๕๑
♦ ทดสอบเสี่ยงวาสนา ♦
……………

ทั้งสองสนทนาถึงตอนนี้ ก็ได้ยินอุ้ยฮูหยินส่งเสียงเร่งเร้าหนึ่งบุรุษหนึ่งดรุณี จึงกลับไปในถ้ำ อุ้ยเซี่ยวย้งถือห่อผ้าเล็กๆ ของนาง ซิเล้งกุมกระบี่ยาวเริ่มเดินทางอีกต่อไป

อาศัยฝีเท้าของบุคคลทั้งสี่ ยามวิ่งตะบึงคล้ายดั่งเหินบินยังต้องติดเดินทางเป็นเวลาสองชั่วยาม จึงเข้าไปในหุบเขาคับแคบที่อุ้ยเซี่ยวย้งเคยบอกเล่า และขณะอยู่ในหุบเขา สามารถแหงนหน้าขึ้นทัศนาเจดีย์ทองที่สูงตระหง่านเทียมเมฆนั้น

จับฮึงไต้ซือเดินเหินนำหน้า และเรือนร่างอาศัยพื้นหิมะที่ท่วมสูง จึงสามารถบดบังอำพรางเอาไว้ ขณะมองจากบนหน้าผา ไม่มีทางพบพาน

ชั่วครู่ให้หลัง ทั้งหมดก็เดินเหินอยู่ในเส้นทางของหุบเขา ซึ่งมืดทึบและชื้นแฉะ ทางเดินคดเคี้ยวลื่นไถล ขอเพียงแต่พลาดพลั้งจะได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต

ดังนั้นจับฮึงไต้ซือจึงบงการให้ซิเล้งติดตามอยู่ด้านหลังอย่างกระชั้นชิด และส่งเสียงแนะนำว่าสมควรเดินเหินอย่างไร บ่งบอกตำแหน่งเหยียบย่ำลงไปได้ ซิเล้งก็มิกล้ามีสมาธิวอกแวก และด้วยความยากลำบาก ค่อยมาถึงใต้หน้าผา

หลังจากนั้นก็เริ่มปีนป่ายขึ้นไปตามทางสายคับแคบเปี่ยมภยันตราย บางครั้งยังต้องกระโดดผ่านช่องว่างที่กว้างถึงวาเศษ หากแม้นมิมีผู้คนนำทาง ย่อมคิดหวนกลับอย่างแน่นอน

ซิเล้งเดินเหินจนมีเหงื่อกาฬไหลซึม พลันเหลือบแลเห็นจับฮึงไต้ซือชะงักเท้าหันกายกลับมา ใบหน้าปรากฏรอยแย้มยิ้ม จึงทราบว่าได้บรรลุถึงจุดหมายปลายทาง ทำให้อดมีดวงจิตเขม็งเคร่งเครียดมิได้

ตนพุ่งกายเข้าไปสำรวจดู แลเห็นถ้ำศิลาที่กว้างขวางไพศาลเบื้องหน้า ภายในมีทำเลราบเรียบ และสว่างไสวยิ่งนัก ใกล้กับปากทางเข้า ยังมีต้นพฤกษาอันมั่นคงงอกเงย ผู้ได้พบพานจะมีสติแจ่มใส

อุ้ยฮูหยินกับธิดาทยอยกันตามติดมา อุ้ยฮูหยินล้วงหยิบเสบียงอาหาร แบ่งปันให้ทุกคนรับประทาน

อุ้ยเซี่ยวย้งมิทันรับประทานจนหมดสิ้น ก็ฉุดลากซิเล้ง เดินไปทางขวามือ ลดเลี้ยวเข้าสู่ทางเดินสายหนึ่ง

แลเห็นที่ห่างออกไปวาเศษ มีประตูศิลาสีเขียวบานหนึ่ง ใหญ่โตมโหฬารผิดสามัญ

อุ้ยเซี่ยวย้งชี้มือไปที่ประตูศิลาบานนั้น ใบหน้าพลันปรากฏแววอันหวั่นไหวรันทด กล่าวว่า

“นั่นก็เป็นประตูของตำหนักลับ”

ซิเล้งส่งเสียงดังอือม์ กล่าวว่า

“ท่านเป็นอย่างไร?”

“อา ตำหนักลับหลังนี้ ปู่กับบิดาข้าพเจ้าได้ตรวจสอบแล้วว่า นอกจากประตูบานนี้ มิมีทางอื่นใช้เข้าออก แต่ประตูศิลานี้ก็ชวนให้ประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งนัก”

ซิเล้งกล่าวว่า

“ท่านมิต้องกังวลใจ ข้าพเจ้าย่อมสามารถหวนกลับออกมาภายในกำหนดเวลาสิบสองชั่วยาม”

อุ้ยเซี่ยวย้งพลันถาโถมเข้าไปในอ้อมอกของตนกล่าวว่า

“อาเล้ง ข้าพเจ้าหวาดหวั่นยิ่งนัก หลายวันนี้ข้าพเจ้ายามหลับนอน มักฝันเห็นท่านถูกกักอยู่ในตำหนักลับ ไม่สามารถออกมา ทำให้ได้รับความตระหนกตื่นกลัว”

ซิเล้งมีจิตใจหมองมัว รู้สึกว่านี่คล้ายเป็นลางสังหรณ์อันอัปมงคล แต่ตนพยายามควบคุมตัวเองกล่าวอย่างสงบว่า

“เรื่องนี้เนื่องจากท่านกังวลห่วงใยข้าพเจ้าจนเกินไป ทำให้ฝันร้ายเหลวไหล”

อุ้ยเซี่ยวย้งกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า

“มิว่าอย่างไร หากแม้นท่านไม่สามารถกลับออกมา ข้าพเจ้าชั่วชีวิตจะไว้ทุกข์รักษาตัวเพื่อท่าน…”

กล่าวถึงตอนนี้ ก็มีจิตใจเศร้าสลด อดมิได้ต้องสะอึกสะอื้นร่ำไห้ออกมา

ในทางเดินถูกปกคลุมไว้ด้วยบรรยากาศอันเศร้าสลดวังเวง ซิเล้งขณะนี้เพื่อกอบกู้ชะตากรรมของวงพวกนักเลง ตัดสินใจเร่งรุดสู่ดินแดนอันตราย เสาะแสวงวิชาฝีมือ น้ำใจอันเหี้ยมหาญยึดมั่นธัมมะเช่นนี้ ควรค่าแก่การถูกสรรเสริญเป็นวีรบุรุษแห่งยุค

ในเวลานี้อุ้ยเซี่ยวย้งก็แสดงไมตรีที่ผูกพันอย่างลึกซึ้ง อาลัยอาวรณ์สุดวิปโยค นับเป็นเหตุการณ์ที่ชวนให้สะทกสะท้านหดหู่…

ซิเล้งก็แสดงไมตรีจากใจจริง ยื่นแขนออกโอบรัดร่างอันแน่งน้อยของนาง กล่าวว่า

“อา ข้าพเจ้าแม้ตื้นตันใจในไมตรีของท่าน แต่ก็มิต้องการให้ท่านถึงกับรักษาตัวเพื่อข้าพเจ้าไปจวบชั่วชีวิต”

อุ้ยเซี่ยวย้งพลันกล่าวว่า

“ซินึ้ง (คำเรียกหาต่อสามีแซ่ซิ) เอย! ก่อนที่จะต้องพลัดพรากจากกัน ขอให้ข้าพเจ้าได้เอื้อนเอ่ยวาจาประโยคหนึ่ง… ท่านมาตรแม้นเป็นชายชาติที่รักษามารยาท แต่บางครั้งก็ยึดมั่นจนคร่ำครึเกินไป ทำให้มีเรื่องราวบางประการถึงกับไร้ไมตรี”

ซิเล้งงงงันไปวูบหนึ่ง กล่าวว่า

“ท่านลองยกตัวอย่างดู”

“สมมุติว่าในเวลานี้ หรือว่าท่านมิอาจแสดงความสนิทสนมลึกล้ำต่อข้าพเจ้าด้วย พอถึงยามนี้ผู้ใดให้ท่านรักษามารยาทอีกด้วย?”

ซิเล้งมาตรแม้นมีเหตุผลเอ่ยอ้างอธิบาย แต่ก็ไม่อาจตัดใจกระทำ หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อย ในที่สุดก็ก้มศีรษะลง จุมพิตริมฝีปากของนาง

สำหรับกับซิเล้ง นับเป็นการจุมพิตที่ระบายความรู้สึกอันท่วมท้น เพียงแต่หากมิใช่อนาคตเวิ้งว้าง ความเป็นความตายยากหยั่งคาด ตนก็มิยินยอมกระทำเรื่องราวที่ล้วงล้ำกรอบประเพณีถึงปานนี้

อุ้ยเซี่ยวย้ง ยิ่งมีดวงจิตวาบหวามหวั่นไหว และแทบอยากจะเป็นหิมะที่ถูกเปลวอัคคี หลอมละลายเรือนร่างของตัวเองต่อฝ่ายตรงข้าม

มิทราบว่า กาลเวลาผ่านพ้นไปเนิ่นนานเท่าใด ทั้งสองจึงแยกย้ายออกจากกันอย่างแช่มช้า…

อุ้ยเซี่ยวย้ง ถึงกับมีหยาดน้ำตาร่วงพร่างพรู ฉุดลากชายเสื้อซิเล้ง คอยกำชับกำชาให้ตนระมัดระวัง และพร่ำเตือนว่าหากมิได้วิชาฝีมือ พอถึงกำหนดก็ขอให้กลับออกมา

มีความกำชับแฝงไว้ด้วยไมตรีอันนุ่มนวลสักปานใด? และท่ามกลางไมตรีที่มอบให้ ก็ทำให้นางต้องหลั่งรินหยาดน้ำตาจำนวนมากมายเท่าใด?

นี่เกรงว่าไม่มีทางสันนิษฐานคาดคำนวณได้ ก่อนที่เงาทมึนของอันตรายจะกล้ำกรายมา นงคราญที่มีจิตปฏิพันธ์ มิอาจสลัดใจพลัดพรากจาก…

คำกำชับของอุ้ยเซี่ยวย้ง คล้ายดั่งมิมีวันสิ้นสุด ซิเล้งมิทราบว่านางเอ่ยอ้างว่ากระไร เพียงล่วงรู้ว่านางมีความกังวลใจที่ไร้ขอบเขต ดังนั้นตนจึงคำนึงอย่างเซื่องซึมว่า

“…นี่เรียกว่า ‘ยามพรากจากคำกำชับไหนเลยจะสิ้นสุดได้ ประตูด่านพอปิดลงนับแต่นี้จะเริมเฝ้าอาลัย’ อย่างแท้จริง อา แต่เทพยดาบันดาลให้อาอิงมาก่อน อาย้งมาภายหลัง ภายภาคหน้าสภาพการณ์ย่อมชวนสลดหดหู่…”

ขณะครุ่นคิดอยู่นั้น พลันหวนนึกถึงวาจาที่นางพาดพิงถึงการที่ตนรักษามารยาทจนดื้อรั้นคร่ำครึ จิตใจเริ่มสำนึกกระจ่าง คำนึงว่า

“นางแสดงว่าหมายถึงเรื่องของอาอิง จับฮึงไต้ซือ ได้กำหนดเงื่อนไขไว้ว่า นางต้องหาทางทำให้อาอิงอยู่กินกับบุรุษอื่น จึงอนุญาตให้นางอยู่ร่วมกับเรา มิน่าเล่า นางจึงกล่าวหาว่าเราแทบจะทำให้เกิดเรื่องราวที่ไร้ไมตรี …”

ตนพกพาเอาดวงจิตที่สำนึกเสียใจ หวนนึกถึงฉี้อิง ดรุณีที่งามสะคราญนางนั้น คราก่อนพอพบพานกัน ก็ช่วยเหลือตนรอดพ้นจากเงื้อมหัตถ์ของจูกงเม้ง ภายหลังสามารถเสาะพบซือแป๋ผู้เลิศล้ำ การมีเกียรติภูมิและล้างแค้นได้ ล้วนมีสาเหตุสืบเนื่องจากนางทั้งสิ้น

แต่ทว่า ซิเล้งเพราะบุคคลอีกผู้หนึ่ง ทำให้ทอดทิ้งมิแยแส ไม่ได้คำนึงถึงปัญหาลิขิตชีวิตแทนนางเลย บัดนี้พอเข้าใจเหตุผลด้านนัยกลับ ก็ถึงกับทอดถอนหายใจอย่างหนักอึ้ง และคำนึงว่า

“…เราที่แท้สมควรกระทำอย่างไร จึงมินับว่าผิดพลาดเล่า…?”

พลันได้ยินอุ้ยเซี่ยวย้งกล่าวว่า

“ท่านปลุกปลอบจิตสำนึกจนปราดเปรียว ก็จะไม่กระทำเรื่องราวผิดพลาด”

ซิเล้งจึงทราบว่า ตนได้เอื้อนเอ่ยความในใจออกไปโดยมิรู้สึกตัวดังนั้นก็กล่าวว่า

“ทำอย่างไรจึงจะเรียกว่าจิตสำนึกปราดเปรียว?”

อุ้ยเซี่ยวย้งกล่าวว่า

“อย่าได้เสาะแสวงจุดมุ่งหมายอย่างดื้อรั้น สมควรเร่งรีบกลับออกมาให้ทันกำหนดเวลา”

“อา หากแม้นหวนกลับออกจากภูเขาวิเศษโดยมือเปล่า นั่นจะทำอย่างไร?”

“เรื่องราวสมควรผ่อนผันไปตามสถานการณ์ หากแม้นมีเรื่องอย่างอื่นที่สำคัญมีคุณค่ากว่าการกลับออกมาโดยมือเปล่า ก็สมควรปฏิบัติเช่นนั้น”

นางมีความหมายอ้างอิงว่า ชีวิตมีคุณค่า ไม่อาจสละชีวิต เพราะมุ่งเสาะแสวงของวิเศษ แต่สำหรับกับซิเล้ง รู้สึกว่าแฝงไว้ด้วยความหมายอย่างอื่น ตนได้คำนึงอย่างเชื่องซึมว่า

“…มิผิด มีเรื่องราวบางประการที่สำคัญกว่าความรักส่วนตัว เราหากมิอาจควบคุมตน จะผิดแผกจากเดียรัจฉานที่ใดบ้าง? และจะถูกยกย่องเป็นวีรบุรุษได้อย่างไร? อา แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็สร้างความคับแค้นใจให้กับฉี้อิง…”

ที่ห่างออกไปหลายขวา พลันแว่วเสียงกระแอมไอเบาๆ ซิเล้งกับอุ้ยเซี่ยวย้งรีบแยกย้ายห่างออกจากกัน กวาดมองไปยังปากทางเข้าแลเห็นจับฮึงไต้ซือกับอุ้ยฮูหยิน ได้เดินเข้ามาอย่างแช่มช้า

จับฮึงไต้ซือ กล่าวอย่างนุมนวลว่า

“หนูเอย นี่เป็นเวลาสมควรเข้าไปแล้ว”

อุ้ยฮูหยิน กล่าวว่า

“เจ้ามีเวลาเพียงสิบสองชั่วยาม ต้องกลับออกมาในเวลาเดียวกันนี้เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น และเนื่องจากเป็นยามทิวา ไม่มีผลสะท้อนต่อสายตา ดังนั้นจึงมิอาจชักช้าอีกต่อไป…”

ซิเล้งรับคำว่า ถูกแล้ว อุ้ยฮูหยินยื่นมือออกไปโอบกอดธิดารัก กล่าวเบาๆ ว่า

“มิใช่ว่ามารดาไม่ยอมให้พวกเจ้าสนทนาอีกหลายประโยค หากแต่มีความสัมพันธ์เกี่ยวกับความปลอดภัยของอาเล้ง มิอาจไม่กระทำเช่นนี้”

อุ้ยเซี่ยวย้งปาดหยาดน้ำตา กล่าวว่า

“ผู้บุตรเข้าใจดี”

จับฮึงไต้ซือก้าวเดินไปถึงข้างประตู อุ้ยฮูหยินก็ติดตามไป

อุ้ยเซี่ยวย้ง ร้องว่า

“ช้าก่อน”

นางวิ่งตะบึงกลับไป ชั่วครู่ก็หวนกลับมา ในมือถือห่อผ้าหนึ่ง และเปิดออกมา ล้วงหยิบเชือกหนังสีเหลืองคล้ำขดหนึ่ง มีความหยาบเท่านิ้วหัวแม่มือ ส่งให้กับซิเล้งกล่าวว่า

“พันไว้ที่หว่างเอว”

ซิเล้งลงมือปฏิบัติตาม แต่ในห่อผ้าใบนั้น ยังมีเสื้อผ้าหลายชุด กับวัตถุจำพวกชุดไฟขวดยา อุ้ยเซี่ยวย้งรวบรวมแล้วให้ซิเล้งสะพายอยู่กลางหลัง

นางกล่าวขึ้นว่า

“เชือกหนังเส้นนั้น ข้าพเจ้าได้ขอคำแนะนำจากผู้เฒ่าท่านหนึ่ง สร้างขึ้นเป็นพิเศษ ใช้หนังวัวจำนวนมิน้อย หากจะนำมาเป็นเสบียงอาหาร ทุกๆ วันเพียงขบกัดส่วนหนึ่ง ก็จะเสริมเรี่ยวแรงดำรงอยู่ได้หนึ่งวัน ขดนี้คงให้ท่านใช้ได้เนิ่นนานทีเดียว ในห่อผ้ามีอาภรณ์ใช้ผลัดเปลี่ยนสองชุด และสิ่งของเครื่องใช้ประจำวันหลายอย่าง อา ขอให้ท่านมิจำเป็นต้องใช้มันเลย”

ซิเล้งแลเห็นนางมีความละเอียดรอบคอบถึงปานนี้ ก็ตื้นตันใจอย่างใหญ่หลวง จับจ้องนางอย่างลึกซึ้ง กล่าวเบาๆว่า

“ขอให้เป็นเช่นนั้น ขอบพระคุณท่าน”

จับฮึงไต้ซือพลันกล่าวว่า

“อาเล้ง ระวัง ประตูพอเปิดออก ก็รีบใช้วิชาท่าร่างถาโถมเข้าไป”

ซิเล้งรับคำในบัดดล

แลเห็นจับฮึงไต้ซือยื่นฝ่ามือทั้งสองข้าง ทาบสนิทอยู่กับประตูศิลา ส่วนอุ้ยฮูหยินทาบฝ่ามือขวาอยู่ที่กลางหลังของจับฮึงไต้ซือ นางดำเนินวิธีการถ่ายทอดลมปราณ มิจำเป็นต้องสัมผัสถูกบานประตูด้วยตนเอง

จับฮึงไต้ซือสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ทันใดนั้นจีวรอันหลวมกว้างที่ครองอยู่ พลันพองโตขึ้น คล้ายดั่งกับถูกลมอัดบรรจุจนเปี่ยมล้น

แว่วสำเนียงดังแอด ประตูศิลาบานนั้น เผยอออกเป็นช่องหนึ่ง และได้ขยายใหญ่โต จมหายไปด้านใน เหลือบแลวูบเดียวก็ทราบว่า มีความหนักอึ้งสุดจะเปรียบ

ซิเล้งได้รอคอยพรักพร้อมอยู่ก่อน พอเห็นว่าประตูศิลาบานนั้นเผยอเป็นช่องกว้างประมาณหนึ่งเชียะ ก็ขยับร่างราวกับสายฟ้าแลบพุ่งเบี่ยงกายเบียดเสียดเข้าไป

ขณะที่ตนเพิ่งล่วงล้ำเข้า ประตูศิลาก็ปิดสนิทเข้าหากันดังโครมใหญ่ ทำให้ผู้คนกังวลว่า ซิเล้งอาจจะถูกประตูศิลาบดทับร่าง

อุ้ยเซี่ยวย้งแทบจะกรีดร้องออกมา อาศัยสายตาของนางย่อมเห็นได้ว่า ซิเล้งเข้าไปแล้วหรือไม่ เพียงแต่ผู้กังวลใจสับสน มิมีวิจารณญาณเฉกเช่นยามปรกติ

จับฮึงไต้ซือ อุ้ยฮูหยินกับธิดายังต้องต้านรับภารกิจที่ลำบากยากเย็นอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นจึงพักผ่อนเริ่มผนึกลมปราณ

กล่าวถึงซิเล้งพอเข้าไปในตำหนักลับ ประตูศิลาบานนั้น เมื่อปิดลงก็แปรเปลี่ยนเป็นมืดทึบไร้ประกาย หลังจากสงบสติอารมณ์ก็รวมรั้งสายตาสำรวจมองไปรอบบริเวณ

ภายในตำหนักลับ มีเส้นทางมากมายก่ายกองคดเคี้ยวซับซ้อนแฝงเป็นขบวนพยุห หากแม้นบุคคลสามัญบุกฝ่าเข้าไป ก็ยากที่จะเสาะพบทางออก

ห้วงสมองของซิเล้ง ปรากฏภาพแผนผังโดยสมบรูณ์ของตำหนักลับ ดังนั้นพอรวบรวมสติสำนึกแล้ว ก็เริ่มโลดแล่นเคลื่อนไหวโดยมิลังเล

ก่อนอื่น ตนได้ปฏิบัติตามแผนการ ตกลงใจว่าจะอ้อมตำหนักลับสักรอบหนึ่ง โดยวิ่งตะบึงตามเส้นทางที่กำหนดไว้แล้ว เพื่อทดสอบว่าทางเดินต่างๆ มีส่วนผิดพลาดจากแผนผังหรือไม่ หากแม้นเป็นไปตามที่คาดคิด ตนจะกลับมาที่ปากทางหน้าตำหนัก

หากแม้นมิสามารถหวนกลับมายังจุดเริ่มต้นนี้อย่างรวดเร็ว ก็แสดงว่าสถานการณ์ได้ผิดคาดไป และซิเล้งก็ต้องล้มเลิกความคิดสืบเสาะห้องลับ พยายามค้นหาทางออก

พฤติการณ์เช่นนี้ เพื่อช่วงชิงเวลา หากทราบว่าแผนการกำหนดการพลาดผิดล่วงหน้า ก็จะเพิ่มโอกาสมีชีวิตรอดมากขึ้น

ดังนั้นเอง ซิเล้งจึงทุ่มเทฝีเท้าวิ่งปราดๆ เส้นทางตลอดระยะล้วนแต่มืดมิดสนิท แต่อาศัย สายตาที่เห็นสภาพในความมืดเฉกเช่นตน สามารถสังเกตได้โดยมิผิดพลาด

แต่ทว่าหากแม้นถึงยามค่ำมืด ย่อมมิอาจแลเห็นสภาพใดๆ นี่คือเหตุผลที่ตนไฉนจึงต้องเข้าสู่ตำหนักลับในเวลาเที่ยง เส้นทางเหล่านั้นทุกๆ สายมีความใหญ่เล็กและสภาพลักษณะเฉกเช่นกัน แทบไม่มีทางจำแนกแยกแยะ ระหว่างทางผ่านสถานที่ซึ่งกว้างขวางใหญ่โตมิน้อย คล้ายดั่งเป็นห้องหับ

ซิเล้งวิ่งตะบึงอย่างฉับไว แทบมิต้องเหลือบแลก็ทราบว่าสมควรโลดแล่นไปทางใด ประมาณครึ่งชั่วยามให้หลัง ตนจึงชะงักฝีเท้าลง

หลังจากกวาดสายตาเหลือบมอง ก็พบว่ามาอยู่ในด้านหลังของประตูศิลา

ซิเล้งจึงปลอดโปร่งวางใจ คำนึงว่า

“…ชั้นที่สอง สมควรไปตรวจดูห้องน้ำแข็งนั้นแล้ว…”

ตนหันกายวิ่งปราดเข้าไปในประตูบานหนึ่ง เส้นทางภายในได้สูงขึ้นไปทุกขณะ เดินเหินอยู่มินานนักพลันรู้สึกสำนึกว่า ความหนาวเย็นได้คุกคามจนเสียดกระดูก

ปุถุชนหากมาถึงที่นี้ย่อมมิอาจทนทานเอาไว้ และแข็งตัวตายไป หาไม่ก็ต้องล่าถอยกลับทางเดิม

ซิเล้งย่อมมิถึงกับเป็นเช่นนั้น แต่ยิ่งเดินล้ำหน้าก็ยิ่งรู้สึกหนาวเหน็บเย็นยะเยียบ ยากที่จะทนทานรับไว้

มินานให้หลัง ซิเล้งก็มาถึงหน้าประตูอันแคบเล็กแห่งหนึ่งพอกวาดมองเข้าไปภายใน และเห็นในประตูได้บุ๋มลึก ที่แท้เป็นสระน้ำว่างเปล่า แต่ทางซ้ายมือมีสระน้ำอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งพื้นที่ต่ำกว่ากลับเอ่อล้นด้วยสายน้ำ

ซิเล้งได้ยินจับฮึงไต้ซือบ่งบอกว่า ในสระน้ำชั้นบนมีหยกอุ่นหมื่นปีก้อนหนึ่ง แต่ทว่าเนื่องจากที่นี้มีความหนาวเหน็บสุดจะเปรียบ ดังนั้นพอมีน้ำขังสระน้ำ ก็จะก่อตัวเป็นน้ำแข็ง

หยกอุ่นหนึ่งปีก้อนนั้น มีประสิทธิภาพหลอมละลายน้ำแข็งเชื่องช้ายิ่งนัก ดังนั้นก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมาเช่นนี้ ต้องสูญเสียเวลาถึงสิบปี จึงจะละลายเป็นน้ำ ไหลรินเข้าไปในสระน้ำชั้นล่าง

ประตูศิลาของตำหนักลับบานนั้น สระน้ำด้านบนขณะก่อตัวเป็นก้อนน้ำแข็ง ได้กดดันกลไก แม้จะเป็นเทพยาดาก็มิอาจเคลื่อนออก ต้องรอคอยอีกสิบปี ก้อนน้ำแข็งจะหลอมละลายเป็นสายน้ำโดยสิ้นเชิง จึงสามารถเปิดประตูศิลา

บัดนี้สระว่ายน้ำแห่งนี้ยังว่างเปล่า ซิเล้งพอเหลือบแลเห็นก็รู้สึกพิศวงสงสัย จึงกระโดดปราดลงไปที่ก้นสระ

สระน้ำนี้มีความกว้างยาวประมาณสามวา พื้นล้างล้วนเป็นก้อนศิลาสีขาวสะอาด ราบรื่นยิ่งนัก ในยามนี้ยังชื้นแฉะ และมีน้ำแข็งเบาบางชั้นหนึ่ง มิทันหลอมละลายหมดสิ้น

ซิเล้งเดินเหินอยู่หลายก้าว รู้สึกว่าภายในสระเยือกเย็นจนโลหิตแทบแข็งตัว จึงคำนึงในใจว่า

“…ธรรมดาทุกครั้งที่หิมะตกกระหน่ำ มิรู้สึกหนาวเย็น รอจนหิมะหลอมละลาย กลับหนาวเหน็บยิ่งนัก ในที่นี้น้ำแข็งเพิ่งละเลยไปสระหนึ่ง ดังนั้นย่อมเยือกเย็นกว่าแห่งอื่น เพียงแต่เรามิเห็นมีน้ำถ่ายเทเข้ามาซึ่งจะก่อตัวเป็นน้ำแข็งอีกสระหนึ่งได้อย่างไร?…”

ควรทราบว่า เวลาหิมะตกลงมา รวมตัวเป็นน้ำแข็ง ได้ดึงดูดเอาความหนาวเย็นกลางอากาศไป จึงมิรู้สึกหนาวเหน็บเท่าใดนัก โดยนัยกลับเวลาที่น้ำแข็งหิมะหลอมละลายเนื่องจากต้องดูดรั้งความร้อนจำนวนมากระบายส่วนที่เย็นออก ดังนั้นผู้คนจะหนาวเหน็บเป็นพิเศษ

ซิเล้งเดินเหินอยู่ในก้นสระหลายก้าว พลันรู้สึกสำนึกว่า มีสิ่งผิดปรกติ คราแรกยังมิทราบความนัย แต่แล้วก็ล่วงรู้ได้ ทั้งนี้  เนื่องจากบนพื้นดินไม่มีชั้นน้ำแข็งอีก และความเย็นยะเยียบพลันปลาสนาการไป

ตนพลันฉุกใจได้คิด คำนึงว่า

“…ใช่แล้ว หยกอุ่นหมื่นปีก้อนนั้น ย่อมต้องอยู่ในที่นี้…”

ซิเล้งพกพาเอาความสงสัยใคร่อยากรู้ ย่อกายลงไป แลเห็น ข้างเท้ามีหินสีขาวก้อนหนึ่ง เป็นรูปสี่เหลี่ยมกว้างยาวหนึ่งเชียะ นูนขึ้นสูงจากพื้นดิน

ตนยื่นมือไปลูบคลำ หินขาวก้อนนั้นมีความอบอุ่นเล็กน้อยท่ามกลางความยะเยือกเย็น ส่วนที่อบอุ่นนี้ทำให้ผู้คนบังเกิดความรู้สึกนิยมชมชอบอย่างใหญ่หลวง

ซิเล้งหามีความละโมบโลภหลงแม้แต่น้อย เพียงรู้สึกสงสัยใจ สัมผัสลูบคลำ พลันรู้สึกว่าหินก้อนนี้สามารถเคลื่อนไหว จึงลองยกขึ้น

คาดมิถึงว่า หินขาวก้อนนั้นกลับหลุดติดมือขึ้นมา น้ำหนักเบายิ่งขึ้น มิคล้ายดั่งเป็นก้อนหินที่มีความแข็งแกร่งสมบูรณ์เลย

ซิเล้งพลิกกลับขึ้นดู ที่แท้หินก้อนนั้นกลวงว่างเปล่าภายในปราศจากวัตถุสิ่งใด

ขณะที่ตนพิศวงไม่เข้าใจ ก้มศีรษะลงมองดูบนพื้นดินมีเสาทองเหลืองหยาบประมาณห้านิ้วต้นหนึ่ง ยอดเสาประดิษฐ์ลายดอกบัว และจัดวางหยกที่กว้างเพียงสามนิ้วก้อนหนึ่ง

ท่ามกลางความมืดมิด สามารถเห็นได้ว่า หยกก้อนนั้นมีสีแดงสดใส ทอประกายเรืองรองอย่างเลือนราง

ตนยื่นมือออกไปหยิบฉวย นิ้วมือเพิ่งสัมผัสกับแผ่นหยกสำเนียงครืนครันประหนึ่งทัพม้าโถมทะยาน ก็พลันกระแทกกระทั้นเข้ามา

โดยสัญชาตญาณประจำตัว ซิเล้งได้กระโดดปราดไปอีกด้านหนึ่ง สองเท้าเหยียบย้ำอยู่ที่ขอบสระ ในยามนั้นลำน้ำสายหนึ่งได้ถ่ายเทเข้ามาในสระ ยามกะทันหันสำเนียงสะท้อนกึกก้อง จนคล้ายดั่งเป็นกองทัพม้าบุกตะลุยเข้าประจัญบาน

สระน้ำแห่งนั้นปรากฏน้ำท่วมทะลักเปี่ยมล้น และมิเห็นมีลำน้ำไหลรินเข้ามาอีก

ซิเล้งระบายลมหายใจออกมา คำนึงว่า

“…หากแม้นชักช้าอีกก้าวเดียว ยังตกอยู่ในสระน้ำ มิถูกท่วมทะลักจนตกตาย ก็ต้องแข็งตัวตายไป…”

ขณะขบคิดอยู่นั้น แลเห็นน้ำภายในสระ พริบตาเดียวก็สงบราบเรียบ และแข็งตัวอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็สงบราบเรียบ และแข็งตัวอย่างรวดเร็ว ต่อจากนั้นผิวชั้นบนก็ก่อเป็นน้ำแข็งอันหนาทึบ

ซิเล้งรู้สึกว่า ที่นี้หนาวเหน็บอย่างแท้จริง พลันสำนึกได้ว่า บนฝ่ามือมีความระอุอุ่น จึงทราบว่าตนในยามฉุกละหุก ได้หยิบฉวยก้อนหยกสีแดงนั้นมาด้วย

ความตื่นตระหนกของซิเล้ง คราครั้งนี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก คำนึงว่า

“ทายาทของมหาสมณะโพธิสัตว์ ทุ่มเทกำลังความคิด ใช้น้ำแข็งสระนี้กับหยกอุ่นหมื่นปี ก่อเกิดเป็นกลไกอันพิสดาร ทุกๆ สิบปีจึงสามารถเปิดบานประตู บัดนี้เรานำหยกอุ่นมา ไยมิใช่ทำลายส่วนกลไกไป…”

สีหน้าแม้เต็มไปด้วยแววอันกังวลเสียใจ แต่ก็อับจนปัญญา

พอออกมาภายนอก ซิเล้งใช้ประตูศิลาของตำหนักเป็นจุดเริ่มต้น สงบสำรวมจิตใจ ห้วงสมองหวนทบทวนเส้นทางหลายสาย ที่กำหนดขึ้นก่อน แล้วเริ่มโลดแล่นตะบึง

จับฮึงไต้ซือได้กำหนดเส้นทางให้ ซิเล้งสืบเสาะอยู่หลายสาย และล้วนเป็นตำแหน่งที่มันคราก่อนมิได้เข้าใจถึงความลึกซึ้งของขบวนพยุห ทำให้ละเลยไป

ซิเล้งพุ่งกายไปตามเส้นทางอย่างเร่งร้อน ลดซ้ายเลี้ยวขวาเป็นเวลาชั่วธูปเผาไหม้ดอกหนึ่ง ก็มาถึงสุดทาง ปรากฏผนังศิลาสกัดขวางหน้าอยู่

ตนหวนกลับไปตามทางเดินด้วยความผิดหวัง ทั้งนี้ก็เพราะสุดทางของทางสายแรก แสดงว่าซิเล้งเดินเหินพลาดผิด ต้องหวนกลับไปที่ประตูศิลา คัดเลือกเส้นทางสายที่สอง และวิ่งตะบึงไปอย่างว่องไว

จับฮึงไต้ซือระบุเส้นทางให้ซิเล้งรวมสิบสองสาย ซึ่งเพียงแต่เดินครบสิบสองสาย ก็ต้องสูญเสียเวลาหกชั่วยาม ดังนั้นตนรู้สึกว่ามีแต่พึ่งพิงวาสนา สามารถเสาะพบห้องลับหลังจากวิ่งค้นหาเพียงสองสามสาย

ซิเล้งยามตั้งต้นใหม่ครั้งที่สอง ได้วิ่งตะบึงด้วยความเร่งร้อน แต่ตนกลับคำนวณระยะและทิศทางอย่างระมัดระวัง มิกล้าเลินเล่อแม้แต่น้อย

ประมาณชั่วเวลาเผาไหม้ธูปดอกหนึ่ง ก็มาถึงสุดทาง และเป็นผนังศิลาแห่งหนึ่ง สกัดขวางหน้า ซิเล้งยืนหยัดแน่วนิ่งปานขุดเขา สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ คำนึงว่า

“…เทพยดาขอให้เวทนา เสาะพบห้องลับได้…”

ที่แท้เส้นทางที่สองนี้ สุดทางสมควรเป็นห้องศิลาอันกว้างขวางหลังหนึ่ง

บัดนี้มิได้แลเห็นห้องศิลา กลับเป็นผนังที่ก่อขึ้นจากแผ่นศิลา ทำให้เข้าใจว่าห้องศิลาหนังนั้น ก็คือที่จัดบรรจุซากศพของเทพโฉดสะท้านโพยม กับมหาสมณะโพธิสัตว์

ซิเล้งมิขยับเขยื้อนเคลื่อนกาย แต่ห้วงสมองชุลมุนวุ่นวายทบทวนคำนวณว่า ตนได้เร่งรุดเป็นระยะทางเท่าใด นำไปเปรียบเทียบกับเส้นทางที่กำหนดล่วงหน้าคาดคะเนระยะจากจุดเริ่มต้นถึงห้องศิลา

หากแม้นทั้งสองอย่าง แตกต่างกันสองหรือสามวา ก็เชื่อมั่นว่าห้องศิลาหลังนั้น ก่อสร้างอยู่ด้านหลังของผนังศิลาที่ตั้งตระหง่านขวางหน้านี้เอง

เรื่องราวนี้มีความสำคัญอย่างใหญ่หลวง มิอาจผิดพลาดอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้ก็เพราะผนังศิลานี้ ดูอย่างผิวเผินมีความเกร่งกร้าวผิดสามัญ ขณะนี้ยังมิทราบว่าจะบุกฝ่าเข้าไปอย่างไร

หากแม้นต้องฝ่าทะลวงผนังศิลา ย่อมสูญเสียเวลามากมาย ดังนั้นหากคำนวณผิดพลาด รอจนฝ่าผนังกำแพงเข้าไปแล้ว ค่อยพบว่ามิมีห้องลับ ยามคิดจะกลับไปเสาะหาอีก ก็มิทันท่วงที

ผลสรุปในครั้งแรกที่ตนคาดคำนวณ พบเห็นว่าทั้งสองอย่างแตกต่างกันสองวาเจ็ดแปดเชียะ ซึ่งประจวบเหมาะกับเป็นส่วนลึกของห้องศิลาหลังนั้น ซิเล้งเพื่อความรอบคอบ จึงคำนวณตั้งแต่เริ่มต้นอีก

ซิเล้งได้สูญเสียเวลาเจ็ดวัน เรียนรู้ขบวนพยุหในตำหนักลับ และจดจำทางเดินทุกสายวิธีเดินเหิน กับระยะความยาวไว้อย่างแม่นยำ

บัดนี้ตนคำนวณอย่างละเอียด ถึงระยะทางที่ได้เดินเหินมาซึ่งทุกๆ เลี้ยวมิอาจพลาดผิด หากมิใช่มีความชาญฉลาดเหนือมนุษย์ก็ยากที่จะกระทำได้

ซิเล้งหวนทบทวนอีกครั้งหนึ่ง จนมั่นใจว่าไม่ผิดพลาดจึงสลัดละทิ้งจำนวนทุกสิ่งในห้วงสมอง รวมรั้งสายตาสังเกตผนังศิลานี้โดยละเอียด

จากความใหญ่เล็กของก้อนศิลา สามารถสันนิษฐานว่า ผนังศิลานี้มีความหนาตั้งแต่หนึ่งเชียะขึ้นไป หากแม้นมีเครื่องมือขุดเจาะภูเขา ศิลาที่หนาหนึ่งเชียะย่อมมิยากต่อการทะลวงผ่าน

แต่ซิเล้งหามีเครื่องมือเป็นขุดโดยสมบูรณ์ จึงต้องอาศัยสติปัญญา ทะลวงด่านอุปสรรคนี้ ตนยื่นมือออกทั้งลูบคลำทั้งผลักดัน ทราบว่าผนังศิลามีความแข็งแกร่งอย่างสุดแสน

ดังนั้นซิเล้งจึงสำรวจรอยต่อของก้อนศิลา ยามฝ่ามือสัมผัสถูก มีแต่ความราบลื่น แทบมิมีช่องว่างรอยโหว่ จึงมีใจสะท้านหวั่นไหว

หากทว่าตนมิทอดอาลัย จากเบื้องล่างสู่ด้านบน ค่อยๆ ลูบคลำค้นหา จวบจนห่างจากยอดผนังเพียงสองเชียะ จึงสัมผัสถูกช่องว่างที่หยาบเท่านิ้วมือแห่งหนึ่ง

เพียงแต่ช่องร่องนั้นมิยาวนัก และไม่ทะลวงผ่านผนังศิลา แต่ซิเล้งก็บังเกิดความปีติยินดี เปิดปากที่ถุงหนังที่สะพายอยู่ข้างซ้ายล้วงหยิบเครื่องมือเล็กๆ สามสี่ชิ้นเริ่มลงมือทันที

เครื่องมือเหล่านี้ จับฮึงไต้ซือได้จัดสร้างขึ้น ใช้สำหรับขุดเจาะศิลาโดยเฉพาะ แต่หากแม้นมิใช้บุคคลที่มีพลังฝีมืออันสูงล่ำย่อมมิมีทางใช้ออก

ซิเล้งทั้งขุดเจาะทั้งงัดแงะ วุ่นวายอยู่เนิ่นนานช่องว่างนั้นได้แผ่ขยายเป็นยาวเชียะเศษ ลึกครึ่งเชียะผลที่ปรากฏออกมาไม่เลวทรามนัก แต่จะทะลวงผ่านไปเมื่อใด ก็ยากที่จะสันนิษฐานทราบชัด

ทั้งนี้ก็เพราะความหนาของผนังศิลานี้ ไม่มีทางคาดคำนวณ หากแม้นหนาถึงสองเชียะขึ้นไป แม้นตนจะเจาะผ่าน ก็มิแน่นักว่าสามารถเคลื่อนศิลาก้อนอื่น ย่อมไม่มีทางเข้าไป

ซิเล้งมานะบากบั่น จิตใจมาตรแม้นมีสาเหตุยืนยันว่าจะพลาดพลั้งมิสำเร็จ แต่ปฏิกิริยาของตนหาได้ซะลอชักช้าเพราะการนี้ไม่

หลังจากขุดเจาะอยู่ครู่ใหญ่ พลันรู้สึกว่าที่เจาะกลับเบาหวิว จึงทราบว่าได้ทะลวงผ่านศิลา จากการคำนวณผนังแห่งนี้มีความหนามิถึงหนึ่งเชียะ ทำให้จิตกระตือรือร้น เร่งเร้าการทำงานยิ่งขึ้น

จวบจนมือของตนสามารถลอดผ่านไปอย่างง่ายดาย ซิเล้งจึงเปลี่ยนเป็นใช้ที่ขุดเจาะนำงัดแงะก้อนศิลาและก็สามารถเคลื่อนย้าย จึงทุ่มเทกำลังแงะออกมาได้ก้อนหนึ่ง

ประกายสายตาได้มองฝ่าช่องว่างของก้อนศิลาเข้าไป แลเห็นที่อยู่ห่างสองเชียะมีประตูบานหนึ่ง เนื่องจากมืดทึบเกินไป เพียงเห็นว่ามีบานประตู ส่วนความแน่นหนาของประตู และสภาพอื่นๆ ก็มิถนัดแจ่มชัด

ซิเล้งรวบรวมกำลังขวัญเคลื่อนย้ายแผ่นศิลา และอย่างรวดเร็วก็กระทำจนมีช่องว่างกว้างเชียะเศษ ยาวสี่เชียะแห่งหนึ่ง

บัดนี้ตนมิต้องเสื่อมสูญเรี่ยวแรงไปขยายความกว้างของช่องนี้อีก รีบเบี่ยงกายเบียดเสียดเข้าไป ยื่นมือออกลูบคลำก็พบว่า ประตูบานนั้นหล่อหลอมขึ้นจากเหล็กกล้า!

ซิเล้งใจต้นระทึกหวั่นไหว บังเกิดความตื่นตระหนก ใช้กำลังผลักไส ประตูเหล็กบานนั้นมิขยับเคลื่อนไหว แสดงว่าภายในมีกลไกควบคุม

ตนลงมือทดลองเคาะโดยตลอด แต่ก็มิสามารถเปิดออกได้ คราครั้งนี้ซิเล้งซึ่งแม้จะมีความมานะเด็ดเดี่ยวก็อดท้อแท้ใจมิได้ เอนร่างอยู่กับบานประตู

สมควรทราบว่า ซิเล้งได้ทดสอบเสี่ยงครั้งยิ่งใหญ่เสื่อมสูญพละกำลังและสติสัมปชัญญะ กลับเผชิญชะตากรรมที่ล้นเหลวในบั้นปลาย ไหนเลยจะมิท้อแท้เศร้าเสียใจ

ชั่วครู่ให้หลัง ห้วงสมองอันเวิ้งว้างของตน ได้คึกคักขึ้นเล็กน้อย หลังจากปลุกปลอบตัวเอง แล้วจึงล้วงหยิบชุดไฟ กวัดแกว่งจุดขึ้นมา

ท่ามกลางประกายเพลิงที่สาดส่อง และเห็นทางด้านบนฝั่งขวาของประตูเหล็ก คล้ายดั่งมีรอยอักษร จึงรีบสะอึกเขาใกล้ ชูคบไฟสาดส่อง จริงดังคาดหมาย บนประตูเหล็กสีดำ ได้ขีดเขียนอักษรอยู่แถบหนึ่ง

ซิเล้งพอเพ่งพิศก็เห็นมีใจความว่า

“นอกประตูเซี่ยซิก (ห้องเทพเจ้า) นี้ มาตรแม้นมีอุปสรรคมากมาย แต่ผู้มีปัญญาเปรื่องปราดสามารถทะลวงผ่าน เพียงแต่ประตูเหล็กนี้หากมิมีโชควาสนาประจวบเหมาะ ไม่มีทางเปิดออกได้

ผู้พบเห็นอักษรนี้ สามารถนำประแจไขสู่เจดีย์ทองคำไป นอกจากจะได้รับแนววิชาอันสูงล้ำแขนงหนึ่ง ยังจะครอบครองของวิเศษจำนวนมาก ร่ำรวยมหาศาลเพียงพอต่อกาลชดเชย ความคั่งแค้นใจที่เข้าสู่แดนวิเศษ หวนกลับโดยมือเปล่า

หลวงจีนม้อลั๊ง ฮวบเกียแห่งชมพูทวีป”

ซิเล้งยืนงงงันมิเคลื่อนไหว ชั่วครู่ให้หลังจึงจับจ้องอักษรถัดจากนั้น ซึ่งแนะนำว่าสมควรเดินเหินอย่างไร และสามารถไปยังห้องศิลาหลังหนึ่ง หยิบฉวยประแจเจดีย์ทองคำ จากนั้นก็จะเดินบรรลุถึงประตูตำหนักลับ

ตนในยามนี้รู้สึกคลั่งแค้นใจยิ่ง แต่กาลเวลามีไม่มากนัก สมควรตัดสินใจฉับพลัน หลังจากขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงเบียดร่างออกมาจากช่องผนัง วิ่งปราดไปตามเส้นทางที่อักษรบนประตูแนะนำให้ไว้

จริงดังคาดหมาย ก็ได้เสาะพบห้องศิลาดังว่า และจากพื้นโต๊ะศิลาตัวหนึ่ง เสาะพบประแจทองหนึ่งดอก

บนประแจทองผนวกด้วยป้ายทองเหลืองใบหนึ่ง บนป้ายสลักภาพวาดของประตูเล็กๆ บานหนึ่ง ซึ่งใช้ประแจนี้เปิดออกได้

ซิเล้งซุกซ่อนประแจทอง คำนวณกำหนดเวลา ถึงกับเสื่อมสูญไปสี่ชั่วยาม รู้สึกทั้งหิวโหยทั้งอ่อนเพลีย จึงนั่งลงรับประทานเสบียงกรังจำนวนหนึ่ง

ตนพักผ่อนเป็นเวลาสองชั่วยาม ทุกแห่งหนมีแต่ความมืดมิด แต่ซิเล้งได้ผุดลุกขึ้นก้าวเดินไป โดยมิเร่งร้อนลนลาน มินานให้หลังก็บรรลุถึงประตูตำหนักลับ

ขณะนี้ ห่างจากเวลาเปิดประตูยังมีอีกหกชั่วยาม ซิเล้งนั่งอยู่ครู่หนึ่ง จึงสาวเท้าก้าวไปตามเส้นทางที่ทอดสู่ห้องเทพเจ้า

ซิเล้งเดินเหินไปพลางครุ่นคิดไปพลางว่า

“…มิว่าอย่างไรยังมีอีกหกชั่วยาม เรายืนหยัดอยู่หน้าห้องเทพเจ้า หาหนทางลูบคลำอย่างวุ่นวาย ย่อมประเสริฐกว่าการนั่งอยู่ในที่นี้มากมายนัก…”

ท่ามกล่างความมืดมิด ซิเล้งมิทราบว่า จะผ่านเวลาหกชั่วยามอันยาวนานได้อย่างไร ตนลูบคลำประตูเหล็กบานนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทดสอบวิธีการต่างๆ นานาหมายเปิดออก

ขณะที่ตนจะออกมา ผนังศิลานั้นได้ถูกซิเล้งทำลายไปกว่าครึ่ง สามารถผ่านอย่างไร้อุปสรรค แต่ตนยังกลับมาที่ประตูตำหนักลับด้วยความผิดหวัง รอคอยให้ประตูศิลาเปิดออก บ่งบอกเหตุการณ์ต่อพวกจับฮึงไต้ซือ

หลังจากรอคอยอยู่เนิ่นนานประตูศิลาบานนั้นกลับปราศจากความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย

ซิเล้ง มาตรแม้นมีอุปนิสัยเยือกเย็นลึกซึ้ง แต่ในยามนี้ก็บังเกิดความกระวนกระวายขึ้นมา คราแรกใช้หมัดทุบใส่ประตูศิลา รู้สึกว่าไม่บังเกิดผล จึงนำวัตถุเหล็กกล้าเคาะใส่ จนแว่วสำเนียงดังสดใส

แต่ตนยังระแวงสงสัยว่า เสียงนี้จะถ่ายทอดผ่านประตูศิลาที่หนาทึบ แว่วกระทบโสตบุคคลภายนอกหรือไม่ เพียงแต่มิว่าอย่างไรตนยังลงมือโดยมิหยุดยั้ง

ภายหลังได้ใช้กระบี่เมฆแดงเล่มนั้น กระแทกประตูศิลาจนอาวุธแทบหักสะบั้น จากการคำนวณได้เลยกำหนดเวลาถึงสองชั่วยาม จึงยินยอมรามืออย่างท้อแท้

หลังจากนั้น ซิเล้ง ก็มิห่างจากประตูตำหนักลับไม่กล้าเลินเล่อแม้แต่น้อย ขอเพียงประตูศิลาเคลื่อนไหวเล็กน้อย ก็จะมุดฝ่าออกไป

สภาพเช่นนี้ ยืดเยื้อเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ซิเล้งจึงพิงขอบประตูหลับใหลไปด้วความอ่อนเพลีย แต่บางครั้งก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา รู้สึกว่าประตูคล้ายดั่งเคลื่อนออก หากทว่าความจริง หามีเรื่องราวเช่นนั้นไม่!

ทางด้านนอก จับฮึงไต้ซือ อุ้ยฮูหยิน และอุ้ยเซี่ยวย้งทั้งสามก็ร้อนรุ่มกระวนกระวายอย่างใหญ่หลวง พอครบกำหนดสิบสองชั่วยาม จับฮึงไต้ซือกับอุ้ยฮูหยิน เคยรวบรวมกำลัง ผลักเคลื่อนประตูศิลา หาคาดไม่ว่าบานประตูกลับมิเคลื่อนไหว

อุ้ยฮูหยิน ซะงักการลงมือก่อน แต่พอเหลือบแลเห็นธิดารักมีหยาดน้ำตาเนืองนอง ก็ตรงเข้าไปผลักดันประตูศิลา ราวกับคลุ้มคลั่งรวมกำลังสุดตัวร่วมกับจับฮึงไต้ซืออีกครั้งหนึ่ง

ทุกๆ ครั้งล้วนประสบความล้มเหลว บุคคลทั้งสามต่างก็อ่อนล้าสิ้นเรี่ยวแรง อุ้ยเซี่ยวย้งทางหนึ่งร่ำไห้ อีกทางหนึ่งได้ฟุบอยู่กับอ้อมอกของอุ้ยฮูหยิน

นี่เป็นเหตุการณ์ของอีกสามวันให้หลัง อุ้ยฮูหยินก้มลงมองธิดาที่หลับใหลไป ตัวเองก็ถอนหายใจอย่างอิดโรยกล่าวเบาๆ กับจับฮึงไต้ซือว่า

“นี่จะทำอย่างไร อาย้งอาจเข้าใจว่าพวกเราจงใจไม่ผลักเคลื่อนประตูศิลา”

จับฮึงไต้ซือกล่าวว่า

“เป็นไปมิได้ พวกเราทุ่มเทจนสุดกำลัง นางย่อมสังเกตได้ พร้อมกับนั้นการมีบุตรเขยเฉกเช่นซิเล้ง นับว่าปลาบปลื้มประโลมใจยิ่งนัก ไฉนไม่ปลดปล่อยมันออกมา”

“ประตูศิลาบานนี้ เกรงว่าไม่มีวันเปิดออกได้! ย้งยี้ย่อมมิอาจรับความกระทบกระเทือนนี้  อา นับว่าเป็นลิขิตของฟ้าดินทีเดียว”

จับฮึงไต้ซือส่งเสียงกล่าวว่า

“มิผิด ฟ้ามีเจตนาเช่นนี้ พวกเราก็อับจนปัญญา หากแม้นนางไม่ไปพบพานซิเล้ง พวกเราก็มิมายังที่นี้”

“ยังประเสริฐที่เราได้แปรเปลี่ยนความตั้งใจ คราก่อนเห็นพ้องกับท่าน รับซิเล้งเป็นบุตรเขย หาไม่แล้วผู้ที่ถูกกักอยู่ในตำหนักลับ คงเป็นโต่วอิกทิ้ว… บัดนี้ซิเล้งเมื่อไม่อาจออกมา โต่วอิกทิ้วก็คือบุตรเขยของตระกูลอุ้ยแล้ว”

โต่วอิกทิ้วที่นางอ้างอิงถึง เป็นบุตรสหายสนิทของอุ้ยฮูหยินมิเพียงแต่มีความสง่างาม ยังถนัดในการใช้ถ้อยคารม ได้รับความชมชอบจากอุ้ยฮูหยินยิ่งนัก

จับฮึงไต้ซือมิแสดงความคิดเห็นพ้องหรือปฏิเสธ กล่าวถามอย่างเฉื่อยชาว่า

“ทารกผู้นั้นขณะนี้อยู่ที่ใด?”

“โต่วอิกทิ้วหรือ มันสองปีท่องเที่ยวในวงพวกนักเลง ประกอบพฤติการณ์ที่น่าเลื่อมใส ทุกๆ ปี มันจะมาคารวะเราครั้งหนึ่ง คาดว่าใกล้จะมาแล้ว”

“มันยิ่งมาสายก็ยิ่งประเสริฐ ย้งยี้สมควรใช้เวลาระยะหนึ่ง จึงสามารถลบเลือนเงาของซิเล้งไป”

อุ้ยฮูหยินสั่นศีรษะอย่างมิเห็นพ้องด้วย กล่าวว่า

“พวกเราไหนเลยจะให้เอียเท้าตกลงใจเอง โต่วอิกทิ้วนั้นประเสริฐจริงๆ มิอาจชักช้าเสียเวลาเลย”

“ท่านคิดจะให้มันพอมาถึง ก็ตกลงเรื่องมงคลทันที?”

“มิผิด เราจะให้พวกมันแต่งงานกัน และโต่วอิกทิ้วนำย้งยี้ไป นางพออยู่ทางด้านนอก ย่อมสามารถลืมเลือนซิเล้งได้”

จับฮึงไต้ซือกล่าวว่า

“เรารู้สึกว่าไม่แน่นัก ย้งยี้ดื้อรั้นมิโอนอ่อนประดุจท่านเมื่อกาลก่อน”

มันคิดจะหาทางตักเตือนอุ้ยฮูหยิน อย่าได้มีอารมณ์หุนหัน บีบบังคับจนธิดารักอับจนหนทาง ก่อกวนเป็นผลสุดท้ายอันเลวร้าย

หาคาดไม่ว่า ยังมิเอ่ยวาจา อุ้ยฮูหยินก็มีใบหน้าเคร่งเครียดลง กล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า

“นางกล้าไม่เชื่อฟังวาจาของบิดามารดา? เฮอะ หากเป็นเช่นนั้นจะมีธิดาไปไย มิได้ โต่วอิกทิ้วพอมาถึงบ้านเรา ก็จะประกอบพิธีวิวาห์”

จับฮึงไต้ซือเบือนหน้าไป แหงมองท้องฟ้าที่มึดทึบทมึน จิตใจของมันเฉกเช่นดั่งสีสันบนท้องฟ้า ขบคิดอย่างเงียบงันว่า

“…ท่านได้บีบบังคับสามีจนพึ่งพิงต่อพุทธองค์ ยังมิรู้จักกลับใจ บัดนี้ก็มาบังคับธิดาด้วย…”

มันเพราะฮูหยินผู้นี้ ทำให้ออกบวชเป็นหลวงจีน บัดนี้เห็นนางแสดงนิสัยดังเดิม ก็ทราบว่าไม่มีทางเปลี่ยนแปลง พลันบังเกิดความชิงชังขมขื่น มิเอื้อนเอ่ยวาจา

แต่จับฮึงไต้ซือก็ซึมทราบว่า หากแม้นมันไม่หาทางช่วยเหลือธิดา อาจจะก่อกวนโศกนาฏกรรม จึงมิอาจสลัดจากไป

หลังจากขบคิดอยู่ครู่ใหญ่ ถึงกับรู้สึกสมองมึนงง ไม่มีหนทางอันเหมาะสม จึงกล่าวว่า

“เราจะออกไปเดินสักครู่หนึ่ง ย้งยี้พอตื่นขึ้นมา ท่านอย่าเพิ่งพาดพิงถึงเรื่องโต่วอิกทิ้ว ให้เราปลอบโยนนางเสียก่อน”

พอเดินเหินมาถึงปากถ้ำ ก็เบือนศีรษะมองไป แลเห็นผู้เป็นธิดาแอบอิงอยู่ในอ้อมอกของอุ้ยฮูหยิน ยังหลับใหลอยู่ ฝ่ายมารดาก็ตกแต่งผมเผ้าแทนนางอย่างแผ่วเบานุ่มนวล อิริยาบถเต็มไปด้วยความรักใคร่เวทนา

จับฮึงไต้ซืองงงันไปวูบหนึ่ง คำนึงว่า

“…ที่แท้เป็นธิดาในสายเลือด ความรักใคร่เมตตา ได้บังเกิดจากใจจริง…”

แต่มันก็แลเห็นขนคิ้วของอุ้ยฮูหยิน เลิกสูงขึ้นเล็กน้อยเป็นสัญลักษณ์แสดงว่า นางได้มีความตกลงใจในเรื่องราว

จากข้อนี้พิสูจน์ชัดว่า นางตัดสินใจที่จะยกธิดาให้กับโต่วอิกทิ้ว ซึ่งเป็นความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยว ไม่มีวันคลอนแคลน

ประกายสายตาของจับฮึงไต้ซือเบือนไปยังอุ้ยเซี่ยวย้ง แลเห็นใบหน้าของนางมีแววอิดโรย หางตาคล้ายดั่งยังมีคราบน้ำตาประดับอยู่

ผู้เป็นบิดาเฉกเช่นมัน พลันบังเกิดความโศกเศร้ารันทด มันคล้ายดั่งสามารถแลเห็นสีหน้าเมื่อยามเยาว์ของนาง กาลเวลาไม่ทำให้สายตาของบุพการีเปลี่ยนแปลงไปเท่าใดนัก ธิดานี้ยังคงเป็นทารกหญิงที่อ่อนแอไร้เดียงสา

ดังนั้นหลวงจีนชรารูปนี้ ก็ปรากฏกายหยาดน้ำตาเอ่อคลอ ในสายตาที่เลือนราง คล้ายดั่งแลเห็นผู้เป็นธิดาคล้ายดั่งขอความช่วยเหลือเฉกเช่นนางยามเยาว์วัย คิดกระทำเรื่องราวใดไม่สำเร็จ ก็จะวิ่งมาหาธิดา และบุพการีผู้ใดสามารถรามือ ไม่แยแสสนใจกับการขอความช่วยเหลือจากบุตรธิดาด้วย?

จับฮึงไต้ซือรีบเร่งรุดจากออกมา เพื่อมิให้ภรรยาแลเห็นหยาดน้ำตาของมัน แต่ความคับแค้นรวดร้าวในใจ ยังปกคลุมอย่างลึกซึ้ง

มันก้าวย่างอย่างเร่งร้อน ผ่านจุดอันตรายมากมายหลายแห่ง ขอเพียงแต่เลินเล่อก็จะพลัดตกลงไปในสถานที่อันเลวร้ายตามธรรมชาติ แต่มันมีความชำนิชำนาญในภูมิประเทศ จึงมิได้รับภยันตราย

พออ้อมผ่านยอดเขาอันขาวสล้างสองแห่ง แลเห็นเจดีย์ทองหลังหนึ่ง ตั้งตระหง่านอยู่บนหน้าผาฝั่งตรงข้าม เนื่องจากทางด้านเจดีย์ทองมีพื้นที่ต่ำกว่า มันจึงยลชมอยู่เชิงเขาข้างเคียง

นี่เป็นทางลับสายหนึ่งที่จากตำหนักลับไปถึงเจดีย์ทองคำ จับฮึงไต้ซือเมื่ออายุเยาว์ เคยเดินผ่านนับร้อยพันครั้ง บัดนี้หากคิดจะไปยังเจดีย์ทองคำ ขอเพียงแต่ลงจากเขานี้ ปีนป่ายเขาลูกตรงข้ามก็บรรลุถึง

แต่มันมิได้กระทำเช่นนั้น เพียงทัศนาขณะอยู่ห่างไกล จิตใจยังคงเลื่อนลอยและสะทกสะท้อน

ทันใดนั้น เบื้องล่างของเจดีย์ทอง ปรากฏเงาร่างหลายสาย ด้วยสัญชาตญาณจับฮึงไต้ซือรีบซุกซ่อนร่างกาย โผล่พ้นแต่ดวงตาจับจ้องมองไป

เงาร่างหลายสายนั้น โลดแล่นไปยังเจดีย์ทองคำ จับฮึงไต้ซือมีสายตาคมกล้า สังเกตได้ว่าพวกมันมิใคร่เร่งร้อนเท่าใด เพียงแต่รูปโฉมมิอาจเห็นชัด และเนื่องจากอากาศเหน็บหนาว ทุกผู้ทุกคนสวมเสื้อผ้าจำนวนมาก แทบมิอาจจำแนกเพศได้

จับฮึงไต้ซือคำนึงว่า

“…คาดว่าพวกมันเพียงแต่มาชมดู หรือรอคอยผู้ที่มาเปิดเจดีย์ทองคำ…โอมมณีตัสสะ บุคคลเหล่านั้นหากสามารถไขเปิดเจดีย์วิเศษ เราจำต้องลงมือขัดขวางปฏิบัติตามกฎระเบียบของบรรพบุรุษ แม้จะต้องละศีลฆ่าฟัน ก็จำต้องกระทำ…”

ดังนั้นมันจึงสังเกตการเคลื่อนไหวของบุคคลเหล่านั้น เนิ่นนานให้หลังก็มีผู้คนอีกขบวนหนึ่งปรากฏกายขึ้น เดินมาใต้เจดีย์ทอง แต่มิมีผู้ใดหยิบกุญแจลงมือ

จับฮึงไต้ซือแหงนมองท้องฟ้า และทนรอต่อไปมินานให้หลัง บุคคลเหล่านั้นก็พากันแยกย้ายจากไป ที่แท้สถานพักแรมของพวกมันห่างไกลยิ่งนัก ต้องเดินทางกลับก่อนสุริยันล่วงลับ หากรอจนมืดค่ำตามรายทางอาจประสบอันตราย

ฝ่ายจับฮึงไต้ซือก็หวนกลับ มาถึงหน้าประตูตำหนักลับ แลเห็นอุ้ยเซี่ยวย้งได้ตื่นแล้ว กำลังสนทนากับอุ้ยฮูหยิน บนใบหน้ามีหยาดน้ำตาเนืองนอง

มันลอบทอดถอนใจ เดินเข้าไปฉุดลากธิดารักกล่าวว่า

“สมควรให้มารดาเจ้าหลับนอนบ้าง”

อุ้ยเซี่ยวย้งแอบอิงผู้เป็นบิดาอย่างไร้เรี่ยวแรงกล่าวว่า

“บิดา อาเล้งย่อมแตกตื่นจนมีสภาพอันเลวร้าย”

จับฮึงไต้ซือกล่าวว่า

“มันมิใช่คนธรรมดา ย่อมไม่เช่นนี้”

มันทราบดีว่าธิดารักภาวนาให้บิดามารดาล้วนอาศัยอยู่ในที่นี้ เพื่อทดลองผลักเคลื่อนประตูตำหนักทุกวี่วัน จึงขบคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า

“เมื่อครู่นี้เราเห็นมีผู้คนไม่น้อยวนเวียนอยู่รอบๆ ของเจดีย์ทองคำคล้ายดั่งรอคอยผู้ครอบครองประแจทอง”

อุ้ยฮูหยินพลันกระตือรือร้นขึ้นมา กล่าวว่า

“หากแม้นมีผู้คนคิดจะเปิดเจดีย์ทอง พวกเราย่อมมิอาจไม่ขัดขวาง”

จับฮึงไต้ซือส่งเสียงกล่าวว่า

“ย่อมต้องแน่นอน แต่พวกเราหากลงมือเร็วเกินไป ฝ่ายตรงข้ามจะไหวตัว ผู้ครอบครองประแจทองมิกล้ามา”

“ถ้าเช้นนั้นท่านมีความคิดเห็นอย่างไร?”

“พวกเราก็ลอบสังเกตความเคลื่อนไหว ทางที่ประเสริฐก็ขอให้ช่วงชิงประแจทองมาได้”

อุ้ยฮูหยินกล่าวว่า

“ตกลง พวกเราผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าควบคุมพวกมัน”

นางล้มกายลงนอนบนผืนหนังสัตว์ คลุมผ้าห่มหนาหนักกล่าวอีกว่า

“เราจะนอนก่อนแล้ว”

อุ้ยเซี่ยวย้งกับผู้เป็นบิดาได้เดินเหินมาอีกด้านหนึ่ง นางกล่าวเบาๆ ว่า

“บิดา ท่านไฉนไม่อนุญาตให้ข้าพเจ้าเอ่ยปากด้วย?”

จับฮึงไต้ซือ กล่าวว่า

“เราทราบว่าเจ้าคิดจะขอความกรุณาให้กับฉี้อิง ทั้งนี้ก็เพราะรับทราบมาว่า นางมีประแจเจดีย์ทองคำ แต่เจ้าหากเอ่ยวาจา จะก่อกวนเรื่องราวจนเลวร้าย”

อุ้ยเซี่ยวย้งหลั่งน้ำตากล่าวว่า

“หรือว่ามารดาคิดจะจัดการกับสหายสนิทของอาเล้งจริงๆ? ข้าพเจ้าสมควรทำอย่างไร?”

“เจ้าสมควรเข้าใจว่า ผู้มีไมตรีต่อซิเล้ง คือเจ้าหาใช่มารดาเจ้าไม่ ดังนั้นเรื่องของซิเล้งนางคิดจะกระทำอย่างสุดกำลัง มิคอยปฏิบัติอย่างเชื่องช้า และนางผู้เป็นมารดาจะยกเจ้าให้กับบุคคลอื่น”

อุ้ยเซี่ยวย้งกล่าวอย่างแตกตื่นว่า

“บิดา ผู้บุตรชั่วชีวิตนี้เป็นคนในตระกูลซิ จะมิอยู่กินผู้อื่นอีก”

จับฮึงไต้ซือผงกศีรษะกล่าวว่า

“เราทราบว่าเจ้าคิดเช่นนั้น แต่มารดาเจ้าไม่อนุญาตให้เจ้าตกลงใจ อุปนิสัยของนางเจ้าย่อมทราบดี หากแต่ขณะนี้ มิพาดพิงถึง จะพูดถึงเรื่องช่วยเหลือซิเล้ง หากแม้นมารดาเจ้าคิดจากไป เราลงมือเพียงผู้เดียวไม่มีทางเปิดประตูตำหนักได้”

“อา ถ้าเช่นนั้นมารดาหากจะจากไปจริงๆ ก็จะกระทำอย่างไร?”

จับฮึงไต้ซือกล่าวว่า

“ดังนั้นเราจึงคิดอาศัยเรื่องที่มีผู้คนต้องการเปิดเจดีย์ทองคำ หน่วงเหนี่ยวมารดาเจ้าไว้ชั่วคราว เพื่อเราสองคนสามารถรวมกำลังลองผลักประตูตำหนักอีก แล้วภายภาคหน้าค่อยวางแผนกัน”

อุ้ยเซี่ยวย้งจึงเข้าใจเจตนารมณ์ของผู้ให้กำเนิด และอดเอนร่างอยู่กับทรงอกของมันอย่างตื้นตันใจมิได้ จับฮึงไต้ซือลูบคลำผมเผ้าของนางเบาๆ ประหวัดหวนนึกถึงอดีตเมื่อสิบกว่าปีก่อนอีก

แต่ทว่ากาลเวลากลับโหดร้ายถึงปานนี้ และชีวิตมนุษย์ก็ทารุณถึงปานนี้ ธิดาน้อยของมันเมื่อก่อนกาลก่อน มิเพียงแต่ได้เติบโตสมบูรณ์และยังเผชิญกับความกระทบกระเทือนใจอย่างใหญ่หลวง

หลวงจีนทรงปริยัติธรรมรูปนี้ ได้บังเกิดความรักเมตตาต่อบุตรในสายเลือดอีกครั้งหนึ่ง และแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา มันยินยอมรับความสะเทือนใจแทนผู้เป็นธิดา  โดยมิตัดพ้อต่อว่า แต่นั่นก็เป็นไปมิได้ มันจึงมีแต่ความโศกเศร้ารันทด

อุ้ยเซี่ยวย้งได้รับความเศร้าสลด แต่นางยังมีบิดามารดาคอยพิทักษ์ปกป้อง แต่ในยามนี้ซิเล้งซึ่งนั่งอยู่ข้างประตูตำหนักลับ จึงจะเผชิญกับความคับแค้นขมขื่นใจอย่างแท้จริง

ซิเล้งตลอดเวลาได้อยู่ที่ประตู เนื่องจากเกรงว่าประตูศิลาจะเปิดออกอย่างกะทันหัน ทำให้พลาดโอกาสออกไป แต่จวบจนบัดนี้ตนก็มิอาจไม่ท้อแท้ทอดอาลัยแล้ว

อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่