๖๔
♦ หักเล่ห์ชิงเหลี่ยม ♦
……………
แผนการของซิเล้งคือ พลิ้วลงสู่พื้นดินทันที ยืนหยัดอยู่หลังพื้นที่ซึ่งสตรีอัปลักษณ์แพร่พิษไว้ ส่งเสียงต่ออุงโกวเนี้ย นางขอเพียงเดินมาหาตน พอเหยียบย่ำลงบนเขตพิเศษ ก็คงยากจะมีชีวิตได้
สภาพการตายของอุงโกวเนี้ย ในสายตาของพวกสถาบันอำมหิต ย่อมทราบว่าถูกพิษของสตรีอัปลักษณ์ และเข้าใจว่าพวกนางเข่นฆ่ากันเอง
แผนการนี้ประเสริฐยิ่ง แต่ซิเล้งกลับลังเลไม่ดำเนินการ
ควรทราบว่า การมาครั้งนี้มีความสำคัญยิ่ง หากแม้นฝ่ายตรงข้ามสืบทราบร่องรอยของตน สถานการณ์ก็จะแปรเปลี่ยนไป ทำให้กี้เฮียงเค้งและพวกมีโอกาสระดมกำลังกวาดล้างแล้ว
พร้อมกับนั้น ซิเล้งเป็นชนชั้นธรรมะ ย่อมต้องคำนวณพฤติการณ์ที่คิดกระทำ หาไม่แล้วก็เท่ากับเป็นผู้กลอกกลิ้งที่ใช้แต่อุบายอันชั่วร้าย
ในยามนั้น อุงโกวเนี้ยพลันส่งเสียงเรียกหาอาเฮี้ยงแล้ว สุ้มเสียงที่ไพเราะดังกระทบโสตซิเล้งติดต่อกันห้าหกครั้ง แต่ทว่าอาเฮี้ยงหาได้ตอบคำไม่
นี่ทำให้ซิเล้งรู้สึกสงสัยใจ ทำเลประเสริฐยิ่ง แผ่รัศมีสายตาได้กว้างขวาง สามารถพบเห็นอาเฮี้ยงกลับห่างจากที่เดิม ก้าวล้ำหน้าไป
มันขณะนี้ยืนพิงก้อนหินอยู่ ท่วงท่าเซื่องซึม มิแยแสสนใจคำเรียกหาของอุงโกวเนี้ยเลย
อุงโกวเนี้ย สามารถเสาะพบมันในเวลาอันรวดเร็ว พุ่งร่างมาถึงข้างกายของอาเฮี้ยง ร้องว่า
“อาเฮี้ยง ท่านเป็นอย่างไร?”
กล่าวพลางยื่นมือออกผลักไส ร่างของอาเฮี้ยงพลันล้มลงบนพื้นดิน
ซิเล้งสะท้านใจวาบ คำนึงว่า
“…ประหลาดแท้ อาเฮี้ยงถูกฆ่าตายหรือ เราไฉนมิทราบแม้แต่น้อย?…”
แลเห็นอุงโกวเนี้ยรีบโอบอุ้มอาเฮี้ยง หันกายเดินมาใต้ร่มไม้ แล้วจึงวางร่างของอาเฮี้ยงลงบนพื้นหญ้า
ซิเล้งประจวบเหมาะกับซุกซ่อนกายอยู่บนต้นไม้ ตนทราบว่าอุงโกวเนี้ยมีพลังฝีมืออันสูงเยี่ยม จึงปิดกั้นลมหายใจ มิกล้าทำให้บังเกิดสุ้มเสียง
อุงโกวเนี้ยลูบคลำทรวงอกของอาเฮี้ยง แล้วจึงตรวจดูชีพจรของมัน พลันล้วงมือหยิบเอาขวดเหลือบเล็กๆ ใบหนึ่งออกมาเปิดจุก เทยาเม็ดหนึ่งเม็ด
ทันใดนั้น หลังก้อนหินที่อยู่ห่างสองวา พลันแว่วเสียงแค่นอย่างเย็นยะเยียบ อุงโกวเนี้ยสะท้านขึ้นทั้งร่าง แม้แต่ขวดกับยาเม็ดในมือก็ตกหล่นลงบนพื้นหญ้า
หลังก้อนหิน ปรากฏบุคคลผู้หนึ่งก้าวออกมาแลเห็นมันมีอายุสามสี่สิบปี เค้าหน้าหมดจดไว้เคราสั้นอยู่บ้างทำให้ผู้คนรู้สึกว่า มันทั้งสุขุม ทั้งคมคาย
เรือนร่างของมันสวมชุดนักศึกษา ในมือถือพัดขนนกท่วงท่ารู้สึกเรียบร้อย แต่ก็มีบุคลิกคล้ายชนชั้นนายทัพ
ซิเล้งยามพิจารณา แลเห็นบุคคลนี้แม้คมคายสง่างาม แต่ที่ห่างคิ้วและประกายตา ยังมิอาจซุกซ่อนอุปนิสัยที่กลอกกลิ้งอำมหิต
อุงโกวเนี้ยคล้ายดั่งขวัญหนีดีฝ่อ จับจ้องฝ่ายตรงข้ามอย่างตะลึงลาน ท่าทีอันหวาดหวั่นของนาง ทำให้ซิเล้งรู้สึกว่าฝ่ายตรงข้าม หาใช่บุคคลประเภทดีงาม
บุรุษท่าทางสง่างามผู้นั้น ใช้มือซ้ายลูบคลำหนวดที่เหนือริมฝีปาก แค่นหัวร่อดัง เฮอะ ฮะ อย่างเย็นชา กล่าวว่า
“เอียเท้าที่ใจกล้าบังอาจ แลเห็นเรายังมิแสดงความคารวะ”
อุงโกวเนี้ยรีบคุกเข่าลง ส่งเสียงขึ้นว่า
“ขอน้อมพบท่านหัวหน้าฝึกสอนแซ่อึ้ง”
ซิเล้งเหลือบแลเห็นนางในยามนี้ เรือนร่างอดสั่นระริกมิได้ จึงคำนึงว่า
“…ดูจากท่าที นางคงล่วงละเมิดกฎข้อบังคับจะต้องถูกลงทัณฑ์ และนางทราบดีถึงความร้ายกาจของทัณฑ์ทรมาน จึงหวาดผวาถึงปานนี้…”
ตนรีบชำเลืองมองหัวหน้าฝึกสอนแซ่อึ้งผู้นั้น หวนนึกถึงเบื้องหลังที่ทราบจากผู้ฝึกสอนแซ่ม๊ก คาดว่าฝ่ายตรงข้าม เพราะอบรมผู้สำเร็จวิชาหัตถ์เทพยดาไร้เทียมทาน จึงได้เลื่อนยศตำแหน่ง
ความนึกคิดของตน วกกลับมาที่ตัวอุงโกวเนี้ย คำนึงว่า
“…นางเมื่อมีความพรั่นพรึงถึงปานนั้น ไยมิฉวยโอกาสอัตวินิบาตกรรมเลยเล่า?”
หัวหน้าฝึกสอนแซ่อึ้ง พลันกล่าวอย่างเย็นชาว่า
“พฤติการณ์ที่ละเมิดกฎของเจ้า ตกอยู่ในสายตาของเราแล้ว มิมีทางทุ่มเถียงได้ เจ้าได้เลื่อนศักดิ์ศรีอยู่ในขั้นศิษย์อันดับหนึ่งเนิ่นนานแล้ว ย่อมทราบว่าสถาบันของเรามีความเข้มงวดกวดขันต่อทุกผู้คน
บัดนี้เจ้ากลับกล้านำยาบ้วนป้อตัง (ยาเม็ดหมื่นวิเศษ) อันทรงคุณค่า หมายจะป้อนให้ประชาชนชั้นต่ำต้อยในเมืองมหาผู้หนึ่ง ความผิดที่ร้ายแรงนี้ เจ้าทราบหรือไม่?”
อุงโกวเนี้ยกลับมิกล้าไม่โต้ตอบ กล่าวว่า
“ถูกแล้ว ศิษย์ทราบความผิด”
“ยาเม็ดหมื่นวิเศษ เป็นตัวยาที่ท่านประมุขเฒ่าปรุงขึ้นมีคุณค่ายิ่งนัก โดยเฉพาะในดินแดนอัคคีใหญ่ขุมนรกอัคคีเพลิงเช่นนี้ หากมิรับประทานยานี้ ก็ไม่อาจรักษาสติสัมปชัญญะ และเคลื่อนไหวอย่างปรกติได้ เจ้าคิดนำยาให้ชาวเมืองต่ำต้อยนั้นรับประทาน ไยมิใช่ทำให้มันไม่อาจทำงานอยู่ในแดนอัคคีใหญ่?”
อุงโกวเนี้ยรับฟังจนเรือนร่างสั่นระริก และยังต้องส่งเสียงรับคำตลอดเวลา
หัวหน้าฝึกสอนแซ่อึ้งพลันตวาดอีกว่า
“เอียเท้า ยังมิรีบนับตัวยาส่งคืนให้กับเราอีกหรือ?”
อุงโกวเนี้ยลนลานรับคำ ใช้สองมือที่อดสั่นระริกมิได้หยิบยามเม็ดที่หล่นออกมา ซึ่งมีอยู่สามเม็ด และล้วนสามารถเสาะพบ
แต่ขณะที่นางหยิบยาเม็ดที่สามขึ้นมา พลันปรากฏกระแสพลังสายหนึ่ง กระแทกมาจนยาเม็ดนั้นร่วงหล่นลง
อุงโกวเนี้ยไหนเลยจะทราบว่า นี่เป็นการลงมือของซิเล้งนางยังตื่นตระหนก เพียงแต่คิดปฏิบัติตามคำสั่งของหัวหน้าฝึกแซ่อึ้ง รีบปิดจุกใช้เข่าเคลื่อนไหวไปเบื้องหน้า ส่งใส่มือของฝ่ายตรงข้าม
นางกลับมิกล้าลุกขึ้นมา และใช้หัวเข่าเคลื่อนไหว ท่วงท่าอันหวาดผวาน่าเวทนาของนาง แม้จะเป็นบุรุษใจเหล็กไหล ก็ไม่อำมหิตพอ
แต่ทว่าน้ำใจของหัวหน้าฝึกสอนแซ่อึ้ง คล้ายดั่งแข็งกระด้างกว่าเหล็กไหลอีก กลับมิมีสีหน้าอื่นใดเค้นเสียงกล่าวว่า
“ยาเม็ดหมื่นวิเศษนี้ มีแต่ศิษย์ชั้นที่หนึ่ง จึงจะได้รับสามเม็ด แต่ต่างต้องรักษากฎระเบียบว่า ห้ามมิให้บุคคลอื่นรับประทาน หากฝ่าฝืนสมควรลงทัณฑ์สถานใด เจ้าลองบอกมา”
อุงโกวเนี้ยกล่าวอย่างไหวหวั่นว่า
“ผู้ฝ่าฝืนจะถูกปลดตำแหน่งศิษย์ชั้นที่หนึ่ง และจะต้องเผชิญกับทัณฑ์ทรมานสิบสองประการ ในยี่สิบสี่ประการของอาณาจักรเรา!”
“อือม์ เท่าที่เจ้าทราบมา ตั้งแต่กาลก่อนจวบจนปัจจุบัน ผู้ถูกทัณฑ์อย่างมากจะทนทานการลงทัณฑ์ได้กี่ประการ?”
“ศิษย์ทราบมาว่า บุรุษที่เข้มแข็งบึกบึนที่สุด ก็ไม่อาจทนทานไปได้เกินแปดประการ ต้องสูญเสียชีวิตไป”
“ถ้าเช่นนั้นไฉนจึงระบุไว้ว่า ต้องเผชิญทัณฑ์ทรมานสิบสองประการเล่า?”
อุงโกวเนี้ยมีใบหน้าซีดเผือด เรือนร่างสั่นสะท้านโดยมิหยุดยั้ง กล่าวว่า
“เพราะว่าทางเรามีวิธีลงทัณฑ์ ซึ่งทำให้ผู้ตายฟื้นคืนชีพ จวบจนรับทัณฑ์ทรมานถึงสิบสองประการ หรือมากกว่าตามที่กำหนดอยู่ก่อน แล้วจึงอนุญาตให้ตายไป!”
กล่าวถึงตอนนี้ นางก็มิอาจควบคุมตนอีกต่อไป เปล่งเสียงร่ำไห้ออกมา
ซิเล้งบังเกิดเพลิงโทสะลุกฮือโหม คำนึงในใจว่า
“…อลัชชีโลกันตร์ คือราชันย์อสูรอันดับหนึ่งแห่งประวัติศาสตร์บู๊ลิ้ม และบรรดาบริวารก็อาศัยทัณฑ์ทรมานยี่สิบสี่ประการ ที่มันจัดสร้างขึ้น เคี่ยวเข็ญต่อผู้มิยอมสยบ อันพวกประดานี้ ก็เต็มไปด้วยความชั่วร้าย สมควรประหารฆ่าทิ้ง…”
ได้ยินหัวหน้าฝึกสอนแซ่อึ้งกล่าวว่า
“ฉื่อเซียวอุง วันนี้หากมิใช่ชะตาของเจ้าเลวร้าย ท่านประมุขเฒ่าก็คงมีคำสั่งลงมา ถ่ายทอดวิชาพลังจิตอันสูงเยี่ยมของสถาบันเรา นับแต่นี้เจ้าจะมีตำแหน่งองครักษ์ ซึ่งมีเกียรติอันสูงส่ง”
มันหยุดยั้งไปเล็กน้อย จึงกล่าวอีกว่า
“แต่เจ้าในที่สุด ก็มิอาจผ่านด่านขั้นสุดท้ายดังนั้น เราจะต้องกระทำตามกฎระเบียบ คร่ากุมเจ้าส่งไปยังตึกทัณฑสถาน เรื่องราวในภายหลัง ก็มิมีส่วนเกี่ยวข้องกับเราแล้ว”
ฉื่อเซียวอุงแตกตื่นจนขวัญกระเจิดกระเจิง ในที่สุดถึงกับกระแทกกายลงบนพื้นดิน เรือนร่างสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
หัวหน้าฝึกสอนแซ่อึ้ง บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอันพิสดารยืนแน่วแน่อยู่ชั่วครู่ค่อยกล่าวว่า
“ฉื่อโกวเนี้ย ท่านทราบหรือไม่ว่า เราตลอดเวลาชมชอบท่าน”
ฉื่อเซียวอุงคล้ายดั่งคว้าจับถูกขอนไม้ ท่ามกลางทะเลกว้างคราคลุ้งคลั่ง รีบเงยหน้าขึ้นมา ฝืนแสดงรอยยิ้มขึ้นกล่าว
“ศิษย์กลับมิทราบมาก่อน ท่านมีท่วงท่าเคร่งขรึม ทำให้ผู้คนมิกล้าโอภาปราศรัย”
ซิเล้งเพียงรับฟังถึงตอนนี้ ก็เข้าใจเจตนาของหัวหน้าฝึกสอนแซ่อึ้งได้ขณะนั้นหัวหน้าฝึกสอนแซ่อึ้งก็กล่าวว่า
“คราก่อนท่านเป็นหญิงงามที่เย็นชาจนลือนามแต่หากแม้นท่านแปรเปลี่ยนปฏิกิริยา สามารถทำให้เราได้รับความสุข เราอาจจะไม่ตัดใจฆ่าท่าน… แต่นั่นก็มีสถานการณ์อันเลวร้าย”
มันพอกล่าววาจาประโยคสุดท้ายออกมา ฉื่อเซียวอุงก็รีบเอ่ยว่า
“ขอเพียงแต่ท่านมิบอกออกไป บุคคลอื่นไหนเลยจะทราบเรื่องราวในวันนี้ได้?”
“ท่านคำนวณเหตุการณ์ จนง่ายดายเกินไปแล้ว ควรทราบว่าขณะที่ท่านเลื่อนยศ ท่านประมุขเฒ่าย่อมต้องเรียกตัวไปพบ และทดสอบขั้นสุดท้าย ยามนั้นท่านก็จะแสดงสภาพแท้จริงออกมา”
นั่นเป็นเพราะเหตุใดเล่า
หัวหน้าฝึกสอนแซ่อึ้งกล่าวว่า
“ท่านมิอาจผ่านด่านแห่งความรัก แสดงว่าในใจมีความรู้สึกรักใคร่ต่อผู้คน มิมีความนึกคิดอันชั่วร้ายซึ่งตามปรกติแล้ว ผู้ดำรงตำแหน่งองครักษ์ของสถาบันเราสมควรมีสันดานอำมหิต เห็นการเข่นฆ่าเป็นความสุข”
ฉื่อเซียวอุง มีสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง หัวหน้าฝึกสอนแซ่อึ้ง เงียบงันอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า
“เจ้าคราแรกไฉนไม่กล้าอัตวินิบาตกรรมตัวเอง?”
ซิเล้งก็ครุ่นคิดในใจว่า
“…ถูกแล้ว นางเหตุใดไม่หาโอกาสอัตวินิบาตกรรมพอถึงเวลาแม้นจะมีทัณฑ์ทรมานนับพันประการ ก็มิต้องหวาดผวาเลย…”
ฉื่อเซียวอุงกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าย่อมมิใช่เพราะกลัวตาย หากแต่ทราบถึงวิธีการอันพิสดารของท่านประมุขเฒ่าเป็นอย่างดี ข้าพเจ้าเห็นด้วยตาตัวเองว่า บุคคลที่ถูกส่งไปตึกทัณฑสถานผู้หนึ่ง ได้ทำการอัตวินิบาตกรรม แต่ท่านประมุขท่านกลับทำให้มันฟื้นคืนวิญญาณชั่วคราว ส่งไปรับทัณฑ์ทรมานจนครบถ้วน แล้วค่อยปล่อยให้ตายไป!”
ซิเล้งงงงันไปวูบหนึ่ง คำนึงว่า
“…ที่แท้เป็นเช่นนี้ อาศัยความสามารถของอลัชชีโลกันตร์ย่อมทำให้ผู้ที่เพิ่งตายไป ฟื้นคืนชีวิตได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ไยต้องลงมือต่อตัวเอง จนเจ็บปวดอย่างไร้ประโยชน์คราหนึ่งเล่า?”
สำหรับความสามารถที่คาดคิดมิถึงของอลัชชีโลกันตร์นี้นับว่าน่าตระหนกจริงๆ แม้กระทั่งซิเล้งก็ขนลุกชี้ชันทีเดียว
หัวหน้าฝึกสอนแซ่อึ้งกล่าวว่า
“ท่านก็ประเสริฐแล้ว ถ้าเช่นนั้นท่านหากทำให้เราได้รับความพึงพอใจ เราก็จะประทานความตายที่ไม่เจ็บปวดต่อท่าน มิจัดส่งท่านไปยังตึกทัณฑสถาน ท่านเห็นเป็นอย่างไร?”
ฉื่อเซียวอุงมุ่งหวังแต่ไม่ถูกจัดส่งไปยังตึกทัณฑ์ พอได้ยินจึงผงกศีรษะรับคำ เริ่มลงมือปลดเปลื้องอาภรณ์บนร่างกายเผยให้เห็นถึงกายขาว ที่ขาวผุดผ่องเป็นยองใย และส่วนสัดอันสมบูรณ์
นางนับเป็นโฉมสะคราญแห่งยุค มิหนำซ้ำในยามนี้ยังต้องการสร้างความพึงพอใจให้กับหัวหน้าฝึกสอนแซ่อึ้ง ดังนั้นอิริยาบถของนางจึงเย้ายวนเปี่ยมเสน่ห์อันร้อนแรง
สภาพการณ์ของนาง ยามพิจารณาดูก็รู้สึกน่าเวทนาในชีวิตมนุษย์ ความสยดสยองที่สุด ก็มิมีสิ่งใดเกินกว่าการตกตาย แต่ขณะนี้แม้กระทั่ง “ความตาย” ก็กลับเป็นพระคุณยิ่งใหญ่!
ฉื่อเซียวอุงในยามนี้ มิมีความปรารถนาอย่างอื่น เพียงแต่ต้องการตายไป และเพื่อให้บรรลุถึงจุดประสงค์นี้ นางไม่เสียดายต่อการสูญเสียทุกสรรพสิ่ง
หัวหน้าฝึกสอนแซ่อึ้งเริ่มสืบเท้าก้าวเข้าหานาง สีหน้าของมันเต็มไปด้วยความโฉดชั่วเลวร้าย มุมปากปรากฏรอยยิ้มอันหื่นกระหาย
ในที่สุด มันก็มาถึงเบื้องหน้าของฉื่อเซียวอุง พลันแลเห็นนางสะบัดข้อมืออันผุดผ่อง ได้ยินเสียงดังโครม เรือนร่างของหัวหน้าฝึกสอนแซ่อึ้ง ก็ล้มลงบนพื้นดิน
ที่แท้นางฉวยโอกาสที่หัวหน้าฝึกสอนแซ่อึ้ง มีอารมณ์พลุ่งพล่านแทบคลุ้มคลั่ง ลงมือจู่โจมใส่ ฟาดฝ่ามือกระแทกถูกตำแหน่งสำคัญที่หว่างเอวของมัน ซึ่งแม้ไม่ตกตายทันที ก็บาดเจ็บสาหัส
แลเห็นฉื่อเซียวอุง ก้มกายลง ค้นหาวัตถุสิ่งใดในกองเสื้อผ้า พริบตาเดียวก็ปรากฏประกายเย็นยะเยียบกระจายวูบ ในมือของนางกระชับกุมมีดสั้นที่คมกล้าเล่มหนึ่ง
บนใบหน้าอันโสภาของนาง มีแววอำมหิตปกคลุมเปี่ยมล้น ท่วงท่าของนางนี้ เปรียบเทียบกับส่วนสัดที่ทรงเสน่ห์ของนาง ได้ขัดแย้งอย่างรุนแรง
ซิเล้งแลเห็นเหตุการณ์โดยตลอด และยังคงรักษาท่าทีอันสงบ ไม่สอดแทรกตนลงไป
ฉื่อเซียวอุงท่ามกลางลำแสงที่แผดจ้า ได้เริ่มสาวเท้าก้าวเข้ามาหัวหน้าฝึกสอนแซ่อึ้ง อิริยาบถคล้ายดั่งกำลังร่ายระบำ ไหนเลยจะนึกไปว่า นางกำลังจะลงมือฆ่าคน
ขณะที่นางเดินมาถึงข้างกายของหัวหน้าฝึกสอนแซ่อึ้ง ยังมิทันรั้งมีดสั้นขึ้น ทันใดนั้น เสียงหัวร่ออันโหดเหี้ยมอำมหิตได้ดังทำลายความเงียบสงัดขขึ้น
ฉื่อเซียวอุงมีสีหน้าซีดเผือด มีดสั้นในมือร่วงหล่นลงบนพื้นดังเปรื่องใหญ่ ดวงตาสาดประกายอันดุร้าย เค้นเสียงกล่าวว่า
“ศิษย์ทรยศที่บังอาจนัก ถึงกับคิดประทุษกรรมเรา คราครั้งนี้ดูว่าเจ้าจะมีสภาพการตายอย่างไร”
ฉื่อเซียวอุง กล่าวว่า
“อึ้งยิ่ม ข้าพเจ้าทราบดีว่ามีความผิดอย่างมหันต์ แม้จะทุ่มเทความนึกคิด ก็ไม่อาจขอความเวทนาจากท่าน”
ในยามนี้ประกายตาของอึ้งยิ่ม ได้เขม้นมองอยู่บนเรือนร่างที่ไร้การปกปิดของฉื่อเซียวอุง โดยมิยอมเบือนห่าง และส่งเสียงหัวร่อที่น่าพรั่นพรึง กล่าวว่า
“เจ้ากลับมีความสำนึกทราบดีอยู่บ้าง เราจะคร่าตัวเจ้าไปเผชิญกับทัณฑ์ทรมานนานาชนิด จนในที่สุดกลับกลายเป็นสตรีชราที่อัปลักษณ์ จึงจะพึงพอใจ”
มันพลันกระแทกฝ่ามือที่หยาบกร้านเข้าใส่ เรือนร่างของฉื่อเซียวอุงได้ล้มลงบนพื้นดิน มิอาจต่อต้านแม้แต่น้อย
แต่ทว่า ฉื่อเซียวอุงกลับนอนแน่วนิ่งมิเคลื่อนไหว ทำให้อึ้งยิ่มที่กำลังจะถาโถมร่างลงไป ต้องหยุดชะงัก มีท่าทีไม่ชมชอบยิ่งนัก กล่าวว่า
“หากแม้นเจ้าสร้างความพึงพอใจต่อเราได้ เราอาจประทานความตายแก่เจ้า…”
ฉื่อเซียวอุง กล่าวอย่างเย็นชาว่า
“ข้าพเจ้าทราบได้อย่างไรว่า วาจาของท่านจริงเท็จประการใด?”
นางยิ่งชาเย็น อึ้งยิ่มก็ยิ่งมิชมชอบ นี่เป็นโรคจิตทั่วไปของบุรุษเพศส่วนใหญ่
อันบุรุษเพศ มักรู้สึกว่าเพศสตรีคือผู้ที่อ่อนแอ ไม่มีคุณค่าความหมาย เพราะเหตุนี้อิสตรีที่ยิ่งครอบครองได้มาลำบากก็ยิ่งรู้สึกว่าคล้ายดั่งเทพธิดา
และพอยึดครองได้มาเมื่อใด ก็จะทอดทิ้งมิแยแส ในระหว่างบุรุษสตรี มักมีพฤติการณ์ที่แสร้งจริงจัง ความจริงคิดเหินห่าง หรือเปลือกนอกมิสนใจ แต่ที่แท้คิดใฝ่ฝัน
ซิเล้งพลันส่งเสียงหัวร่อดังยาวนาน พลิ้วร่างลงบนพื้นดิน การเปลี่ยนแปลงครานี้ อุบัติอย่างกะทันหัน อึ้งยิ่มรีบพลิ้วร่างมาด้านข้าง ยืนหยัดอยู่ในตำแหน่งอันเหมาะสม
ซิเล้งพลันสืบเท้าออกไปหนึ่งก้าว ที่ซึ่งตนยืนหยัดอยู่ประจวบเหมาะกับยืนบดบังร่างของฉื่อเซียวอุง และมิสนใจนางอนุญาตให้สวมใส่อาภรณ์ได้
อึ้งยิ่มกวาดตามองไป แลเห็นซิเล้งสวมอาภรณ์อันหยาบกร้าน อายุเยาว์วัยยิ่ง แม้จะมีบุคลิกฮึกเหิม แต่ก็ไม่ใคร่สนใจเท่าใด จึงเขม้นมองฝ่ายตรงข้ามอย่างเยือกเย็น
ซิเล้งมิกล่าววาจา ยืนประจันหน้ากับอึ้งยิ่มด้วยความสงบ
ในที่สุดอึ้งยิ่มก็ต้องกล่าวว่า
“เจ้าแลเห็นเรา กลับไม่โขกศีรษะคารวะ แสดงว่าย่อมต้องเป็นไส้ศึกที่ลอบเร้นเข้ามาในอาณาจักรเรา”
ซิเล้งกล่าวอย่างแช่มช้าว่า
“ไส้ศึก? น่าหัวร่อยิ่ง แดนอัคคีเล็กและแดนอัคคีใหญ่ของสถาบันเรา ล้วนเป็นสถานที่ซึ่งท่านประมุขเฒ่าจัดสร้างอย่างลึกซึ้ง บุคคลภายนอกสามารถล่วงล้ำเข้ามาหรือ?”
ตนเพราะมิทราบสภาพการณ์เกี่ยวกับอัคคี จึงหลีกเลี่ยงไม่เอ่ยถึง อึ้งยิ่มรับฟังจนเชื่อถือ กล่าวว่า
“อ้อ ที่แท้ท่านเป็นคนของสถาบันเรา แต่เรากลับมิเคยพบท่าน”
ซิเล้งมีสีหน้าเป็นปรกติ ทั้งมิเดือดดาลและไม่หัวร่อ กล่าวว่า
“ท่านแม้รับตำแหน่งหัวหน้าฝึกสอน แต่เพียงได้จากการประกอบความดีความชอบ หากเอ่ยถึงบุคคลชั้นยอดเยี่ยม และเรื่องราวอันเร้นลับ ท่านยังมิทราบมากมายนัก”
ท่าทีของตนนี้ กลับทำให้อึ้งยิ่มรู้สึกยำเกรง ทั้งนี้ก็เพราะนี่เป็นบุคลิกของผู้ที่มีความสำเร็จอันสูงล้ำของสถาบันอำมหิต ทำให้ผู้คนมิมีทางคาดคะเนได้
พร้อมกับนั้น วาจาของซิเล้งก็เอื้อนเอ่ยอย่างช่ำชองชำนาญยิ่ง ทำให้อึ้งยิ่มกล่าวว่า
“ท่านแนะนำได้ถูกต้อง เรารอบรู้ต่ำต้อยยิ่ง และคราแรกระแวงว่าท่านเป็นคนภายนอก จึงมีทีท่าล่วงเกิน”
ซิเล้งกล่าวว่า
“ถ้าเป็นเช่นนั้นท่านลองคาดเดาว่า ข้าพเจ้าเป็นใคร แม้คำนวณผิดพลาดก็มิเป็นไร ข้าพเจ้าไม่โทษว่าท่าน”
“บ่าวไหนเลยจะกล้าคาดคะเนอย่างวู่วาม?”
“มิเป็นไร ลองคาดเดาดูว่า ข้าพเจ้าปีนี้อายุเท่าใดแล้ว?”
อึ้งยิ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า
“ท่านย่อมต้องเป็นผู้สนิทสนมของท่านประมุขเฒ่า ท่านประมุขเฒ่ามีความสามารถอันล้ำเลิศ ดังนั้นท่านแม้รู้สึกว่าเยาว์วัยยิ่ง ความจริงอาจจะมีอายุสูงกว่าเราก็ได้”
มันกล่าวพลางสังเกตท่าทีของฝ่ายตรงข้าม สุดท้ายก็สรุปความ กล่าวว่า
“ท่านคงเป็นหนึ่งในสามท่านผู้ดูแลกระมัง?”
ซิเล้งสั่นศีรษะกล่าวว่า
“ข้าพเจ้ายามบ่งบอกนามออกไป คงสร้างความแตกตื่นให้ท่านจนขวัญกระเจิง”
ตนก้าวเดินมาที่ข้างกองเสื้อผ้าของฉื่อเซียวอุง ใช้ปลายเท้าเขี่ยเบาๆ เสื้อผ้าชุดนั้นก็พุ่งเข้าหาฉื่อเซียวอุงควับใหญ่ ด้วยกระแสพลังที่รุนแรงยิ่ง
ซิเล้งพอแสดงครั้งนี้ อึ้งยิ่มซึ่งเป็นผู้มีสายตา ก็พบเห็นว่าความเข้มแข็งในด้านพลังภายในของฝ่ายตรงข้าม ยังมิเคยแม้แต่ได้ยินมาก่อน
ฉื่อเซียวอุงยื่นมือออกรับ รู้สึกว่าล้วนมิมีกกระแสพลังแฝงอยู่ ดั่งราวกับว่า มีผู้คนยื่นส่งให้นางก็ปานนั้น จึงได้รับความตื่นตระหนกอย่างใหญ่หลวง
ซิเล้งพลันแหงนหน้าส่งเสียงหัวร่อ กล่าวว่า
“อึ้งยิ่มข้าพเจ้าหากอาศัยแต่นามอันชั่วร้ายของอลัชชีโลกันตร์ จัดการกับท่าน ก็นับว่าข้าพเจ้าไร้ความสามารถ”
อึ้งยิ่มเริ่มมีท่าทีแปรเปลี่ยน ซิเล้งกล่าวอีกว่า
“ข้าพเจ้าคือซิเล้งท่านเคยได้ยินมาบ้างหรือไม่?”
อึ้งยิ่มดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายฝึกสอน สมควรบ่งบอกศัตรูทางด้านนอกให้กับบรรดาศิษย์ ดังนั้นนามของซิเล้ง ไหนเลยจะมิทราบ
แม้กระทั่งฉื่อเซียวอุง ก็เคยได้ยินเรื่องราวของซิเล้ง ทำให้ดวงใจเต้นระทึกหวั่นไหว เผชิญกับความยุ่งยากลำบาก ในการที่ต้องตัดสินเรื่องราวสองประการ
หนึ่งนั้น บุรุษหนุ่มผู้นี้ยกย่องตัวเองว่า ซิเล้งมิทราบว่าเป็นตัวจริงหรือแปลกปลอม? หากแม้นเป็นคนของอาณาจักรอัคคีแอบอ้างขึ้น ถ้าเช่นนั้นนางหากส่งสัญญาณขึ้นไปในบัดดล พฤติการณ์นี้จะได้รับคำชมเชยจากท่านประมุขเฒ่า อาจถูกอภัยโทษก็ได้
แต่หากแม้นฝ่ายตรงข้ามเป็นซิเล้งจริงๆ พฤติการณ์ของนางนี้ เท่ากับทำร้ายต่อฝ่ายตรงข้าม แม้จะส่งสัญญาณเพื่อได้ความดีความชอบ ก็สมควรรอให้ซิเล้งสังหารอึ้งยิ่มเสียก่อน เพราะยามนั้นจะมิมีผู้รู้เห็นคนอื่นอยู่ด้วย
การตัดสินประการที่สองก็คือ พลังฝีมือของซิเล้งสามารถเอาชัยอึ้งยิ่มหรือไม่ เท่าที่นางทราบเมื่อมินานนี้ อึ้งยิ่มเพราะกระทำความดีความชอบ ท่านประมุขเฒ่าจึงประทานตัวยาต่อมัน เพิ่มพูนพลังฝีมือมิน้อย
หากแม้นซิเล้งเอาชัยศัตรูได้ ถ้าเช่นนั้นเรื่องคิดส่งสัญญาณ ก็ต้องรอให้การต่อสู้สิ้นสุดเสียก่อน แต่หากอึ้งยิ่มเป็นฝ่ายมีชัย ผลสุดท้ายก็มิต้องขบคิด
นางยึดถือกล่องเหล็กที่จัดสร้างพิเศษ และซุกซ่อนอยู่ในอกเสื้อ ดวงใจสับสนวุ่นวาย มิทราบว่าจะทำอย่างไร
ซิเล้งเพียงแต่ระมัดระวังว่า อึ้งยิ่มจะส่งสัญญาณแจ้งข่าว กลับมิได้คาดคิดว่า ฉื่อเซียวอุงก็มีความสามารถส่งสัญญาณได้ และมีความคิดเช่นนั้นด้วย
อึ้งยิ่มพลันมีท่าทางเตรียมพร้อม วาดมือวางท่าอย่างพิสดาร ดวงตาสาดประกายอันเกรี้ยวกราด
ซิเล้งสะท้านใจอย่างรุนแรง รำพึงว่า
“…เดียรัจฉานนี้มีพลังการฝึกปรือที่ลึกล้ำ และท่าหมัดที่พลิกแพลงถึงปานนี้ นับว่านอกเหนือความคาดหมายของเรา…”
ตนเนื่องจากคราแรกหาได้คาดคิดว่า อึ้งยิ่มผู้นี้ก็ฝึกหัดท่าร่างของวิชาหัตถ์เทพยดาไร้เทียมทานด้วย จึงรู้สึกแตกตื่นพิศวง
แต่ตนก็เป็นผู้เผชิญมรสุมจากการต่อสู้มามากมาย สีหน้ายังคงเป็นปรกติ มิแสดงร่องรอยอันใดออกมา
ในยามนี้ ฉื่อเซียวอุงที่อยู่ด้านข้าง กำลังรวบรวมสมาธิ สังเกตดูท่าทีของซิเล้งกับอึ้งยิ่ม
หากแม้นว่าซิเล้งแสดงสีหน้าอันตื่นตระหนก นางก็คงส่งสัญญาณแจ้งเหตุออกไปแล้ว
ซิเล้งย่อมมิทราบว่า ตนรอดพ้นอันตรายมาคราหนึ่ง เพราะมีการสำรวมตนที่เยี่ยมยอด เริ่มต้นผนึกพลังจิตอันลึกล้ำ เคลื่อนฝีเท้าก้าวเข้าหาอึ้งยิ่ม หัวร่อเสียงกังวานกล่าวว่า
“อึ้งยิ่ม ท่านลองคาดเดาดูว่า ตัวท่านสามารถต้านรับได้กี่กระบวนท่า?”
อึ้งยิ่มทราบว่า ฉื่อเซียวอุงย่อมต้องมีความสนใจใคร่รับทราบด้วย ดังนั้นไหนเลยจะปล่อยปละละเว้นโอกาสเช่นนี้ไป?”
มันรู้สึกว่า เพียงแต่ประโคมโหมสักเล็กน้อย ฉื่อเซียวอุงพอได้ยิน และเชื่อว่าเป็นความจริง ก็ย่อมต้องส่งสัญญาณแจ้งเหตุ และแล้วกำลังหนุนจะเร่งรุดมาในบัดดาล!
อึ้งยิ่มหัวร่อแค่นๆ พลางกล่าวว่า
“ซิเล้ง เราจะมิคุยโอ่ว่าเอาชัยท่านได้ แต่ท่านหากคิดโค่นเรา ภายในสามร้อยกระบวนท่า รับรองว่ามิมีทางประสบผล”
วาจานี้กล่าวอย่างสมเหตุสมผล หากแม้นมันยืนกรานว่าเอาชัยซิเล้งได้ ถ้าเช่นนั้นฉื่อเซียวอุงก็รู้สึกว่า การที่จะส่งสัญญาณหรือไม่นั้น ล้วนมิมีความดีความชอบ และไม่แสดงออกถึงความจงรักภักดี ย่อมต้องดำเนินอุบายอย่างอื่น หรือสอดมือช่วยเหลือศัตรู
ดังนั้นมันก็ยอมรับว่า ตัวเองต้องพ่ายแพ้เพียงแต่อ้างอิงระยะเวลาให้ยืดยาวที่สุด
จริงดังคาดหมาย ฉื่อเซียวอุงมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปล้วงหยิบเอาวัตถุสิ่งหนึ่งออกมา
อึ้งยิ่มชำเลืองแลเห็น ก็ปลาบปลื้มลิงโลดเป็นที่ยิ่ง
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป