๕๕
♦ พลังจิตสองสุดยอด ♦
……………
ซิเล้งในสถานการณ์ที่ขาดแคลนเสบียงอาหารเช่นนี้ หากแม้นถูกกักอยู่ในความมืด และพบแต่ความเปล่าเปลี่ยว ตนก็จะกัดกินเสบียงอาหารจำนวนมากอย่างลืมตัว ดังนั้นอีกมินานก็ต้องอดตายไป ซึ่งอาจก่อนจะคลุ้มคลั่งเสียอีก
บัดนี้สภาพการณ์พอเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ข้อแรกซิเล้งก็มิต้องอยู่ในความมืดมิดสนิทอีก โดยนัยกลับภายในห้องเทพเจ้ามีแสงสว่างยิ่งนัก
นี่ทำให้ตนสำนึกไปว่า ทางเดินที่คล้ายกับใยแมงมุมทางด้านนอก คราก่อนก็มีแสงสว่างเช่นเดียวกัน เพียงแต่ภายหลังล้วนถูกปิดสกัด ทำให้กลับกลายเป็นมืดมิด
ข้อที่สอง ภายในห้องเทพเจ้ามีความอบอุ่นเหลือแสน ซากสังขารของปรมาจารย์ทั้งสองท่านบนเตียงศิลาเสมือนกับเป็นผู้มีชีวิต ทำให้ตนบรรเทาความรู้สึกที่เปล่าเปลี่ยวเดียวดายมิน้อย
ข้อที่สาม วิชาพลังจิตสองสุดยอดนี้ ทำให้ซิเล้งต้องหมกมุ่นฝึกปรือ บุคคลหนึ่งเวลาไม่มีเรื่องราวกระทำ ย่อมทรมานยิ่งนัก ตรงกันข้าม พอมีเรื่องวุ่นวาย ย่อมขจัดความรู้สึกที่โดดเดี่ยวไร้รสชาติได้
ข้อที่สี่ ซึ่งก็เป็นข้อสำคัญที่สุด กล่าวคือเป้ามุ่งหมายเมื่อยามฝึกปรือวิชาพลังจิตสองสุดยอด อยู่ที่ “ดวงใจ” ก่อนอื่นต้องบรรลุถึงขั้นที่ดับสูญไม่เคลื่อนไหว หาได้หลับนอนหาได้ฟื้นตื่น หาได้ดำรงหาได้ตกตาย
อันขอบเขตเช่นนี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นแห่งหนึ่ง แต่ทว่าเมื่อฝึกปรือวิชาฝีมือถึงชั้นนี้ ก็จะไม่ถูกคุกคามจากความหิวโหยกระหายแล้ว
ที่แท้ในเคล็ดวิชาพลังจิตสองสุดยอด ได้บ่งบอกอย่างชัดแจ้งว่า ตนหากแม้นฝึกฝนจนถึงจุดนี้ ก็เท่ากับก้าวไปสู่มรรคาแห่งความสำเร็จแล้ว
สิ่งที่หลงเหลือเป็นปัญหาในด้านช่วงเวลาเท่านั้น อุปมาบุปผาเบ่งบานออกเป็นผล ความสุกงอมของผลไม้อยู่ที่ช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง
ในบันทึกได้อธิบายอย่างแจ่มแจ้งว่า ตนขอเพียงแต่บรรลุถึงขั้น “ดับสูญ” ร่างกายของตนในยามนั้น ความรู้สึกและสามัญเคลื่อนไหวทั้งมวลล้วนหยุดชะงักไป มีแต่กระแสจิตที่ล่องลอยอยู่ในขอบเขตอันพิสดาร ได้สะสมกระแสพลังขึ้น
เนื่องจากร่างกายไม่เสื่อมโทรมอีก กอปรกับมีการเปลี่ยนแปลงที่เสริมหนุนด้วยแนวพลังกับสติสัมปชัญญะ ตนจึงสามารถอดอาหารโดยมิต้องรับประทาน
ขณะนั้นแม้ไม่มีอาหาร ซิเล้งก็ยังดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ มิหนำซ้ำยังสามารถฝึกฝนพลังจิตโดยมิหยุดยั้ง
เวลาพอมาถึงซิเล้งมิเพียงแต่สามารถนำพละกำลังเท่าที่มีจู่โจมทะลักออกไปในคราครั้งเดียว และยังได้ดึงดูดเอาพลังอันลึกลับบางประการ ที่ยากจะอธิบายในจักรวาลใช้ออกในเวลาเดียวกัน เพิ่มพูนอานุภาพยากบุกตะลุยจนไร้ขอบเขตจำกัด
เพราะเหตุนี้ผู้ที่ฝึกปรือวิชาพลังจิตสองสุดยอดจึงเหนือล้ำกว่าสามไม้ตายไร้เทียมทาน ทั้งนี้ก็เพราะไม้ตายทั้งสามนั้นเพียงแต่อาศัยกำลังของอาวุธ ระบายพลังที่ซ่อนเร้นและพละกำลังทั่วทั้งร่างกายออกไป จนแกร่งกร้าวยากหักโค่น
ส่วนวิชาพลังจิตสองสุดยอด ยังสามารถดึงดูดเอาพลังอันเร้นลับของธรรมชาติอันไพศาล ความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนี้ ย่อมมิต้องสงสัยเลย
ปัจจุบันนี้ ซิเล้งหวั่นเกรงแต่ว่า ก่อนที่เสบียงอาหารจะหมดสิ้น ยังไม่อาจบรรลุถึงขั้น “ดับสูญ” และหากจะฝึกฝนถึงขั้นนั้น ต้องสูญเสียเวลาเนิ่นนานเท่าใด ตนหาทราบไม่
ซิเล้งตลอดเวลาได้อยู่ในห้องศิลาทางด้านนอก ฝึกฝนวิชาทางจิต และปิดประตูไม้ มิเคยเข้าไปยังห้องชั้นใน
ทั้งนี้เนื่องจากว่าบนแผ่นไม้นั้น เคยตักเตือนตนว่า ขอให้ระมัดระวัง อย่าได้ถูกทรัพย์สมบัติและพลังฝีมือที่ห้องชั้นในดึงดูดหลงใหลจนมีสมาธิแตกซ่าน
ตนอยู่บนเบาะกลมหน้าเตียงศิลาของเทพโฉดสะท้านโพยมตลอดทั้งวันได้นั่งขัดสมาธิผนึกพลัง พยายามลดน้อยการเคลื่อนไหวเพื่อมิให้เสื่อมโทรมกำลัง
ซิเล้งก็มิได้คาดคิดว่า มาตรแม้นวิชาพลังจิตจะฝึกฝนสำเร็จและอาศัยอยู่โดยมิต้องกินอาหาร แต่เวลาถูกกักอยู่ในที่นี้ จะกระทำอย่างไร?
หรือว่าต้องรอคอยไปอีกสิบปี ครบกำหนดที่ประตูตำหนักเปิดออกได้ จากนั้นก็ภาวนาให้จับฮึงไต้ซือ อุ้ยฮูหยิน กับอุ้ยเซี่ยวย้งมาเปิดประตูตำหนักนี้
หากแม้นตนคำนึงถึงปัญหาเหล่านี้ก็ไม่สามารถฝึกปรือวิชาพลังจิตสองสุดยอดแล้ว ยังประเสริฐที่ตนความจริงก็ไม่อนาทร มิแยแสต่อความเป็นความตาย
ดังนั้นเวลาตกอยู่ในสภาพสิ้นหวังเช่นนี้ ตนกลับปลอดโปร่งสบายใจ หากแม้นมิอาจออกจากตำหนักลับตลอดกาล ตนก็มิต้องเผชิญกับเรื่องราวในใต้หล้าที่ทำให้รวดร้าวขมขื่นใจแล้ว
กาลเวลา ผ่านพ้นไปโดยมิหยุดยั้ง เชือกหนังขดใหญ่ที่ข้างกายของตน ได้เริ่มหดน้อยลง ในเวลาและสภาพแวดล้อมเช่นนี้ซิเล้งย่อมมิได้จดวันเวลา มิทราบว่าที่แท้อยู่ในที่นี้เป็นเวลาเนิ่นนานเท่าใด?
มีอยู่วันหนึ่ง ซิเล้งออกไปตักน้ำ เพื่อรักษากำลังภายในกายจึงยื่นมือกดขอบเตียงลุกขึ้นมา ฝ่ามือพอกระทบถูกเตียงศิลา พลังระอุอบอุ่นกระแสหนึ่ง ก็ถ่ายเทเข้าสู่ห้วงดวงใจทันที
จวบจนบัดนี้ตนเพิ่งทราบว่า เตียงศิลาทั้งสองเตียง ล้วนเป็นของวิเศษในใต้หล้า มิน่าเล่าปรมาจารย์ทั้งสองท่านที่นั่งอยู่บนเตียง ซากสังขารจึงไม่เสียหายแม้แต่น้อย
ซิเล้งเดินอยู่ท่ามกลางความมืด ไปที่ห้องกักน้ำอย่างแช่มช้าพอดื่มน้ำแล้วก็เดินกลับมา มาตรแม้นไม่อาจแลเห็นภาพพจน์บนเส้นทาง แต่เนื่องจากเดินจนจัดเจนจึงแทบมิต้องตรวจดู
พอกลับมาถึงห้องเทพเจ้า ซิเล้งก็เดินมาหน้าเบาะกลมคิดจะนั่งลง พลันบังเกความคิดวูบหนึ่ง งอเข่าคุกลง กราบกรานต่อเทพโฉดสะท้านโพยม พึมพำว่า
“ขอท่านปรมาจารย์เฒ่าโปรดอภัย ต่อการล่วงละเมิดของข้าพเจ้าด้วย”
หลังจากนั้นก็ขึ้นไปนั่งบนเตียง รู้สึกว่ามีพลังอบอุ่นนุ่มนวลกระแสหนึ่งถ่ายเทมาจากร่างท่อนล่าง แผ่กระจายไปตามส่วนสัดต่างๆ มีความสบายอย่างสุดบรรยาย
การฝึกฝนพลังจิตของซิเล้ง ได้ดำเนินจนเคยชินแล้ว ดังนั้นดวงตาพอพริ้มลง ก็เริ่มทำการสงบรวมรั้งจิตใจ การนั่งครั้งนี้มิทราบว่าใช้เวลาเท่าใด จึงตื่นขึ้นมาจากความเวิ้งว้างเลื่อนลอย
ในครั้งนี้ซิเล้งพอลืมตาขึ้น รู้สึกคล้ายดั่งไม่ถูกต้องแต่ก็บอกไม่ถูกว่า ผิดปรกติตรงที่ใด ตนคร้านจะขบคิดให้มากความลงจากเตียง แล้วยืดเส้นสายเล็กน้อย จากนั้นก็เดินไปที่ห้องกักน้ำ
ขณะเดินเหินอยู่ในทางเดินเป็นระยะทางหนึ่ง ซิเล้งจึงเข้าใจแจ่งแจ้ง เนื่องจากตนตลอดเวลามิเห็นสภาพรอบด้านของเส้นทาง แต่บัดนี้กลับเห็นผนังสีขาวหม่นได้อย่างสลัวเลือนราง!
ซิเล้งทราบในบัดดลว่า ตนในยามมิรู้สึกตัวได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตขั้นแรกของวิชาพลังจิต ซึ่งก็มีคำประกันว่า ย่อมต้องประสบความสำเร็จแล้ว
ตนเดินเหินอย่างแช่มช้า ในใจอดบังเกิดความรู้สึกอันปีติยินดีมิได้
สภาพรอบบริเวณเต็มไปด้วยความสลัวเลอะเลือนและโดดเดี่ยว แต่สำหรับซิเล้ง รู้สึกงดงามยิ่งนัก ทั้งนี้ก็เพราะบุคคลผู้ใดหากไม่อาศัยแสงไฟ ก็อย่าคาดหวังว่าจะได้แลเห็นแม้แต่เงาขระอยู่ในเส้นทางเหล่านี้
แต่ทว่า ความลิงโลดที่พลุ่งพล่านอยู่ในก้นบึ้งหัวใจ ซิเล้งกลับรู้สึกไม่เคยชิน ทั้งนี้ก็เพราะเนิ่นนานที่ผ่านมา ไม่เคยมีความรู้สึกที่ยินดี ดาลเดือด โศกเศร้า ปลาบปลื้มมาก่อนเลย
ตามวันเวลาที่ตนได้ผ่านมา สามารถนับว่าซิเล้งเป็นศพที่เดินได้ซากหนึ่ง ไม่เคยมีความรู้สึกเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างจะสับสนเลย
ดังนั้นซิเล้งอีกทางหนึ่งได้ใช้สายตาที่พิศวง สำรวจดูความรู้สึกอันลิงโลดของตัวเอง คล้ายดั่งกับบุคคลหนึ่งพินิจพิจารณาอีกคนหนึ่งก็ปานกัน
ความรู้สึกอันปลื้มปีติ ได้ดำรงเป็นเวลาหลายวันแล้วจึงค่อยๆ จางลง เนื่องจากซิเล้งตัดความรู้สึกคิดจะออกไปโลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นในใจของตนจึงไม่มีความนึกคิดอันฟุ่มเฟือยเลย
ขณะนี้ ซิเล้งสามารถอยู่ในอิริยาบถที่เวิ้งว้างชนิดหนึ่ง เป็นเวลาสามถึงห้าวันติดต่อกัน นอกจากฝึกปรือวิชาตามเคล็ดลับที่จารึกไว้ ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอย่างอื่นอีก
เนื่องจากว่า ซิเล้งแทบไม่ได้ออกเรี่ยวแรง และสามารถใช้พลังจิตบำรุงสมอง ผนึกลมปราณรกัษาสติสัมปชัญญะ ทำให้ส่วนสัดของตนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง แทบไม่รู้สึกหิวโหย มักมิรับประทานอาหารถึงหลายวันติดต่อกัน
ทางเบื้องนอก ในโลกมนุษย์อันกว้างใหญ่ไพศาล เหตุการณ์ที่สุดคณานับ ประดุจระลอกคลื่นบนผิวทะเล อุบัติขึ้นอย่างทยอยต่อเนื่องกันไม่มีวันสิ้นสุด
บรรดาผู้ทรงฝีมือของทุกค่ายสำนักที่ไปยังเจดีย์ทองคำแสวงหาวิชาฝีมือ ล้วนแต่ได้รับ พอกลับสู่แผ่นดินตงง้วน ก็กักตัวฝึกปรือวิชาต่างๆ ในวงพวกนักเลงได้สงบยิ่งนัก
สถาบันอำมหิต เป็นนามที่ชนชาวบู๊ลิ้มทั่วใต้หล้าหวั่นหวาดกังวล ทุกผู้คนต่างเชื่อมั่นว่า อลัชชีโลกันตร์พอปรากฏกายขึ้น ก็จะนำพามหัตภัยมาคุกคามครั้งใหญ่หลวงที่สุด
ทั้งนี้เนื่องจากผู้นำของสำนักที่ใหญ่โตหลายคนล้วนแต่เชื่อถือเช่นนั้น ผลสะท้อนที่บังเกิดขึ้น จึงสั่นสะเทือนไปทั้งชนชาวธรรมะและอธรรม เกรงกลัวว่าจะถูกอลัชชีโลกันตร์ทำลายล้มล้าง แต่มรสุมบู๊ลิ้มระลอกนั้น จะปรากฏขึ้นในรูปการณ์อย่างไร ก็สุดที่จะหยั่งคาดคะเน
ตั้งแต่เจดีย์ทองคำเปิดออกแล้ว กาลเวลาก็ล่วงลับไปโดยมิหยุดยั้ง อย่างไม่รู้สึกตัวได้ผ่านมาหนึ่งปีแล้ว
ฉี้อิงอาศัยอยู่ในหมู่บ้านตระกูลฉี้ที่กระเดื่องนามตลอดทั้งวันร่วมกับปึงเซียะ นางแมงมุมขาว และศิษย์ของนางอาชุน พยายามฝึกปรือฝีมือ
แนววิชาฝีมือที่ทุกผู้คนฝึกฝนล้วนแตกต่างกัน ในเวลาหนึ่งปี มีความรุดหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ฉี้อิงกับปึงเซียะต่างทราบดีว่าพลังฝีมือที่ตีความอยู่ แม้จะแตกฉาน ยังมิอาจเอาชัยสามไม้ตายไร้เทียมทาน
เพราะเหตุนี้ ฉิ้อิงจึงฝากความหวังอยู่กับเรื่องราวสองประการ หนึ่งคือกี้เฮียงเค้ง
เจ้เจ๊ที่มีภูมิปัญญาเลิศล้ำ ฉลาดเฉลียวอย่างสุดยอด ฉี้อิงมุ่งหวังให้นางมายังหมู่บ้านตระกูลฉี้ หากแม้นมีนางวางแผนการ กำลังเพียงห้าส่วน จะเปลี่ยนแปลงเป็นสิบส่วน เพียงมิทราบว่านางมีสภาพการณ์อย่างไร และแฮ่โฮ้วคงช่วยชีวิตนางได้หรือไม่?
รองลงมา ก็เป็นกิมเม้งตี้แล้ว มันตลอดทั้งปีไม่มีข่าวคราว คาดว่ากำลังเร้นกายฝึกปรือวิชาไม้ตายดาบพุทธไร้เทียมทาน อาศัยรากฐานและภูมิปัญญาของมันในหนึ่งปีย่อมมีประโยชน์กว่าหลายปีของคนอื่น
กิมเม้งตี้กับซิเล้งความจริงมีกำหนดนัดหมายหนึ่งปี คราก่อนฉี้อิงภาวนาให้กิมเม้งตี้มิอาจฝึกปรือสำเร็จ เพื่อมิให้สองนักสู้ชิงชัยกันจนมีผลสุดท้ายอันเลวร้าย
บัดนี้นางกลับกังวลว่า กิมเม้งตี้ไม่มีความสำเร็จ หากแม้นมันฝึกปรือจนเชี่ยวชาญ และยินยอมต่อต้านสถาบันอำมหิต กอปรกับกี้เฮียงเค้ง อลัชชีโลกันตร์แม้มีลวดลายมากมาย ก็คงยากจะประสบความสำเร็จ
ฉี้อิงก็ทราบดีว่า ความหวังทั้งสองอย่างนี้สามารถล่มสลายไป ทั้งนี้ก็เพราะชีวิตของกี้เฮียงเค้งจากปากคำของนางรู้สึกว่ายากจะยืดเยื้อ แม้ต่อชีวิตได้นางก็ต้องอยู่กินกับแฮ่โฮ้วคง
กิมเม้งตี้พอทราบเรื่องเข้า ในยามคลั่งแค้นอาจจะกลับช่วยเหลือสถาบันอำมหิต ทำลายล้างชนชาวบู๊ลิ้ม กิมเม้งตี้นี้กระทำเรื่องราวตามใจนึก คาดว่าเป็นเช่นนั้นได้
โดยสรุปแล้ว ฉี้อิงทั้งร้อนรุ่มทั้งยุ่งยากใจ และความรู้สึกส่วนตัวก็ทอดอาลัย ทั้งนี้เนื่องจากซิเล้งเมื่อไม่มีข่าวคราวเลย คาดว่าคงประสบเภทภัย ไม่กลับมาตลอดกาลแล้ว
ควรทราบว่าวันที่ซิเล้งจากนางไป เป็นเวลาที่ท้อแท้สิ้นหวังแม้มีพลังฝีมือยอดเยี่ยม แต่ยามเดินเหินยังไร้เรี่ยวแรง ดังนั้น ภายหลังซิเล้งอาจจะตรมตรอมใจจนตายไป
ข้างบึงกออิ่วโอ้ว ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านตระกูลฉี้หลายพันลี้ ระยะเวลาก็หลังจากเจดีย์ทองคำเปิดออกหนึ่งปีเศษ ในวันนี้บุรุษชุดนักศึกษาผู้หนึ่งได้เดินเหินอยู่บนถนนหลวงอย่างโดดเดี่ยว
ลมฤดูใบไม้ร่วงอันเย็นยะเยียบพัดกรรโชกจนต้นไม้รอบบริเวณเอนลู่ไปมา และชายเสื้อของนักศึกษาก็ถูกพัดพลิ้วปลิวไสว ส่งเสียงดังพึบพับ
ขณะนี้เป็นเวลาสนธยาคราสายัณห์ สกุณาเหินฟ้ากลับรวงรัง ทำให้จิตใจของนักศึกษาผู้นี้เพิ่มพูนความเปล่าเปลี่ยว มาตรแม้นบนถนนหลวงมีผู้คนสัญจรมิขาดสาย แต่ท่วงท่าที่ยโสทระนงของมัน คล้ายดั่งบนทางหลวงมีแต่มันเพียงผู้เดียว!
บุรุษชุดนักศึกษา ชะงักเท้าลงที่ทางแพร่ง สำรวจมองเส้นทางที่ตัดผ่านบึงน้ำ มีหญ้าขึ้นรกครึ้มสายนี้ คิ้วได้ขมวดเข้าหากันอย่างเคลือบแคลง แล้วจึงสาวเท้าก้าวไป
ผ่านดงไม้มาแห่งหนึ่ง แลเห็นที่ห่างออกไปลี้เศษ ประกายจากสายน้ำในบึงกว้าง สะท้อนเข้ามาในดวงตา ริมบึงน้ำปลูกสร้างอาคารหลังหนึ่ง รอบบริเวณใช้ไม้กั้นเป็นรั้ว รู้สึกว่าครอบคลุมบริเวณมิน้อย แต่ห้องหับมีเพียงหลังเดียว จึงรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย
บุรุษชุดนักศึกษาเหลือบมองไปวูบหนึ่ง บนใบหน้าคมคายและชาเย็น ปรากฏแววอันพิสดาร ซึ่งเป็นการแสดงออกที่ยากจะคาดคะเนความในใจของมันได้
มินานต่อมา มันก็มาถึงหน้ารั้ว แลเห็นทางน้อยเพียงสามเชียะสายหนึ่ง ได้ตัดตรงไปที่หน้าประตูห้องในยามนี้ประตูได้ปิดสนิท แสงของสุริยันที่หลงเหลือสาดไปที่หน้าตึก ฉายเป็นเงาทมึนอันมหึมา
บริเวณแถบนี้รกร้างวังเวงจนทำให้ผู้คนรู้สึกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างแตกดับสลายสิ้น แต่บุรุษชุดนักศึกษามิสังเกตทิวทัศน์เท่าใดนัก เพียงพิจารณาทางน้อยสายที่ตัดผ่านว่า มีหลุมพรางกับดักอยู่หรือไม่
ชั่วครู่ให้หลัง มันพลันแค่นหัวร่ออย่างเย็นชา ขยับร่างพุ่งข้ามรั้วล้อม และก้าวยาวๆ ไปที่ห้องหลังนั้น ฝีเท้ายามเหยียบย่ำลง กลับไม่เหยียบถูกต้นหญ้า ดังนั้นย่อมไม่บังเกิดสุ้มเสียงใดๆ
พริบตาเดียวก็ขึ้นสู่ขั้นบันได แลเห็นห่วงทองเหลืองรูปสัตว์คู่ที่อยู่บนประตูใหญ่ ได้แปรเปลี่ยนเป็นสีดำเกรอะกรัง ยังมีใยแมงมุมพัวพัน แสดงว่าไม่มีผู้คนจับต้องเนิ่นนานแล้ว
บุรุษชุดนักศึกษายกมือขวาขึ้นอย่างแช่มช้า ฟาดไปยังห่วงประตู ใจกลางฝ่ามือขณะห่างจากห่วงเชียะเศษ ห่วงทองเหลืองนั้นก็กระแทกกันดังสดใสขึ้น
ห่วงประตูดังติดต่อกันสี่ห้าครั้ง บุรุษชุดนักศึกษาห้อยมือลง ยืนตระหง่านไม่เคลื่อนไหว ดูอย่างผิวเผินคล้ายกับรูปสลักจากศิลา แม้ดวงตาก็ไม่กระพริบ ใบหน้าเย็นชากระด้าง!
เนิ่นนานให้หลัง ภายในห้องยังไม่มีสุ้มเสียง มันขมวดคิ้วเข้าหากัน ในที่สุดก็ยกมือขึ้นเคาะประตูดังเจ็ดแปดครั้ง จากนั้นก็อดรนทนรอ
คาดมิถึงว่าชั่วครู่ให้หลัง ประตูใหญ่ได้ถูกเปิดออกมา ในประตูปรากฏบุคคลผู้หนึ่ง ผมเผ้าหนวดเครารุงรังยุ่งเหยิง เสื้อผ้าคร่ำคร่าขาดวิ่น สารรูปประหลาดพิกลและน่าพรั่นพรึง!
บุคคลผู้นั้นใช้ดวงตาคู่ที่เซื่องซึมไร้ประกาย สำรวจดูบุรุษชุดนักศึกษา จากนั้นก็กล่าวว่า
“เชิญเข้ามา”
บุรุษชุดนักศึกษามีดวงตาสาดประกาย อันเย็นยะเยียบน่าหวั่นไหว พินิจพิจารณาฝ่ายตรงข้าม พลันมีใบหน้าเคร่งเครียดลง กล่าวว่า
“ท่านคือแฮ่โฮ้วคงใช่หรือไม่”
บุรุษพิกลผู้เป็นเจ้าของห้อง แค่นเสียงดังเฮอะ กล่าวว่า
“ถูกต้อง กิมเม้งตี้ พวกเราพบกันอีกแล้ว”
นามของบุคคลทั้งสองนี้ มีน้ำหนักอยู่ในวงพวกนักเลงยิ่งนัก โดยเฉพาะกิมเม้งตี้
กิมเม้งตี้ชำเลืองมองเข้าไปภายใน เห็นเป็นห้องโถงใหญ่หลังหนึ่ง แต่ทั้งมืดมิดทั้งยุ่งเหยิง ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเป็น “อาคารปิศาจ”
กิมเม้งตี้ส่งเสียงคุกคามแฮ่โฮ้วคงว่า
“ท่านไฉนจึงแปรเปลี่ยนจนมีสารรูปถึงปานนี้?”
ในความทรงจำของมัน แฮ่โฮ้วคงมีบุคลิกสูงสง่า คมคายน่านิยม วิชาอักษรศาสตร์และพลังฝีมือก็สูงเยี่ยม ในเชิงความรู้ กิมเม้งตี้สำนึกดีว่า ไม่อาจเทียบเทียมกับแฮ่โฮ้วคง
เพราะเหตุนี้ กี้เฮียงเค้งก่อนแยกจากมัน แม้อ้างว่าในชาติหน้า นางจะอยู่กินกับกิมเม้งตี้ แต่นางก็บอกว่าชาตินี้ต้องแต่งงานเป็นภรรยาของแฮ่โฮ้วคง ทำให้กิมเม้งตี้ทั้งพิศวงทั้งยากจะเข้าใจ
กิมเม้งตี้มิใช่ไม่เชื่อภูมิปัญญาของนาง แต่นางเมื่อแต่งงานเป็นภรรยาของแฮ่โฮ้วคง มิว่านางจะมีความสามารถอย่างไร ถึงกับรับประกันว่า จะแต่งงานกับกิมเม้งตี้ด้วยเรือนร่างที่ยังบริสุทธิ์
มิหนำซ้ำมันยังหวั่นเกรงว่า กี้เฮียงเค้งกับแฮ่โฮ้วคง หลังจากอยู่ร่วมกันเนิ่นนานเข้า ก็ถูกความรักอันลึกซึ้งของมันสร้างความหวั่นไหว และบังเกิดไมตรีที่แท้จริง
คราก่อนกิมเม้งตี้ไม่เคยคำนึงถึงกี้เฮียงเค้ง แต่บัดนี้สถานการณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่ มันกลับกลายเป็นหมกมุ่นสนใจ และคำนึงถึงอย่างสุดแสน
ดังนั้นในดวงตาของมันจึงเต็มไปด้วยประกายอำมหิตของเพลิงริษยาน่าพรั่นพรึง สามารถทำให้ผู้ถูกจับจ้องขวัญหนีดีฝ่อ แต่แฮ่โฮ้วคงมีใบหน้าเฉื่อยชาดังเดิม คล้ายดั่งมิคำนึงถึงความเป็นความตายเลย
กิมเม้งตี้ถูกกระตุ้นจนดาลเดือด พลันยื่นมือออกคว้ากุมเสื้อผ้าบริเวณทรวงอกของมัน กล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า
“มิต้องเสแสร้งดัดแล้ว เรามาที่นี้มิใช่หาท่าน หากแต่ต้องการพบเฮียงเค้ง”
แฮ่โฮ้วคง พลันมีสติสัมปชัญญะกระตือรือร้นกล่าวว่า
“ท่านว่าต้องการพบผู้ใด?”
“กี้เฮียงเค้ง ท่านได้ยินชัดเจนหรือไม่?”
“ชัดเจนแล้ว ท่านย่อมต้องประหลาดใจ ทั้งนี้ก็เพราะเรากลับภาวนาให้ผู้อื่นเอ่ยอ้างถึงนามของนางถึงปานนี้ อา…”
แววอำมหิตบนสีหน้าของกิมเม้งตี้ พลันปลาสนาการไป กลับกลายเป็นความแตกตื่นตระหนกอย่างสุดแสนกล่าวว่า
“วาจาของท่านหมายความว่ากระไร หรือว่านางประสบเภทภัยโดยมิคาดฝัน ไม่ถูกต้องอาศัยภูมิปัญญาของนางย่อมมีทางช่วยเหลือตัวเอง ในใต้หล้าไม่มีผู้ใดทำร้ายนางได้”
“มิผิด ในใต้หล้าผู้ใดจะทำร้ายนางได้ แต่นางกลับย่ำยีตัวเอง นางชาญฉลาดเกินไป ทำให้สัมปชัญญะสูญสิ้นและมรณภาพไป”
กิมเม้งตี้สะท้านทั้งร่าง ตะลึงลานอยู่ชั่วครู่ จึงกล่าวว่า
“มรณภาพ? นางได้ตายไปแล้ว? เรามิเชื่อถือ”
“เฮอะ ท่านอย่าลืมว่า เราเป็นสามีของนาง มีความรักต่อภรรยาผู้นี้อย่างสุดแสน การจากไปของนาง มิว่าผู้ใดก็ไม่เศร้าโศกเท่าเทียมกับเรา”
“ผายลม ท่านเท่ากับแส่หาที่ตาย”
แฮ่โฮ้วคงเปล่งเสียงหัวร่ออย่างคลุ้มคลั่ง เนิ่นนานก็มิหยุดชะงัก เพียงแต่สำเนียงอ่อนล้า หอบหายใจถี่เร็ว แสดงว่ามันไม่ฝึกปรือฝีมือ ทำให้พลังการฝึกปรือเสื่อมโทรม มิอาจเปรียบเทียบกับกาลก่อน
ได้ยินมันส่งเสียงกล่าวว่า
“กิมเม้งตี้ มิใช่เราประโคมโหม ควรทราบว่าอาศัยความสามารถเฉกเช่นท่าน มิอาจปลิดชีวิตเราได้หรอก”
กิมเม้งตี้ยังขยุ้มเสื้อที่ทรวงอกของแฮ่โฮ้วคง ในยามนี้ได้ยื่นมือออกไขว่คว้า นิ้วทั้งห้าแผ่พุ่งพลัง กระชากร่างของมันมาข้างกาย ใช้กังภายในกดดันจนฝ่ายตรงข้ามหน้าซีดขาว
คำนวณจากสภาพเช่นนี้ ขอเพียงเพิ่มกำลังที่นิ้วมือทั้งห้าแฮ่โฮ้วคงก็จะสิ้นลมปราณทันที แต่มันไฉนคุยโอ่ว่า ฆ่ามันมิได้หรือว่ามีการตอบโต้อันอำมหิตแอบแฝงอยู่ด้วย?
กิมเม้งตี้สำรวจดูอย่างระมัดระวัง ก็ไม่มีลางสังหรณ์ใดๆ แต่มันกลับระแวงสงสัย เนื่องจากทราบดีว่า ฝ่ายตรงข้ามหาใช่สามัญชน
มันระงับโทสะ และรั้งพลังภายในกลับมา แต่ยังคว้าจับฝ่ายตรงข้ามอยู่ กล่าวอย่างเย็นชาว่า
“ท่านใกล้จะตกตาย ยังคุยโอ่มิกระดากปาก เราคิดจะทดสอบดู แต่ก่อนอื่นท่านมีคำสั่งเสียหรือไม่ เราหากกระทำได้ ก็จะเกื้อกูล”
แฮ่โฮ้วคงหอบหายใจกล่าวว่า
“ท่านไม่มีทางฆ่าเราได้ เพียงแต่เรื่องราวในใต้หล้ายากหยั่งคาด หากแม้นเราตกตายจริงๆ ก็รบกวนให้ท่านเหวี่ยงเราลงไปในหลุมฝังศพที่อยู่ในสวนด้านหลัง ท่านมิต้องใช้ดินกลบเพราะเราได้ตระเตรียมเรียบร้อยแล้ว”
“ท่านได้มีลวดลายอันใดอยู่ในหลุมฝังศพใช่หรือไม่? อุบายเช่นนี้ไม่มีรสชาติน่าตื่นเต้นเลย”
“ท่านสามารถเสาะหาชาวไร่ชาวนาคนหนึ่ง กระทำงานแทนท่านสำหรับท่านเพียงแต่ยืนดูอยู่ที่ห่างไกล ก็จะเห็นเหตุการณ์ประหลาดอุบัติขึ้น”
กิมเม้งตี้คล้ายดั่งกระตือรือร้นยิ่งนัก แสดงท่วงท่าครุ่นคิดแต่ความจริงมันได้สำรวจดูปฏิกิริยารอบบริเวณ ขอเพียงแต่สภาพผิดปรกติ ก็จะแผ่พุ่งพลังกระแทกเอาชีพจรแฮ่โฮ้วคงขาดสะบั้นไป
แต่น่าประหลาดที่ว่า มิมีวี่แววผิดคาดหมาย และแฮ่โฮ้วคงไม่มีทีท่าดิ้นรน โดนนัยกลับคล้ายดั่งภาวนาให้กิมเม้งตี้เร่งรีบลงมือ
นี่นับเป็นเรื่องราวที่ยากจะอธิบายได้ กิมเม้งตี้สั่นศีรษะอย่างเคลือบแคลงใจ พลางกล่าวว่า
“ท่านที่แท้มีลวดลายอันใด? เราเห็นแก่เฮียงเค้งจะลงโทษสถานเบา”
แฮ่โฮ้วคงงงงันไปวูบหนึ่ง กล่าวว่า
“ท่านเพราะเห็นแก่อาเค้ง จะล้มเลิกความคิดฆ่าเราจริงๆ?”
“ย่อมต้องแน่นอน”
“อา ถ้าเช่นนั้นเราก็ไม่อาจกระทำเช่นนี้แล้ว”
กิมเม้งตี้พลันรำคาญร้อนรุ่มใจขึ้นมา คลายมือจากการคร่ากุมฝ่ายตรงข้าม ร้องโพล่งว่า
“ที่แท้เป็นเรื่องราวประการใด ท่านความจริงเป็นผู้มีภูมิปัญญาเลิศล้ำ ไฉนจึงกลับกลายเป็นประหลาดพิกลถึงปานนี้”
แฮ่โฮ้วคงกล่าวว่า
“อา นับตั้งแต่อาเค้งไม่อาจรักษาจนสูญเสียชีวิตไป เราก็ขาดความกระตือรือร้นในการมีชีวิตอยู่ และท่านย่อมทราบดีว่า ซือแป๋เฒ่า (อลัชชีโลกันตร์) จะต้องส่งผู้คนมาปลิดชีวิตของเรา”
“ดังนั้นท่านจึงคิดอาศัยน้ำมือของเรา สามารถตายตามที่ปรารถนา?”
“เรา ความคิดเช่นนั้นจริงๆ”
“ท่านต้องการตายไป ไยมิใช่ง่ายดายยิ่งนักไฉนต้องอาศัยเรา และยึดเวลามาถึงบัดนี้ด้วย?”
“นี่เป็นเรื่องที่เราตกลงกับอาเค้ง ก่อนที่นางจะถึงแก่กรรม ได้ปลอบประโลมเรา ในยามนั้นเราเพื่อให้นางมีใจสงบ จึงรับปากว่าจะไม่ลงมืออัตวินิบาตกรรมตัวเอง”
กิมเม้งตี้งงงันไปวูบหนึ่ง คาดมิถึงว่ามันจะมีความรักต่อกี้เฮียงเค้งลึกล้ำถึงปานนี้ จากนั้นก็ถามไถ่ว่า
“หลุมฝังศพที่ท่านอ้างอิงถึง เป็นเรื่องราวประการใด?”
“เมื่อมีชีวิตนอนแอบอิงร่วมกัน เมื่อตกตายก็อยู่ในหลุมเดียวกัน หากแม้นซากศพของเราถูกเหวี่ยงลงไปในหลุม ประตูสุสานก็จะปิดเข้าหาเอง และกลไกที่จัดสร้างอยู่จะเคลื่อนไหวมิว่าผู้ใดก็มิอาจทะลวงหลุมเข้าไป พร้อมกับนั้นโลงศพของเราสามารถเคลื่อนไปถึงข้างโลงศพของนาง ซึ่งเราก็พึงพอใจแล้ว”
กิมเม้งตี้มิแยแสถึงความอาลัยอาวรณ์ของมันที่มีต่อกี้เฮียงเค้ง แต่พอได้ยินคำว่า “เมื่อมีชีวิตนอนแอบอิงร่วมกัน” เพลิงริษยาก็ลุกฮือโหม กล่าวอย่างเย็นชาว่า
“ท่านกับเฮียงเค้งเป็นสามีภรรยากันมิกี่คืน ก็พรากจากกันชั่วนิรันดร์ใช่หรือไม่?”
มันถามไถ่ตรงๆ ว่า กี้เฮียงเค้งเคยอยู่ร่วมนอนแอบอิงกับมันหรือไม่ แฮ่โฮ้วคงถอนหายใจยาวๆ กล่าวว่า
“เราเป็นผู้วิปโยคที่สุดในใต้หล้า มาตรแม้นได้อาเค้งมา แต่เพราะรักษาโรคภัย จึงไม่อาจมีสภาพเฉกเช่นสามีภรรยาทั่วไป”
กิมเม้งตี้ลอบปลอดโปร่งใจ คำนึงว่า
“…อาเค้งกล่าวได้ถูกต้อง จวบจนบัดนี้นางยังเป็นสตรีพรหมจารี ทว่านางกลับตายไปแล้ว แต่เราต้องทราบชัดว่านางตกตายจริงๆ หรือไม่…”
ดังนั้นจึงกล่าวว่า
“แฮ่โฮ้วคง ท่านเป็นผู้กลบฝังนางด้วยตนเองกระมัง?”
“ย่อมต้องแน่นอน เรื่องนี้เราไหนเลยจะยืมมือผู้อื่นปล่อยให้สามัญชนแตะต้องถูกเรือนกายของนาง”
“นางได้เสียชีวิตไปจริงๆ ควรทราบว่านางหาใช่คนธรรมดา แม้จะเป็นมัจจุราชก็ยากที่จะคร่าชีวิตของนางไปอย่างง่ายดาย”
แฮ่โฮ้วคงเงียบงันไปครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า
“วาจาของท่านมีเหตุผล แต่วิชาชีพแพทย์ของเราสามารถนับว่าไร้ผู้เทียมทาน ไหนเลยจะมิอาจตรวจทราบความเป็นความตายของบุคคลหนึ่ง ชีพจรของนางหยุดเต้นไป เรือนร่างก็เย็นเฉียบ อา เรากลับมุ่งหวังให้ลักษณะเช่นนั้นหาใช่ความตาย”
“เฮอะ ท่านอาจจะซุกซ่อนนางเอาไว้ และแพร่งพรายต่อภายนอกว่านางสูญเสียชีวิตไป เราจะต้องได้เห็นซากศพของนางจึงยินยอมเชื่อถือ”
“หากแม้นท่านมาก่อนสักสองเดือน ย่อมสามารถเห็นหน้านาง”
กิมเม้งตี้กล่าวว่า
“ที่แท้นางเพิ่งเสียชีวิตไปมินานนัก”
“นั่นกลับมิใช่ นางสิ้นลมปราณตายไปเมื่อสี่เดือนก่อนแต่รู้สึกยากจะเชื่อถือ จึงมิยอมจัดการบรรจุฝัง”
“อ้อ ท่านย่อมต้องได้พบเห็นข้อที่น่าระแวง จึงนำซากศพคั่งค้างอยู่ถึงสองเดือน ที่แท้ท่านมีความเคลือบแคลงในข้อใด?”
แฮ่โฮ้วคงบอกเล่าว่า
“นี่ก็ยากจะตำหนิท่านที่ต้องถามไถ่ ทั้งนี้ก็เพราะอาเค้งภายใต้การพยาบาลรักษาของเรา ได้ใช้ยาวิเศษประดามี ในสามเดือนแรกความเจริญจำกัดยิ่ง
แต่สามเดือนให้หลังก็เริ่มกระเตื้องขึ้น ร่อยรอยที่ร่างกายภายในเหี่ยวแห้งได้เริ่มสูญสลายไป พอถึงเดือนที่แปด สถานการณ์ยิ่งประเสริฐ แทบจะเรียกว่าทุเลาโดยสิ้นเชิง
แต่ทว่านางมักจะมีอาการปวดศีรษะ หัวใจปวดร้าว แม้แต่เราก็มิอาจตรวจพบว่าเป็นเพราะเหตุใด พอเริ่มเดือนที่เก้า นางพลันป่วยไข้นอนอยู่กับเตียง เพียงสามวันลมหายใจก็ร่อแร่รวยริน ยาขนานใดก็ยากเหนี่ยวรั้ง”
สำเนียงในตอนท้ายเต็มไปด้วยความรันทดละห้อยหวน กิมเม้งตี้รับฟังถึงตอนนี้ ก็มีเรือนร่างสั่นสะท้านกล่าวว่า
“หรือว่านางก็ตกตายไปในลักษณะนั้น?”
“มิผิด นางพอจัดการเรื่องบรรจุศพแล้ว ก็ตายตาหลับจากโลกไป เราเนื่องจากมิยอมเชื่อถือ จึงไม่เคลื่อนย้ายร่างกายของนาง จนผ่านไปสองเดือน ค่อยทอดอาลัย นำนางเข้าไปในโลงศพ”
มันกระแทกกายลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนระทวย กิมเม้งตี้ก็เสาะหาเก้าอี้นั่งลง คำนึงในใจว่า
“…หากแม้นวาจาของมันมิหลอกลวง เฮียงเค้งก็เสียชีวิตไปจริง อา นี่ยากที่จะเชื่อถือได้ เพราะการทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าของนาง เปรื่องปราดตลอดมา หรือว่าครั้งนี้นางล่อลวงเรา เพื่อให้เราหมกมุ่นฝึกปรือวิชาดาบพุทธไร้เทียมทาน?”
แฮ่โฮ้วคงพลันกล่าวว่า
“บัดนี้ท่านคงเชื่อถือแล้ว?”
“วาจาของท่านหมายความว่ากระไร?”
“หากแม้นท่านไม่เชื่อถือ ก็เข้าไปดูในหลุมฝังศพ เราจะส่งเสริมท่าน”
กิมเม้งตี้กล่าวอย่างสงสัยใจว่า
“ท่านมิใช่บอกว่าในหลุมฝังศพมีกลไกจัดสร้างอยู่ พอเข้าไปประตูหลุมก็จะปิดสนิท บุคคลภายนอกไม่มีทางเข้าไปหรอกหรือ?”
“มิผิด แต่หากผู้เข้าไปในหลุมยังไม่ตกตาย ก็สามารถเปิดกลไกภายในออกมา หลุมฝังศพนี้กี้เฮียงเค้งยืนกรานให้จัดสร้าง นางอ้างว่าหากแม้นพวกราถูกศัตรูคุกคาม ก็จะหลบเข้าสู่หลุมฝังศพได้ อาศัยสักสามถึงห้าเดือนค่อยออกมา”
กิมเม้งตี้ขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“หลุมฝังศพแห่งนั้นมีความใหญ่โตสักเท่าใด ไฉนจึงสามารถอาศัยอยู่หลายเดือนค่อยออกมา”
“นั่นความจริงเป็นสุสานโบราณหลังหนึ่ง ใช้ก้อนหินก่อขึ้นทั้งหมด มีอุโมงค์เส้นยาวเหยียดสายหนึ่งกับห้องหับสามหลัง พวกเราเพียงดัดแปลงเล็กน้อยโดยสร้างกลไกปิดหลุม กับขุดเจาะน้ำบาดาลและกักตุนเสบียงอาหารอยู่ในห้องหนึ่ง ก็จะดำรงชีวิตได้กว่าสามเดือน”
“หากท่านต้องการให้เราเชื่อถือ เราก็ต้องไปดูสักคราหนึ่ง ท่านนำทาง”
แฮ่โฮ้วคงนำพากิมเม้งตี้ เดินไปทางด้านหลังผ่านตึกรามที่สับสนมาถึงหลังสวน สวนนี้มีบริเวณกว้างขวาง กึ่งกลางมีสนโบราณเจ็ดแปดต้น แผ่กิ่งก้านรกครึ้มบดบังท้องฟ้า
และท่ามกลางต้นสนโบราณ มีเนินที่นูนสูงขึ้นมา ทางด้านหน้าปักตั้งป้ายศิลา บนป้ายสลักอักษรว่า “ที่ฝังศพของภรรยาที่รักกี้เฮียงเค้ง”
บนเนินหลังป้ายศิลา มีแผ่นศิลาอันมหึมาก้อนหนึ่ง ประดับห่วงทองเหลืองเอาไว้
แฮ่โฮ้วคงหันมาฝืนหัวร่อกล่าวว่า
“นั่นคือปากทางเข้าสุสานโบราณ แต่ขณะนี้เราคงไม่อาจยกแผ่นศิลาก้อนนั้นขึ้น”
กิมเม้งตี้กล่าวว่า
“นางอยู่เบื้องล่างหรอกหรือ?”
“มิผิด ท่านพอเข้าสุสานแล้ว มิว่าประตูหลุดจะปิดอย่างไร ขอเพียงแต่เคลื่อนหมุนโลงศิลาของอาเค้งสามครั้ง ประตูหลุมย่อมเปิดออก สามารถกลับขึ้นมา”
“ประเสริฐมาก พวกเราลงไปด้วยกันเถอะ”
“นั่นย่อมต้องแน่นอน ปล่อยให้ท่านเข้าไปเพียงลำพังเรายิ่งไม่วางใจกว่าท่าน หากแม้นท่านไม่ออกมา ไยมิใช่ทำให้เราไม่มีโอกาสอยู่ร่วมกับนางตลอดกาล”
กิมเม้งตี้ ใช้กำลังยกแผ่นศิลาก้อนนั้นขึ้นมา และเห็นเบื้องล่างเป็นหลุมลึกหกเจ็ดเชียะ ก้นหลุมมีหีบไม้รูปยาวรีลักษณะคล้ายโลงศพใบหนึ่ง
แฮ่โฮ้วคงกล่าวว่า
“พวกเรากระโดดลงไปด้วยกัน ย่อมสามารถเคลื่อนย้ายไปถึงข้างกายของอาเค้ง ท่านมิต้องกังวลหรอก ห้องศิลาทางเบื้องล่างมีวัตถุครบครัน เทียนไขสามารถจุดโดยไม่หมดสิ้น”
กิมเม้งตี้พลันคว้าจับชีพจรข้อมือของมัน กล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า
“ในเมื่อสามารถลงมาตามใจนึก ท่านไฉนจึงไม่ลงไปดูนางตลอดเวลา?”
“ทั้งนี้ก็เพราะแกนกลางที่ใต้โลงศิลาของนาง มีกำลังไม่เพียงพอ สามารถหักสะบั้นทุกโอกาส หลังจากที่เราตรวจดูโดยละเอียดแล้ว ก็ทราบว่ากลไกนี้อย่างมากใช้ได้ครั้งเดียว ครั้งที่สองจะหักสะบั้น ดังนั้นเราจึงทะนุถนอมโอกาสนี้ ครั้งหน้านอกจากไม่คิดออกมา หาไม่แล้วก็มิอาจลงไป”
กิมเม้งตี้กล่าวว่า
“มีความประจวบเหมาะถึงปานนี้? ถ้าเช่นนั้นเราแม้มีเจตนาให้ท่านลงไปเพียงลำพัง แล้วค่อยติดตามไปภายหลัง วิธีนี้ก็มิอาจกระทำได้แล้ว”
“พวกเราเข้าไปด้วยกัน หรือว่าท่านยังมิวางใจ?”
“ท่านมีเจตนาติดตามนางไปในปรภพอยู่แล้ว หากแม้นท่านคิดฉุดลากเราลงไปกลบฝังด้วย เราไยมิใช่แม้สำนึกเสียใจก็มิทันท่วงที”
ควรทราบว่ากิมเม้งตี้ มีความเห็นแก่ตัวเสมอมา มาตรแม้นจะรักใคร่กี้เฮียงเค้งแต่ก็ไม่ถึงกับลุ่มหลงงมงาย ดังนั้นจึงกล่าวเช่นนี้
แฮ่โฮ้วคงมีท่วงท่าขุ่นเคือง พลันกล่าวขึ้นว่า
“อาเค้งขณะจัดการเรื่องบรรจุฝังตัวเอง มีอยู่อย่างหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับท่าน”
กิมเม้งตี้รู้สึกคึกคักขึ้นมา กล่าวว่า
“เป็นอย่างไร?”
“นางมีจดหมายสั่งเสียฉบับหนึ่ง บ่งบอกว่าประมาณในเวลาหนึ่งปี ท่านหากมาที่นี้ก็มอบให้ท่าน หากแม้ท่านอีกสามปีให้หลังค่อยมา ก็ไม่จำเป็นต้องมามอบให้?”
“นั่นเป็นเพราะเหตุใด?”
“นางบอกว่า หากแม้นอีกสามปีให้หลังค่อยฝึกฝีมือสำเร็จและออกมา ที่ฝังศพของนางก็อับเฉา และเราแฮ่โฮ้วก็คงตายไปก่อน ดังนั้นจดหมายดังกล่าวไม่มีทางมอบให้”
กิมเม้งตี้รู้สึกว่า จดหมายของกี้เฮียงเค้งฉบับนั้นมีเลศนัยอย่างใหญ่หลวง จึงเร่งเร้าให้มันนำออกมา
แฮ่โฮ้วคงพากิมเม้งตี้เข้าไปในห้องที่สกปรกสับสนไม่มีผู้คอยดูแล หยิบเอาจดหมาย ฉบับหนึ่งมอบให้ไป กิมเม้งตี้ดูซองจดหมายเห็นว่าไม่ได้ปิดผนึกมิว่าผู้ใดล้วนสามารถดึงออกมาอ่านดู จึงกล่าวอย่างมิพอใจว่า
“จดหมายฉบับนี้ท่านอ่านแล้วหรือไม่?”
แฮ่โฮ้วคงกล่าวว่า
“เราหากตอบว่าไม่ ท่านย่อมมิเชื่อถือ แต่เรามิได้ดูจริงๆ ทั้งๆ ที่เคยมีความคิดใคร่อยากอ่านอยู่หลายครั้ง”
กิมเม้งตี้แค่นเสียงดังเฮอะ ล้วงหยิบเอาจดหมายออกมาพอแลเห็นลายอักษรอันสวยงามในแผ่นกระดาษก็บังเกิดความระลึกถึงอย่างสุดแสน จดหมายฉบับนั้นมีใจความว่า
“ท่านหากมาถึงที่นี้ในเวลาหนึ่งปี ก็แสดงว่าเพราะผู้คนในสถาบันอำมหิตแพร่งพรายที่อยู่ จึงสืบเสาะมาถึง จากข้อนี้แสดงว่าอลัชชีโลกันตร์ส่งผู้คนคอยติดตามเราท่าน ตลอดเวลา
คราครั้งนี้อลัชชีโลกันตร์เกรงว่าข้าพเจ้าแสร้งตาย จึงอาศัยท่านเพื่อสืบเสาะความจริง และเข้าใจว่าสามารถยืมมือของท่านปลิดชีวิตแฮ่โฮ้วคง
เพราะเหตุนี้แสดงว่ายอดฝีมืออายุเยาว์ที่อลัชชีโลกันตร์เคี่ยวเข็ญฝึกฝน ได้สำเร็จวิชาหัตถ์เทพยดาไร้เทียมทาน ในเวลาอันใกล้นี้จะเสาะหาท่านเพื่อพิสูจน์ฝีมือ”
กิมเม้งตี้อ่านรวดเดียวถึงตอนนี้ ห้วงสมองคล้ายดั่ง ได้ยินสำเนียงที่คล้ายระฆังเงินของนาง แต่ทว่านางที่แท้ถึงแก่กรรมไปจริงๆ? หากแม้นล่วงลับไปจากโลก ก็น่าอาลัยอาวรณ์ยิ่ง
มันถอนหายใจ แล้วรีบอ่านดูต่อไปอีกว่า
“ข้าพเจ้ามีอุบายอันปลอดภัย ขอให้ท่านปฏิบัติตาม กล่าวคือท่านกับแฮ่โฮ้วคงสมควรสับเปลี่ยนศักดิ์ศรีกัน โดยมันปลอมแปลงเป็นท่านเร่งรีบจากไป
ในเวลาสามวัน ยอดฝีมือที่อลัชชีโลกันตร์เคี่ยวเข็ญสำเร็จได้ย่อมต้องเร่งรุดมา ท่านก็ต่อสู้กับมันอยู่ที่ข้างหลุมฝังศพของข้าพเจ้า หากมิใช่คู่มือ ก็สามารถหลบหลีกเข้าไปในหลุม ข้าพเจ้าจะหาหนทางทำให้ท่านเอาชัยฝ่ายตรงข้ามจนได้”
วาจาได้สิ้นสุดเพียงเท่านี้ และลงนามด้วยลายอักษรอันงดงาม ทำให้ผู้คนมิคิดเบือนสายตาเบนจาก
กิมเม้งตี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงส่งจดหมายให้กับแฮ่โฮ้วคง มันอ่านอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า
“นางครุ่นคิดแทนท่านได้อย่างรอบคอบยิ่งนัก”
กิมเม้งตี้ไม่เอ่ยปากให้มันไปจากที่นี้ ตามวาจาของกี้เฮียงเค้งเพียงกล่าวว่า
“ท่านหากมิปฏิบัติตามข้อเสนอของเฮียงเค้ง เราก็จะจากไปทันที”
แฮ่โฮ้วคงถอนหายใจยาวๆ กล่าวอย่างเชื่องช้าว่า
“เราจะไปทันที”
ดังนั้นมันเริ่มลงมือปลอมแปลงรูปโฉม ผลัดเปลี่ยนสวมใส่เสื้อผ้าของกิมเม้งตี้ รู้สึกว่าละม้ายเหมือนยิ่งนัก หากมิใช่ผู้คุ้นเคยย่อมยากแยกแยะ
มันกราบอำลาต่อหลุมฝังศพของกี้เฮียงเค้ง แล้วจึงจากไป
กิมเม้งตี้อาศัยอยู่ในห้องเพียงลำพัง จิตสำนึกยุ่งเหยิง พลันได้สติขึ้นมา คำนึงว่า
“…เราหากไม่สงบสมาธิหมกมุ่นฝึกปรือวิชาดาบพุทธไร้เทียมทาน ชั่วชีวิตนี้ก็อย่าคาดหวังว่า จะบรรลุถึงขั้นสูงสุดยอด…”
ควรทราบว่ามันชาญฉลาดจนเหลือเฟือ แต่ขันติอดกลั้น ไม่เพียงพอ อุปนิสัยก็ยโสทระนง ดังนั้นการเร้นกายฝึกปรือครั้งนี้ ความรุดหน้ามิอาจเปรียบเทียบกับเวลาปรับรากฐาน ท่ามกลางการเคี่ยวเข็ญจากซือแป๋
ครั้งนี้มันพลันมีจิตพลุ่งพล่าน อดมิได้ต้องออกจากอารามเซียมโคยยี่ ตามรายทางสืบทราบที่อยู่อาศัยของกี้เฮียงเค้งโดยบังเอิญ และในที่สุดก็พบพาน
บัดนี้จึงทราบว่า ผู้คนของสถาบันอำมหิต แพร่งพรายต่อมันเป็นพิเศษ แสดงว่ากี้เฮียงเค้งมีความสามารถในการคาดการณ์ล่วงหน้า ก่อนจะถึงแก่กรรมได้คะเนอยู่ก่อน แน่นอน กิมเม้งตี้ออกมาโดยที่มิทันสำเร็จแตกฉาน ก็อยู่ในการสันนิษฐานของนาง
และเมื่อเป็นเช่นนั้น แสดงว่าคำบ่งบอกในจดหมาย กำลังจะเป็นความจริง กิมเม้งตี้พลันบังเกิดความฮึกเหิมใคร่เอาชัย รีบสงบสมาธิฝึกปรือไม้ตาย
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป