสาะหาสถานที่ซึ่งมีทำเลอันประเสริฐ สำรวจดูสภาพรอบด้าน
ซิเล้งสะอึกกายออกไปสองก้าว สะบัดฝ่ามือฟาดเข้าใส่
สภาวะฝ่ามือของตน รู้สึกว่ามิมีสภาพผิดปรกติใดๆ แต่กำลังฝ่ามือพอทะลักออกจากใจกลางฝ่ามือ ก็พลันก่อเกิดสำเนียงอันเกรียวกราวดสะเทือนหูสะท้านขวัญ!
อึ้งยิ่มต้องการกระแทกฝ่ามือสามครั้งซ้อนๆ ทั้งสลายพลังของฝ่ายตรงข้าม และคุ้มครองตัวเอง จึงคลี่คลายภาวะจู่โจมของคู่ต่อสู้ได้
ช่วงเวลานั้นซิเล้งก็ฟาดฝ่ามือตามติดมา พริบตาเดียวกระแสพลังอันอื้ออึงคะนึงหู ก็ทะลักเปี่ยมล้นไปทั่วทุกทิศทาง
อึ้งยิ่มหลังจากต้านรับฝ่ามือของซิเล้งติดต่อกันสามครั้งแล้ว ก็วุ่นวายจนมือไม้สั่นเป็นพัลวัน
ข้อที่มันรู้สึกคลางแคลงมิเข้าใจก็คือ กำลังฝ่ามือของคู่ต่อสู้ ประหลาดพิสดารยิ่งนัก จะว่าแกร่งกร้าวก็ไม่แกร่งกร้าว แต่จะว่าอ่อนด้อยก็มิอ่อนด้อย มักใช้ออกอย่างเหมาะเจาะ จนไม่อาจต้านรับไว้
มิหนำซ้ำ ทุกครั้งคราที่อึ้งยิ่มตีโต้กลับไป พอใช้กำลังรุนแรงขึ้นเท่าใด สภาวะฝ่ามือของคู่ต่อสู้ ก็จะมีปฏิกิริยาเพิ่มพูนขึ้นเท่านั้น
โดยสรุปแล้ว นี่คือคู่ต่อสู้ที่อึ้งยิ่มรู้สึกว่า ไม่มีทางหักโหมเอาชัยชนะอย่างเด็ดขาด
ขณะนี้ซิเล้งได้ใช้วิชาพลังจิตสองสุดยอด ซึ่งล้วนสามารถผสมผสานเข้าไปในศัสตราวุธหรือท่าฝ่ามือ แผ่อานุภาพได้อย่างไร้เทียมทาน
เพียงแต่ว่า ตนครั้งนี้มิมีเจตนาเข่นฆ่าฝ่ายตรงข้ามหาไม่แล้ว ซิเล้งหากใช้หกกระบวนท่ามหรรณพออกไป อานุภาพของฝ่ามือ ซึ่งได้เพิ่มพูนพลังของธรรมชาติอยู่ด้วย อาศัยชนชั้นอึ้งยิ่มไหนเลยจะต้านรับได้
ท่ามกลางพลังลมที่กระจัดกระจาย ซิเล้งได้ตะลุยรุกไล่อึ้งยิ่มไปยี่สิบกว่ากระบวนท่า
วินาทีนั้น ซิเล้งพลันกรีดฝ่ามือฟาดฟันเข้าไปได้ยินเสียงดังเพียะ กระดูกแขนขวาของอึ้งยิ่ม ถูกกระแทกจนแหลกละเอียดย่อยยับ!
อึ้งยิ่มมาตรแม้นรู้สึกเจ็บแปลบปลาบจนจับจิต แต่สันดานของมันป่าเถื่อนยิ่งนัก พลันพบว่าซิเล้งชะลอสภาวะเล็กน้อย นับเป็นโอกาสของมัน ดังนั้นฝ่ามือซ้ายจึงกระแทกกระทั้นออกอย่างรวดเร็ว
แต่ทว่าความจริงซิเล้งต้องการให้มันเผชิญกับความทุกข์ทรมาน จึงแสร้งผ่อนคลายสภาวะ ยามนั้นฝ่ามือขวาของตน พลันฟาดลงไปอย่างพิสดารสุดหยั่งคาด
ได้ยินเสียงดังสดใสอีก แขนซ้ายของอึ้งยิ่มกระดูกภายในหักสะบั้น กลับกลายเป็นบุคคลที่ไม่มีมือใช้ประโยชน์ได้อีก
กระดูกข้อแขนของมันทั้งสอง ล้วนหักสลายไป ความเจ็บปวดที่ได้รับ หากเป็นคนธรรมดา ย่อมต้องสลบไสลไป แต่อึ้งยิ่มมีนิสัยหยาบช้า ความอดทนก็เหนือล้ำกว่าสามัญชน
และเพราะเหตุนี้ อึ้งยิ่มจึงได้รับความเจ็บปวดรวดร้าวเป็นพิเศษ และต้องทนทานรับไว้ โดยที่ยังมีสติสัมปชัญญะอยู่
ซิเล้งมิลงมืออีก ปล่อยให้มันยืนหยัดอยู่กับที่ แลเห็นอึ้งยิ่มมีเหงื่อกาฬไหลพร่างพรู ใบหน้าบิดเบี้ยวปั้นยาก เต็มไปด้วยแววอันปวดร้าวสาหัส
ซิเล้งส่งเสียงกล่าวว่า
“อึ้งยิ่ม หากแม้นท่านยังมีสติแจ่มใส ข้าพเจ้าก็ขอตักเตือนว่า ยังคงบอกเล่าเรื่องทางลับออกมา เพื่อมิต้องรับความทรมานโดยเปล่าประโยชน์”
อึ้งยิ่มกล่าวว่า
“ซิไต้เฮียบ… ทางลับของอาณาจักรเรา เราก็ทราบอย่างจำกัด เกรงว่า…มิอาจสร้างความเพียงพอแก่ท่าน ยังยากจะรักษาชีวิตไว้”
มันต้องชะงักวาจา สูดลมหายใจเข้าไป เพื่อกล้ำกลืนความเจ็บปวดหลายครั้ง แสดงว่าความทรมานครานี้สาหัสยิ่ง
ซิเล้งกล่าวว่า
“ท่านก็บอกเล่าเท่าที่รู้เห็นมาจนหมดสิ้น ข้าพเจ้าย่อมสามารถจำแนกว่า มีการปกปิดอำพรางหรือไม่?”
“เท่าที่เราทราบมา ทางลับสายนั้นได้ทุ่มเทแรงงานอย่างมหาศาลที่สุด… เมื่อห้าสิบปีก่อน นั่นเป็นทางลับตามธรรมชาติสายหนึ่ง แต่หลายสิบปีที่ผ่านมา หลังจากท่านประมุขเฒ่าได้ควบคุมการก่อสร้างแล้ว ก็มีสภาพที่ผู้คนยากจะเชื่อถือ สมมุติว่าทางลับยาวหลายสิบลี้นั้น มีความกว้างหลายสิบวา สูงสิบกว่าวา ตลอดเส้นทางล้วนราบเรียบ และมีแสงสว่างยิ่งนัก”
ซิเล้งกล่าวว่า
“กำลังคนของอาณาจักรอัคคี ย่อมมิต้องกังวล กอปรกับเวลาหลายสิบปี การขุดเจาะเส้นทางสายหนึ่ง ไหนเลยจะนับว่าเป็นเรื่องประหลาดได้?”
อึ้งยิ่มกล่าวว่า
“ซิไต้เฮียบกล่าวเช่นนี้ ออกจะคำนวณอิทธิฤทธิ์ท่านประมุขเฒ่าต่ำต้อยเกินไปแล้ว เชื่อมั่นว่าแม้แต่เทพเจ้าลักเต็งลักกะของโบราณกาล ที่บุกเบิกเส้นทางด้วยอำนาจอันเกรียงไกร ก็มิมีการสร้างทางลับเฉกเช่น ทางลับของอาณาจักรอัคคี
บอกกับท่าน ทางลับสายนั้นจากในสู่นอก บางครั้งมีสภาพสูงต่ำเอนเฉียง แต่มีอยู่สี่ห้าช่วง ที่เบื้องล่างเป็นหุบเหว การจะตัดเป็นทางศิลาผ่านเข้าไปนั้น แม้แต่ความคิดฝันก็คิดมิถึงอย่างแน่นอน!”
ซิเล้งกล่าวว่า
“อาจจะตอนแรกเริ่มก็มีหินผาธรรมชาติพาดขวางอยู่ด้านบน มิมีอันใดน่าแตกตื่น”
อึ้งยิ่มเห็นฝ่ายตรงข้ามมิเชื่อถือ จึงมิอาจสรรหาความจริงมาอ้างอิง กล่าวว่า
“แม้เป็นว่าท่านประมุขเฒ่าดัดแปลงจากธรรมชาติเถอะ แต่เท่าที่เราทราบมา ทางลับสายนั้น มีบางส่วนที่เคลื่อนไหวได้ ท่านประมุขเฒ่าเพียงกดมือลง ทางลับช่วงที่ยาวนับสิบๆ วา ก็จะลากยาวออกไป
ควรทราบว่า เส้นทางที่ยาวนับสิบๆ วา แม้จะรวบรวมจอมพลังทั่วใต้หล้านับพันๆ หมื่น ก็มิมีทางทำให้โยกคลอน แต่ท่านประมุขเฒ่ากลับมีอิทธิฤทธิ์เคลื่อนภูเขาถล่มทะเลเช่นนั้น”
ซิเล้งมิทุ้มเถียงให้มากความ ถามว่า
“ทางลับสายนั้นปากทางเข้าอยู่ที่ใด และปากทางออกอยู่ที่ใด?”
“ภายในหุบเขาปังซัวเจียะลิ้มก๊ก (หุบเขาดงต้นปังทะเลโขดหิน) ทางลับเส้นนั้นมีนามว่าคังจึง”
ซิเล้งกล่าวว่า
“เท่าที่ท่านทราบล้วนได้กล่าวออกมาแล้ว ใช่หรือไม่?”
“ถูกแล้ว ซิไต้เฮียบโปรดกรุณา”
“แต่ข้าพเจ้าได้พบว่า ท่านมีเรื่องที่ยังมิได้บอกกล่าวอยู่หนึ่งหรือสองประการ”
อึ้งยิ่มใจหายวาบ กล่าวว่า
“ท่านพอสะกิดเตือน เราก็พบว่าลืมบอกถึงข้อที่จากสถานที่นี้ ไปยังหุบเขาดงต้นปังทะเลโขดหินอย่างไรแล้ว”
“ถูกต้อง รีบออกมาเถอะ”
อึ้งยิ่มบอกกล่าวทิศทางและเส้นทางเดินโดยละเอียด เนื้อความพาดพิงถึงเขตอาณาจักรอัคคีใหญ่ แต่มิได้เอ่ยถึงขุมนรกอัคคีเพลิง
ซิเล้งจดจำคำบอกเล่าของมันทุกประโยคเอาไว้และถามว่า
“ถ้าเช่นนั้น ในหุบเขาทะเลโขดหินมีสภาพอันใด มีการจัดสร้างที่ซุ่มซ่อนแอบแฝงอยู่หรือไม่?”
“เราเคยเข้าไปครั้งหนึ่ง หุบเขาแห่งนั้นพื้นที่ราบเรียบกว้างขวาง แต่เต็มไปด้วยโขดหินผา มีทั้งใหญ่เล็ก นอกจากโขดหินผาเหล่านั้น ก็ไม่มีวัตถุน่าระแวงอย่างอื่น แต่ได้ยินคำร่ำลือว่า ในหุบเขาจัดกำลังซุ่มซ่อนไว้จำนวนพัน”
“คำร่ำลือดังกล่าว ท่านเชื่อถือหรือไม่?”
อึ้งยิ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า
“หากแม้นมีกำลังจัดซุ่มอยู่จำนวนพัน โดยซุกซ่อนอยู่หลังโขดหินผา ก็มิมีทางสังเกตพบได้ แต่เรานึกถึงปัญหาข้อหนึ่ง กล่าวคือ…
อาณาจักรอัคคีแม้มีเขตแดนกว้างขวาง สามารถประจำกำลังผู้คนได้หลายสิบหมื่น กำลังจำนวนพันย่อมมิชวนสงสัย แต่ขุมกำลังนั้นมาจาก ณ ที่ใด และแม้ว่ากองทัพนั้นจะไถนาเองนำมาใช้บริโภค แต่จะได้พื้นที่ทำนาจากที่ใด?”
มันเสนอคำถามหลายข้อออกไปในคราเดียว ซิเล้งก็รู้สึกว่ามีข้อไม่สอดคล้องอยู่ จึงถามว่า
“ท่านเมื่อบอกว่า อาณาจักรอัคคีมีพื้นที่กว้างขวาง ถ้าเช่นนั้นที่สำหรับทำนา ไหนเลยจะมิมีเล่า?”
“มีนั้นย่อมต้องมี แต่ที่ซึ่งยึดดินแดนอาณาจักรเราไปมากที่สุด คือเมือง เมืองนี้มีประชาชนอยู่หลายหมื่นพื้นที่ซึ่งใช้ทำนาได้ ส่วนมากอยู่รอบเมืองนี้ มีทั้งไถนา ทำไร่ จับปลา เลี้ยงสัตว์ แต่ยังมิเพียงพอต่อความต้องการ ไหนเลยจะไปเจือจานกำลังจำนวนพันๆ ได้?”
“เหลวไหล ขอเพียงแต่มีที่นามากพอ ไฉนจึงไม่เพียงพอต่อความต้องการของตัวเอง?”
อึ้งยิ่มกล่าวว่า
ประชาชนจำนวนหลายหมื่นในเมืองมหาชั่วร้าย ผู้ทำงานอย่างแข็งขันมีไม่มาก ดังนั้นนอกจากอาหารการกินไม่เพียงพอ สิ่งของเครื่องใช้ก็ขาดแคลน
มิหนำซ้ำผู้ถูกทำงานหนักอยู่ในอาณาจักรเรา ก็มีจำนวนนับพันคนขึ้นไป ข้าทาสเหล่านั้นรู้จักแต่ใช้ผลาญ มิสามารถให้ผลิตผล เพราะเหตุนี้อาณาจักรเราทุกๆ เดือน ยังต้องซื้อหาวัตถุจำนวนมากจากภายนอก และเพิ่มเติมการขาดแคลนของพวกบ่าวทาส”
ซิเล้งหัวร่ออย่างเย็นชากล่าวว่า
“มาตรแม้นคำบอกเล่าของท่าน มิถึงกับเป็นความจริงจนหมดสิ้น แต่ข้าพเจ้ายังจะละเว้นชีวิตของท่าน”
ฉื่อเซียวอุงพลันพุ่งร่างเข้ามา ที่แท้นางลาดตระเวนอยู่ละแวกใกล้เคียงตลอดเวลา คอยรับฟังคำตอบโต้ของบุคคลทั้งสอง นางกล่าวอย่างร้อนรนว่า
“ซิไต้เฮียบ ท่านหากปลดปล่อยมันผู้นี้ไป พวกเราก็อย่าคาดหวังว่า จะออกจากอาณาจักรนี้ได้”
หยุดอยู่เล็กน้อย จึงกล่าวอีกว่า
“ข้าพเจ้ากลับมิเกรงกลัวต่อความตาย แต่การลงทัณฑ์ยี่สิบสี่ประการของท่านประมุขเฒ่า แม้จะเป็นเทวราชคงกระพัน ก็มิอาจรับไว้”
ซิเล้งกล่าวว่า
“ข้าพเจ้ามิเคยตระบัดสัตย์คืนคำ แม้จะอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายเช่นนี้ก็ตาม นี่คือการจำแนกระหว่างธรรมะกับอธรรม ฉื่อโกวเนี้ยอย่าได้ตักเตือนเลย”
อึ้งยิ่มได้ยินน้ำเสียงของฝ่ายตรงข้าม เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว จึงลอบเด็ดเดี่ยวในใจ และเขม้นมองฉื่อเซียวอุงอย่างเย็นยะเยียบ
ฉื่อเซียวอุงพอพบเห็นประกายตาของอึ้งยิ่ม ก็แตกตื่นจนหน้าถอดสี เรือนร่างสั่นระริก
ซิเล้งพลันรู้สึกว่า หญิงงามนางนี้ใกล้จะทำให้ตนใจอ่อน และยามชำเลืองมองส่วนสัดของนาง ซึ่งถูกปกปิดภายใต้อาภรณ์อันเบาบาง ก็อดใจสะท้านหวั่นไหวมิได้
ตนสงบสติอารมณ์ แล้วจึงกล่าวว่า
ฉื่อโกวเนี้ย ข้าพเจ้ามิอาจไม่กระทำตามสัจจะวาจา รู้สึกเสียใจยิ่ง”
ฉื่อเซียวอุงถอนหายจอย่างหนักหน่วง กล่าวว่า
“ท่านเมื่อคิดละเว้นชีวิตของมัน ข้าพเจ้าก็อับจนปัญญา เพียงขอให้ท่านอย่าปลดปล่อยมัน รอให้พวกเราจัดการเรื่องภายหลังเสียก่อน”
ซิเล้งขณะตกลง พลันรู้สึกว่ามิถูกต้อง ถามว่า
“ท่านมีเรื่องภายหลังอันใด และยังมีใครอีก หมายถึงอาเฮี้ยงหรือ?”
ฉื่อเซียวอุงฝืนยิ้มกล่าวว่า
“มิผิด ข้าพเจ้าจะฆ่าอาเฮี้ยงก่อน แล้วก็อัตวินิบาตกรรม แต่ท่านยังต้องรออีกครู่หนึ่ง หาไม่มันพอส่งสัญญาณ ท่านประมุขเฒ่ายังมีหนทางคร่ากุมพวกเรากลับไปลงทัณฑ์”
ท่านหมายความว่า จะต้องตายสนิท อลัชชีโลกันตร์ จึงอับจนปัญญาใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง”
ซิเล้งพลันหัวร่ออย่างเย็นชา กล่าวว่า
“ฉื่อโกวเนี้ย ก่อนที่ท่านจะอัตวินิบาตกรรม ข้าพเจ้าขอรบกวนท่านไปกระทำเรื่องหนึ่ง”
“ซิไต้เฮียบมีเรื่องอันใด ต้องการใช้สอยข้าพเจ้าหรือ?”
“ท่านไปนำน้ำบริสุทธิ์มาจอกหนึ่ง เดียรัจฉานนี้หลังจากดื่มไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงจะปล่อยมัน”
อึ้งยิ่มหาได้ส่งเสียงไม่ มิหนำซ้ำยังปราศจากท่าทีใดๆ
ซิเล้งคำนึงในใจว่า
“…หรือว่าน้ำบริสุทธิ์สำหรับกับมันมิบังเกิดประสิทธิภาพเลย…”
ฉื่อเซียวอุงกล่าวว่า
“นั่นต้องสูญเสียเวลานำน้ำมามิน้อย”
ซิเล้งก็กล่าวว่า
“มิเป็นไร ในเมื่อมันเป็นหัวหน้าฝ่ายฝึกสอน คงมิมีภาระเรื่องใดผูกมัดตัว ไม่มีผู้คนค้นหามันหรอก”
ฉื่อเซียวอุงจึงหันกายพุ่งไปอย่างรวดเร็ว หายสาบสูญไร้ร่องรอยในบัดดล
อึ้งยิ่มผู้เลือดเย็น แต่ในที่สุดก็ถูกซิเล้งสยบจนต้องการบอกกล่าวความลับ พลันกระแทกกายนั่งลงบนพื้นดินอย่างไร้เรี่ยวแรง ชั่วครู่ต่อมาก็เอ่ยทำลายความเงียบว่า
“ซิไต้เฮียบ ฉื่อเซียวอุงคงมิกลับมาแล้ว”
ซิเล้งไม่สนใจ เพียงกล่าวว่า
“พวกเราก็รอดูกันเถอะ”
“อือม์ ซิไต้เฮียบ ท่านหากคิดออกจากอาณาจักรเราหาใช่เรื่องอันง่ายดายไม่ เราได้รับการละเว้นชีวิตจากท่าน ก็จะขอทดแทนพระคุณ ยินยอมเป็นผู้นำพาท่านออกไป อย่างปลอดภัย”
ซิเล้งกล่าวอย่างเย็นชาว่า
“ข้าพเจ้าเมื่อมาได้ ย่อมสามารถออกไป มิต้องรบกวนท่าน”
ในใจของตนได้ครุ่นคิดว่า
“…วาจาของมันแสดงว่ามีเจตนาแอบแฝงไว้ คิดจะขอเป็นผู้นำทาง หลบหลีกจากการดื่มน้ำบริสุทธิ์”
อึ้งยิ่มกล่าวว่า
“ซิไต้เฮียบหาทราบไม่ว่า อาณาจักรอัคคี มีหลุมพรางอันตรายอยู่ทุกแห่งหน หากไม่มีเรานำทางท่าน ท่านแม้แต่ทางออกก็มิอาจเสาะพบ”
“ข้าพเจ้าบอกแล้วว่า มิต้องให้ท่านวุ่นวายใจ”
“อา ท่านคงยังมิทราบว่า ในอาณาจักรอัคคีของเรา มีผู้คนมิน้อยที่ยังร้ายกาจกว่าพวกซ่งจงที่ยังฝึกหัดวิชาหัตถ์เทพยดาไร้เทียมทานเสียอีก…”
ซิเล้งพลันถามว่า
“นอกจากซ่งจงแล้ว ยังมีผู้ใดฝึกหัดวิชาหัตถ์เทพยดาไร้เทียมทานอีก?”
“ยังมีอีกผู้หนึ่ง นามฮ่วมค๊ก เป็นศิษย์ของเรา”
หากแม้นยังมีผู้คนที่ร้ายกาจกว่าพวกซ่งจง ฮ่วมค๊ก อลัชชีโลกันตร์ไยต้องสูญเสียความพยายามคร่ำเคร่งฝึกฝนพวกมัน?”
ในใจของซิเล้งทราบว่า อึ้งยิ่มหมายถึงขบวนนางผึ้งเหล่านั้นแสดงว่าขบวนนางผึ้งยังน่าหวาดกลัวกว่าซ่งจง ฮ่วมค๊ก แต่พวกนางพอใช้ไปคนหนึ่ง ก็น้อยไปคนหนึ่ง ดังนั้นอลัชชีโลกันตร์เกรงว่าฝ่ายศัตรูมีจำนวนมากเกินไป จึงมิอาจไม่มีผู้สำเร็จวิชาหัตถ์เทพยดาไร้เทียมทาน
อึ้งยิ่มไหนเลยจะทราบว่า ได้แพร่งพรายความลัยของอาณาจักรไปมิน้อยแล้ว กล่าวว่า
“เราหากมีคำมดเท็จ ฟ้าดินจงประหาร แต่ความจริงอิสตรีอันสวยสะคราญ ซึ่งท่านประมุขเฒ่าอุปการะเอาไว้ ล้วนร้ายกาจกว่าพวกซ่งจงฮ่วมค๊ก”
ซิเล้งเพิ่งทราบว่า อลัชชีโลกันตร์ ยังชุบเลี้ยงสตรีโสภาอยู่ในความอุปการะจำนวนหนึ่ง จึงกล่าวว่า
“ท่านเมื่อกล่าวเช่นนี้ ข้าพเจ้ากลับรู้สึกใคร่อยากพบพวกนางเหล่านั้นแล้ว”
ตนทราบว่าอึ้งยิ่มต้องมุ่งหวังให้ตนได้พบพวกนางจึงกล่าวอีกว่า
“แต่มิทราบว่าจะพบพานโฉมสะคราญผู้ทรงฝีมือเหล่านั้นได้อย่างไร”
อึ้งยิ่มกล่าวว่า
“พวกนางมีศักดิ์เป็นทั้งฮูหยินผู้สูงส่ง และกงจู้ (ราชธิดา) ส่วนใหญ่มักอยู่ปรนนิบัติท่านประมุขเฒ่าน้อยครั้งจะออกมา แต่ในเขตแดนอัคคีใหญ่ ยังมีโอกาสพบเห็นพวกนางได้”
“ร่องรอยของข้าพเจ้าเร้นลับ พวกนางคงมิถึงกับพบเห็น หากแม้นข้าพเจ้ารู้จักพวกนางก็ประเสริฐยิ่งแล้ว ข้าพเจ้าจะต้องเสาะหาคนหนึ่งมาทดสอบดู”
“นั่นจดจำได้ง่ายดายยิ่ง ในอาณาจักรอัคคีมีแต่พวกนางที่สามารถสวมชุดชาววัง มองจากที่ห่างไกลคล้ายกับเทพธิดาในภาพวาดก็ปานกัน”
ซิเล้งเมื่อแสร้างเจตนาทราบลักษณะการแต่งกายของโฉมสะคราญผู้น่ากลัวเหล่านั้นจากอึ้งยิ่มแล้ว จึงกล่าวว่า
“ใช้ได้แล้ว เมื่อจดจำได้ง่ายดาย ก็ย่อมมิผิดพลาด”
“หากแม้นท่านมองแต่ไกลยังมิมั่นใจ เวลาเข้าไปใกล้มีอยู่ข้อหนึ่งที่ยิ่งพิสูจน์ได้ กล่าวคือร่างท่อนบนของพวกนางสวมชุดชาววังและเกล้ามวยผมแต่กระโปรงยาวที่คลุมร่างท่อนล่าง เป็นเนื้อแพโปร่งใส และพวกนางต้องกระทำตามกฎ ในกระโปรงมิสวมใส่เสื้อผ้าอย่างอื่น”
“อ้อ ร่างท่อนล่างของพวกนางเกือบจะเปล่าเปลือยหรอกหรือ?”
“ถูกต้อง หากแม้นท่านรู้สึกชมชอบเราสามารถพาไปดูรับรองว่ามิถูกท่านประมุขเฒ่าพบเห็นเด็ดขาด”
ซิเล้ง พลันกล่าวว่า
“สนทนาตั้งครึ่งค่อนวัน ท่านยังมิได้บอกกล่าวที่พักอาศัยของอลัชชีโลกันตร์ออกมาเลย”
“ร่องรอยของท่านประมุขเฒ่า มิมีผู้ใดทราบได้! แต่ทว่าในหุบเขาแห่งหนึ่ง นอกเขตอัคคีใหญ่หลายลี้ ทางด้านทิศตะวันออกเป็นดินแดนหวงห้าม หากมิได้รับคำสั่งห้ามไม่ให้เข้าไป”
“อือม์ เมื่อเป็นเช่นนี้ ศักดิ์ศรีของท่านก็มิสูงส่งเพียงพอ ข้าพเจ้าต้องเสาะหาหนึ่งในสามผู้ดูแลใหญ่ ทำหน้าที่นำทางแล้ว”
“ถูกต้อง มีแต่ท่านผู้เฒ่าทั้งสามนั้น จึงสามารถเข้าออกหุบเขาหวงห้ามได้ตามใจชอบ”
ซิเล้งมิแยแสสนใจมัน อึ้งยิ่มพลันมีใบหน้าซีดเผือด กล่าวว่า
“ซิไต้เฮียบ เราได้บอกเล่าเรื่องเท่าที่ทราบจนหมดสิ้น ขอให้ท่านกรุณาปลดปล่อยเราเถิด หากไม่วางใจ ท่านสามารถจี้สกัดจุดของเรา อีกสิบสองชั่วยามค่อยคลายได้ เราก็มิมีทางรายงานต่อท่านประมุขเฒ่าแล้ว”
ซิเล้งกล่าวอย่างเย็นชาว่า
“ท่านมิใช่ไม่เกรงกลัวน้ำบริสุทธิ์หรอกหรือ แต่ข้าพเจ้าฟังไปฟังมา ท่านมีความหวาดกลัวชัดๆ นี่เป็นความคดกลอกกลิ้งของท่าน”
“เราสมควรตาย บัดนี้มิกล้าปกปิดท่านแล้ว ขอให้ท่านโปรดละเว้นเรื่องดื่มน้ำบริสุทธิ์เถอะเรายินยอมรับใช้ต่างม้าลา เพื่อทดแทนพระคุณ”
“เฮอะ ท่านมิเพียงแต่ปกปิดเรื่องนี้ ยังมีอัคคี ท่านมิเคยเอ่ยถึงมาก่อน”
อึ้งยิ่มแตกตื่นจนเหงื่อกาฬชุ่มโชก รู้สึกว่ายากจะรอดพ้นอันตรายของการดื่ม “น้ำบริสุทธิ์” ดังนั้นจึงถลึงเข้าใส่ แผดด่าขึ้นว่า
“ทารกบัดซบ บิดาเจ้ายอมสูญชีวิตแล้ว เจ้าหากมีความสามารถก็ฆ่าบิดาเจ้าเสียเลย”
คำด่าที่หยาบคาย ได้ถูกมันแผดด่าออกมา ซิเล้งพลันบังเกิดโทสะ แต่แล้วฉุกคิดขึ้นว่า ฝ่ายตรงข้ามมีเจตนากระตุ้นให้ตนลงมือฆ่ามันชัดๆ!
ดังนั้นตนกลับมิเข่นฆ่ามัน เพียงจี้สกัดจุดของอึ้งยิ่มทำให้ทั้งมิอาจเคลื่อนไหว และไม่สามารถส่งเสียง
อีกเนิ่นนานให้หลัง ฉื่อเซียวอุงก็วิ่งกลับมา ในมือถือป้านน้ำทองเหลืองใบหนึ่ง กล่าวกับซิเล้งว่า
“ป้านนี้บรรจุน้ำบริสุทธิ์ที่ท่านประมุขเฒ่าให้บรรดาข้าทาสใช้ดื่ม แต่มิทราบว่า สำหรับกับอึ้งยิ่ม จึงมีประสิทธิภาพหรือไม่?”
ซิเล้งกล่าวอย่างเชื่อมั่นว่า
“ย่อมต้องมีประสิทธิภาพ”
กล่าวจบ ก็รับป้านทองเหลือง กรอกน้ำเย็นทั้งป้านลงไปในปากของอึ้งยิ่มจนหมดสิ้น
ชั่วครู่ให้หลัง อึ้งยิ่มเริ่มมีประกายตาฝ้าฟางเลอะเลือน ซิเล้งจึงตบคลายจุดของมัน เพื่อสังเกตดูประสิทธิภาพหลังจากที่ดื่มน้ำบริสุทธิ์
ซิเล้งเบือนศีรษะกวาดมองฉื่อเซียวอุง ถามว่า
“ท่านเห็นเป็นอย่างไร เดียรัจฉานนี้ได้แสร้งแกล้งหรือไม่?”
“นี่ยากจะเชื่อมั่น และฤทธิ์ยาในน้ำบริสุทธิ์ ยังต้องรออีกหนึ่งชั่วยามจึงจะออกฤทธิ์ พอมันดื่มเป็นครั้งที่สอง จึงจะเห็นผลทันที”
ซิเล้งเบือนหน้ามองไปที่อาเฮี้ยง ซึ่งตลอดเวลานอนฟุบอยู่บนพื้นดิน พลันล้วงหยิบเอายาเม็ดหมื่นวิเศษ ซึ่งตกหล่นอยู่ในละแวกใกล้เคียง กล่าวว่า
“ยาเม็ดนี้สามารถช่วยให้อาเฮี้ยงคืนสติหรือไม่?”
ฉื่อเซียวอุงกล่าวว่า
“ที่แท้ท่านเมื่อครู่นี้ลอบลงมือ จนยาเม็ดตกหล่น อาเฮี้ยงความจริงมิอาจทนทานต่อความร้อนอบอ้าว จึงสลบสิ้นสติไปบัดนี้ข้าพเจ้าจะให้มันกลืนกินลงไป”
กล่าวพลาง เดินมาที่ข้างกายของอาเฮี้ยง ยัดเยียดยาเม็ดเข้าไปในปากของมัน
ประมาณครึ่งชั่วยามให้หลัง อาเฮี้ยงก็ฟื้นคืนสติขึ้นมา มันพอผุดลุกขึ้น ก็แลเห็นฉื่อเซียวอุงยืนเคียงคู่กับซิเล้งผู้คมคาย ด้วยสัญชาตญาณ ประกายตาของมันทอเป็นแววริษยา แฝงด้วยความหวาดหวั่น
ฉื่อเซียวอุงปราดตาเหลือบมองอาเฮี้ยง แนะนำซิเล้งต่อมันว่า
“ท่านผู้นี้คือวีรบุรุษประจำยุค มีแต่เขาที่สามารถตอแยรังควานท่านประมุขเฒ่า”
อาเฮี้ยงเพียงผงกศีรษะมิส่งเสียง ฉื่อเซียวอุงพลันพบว่าไมตรีของนางที่มีต่ออาเฮี้ยงเริ่มแปรเปลี่ยนไป อย่างน้อยที่สุด นางก็มิรู้สึกว่าอาเฮี้ยงคือบุคคลสำคัญในชีวิตของนางแล้ว
นางเองก็สงสัยใจยิ่ง ลองสำรวจมองอาเฮี้ยง แลเห็นมันมีความสง่างามดังเดิม แต่ความรักที่อบอุ่นของนางได้ลดต่ำลงอย่างมิอาจชดเชย
ซิเล้งพลันกล่าวขึ้นว่า
“ขณะนี้ข้าพเจ้าคิดถามพวกท่านว่า ภายหลังจะตัดสินใจอย่างไร หากแม้นข้าพเจ้าช่วยเหลือได้ ก็มิขอปฏิเสธ”
ฉื่อเซียวอุงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“ข้าพเจ้าจำต้องหลบหนีจากอาณาจักรอัคคีนั้น”
“ข้าพเจ้าเห็นว่าทางลับที่อึ้งยิ่มบอกมานั้น ย่อมต้องมีหลุมพรางอยู่มากมาย พวกท่านมิอาจผ่านไปได้ ดังนั้นพวกท่านได้แต่อาศัยทางด้านแดนอัคคีเล็ก หลบหนีจากอาณาจักรนี้”
อาเฮี้ยงพอได้ยินว่า ฝ่ายซิเล้งหาได้คิดสลัดทิ้งมันไม่ จึงค่อยคลายใจลง แต่มันมิทราบว่าแดนอัคคีเล็กอยู่ที่ใด จึงมิอาจสอดคำ
ฉื่อเซียวอุงกล่าวว่า
“ซิไต้เฮียบ ข้าพเจ้าและอาเฮี้ยงล้วนมิอาจผ่านเขตแดนอัคคีเล็ก เพราะว่าก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้เลื่อนเป็นองครักษ์ พลังฝีมือมีจำกัด มิสามารถทนทานระดับความร้อนแถบนั้นได้”
อาเฮี้ยง พลันกล่าวว่า
“พวกเรากลับเข้าไปในเมือง ผู้ใดสามารถเสาะพบเล่า?”
ฉื่อเซียวอุงรู้สึกรำคาญใจยิ่ง เพราะว่าวาจาของมันโง่เขลาจนน่าหัวร่อ นางกล่าวอย่างมิพอใจว่า
“พื้นที่ในตัวเมืองแคบเล็ก และล้วนตกอยู่ในการควบคุมของอาณาจักรอัคคี ท่านจะหลบซ่อนอยู่ที่ใด?”
“ข้าพเจ้ามีสถานที่หลายแห่ง สามารถซุกซ่อนกาย”
ฉื่อเซียวอุงกำลังจะตอบโต้อาเฮี้ยงว่า มันมิอาจรอดพ้นจากการไล่ล่าของอลัชชีโลกันตร์ แต่แล้วก็ล้มเลิกความคิดเนื่องจากอาเฮี้ยงมิทราบเรื่องราวตั้งมากมายก่ายกอง แม้แต่ศักดิ์ศรีที่แท้จริงของนาง
ซิเล้งกล่าวว่า
“แดนอัคคีเล็กข้าพเจ้าได้ไปแล้ว อุณหภูมิมิผิดแผกจากที่นี่ไม่เท่าใด แต่ท่านเมื่อมิอาจไป ก็ไม่ต้องทดลอง เกี่ยวกับความเห็นที่อาเฮี้ยงเฮียบอกว่า สามารถซุกซ่อนกาย นับว่าน่าครุ่นคิดยิ่ง”
ฉื่อเซียวอุงก็กล่าวว่า
“หากแม้นอาเฮี้ยงซุกซ่อนกายเพียงคนเดียว อาณาจักรเราคงไม่ระดมกำลังเสาะหา หรือสามารถเร้นกายได้ระยะเวลาหนึ่ง หากว่าข้าพเจ้าหายสาบสูญไปด้วย สภาพการณ์ก็แตกต่างแล้ว”
“ท่านหากมีหนทางทำให้ฝ่ายอาณาจักรอัคคีในหนึ่งเดือนนี้มิทราบเรื่องราวในวันนี้ ข้าพเจ้าก็เชื่อมั่นว่าสามารถประหารอลัชชีโลกันตร์ ล้มล้างสถาบันอำมหิต”
อาเฮี้ยงกล่าวขึ้นว่า
“พวกเราสามารถหลบซ่อนอยู่ในเมืองเป็นเวลาครึ่งปีถึงหนึ่งปี”
ซิเล้งผงกศีรษะอย่างพอใจ กล่าวว่า
“ฉื่อโกวเนี้ยเล่า?”
“กำหนดหนึ่งเดือนของซิไต้เฮียบ คล้ายดั่งมีความนัยอยู่หรือว่าท่านคิดนำกำลังบุกเข้ามาด้วย?”
“อือม์ โดยสรุปแล้ว ข้าพเจ้ากับสหายจำนวนหนึ่งคิดจะกำจัดอลัชชีโลกันตร์ รายละเอียดมิอาจน้อมเรียน ท่านหากเชื่อถือ ก็ขอให้หาทางปกปิดเรื่องอึ้งยิ่ม ทั้งท่านก็มิอาจมีพิรุธ”
ฉื่อเซียวอุงกล่าวอย่างตรึกตรองว่า
“นั่นก็มีแต่ให้อาเฮียงกลับไปในเมือง ส่วนข้าพเจ้าคร่ากุมอึ้งยิ่มไปชดเชย”
“อึ้งยิ่มมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายฝึกสอน ชดเชยการเป็นข้าทาสแทนอาเฮี้ยงได้อย่างไร”
“ข้าพเจ้าสามารถบอกว่า อึ้งยิ่มไปหาข้าพเจ้าในเมืองมหาชั่วร้าย ฆ่าอาเฮี้ยงทิ้งไป และมันหลงดื่มน้ำบริสุทธิ์ โดยสรุปแล้ว มันขณะนี้มีปากแต่มิอาจทุ่มเถียงข้าพเจ้าเลย”
ซิเล้งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“วิธิการนี้มิใคร่รัดกุม แต่ขณะนี้สถานการณ์บีบบังคับ ได้แต่เห็นก้าวหนึ่งก็เดินก้าวหนึ่ง ขอให้ท่านพาอาเฮี้ยงกลับไป ข้าพเจ้าจะอยู่ที่นี้ เฝ้าควบคุมอึ้งยิ่มรอจนท่านกลับมา”
ฉื่อเซียวอุงบังเกิดความลิงโลดอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุกล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะออกเดินทางทันที”
วาจาเพิ่งกล่าวออกจากปาก ก็รู้สำนึกว่านาง เพราะอีกครู่หนึ่งก็มีโอกาสอยู่เพียงลำพังกับซิเล้ง จึงบังเกิดความปลื้มปีติ แม้จะรู้สึกว่าอารมณ์เช่นนี้มิมีเหตุผลก็ตาม
ฉื่อเซียวอุงก่อนจะจากไป ได้บอกกับซิเล้งว่า ฤทธิ์ยาในน้ำบริสุทธิ์พอแผ่กระจาย แขนที่หักสะบั้นของอึ้งยิ่ม โดยมิต้องรักษาก็จะลุเลา สามารถทำงานหนักทุกชนิด
ดังนั้นซิเล้งเพียงแต่สังเกตดูข้อนี้ ก็จะทราบว่าอึ้งยิ่มมีการเสแสร้งหรือไม่
ซิเล้งผงกศีรษะรับทราบ รอจนฉื่อเซียวอุงกับอาเฮี้ยงจากไปแล้ว จึงเดินมาที่ข้างกายของอึ้งยิ่ม แลเห็นมันมีประกายตาเลอะเลือน เหงื่อกาฬแตกชุ่มโชกทั่วร่าง
คนธรรมดาหากเห็นสภาพเช่นนี้ ก็เข้าใจว่ามันร้อนรุ่มสุดจะทนทาน แต่ซิเล้งทราบว่ามันกำลังรวบรวมพลังภายใน ต่อต้านกับฤทธิ์ยาในน้ำบริสุทธิ์ และหากล้มเหลวถูกฤทธิ์ยาสยบ มันก็จะกลับกลายเป็นข้าทาสที่ปราศจากความนึกคิดตลอดกาล!
ซิเล้งทรุดกายนั่งลงที่ด้านข้าง รอคอยอย่างสงบและทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ นานา จวบจนบัดนนี้ ตนประสบแต่ความราบรื่นทุกประการ
หากแม้นฉื่อเซียวอุงไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอุบาย ถ้าเช่นนั้นการที่มีแต้มเช่นนาง วางอยู่ในรังของอสูรเฒ่า ภายหลังยามบุกมาคงมีผลดีที่คาดมิถึง
แต่นางมีส่วนที่น่าระแวงอยู่ สมมุติว่านางบอกว่า จะนำอึ้งยิ่มไปชดเชยแทนอาเฮี้ยง ซึ่งไม่สอดคล้องกับรูปการณ์เลย
ตนพลันหวนนึกถึงคำตอบของฉื่อเซียวอุงได้ว่า จะต้องรายงานต่อที่เบื้องสูงว่า อึ้งยิ่มฆ่าอาเฮี้ยงทิ้งไปซึ่งก็เป็นข้อพิรุธ เพราะว่าในเมืองหาได้มีซากศพของอาเฮี้ยงไม่
ในยามนี้ดวงอาทิตย์เริ่มเคลื่อนคล้อยไปทางทิศตะวันตก แต่อุณหภูมิยังร้อนอบอ้าวยิ่ง ซิเล้งแม้นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ก็รู้สึกร้อนรุ่มยากทนทาน
ซิเล้งใคร่ครวญเรื่องนี้ต่อไป พลันสะท้านใจวาบ คำนึงว่า
“…หรือว่านางคิดจะฆ่าอาเฮี้ยงจริงๆ? มาตรมิเช่นนนั้นนางก็มิอาจสร้างความเชื่อให้กับที่เบื้องสูงใด…”
แน่นอนความคิดเช่นนี้รู้สึกเป็นไปมิได้ เนื่องจากฉื่อเซียวอุงได้บังเกิดความรัก จนตัวเองประสบอันตราย ดังนั้นนางไหนเลยจะฆ่าอาเฮี้ยง นี่ไยมิใช่ขัดแย้งกันยิ่ง?
แต่ทว่าซิเล้งยังรู้สึกว่า ความคิดนี้มิเหลวไหลเลย ตนยังจดจำประกายตาที่ฉื่อเซียวอุงจ้องมองตนได้ ดังนั้นจึงผุดลุกขึ้น คำนึงว่า
“…หากมแม้นฉื่อเซียวอุงมีความรู้สึกโน้มเอียงมาทางเรา อาศัยนิสัยที่ถูกกล่อมเกลามา การลงมือสังหารอาเฮี้ยง หาใช่เรื่องที่ประหลาดไม่…”
ซิเล้งเชื่อมั่นว่า เหตุการณ์อาจจะน่าพรั่นพรึงถึงปานนั้น จึงขยี้เท้าพึงพำว่า
“นี่เป็นเรื่องที่เลวร้ายยิ่ง เราจะต้องขัดขวางให้จงได้”
ดังนั้นจึงไม่สนในใจว่า อึ้งยิ่มจะเป็นอย่างไร รีบพุ่งร่างไป ฝีเท้าของตนว่องไวยิ่ง พริบตาเดียวก็แลเห็นหนุ่มสาวคู่นั้นอยู่เบื้องหน้า
ขณะที่มองจากที่ห่างไกล ฉื่อเซียวอุงกับอาเฮี้ยงหามีลักษณะผิดปรกติไม่ ซิเล้งชะลอฝีเท้าลง ถามไถ่ตัวเองว่า ตนจะระแวงเกินไปหรือไม่?
พลันเหลือบแลเห็นฉื่อเซียวอุงชะงักเท้าลง อาเฮี้ยงจึงเดินล้ำหน้าไปสองสามก้าว ซิเล้งใจสะท้านหวั่นไหวทันที เพราะว่าสภาพรอบกายขณะนี้ ล้วนเป็นโขดหินกับต้นไม้ ซึ่งเป็นที่ลงมือได้อย่างประเสริฐ
ตนทราบดีว่า ฉื่อเซียวอุงพอบังเกิดเพลิงอำมหิต ก็จะมิคำนึงให้มากความ เพราะนางถูกอบรมไปในทางโหดเหี้ยม จึงต้องแก้ไขสถานการณ์ในบัดดล
ซิเล้งพลันบังเกิดปฏิภาณวูบหนึ่ง ผนึกลมปราณตวาดว่า
“ฉื่อโกวเนี้ย…”
ฉื่อเซียวอุงพอได้ยิน ก็หันหน้ามองมา แลเห็นเงาร่างสายหนึ่ง พุ่งปราดมาถึงราวกับพายุ หอบพัดเพียงกระพริบตาครั้งเดียว ซิเล้งก็มาอยู่เบื้องหน้าและกล่าวว่า
“ฉื่อโกวเนี้ย เวลามีค่ายิ่งนัก ท่านมิอาจไปส่งอาเฮี้ยงแล้ว”
ฉื่อเซียวอุงงงงันไปวูบหนึ่ง กล่าวว่า
“เพราะเหตุใด แล้วอาเฮี้ยงจะทำอย่างไร?”
“มันย่อมรู้จักหาทางกลับเมือง…อาเฮี้ยงเฮีย ท่านจดจำทางได้หรือไม่?”
อาเฮี้ยงกล่าวว่า
“จำได้ แต่หากป้องกันมิให้ถูกคนพบเห็น ข้าพเจ้ายังต้องหลบซ่อนอยู่ในท้องนา รอจนฟ้ามืดค่ำค่อยเข้าไปในเมือง
ซิเล้งจึงกล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้นก็ตกลงกันตามนี้ พวกท่านเพียงแต่รอคอยอีกหนึ่งเดือน ก็คงได้รับอิสรภาพแล้ว”
อาเฮี้ยงผงกศีรษะ แต่ก่อนจะจากไป ได้เหลือบมองฉื่อเซียวอุง ทำให้ลังเลขึ้นมา
ฉื่อเซียวอุงกล่าวเสียงนุ่มนวลต่อมันว่า
“อาเฮี้ยงท่านไปก่อนเถอะ พวกเราได้รับพระคุณช่วยชีวิตจากซิไต้เฮียบ ย่อมไม่อาจทำลายแผนการใหญ่ของเขา อย่าแต่พวกเราขณะนี้ยังไม่หลุดพ้นจากอันตรายเลย”
อาเฮี้ยงจึงวางใจ เดินเหินไปเบื้องหน้า
ซิเล้งส่งเสียงกล่าวว่า
“ฉื่อโกวเนี้ย ท่านคล้านดั่งมีความกังวลต่อสถานการณ์ทั่วไปอย่างยิ่ง”
ฉื่อเซียวอุงผงกศีรษะกล่าวว่า
“ถูกแล้ว ข้าพเจ้าเกรงว่าทางเบื้องสูงจะพบเห็นข้อพิรุธ อา ข้าพเจ้ามิกลัวตายจริงๆ แต่ทัณฑ์ทรมานเหล่านั้นสุดจะทนทานได้เพียงจะคิดถึงเรื่องนั้น ก็ขวัญกระเจิดกระเจิง ดังนั้นอึ้งยิ่มจะให้ข้าพเจ้าทำอย่างไร ข้าพเจ้าล้วนมิกล้าขัดขืน”
ซิเล้งมิต้องการให้นางพาดพิงถึงเรื่องที่น่าอดสูจึงกล่าวเสเรื่องว่า
“ข้าพเจ้าตกลงใจจะปลอมแปลงเป็นอาเฮี้ยง ปะปนเข้าไปในแดนอัคคีใหญ่ สำรวจสภาพการณ์ด้วยตนเอง!”
ฉื่อเซียวอุงมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป กล่าวว่า
“นั่นเสี่ยงอันตรายยิ่งนัก และคงได้รับความลำบากยากเข็ญ ข้าทาสทำงานหนักทั่วไป ถูกใช้สอยจนเหน็ดเหนื่อยแต่พอดื่มน้ำผสมยาซึ่งเรียกว่าน้ำอิทธิฤทธิ์ ก็จะฟื้นฟูเรี่ยวแรงตรงทันที แต่ทว่าท่านมิอาจดื่มน้ำอิทธิฤทธิ์ ไหนเลยจะทนทานได้?”
หากแม้นข้าพเจ้าไม่ปลอมเป็นอาเฮี้ยง ก็จะมีช่องว่างรอยโหว่ อย่าว่าแต่ข้าพเจ้ามุ่งหวังให้ท่านได้เลื่อนเป็นองครักษ์เพื่อช่วยเหลือข้าพเจ้า สำรวจดูสภาพทั้งหมด”
ฉื่อเซียวอุงเงียบงันไป คำนึงว่า
“…เราไยต้องห้ามปรามเขา หากแม้นเขาทนทานมิได้และล้มไป สำหรับกับเรา มีแต่ประโยชน์ไม่มีข้อเสีย อา แต่เราดูเขาพาตัวเองสู่ปากเสือร้าย…”
นางกล่าวเบาๆ ว่า
“ซิไต้เฮียบ ท่านหากปลอมแปลงเป็นข้าทาสเข้าไปในแดนอัคคีใหญ่ นับว่ามีอันตรายทุกฝีเก้า ทั้งยังลำบากสุดจะทนทาน กว่าที่ข้าพเจ้าทราบได้ หากแม้มีพลังฝีมือเข้มแข็ง แต่ก็มีข้อเสียเปรียบอยู่สองประการ
หนึ่งนั้น ท่านไม่อาจให้อาณาจักรเราทราบว่าท่านเป็นคนนอก จนทำลายแผนการใหญ่ของท่าน และสอง ท่านเวลาตกอยู่ในถ้ำเสือ ก็จะเป็นฝ่ายที่ถูกบังคับให้เคลื่อนไหวตลอดเวลา”
ซิเล้งถามว่า
“ไฉนจึงถูกบังคับให้เคลื่อนไหวตลอดเวลา?”
“หากแม้นซาเอี้ย (เจ้านายคนที่สาม) เห็นข้อพิรุธของท่าน มันจะไม่ชี้บ่งออกมาทันที หากแต่ใช้ให้ท่านไปทำเรื่องหนึ่ง ซึ่งก็จะบังคับท่านเข้าไปในดินแดนมรณะ แล้วค่อยลงมือจู่โจม แต่ท่านคงไม่ยอมตอบโต้อย่างวู่วาม เพราะต้องการปกปิดร่องรอย นับเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่ง ใช่หรือไม่?”
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป