๕๗
♦ รถม้ามหาภัย ♦
……………

กี้เฮียงเค้งมิแสดงความหวั่นวิตก กล่าวว่า

            “ข้าพเจ้าไม่คัดค้าน เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านก็มีความมั่นใจ และมีพลังกำลังสามารถหักโค่นบริวารของอลัชชีโลกันตร์แล้ว”

            “ท่านทราบได้อย่างไร?”

“บุคคลที่มีพลังฝีมือเฉกเช่นท่าน ในใจย่อมเสาะหาคู่มือคนหนึ่ง จึงยินยอมมานะฝึกปรือ ดังนั้นท่านพอพาดพิงถึงซิเล้ง แสดงว่าในใจของท่านได้ไม่เห็นว่าบริวารของอลัชชีโลกันตร์คือคู่ต่อสู้แล้ว

กิมเม้งตี้กล่าวว่า

“ถูกต้อง เรารู้สึกว่าจับฮึงไต้ซือสามารถนับเป็นคู่มือ แต่มันเมื่อเป็นหลวงจีนที่ทรงปริยัติธรรม เราก็จะไม่ขอท้าทายมัน”

“ข้าพเจ้าจะตักเตือนท่านสักคำหนึ่ง อลัชชีโลกันตร์มีความลึกซึ้งเปี่ยมเล่ห์อุบาย และมันหากไม่มีความมั่นใจ ย่อมไม่กล้ารุกรานบู๊ลิ้ม ดังนั้นท่านมิอาจเข้าใจว่า บริวารของมันมีผู้ฝึกหัตถ์เทพยดาไร้เทียมทานเพียงผู้เดียว ในความเห็นของข้าพเจ้า อย่างน้อยต้องมีสองคน”

กิมเม้งตี้ขมวดคิ้วเข้าหากัน แต่แล้วก็กล่าวว่า

“ถ้าเช่นนั้นเราต้องแสดงความสามารถให้พวกมันได้ดูกันจนฝ่ายตรงข้ามมิกล้ารังควานพวกเรา”

มันหัวร่ออย่างนุ่มนวล กล่าวอีกว่า

“ควรทราบว่า พวกเราพอออกไป ก็จะหาวันมงคลแต่งงานอยู่กินกัน จากนั้นท่านต้องตั้งครรภ์กำเนิดบุตรธิดา เราแม้ไม่เกรงกลัวพวกมัน แต่ก็ไม่มีทางดูแลผู้คนจำนวนมากใช่หรือไม่?”

ภายในห้องใต้หลุมฝังศพ เต็มไปด้วยบรรยากาศอันซาบซึ้งชวนเคลิบเคลิ้ม

กี้เฮียงเค้งก็เต็มไปด้วยความอบอุ่นใจ แอบอิงเข้าไปในอ้อมอกของกิมเม้งตี้ ชั่วครู่จึงกล่าวว่า

“ท่านมิอาจคิดถึงแต่ภรรยา ต้องการดำรงชีพอย่างโดดเดี่ยว ข้าพเจ้าภาวนาให้ท่านมีเกียรติภูมิกระเดื่องดัง  อย่างน้อยก็สามารถทัดเทียมกับซิเล้ง ถูกยกย่องเป็นวีรบุรุษด้วยกัน”

กิมเม้งตี้ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงความรู้สึกนึกคิดแล้ว แม้มันยังมิอาจนับเป็นชนชาวธัมมะ แต่ก็ไม่ปฏิบัติการตามอารมณ์อีก และพอได้ยินกี้เฮียงเค้งกล่าวเช่นนั้น เพื่อรักษาหน้าของนาง จึงผงกศีรษะ กล่าวว่า

“ตกลง เรามีท่านจอมปัญญาคอยออกความคิด ผลสำเร็จย่อมไม่เป็นรองซิเล้ง และเราสองหากสามารถร่วมมือกัน ย่อมสามารถทำลายล้างอาณาจักรอัคคี กำจัดหมู่มารจนสิ้นซาก”

“วาจาของท่านออกจะดูแคลนอลัชชีโลกันตร์ไปแล้ว ควรทราบว่าในสถาบันอำมหิต น้องของมัน เฒ่าเอกะประหลาดที่ก่อตั้งสำนักมหากาฬ เพียงแต่เป็นสาขา มิใช่กำลังสำคัญของอลัชชีโลกันตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขบวนนางเฒ่าผึ้งของมัน จวบจนบัดนี้ยังไม่มีทางต้านรับได้”

กิมเม้งตี้ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ยังมิทันเอ่ยปาก กี้เฮียงเค้งก็กล่าวว่า

“อลัชชีโลกันตร์สามารถนำพลังชีวิตของบุคคลหนึ่ง ใช้ออกจนหมดสิ้นในพริบตาเดียว ก็เปรียบประดุจนำเอาดินระเบิดหีบใหญ่ จุดจนระเบิดในคราเดียวย่อมต้องน่าแตกตื่นยิ่ง

บุคคลอื่นล้วนต้องนำดินระเบิดโรยเป็นเส้นยาวเหยียดสายหนึ่ง หลังจากจุดไฟจะเผาหมดไปอย่างเชื่องช้า ประกายที่กระจายออก อานุภาพพยายามระเบิดขึ้น ย่อมมิอาจเปรียบเทียบกับขบวนนางเฒ่าผึ้ง”

กิมเม้งตี้หัวร่อพลางกล่าวว่า

“หากแม้นดินระเบิดหีบนั้นใช้กระดาษอันเบาบางห่อหุ้มเอาไว้ แม้จะเผาหมดในคราเดียว ก็เพียงรู้สึกละลานตา อานุภาพจำกัดยิ่ง”

“วาจานี้กล่าวได้ประเสริฐ หากแต่ว่าขบวนนางผึ้งนี้ เป็นเพียงดินระเบิดที่ห่อด้วยกระดาษเบาบาง แต่ความร้อนแรงและรวดเร็วยามลุกไหม้ ทำให้ผู้คนยากจะหลบหลีก อย่างน้อยก็ต้องบาดเจ็บสาหัส ซึ่งผู้ถูกทำร้ายหากมีชนชั้นผู้ทรงฝีมือเช่นเทพเจ้าสันโดษ ก็มิคู่ควรต่อการรับบาดเจ็บ เพราะสตรีอันต่ำทรามเหล่านั้นเลย”

กิมเม้งตี้อับจนถ้อยคำ กี้เฮียงเค้งพลันจมอยู่ในภวังค์ครุ่นคิด เนิ่นนายค่อยปรากฏรอยยิ้มขึ้น กิมเม้งตี้จึงถามว่า

“ท่านมีแผนการต้านรับขบวนนางเฒ่าผึ้งอย่างประเสริฐแล้วหรือ?”

“ข้าพเจ้าพอมีความนึกคิดอยู่บ้าง แต่ท่านอย่าได้ฝากความหวังมากเกินไป ข้าพเจ้าเพียงแต่มีความรอบรู้กว้างขวาง สติปัญญาปราดเปรียว สามารถแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้ฉับไวกว่าผู้อื่นบ้างเท่านั้น”

นางหยุดไปเล็กน้อย แล้วกล่าวอีกว่า

“พวกเราเป็นศัตรูกับอลัชชีโลกันตร์ ข้อที่เสียเปรียบก็คือ พวกเราต้องดำเนินวิธีการอันเที่ยงธรรม แต่ฝ่ายตรงข้ามสามารถอาละวาดอย่างเต็มที่ ไม่แยแสสนใจชีวิตมนุษย์

ดังนั้นขณะประหัตประหารกัน การใช้และจัดกำลังผู้คนทางฝ่ายเราก็มีสถานการณ์ที่เป็นรองตั้งแต่เริ่มต้น

กิมเม้งตี้ กล่าวว่า

“หากแม้นเป็นเราเมื่อกาลก่อน ก็ไม่เสียเปรียบแล้ว เราสามารถก่อกวนอาละวาดตามอำเภอใจ”

“มิว่าท่านจะอาละวาดอย่างไร ก็ยังมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอยู่ในจิตสำนึก แต่อลัชชีโลกันตร์ มีปณิธานสร้างความชั่วร้าย รู้สึกว่าท่านยังด้อยกว่ามันมากมายนัก”

นางหยุดยั้งไปครู่หนึ่งค่อยกล่าวว่า

“แต่หากแม้นพวกเราปฏิบัติการณ์เช่นเดียวกับฝ่ายตรงข้าม นำชีวิตมนุษย์เข้าแลกด้วย อลัชชีโลกันตร์ย่อมต้องนอกเหนือความคาดหมาย และไม่มีทางต้านรับสถานการณ์พิกลและวกวนนี้ นี่เป็นแผนการที่เราครุ่นคิดเมื่อครู่นี้”

กิมเม้งตี้กล่าวว่า

“รับทราบมาว่าในอาณาจักรอัคคีมีบริเวณกว้างขวาง ผู้คนมากมายก่ายกอง พวกเราหรือว่าถึงกับต้องยกกองทัพเข้าไปทลายรังฝ่ายตรงข้ามด้วย?”

“มิถึงกับเช่นนั้น แต่การระดมครานี้ จะกอปรขึ้นด้วยกองทัพที่ผ่านการฝึกฝนมาหน่วยหนึ่ง รวมทั้งขบวนชนชาวบู๊ลิ้ม สามารถรวบรวมเป็นขบวนการที่ไร้เทียมทาน”

“การสรรหากองทัพหน่วยหนึ่ง เป็นปัญหาที่ยากจะคลี่คลาย”

กี้เฮียงเค้งเอื้อนเอ่ยว่า

“ข้าพเจ้าพาลบอกกับท่านเถอะ ปัจจุบันนี้แผ่นดินเม้ง (ระหว่างค.ศ.1368 ถึง 1643) กำลังอยู่ในยุคระดมทัพทหาร ไม่เคยสงบว่างเว้น และทหารทั้งหมดได้รับการฝึกอบรมอย่างกวดขัน ขอเพียงแต่มีคำสั่งจากที่เบื้องสูง ก็จะไม่คำนึงถึงความเป็นความตาย ดังนั้นทางสถาบันอำมหิต พอเผชิญหมากตานี้ ก็ยากจะทัดทาน

และการจัดขบวนทหาร ก็มิลำบากเท่าใดนัก ขอเพียงมีผู้คนตระเตรียมเสียสละจำนวนหนึ่ง นำไปพัวพันกับขบวนนางเฒ่าผึ้ง สถานการณ์รามือรอมรณะของพวกเรา ก็จะเปลี่ยนแปลงไป”

กิมเม้งตี้ปรากฏแววอันตื่นเต้นพิกล กล่าวว่า

“อา นี่เป็นเรื่องที่คาดคิดมิถึงอย่างแท้จริง อลัชชีโลกันตร์คงไม่มีทางคาดเดาได้ล่วงหน้า เพียงแต่พวกเราเมื่อคิดบุกทำลายล้าง ไยต้องเสาะหาผู้อื่นไปพบกับความตายเล่า?”

“อลัชชีโลกันตร์หากไม่ถึงคราจำเป็น ย่อมไม่ทุ่มเทขบวนนางเฒ่าผึ้งออกมา ดังนั้นพวกเราต้องสร้างสถานการณ์ ทำให้มันรู้สึกว่า สมควรทุ่มเทไป นี่เป็นปัญหาลำบากข้อหนึ่ง”

เรารู้สึกว่าพวกเราอาจจะสามารถจัดการกับขบวนนางเฒ่าผึ้งแม้จะเสี่ยงอันตราย แต่ก็ประเสริฐกว่าการทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องเสียสละชีวิต”

กี้เฮียงเค้งลอบปีติลิงโลด คำนึงว่า

“…มันมีจิตใจที่เมตตาแล้ว ดังนั้นจึงรู้สึกว่าพฤติการณ์ของเราอำมหิตเกินไป ยินยอมเสี่ยงอันตรายเอง อา การที่เรากล่อมเกลาบุคคลนี้ได้ นับเป็นโชควาสนาอย่างใหญ่หลวง…”

จากนั้นนางก็ลอบถอนหายใจยาวๆ ครุ่นคิดว่า

“…แต่มันไหนเลยจะทราบว่า ผู้วางแผนกำหนดการ มีความรับผิดชอบที่หนักอึ้งยิ่งนัก เพียงแต่เรื่องจัดการขบวนนางเฒ่าผึ้งมีแต่วิธีนี้จึงจะสำเร็จ หาไม่แล้วเกรงว่าจะต้องประสบเภทภัยล่มสลาย…”

แน่นอน จิตใจที่หนักอึ้งลนลานของนางในยามนี้ บุคคลผู้อื่นหาได้ล่วงรู้ไม่

หากกล่าวกันอย่างละเอียด กี้เฮียงเค้งเป็นบุคคลที่โดดเดี่ยวน่าเวทนาที่สุด

ทั้งนี้ก็เพราะการวางแผนของนาง ผลสุดท้ายจะสำเร็จหรือพ่ายแพ้ ภาระนี้มีแต่นางรับไว้เพียงลำพัง บุคคลอื่นได้แต่เสนอข้อคิดเห็นให้นางวินิจฉัยเท่านั้น

กี้เฮียงเค้งย่อมไม่ต้องการให้กิมเม้งตี้แบ่งเบาความในใจของนางไปด้วย จึงแสร้งหัวร่ออย่างปลอดโปร่งใจ กล่าวช้าๆ ว่า

“ข้าพเจ้าจะเสาะหาผู้คนมาสละชีวิต ท่านรู้สึกโหดเหี้ยมเกินไป เพียงแต่ยามประยุทธ์ ความเป็นความตายไม่มีผู้คนคาดคะเนได้”

นางพลันสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ กล่าวว่า

“ในใต้หล้ามีผู้คนจำนวนมิน้อย ที่สร้างความผิดอย่างมหันต์ สมควรประหารฆ่าทิ้ง แต่พวกเราย่อมไม่มีศักดิ์ศรีไปกำหนดตัดสินชะตาชีวิตของผู้คน

ดังนั้นพวกเราสามารถไปเสาะหาบุคคลที่ถูกตัดสินประหารแล้วมอบหมายให้ปฏิบัติงานนี้เพื่อสร้างความดีความชอบ พวกมันมิว่าอย่างไรก็ต้องตกตาย เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราคงไม่นับว่าโหดเหี้ยมกระมัง?”

กิมเม้งตี้รับฟังจนผงกศีรษะเห็นพ้องด้วย กี้เฮียงเค้งยังกล่าวอย่างเนิบนาบว่า

“มิเพียงแต่ไม่นับว่าทารุณ กลับเป็นการแผ่พระคุณต่อนักโทษประหารเหล่านั้น เพราะว่านี่เป็นโอกาสให้พวกมันใช้ชีวิตซึ่งปราศจากคุณค่า เปล่งประกายเจิดจ้าได้”

“ถ้าเช่นนั้นปัญหาอยู่ที่ว่า พวกเราจะเสาะหานักโทษประหารได้มากมายจากที่ใด ยังมีการฝึกหัดอบรมด้วย”

“ในแผ่นดินเม้งซึ่งครอบคลุมสิบกว่ามณฑล การที่คิดเสาะหานักโทษตัดสินประหารที่เหมาะสมสักแปดหรือสิบคน หาใช่เรื่องลำบากไม่ ในด้านการฝึกหัดข้าพเจ้าได้กำหนดไว้แล้ว”

กิมเม้งตี้จึงกล่าวว่า

“ถ้าเช่นนั้นท่านขาดแต่ข้าราชการที่สามารถประสานงานผู้หนึ่งในวันที่จะช่วยเหลือพวกเราคัดเลือกกองทหารกับนักโทษ ใช่หรือไม่?”

“ถูกต้อง หากแม้นหัตถ์อสนีบาตไม่ตกตาย มันในฐานะเป็นผู้บัญชาการทหารหน่วยรักษาพระองค์ กลับเป็นผู้ที่เหมาะสมยิ่ง”

กระแสเสียงของนางหามีความทอดอาลัยไม่ กิมเม้งตี้ทราบดีว่านางกำลังใช้ความคิด และชั่วครู่ต่อมาก็กล่าวว่า

“พวกเราจะต้องเสาะหาข้าราชการที่มีความสามารถผู้หนึ่ง ซึ่งภายภาคหน้าสามารถสร้างความสงบสุขแก่แผ่นดิน และขณะนี้ไม่ถูกขุนนางกังฉินริษยาคอยกำจัด ทั้งยังมีอำนาจ สามารถช่วยเหลือพวกเราเคี่ยวเข็ญกองทหาร คัดเลือกนักโทษประหาร เพื่อทำลายล้างสถาบันอำมหิต”

“ท่านกลับขบคิดอย่างเลอเลิศ บุคคลชนิดนั้นจะเสาะพบได้อย่างไร?”

“เชื่อหรือแล้วแต่ท่าน แต่ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าสามารถพบพาน”

กิมเม้งตี้มิคัดค้าน ปัจจุบันนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือ พยายามฝึกปรือวิชาดาบพุทธไร้เทียมทาน สามารถต่อต้านกับคู่ต่อสู้จากสถาบันอำมหิต

ทั้งสองอยู่ที่ห้องในหลุมฝังศพ อาศัยอีกเนิ่นนานวัน จวบจนบัดนี้กี้เฮียงเค้งหลังจากรวบรวมสัมภาระเล็กน้อยแล้ว พลันกล่าวว่า

“พวกเราออกเดินทางกันเถอะ ปรากฏกายขึ้นในวงพวกนักเลงครั้งนี้ ท่านย่อมสามารถต้านรับกับผู้คนของสถาบันอำมหิตอย่างเด็ดขาด”

กิมเม้งตี้หัวร่ออย่างทระนง กล่าวว่า

“ประเสริฐมาก พวกเราออกไปท่องเที่ยวร่วมกันเถอะ”

ทั้งสองเริ่มเดินทางในวันนั้น ออกมานอกหลุมฝังศพ

และก็เป็นไปตามการคาดคำนวณของกี้เฮียงเค้ง ภายในห้องแถบใกล้เคียง มีร่องรอยแสดงว่าผู้คนมิน้อยเคยอาศัยอยู่ หมายความว่าวันเวลาที่ผ่านมานี้ สถาบันอำมหิตเคยจัดส่งขบวนผู้คนมาเฝ้ารักษา รอให้กิมเม้งตี้ปรากฏอีก ก็จะรวมกำลังปลิดชีวิตมัน

แต่คาดว่าหลังจากรอคอยเนิ่นนาน ยังไม่มีเหตุการณ์ใดๆ ดังนั้นเมื่อมินานมานี้จึงหวนกลับไป

กี้เฮียงเค้งขณะออกเดินทาง ยังต้องการให้กิมเม้งตี้กระทำตามวาจาของนาง โดยรอนแรมอย่างลอบเร้น กิมเม้งตี้รู้สึกพิศวงสงสัยใจกล่าวว่า

“ท่านมิใช่บอกว่า พวกเราสามารถปรากฏกายอย่างเปิดเผยแล้วหรือ?”

กี้เฮียงเค้งกล่าวว่า

“กาลเวลายังไม่บรรลุถึง ท่านอดทนสักระยะหนึ่งเถอะ”

กิมเม้งตี้ได้แต่ปฏิบัติตาม และตลอดรายทาง ก็ปกปิดร่องรอยเอาไว้

ในวันนี้ได้มาถึงเมืองนานกิง กี้เฮียงเค้งให้กิมเม้งตี้รอคอยอยู่นอกเมือง และนางเข้าเมืองเพียงลำพัง คาดมิถึงว่านางพอเข้าไปก็เงียบหายไร้ข่าวคราว

วันรุ่งขึ้น รถม้าที่โอ่อ่าตระการตาคันหนึ่ง ภายใต้การอารักขาของหญิงรับใช้ เสื้อขาวนั่งอยู่บนหลังม้าสี่นาง ได้ควบขับมาถึงที่พำนักของกิมเม้งตี้

กิมเม้งตี้แว่วเสียงรถม้า จึงถลันออกมาดู แลเห็นดรุณีรับใช้สี่นางนั้น มีรูปโฉมสวยสะคราญ อยู่ในวัยสิบเจ็ดสิบแปดปี

พวกนางล้วนสะพายกระบี่ยาว ประกายตาเจิดจ้าสมบูรณ์มองวูบเดียวก็ทราบว่า มีพลังการฝึกปรืออันลึกล้ำ ทำให้กิมเม้งตี้ตื่นเต้นสงสัย เบิ่งตาเพ่งพินิจ

รถม้าคันหน้าม่านหน้าต่างได้ปล่อยห้อยลง อาศัยสายตาของกิมเม้งตี้ ยังไม่อาจมองทะลุเข้าไป

สารถีประจำรถเป็นบุรุษฉกรรจ์ดวงตาข้างเดียว สวมใส่อาภรณ์ชุดใหม่เอี่ยมลออ แต่อากัปกิริยาเย็นชากระด้าง

หญิงรับใช้ชุดขาวนางหนึ่ง พลิ้วกายลงจากหลังม้า เดินมาถึงเบื้องหน้าของกิมเม้งตี้ ใช้สายตาที่เยือกเย็นสำรวจมองมันโดยละเอียด แล้วจึงกล่าวว่า

“มิผิด ผู้ที่พวกเราเสาะหาคือท่านนั่นเอง!”

กระแสเสียงเฉื่อยชาคล้ายดั่งเป็นวาจารำพึง หาได้เอื้อนเอ่ยต่อผู้อื่น กิมเม้งตี้เลิกคิ้วขึ้น พลันแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ราวกับว่ามิได้เห็นฝ่ายตรงข้ามก็ปานกัน

ควรทราบว่ามันความจริงเป็นบุคคลที่ยโสทระนง บัดนี้พอแสดงอิริยาบถดังเดิม ก็สามารถสร้างความขุ่นเคืองใจให้กับฝ่ายตรงข้าม แต่หญิงรับใช้นางนั้นกล่าวอย่างเย็นชาว่า

“ข้าพเจ้าทราบแล้วว่า ท่านเป็นผู้ทระนงตน ดังนั้นท่าทางของท่านไม่อาจทำให้ข้าพเจ้ามีโทสะ”

กิมเม้งตี้มิส่งเสียงแม้แต่คำเดียว พลันสืบเท้าก้าวออก หมายจะเข้าใกล้รถม้า เพื่อยลชมผู้ที่อยู่ภายใน ดรุณีรับใช้นางนั้นลงมือตะกุยใส่ แต่แม้จะว่องไวก็ประสบความล้มเหลว

ดรุณีรับใช้ชุดขาวอีกสามนางบนหลังม้า แลเห็นเช่นนั้นก็กระชากกระบี่ยาวออกมา กระบี่สามเล่มพุ่งออกจากฝัก ได้ยินแต่เสียงดังเปรื่อง ปฏิกิริยาหมดจดพร้อมพรัก แสดงว่าได้รับการฝึกอบรมอย่างเข้มงวดมาก่อน

พวกนางหาได้ลงจากหลังม้า แต่กระบี่สามเล่มพอถูกตะปบออกมา ก็แผ่ทะลักพลังกระบี่อันเกรี้ยวกราดกระแสหนึ่ง โถมทลายใส่กิมเม้งตี้ทันที

กิมเม้งตี้สงสัยเป็นอย่างยิ่ง คำนึงว่า

“…หญิงรับใช้ทั้งสามนี้ คาดมิถึงว่าจะมีพลังการฝึกปรืออันลึกล้ำ โดยเฉพาะกระบี่สามเล่มกอปรขึ้นเป็นอานุภาพพลังกระบี่ ซึ่งมีแต่ผู้ทรงฝีมืออันดับสูงจึงจะกระทำได้…”

กิมเม้งตี้ซึมทราบว่า ดรุณีทั้งสามแม้มิได้ลงจากหลังม้าแต่มันหากเคลื่อนกายไปเบื้องหน้า ขัดความประสงค์ของนาง พลังกระบี่ของนางทั้งสามก็จะมีปฏิกิริยาทะลักทลายออกมา

และอานุภาพจู่โจมครานี้ เนื่องจากเป็นปฏิกิริยาจากสามัญสำนึก อาศัยพลังงานธรรมชาติมากกว่าแรงงานมนุษย์ มาตรแม้นผู้ทรงฝีมือเฉกเช่นกัน ก็ไม่กล้าเสี่ยงอันตรายครานี้

กิมเม้งตี้ท่ามกลางความแตกตื่นพิศวง ได้แต่ชะงักเท้าลง ประกายตาสาดเป็นแววเย็นยะเยียบ กวาดมองดรุณีรับใช้สามนางนั้นอย่างแช่มช้า

แลเห็นพวกนางล้วนผุดผาดงดงาม ผิวกายละเอียดอ่อน ท่วงท่าก็มีแววโดดเดี่ยวเยือกเย็น อิสตรีเหล่านี้แม้เป็นหญิงรับใช้ ก็มีความถือตัว มิแยแสสนใจผู้คน โดยเฉพาะบุรุษเพศ

กิมเม้งตี้มีใจไหวหวั่นลังเลขึ้นมา คำนึงว่า

“…รถม้าคันนี้กับหญิงรับใช้ทั้งสี่คน ที่แท้มีความเป็นมาอย่างไร? เรารู้สึกว่าชายฉกรรจ์ตาเดียวนั้นดุร้ายยิ่งนัก และพลังฝีมือยังสูงล้ำกว่าสี่หญิงรับใช้

ดูจากเปลือกนอกตัวประมุขที่อยู่ในรถม้า ย่อมต้องเป็นอิสตรี นางสามารถฝึกหัดย่าวทาสเช่นนี้แสดงว่ามิใช่สามัญชน อา น่าเสียดายที่อาเค้งไม่อยู่ หาไม่แล้ว นางคงทราบความลับของรถม้าคันนี้…”

มันไม่อาจตัดสินใจว่า สมควรลงมือต่อดรุณีเหล่านี้หรือไม่ นับตั้งแต่อิสตรีเช่น ฉี้อิง กี้เฮียงเค้ง นางแมงมุมขาว ปรากฏกายขึ้นมันก็ไม่กล้าดูแคลนเพศตรงข้ามและหญิงรับใช้ทั้งสี่ยอดเยี่ยมถึงปานนี้ ประมุขของพวกนางย่อมสามารถคาดคำนวณได้

กิมเม้งตี้หาใช่เกรงกลัว เพียงแต่คิดกระทำอย่างรอบคอบ แต่การอยู่นิ่งเฉยก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นมันจึงภาวนาให้หญิงรับใช้ที่อยู่ด้านหลังลงมือต่อมัน ซึ่งมันก็สามารถจู่โจมอย่างฉับพลันคร่ากุมฝ่ายตรงข้ามเป็นเชลย

ได้ยินดรุณีรับใช้ชุดขาวทางเบื้องหลัง กล่าวอย่างเย็นชาว่า

“กิมเม้งตี้ ท่านมีพลังฝีมือเข้มแข็ง พวกเราเหล่าข้าทาสย่อมมิใช่คู่มือ แต่ท่านหากสร้างความขุ่นเคืองต่อเสียวเจียะผู้สูงศักดิ์ของเรา รับรองว่าจะต้องรับความลำบาก”

กิมเม้งตี้แม้ศีรษะก็ไม่เบือนกลับ กล่าวว่า

“เรากลับต้องการทราบว่า ต้องกระทำอย่างไรจึงทำให้เสียวเจียะพวกท่านมีโทสะ”

“ถามได้ประเสริฐ เสียวเจียะเราในหนึ่งปีนี้ ได้ท่องเที่ยวอยู่ในวงพวกนักเลง ชนชาวบู๊ลิ้มทั้งธรรมะและอธรรม ต่างมีความสงสัยใจใคร่อยากดูเสียวเจียะท่าน แต่พฤติการณ์นี้ล่วงละเมิดข้อห้ามของเสียวเจียะ จึงต่างก็รับความทารุณทรมานไป”

“ตามคำบอกเล่าของท่าน โฉมหน้าที่แท้จริงของเสียวเจียะพวกท่าน จวบจนบัดนี้ยังไม่มีผู้ใดได้เห็นมาก่อน?”

“มิผิด ผู้ใดมีความสามารถได้เห็นนางเล่า”

กิมเม้งตี้กล่าวว่า

“นั่นย่อมง่ายดายยิ่ง เราพอลงมือก็ฟาดม้าเทียมรถตายไปสองตัว ทำให้รถม้าไม่อาจเคลื่อนย้าย จากนั้นก็คร่ากุมนางออกมา”

“เฮอะ ปัญหาอยู่ที่ว่า ท่านสามารถกระทำได้ตามวาจาหรอกหรือ”

กิมเม้งตี้พลันฉุกใจได้คิด แค่นเสียงหนักๆ พลันหันกายกลับมา กล่าวว่า

“เราคร้านที่จะดูโฉมหน้าของนางแล้ว”

ในยามนี้มันได้ยืนประจันหน้ากับดรุณีชุดขาวนางนั้น แลเห็นในดวงตาที่แจ่มกระจ่างของนาง มีประกายตื่นเต้นสงสัย และถามว่า

“เพราะเหตุใด ท่านเกรงกลัวแล้ว?”

“เฮอะ เสียวเจียะพวกท่านชิงชังต่อการถูกผู้อื่นยลโฉมแสดงว่าต้องมีเลศนัย เราเข้าใจว่านางคงทุเรศอัปลักษณ์อย่างสุดแสน”

“ท่านเข้าใจผิดแล้ว เสียวเจียะของพวกเราคือโฉมสะคราญที่ไร้เทียมทาน”

กิมเม้งตี้แค่นเสียงมิแยแสสนใจ ซึ่งใจจริงของมันไม่เชื่อถือด้วย หาใช่แสร้งแสดงกิริยา ฝ่ายดรุณีรับใช้ขุ่นเคืองจนหน้าแดงฉาน กิมเม้งตี้ยิ่งลำพองใจ ร้องดังๆ ว่า

“ผู้อยู่ในรถม้า ย่อมต้องเป็นเอียเท้าที่อัปลักษณ์สุดจะเปรียบ หาไม่แล้วนางไฉนจึงไม่กล้าพบพานผู้คน และจวบจนบัดนี้ก็มิส่งเสียงแม้แต่น้อย”

ดรุณีรับใช้ชุดขาวนางนั้น ยืนมือกุมกระบี่ แต่แล้วก็มิลงมือ เนื่องจากทราบดีว่า ฝ่ายตรงข้ามคือผู้ทรงฝีมืออันดับหนึ่งแห่งยุค จึงได้แต่ขยี้เท้าด้วยความคลั่งแค้นใจ

กิมเม้งตี้พลันคำนึงในใจว่า

“…เราพัวพันกับหญิงรับใช้จนถึงบัดนี้ บุคคลในรถยังไม่มีสุ้มเสียงแม้แต่น้อย ความอดกลั้นของนางนับว่าน่าหวาดหวั่นยิ่ง คราแรกเรายังเข้าใจว่า อาเค้งล้อเล่นกับเรา

แต่พวกนางในหนึ่งปีนี้ ได้ท่องเที่ยวอยู่ในวงพวกนักเลงตลอดเวลา แสดงว่ามิใช่อาเค้ง ถ้าเช่นนั้นพวกนางเป็นใคร วันนี้ไฉนจึงมาหาเรื่องราว?…”

ช่วงเวลานี้ ประจวบเหมาะกับกี้เฮียงเค้งไม่อยู่ อาจเป็นไปได้ว่า ถูกพวกนางคร่ากุมไป กิมเม้งตี้ใคร่ครวญถึงตอนนี้ พลันหันกายหมายก้าวเดิน

ดรุณีรับใช้ที่ยืนประจันหน้าส่งเสียงขึ้นว่า

“ท่านจะไปที่ใด?”

“กลับไปในห้องพักผ่อน เราย่อมมิคิดพัวพันกับพวกท่าน”

ดรุณีรับใช้คิดชักกระบี่ขัดขวาง แต่ก็มิกล้า ขณะนั้นทางด้านหลังพลันแว่วสุ้มเสียงอันนุ่มนวลดังขึ้นว่า

“อาบ๊วย ปล่อยมันไปเถอะ  พวกเราก็จะกลับบ้านกัน”

กิมเม้งตี้ได้ยินอย่างชัดเจน รู้สึกว่ากระแสเสียงไพเราะเสนาะโสต เพียงรับฟังก็ทราบว่า ย่อมต้องเป็นสตรีสาวที่โสภาสะคราญตา

มันพลันหันกายก้าวไปที่รถม้า ร้องดังๆ ว่า

“โกวเนี้ยเมื่อให้เกียรติมา ไฉนจึงคิดจากไปโดยมิทันพบหน้าเล่า?”

หญิงรับใช้สามนางบนหลังม้า พากันสะบัดกระบี่วาดเป็นสภาวะแผ่ทะลักพลังกระบี่อันดุร้าย ตรงเข้าขัดขวางมัน

กิมเม้งตี้รู้สึกว่า อาศัยพลังฝีมือของมัน ย่อมสามารถต้านทานสามดรุณีรับใช้ เพียงแต่หากคิดทะลวงฝ่าอย่างฉับพลันทั้งไม่ทำร้ายพวกนาง เป็นเรื่องที่กระทำมิได้เลย

อย่าว่าแต่ยังมีอีกหนึ่งหญิงรับใช้กับหนึ่งบ่าวทาสอยู่ด้วย ซึ่งหากร่วมจู่โจมก็สามารถบุกฝ่าเข้าไปในสามสิบถึงห้าสิบกระบวนท่าเลย

มันพลันโถมกายไปเบื้องหน้า ดรุณีรับใช้ทั้งสามก็จู่โจมกระบี่ยาวโดยพร้อมเพรียงกัน กระจายเป็นรุ้งกระบี่อันรุนแรงบาดตาสามสายม้วนตลบลงมาจากหลังม้า

กิมเม้งตี้จงใจให้ฝ่ายตรงข้ามจู่โจมใส่ แต่ความจริงพอบุกล้ำหน้าแล้วก็ล่าถอยทันที

แต่ทว่าเนื่องจากฝ่ายตรงข้ามทุ่มเทท่ากระบี่ ซึ่งสามัญสำนึกได้บงการ จึงว่องไวปานสายฟ้า กิมเม้งตี้แม้มีท่าร่างรวดเร็วก็ไม่อาจสลัดหลุด ยังถูกไล่ติดตาม

แต่กิมเม้งตี้เป็นชนชั้นใดแล้ว มันได้คำนวณระยะใกล้ไกลอยู่ก่อน ในยามนี้ก็หันกายกระโดดร่าง ปาดชายเสื้อฟาดฝ่ามือเพียงกระบวนท่าเดียว ก็คร่ากุมอาบ๊วย ฉุดกระชากเข้ามาอาศัยร่างของนางต้านทานประกายกระบี่ทั้งสาม

ดรุณีทั้งสามมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป สลายพลังรั้งกระบี่อย่างลนลาน กิมเม้งตี้ขยับร่างวูบหนึ่ง ก็พุ่งขึ้นสู่รถม้า

บุรุษตาเดียวที่เป็นสารถีขู่คำรามดังสนั่น โถมร่างลงมาราวกับเหยี่ยวใหญ่ ร่างมิทันบรรลุถึง แส้ยาวในมือก็ฟาดฝ่าอากาศดังแหลมคม ม้วนตลบใส่กิมเม้งตี้

มันผู้นี้มือซ้ายยังถือดาบสั้นอันเย็นยะเยียบเล่มหนึ่ง ซึ่งน่าระแวดระวัง กิมเม้งตี้รู้สึกว่ามันยามลงมือพลังภายในเข้มแข็ง จึงไม่คิดพัวพันด้วย มือซ้ายเสือกส่งอาบ๊วยเข้าใส่

แลเห็นอาบ๊วยได้พุ่งร่างราวกับเกาทัณฑ์ กรีดเข้าหาบบุรุษฉกรรจ์ตาเดียว ท่วงท่าของนางแสดงว่าจุดเส้นถูกสกัด หากไม่สนใจปล่อยให้ตกถึงพื้นดิน ไม่เสียชีวิตก็ต้องบาดเจ็บสาหัส

บุรุษฉกรรจ์ตาเดียวยามอับจนปัญญา พลันคาบดาบสั้นอยู่ในปาก ยื่นมือซ้ายคว้าจับอาบ๊วย แฉลบร่างตามสภาวะ พลิ้วเฉียงๆ ไปวาเศษ ละลิ่วลงบนพื้นดิน

ส่วนกิมเม้งตี้ขณะพุ่งร่างลงเพื่อเปลี่ยนลมปราณใหม่ ก็อยู่ห่างจากรถม้าเพียงเจ็ดเชียะ มันคิดจะโผพุ่งกายขึ้น บนรถม้าพลันแว่วเสียงดังพึบเบาๆ

และแล้วเปลวอัคคีกลุ่มใหญ่ ก็พลันแลบลุกไหม้พุ่งตรงเข้าใส่มัน

กิมเม้งตี้มีสายตาคมกล้า ยามเหลือบมองอย่างฉุกละหุก ก็เห็นว่าอัคคีกลุ่มใหญ่นั้น มีสภาพแผ่ลุกลามและอานุภาพรุนแรงยิ่ง

บุคคลที่มีพลังการฝึกปรือถึงขั้นสูงเยี่ยมเช่นกิมเม้งตี้ สิ่งที่ไม่กล้าตอแยด้วย ก็คือเปลวอัคคีที่ไร้ไมตรี นี่เป็นวัตถุที่มีความร้อนแรงตามธรรมชาติ แม้มีพลังฝีมือก็ไม่อาจต้านทาน

ดังนั้นมันจึงแปรเปลี่ยนจากล้ำหน้าเป็นล่าถอย พุ่งร่างดังควับ ถอยไปเจ็ดแปดเชียะ ส่วนเปลวอัคคีกลุ่มนั้นพอพ้นมาจนห่างจากมันสี่ห้าเชียะ ก็ไม่สามารถขยายรุดหน้าอีก

แต่ทว่าอัคคีกลุ่มใหญ่นั้น เปรียบประดุจม่านบังตา ขวางกั้นอยู่กลางอากาศส่วนที่ว่างเปล่า ทำให้กิมเม้งตี้มิเพียงแต่ไม่อาจล่วงล้ำ แม้แต่รถม้าก็มองไม่เห็น

ม้าพ่วงพี สี่ตัวซึ่งบัดนี้ไม่มีผู้คนโดยสารอยู่ ก็ไม่ร้องอย่างแตกตื่นเฉกเช่นพาหนะทั่วไป กลับควบละลิ่วไปที่หลังม่านอัคคี แสดงว่าม้าเหล่านี้ได้รับการเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี

กิมเม้งตี้เงยหน้าส่งเสียงหัวร่อ ร้องดังๆ ว่า

“อาวุธเพลิงอันร้ายกาจ ถึงกับสามารถใช้บดบังสายตา ฉวยโอกาสเตลิดหนี แต่เราขอเพียงคร่ากุมเอียเท้าของท่านทั้งสาม ก็มิต้องกังวลว่า ไม่อาจสืบถามเรื่องราวที่เราใคร่อยากรู้”

ที่แท้ดรุณีรับใช้สามนาง หลังจากจู่โจมกระบี่ไร้ผล พุ่งกายลงจากหลังม้าแล้ว ในยามนี้กลับอยู่ที่ด้านหลังของกิมเม้งตี้ มันแม้มิได้เบือนหน้ากลับไปดู แต่พวกนางทั้งสาม หากมีปฏิกิริยาก็ไม่มีทางรอดพ้นหูตาของมัน

ม่านอัคคีพลันสลายวูบ แลเห็นบุรุษฉกรรจ์ตาเดียวผู้นั้นได้ยืนหยัดอยู่บนอานรถ อาบ๊วยกลับฟุบกายอยู่ด้านข้าง เนื่องจากจุดเส้นของนางยังไม่คลายออก

กิมเม้งตี้เพ่งสายตามองไปที่รถม้า พลันพบว่า ม่านที่บดบังอยู่คล้ายดั่งสามารถมองทะลุ แลเห็นเงาร่างของสตรีนางหนึ่งอย่างสลัวเลือนราง แต่ไม่ชัดแจ้ง มิทราบว่านางมีรูปโฉมอย่างไร

อิสตรีในม่านรถหัวร่อเสียงเจื้อยแจ้ว กล่าวว่า

“กิมซิงแซถูกยกย่องเป็นผู้ทรงฝีมืออันดับหนึ่ง หากลงมือต่อเอียเท้า คาดว่าคงไม่คู่ควรกับการผยองลำพองใช่หรือไม่?”

กิมเม้งตี้บังเกิดความรู้สึกว่า สตรีนางนี้ก็เป็นผู้มีภูมิปัญญามากเล่ห์เหลี่ยม ถนัดการใช้คารม ซึ่งสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับมันในบัดดล

ดรุณีรับใช้ทั้งสาม คล้ายดั่งได้รับฟังคำชี้แจง ทราบความในใจของกิมเม้งตี้ พากันอ้อมเดินไปถึงข้างรถม้า ซึ่งกิมเม้งตี้ก็ไม่ขัดขวางจริงๆ

อิสตรีในรถม้ากล่าวอย่างนุ่มนวลอีกว่า

“กิมซิงแซ บอกกล่าวตามความสัตย์ ในรถม้าที่ข้าพเจ้าจัดสร้างเป็นพิเศษคันนี้ มีอาวุธลับอันพิสดารร้ายกาจหลายชนิด อาวุธเพลิงเป็นเพียงหนึ่งในจำนวนนั้น”

กิมเม้งตี้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตัดสินใจลำบาก แต่ปากก็กล่าวอย่างเย็นชาว่า

“เราเชื่อมั่นว่า สามารถต้านทานอาวุธลับอันชั่วร้ายของท่านได้”

“นั่นย่อมต้องแน่นอน มาตรแม้ว่าท่านไม่มีความมั่นใจ สถานการณ์ในวันนี้ ก็บีบบังคับท่านจนมิอาจไม่ลงมือเลย!”

“น่าหัวร่อ หรือว่าเราไม่สามารถหันกายจากไปด้วย?”

“ขอให้ท่านมองไปทางซ้ายขวา ห่างจากที่นี้ห้าหกวา ล้วนเป็นต้นไม้ ข้าพเจ้าได้พบว่ามีผู้คนมิน้อยซุกซ่อนอยู่ กำลังมองมาทางพวกเรา!”

กิมเม้งตี้กวาดตามองไป จริงดังที่ว่าในดงไม้สองฟากข้าง ล้วนมีผู้คนหมอบซุ่มอยู่ ดังนั้นจึงขมวดคิ้วกล่าวว่า

“บุคคลเหล่านั้นมีความเป็นมาอย่างไร?”

“พวกมันล้วนเป็นผู้มีเกียรติภูมิอยู่ในวงพวกนักเลงในหนึ่งเดือนนี้พยายามติดตามข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามาตรแม้นมิยากต่อการสลัดหลุด แต่พลันได้ยินคำร่ำลือเรื่องหนึ่ง ทำให้ไม่ไปสนใจพวกมัน”

“คำร่ำลืออันใด?”

อิสตรีในรถม้าส่งเสียงกล่าวว่า

“ในวงพวกนักเลงโจษจันกันว่า ท่านได้เหยียบย่างสู่บู๊ลิ้มอีก ต่อมากลับถูกผู้ทรงฝีมือแห่งสถาบันอำมหิตสังหารไป ข้าพเจ้าเพื่อสืบเสาะเรื่องนี้ จึงไม่สลัดบุคคลเหล่านั้นทิ้งไป เพื่อให้ทุกผู้คนล้วนทราบร่องรอยของข้าพเจ้า”

“ทราบแล้วจะเป็นอย่างไร?”

“ข้าพเจ้าเชื่อว่าผู้ทรงฝีมือของสถาบันอำมหิตผู้นั้น มิว่าช้าเร็ว ต้องมาหาข้าพเจ้า ยามนั้นข้าพเจ้าก็สามารถฆ่ามันเป็นการล้างแค้นแทนท่าน”

สำเนียงของนางกังวานมิน้อย ผู้คนที่ชมเหตุการณ์โดยอยู่ห่างหลายวา ล้วนได้ยินอย่างชัดเจน

กิมเม้งตี้คลางแคลงใจเป็นที่ยิ่ง กล่าวว่า

“ท่านคิดล้างแค้นแทนเรา? พวกเราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือ?”

อิสตรีในรถม้าหัวร่อคิกคักกล่าวว่า

“ไม่รู้จักมาก่อน แต่ข้าพเจ้าได้ยินว่ากี้เฮียงเค้งชมชอบท่านใช่หรือไม่?”

“มิผิด เป็นอย่างไร?”

“กี้เฮียงเค้งเนื่องจากใช้สมองจนเกินไป จึงเสื่อมสูญวิญญาณแล้วใช่หรือไม่?”

อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่