๕๙
♦ รำลึกถึงความหลัง ♦
……………
ภายในห้องโถง ประดับประดาด้วยผ้าม่านสีแดงปักรูปซังฮี้ (มงคลคู่) และเทียนไขมหึมา ทั้งยังจัดที่นั่งไว้รับรองบุคคลที่มีเกียรติ กิมเม้งตี้ในชุดวิวาห์ ได้ปราศรัยกับเหล่าอาคันตุกะ เจ้าสาวยังไม่ปรากฏขึ้น เจ้าภาพเทพเจ้าสันโดษก็มิแสดงตน
ขณะนั้นเอง ทาสชายผู้หนึ่ง ได้เข้ามารายงานว่าฉี้น่ำซัวนำพาฉี้อิง ปึงเซียะ นางแมงมุมขาว มาถึงหน้าประตูคฤหาสน์ พร้อมกับมอบของขวัญมิน้อย
พริบตาเดียว ในกลุ่มคนที่แน่นขนัด ได้แตกแยกเป็นช่องหนึ่งแลเห็นฉี้น่ำซัวนำพวกฉี้อิง ภายใต้การต้อนรับของตงเอ็กลิ้มแห่งสำนักไท้เก๊กผู้แลทั่วไปในงานวิวาห์นี้ เข้าสู่ห้องโถงใหญ่
กิมเม้งตี้ดาหน้าเข้าไป ปฏิสันถารกับพวกฉี้น่ำซัว ตลอดเวลาฉี้อิงได้เย็นชากระด้างต่อกิมเม้งตี้ มิแยแสสนใจ ซึ่งนางนับเป็นบุคคลแรกที่แสดงความมิพอใจออกมาทางสีหน้า
พวกนางหลังจากนั่งลงแล้ว กิมเม้งตี้ขณะสนทนากับปึงเซียะฉี้อิงพลันกล่าวอย่างเย็นชาว่า
“กิมเม้งตี้ ผู้อื่นล้วนมาอวยพรท่าน แต่เจตนาการมาของข้าพเจ้ามิดีงามเท่าใด ท่านขอให้ระมัดระวังด้วย”
กิมเม้งตี้หัวร่อพลางกล่าวว่า
“เราล่วงเกินต่อโกวเนี้ยแต่เมื่อใด?”
“ท่านปฏิบัติตัวไม่ถูกต้องต่อบุคคลผู้หนึ่ง ดังนั้นข้าพเจ้าจะมิละเว้นท่านอย่างง่ายดาย”
“เราทราบว่าท่านหมายถึงผู้ใด แต่นางได้ตายไปแล้ว เรามิเพียงแต่พบเห็นหลุมฝังศพของนาง ยังได้ตรวจโลงศพ จนเชื่อมั่นว่ามิผิดพลาด ค่อยแต่งงานกับสตรีอื่น”
ฉี้อิงแค่นเสียงอย่างหนักหน่วง กล่าวว่า
“แม้ว่าเค้งเจ้เจ๊ถึงแก่กรรมไป ท่านก็มิสมควรแต่งงานกับผู้อื่นอย่างรีบด่วนเช่นนี้ รอให้ข้าพเจ้าได้เห็นสตรีนางนั้นเสียก่อน เฮอะ นางหากมิอาจเปรียบเทียบกับเค้งเจ้เจ๊ ข้าพเจ้าก็จะก่อกวนจนฟ้าถล่มทลายทีเดียว”
“โกวเนี้ยหากคิดก่อกวน เราก็ไม่มีทางขัดขวาง แต่เพียงขอให้ถ้อยคำของท่านอย่าได้ก้าวร้าวต่อผู้คนจนเกินไป”
บุคคลส่วนใหญ่ล้วนแลเห็นเหตุการณ์ครานี้ และฉี้อิงได้คำนึงในใจว่า
“…บุคคลนี้อุปนิสัยได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่หลวง นับเป็นเรื่องประหลาดพิสดารยิ่ง…”
นางแค่นเสียงหนักๆ มิตอบโต้ออกไป
ในยามนั้นเอง กลุ่มคนพลันแตกแยกออก คราครั้งนี้หาใช่ทุกผู้คนหลบหลีกให้เอง หากแต่ถูกบีบบังคับจนแตกแยกเป็นช่องหนึ่ง
ผู้คนทั้งหมดแม้แต่ฉี้อิง ล้วนมองไปอย่างสงสัยใจ แลเห็นชายชราผมเผ้าคิ้วเคราขาวโพลน สวมใส่เสื้อยาวที่คร่ำคร่าขาดวิ่นก้าวยาวๆ ตรงเข้ามา
ชายชราผู้นี้แม้เสื้อผ้าซอมซ่อ แต่เรือนร่างสูงตระหง่าน ตาโปนโต ปากกว้างใหญ่ และสืบเท้าก้าวย่าง ได้มีบุคลิกอันเหี้ยมหาญยากต้านทาน!
ดวงตาทั้งคู่ของมัน สาดประกายเจิดจ้าดั่งสายฟ้า เขม้นมองกิมเม้งตี้อย่างไม่ละเว้น ก้าวยาวๆ ตรงเข้าหามีสภาพคิดรังควาน
กิมเม้งตี้น้อมกายคารวะอย่างนอบน้อมสำรวมกล่าวว่า
“ผู้หลานมิทราบว่าอาวเอี้ยงแป๊ะแปะให้เกียรติมุ่งมา ละเลยการต้อนรับ ขอได้โปรดอภัยด้วย”
ทุกผู้คนได้ยินมันเรียกหาฝ่ายชราเป็นแป๊ะแปะ (ลุง) ล้วนรู้สึกประหลาดใจ ฉี้อิงพลันอุทานดัง อา กล่าวว่า
“อาวเอี้ยงแป๊ะแปะ ข้าพเจ้าคือฉี้อิง”
ผู้ที่มาคือซือแป๋ของซิเล้ง…ขุนพลไร้กรอาวเอี้ยงง้วนเจียงดวงตาที่กระจ่างจ้า ได้มองมาทางฉี้อิง พลันสาดประกายอันนุ่มนวล สืบเท้ามาสองก้าว ผงกศีรษะกล่าวว่า
“เจ้าคงเป็นศิษย์รักของเง็กฮั้ว? ประเสริฐมาก!”
พลางยื่นมือออกลูกคลำผมเผ้าของนาง กระแสเสียงเต็มไปด้วยความเมตตารักใคร่
กิมเม้งตี้แม้ถูกทอดทิ้งชาเย็น สีหน้าก็มิแปรเปลี่ยน ยังคงสำรวมดังเดิม
ประกายตาของขุนพลไร้กร เริ่มมองไปที่มัน แค่นเสียงดัง เฮอะ กล่าวว่า
“พวกเรายังมีบัญชีเก่าต้องสะสางกัน (หมายถึงเรื่องที่กิมเม้งตี้เคยไปหาที่หาดบารมีเกริกไกร ก่อนซิเล้ง) ใช่หรือไม่?”
“ท่านผู้เฒ่าให้เกียรติมา หรือว่าเพียงแต่คิดตำหนิดผู้หลานด้วย? มิว่าอย่างไรก็ขอให้นั่งลง เพื่อผู้หลานจะน้อมต้อนรับแล้วค่อยอบรมสั่งสอน”
“เอ๊ะ ประหลาดแท้ ฉื่อซือกลับอบรมศิษย์เช่นนี้ออกมาด้วย”
คิ้วอันขาวโพลงของขุนพลไร้กรขมวดเข้าหากันเล็กน้อย พลันกล่าวอีกว่า
“กิมเม้งตี้ เมื่อมินานนี้เจ้าได้ฝึกปรือพลังฝีมืออันใด?”
ฉี้อิงตอบแทนว่า
“อาวเอี้ยงแป๊ะแปะ รับทราบว่ามันได้ฝึกปรือวิชาดาบพุทธไร้เทียมทาน”
ขุนพลไร้กรอุทานดังอ้อ สีหน้าเคลือบแคลงยากจะเชื่อถือ กล่าวว่า
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ รู้สึกว่าคล้ายดั่งบรรลุถึงขั้นสุดยอ—ดด้วย แต่อาศัยความประพฤติของเจ้า เมื่อถูกฉื่อซือเห็นชอบ ก็ยากที่จะมีความสำเร็จถึงปานนี้”
กิมเม้งตี้รู้สึกเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง ผู้เฒ่าท่านนี้การที่ถูกขนานยกย่องร่วมกับซือแป๋ เนื่องจากมีความสามารถอย่างแท้จริง มันหากมิได้รับการช่วยเหลือจากกี้เฮียงเค้ง ก็ยากจะมีความสำเร็จถึงปานนี้
ขุนพลไร้กรกล่าวสืบไปว่า
“กิมเม้งตี้ เล่าฮูจะต้องทดสอบเจ้าสักคราหนึ่ง แต่ขอให้วางใจ เล่าฮูมิทำลายพิธีวิวาห์ของเจ้าเด็ดขาด”
ประกายตาของมันหลังจากกวาดมองตลบหนึ่ง พลันกล่าวกับกระบี่แห่งพิภพว่า
“น้องเรา ขอหยิบยืมกระบี่ของเจ้าสักคราหนึ่ง”
กระบี่แห่งพิภพเฮียะเกาได้ทราบความเป็นมาของฝ่ายตรงข้ามแล้ว จึงรีบประคองกระบี่โบราณ ซึ่งยาวเหยียดและหนักอึ้งกว่ากระบี่ธรรมดา และขณะนี้ถูกผ้าห่อหุ้มเอาไว้ ใช้สองมือประคอง
ขุนพลไร้กรรับกระบี่มา ยังมิได้คลี่กางผ้าที่อยู่ชั้นนอกก็ผงกศีรษะกล่าวว่า
“กระบี่อันประเสริฐ นี่คืออาวุธวิเศษของโบราณกาลเล่มหนึ่ง”
กล่าวพลางถอดผ้าที่คลุมกระบี่ ใช้มือซ้ายจับฝึกกระบี่หาได้ชักกระบี่ออกมา รอจนกระบี่แห่งพิภพล่าถอยไปอยู่รวมกับทุกผู้คนแล้ว ฝ่ามือขวาค่อยยื่นออกกุมด้ามกระบี่อย่างแช่มช้า
เสื้อผ้าบนร่างกายของมันแม้ซอมซ่อ แต่ในยามนี้เมื่อยึดถือกระบี่ยืนหยัดอยู่ เรือนร่างที่บึกบึนสูงใหญ่กับหนวดเคราสีเงินยวง ทำให้ผู้คนรู้สึกว่า มันคล้ายดังขุนพลเฒ่าที่ไร้เทียมทาน
พริบตาเดียวทั่วทั้งห้องโถงอันกว้างใหญ่ ผู้คนจำนวนพัน ล้วนรู้สึกว่าพลังอำมหิตได้คุกคาม ประดุจขุนพลเฒ่านี้กำลังกวาดล้างมวลหมู่มาร
บุคลิกและพลังอำมหิตที่กอปรขึ้น ทำให้ผู้คนรู้สึกว่า ขณะอยู่เบื้องหน้าของมัน เสมือนกับแพะแกะที่รอรับการเชือดเฉือน ดังนั้นทุกผู้คนถึงกับกลั้นลมหายใจ บ้างก็มีร่างสั่นระริก
ขุนพลไร้กรมีประกายตาดั่งคบเพลิง กวาดมองไปทั่วห้องโถง แลเห็นกิมเม้งตี้กับฉี้อิงอยู่ใกล้กับมันที่สุด ประมาณห่างกันหนึ่งวา
ถัดจากนั้นค่อยเป็นประมุขทุกค่ายสำนัก กับผู้ทรงฝีมือเช่นปึงเซียะ กระบี่พิภพ ซึ่งห่างไกลออกไปอีกประมาณวาครึ่ง นอกจากนั้นล้วนอยู่ห่างกว่าสองวา
ขุนพลไร้กรคล้ายดั่งพอใจยิ่งนัก คิ้วขาวโพลงได้เลิกขึ้นพลันมีอาถรรพ์การฆ่าฟันทะลักเปลี่ยมล้น
กิมเม้งตี้สืบเท้าออกไปหนึ่งก้าวอย่างกะทันหัน จนอยู่เบื้องหน้าของฉี้อิง อิริยาบถของมันดั่งราวกับจะอาศัยเรือนร่างของตัวเอง ป้องกันอันตรายแทนฉี้อิง
ขุนพลไร้กรเงยหน้าหัวร่อเสียงยาวนาน สุ้มเสียงที่ฮึกเหิมก้องกังวาน สะท้านสะเทือนจนหลังคากระเบื้องของห้องโถง มีสภาพสั่นไหวขึ้นมา
มันจวบจนบัดนี้ยังมิได้ชักกระบี่ แต่ก็ทรงอำนาจบารมีที่สามารถสะท้านฟ้าดิน!
บุคคลด้านข้างยามนั้นเพียงรู้สึกหวั่นไหว แต่ชนชั้นยอดฝีมือเช่นเจ้าสำนักฮุยไฮ้ เต็มไปด้วยความนับถือเลื่อมใส
อันขอบเขต เพียงบุคลิกก็สยบขวัญผู้คนเช่นนี้ พวกมันล้วนแต่ภาวนาใคร่ฝึกฝน แต่หลังจากพากเพียรเป็นเวลาหลายสิบปี ก็เลิกร้างไป ซึมทราบว่าชีวิตนี้ไม่มีทางสำเร็จได้ บัดนี้กลับมีวาสนาพบพานสถานการณ์ที่มุ่งหมายด้วยตาตัวเอง
ฉี้อิงถอยไปสองก้าว สังเกตปฏิกิริยาผู้เป็นอาวเอี้ยงแป๊ะแปะขณะนี้นางได้ผนึกพลังขึ้น ลอบต่อต้านพลังกระบี่ที่ไร้สภาพวี่แววแต่เกรี้ยวกราดรุนแรง!
นางทราบว่ากิมเม้งตี้ก็กระทำเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงถอยห่างออกมา เพื่อสังเกตความสำเร็จของมัน หากแม้นนางมีเจตนาสร้างความลำบากให้กับกิมเม้งตี้ ก็เพียงแต่สืบเท้าไปเบื้องหน้า ทำให้กิมเม้งตี้ต้องปกป้องนาง
ภายในห้องโถงอันมหึมา ขุนพลไร้กรได้แสดงพลังอันรุนแรงน่าตระหนกชนิดหนึ่ง นอกจากด้านหลังของมันที่เป็นผนังศิลาแล้ว ผู้คนจำนวนสุดคณนานับได้แยกย้ายเป็นครึ่งวงกว้างรายล้อมมันอยู่
ขุนพลไร้กรท่ามกลางเสียงหัวร่อที่ห้าวหาญสะท้านโสต เรือนร่างคล้ายดั่งสูงใหญ่ขึ้นอีก แลเห็นแขนอันบึกบึนยามเคลื่อนไหว กระบี่โบราณที่ทอประกายเย็นยะเยียบก็พุ่งออกจากฝัก
ขุนพลไร้กรเพียงแต่แสดงอิริยาบถชักกระบี่ออกจากฝัก แต่ผู้ทรงฝีมือจำนวนพันภายในห้องโถง พลันบังเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายขึ้นมา
ที่แท้กลุ่มคนที่แออัดกันอย่างยัดเยียด พากันถอยกรูดๆ ไปด้านหลัง เนื่องจากผู้คนด้านหน้า ไม่อาจต้านทานเพลงกระบี่อันแกร่งกร้าว จึงเริ่มล่าถอยจนมีสภาพวุ่นวาย
ชนชั้นผู้ทรงฝีมือเช่นเจ้าสำนักฮุยไฮ้ อาภรณ์บนร่างกายล้วนปลิวไสวดังพึ่บพั่บ ทั้งๆ ที่ปราศจากลมโชย ในกลุ่มของพวกมันมีแต่ฮุยไฮ้ ยู้เชี่ยงชุน ประมุขพรรคธงเหลือง กับปึงเซียะสี่คนที่ยืนตระหง่านมิเคลื่อนไหว
แต่ทั้งสี่ก็แสดงท่าทีผนึกพลังต่อต้าน มองเพียงวูบเดียวก็ทราบว่าได้ทุ่มเทสุดกำลัง สภาพการณ์ยากลำบากแทนมิอาจทนทาน
แต่ทว่ากิมเม้งตี้กับฉี้อิงที่อยู่เบื้องหน้าของมัน กลับยืนแน่วนิ่งไม่ไหวติง ฉี้อิงได้แสดงท่าทีผนึกพลังต้านทาน แต่กิมเม้งตี้กลับเฉื่อยชาเป็นปรกติ คล้ายดั่งมิได้รับความกระทบกระเทือน
กระบี่ของขุนพลไร้กรครั้งนี้ ได้แยกแยะความสูงล้ำต่ำต้อยของผู้ทรงฝีมือทั่วใต้หล้าออกมาโดยสิ้นเชิง
ประกายตาอันเข้มแข็งทรงอำนาจของขุนพลไร้กรได้จับจ้องไปที่กิมเม้งตี้ กระบี่ในมือมิขยับเคลื่อนไหว แต่ประกายจากพลังกระบี่ล้วนพุ่งจู่โจมใส่กิมเม้งตี้
สมควรทราบว่า ผู้ที่มีพลังการฝึกปรือบรรลุถึงขั้นนี้การเคลื่อนไหวศาตราวุธ เป็นเรื่องเกินความจำเป็น!
อานุภาพพลังกระบี่ของขุนพลไร้กร ได้ใช้ออกควบคุมด้วยจิตสำนึก ดังนั้นมันเพียงมองไปยังกิมเม้งตี้ก็เท่ากับจู่โจมกระบี่ใส่
ประกายกระบี่ที่ไร้สภาพสายนั้น เวลาจู่โจมระดมถึง กิมเม้งตี้ได้ขมวดคิ้วเข้าหากัน จากนั้นร่างท่อนบนก็ถูกกระแทกจนหงายไปด้านหลัง
แต่มันยังยืนหยัดเป็นเวลาชั่วครู่ ค่อยเซตึงตึงถอยไปทางเบื้องหลัง
ผู้คนทั่วห้องโถง แลเห็นสภาพเช่นนี้ จิตใจคล้ายสำนึกดั่งมิรู้ซึ้ง รอบบริเวณเงียบสงัดงันจนแม้เข็มตกก็ได้ยิน
ขุนพลไร้กรพลันรั้งกระบี่สอดคืนสู่ฝัก พริบตานั้นพลังอันเยือกเย็นล้วนปลาสนาการ กำลังกดดันล้วนสูญสลายสิ้น มันแหงนหน้าถอนหายใจยาวๆ กล่าวว่า
“กิมเม้งตี้ เจ้าได้ฝึกปรือดาบพุทธไร้เทียมทานจริงๆ มิถึงสิบปีก็สามารถเคียงบ่าเคียงไหล่กับเล่าฮู”
กิมเม้งตี้ยิ้มน้อยๆ กล่าว่า
“อาวเอี้ยงแป๊ะแปะเอื้อนเอ่ยเช่นนี้ นับเป็นเกียรติยศในชีวิตของผู้หลาน”
สายตาของมันกวาดมองไปที่ฉี้อิง กล่าวอีกว่า
“ฉี้โกวเนี้ยก็หาเป็นรองไม่ เรารู้สึกเลื่อมใสยิ่ง”
ขุนพลไร้กรสั่นศีรษะกล่าวว่า
“เล่าฮูหากคิดเสาะหาคู่ต่อสู้ ก็เพียงแต่ทุ่มเทสุดกำลังจัดการหักโค่นเจ้า”
กิมเม้งตี้พลันสำนึกขึ้นได้ คำนึงว่า
“…ที่แท้ผู้เฒ่าท่านนี้มีความละเอียดในหยาบกร้าน สำนึกทราบเรื่องผู้ทรงฝีมือของสถาบันอำมหิตปรากฏกายขึ้น เกรงว่าหากพาดพิดถึงฉี้อิง ฝ่ายตรงข้ามจะลงมือต่อนางก่อน…”
มันทราบดีว่าฉี้อิงในรอบปีที่ผ่านมา แม้มีพลังฝีมือรุดหน้า แต่หากเปรียบเทียบกับมันผู้สำเร็จวิชาดาบพุทธไร้เทียมทาน ยังเป็นรองชั้นหนึ่ง
กิมเม้งตี้กล่าวว่า
“อาวเอี้ยงแป๊ะแปะ เชิญนั่งสักครู่หนึ่ง ซือแป๋ได้รับข่าวคราวแล้ว จะเร่งรุดมาน้อมต้อนรับ”
ขุนพลไร้กรขมวดคิ้วครุ่นคิด พลางมอบกระบี่คืนให้กับเจ้าของเดิม การมาของมันครานี้ ก็เพื่อสืบเสาะร่องรอยของศิษย์ บัดนี้ซิเล้งยังมิปรากฏกายขึ้นสร้างความคิดถึงให้กับมัน ไหนเลยจะมีอารมณ์ไปปราศรัยกับเทพเจ้าสันโดษ
ฉี้อิงสังเกตพบว่าหว่างคิ้วของชายชราท่านนี้แสดงแววอันโดดเดี่ยวเปล่าเปลี่ยว ดวงใจของนางจึงเต็มไปด้วยความหดหู่เลื่อนลอย และเวทนาสงสาร จึงตรงเข้าไปเกาะกุมต้นแขนของมันกล่าวว่า
“อาวเอี้ยงแป๊ะแปะ พวกเราไปทางด้านนั้น ข้าพเจ้ามีวาจาบอกกับท่าน”
สำหรับขุนพลไร้กรในยามนี้ คาดว่ามีเพียงอิสตรีนางนี้ที่ใกล้ชิดได้มันถูกความนุ่มนวลของนางกล่อมเกลาผงกศีรษะอย่างฮึกเหิม ปล่อยให้ฉี้อิงฉุดลากไปทางหลังห้องโถง
ดรุณีรับใช้นางหนึ่ง มิทราบจะปรากฏขึ้นจากที่ใด นำพาทั้งสองไปยังห้องที่สวยงาม และสะดวงสบายหลังหนึ่ง พร้อมกับจัดน้ำชามาสองถ้วย แล้วล่าถอยจากไป
ขุนพลไร้กรกล่าวว่า
“รับทราบมาว่า กับอาเล้งสนิทสนมกันมาก แต่ไฉนไม่รีบเร่งแต่งงาน? และมันหายสาบสูญไปจริงๆ?”
ฉี้อิงเพียงสามารถตอบคำถามสุดท้าย ทั้งนี้แม้แต่นางก็มิทราบว่าซิเล้ง ไฉนนึงมิยอมรับนางเป็นภรรยา ขุนพลไร้กรเมื่อพาดพิงถึง ได้กระทบกระเทือนจิตใจของนาง จนสีหน้าแปรเปลี่ยนไป
นางแข็งใจบอกเล่าเหตุการณ์ ที่ซิเล้งพลันกลับกลายเป็นท้อแท้ จากนั้นถูกบุรุษนามอุ้ยเอี้ยงคร่ากุมไปเรื่องนี้ได้ถูกพวกสี่ผู้กล้าแห่งเทียนจุ้ย แพร่งพรายสู่วงพวกนักเลง คำบอกเล่าของฉี้อิงเพียงยืนยันข้อเท็จจริงเท่านั้น
ขุนพลไร้กรแหงนหน้าครุ่นคิดอย่างเนิ่นนาน จึงกล่าวว่า
“อุ้ยเอี้ยงเมื่อเป็นผู้รับถ่ายทอดวิชากระบี่เทพเจ้าไร้เทียมทานก็มีส่วนสัมพันธ์กับอุ้ยกงจื้อ อุ้ยกงจื้อกับเทพโฉดสะท้านโพยม มีความสัมพันธ์อันลึกล้ำ ดังนั้นการที่หาหนทางขัดขวาง มิให้พวกเจ้ามุ่งไปที่เจดีย์ทองคำ หาใช่เรื่องประหลาด อย่าว่าแต่ภายหลังอุ้ยกงจื้ออาศัยนามจับฮึงไต้ซือปรากฏขึ้นที่เจดีย์ทองคำ แสดงว่าตระกูลอุ้ยมีหน้าที่เฝ้ารักษาเจดีย์ทองคำจริงๆ
และเท่าที่เล่าฮูทราบมา อุ้ยกงจื้อเปรื่องปราดทั้งอักษรศาสตร์และวิชาฝีมือ มีความประพฤติอันดีงาม หากทายาทของมันคร่ากุมอาเล้งไป คงมิทำร้ายมัน
สิ่งที่เล่าฮูกังวลใจ กลับเป็นท่าทีอันท้อแท้ของมัน มิแน่นักว่า จะตรมตรอมจนตายไป แต่อาเล้งเป็นผู้มีพลังชีวิตอันเข้มแข็ง พอถึงขั้นสุดท้ายคงกระตือรือร้นขึ้นได้”
ฉี้อิงกล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้นก็ถูกอุ้ยเอี้ยงกักกันตัวจนถึงบัดนี้หรอกหรือ?”
“นี่เป็นปัญหาสำคัญทีเดียว พวกเรานอกจากเสาะพบอุ้ยเอี้ยงหรือจับฮึงไต้ซือ จึงจะสืบทราบร่องรอยของซิเล้ง”
“ถ้าเช่นนั้นแป๊ะแปะนำพาข้าพเจ้าไปด้วยกัน”
“เล่าฮูย่อมไม่ทอดทิ้งเจ้า แต่มันไฉนจึงมีท่าทีอันท้อแท้ หรือว่าเจ้ามิยอมแต่งงานกับมัน”
ฉี้อิงพลันกลับกลายเป็นมีใบหน้าซีดเผือด ขบริมฝีปาก ชั่วครู่ให้หลัง ในที่สุดก็ไม่อาจข่มกลั้นหยาดน้ำตา ปล่อยให้ไหลรินลงมาอาบแก้มกล่าวว่า
“แป๊ะแปะคำนวณผิดพลาดไป เขามิยอมรับข้าพเจ้าเป็นภรรยา”
ขุนพลไร้กรเดือดดาลเป็นการใหญ่ กล่าวว่า
“บัดซบ อิสตรีเฉกเช่นเจ้า มันยังมิพอใจหรอกหรือ?”
“แป๊ะแปะอย่าได้มีโทสะ เขาคงมิใช่ไม่พอใจ แต่คาดว่ามีสาเหตุอันแปลกประหลาด อา นั่นล้วนเป็นเรื่องของกาลก่อน ข้าพเจ้าได้ตกลงใจว่า ชีวิตนี้จะมิแต่งงานอยู่กินกับผู้ใดอีก”
ขุนพลไร้กรรู้สึกว่า น้ำเสียงของนางได้แสดงเจตจำนงอันเด็ดเดี่ยว เฒ่าผู้นี้ก็ถูกความรักพัวพันจนคับแค้น จวบจนบัดนี้ยังมิได้สลัดพ้น จึงทราบถึงรสชาตินี้เป็นอย่างดี มันกล่าวอย่างเสียใจว่า
“ซือแป๋เจ้าชั่วชีวิตไม่วิวาห์ บัดนี้ก็มาถึงคราของเข้า อา เล่าฮูจะต้องซักไซ้อาเล้งให้แน่ชัด…ตามความเห็นของเจ้า อาเล้งหากไม่ตาย จะมาที่นี้หรือไม่?”
“นี่มีแต่เค้งเจ้เจ๊ของข้าพเจ้า จึงตอบคำถามนี้ได้ น่าเสียดายที่นางสูญสิ้นวิญญาณไปแล้ว”
หยาดน้ำตาของนางพลันไหลรินพร่างพรูอีก
ขุนพลไร้กรกล่าวว่า
“หากแม้นอาเล้งไม่มา เล่าฮูก็จะไปแล้ว”
“แป๊ะแปะคิดจะไปที่ใด?”
“เล่าฮูยังมิได้ตกลงใจ แต่เมื่อเง็กฮั้วได้ปิดตำหนักบาดาลเกินกำหนดหนึ่งปียังมิออกมา เกรงว่าคงสำเร็จมรรคผลแล้ว และอาเล้งเมื่อไร้ข่าวคราว เล่าฮูก็ไม่มีทางไปอันใดเลย”
ฉี้อิงพลันเบิ่งตาที่เอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา จับจ้องชายชราที่มีบุคลิกอันห้าวหาญผู้นี้ จากถ้อยคำของมันได้แสดงถึงความเปล่าเปลี่ยวเดียวดายอย่างสุดแสน
ในห้วงมหรรณพอันเวิ้งว้างไพศาล มันกลับไม่มีผู้สนิทชิดใกล้แม้แต่คนเดียว ชีวิตในวัยชรา มีความวิเวกเงียบเหงาถึงปานนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกรันทดหดหู่
ฉี้อิงยื่นมือโอบท่อนแขนของฝ่ายชายชรา กล่าวอย่างนุ่มนวลว่า
แป๊ะแปะท่านอย่าไปได้หรือไม่ หากคิดจะไป พวกเราก็ไปด้วยกัน มิว่าอย่างไร ข้าพเจ้าในชีวิตนี้จะกราบไหว้แต่พุทธองค์ ไม่ขอแต่งงานอยู่กิน ดังนั้นข้าพเจ้าได้โปรดมีโอกาสปรนนิบัติรับใช้ท่านผู้เฒ่าเถอะ”
ขุนพลไร้กรตื้นตันใจจนลูบคลำใบหน้าของนางกล่าวว่า
“เจ้าเป็นดรุณีที่น่ารัก น่าชิงชังอาเล้งไม่มีวาสนามิสามารถรับเจ้าเป็นภรรยา”
แต่มันพลันยืดกายขึ้น ผมเผ้าหนวดเคราได้พลิ้วปลิวไสวแสดงบุคลิกอันฮึกเหิม หัวร่ออย่างห้าวหาญกล่าวอีกว่า
“กุศลจิตของเจ้า เล่าฮูรับไว้ด้วยใจ แต่เล่าฮูชีวิตนี้เปล่าเปลี่ยวจนเคยชิน มิแยแสว่าวันเวลาเบื้องหน้าอันจำกัด จะผ่านพ้นไปอย่างไร”
มันลูบคลำผมเผ้าของนางอีก น้ำเสียงแสดงความหดหู่ กล่าวว่า
“หนูเอย เจ้าอยู่ต่อไปสักครู่ เล่าฮูจะล่วงหน้าสักก้าวหนึ่ง”
จากนั้นก็หันกายออกไป ฉี้อิงมองเงาร่างอันสูงใหญ่ เคราขาวที่พลิ้วไสว อดรู้สึกมิได้ว่าวีรบุรุษมักเปล่าเปลี่ยว ทำให้มีความในใจสับสน ยืนเซื่องซึมอยู่กับที่ได้
หาคาดไม่ว่า พริบตานั้นเงาร่างของขุนพลไร้กรก็ปรากฏเข้ามาในคลองจักษุอีก ฉี้อิงบังเกิดความปีติลิงโลด พลันเหลือบเห็นบุคคลอีกผู้หนึ่งเดินเข้ามาด้วยกันกับมัน
นางพอเพ่งพินิจ และเห็นบุคคลนั้นสวมเสื้อยาวร่างผอมซูบแม้จอนหูจะขาวสะอาด แต่ก็ยังสง่างามคมคายยิ่ง ดูอย่างผิวเผินอายุประมาณสี่ห้าสิบปี
มันเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับขุนพลไร้กร บุคลิกเคร่งขรึม น่าระย่นย่อ มิว่าผู้ใดก็รู้สึกว่า มันกับอาวเอี้ยงง้วนเจียง คือบุคคลที่มีระดับชั้นเดียวกัน
ในใต้หล้า ผู้ที่สามารถทัดเทียมกับขุนพลไร้กรย่อมมีแต่เทพเจ้าสันโดษ ฉี้อิงแม้มิเคยพบพาน แต่ก็เชื่อมั่นว่าต้องเป็นมัน
จริงดังคาดหมาย ขุนพลไร้กรได้แนะนำว่า
“หนูเอย เข้ามาพบกับสหายของซือแป๋เจ้าฉื่อซือเฮีย”
ฉี้อิงเรียกหาว่า ฉื่อแป๊ะแปะ ในดวงตาสาดประกายอันตื่นเต้นสงสัย รู้สึกว่าลุงแซ่ฉื่อท่านนี้ มีความงามสง่าผิดสามัญอย่างแท้จริง
เทพเจ้าสันโดษถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า
“ซือแป๋เจ้าในเมื่อจวบจนบัดนี้ยังมิออกจากตำหนัก แสดงว่าได้สำเร็จมรรคผลไปแล้ว อา ครุ่นคิดถึงตอนนี้อดมีจิตใจแหลกสลาย คับแค้นขมขื่นสุดระงับ”
กล่าวถึงตอนนี้ ดวงตาทั้งคู่ก็มีหยาดน้ำตาเอ่อคลออย่างเลือนราง
ฉี้อิงคาดมิถึงว่า เฒ่าผู้นี้จะมีความรู้สึกรุนแรงถึงปานนี้ทั้งๆ ที่อายุสูงวัย พอโศกเศร้าก็หลั่งน้ำตาโดยมิขวยเขิน และสำนึกได้ว่ามันมีความรักอันลึกซึ้ง สามารถเทียบเทียมมหาสมุทร นางจึงพลอยหลั่งน้ำตาด้วย
เทพเจ้าสันโดษแหงนหน้ารำพันเป็นโคลงกลอนด้วยกระแสเสียงอันรันทดหดหู่ ฉี้อิงเงี่ยหูรับฟังก็ได้ยินว่า
“น้ำบึงใสสะอาดปานมรกต พฤกษงอกเงยบังเหลางาม นงคราญบนเหลาตื่นจากนิทรา ท่ามกลางสุริยันอาบไล้ได้หวีสางผม”
ฉี้อิงพลันทราบว่า โคลงบทนี้คงเป็นผลงานที่มันรจนาขึ้นเมื่อยามหนุ่มแน่น บรรยายถึงฉากวิวอันงดงาม อ้างอิงถึงนงคราญที่หมายปอง นั่นเป็นสภาพการณ์ที่ชวนให้รำลึกถึงสักปานใด?
ได้ยินสำเนียงรำพันได้ดังขึ้นอีกว่า
“กิ่งไม้ยอดหลิวลมอรุณลูบไล้ ตื่นจากนิทรายังมิสร่างซา ความฝันอย่าได้พร่ำเรียกริมหน้าต่าง นงคราญคล้ายยังไม่หวีสางผม”
โคลงบทนี้ยังเป็นการระลึกถึงความหลังอันดื่มร่ำ ขุนพลไร้กรก็หลุบคิ้วรับฟัง แสดงแววอันรันทดเศร้าโศกอย่างสุดแสน
เทพเจ้าสันโดษยังรำพันต่อไปว่า
“หากแม้นทางตะวันออกมิคิดพึ่งพิง ขอให้นงคราญคืนกลับมาทางประจิม ข้อมือผุดผ่องกุมพายคู่มั่นบนบึงมีแต่พืชพันธุ์ที่อับเฉา”
โคลงบนนี้แสดงว่า คราครั้งกระโน้นนงคราญยะเยือกเสียวเง็กฮั้ว เคยไปเยี่ยมเยือนเทพเจ้าที่ตลิ่งเทพยดาริมบึงไท้โอ้ว ขณะที่นางสลัดจากไป เทพเจ้าสันโดษรู้สึกสะทกสะท้อน จึงรจนาเป็นโคลงและมีความหมายว่า นางหากมิต้องการขุนพลไร้กรซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก ขอให้คืนกลับมาหามันทางทิศตะวันตกนี้
ฉี้อิงกับขุนพลไร้กรต่างเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง และขุนพลไร้กรถึงกับสั่นศีรษะถอนหายใจยาวๆ
เทพเจ้าสันโดษมิสนใจบุคคลอื่น ยังคงพร่ำรำพันอีกว่า
“จิตนงคราญบานหุบดั่งบุปผา ยามภาวนาถึงบุปผามีแต่ความระทมทุกข์ ทุกราตรีเฝ้าใฝ่ฝันคะนึง ตลอดทิวาพบแต่ความว่างเปล่า วันใดจึงจะได้รับข่าวมงคล ตั้งแต่แยกจากใกล้หนึ่งปี”
โคลงบทนี้แฝงไว้ด้วยความหวังของผู้วิปโยคสร้างความคับแค้นขมขื่นใจอย่างสุดแสน
ฉี้อิงในใจหวนนึกแต่คำ “วันใดจึงจะได้รับข่าวมงคล ตั้งแต่แยกจากใกล้หนึ่งปี” ทำให้หวนนึกถึงซิเล้ง ซึ่งพรากจากมาปีเศษ ถึงกับสะอึกสะอื้นจนกายสั่นสะท้าน
เทพเจ้าสันโดษยังครุ่นคิด แล้วเอื้อนเอ่ยโคลงกลอนออกมา เป็นการระบายอารมณ์ตีแผ่ดวงใจ แต่ฉี้อิงยามเศร้าโศกจนเกินควร เพียงได้ยินถ้อยคำบางบทที่เลอเลิศว่า
“ขอเตือนท่านอย่ามีจิตปฏิพันธ์ เมื่อผูกพันยากจะสลัด” “ชีวิตนั้นหามีความสุขสม ดำรงชีพไปยังจะมีคุณค่าใด?” “เวลาแยกจากไหนเลยจะคาดคิดว่า แต่นี้ไปก็เหินห่างชั่วนิรันดร”
ความวิปโยคในวิถีชีวิตของมนุษย์ ย่อมเป็นเวลาที่พลัดพรากตายจากกัน และบุคคลทั้งสามในห้องหับแห่งนี้ ล้วนแต่มีความรู้สึกอันทุกข์ระทมตรมตรอมอย่างสุดจะบรรยาย
ขุนพลไร้กรพลันร้องดังๆ ว่า
“ฉื่อซือ เง็กฮั้วเมื่อมรณภาพไป ในระหว่างพวกเราก็มิต้องกล่าวให้มากไปแล้ว”
เทพเจ้าสันโดษผงกศีรษะกล่าวว่า
“นั่นย่อมต้องแน่นอน อา หากทราบว่าเรื่องราวจะมลายเป็นอากาศธาตุ ไยต้องพิสูจน์บุญคุณความแค้นโดยการตัดสินเป็นตาย ยามหวนนึกขึ้นมา พวกเรามิใช่งมงายเกินไปหรอกหรือ?”
“เล่าฮูสมควรไปจริงๆ แล้ว”
“หากแม้นท่าน มีความอดทนจนเม้งตี้และภรรยาประกอบพิธีวิวาห์เสร็จสิ้นเรียบร้อย ผู้น้องต้องการให้อาวเอี้ยงเฮียอย่าเพิ่งจากไป ทั้งนี้ก็เพราะซิเล้งอาจจะเร่งรุดมา นี่เป็นข่าวลับที่ผู้น้องได้รับมา”
ขุนพลไร้กรกับฉี้อิงทั้งสองคน แปรเปลี่ยนจากความโศกเศร้าเป็นลิงโลด ล้วนมองเขม้นฝ่ายตรงข้าม
เทพเจ้าสันโดษ กล่าวช้าๆ ว่า
“ความจริงก็มิใช่ข่าวลับ หากแต่เป็นการสันนิษฐานของบุคคลผู้หนึ่ง การคำนวณของนางมิผิดพลาด หาได้เป็นรองกี้เฮียงเค้งไม่”
“ผู้หลานขอเรียนถามว่า นางเป็นใคร?”
“นางก็คือเจ้าสาวในวันนี้เทพธิดาเมฆา ซึ่งมีภูมิปัญญาอันดับหนึ่งในยุคนี้”
อาศัยศักดิ์ศรีของเทพเจ้าสันโดษ ย่อมมิกล่าววาจาเหลวไหล ฉี้อิงจึงกล่าวกับขุนพลไร้กรว่า
“อาวเอี้ยงแป๊ะแปะ เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านก็อยู่ต่อไปชั่วคราวเป็นอย่างไร”
“เล่าฮูเป็นผู้ที่โดดเดี่ยวจนเคยชิน ไม่นิยมสถานที่อันวุ่นวายเช่นนี้ เล่าฮูจะไปวัดเซี่ยอึ้งยี่ทางนอกเมืองรอรับฟังข่าวคราวก็แล้วกัน”
เทพเจ้าสันโดษกล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้นรอให้ผู้น้องประกอบพิธีวิวาห์แล้ว ก็จะนำสุราไปน้อมเยี่ยมเยียน อ้าวเอี้ยงเฮียเชิญเถอะ”
มันส่งขุนพลไร้กรออกไปด้วยตนเอง ขณะผ่านด้านหน้า ทุกผู้คนล้วนพบเห็น กิมเม้งตี้เอ่ยปากเหนี่ยวรั้ง เทพเจ้าสันโดษก็อ้างว่าตัวเองจะจากไปด้วย
ผู้คนทั้งหมด ต่างก็จับจ้องยอดคนแห่งยุคสองท่านนี้สำหรับการจากไปอย่างเร่งรีบของพวกมัน ล้วนรู้สึกอาลัยอาวรณ์
พิธีวิวาห์ได้เริ่มต้นแล้ว เจ้าสาวสวมมงกุฎหงส์ มีแพรแดงคลุมหน้า ได้กราบไหว้ฟ้าดินร่วมกับกิมเม้งตี้
ฉี้อิงสังเกตเห็นว่า อิริยาบถของเทพธิดาเมฆานี้ คล้ายดั่งกี้เฮียงเค้ง แต่ภายหลังแขกเหรื่อจำนวนหนึ่งได้ก่อกวนต้องการชมโฉมเจ้าสาว พอแลเห็นโฉมหน้าที่แท้จริง ก็พบว่าแม้จะงดงามแต่น่าเสียดายที่หาใช่กี้เฮียงเค้ง
แขกเหรื่อจำนวนพัน ถูกเชื้อเชิญไปที่โต๊ะอาหารบนลานหญ้าด้านหลัง เทพเจ้าสันโดษได้จากไปแล้ว หลังจากดื่มสุราครบสามรอบเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็ต้องวนเวียนอยู่ท่ามกลางกลุ่มอาคันตุกะ
ฉี้อิงเหลียวซ้ายแลขวา มิเห็นซิเล้งเร่งรุดมา ดวงใจของนางจึงเต็มไปด้วยความร้อนรุ่มและปวดร้าว
ทันใดนั้น สำเนียงหัวร่ออันพิกล ได้กลบเสียงหัวร่ออันรื่นเริงทั้งหมด ทุกผู้คนต่างสำนึกว่ามีเหตุเปลี่ยนแปลงแล้ว รอบบริเวณพลันสงบสงัด มองไปยังทิศทางต้นเสียง
แลเห็นบนโต๊ะทางขวามือ บุรุษชุดดำผู้หนึ่งได้ยืนตระหง่านอยู่ ท่ามกลางแสงสุริยันที่เคลื่อนคล้อยลอยต่ำอาบไล้ใส่ ได้แผ่ซ่านกลิ่นอายอันเร้นลับเย็นยะเยียบ และบุรุษชุดดำนี้สวมผ้าดำคลุมหน้า มิอาจแลเห็นโฉมหน้าที่แท้จริง
กิมเม้งตี้ร้องดังๆ ว่า
“ขอรับทราบนามอันสูงส่งของท่านด้วย”
บุรุษคลุมหน้าชุดดำหัวร่อดังระคายโสต แล้วจึงกล่าวว่า
“เราแซ่ซ่งนามจง พวกเราเมื่อมินานมานี้เคยพบพานกัน ท่านลืมเลือนไปแล้วหรือ?”
มันเรียกหาตัวเองเป็นซ่งจง อันเป็นนามของเทวทูตทวงวิญญาณจากขุมนรก ย่อมแสดงว่ามีเจตนาทวงถามชีวิตของกิมเม้งตี้
กิมเม้งตี้หัวร่อ ฮา ฮา กล่าวว่า
“เรามิเคยมีความเชื่อถืออย่างเหลวไหล ท่านแม้จะเอ่ยอ้างนามที่อัปมงคลกว่านี้ เราก็ไม่แยแสสนใจ ผู้แซ่กิมได้ยินคำร่ำลือว่า ท่านเคยหักโค่นเรา รู้สึกมิยินยอมพร้อมใจ
บัดนี้ ซ่งจงเฮียมาได้อย่างประเสริฐ พวกเราก็พิสูจน์ฝีมืออันแท้จริงต่อหน้านักสู้ผู้กล้าเสียเลย เพียงมิทราบว่าท่านยินดีน้อมสนองหรือไม่ หรือว่ายังคิดใช้ถ้อยคารมมีเปรียบก่อน แล้วจึงยอมลงมือ?”
ถ้อยคำของมันปราดเปรื่องยิ่งนัก ซ่งจงหากพาดพิงถึงการต่อสู้เมื่อคราก่อน ก็แสดงว่ามันคิดจะมีเปรียบในเชิงคารมแล้ว
ผู้คนรอบบริเวณทราบดีว่า ซ่งจงผู้นี้คือผู้ทรงฝีมือจากสถาบันอำมหิต บัดนี้มาหักล้างกับกิมเม้งตี้ ผู้ทรงฝีมืออันดับหนึ่งแห่งยุค ซึ่งกิมเม้งตี้จะต้องเอาชัย มาตรมิเช่นนั้นทั้งหมดก็มีแต่รามือรอมรณะ
ซ่งจงกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า
“ประเสริฐมาก พวกเราก็จะประมือเพื่อพิสูจน์ว่าดาบพุทธไร้เทียมทานของเจ้า กับหัตถ์เทพยดาไร้เทียมทาน วิชาใดจะยอดเยี่ยมกว่ากัน”
ทั้งสองขณะตอบโต้ โต๊ะกึ่งกลางหลายตัวได้ถูกขนย้ายมารวมกัน กลับกลายเป็นเวทีประลองรูปสี่เหลี่ยม
กิมเม้งตี้หัวร่อให้กับเจ้าสาว กล่าวว่า
“เนี้ยจื้อ (คำเรียกหาภรรยา) รอให้เราหักโค่นผู้รุกรานนี้ เพื่อเป็นของขวัญแก่ท่าน”
เทพธิดาเมฆา กล่าวว่า
“ข้าพเจ้าขออวยพรให้ฮูกุน (คำเรียกหาสามี) ประสบชัยชนะอย่างงดงาม”
ฉี้อิงพอได้ยิน ถึงกับสะท้านทั้งร่าง เคลื่อนฝีเท้าเบียดเสียดมาถึงข้างกายของเจ้าสาว
เทพธิดาเมฆายื่นมือเกาะกุมข้อมือของฉี้อิง กล่าวอย่างนุ่มนวลว่า
“น้องเราชมการต่อสู้อย่างวางใจ รออีกครู่หนึ่ง ข้าพเจ้าจะคืนซิเล้งให้ท่าน”
ฉี้อิงใจเต้นระทึกจนแทบกระดอนออกจากปาก กล่าวอย่างแผ่วเบาว่า
“ท่านคือเค้งเจ้เจ๊หรอกหรือ?”
เทพธิดาเมฆาผงกศีรษะเบาๆ ฉี้อิงขณะรู้สึกปลื้มปีติแทบคลุ้มคลั่ง ริมโสตก็ได้ยินสำเนียงทางลมปราณของนางว่า
“อิงม่วยม่วยอย่าได้แสดงสีหน้าผิดปรกติ มีผู้คนสังเกตสนใจพวกเราแล้ว!”
ฉี้อิงหดมือกลับมา แสดงท่าทีว่าไม่ยินยอมถูกนางเกาะกุมและหางตาได้กวาดมองจนพบว่า ผู้ลอบสังเกตพวกนาง เป็นบุรุษหนุ่มชุดงดงาม แต่รูปโฉมเป็นอย่างไร เนื่องจากมิได้เพ่งพินิจ จึงหาทราบไม่
กิมเม้งตี้กับซ่งจงพากันพุ่งทะยานขึ้นไปบนเวที ซึ่งเนื้อไม้ทุกชิ้นล้วนแข็งแกร่ง และพอประมือก็ทุ่มเทไม้ตายระดมโหมใส่
ฝ่ายหนึ่งร่ายรำดาบยาว อีกฝ่ายหนึ่งมือเปล่าเท้าเปลือย การต่อสู้ดุเดือดเกรี้ยวกราด ทั้งสองฝ่ายมีเรือนร่างพุ่งฉวัดเฉวียนอย่างปราดเปรียว ว่องไวจนแทบมิอาจเห็นชัด
การต่อสู้ครานี้ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายล้วนบุกตะลุยอย่างฉับไวหมายช่วงชิงโอกาสมีเปรียบ เพราะเหตุนี้จึงเปี่ยมภยันตราย ทุกวินาทีเต็มไปด้วยความเขม็งตึงเครียด
ประกายตาของฉี้อิง เพียงกวาดมองไปที่เวทีประลอง ก็ถูกดึงดูดสนใจ ไม่อาจเบนเบือนไปสำรวจดูว่า บุรุษชุดงดงามที่ลอบสังเกตพวกนางเมื่อครู่นี้มีโฉมหน้าอย่างไร
ซ่งจงกับกิมเม้งตี้ ชั่วพริบตาเดียวก็พันตูกันสามสิบกว่ากระบวนท่า ทุกท่าร่างแฝงไว้ด้วยความลึกล้ำพิสดาร แต่ที่น่าตระหนกยังเป็นสภาวะกับพลังภายในยามลงมือของทั้งสองฝ่าย
กำลังภายในอันเกรี้ยวกราดรุนแรง แตกกระจัดกระจายจนเสื้อผ้าของผู้คนในรัศมีสิบกว่าวา พลิ้วปลิวไสวดังพึ่บพั่บ
การประหัตประหารครานี้ ยังน่าตื่นเต้นยิ่งกว่า เมื่อคราที่ฉิ้องและเจ้าสำนักสามสามต่อสู้กับจับฮึงไต้ซือ ชนชาวบู๊ลิ้มจำนวนพัน มิว่าจะมีพลังฝีมือสูงเยี่ยมหรือสามัญ ล้วนจับจ้องจนขวัญสั่นวิญญาณสะท้าน
ทั้งนี้เนื่องจากซ่งจงกับกิมเม้งตี้ ได้โหมจู่โจมใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่อดออมกำลัง สภาพการณ์แทบจะเป็นุม่งตกตายตามกัน ดังนั้นจึงเกินเลยขอบเขตสามัญวิสัย!
สภาพการต่อสู้ดังกล่าว ดำรงจนกว่าสองร้อยกระบวนท่ายังไม่มีวี่แววผ่อนคลาย แสดงว่าทั้งสองฝ่ายล้วนคู่คี่ก้ำกึ่ง แต่ผู้คนจำนวนมาก ต่างรู้สึกว่าซ่งจงจากสถาบันอำมหิต คล้ายดั่งสูงล้ำกว่ากิมเม้งตี้ขั้นหนึ่ง!
ทั้งนี้ก็เพราะ มันต่อสู้ด้วยฝ่ามือที่เปล่าเปลือยสองข้าง แต่กิมเม้งตี้กลับยึดถือดาบยาวที่เย็นยะเยียบ แสดงว่ากิมเม้งตี้มีเปรียบในด้านนี้ มาตรแม้นว่าชนชั้นผู้ทรงฝีมือเฉกเช่นพวกมัน หากถนัดต่อสู้ด้วยมือเปล่า ความหาได้เสียเปรียบไม่ แต่ผู้ยลชมที่มีฝีมือจำกัด ไหนเลยจะทราบเหตุผลอันลึกล้ำนี้
ประสาทของทุกผู้คน เพราะความตึงเครียดนานเกินไป ทำให้รู้สึกมิอาจทนทานรับไว้ แต่สถานการณ์ก็เคร่งเครียดยิ่ง ท่าร่างทั้งสองฝ่าย เต็มไปด้วยความพิสดาร จนผู้คนมิอาจหลับตาไม่ดู
เพราะเหตุนี้ บุคคลที่ชมการต่อสู้อยู่ กลับรู้สึกอึดอัดลำบากใจมากกว่า ผู้ที่กำลังหักโหมเสี่ยงชีวิตบนเวทีเสียอีก
ฉี้อิงดูถึงตอนนี้ อดมิได้ต้องใช้ศอกกระทุ้งกี้เฮียงเค้งเบาๆ กล่าวว่า
“แย่แล้ว ดาบพุทธไร้เทียมทานของกิมเม้งตี้ ยังเป็นรองฝ่ายตรงข้ามขั้นหนึ่ง หากต่อสู้จนถึงสามร้อยกระบวนท่า ก็มิมีโอกาสเอาชัยเลย”
กี้เฮียงเค้งส่งเสียง กล่าวว่า
“เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านก็มิอาจไม่ช่วยเหลือเขาแล้ว”
“หรือว่าท่านต้องการให้ข้าพเจ้าขึ้นไปบนเวทีด้วย?”
“นั่นกลับมิใช่ กิมเม้งตี้เป็นรองในข้อที่ว่า นิสัยดั้งเดิมของมันทระนงยากกล่อมเกลา ทั้งๆ ที่ใช้จิตมุทิตาฝึกหัดดาบพุทธไร้เทียมทานถึงขั้นนี้ แต่พอถึงคราคับขันก็แสดงนิสัยใจคอที่แท้จริงออกมา”
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป