๕๔
♦ มรสุมระลอกซ้ำ ♦
……………
ฉี้อิงส่งเสียงกล่าวว่า
“หากแม้นพวกมันเป็นเพียงชนชั้นสามัญ ยามเสี่ยงชีวิตอาจจะรุนแรง แต่ผู้ทรงฝีมือแห่งยุคได้มาชุมนุมกันในที่นี้ คงไม่ลำบากต่อการสกัดขัดขวาง”
นางแมงมุมขาวกล่าวว่า
“เจ้เจ๊เข้าใจผิดแล้ว บุคคลเหล่านั้นพอเริ่มลงมือ พลังฝีมือจะเพิ่มพูนหลายเท่าตัว กอปรกับต่อสู้อย่างมิคิดชีวิต ความจริงมีไม่กี่คนที่ต้านทานพวกมันเอาไว้ได้!
“อือม์ คราก่อนได้ยินท่านบอกว่า อลัชชีโลกันตร์เพาะขบวนนางเฒ่าขี้ผึ้งจำนวนหนึ่ง ทุกผู้คนจู่โจมได้ครั้งเดียวก็เสียชีวิต ดังนั้นจึงรู้ร้ายกาจอย่างสุดแสน ขณะนี้บุคคลสิบกว่าคนนั้น ก็คงนำชัชวาลแห่งชีวิต ใช้ออกในคราเดียว ก็จะเผาผลาญหมดสิ้น อานุภาพจึงเพิ่มพูนกว่าปรกติหลายเท่าตัว”
นางแมงมุมขาวกล่าวว่า
“ถูกต้อง พวกมันเหล่านี้จึงน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก ขอเพียงแต่มีกำลังเคลื่อนไหว ก็จะใช้ออกโดยมิเลิกรา ดังนั้นเฒ่าเอกะประหลาดจึงไม่วิตกกังวลและไม่คำนึงถึงชีวิตของเตียกงหมงเลย”
ปึงเซียะก็กล่าวขึ้นว่า
“คำนวณจากพลังฝีมือของชนชั้นจูกงเม้ง กำลังฝีมือของเฒ่าเอกะประหลาด คาดว่าคงสูงล้ำกว่าทุกผู้คนในบริเวณ และผู้ทรงฝีมือชั้นพิเศษเช่นมัน พวกเราแม้จะใช้กำลังกลุ้มรุม ก็มิแน่นักว่าจะเอาชัยได้
อย่าว่าแต่ผู้มีศักดิ์ศรีเช่นเจ้าสำนักเสียวลิ้ม บู๊ตึงประมุขพรรคธงเหลือง ก็คงไม่ยินยอมร่วมมือกลุ้มรุมฝ่ายตรงข้ามสำหรับยอดฝีมืออื่นๆ อาทิกระบี่แห่งพิภพ แม้จะรวมกำลังกันก็ไม่มีประโยชน์ นอกจากนี้โกวเนี้ยจะทุเลาจากบาดเจ็บ สามารถทุ่มเทสุดฝีมือเข้าพันตูด้วย”
ฉี้อิงถอนหายใจกล่าวว่า
“อาการของข้าพเจ้าแม้ไม่สาหัส แต่ยามเผชิญกับคู่มือที่เข้มแข็งเช่นเฒ่าเอกะประหลาด อาการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ก็เป็นปมด้อยอย่างยากแก้ไข”
ทั้งหมดได้หารือกันอย่างแผ่วเบาตลอดเวลา ผู้ทรงฝีมือทั้งหมดก็ปั่นป่วนวุ่นวายยิ่งนัก มีบางคนกระแทกกายลงบนพื้นดินคล้ายดั่งพิษกำเริบจนมิอาจยืนหยัดอยู่ได้
สำหรับควันดำกลุ่มนั้น ยังคงดำสนิทเช่นเดิม ทำให้ผู้คนขวัญสั่นวิญญาณสะท้าน ยิ่งจับจ้องยิ่งหวาดหวั่น
ส่วนเจ้าสำนักฮุยไฮ้แห่งเสียวลิ้ม เจ้าสำนักยู้เชี่ยงชุนแห่งบู๊ตึง และประมุขพรรคธงเหลือง ล้วนแต่มีพลังการฝึกปรือหลายสิบปี หลังจากสำรวจตัวเองแล้วก็มิทราบว่ามีอาการถูกพิษร้ายเลย
นี่นับเป็นสภาพการณ์อันพิสดาร พวกมันทั้งสามสุดที่จะคาดคิดถึงความนัยที่แอบแฝงอยู่
ฉี้อิงจับจ้องสภาพอันอลวน สั่นศีรษะถอนหายใจกล่าวว่า
“ชนชาวบู๊ลิ้มเหล่านี้ ยามปรกติประกาศว่ามีความฮึกเหิมห้าวหาญ แต่พอเผชิญหน้ากับความตายก็แสดงร่องรอยที่แท้จริงออกมา”
ปึงเซียะกล่าวว่า
“นี่ก็มิอาจโทษว่าผู้ใดไม่กลัวตายจริงๆ เล่า!”
นางแมงมุมขาวกล่าวว่า
“บุคคลเหล่านี้แม้จะฝึกหัดวิชาฝีมือในเจดีย์ทองคำ แต่ผู้ที่ขวัญอ่อนเช่นพวกมัน เกรงว่าภายภาคหน้าไม่มีประโยชน์ใดๆ”
ฉี้อิงก็อ้างว่ามีเหตุผลยิ่งนัก ปึงเซียะขมวดคิ้วกล่าวว่า
“ฉี้โกวเนี้ยคิดจะล้มเลิกความคิดเปิดเจดีย์ทองคำทีเดียวหรือ”
“หากแม้วาจาของจับฮึงไต้ซือมิผิดพลาด วิชาฝีมือนับร้อยพันแขนงในเจดีย์ทองคำ ยังมิอาจทัดเทียบกับสามไม้ตายไร้เทียมทาน ถ้าเช่นนั้นพวกเราไยต้องเสี่ยงชีวิตไปเปิดเผยความลับของเจดีย์ทองคำเล่า?”
ปึงเซียะกล่าวว่า
“วาจาของจับฮึงไต้ซือคาดว่าเป็นความจริง แต่นั่นเป็นการดูจากแง่มุมหนึ่งเท่านั้น หากแม้ว่ามีวิชาฝีมือบางแขนง ถูกผู้คนในสำนักใดได้ไป ยามฝึกฝนอาจจะมีความรุดหน้ากว่าผู้คนของสำนักอื่น
นี่มีสาเหตุเนื่องจากแนววิชาฝีมือ มีการเปลี่ยนแปลงไร้ที่สิ้นสุด และสยบหักล้างกันเอง ความลึกล้ำพิสดารในหลักวิชา ไม่มีผู้ใดตีความได้แตกฉาน ดังนั้นข้าพเจ้าขอให้อย่าได้ปลีกตัวจากไปอย่างง่ายดาย”
ฉี้อิงกล่าวว่า
“อา หากแม้นจับฮึงไต้ซืออยู่ที่นี้ ก็คงสามารถยื่นมือช่วยเหลือได้”
นางสาวเท้าก้าวไปที่เจ้าสำนักฮุยไฮ้ ยู้เชี่ยงชุนกับประมุขพรรคธงเหลืองก็เข้ามารวมกลุ่มหารือกัน
ฉี้อิงแลเห็นพวกมันมีสีหน้าสงบ ไม่คล้ายดั่งผู้ทรงฝีมืออื่น ที่ต้องพริ้มตาผนึกลมปราณ เพื่อรวบรวมกำลังทั่วทั้งร่างต่อต้านกับพลังพิษ พวกมันนับว่าไม่เสียทีที่เป็นผู้นำของสำนักใหญ่
นางหัวร่อเบาๆ กล่าวว่า
“ท่านทั้งสามโปรดวางใจ พิษในหมอกดำได้ถูกสลายไปแล้ว เฒ่าเอกะประหลาดยังมิทราบ กำลังคุยเขื่องอยู่”
นางเมื่อกล่าวเช่นนี้ พวกเจ้าสำนักฮุยไฮ้ทั้งสามจึงหันมามองหน้ากันอย่างเข้าใจและแย้มยิ้มออกมา
ฉี้อิงกล่าวว่า
“ผู้เยาว์จะหารือสถานการณ์ในขณะนี้กับทุกท่านว่า พวกเราจะต่อสู้กันถึงที่สุด หรือมอบประแจทองให้กับฝ่ายตรงข้ามเลย?”
ทั้งสามเงียบงันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ประมุขพรรคธงเหลือง กล่าวขึ้นก่อนว่า
“เฒ่าเอกะประหลาดเมื่อเป็นซือแป๋ของจูกงเม้งแสดงว่าต้องมีพลังฝีมือสูงเยี่ยม เพราะเหตุนี้วาจาของฉี้โกวเนี้ย รู้สึกน่าขบคิดอย่างยิ่ง”
ฉี้อิงกล่าวว่า
“มันมิเพียงแต่มีความสำเร็จสูงส่ง พวกที่ยากจะจัดการก็คือบริวารของมัน ที่เป็นชายฉกรรจ์ถืออาวุธสิบกว่าคนนั้น”
นางได้บ่งบอกความนัยออกไป สุดท้ายก็กล่าวว่า
“พวกเราแม้จะสามารถกำจัดกวาดล้างบริวารเหล่านั้น แต่ก็คงไม่คุ้มค่ากับการที่ต้องสูญเสียไป และเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเรายังคงล่าถอยเสียก่อนเลย”
ยู้เชี่ยงชุนเจ้าสำนักบู๊ตึงกล่าวว่า
“การบุกและถอย มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้คนจำนวนมากในที่นี้ ย่อมพาดพิงไปถึงการดำรงหรือล่มสลายของทุกค่ายสำนักในภายภาคหน้า จึงมีความสำคัญอย่างใหญ่หลวง… หากแม้นทั้งหมดให้ล่าถอย อาตมาก็ไม่มีความเห็น แต่บัดนี้เป็นต้นไป พวกเราหนึ่งพรรคสองสำนัก ก็มิอาจดำรงอยู่ในวงพวกนักเลงอีก”
เจ้าสำนักฮุยไฮ้กล่าวว่า
“นี่เป็นปัญหายุ่งยากที่อาตมากังวลใจแก้ ลองคิดดู พวกเราพ่ายแพ้ติดต่อกันสองครั้ง ภายหลังยังจะแบกหน้าไปพบพานชนชาวบู๊ลิ้มได้อย่างไร?”
ประมุขพรรคธงเหลืองมีหนวดเคราพลิ้วปลิวไสวกล่าวว่า
“เล่าฮูผู้ต่ำต้อย ขอเป็นทัพหน้าต่อต้าน หากคิดประกาศยอมแพ้นั้น สุดที่จะกระทำได้”
สุ้มเสียงของมันแม้แผ่วเบาแต่เข้มแข็งยิ่ง เจ้าสำนักฮุยไฮ้ยู้เชี่ยงชุนล้วนมิส่งเสียง ประมุขพรรคธงเหลืองกล่าวสืบไปว่า
“เล่าฮูเห็นว่าเฒ่าเอกะประหลาด มีความเลือดเย็นถึงปานนี้ เข้าใจว่าชีวิตของบริวารประดุจผงธุลี แสดงว่าคำรายงานเกี่ยวกับบุคคลผู้นี้ที่ได้รับมา ก็ไม่ผิดพลาดแล้ว”
ฉี้อิงกล่าวตอบว่า
“นี่เป็นความสัตย์จริง โดยเฉพาะอลัชชีโลกันตร์ยิ่งมีสรณะทำลายล้างสิ่งมีชีวิต ก่อกวนแผ่นดินจนปั่นป่วน”
“หากเป็นเช่นนั้น อลัชชีโลกันตร์มิว่าช้าเร็วก็ต้องอาละวาดสร้างเภทภัย พอถึงเวลานั้นพวกเราจะกระทำอย่างไร?”
หยุดอยู่เล็กน้อย ประมุขพรรคธงเหลืองได้ลูบเคราฝืนหัวร่อกล่าวสืบไปว่า
“แน่นอน เมื่อยามนั้นพวกเราไม่มีทางควบคุมสถานการณ์ ขณะนี้พวกเราหากไม่อาจเอาชัยเฒ่าเอกะประหลาด ภายภาคหน้าย่อมมิอาจรับการร่วมมือระหว่างอลัชชีโลกันตร์กับเฒ่าเอกะประหลาด ดังนั้นหากต้องถูกทำลายในอนาคตกาล ไยมิลองเสี่ยงชีวิตตั้งแต่บัดนี้เลย”
มันเมื่อเสนอให้พันตู ซึ่งก็มีเหตุผลยิ่ง ฮุยไฮ้กับยู้เชี่ยงชุนจึงครุ่นคิดอย่างรอบคอบ
ฉี้อิงพลันเอ่ยปากกล่าวตัดบทขึ้นว่า
“ผู้เยาว์มีวาจาขอถามไถ่ท่านทั้งสามประโยคหนึ่ง กล่าวคือพวกท่านยินยอมร่วมมือต่อสู้หรือไม่?”
พวกประมุขพรรคธงเหลืองทั้งสาม พากันจับจ้องมองนางเป็นเชิงให้ฉี้อิงอธิบายจนละเอียด แล้วค่อยให้คำตอบ ฉี้อิงจึงกล่าวว่า
“หากแม้นท่านทั้งสาม ถูกจำกัดในข้อเกี่ยวกับชื่อเสียงเกียรติภูมิยากที่จะรวมกำลังต่อสู้ ก็มิต้องครุ่นคิดให้มากความผู้เยาว์ได้มีแผนการแล้ว
ในขั้นแรกผู้เยาว์กับปึงเซียะเฮียจะออกไปต่อสู้กับเฒ่าเอกะประหลาด ทุกท่านยามสังเกตดูย่อมทราบความสูงล้ำต่ำต้อยระหว่างเรากับศัตรู หากแม้นทราบว่ายากต้านทานบุคคลผุ้นี้ ก็มิต้องหักล้างอีก พวกเราจะมอบประแจทองให้กับมันเลย”
ประมุขพรรคธงเหลืองถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า
“การสร้างความลำบากต่อโกวเนี้ยเช่นนี้ เท่ากับปล่อยให้โกวเนี้ย และปึงไต้เฮียบไปเสี่ยงความเป็นความตาย เล่าฮูจะสงบใจได้อย่างไร”
ฉี้อิงกล่าวว่า
“บอกกล่าวตามความจริงใจ หากแม้นข้าพเจ้ามิได้รับผลสะท้อนจากซิเล้ง ก็ไม่นำเรื่องราวทั่วใต้หล้ามาเป็นภาระของตัวเอง สำหรับการต่อสู้ครั้งนี้ข้าพเจ้ากับปึงเฮีย คงมิถึงกับต้องตกตายไปหรอก”
นางเหลือบมองชนชั้นผู้นำทั้งสามคน เห็นว่าต่างไม่มีความคิดขัดแย้ง จึงเดินมาที่ข้างกายของนางแมงมุมขาว จับจ้องควันดำกลุ่มนั้นกล่าวว่า
“ปึงเฮีย พวกเราจะรวมกำลังกันหักล้างกับเฒ่าเอกะประหลาด หากแม้นมิอาจต้านทาน ก็มีแต่ยอมพ่ายแพ้และผู้นำของหนึ่งพรรคสองสำนักนั้นก็ไม่ต้องลงมือ”
ปึงเซียะรับฟังจนขมวดคิ้วเข้าหากัน แต่ก็ไม่เอ่ยปากตำหนิพวกประมุขพรรคธงเหลืองทั้งสาม”
นางแมงมุมขาวพลันกล่าวอย่างแตกตื่นว่า
“ฉี้เจ้เจ๊ ท่านมีผมขาวอยู่เส้นหนึ่ง!”
ฉี้อิงกล่าวอย่างเฉื่อยชาว่า
“กระนั้นหรือ นั่นมีความสำคัญอย่างไร?”
“เจเจ๊ท่านปีนี้เพิ่งอายุยี่สิบปี ไฉนมีผมขาวขึ้นเล่า?”
ปึงเซียะส่งเสียงกล่าวว่า
“เรื่องเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้นางหวั่นวิตกร้อนรุ่มใจ โดยเฉพาะการหายสาบสูญของซิเล้งเฮีย และก่อนที่ซิเล้งเฮียจะหายไป ก็มีอาการถึงปานนั้น หากแม้นไม่มีผู้คนดูแล มิแน่นักว่าจะ…
อา ฉี้โกวเนี้ยย่อมมีจิตใจกระวนกระวายเพียงแต่นางไม่ได้บอกออกมา เพราะเหตุนี้บนศีรษะของนางจึงมีผมขาวปรากฏขึ้น”
นางแมงมุมขาวกล่าวว่า
“น่าสงสารยิ่งนัก อา ข้าพเจ้ากลับมิทราบว่าฉี้เจ้เจ๊มีความคับแค้นขมขื่นใจถึงปานนี้”
ฉี้อิงเอื้อนเอ่ยว่า
“วาจาเหล่านี้ภายหลังค่อยสนทนากันเถอะ”
ดวงตาของนางทอประกายอันเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวกล่าวอีกว่า
“น้องเรา รบกวนให้ท่านปล่อยเทพแมงมุมดำไปดูดควันพิษกลุ่มนั้นให้หมดสิ้น”
นางแมงมุมขาวผงกศีรษะ จากนั้นจึงปล่อยเทพแมงมุมดำออกไปทั้งสองตัว แมงมุมที่มีพิษร้ายแรงอย่างสุดยอดทั้งสองตัวนี้ เวลาปรากฏออกมา ทั่วทั้งบริเวณยังไม่มีผู้ใดพบเห็น
เทพแมงมุมดำทั้งสองได้เข้าไปในกลุ่มควันพิษอย่างรวดเร็ว พลันได้ยินเสียงดังเบาๆ จากกลุ่มควันพริบตาเดียวควันพิษทั้งหนา ทั้งดำกลุ่มใหญ่ ก็มีการเปลี่ยนแปลงทันที
สีสันที่ดำสนิทเริ่มจางลงไปทุกขณะ กลับกลายเป็นสีดำจางๆ จนเป็นสีเทาและสุดท้ายเปลี่ยนเป็นสีขาวปนเทาและแล้วก็จางหายไปเมื่อถูกลม ปลาสนาการไร้ร่องรอย
ผู้คนที่มีอยู่ รวมทั้งเฒ่าเอกะประหลาด เนื่องจากได้พบเห็น แมงมุมมหึมาตัวดำเป็นประกายอยู่บนพื้นดินทั้งสองตัว ทำให้ยังเกิดความตื่นตระหนก
ในยามนี้เทพแมงมุมดำพอดูดควันพิษแล้วลำตัวก็ใหญ่โตมหึมาขึ้น หากรวมทั้งแขนขา ก็โตเท่าชามอ่างทีเดียว ทุกผู้คนเมื่อได้เห็นแมงมุมพิษตัวเท่านี้ล้วนแต่ขนลุกเกรียวกราว
ฉี้อิงร้องดังๆ ว่า
“เฒ่าเอกะประหลาด ท่านย่อมต้องจดจำเทพแมงมุมดำที่มาจากอาณาจักรอัคคีคู่นี้ได้ แลทราบว่าแมงมุมนี้สามารถสะกดควันพิษของท่าน ดังนั้นความหวังที่ท่านคิดแลเห็นซากศพเกลื่อนกลาด เท่ากับเป็นอากาศธาตุไป”
กลุ่มผู้ทรงฝีมือพอได้ยินก็บังเกิดความกระตือรือร้นส่งเสียงร้องขึ้นมา
เฒ่าเอกะประหลาดได้ระงับความแตกตื่นตั้งเนิ่นนานแล้ว รอจนสุ้มเสียงสงบลง มันจึงหัวร่อดังพิกลกล่าวว่า
“แมงมุมพิษเล็กๆ สองตัว ก็คู่ควรกับการอวดโอ้หรอกหรือ เล่าฮูกลับไม่แยแสสนใจ เจ้าหากไม่เชื่อถือก็ลองให้พวกมันมาจัดการต่อเล่าฮู”
ฉี้อิงหันไปถามไถ่ต่อนางแมงมุมขาว แล้วกล่าวว่า
“ท่านอย่าได้คุยโอ่ อาศัยความสามารถของท่าน แม้กำจัดเทพแมงมุมดำทั้งสองได้ แต่ตัวท่านก็ไม่อาจรอดชีวิต กลับกลายเป็นสภาพตกตายตามกัน”
“เหลวไหล อาศัยเดียรัจฉานสองตัวนี้ ไหนจะทำร้ายเล่าฮูได้”
ฉี้อิงเหลือบมองนางแมงมุมขาวอย่างสงสัยใจ แลเห็นนางมีประกายตาเคลือบแคลง
“เฒ่าเอกะประหลาดโป้ปด แมงมุมของข้าพเจ้า นอกจากอลัชชีโลกันตร์ไม่มีผู้ใดกำจัดได้ โดยที่ตัวเองไม่มีอันตราย มิหนำซ้ำขณะนี้เทพแมงมุมดำได้ดูดพิษของหนอนร้อยชนิดจนอิ่มหนำ อย่าว่าแต่เฒ่าเอกะประหลาด แม้ทุกผู้คนในที่นี้ก็ไม่มีทางรอดชีวิต
อาศัยกำลังของเรา ก็เพียงแต่สามารถคุ้มครองท่านกับอาเซียะไม่ถึงกับเสียชีวิต แต่พวกท่านในภายหลังยังต้องป่วยไข้อย่างสาหัสด้วย”
ฉี้อิงจึงเข้าใจในบัดดล แหงนหน้าส่งเสียงหัวร่อกล่าวว่า
“เฒ่าเอกะประหลาด ท่านไม่เสียทีที่เป็นน้องของอลัชชีโลกันตร์ และนับเป็นผู้โฉดชั่วอันดับสองในสถาบันอำมหิต ความชั่วช้าอำมหิตของท่านมีมาแต่กำเนิด กลับไม่เสียดายชีวิตตัวเอง คิดจะให้ผู้คนจำนวนร้อยในที่นี้ตกตายร่วมกับท่าน!”
ทุกผู้คนในบริเวณบังเกิดความแตกตื่นจนเหงื่อกาฬชุ่มโชก มิว่าผู้ใดก็ไม่กล้าส่งเสียง
ฉี้อิงกล่าวอีกว่า
“แต่ท่านลืมเลือนไปว่า นางแมงมุมขาวน้องเรา ขณะนี้มีความสามารถยอดเยี่ยม อย่างน้อยก็คุ้มครองผู้คนหลายสิบคนได้ และสามารถลงมือรักษาผู้คนนับสิบๆ คน ส่วนพวกท่านเหล่าผู้ชั่วร้าย อย่าคาดหวังว่าจะมีชีวิตรอดได้”
ความจริงนางขอเพียงแต่บอกว่ามีสามคนที่รอดชีวิต เฒ่าเอกะประหลาดก็ไม่กระทำตามความมุ่งหมายแล้ว มันแค่นหัวร่ออย่างเย็นชา แต่มิได้กล่าววาจา
ฉี้อิงกล่าวอย่างหมกมุ่นว่า
“บัดนี้ขอสนทนาเรื่องสำคัญ เฒ่าเอกะประหลาดเฉกเช่นท่านเมื่อเป็นประมุขสำนักมหากาฬ และสามารถอบรมศิษย์เช่นจูกงเม้ง ในด้านวิชาฝีมือคงยอดเยี่ยมยิ่ง ดังนั้นข้าพเจ้าหากต่อสู้กับท่านเพียงลำพังก็ออกจะดูแคลนท่านแล้ว”
เฒ่าเอกะประหลาดแค่นหัวร่อดังเฮอะ กล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าคิดจะสรรหาผู้ช่วยสักเท่าใด?”
“เพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือปึงเซียะเฮียศิษย์ของจอมเฒ่าผมขาวแห่งสำนักคุนลุ้น พวกเราทั้งสองจะเป็นตัวแทนของผู้ทรงฝีมือทั้งหมด พิสูจน์ผลแพ้ชนะกับท่าน”
หยุดไปเล็กน้อย จึงกล่าวอีกว่า
“หากแม้นพวกเราได้ชัยชนะอย่างโชคช่วย ท่านก็จากไปทันที หากพวกเราพ่ายแพ้ ประแจเจดีย์ทองคำก็จะมอบให้ และพวกเราทั้งหมดจะถอนกำลังไป”
เฒ่าเอกะประหลาดกล่าวอย่างยินดีว่า
“ประเสริฐมาก”
เจ้าสำนักฮุยไฮ้และพวกต่างไม่ส่งเสียง ดังนั้นผู้ทรงฝีมือทั้งหมดย่อมมิมีศักดิ์ศรีโต้แย้ง
นางแมงมุมขาวเรียกหาเทพแมงมุมดำกลับมาร้องเสียงแหลมเล็กต่อเฒ่าเอกะประหลาดว่า
“เฒ่าบัดซบ ท่านหากเข่นฆ่าผู้หนึ่งผู้ใดในที่นี้ เราจะเสียสละของวิเศษทั้งคู่ เพื่อฆ่าท่านไปเป็นการระบายความแค้น”
เฒ่าเอกะประหลาดมิเดือดดาล กลับส่งเสียงหัวร่อและพุ่งความสนใจไปที่ฉี้อิงกับปึงเซียะ ไม่แยแสคำแผดด่าของนางแมงมุมขาว แสดงว่าความประหลาดพิกลในอุปนิสัยของบุคคลนี้ ยากที่จะสันนิษฐานหยั่งคาด
ฉี้อิง ปึงเซียะทั้งสองต่างกระชับอาวุธ ทุ่มเทสมาธิเตรียมต้านรับเฒ่าเอกะประหลาดเดินออกมามือก็กุมอาวุธ ซึ่งเป็นดาบใหญ่เล่มหนึ่งทอประกายเย็นยะเยียบคมกล้าผิดสามัญ
ทั้งสองฝ่ายมิส่งเสียงก็หักล้างกัน แลเห็นดาบใหญ่ของเฒ่าเอกะประหลาด กระจายเป็นประกายเจิดจ้านับร้อยๆ พันๆ สาย อุปมาแหใหญ่ครอบคลุมฉี้อิงปึงเซียะเอาไว้!
วิชาดาบของมันพิสดารสูงล้ำ มีการพลิกแพลงไร้ที่สิ้นสุด กอปรกับมีพลังการฝึกปรือสูงส่งทุกๆ ดาบได้จู่โจมออกโดยแฝงกำลังมหาศาล แหวกฝ่าอากาศอย่างเกรี้ยวกราดอานุภาพสุดจะเปรียบประมาณ
ฝ่ายฉี้อิงปึงเซียะทั้งสอง ต่างก็ทุ่มเทไม้ตาย ทั้งหมดได้ร่วมเดินทางกันมาเนิ่นนานวัน มักวิจารณ์วิชาฝีมือกัน ดังนั้นยามรุกรับจึงประสานกันอย่างเหมาะเจาะสอดคล้อง
แลเห็นทั้งสองคอยดูแลซึ่งกันและกันอย่างละเอียด เวลาจู่โจมโหมรุก ดุจดั่งธารน้ำตกโกรกกระแทก ไม่มีช่องว่างรอยโหว่ และประสานกันจนยากจะแยกแยะ
พลังฝีมือของบุคคลทั้งสาม ล้วนเป็นผู้ทรงฝีมือประจำยุค แม้กระทั่งพวกเจ้าสำนักฮุยไฮ้ที่มีศักดิ์ศรี ก็จับจ้องจนตาละลาน บุคคลอื่นเวลาดูยิ่งไม่ต้องเอ่ยอ้างถึง
ทั้งสองฝ่ายหักล้างกันกว่าห้าสิบกระบวนท่า พลังภายในนับร้อยๆ สาย ได้พุ่งพล่านไปรอบบริเวณ ก่อเกิดเป็นกระแสลมอันแกร่งกร้าวดังอื้ออึงสะท้านโสต
ผู้ที่ชมการต่อสู้โดยยืนหยัดอยู่ห่างสามวา ล้วนมีอาการยืนหยัดไม่มั่นคง แสดงว่าพลังการฝึกปรือของบุคคลทั้งสาม มีความสูงล้ำเป็นที่สุด
ฉี้อิงกับปึงเซียะ มาตรแม้นจะมีทั้งรุกทั้งรับแผ่อานุภาพเข้มแข็ง แต่ความจริงเฒ่าเอกะประหลาดได้เริ่มควบคุมสถานการณ์เป็นฝ่ายมีเปรียบแล้ว
เจ้าสำนักฮุยไฮ้ชมถึงตอนนี้ ก็ถอนหายใจ เมื่อทอดสายตามาทางประมุขพรรคธงเหลือง ก็พบว่าพวกมันกำลังมองมาอย่างทอดอาลัย รู้ซึ้งถึงจิตใจของซึ่งกันและกัน ทราบดีว่าไม่มีทางต่อต้านกับเฒ่าเอกะประหลาด”
ประมุขพรรคธงเหลืองนับว่าเป็นชนชั้นที่มีประสบการณ์ เข้าใจครุ่นคิดมีปัญญา จึงกล่าวเบาๆ ว่า
“เล่าฮูคิดจะเอ่ยปากพร้อมกับพวกท่านทั้งสองขอให้พวกฉี้อิงยอมพ่ายแพ้…”
ทั้งนี้ก็เพราะหากโรมรันอีกต่อไป ฉี้อิงกับปึงเซียะก็จะยิ่งเสียเปรียบ ทุกวินาทีมีอันตรายถึงแก่ชีวิต และหากรอถึงยามนั้นก็ยากที่จะล่าถอยออกจากวง
เจ้าสำนักฮุยไฮ้กับเจ้าสำนักยู้เชี่ยงชุน พากันรับคำโดยพร้อมเพรียง และพอมีโอกาสเหมาะ ทั้งสามก็ตวาดอย่างพร้อมเพรียงกันว่า
“ทั้งสองฝ่ายขอให้หยุดชะงักการต่อสู้”
ชนชั้นผู้นำทั้งสาม มีพลังการฝึกปรืออันลึกล้ำสำเนียงจึงกึกก้อง แม้แต่เฒ่าเอกะประหลาดที่พันตูอยู่ก็รู้สึกแก้วหูลั่นอื้ออึงคำนึงว่า
“หากเพิ่มเฒ่าบัดซบเหล่านี้เข้ามาอีก สถานการณ์อาจจะพลิกแพลงเป็นนัยกลับ…”
ดังนั้นจึงกระโดดปราดถอยไป ฉี้อิง ปึงเซียะ ยอมล่าถอยมาด้วย เบือนศีรษะมองมาที่พวกเจ้าสำนักฮุยไฮ้
ประมุขพรรคธงเหลืองร้องดังๆ ว่า
“ฉี้โกวเนี้ย มอบประแจทองให้มันเถอะ!”
ทุกผู้คนในบริเวณล้วนไม่กล้าส่งเสียงโต้แย้ง ทั้งนี้ก็เพราะเจ้าสำนักฮุยไฮ้ เจ้าสำนักยู้เชี่ยงชุน และประมุขพรรคธงเหลืองล้วนมีศักดิ์ศรีสูงสุด พวกมันเมื่อยินยอมพ่ายแพ้ ผู้ใดจะไม่ยอมพร้อมใจด้วย
ฉี้อิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงถอนหายใจออกมากล่าวว่า
“เอาเถอะ เจดีย์ทองคำหลังนี้ได้แต่ให้สำนักมหากาฬยึดครองไปแล้ว!”
เฒ่าเอกะประหลาดแหงนหน้าหัวร่อแค่นๆ กล่าวว่า
“มิผิด พวกเจ้ารีบไสหัวจากไปเถอะ แต่หากมีผู้คนยินยอมเข้าร่วมสังกัดสำนักมหากาฬ ก็จะได้แบ่งปันวิชาในเจดีย์ทองคำ”
ผู้คนในบริเวณแม้มีผู้ละโมบอยู่มิน้อย แต่หนึ่งนั้นในสถานการณ์เช่นนี้ หากจะออกไปรู้สึกมิเหมาะสม และสองทุกผู้คนได้แลเห็นเฒ่าเอกะประหลาด มีแต่ความเลือดเย็น ไม่แยแสชีวิตของบริวาร จึงมีจิตหวั่นไหว ดังนั้นก็ไม่มีบุคคลใดส่งเสียงตอบโต้
ฉี้อิงขณะคิดจะล้วงหยิบประแจทองออกไป ทันใดนั้นสำเนียงอันเกรี้ยวกราดเยือกเย็น ได้ดังทำลายความเงียบสงัดว่า
“มอบประแจทองมา!”
ทุกผู้คนกวาดมองไปทางต้นเสียง แลเห็นที่ห่างออกไปหลายวาบนพื้นหิมะ ยืนหยัดไว้ด้วยหลวงจีนจีวรเทารูปหนึ่ง เรือนร่างสูงตระหง่านคิ้วดำทั้งสองยาวตกลงมาสองข้างแก้ม
บุคคลนี้คือจับฮึงไต้ซือซึ่งได้นำประแจจากไป ในมือของมันถือกระบี่ยาวพร้อมฝักเล่มหนึ่ง ยืนหยัดปานบรรพต มีบุคลิกที่สะท้านขวัญผู้คน
เฒ่าเอกะประหลาดเนื่องจากมาสาย หาได้ทราบเรื่องที่จับฮึงไต้ซือช่วงชิงประแจไม่ ดังนั้นจึงหัวร่อเคี้ยก เคี้ยก ดังพิกลกล่าวว่า
“หลวงจีน เจ้าเป็นใคร คงรำคาญในการมีชีวิตสืบไปแล้ว?”
จับฮึงไต้ซือกล่าวว่า
“อาตมาได้รับคำสั่งเฝ้ารักษาดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์นี้ ไหนเลยจะยอมให้ชนชั้นอธรรมเฉกเช่นท่าน เข้าไปยึดครองย่ำยี”
“เท็กลื้อ (คำด่าหลวงจีน) ที่ใจกล้าบังอาจ ประกาศนามรับความตาย”
“อาตมาสมาญาจับฮึง เมื่อครู่นี้ได้เห็นวิชาดาบของท่านรู้สึกว่ามีความสูงส่งอยู่บ้าง แต่มิทราบว่าท่านไฉนจึงไม่เคยมีเกียรติภูมิอยู่ในวงพวกนักเลงมาก่อน?”
ทั้งสองฝ่ายขณะกล่าววาจา ก็สืบเท้าก้าวเข้าใกล้ เฒ่าเอกะประหลาดกล่าวว่า
“เจ้าเป็นผู้ออกบวชที่ไร้คุณค่า จะเข้าใจอันใด”
จับฮึงไต้ซือเพียงหัวร่อแค่นๆ กล่าวว่า
“พวกเรายังคงลงมือกันเถอะ”
พลางกล่าวกับฉี้อิงว่า
“ประแจทองมอบให้เจ้ารักษาชั่วคราว ผู้ใดชนะก็มอบให้กับคนนั้น”
เฒ่าเอกะประหลาดรั้งดาบใหญ่ขึ้น แลเห็นฝ่ายตรงข้ามหาได้ชักกระบี่ออกจากฝัก จึงลอบแค่นหัวร่อในใจคำนึงว่า
“…เจ้าเลินเล่อถึงปานนี้เท่ากับแส่หาความตาย เล่าฮูจะให้เจ้าไม่มีโอกาสแม้แต่ชักกระบี่ ก็ต้องทอดกายเป็นซากศพอยู่ในที่นี้…”
จับฮึงไต้ซือยังไม่มีทีท่าตระเตรียมตัว เฒ่าเอกะประหลาดเปลือกนอกก็ยังมิคิดลงมือ แต่พริบตานั้นพลันปรากฏประกายเจิดจ้าเย็นยะเยียบร้อยๆ พันๆ จุด พุ่งออกจากข้างกายของเฒ่าเอกะประหลาด ครอบคลุมลงใส่เบื้องบนศีรษะของจับฮึงไต้ซือด้วยความว่องไวดั่งสายฟ้าแลบพุ่ง
ท่าดาบนี้มิเพียงแต่รวดเร็วอย่างสุดแสน ยังมีความพลิกแพลงพิสดารไร้ขอบเขต ปลายดาบแผ่ประกายกระจ่างจ้า อุปมาดอกไม้ไฟในยามราตรี น่าชมอย่างยิ่งยวด
แต่ทว่าผู้ที่อยู่ในบริเวณ ล้วนแต่แตกตื่นจนวิญญาณกระเจิดกระเจิง รู้สึกว่าเพลงกระบี่ของจับฮึงไต้ซือแม้จะลึกล้ำสุดหยั่งคาด แต่เฒ่าเอกะประหลาดเป็นยอดในยอดฝีมือ ขณะนี้พลันจู่โจมอย่างฉับพลันท่าดาบก็รุนแรงเช่นนี้ จับฮึงไต้ซือคงไม่อาจรับไว้
ฉี้อิงและพวกเจ้าสำนักฮุยไฮ้จำนวนไม่กี่คน มาตรแม้นทราบว่าจับฮึงไต้ซือไม่ถึงกับสูญเสียชีวิต แต่มันจะต้านรับท่านี้ได้อย่างไร ก็เป็นเรื่องที่ควรแก่การสนใจ
แลเห็นจับฮึงไต้ซือยืนตระหง่านอย่างแน่วแน่ ดุจดั่งบรรพตที่ไม่มีวันคลอนแคลน สำหรับกับเงาดาบของคู่ต่อสู้ที่กระจายเต็มท้องฟ้าเสมือนดั่งมิได้พบเห็น
วินาทีนั้นเอง พวกฉี้อิงทั้งหมดยังมิทันมีความคิด เพียงแต่เพิ่งรู้สึกตื่นเต้นสงสัย ประกายดาบก็จู่โจมถึงจับฮึงไต้ซือแล้ว
ได้ยินเสียงดังเปรื่อง เฒ่าเอกะประหลาดถอยกรูดๆ มาสามก้าวแล้วค่อยยืนหยัดไว้ได้ แลเห็นมันมีสีหน้าเคร่งเครียด ดาบยาวในมือเคลื่อนไหววาดสภาวะอยู่ตลอดเวลา คล้ายดั่งกำลังเปลี่ยนแปลงท่าร่างเป็นวิชาที่ลึกล้ำยิ่ง
ผู้คนทั้งหมดเห็นชัดๆ ว่า จับฮึงไต้ซือหาได้ชักระบี่ออกจากฝัก หมายความว่ามันไม่มีร่องรอยคิดจู่โจม เฒ่าเอกะประหลาดไฉนจึงปกปิดอย่างรัดกุมถึงปานนี้ ทั้งหมดต่างไม่เข้าใจ
จับฮึงไต้ซือกล่าวอย่างแช่มช้าว่า
“ในใต้หล้า ผู้ที่ต้านรับการจู่โจมของท่านครั้งนี้ นับว่ามีน้อยนิด ท่านคงคาดมิถึงว่าอาตมาจะต้านทานไว้ได้กระมัง?”
มันพอเอ่ยปาก เฒ่าเอกะประหลาดจึงระบายลมหายใจยาวๆ ออกมา หยุดชะงักการวาดดาบในมือ แต่ได้ถอยกายไปสามก้าว แล้วค่อยกระชับดาบเขม้นมองฝ่ายตรงข้าม
จับฮึงไต้ซือหยุดไปเล็กน้อย กล่าวอีกว่า
“รังสีกระบี่ของอาตมา ชั่วชีวิตเพิ่งใช้ออกเป็นครั้งแรก หากเปลี่ยนเป็นคู่มือคนอื่น ในยามนี้คงถูกภาวะตีโต้จากรังสีกระบี่ของอาตมาทำร้ายจนเสียชีวิต ฝีมือเฉกเช่นท่าน นับว่ายากจะพบพาน”
มันวิจารณ์ถึงเรื่องนี้ตลอดเวลาทุกผู้คนทางหนึ่งเพิ่งทราบความเป็นไปอันลึกซึ้งพิสดารครั้งนี้ อีกทางหนึ่งไม่เข้าใจเลยว่า มันไฉนเอื้อนเอ่ยโดยมิยอมหยุดยั้ง
เฒ่าเอกะประหลาดเงียบงันไม่ส่งเสียง ยังคงมองเขม้นฝ่ายตรงข้าม จับฮึงไต้ซือเลิกคิ้วขึ้น ส่งเสียงทุ้มหนักว่า
“อาตมาเห็นแก่ความมุทิตาของพุทธองค์ ในวันนี้ปล่อยให้ท่านรอดชีวิตไปเถอะ”
แต่ทว่า เฒ่าเอกะประหลาดกลับแสยะยิ้มกระชากเสียงว่า
“ผายลม วันนี้บิดาไม่บดขยี้เจ้า สาบานว่าจะมิขอเป็นผู้คน เท็กลื้อหากมีความสามารถก็ลงมือมา”
จับฮึงไต้ซือมิมีเพลิงโทสะ หัวร่ออย่างเฉื่อยชากล่าวว่า
“เดียรถีย์ ท่านบีบบังคับให้อาตมาละศีลฆ่าฟัน นั่นก็เป็นเรื่องอับจนปัญญา”
ขณะกล่าววาจา นิ้วมือเพิ่งแตะด้ามกระบี่เป็นครั้งแรก วาดเป็นสภาวะ พลังกระบี่อันเกรี้ยวกราดกระแสหนึ่งก็ทะลักออกไป เฒ่าเอกะประหลาดมาตรแม้นจะดุร้าย แต่ก็อดถอยไปสองก้าวมิได้
ทั้งสองฝ่ายมีระยะห่างกันแปะเชียะ เฒ่าเอกะประหลาดพลันกู่ร้องดังก้อง ส่งเสียงว่า
“บิดาไม่ขอน้อมสนองแล้ว”
พลันสะบัดร่างพุ่งออกไป ด้วยความรวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบ
บุคคลนี้ ไม่เสียทีที่มีสมญา “ประหลาด” นับว่าประหลาดอย่างยิ่ง คราแรกผู้อื่นให้จากไป มันพาลไม่ปฏิบัติตาม รอจนบัดนี้ค่อยคิดหลบหนี พฤติการณ์ของมันขัดแย้งกับเหตุผลทั่วไปยิ่งนัก
ผู้คนทั้งหมดแลเห็นเฒ่าเอกะประหลาดพุ่งปราดจากไปดั่งประกายไฟ ต่างไม่เห็นชัดว่าจับฮึงไต้ซือก็ชักกระบี่ไล่ล่าตามติดแต่เมื่อใด เรือนร่างของจับฮึงไต้ซือเคลื่อนไหวพร้อมกับตัวกระบี่ กระจายเป็นสายรุ้งเส้นยาวเหยียด กรีดฝ่าอากาศด้วยความพิสดารสุดจะขบคิด
เฒ่าเอกะประหลาดเพียงพุ่งไปมิกี่วา รุ้งกระบี่จากเบื้องหลังก็แหวกฝ่าอากาศติดตามมา ชั่วพริบตานั้นประกายกระบี่ได้สาดกระจาย ซัดพุ่งลงสู่เบื้องล่างอย่างฉับไว
ท่ามกลางประกายที่แผ่บาดตา เฒ่าเอกะประหลาดพลันส่งเสียงร้องอย่างโหยหวน กระแทกร่างลงบนพื้นดินที่แข็งแกร่งดังสนั่น
ต่อจากนั้นม่านกระบี่ก็สลายวูบ แลเห็นยังเป็นหลวงจีนจีวรเทามือกุมกระบี่ยาว แต่ทว่าตำแหน่งที่เฒ่าเอกะประหลาดนอนฟุบอยู่ ปรากฏโลหิตสีแดงฉานผืนใหญ่ สาดชโลมพื้นหิมะสีขาวโพลง
ในยามนี้ทุกผู้คนทราบแล้วว่า เฒ่าเอกะประหลาดได้ถูกสังหารไปอย่างอนาถ ผู้คนจำนวนมากถึงกับส่งเสียงโห่ร้องอย่างลิงโลด ดังสะท้อนก้องไปทั่ว
จับฮึงไต้ซือตะลึงลานไป เสียงโห่ร้องเหล่านี้สำหรับกับมันเต็มไปด้วยความแปลกใหม่ สามารถทำให้ผู้คนเลือดลมระอุพลุ่งพล่าน
สีหน้าของมันแม้มีเพียงรอยยิ้มอันเฉื่อยชา แต่จิตใจได้พลุ่งพล่าน คำนึงว่า
“…จากเรื่องนี้รู้สึกว่า ระหว่างธรรมะกับอธรรมมีการจำแนกอย่างชัดแจ้ง มาตรแม้นจะเป็นหลวงจีนอาวุโสในสถาบันสงฆ์ แต่คงมิถูกพุทธองค์โทษว่าเราละศีลปาณา…”
มันพลันบังเกิดความคิดวูบหนึ่ง เบือนสายตามองไปทางฉี้อิง ฉี้อิงสาวเท้าตรงเข้ามา มือประคองประแจทอง กล่าวอย่างปลอดโปร่งใจว่า
“ไต้ซือกำจัดบุคคลนี้ นับเป็นบุญกุศลใหญ่หลวง ประแจทองอยู่ที่นี้ ขอได้โปรดรับไว้”
ในขณะที่เฒ่าเอกะประหลาดถูกกระบี่ล้มลง บริวารของมันก็เตลิดหนีอย่างลนลาน แตกกระจัดกระจายไปแล้ว
จับฮึงไต้ซือสั่นศีรษะกล่าวว่า
“อาตมาเป็นบรรพชิต ไม่อาจละศีลฆ่าฟันอีก ดังนั้นพฤติการณ์ผดุงธรรมะ ก็มีแต่ขออาศัยทุกท่านประแจทองดอกนี้ อาตมาตกลงใจว่าจะมอบต่อฉี้โกวเนี้ยเชิญจัดการตามสะดวก”
กลุ่มผู้คนฝีมือแทบไม่กล้าเชื่อถือ งงงันไปชั่ววูบ จึงระเบิดเสียงโห่ร้องสะท้านไปทั่ว
แลเห็นจับฮึงไต้ซือ ท่ามกลางเสียงโห่ร้องอย่างปีติ ได้สาวเท้าก้าวออกไป เรือนร่างที่สูงโปร่ง ค่อยๆ ห่างจาก มินานก็หายลับไปในพื้นหิมะ
ฉี้อิงถอนหายใจกล่าวกับพวกปึงเซียะว่า
“นี่ช่างเป็นเรื่องที่นอกเหนือความคาดหมาย จับฮึงไต้ซือท่านนั้นนับเป็นบรรพชิตผู้สูงส่ง ทำให้ผู้คนเคารพเลื่อมใสยากจะลืมเลือน”
ผู้คนกลุ่มใหญ่นี้ ต่างก็หารือถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความลิงโลด ต่อจากนั้นก็ออฉี้อิงก้าวเดินไปยังเจดีย์ทองที่ตั้งตระหง่านง้ำมาร้อยกว่าปี
ฉี้อิงปฏิบัติตามคำแนะนำที่สลักบนตัวประแจ จากบานประตูเล็กๆ นับร้อยๆ พันๆ เสาะพบบานหนึ่ง ซึ่งอยู่บนชั้นที่สอง
ประแจทองเสือกส่งเข้าไปในรูกุญแจ โดยไม่ลำบากยากเย็น ฉี้อิงบิดหมุนไปทางขวามือ ได้ยินเสียงดังควับ ประตูเล็กๆ ที่กว้างยาวเพียงสองเชียะก็เปิดออก
แลเห็นผนังชั้นในของประตู เป็นแผ่นไม้สีขาวแผ่นหนึ่ง ซึ่งแกะสลักอักษรจำนวนสุดคณานับ กับภาพรูปมนุษย์ อิริยาบถแตกต่างกัน มองวูบเดียวก็ทราบว่าคือเคล็ดวิชาและภาพประกอบของวิชาฝีมือแขนงหนึ่ง
ฉี้อิงล้วงหยิบแผ่นไม้ออกมา แลเห็นหลังแผ่นไม้ยังมีประแจทองอีกดอกหนึ่ง จึงรีบนำออกมา และส่งให้กับปึงเซียะทันที
ในเวลาขณะนี้ ปึงเซียะก็ภาวนาที่จะฝึกปรือวิชาฝีมืออันเยี่ยมยอด และสำเร็จแตกฉานอย่างรีบด่วน เพื่อใช้ต่อต้านกับอลัชชีโลกันตร์
มันปฏิบัติตามคำชี้แจงบนตัวประแจ เสาะพบบานประตู เปิดด้วยประแดดอกนี้บนชั้นที่สาม พอเปิดออกมา สภาพการณ์ก็เฉกเช่นกับฉี้อิง
ปึงเซียะล้วงหยิบแผ่นไม้ออกมา นำประแจทองที่หลังแผ่นไม้ส่งต่อให้กับนางแมงมุมขาว
นางแมงมุมขาวหยิบประแจทองที่นางได้มาอีก ส่งต่อเนี่ยค๊กเตี่ยเจ้าของเดิม เนี่ยค๊กเตี่ยก็ให้กับเจ้าสำนักฮุยไฮ้ ฮุยไฮ้ก็ถ่ายทอดต่อยู้เชี่ยงชุน
การเปิดประตูบนเจดีย์ทองคำ ได้ดำเนินโดยมิหยุดยั้งขาดตอน จวบจนมืดค่ำลง ทุกผู้คนก็ผลัดเปลี่ยนกันสามารถครอบครองวิชาหนึ่ง
ขณะนั้นเอง ซิเล้งที่ใต้เจดีย์ทอง ก็สังเกตพบว่าประตูของห้องเทพเจ้า ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์พลันเปิดออกมา
ซิเล้งใจเต้นระทึก พึมพำอย่างงงงันว่า
“นี่แสดงว่าประตูบนเจดีย์ทองคำได้ถูกเปิดออกโดยมิต้องสงสัย อาอิง ปึงเฮียและพวก ลงมาถึงสถานที่นี้แล้ว แต่น่าสงสารนางที่มิทราบว่าเรานั้นอยู่ใต้พื้นดินคิดจะออกไป แต่กระทำมิได้…”
ตนย่อมคาดมิถึงว่า ประตูแห่งวิชาฝีมือทางเบื้องบน ได้ผ่านมรสุมอย่างรุนแรง จึงสามารถเปิดออก หากแม้นจับฮึงไต้ซือไม่พลันบังเกิดความเมตตา มอบภาระผดุงธรรมะให้กับส่วนรวม ถ้าเช่นนั้นประตูของห้องเทพเจ้านี้ ก็มิมีวันเปิดได้เลย
ซิเล้งสงบสำรวมสมาธิอยู่นอกห้องก่อน พอหวนนึกได้ว่า ภายในห้องเทพเจ้า เป็นที่บรรจุสังขารอันศักดิ์สิทธิ์ของปรมาจารย์แห่งบู๊ลิ้มสองท่าน ก็บังเกิดความเคารพนบนอบ น้อมกายลงคารวะ แล้วจึงสาวเท้าก้าวเข้าไป
ภายในห้องเทพเจ้า พอเข้าไปก็เผชิญกับแผ่นผนังที่สูงท่วมถึงเพดานห้อง ทางด้านซ้ายที่อยู่ห่างสองวามีประตูบานหนึ่ง สาดลอดประกายออกมา
ซิเล้งวกเข้าไป แลเห็นภายในประตูแขวนไว้ด้วยม่านอยู่ชั้นหนึ่ง ดังนั้นจึงสาดลำแสงมาอย่างเลือนราง ตนยื่นมือออกปาดเลิก รู้สึกว่าม่านนี้พอสัมผัสมีความอบอุ่นเล็กน้อย และไม่เน่าเปื่อยเสียหาย
เมื่อเลิกม่านมองเข้าไปด้านใน แลเห็นห้องลับนี้ยึดครองพื้นที่กว้างขวางยิ่งนัก มีประกายสว่างไสวยิ่งนัก
ซิเล้งคราแรกต้องหรี่ตาลง เพื่อมิให้นัยน์ตาได้รับความกระทบกระเทือนจนเกินควร
ชั่วครู่ต่อมา จึงกราดสายตามองไปรอบบริเวณ พินิจดูโดยละเอียด
สิ่งแรกที่ปรากฏเข้ามาในครองจักษุ คือด้านตรงข้ามมีเตียงศิลาอยู่สองเตียง บนเตียงหาได้ปูไว้ด้วยฟูกหรือมีผ้าห่มไม่ จึงราบรื่นอบอุ่น บนเตียงต่างนั่งไว้ด้วยบุคคลผู้หนึ่ง นั่งขัดสมาธิอยู่ กึ่งกลางมีโต๊ะศิลาสี่เหลี่ยมตัวหนึ่ง หันหน้าเข้าหากัน
บุคคลทั้งสอง หนึ่งนั้นเป็นชายชราอาภรณ์เขียว ผมเผ้าหนวดเคราล้วนขาวโพลง ขมับนูนสูงเด่น รูปโฉมสง่างามและทรงอำนาจยิ่งนัก
อีกท่านหนึ่งเป็นหลวงจีนชราจากชมพูทวีป ผิวกายดำสนิท รูปโฉมแปลกประหลาด ลักษณะคล้ายดั่งอรหันต์ในภาพวาด จีวรที่สวมใส่หลวมกว้าง เผยให้เห็นกล้ามเนื้อบนทรวงอกเล็กน้อย
ทั้งสองท่านนี้ ล้วนแต่มีชีวิตชีวา คล้ายดั่งกำลังนั่งประจันหน้าสนทนากัน มีบุคลิกที่สูงสง่าหลุดพ้นจากขอบเขตโลกีย์วิสัย
ซิเล้งสำนึกทราบว่า ผู้เฒ่าทั้งสองท่านนี้ ก็คือเทพโฉดสะท้ายโพยม กับมหาสมณะโพธิสัตว์ ดังนั้นจึงไม่พิจารณาสิ่งอื่นเดินเข้าไปอย่างนอบน้อม แสดงความคารวะอยู่หน้าเตียงของทั้งสอง
ตรงหน้าเตียงศิลาทั้งสอง ล้วนมีเบาะกลมใบหนึ่ง คล้ายดั่งจัดให้ผู้ที่เข้ามาภายในห้อง สามารถคุกเข่าลงกราบกราน ซิเล้งทุกครั้งที่หมอบกราบลงไป ก็รู้สึกว่าเบาะกลมมีความนุ่มนิ่มยิ่งนัก และแฟบลงไปเล็กน้อย
พอกราบกรานสักการะแล้ว ก็ผุดลุกขึ้นเพ่งพินิจ จึงพบว่าข้างกายของเทพโฉดสะท้านโพยม ทางซ้ายมือจัดวางด้วยพิณโบราณอันหนึ่ง ทางขวามือมีกาน้ำชาโบราณ และถ้วยเคลือบมีราคา
ส่วนมหาสมณะโพธิสัตว์ ฝ่ามือซ้ายตั้งเป็นสัน บนข้อมือมีประคำสีดำเป็นประกายพวงหนึ่ง ทางขวามือยังจัดวางคัมภีร์ที่เปิดกางอยู่เล่มหนึ่ง คล้ายดั่งก่อนที่จะมรณภาพ ยังสวดคัมภีร์อยู่
ซิเล้งจับจ้องด้วยความเคารพอยู่ครู่หนึ่ง จึงกวาดสายตาไปรอบบริเวณ แลเห็นภายในห้องศิลาอันกว้างขวางนี้ แผ่นผนังล้วนราบเรียบ ทางมุมขวามือมีประตูไม้บานหนึ่ง บนประตูสร้างที่ให้ผู้คนใช้ยึดถือเวลาเปิดออก
นอกจากนี้แล้ว ก็ปราศจากวัตถุสิ่งอื่น มีแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า ชวนให้สงบเยือกเย็น
ซิเล้งสาวเท้าก้าวเข้าไป ยื่นมือทดลองดึงประตู ประตูบานนั้นก็เปิดออกมา บนขอบประตูบังเกิดเสียงดังเบาๆ ปรากฏแผ่นไม้เบาบางแผ่นหนึ่ง ร่วงหล่นลงมา
ซิเล้งมีความละเอียดสุขุม จึงยื่นมือออกรับไว้ ประกายสายตายามเหลือบมอง บนแผ่นไม้มีตัวอักษรอยู่มิน้อย ดังนั้นก็ก้มศีรษะลงอ่านดู ก็เห็นมีอักษรสีแดงเขียวไว้ว่า
“ผู้เข้ามาในห้อง หากมิใช่อนุชนรุ่นหลังที่มีการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี หรือชนชั้นที่มีสัมมาคารวะ ย่อมไม่มากราบสักการะปรมาจารย์ทั้งสองท่าน หากเป็นเช่นนั้นก็จะลงโทษ มิให้ได้รับแนววิชาขั้นสุดยอด
โดยนัยกลับ บุคคลที่มีบุญวาสนา ขออย่าได้ละโมบโลภหลงสมควรเห็นว่า ทรัยพ์สมบัติและยอดวิชาไม้ตาย ซึ่งสามารถสำเร็จอย่างรวดเร็วที่ห้องชั้นในนี้ ไม่มีคุณค่าความหมาย
และผู้มาที่สามารถหยิบฉวยแผ่นกระดาษใบหนึ่งจากซอกประตูบานนี้ ซึ่งได้บันทึกแนววิชาขั้นสุดยอดเทียบเทียมเทพยดา ซึ่งสองปรมาจารย์ร่วมบัญญัติขึ้น
หากแม้นตีความในวิชาเลี่ยงเก๊กซิมกง (พลังจิตสองสุดยอด) นี้ได้สำเร็จแตกฉาน ทั่วใต้หล้าก็ไม่มีผู้เทียมทาน ดำรงตนเป็นเอกะ!”
ซิเล้งบังเกิดความรู้สึกที่ทั้งปีติยินดี ทั้งเซื่องซึมเลื่อนลอย ตนยินดีในข้อที่ว่า วิชาขั้นสุดยอดได้รับแล้วสามารถกวาดล้างอสูรชั่วมารโฉด ดำรงอยู่อย่างไร้เทียมทาน
แต่ก็เลื่อนลอยในข้อที่ว่า ประตูศิลาของตำหนักลับได้ปิดสนิท ไม่มีทางออกไป มาตรแม้นฝึกฝนยอดวิชาได้สำเร็จ ในที่สุดก็ไม่มีประโยชน์ หรืออาจจะอดตายอยู่ในที่นี้
ซิเล้งจากนั้นก็ขับไล่ความนึกคิดอันสับสนในจิตใจ ชำเลืองแลเข้าไปที่ห้องชั้นใน เห็นว่าอัญมณีมีค่ากองสุมกันมากมาย บนผนังแขวนไว้ด้วยภาพวาดเจ็ดภาพ มีทั้งตัวอักษรและภาพอธิบาย
หากแม้นผู้ที่เข้ามาในห้อง ไม่ไปกราบพบซากสังขารของสองปรมาจารย์ ก็ได้เห็นแต่เคล็ดวิชาอันเร้นเหล่านั้น กับของวิเศษมีราคาเท่านี้เอง
ซิเล้งมิเข้าไปดู ก็ทราบว่าวิชาฝีมือทั้งเจ็ดแขนงล้วนเป็นไม้ตายขั้นสุดยอด และมีบางแขนงที่สำเร็จได้ในเวลาสั้นๆ แต่ย่อมคาดมิถึงว่า ยังมีวิชาพลังจิตสองสุดยอดที่สูงล้ำไร้ขอบเขต ซึ่งซุกซ่อนไว้มิแสดงออก
บนประตูไม้บานนี้ ไม่มีร่องรอยใดๆ แต่เมื่อมีคำชี้แจงซิเล้งก็สำรวจอย่างระมัดระวัง อย่างง่ายดายก็พบซอกประตู ดึงเอากระดาษที่สร้างจากหนังแพะอันหยุ่นเหนียวแผ่นหนึ่งซึ่งซุกซ่อนอยู่ บันทึกอักษรเต็มไปหมด
ซิเล้งหยิบฉวยเคล็ดอธิบายวิชาพลังจิตใบนั้น เดินเหินไปทรุดกายนั่งลงที่มุมหนึ่ง เริ่มต้นตรวจอ่านอย่างเพ่งพินิจ
พอเริ่มต้นก็เป็นเคล็ดหนึ่งประโยคมีเจ็ดคำ รวมทั้งหมดมียี่สิบแปดคำ ซิเล้งท่องอ่านอย่างระมัดระวัง คราแรกยังไม่สามารถเข้าใจถึงความหมาย ต่อมาภายหลังได้ค่อยๆ สงสัย จนในที่สุดล้วนไม่เข้าใจ
หลังจากเคล็ดทั้งยี่สิบแปดคำ ยังมีตัวอักษรอธิบายจารึกอย่างละเอียดถี่ยิบ อย่างน้อยก็มีมากกว่าหนึ่งหมื่นคำ
ซิเล้งยิ่งอ่านยิ่งกระตือรือร้น ยิ่งดูยิ่งมีรสชาติ อึดใจเดียวก็ตรวจดูหนึ่งตลบ และได้รับความสำเร็จบ้างแล้ว
นี่เป็นแนววิชาเทพยาดาที่เร้นลับ และสูงสุดยอดแขนงหนึ่ง หากแม้นสามารถฝึกฝนตามวิชาพลังจิต และบรรลุถึงขั้นสำเร็จแตกฉาน ความเข้มแข็งของพลานุภาพ ก็สามารถสะท้านสะเทือนไปทั่วพื้นพิภพจบแดนไม่มีคู่เทียมทาน!
นี่คล้ายดั่งเป็นการเสนอแนะวิธีการอย่างหนึ่ง มรรคาสายหนึ่ง ซึ่งสามารถเอาชัยสามไม้ตายไร้เทียมทานนั้นได้
ตามเหตุผล สามไม้ตายไร้เทียมทาน มาตรแม้นเป็นวิชาท่าร่างที่ใช้ด้วยอาวุธสามชนิด บรรลุถึงขอบเขตสูงสุด สามารถเรียกว่าไร้เทียมทาน แต่ทว่าข้อวิจารณ์ซึ่งเอ่ยอ้างอยู่ในวิชาพลังจิตสองสุดยอดนั่นเป็นเพียงแต่แนววิชาที่ทรงอานุภาพสุดยอด หลังจากหมกมุ่นฝึกปรือเท่านั้นเอง
ข้อวิจารณ์นั้นได้อ้างว่า วิชาไม้ตายไร้เทียมทานสามประการนั้น ยามใช้ออกโดยกระบวนท่าที่บัญญัติขึ้นอย่างละเอียดลึกซึ้ง ก็จะแผ่อานุภาพที่แกร่งกร้าวยากหักโค่น
แต่ทว่าวิชาเหล่านั้น แสดงออกไปในรูปการณ์ชนิดใด ก็ล้วนแต่แผ่อานุภาพของการตอบโต้ และต้านรับ เป็นเช่นกันทุกครั้งไป ส่วนวิชาพลังจิตสองสุดยอด พอบรรลุถึงขั้นสำเร็จ ก็จะมีพลานุภาพเช่นนั้นแล้ว
พร้อมกับนั้น เนื่องจากพลานุภาพที่ทุ่มเทออกได้ใช้ “ดวงใจ” เป็นสาตราวุธ ความละเอียดลึกล้ำสูงส่งพิสดาร ก็ยังเหนือกว่าสามไม้ตายไร้เทียมทาน
ซิเล้งเมื่อทราบซึ้งถึงข้อวิจารณ์ที่สุดสูงส่ง สุดลึกล้ำของแนววิชาแขนงนี้ ก็บังเกิดความปลอดโปร่งโล่งใจ มีรสชาติอันแปลกประหลาด ดั่งราวกับเป็นชีวิตใหม่อีกแบบหนึ่ง
ตนใช้สองมือประคองกระดาษหนังแกะใบนั้น ท่วงท่าเคร่งขรึมสำรวม พึมพำกับตัวเองว่า
“ใช่แล้ว ท่านปรมาจารย์ทั้งสอง อาศัยภูมิปัญญาที่สูงเยี่ยมสำนึกซึ้งถึงสาเหตุของการรวบรวมมนุษย์กับธรรมชาติเข้าด้วยกัน กลับใช้ ‘ดวงใจ’ เป็นสาตราวุธ นั่นย่อมเป็นประเสริฐกว่าวัตถุจำพวกดาบ กระบี่ หมัด เท้าแล้ว”
วิชาพลังจิตสองสุดยอดอันพิสดาร มีความร้ายกาจถึงปานนี้ ถึงกับเหนือล้ำกว่าวิชาฝีมือทุกๆ แขนงในใต้หล้า แต่วิธีการหมกมุ่นฝึกปรือ หาได้ลำบากยากเย็นเท่าใดไม่
ซิเล้งในชั้นแรกได้หาทางเข้าใจถึงความหมายของวิชาฝีมือ เคล็ดวิชาบทนั้นไม่มีตัวอักษรหนึ่งปล่อยปละละเลย พยายามตีความอย่างละเอียด
ในขั้นแรกนี้ได้สูญเสียเวลาไปสิบวัน จวบจนตนถามตัวเองจนเข้าใจแจ่มแจ้ง และสามารถท่องย้อนกลับ จึงยุติการฝึกฝนแขนงนี้ลงมือฝึกปรือชั้นต่อไป
ซิเล้งคาดคำนวณว่า เสบียงอาหารที่อุ้ยเซี่ยวย้งจัดให้ตนเป็นพิเศษ ทุกๆ วันเพียงกัดกินหลายคำ ใช้บำรุงกำลังที่เสื่อมโทรมไป อย่างมากก็อยู่ได้เพียงสามถึงห้าเดือน
หากแม้นห้องเทพเจ้ามิได้เปิดออก หรือหลังจากเปิดออก ตนเนื่องจากมิได้กราบพบซากสังขารของสองปรมาจารย์ ทำให้ไม่ได้รับวิชาพลังจิตสองสุดยอด ตนก็ไม่มีทางคำนวณว่า เสบียงอาหารเพียงน้อยนิดนี้ ช่วยให้มีชีวิตเนิ่นนานถึงสามสี่เดือน
ทั้งนี้เนื่องจากว่า เวลาฝึกฝนวิชาแขนงใด ก็ต้องเสื่อมเสียพละกำลังไปมากมาย สมควรอาศัยอาหารเป็นสิ่งปรนเปรอชดเชยนี่หมายความว่าห้องเทพเจ้าพอเปิดออกแล้ว ตนเสาะพบวิชาฝีมืออย่างอื่น
หากแม้นห้องเทพเจ้าหาได้เปิดออกไม่ ซิเล้งดำรงอยู่ในความมืด และเปล่าเปลี่ยวเดียวดายตลอดกาล มิว่าจะมีความเข้มแข็งถึงปานใด จิตสำนึกรวมตัวกันเพียงไหน
แต่ทว่ามนุษย์เราสำหรับข้อนี้ ก็มีขอบเขตจำกัดตามธรรมชาติ พอผ่านเวลาไประยะหนึ่ง ซิเล้งย่อมไม่อาจรอดพ้นโศกนาฏกรรมที่วิปโยคคลุ้มคลั่ง
หมายความว่า ตนแม้จะมีเสบียงอาหารเพียงพอ แต่ท่ามกลางความมืดและความเดียวดาย ไม่อาจผ่านกาลเวลาอันเนิ่นนานพอถึงขีดสุด ในการอดกลั้นของมนุษย์เรา จิตสำนึกก็พังทลาย และฟั่นเฟือนจนตกตายไป
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป