๕o
♦ บุญทำกรรมแต่ง ♦
……………
จับฮึงไต้ซือพลันส่งเสียงดังกังวานว่า
“อาย้งเข้ามาได้”
อุ้ยเซี่ยวย้งถลันเข้ามา ประกายสายตายามเหลือบแล แลเห็นซิเล้งยืนสำรวมอยู่หน้าเตียง ในยามกระทันหันมิทราบสถานการณ์เป็นอย่างไร จึงมีดวงใจเต้นระทึกตูมตาม
จับฮึงไต้ซือกล่าวว่า
“อาย้ง บิดาได้ยึดพุทธองค์เป็นที่พึ่ง เจ้าก็มิใช่สตรีสามัญทั่วไป ดังนั้นบิดาจึงตกลงใจว่าจะเรียกหาเจ้ามา เพื่อหารือกันสักคราหนึ่ง”
“หารือเรื่องอันใด?”
จับฮึงไต้ซือส่งเสียงกล่าวว่า
“หากแม้นบิดาเป็นซิเล้ง เกี่ยวกับเรื่องแต่งงานอยู่กินนี้ ย่อมต้องมีการไหวระแวงหลายประการ ขอพาดพิงถึงด้านปฏิเสธการแต่งงาน มันกับตระกูลอุ้ยไม่มีความสัมพันธ์กัน แต่ฝึกหัดเพลงกระบี่ไปท่าหนึ่งการลงทัณฑ์สถานเบาคือตัดแขนข้างหนึ่ง
สำหรับกับมัน หาใช่มิกล้ารับความเจ็บปวดครั้งนี้ไม่ ข้อที่มันหวั่นเกรงก็คือ หากแม้นมิได้ฝึกหัดยอดวิชา ภายภาคหน้าสถาบันอำมหิตจะอาละวาดโดยไร้ผู้ขัดขวาง และกิมเม้งตี้จะปลิดชีวิตของมัน”
ซิเล้งกับอุ้ยเซี่ยวย้ง ล้วนรับฟังอย่างเงียบงัน รู้สึกว่าวาจาของจับฮึงไต้ซือมีเหตุผล
จับฮึงไต้ซือกล่าวอีกว่า
“ความจริงข้อเสียหายในการปฏิเสธการแต่งงาน ไม่เพียงแต่เท่านี้ สมมุติว่ามาตรแม้นตระกูลอุ้ยเรายินยอมปล่อยปละมัน และให้ฝึกปรือพลังฝีมือในเจดีย์ทองคำ แต่มันก็ต้องหมกมุ่นฝึกหัดร่วมกับฉี้อิง
เมื่อเป็นเช่นนี้ มิเพียงแต่ทำให้ฉี้อิงไม่มีโอกาสเริ่มชีวิตใหม่ คามเจตนาที่มันมุ่งหวัง พร้อมกับนั้นตัวเองก็ยังถลำลึก เพิ่มความคับแค้นขมขื่นใจยิ่งขึ้น”
ซิเล้งถอนหายใจกล่าวว่า
“ผู้เยาว์กลับมิได้คำนึงถึงข้อนี้”
จับฮึงไต้ซือเหลือบแลไปทางธิดารัก กล่าวว่า
“อาย้ง เกี่ยวกับด้านความรัก มีความพิสดารยิ่ง นับแต่โบราณกาลมา ยังไม่มีผู้ใดเข้าใจทราบซึ้ง บ้างก็ว่าไมตรีมีครั้งเดียว ไม่อาจแบ่งปันได้
แต่บ้างก็หาได้อ้างอิงเช่นนั้นไม่ ทั้งนี้ก็เพราะกระแสจิตความจริงไร้ขอบเขต สามารถรับสรรพสิ่งจักรวาลแม้ไพศาล มีแต่ดวงจิตที่ทัดเทียมด้วย เพราะเหตุนี้บางคนเข้าใจว่า หากแม้นเป็นวาสนาประจวบเหมาะ หัวใจดวงเดียวสามารถอนุญาตให้มีไมตรีเพื่อแผ่สองสิ่ง”
อุ้ยเซี่ยวย้งงงงันไปวูบหนึ่ง กล่าวว่า
“บุรุษเพศคนเดียว สามารถรักใคร่อิสตรีสองนางในเวลาเดียวกันหรอกหรือ?”
“ย่อมรักใคร่ได้ แต่สภาพการณ์เต็มไปด้วยความยุ่งยากวุ่นวายยิ่งนัก…บัดนี้ใคร่ครวญแทนซิเล้งต่อไป มันหากเป็นบุรุษที่กตัญญูย่อมครุ่นคิดถึงเรื่องสืบวงศ์ตระกูล หากแม้มันไม่คิดแต่งงานอยู่กินตระกูลซิตกทอดถึงรุ่นมันก็จะสิ้นสุด”
คราครั้งนี้ จับฮึงไต้ซือวิจารณ์แยกแยะอย่างละเอียด มีเรื่องราวหลายประการที่ซิเล้งคาดคิดมิถึงมาก่อน
ซิเล้งถึงกับทอดถอนหายใจกล่าวว่า
“ผู้เยาว์ยามรับฟังคำแนะนำ รู้สึกว่าความโง่ทึบล้วนสลาย”
“ประสกกล่าวประเสริฐแล้ว อาตมาเพียงแต่อยู่นอกวง จึงเห็นได้ละเอียดว่า และหากแม้นมิได้ออกบวช อาศัยศักดิ์ศรีของบิดาอาย้ง สะสางเรื่องราวในวันนี้ เกรงว่าไม่มีความสงบเยือกเย็นถึงปานนี้”
หยุดยั้งไปเล็กน้อย แล้วจึงกล่าวสืบไปว่า
“หากแม้นเจ้าครุ่นคิดทบทวน แล้วตกลงใจรับอาย้งเป็นภรรยา ก็มีผลเสียหายอยู่ประการหนึ่ง เกรงว่าเจ้ายังมิทราบความ”
ซิเล้งทั้งตื่นเต้นพิศวงกล่าวว่า
“ขอให้ใต้ซือชี้แนะด้วย”
จับฮึงไต้ซือเอื้อนเอ่ยว่า
“ตามความเห็นของอาตมา เจ้าเป็นผู้ที่สำนึกพระคุณมากไมตรี ฉี้อิงโกวเนี้ยมีพระคุณต่อเจ้าอย่างไพศาล ทุ่มเทความรักอย่างลึกล้ำ และเจ้าก็เป็นคราครั้งแรกที่รักใคร่ต่อนาง ไมตรีนี้มิเพียงแต่ไม่ไม่จางหายไปตามการเวลา กลับยิ่งนานเจ้ายิ่งคำนึงถึงและสำนึกเสียใจอย่างใหญ่หลวง”
ซิเล้งกล่าวอย่างแตกตื่นว่า
“ผู้เยาว์จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ตัวเองยังมิทราบ”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น นอกจากว่าฉี้อิงในหนึ่งปีกลับกลายเป็นภรรยาของผู้อื่น ซึ่งหมายความว่านางหากเข้าพิธีวิวาห์ในเวลาหนึ่งปีที่เจ้าหายสาบสูญ และก่อนที่จะแต่งงานกับอาย้ง เจ้าจึงจะมิสำนึกเสียใจ”
ซิเล้งพลันรู้สึกคลายใจไปอักโซ คำนึงว่า
“ที่แท้พิธีแต่งงานครั้งนี้ ยังมีเวลาผ่อนผันอีกหนึ่งปี…”
ในห้องศิลาเงียบสงัดไปชั่วขณะหนึ่ง จับฮึงไต้ซือพลันถอยหายใจยาวๆ กล่าวอย่างแช่มช้าว่า
“อาตมาพอจัดการเรื่องราวของพวกเจ้าแล้ว จะไม่ข้องแวะกับโลกีย์วิสัย ซิเล้งเขยเรา เจ้าขอให้รับฟังวาจาของอาตมา….”
ซิเล้งอดมิได้ต้องรับคำอย่างนอบน้อม อุ้ยเซี่ยวย้งถึงกับแย้มยิ้มอย่างเบิกบานใจ แต่ก้มศีรษะลงอย่างร้อนรนไม่ยอมให้ผู้อื่นแลเห็นท่วงท่าอันปลาบปลื้มของนาง
จับฮึงไต้ซือเอื้อนเอ่ยว่า
“ซิเล้ง อาย้งนับแต่บัดนี้ ก็จะเป็นคู่หมั้นหมายของเจ้า แต่ในกำหนดหนึ่งปี จะอนุญาตให้เจ้าหมกมุ่นฝึกปรือวิชาฝีมือ หลังจากสำเร็จแล้ว ค่อยประกอบพิธีวิวาห์
แต่อาตมาจะเสนอปัญหาอันยุ่งยากให้กับอาย้ง กล่าวคือนางต้องช่วยเหลือเจ้าคลี่คลายเรื่องของฉี้อิง ซึ่งมีวิธีอยู่สองประการ หนึ่งคือนางยินยอมให้เจ้ารับฉี้อิงเป็นภรรยา!
หากเป็นเช่นนั้นฉี้อิงจะเป็นพี่สาว อาย้งเป็นน้องสาว ล้วนเป็นภรรยาของเจ้า มีศักดิ์ศรีแตกต่าง สองคือนางต้องหาหนทางทำให้ฉี้อิงแต่งงานอยู่กินกับบุคคลอื่น จากนั้นอาย้งจึงค่อยอยู่ร่วมกับเจ้า”
ข้อสรุปนี้ ทำให้บุรุษและดรุณีทั้งคู่นี้ รับฟังจนงงงันไปโดยเฉพาะอุ้ยเซี่ยวย้ง มีสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด รู้สึกว่าปัญหายุ่งยากเช่นนี้ เท่ากับจงใจไม่ยินยอมให้นางแต่งงานร่วมกับซิเล้งก็ปาน
จับฮึงไต้ซือกล่าวอีกว่า
“บัดนี้พวกเราเดินทางกลับไป และดูว่าเขยเราจะมีบุญวาสนาประการใด?”
ซิเล้งมิเข้าใจว่า คำว่าบุญวาสนาที่ฝ่ายตรงข้ามเอ่ยอ้าง หมายความถึงเรื่องราวอันใด?
อุ้ยเซียวย้งอดมิได้ต้องกล่าวตะกุกตะกักว่า
“บิดา ปัญญาอันยุ่งยากของท่าน…”
จับฮึงไต้ซือกล่าวเสียงนุ่มนวลว่า
“หนูเอย เจ้าหากมิอาจคลี่คลายความยุ่งยาก ก็จะประสบความคับแค้น ดังนั้นเจ้าต้องกระทำอย่างสุดความสามารถ เพียงแต่เจ้ามีปัญญาจำกัดยากจะคลี่คลาย บัดนี้เจ้าแนบใบหูมา บิดาจะบ่งบอกแผนการประการหนึ่ง”
อุ้ยเซี่ยวย้งจึงกลับกลายเป็นปีติยินดี โอบกอดบิดาไว้ จับฮึงไต้ซืออดมิได้ต้องยื่นมือลูบคลำวงพักตร์ของนาง ความเมตตารักใคร่ ได้แสดงออกโดยสิ้นเชิง
หลวงจีนที่สูงส่งผู้นี้ ยังแสดงความรักในสายเลือด ซิเล้งชมเหตุการณ์จนหวนนึกถึงเรื่องรันทด ถึงกับเบือนสายตาไปอีกทางหนึ่ง
จับฮึงไต้ซือกระซิบอยู่ที่ข้างหูของธิดารักว่า
“หนูเอย หากแม้นเจ้ามิอาจคลี่คลายได้ ก็สมควรสืบเสาะว่าผู้ใดคือบุคคลที่ชาญฉลาดเปี่ยมปัญญาที่สุด จากนั้นก็ไปขอคำแนะนำ บิดาเข้าใจว่าเรื่องราวนี้สามารถคลี่คลายอย่างแน่นอน”
อุ้ยเซี่ยวย้งพอได้ยิน ก็หวนนึกถึงกี้เฮียงเค้งซึ่งมีภูมิปัญญาสะท้านภพ ทำให้ลิงโลดสุดจะเปรียบ รีบผงกศีรษะเป็นเชิงแสดงว่าเข้าใจแล้ว
จับฮึงไต้ซือกล่าวกับซิเล้งอีกว่า
“ก่อนที่พวกเราจะออกเดินทาง อาตมายังมีวาจาสำคัญบางประการ ต้องบอกกล่าวเจ้า หนึ่งคือเจ้าภายภาคหน้ามิว่าจะได้อยู่ร่วมกับอาย้งฉันสามีภรรยาหรือไม่ อาตมาจะอภัยโทษที่เจ้าฝึกปรือเพลงกระบี่ตระกูลเรา สองนั้นเจดีย์ทองคำที่ดำรงมีประวัติศาสตร์กว่าร้อยปี ก็สมควรเปิดออกแล้ว!”
อุ้ยเซี่ยวย้งกล่าวถามอย่างยากที่จะเชื่อถือว่า
“บิดาหมายความว่า จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับบุคคลที่เปิดเจดีย์ทองคำเลย?”
“ถูกต้อง สำหรับเรื่องนี้มีส่วนสัมพันธ์กับโชควาสนาของซิเล้ง รายละเอียดภายหลังค่อยอ้างอิง”
มันร้องเรียกให้เลี่ยวอ้วงเข้ามาในห้อง แนะนำอุ้ยเซี่ยวย้งกับซิเล้ง จากนั้นบงการให้มันรวบรวมสิ่งของเครื่องใช้บางประการ เลี่ยวอ้วงใช้ไม้เท้าพระธรรมเป็นไม้คาน แบกหามห่อสัมภาระ ออกจากอารามไปด้วยพร้อมเพรียงกัน
พอก้าวออกจากประตูวัด หลังพุ่มไม้ข้างทางปรากฏเงาร่างสองสายถลันออก กลับเป็นบ่าวรับใช้อากิมกับอาเตีย พวกมันพากันหมอบกายลงกราบกราน
จับฮึงไต้ซือสั่งให้พวกมันลุกขึ้น กล่าวว่า
“อาตมาออกบวชมาเนิ่นนานปี ได้เป็นศิษย์ของสถาบันสงฆ์ ภายหลังพวกเจ้ามิต้องกระทำเช่นนี้”
อากิมกับอาเตียล้วนยืนห้อยมือรับคำ จับฮึงไต้ซือเบือนหน้ามาอิบายกับซิเล้งว่า มันทั้งสองล้วนเป็นทายาทของบ่าวทาสประจำตระกูล จากนั้นจึงถามไถ่ต่ออากิมว่า
“อาโฮ้วเล่า คงอยู่ในบ้านพักด้วย”
อากิมชำเลืองแลอุ้ยเซี่ยวย้งวูบหนึ่ง กล่าวตะกุกตะกักว่า
“ตั่วเสียวเอี้ย (เจ้านายน้อยคนโต)…”
อุ้ยเซี่ยวย้งกล่าวเสริมว่า
“กอ กอ (พี่ชาย) ได้ช่วยเหลือผู้บุตร ชักจูงฉี้อิงไปอีกทางหนึ่ง เกรงว่าหนึ่งเดือนให้หลังจึงจะกลับที่พัก”
จับฮึงไต้ซือสั่นศีรษะกล่าวว่า
“พวกเจ้ากระทำอย่างใจกล้าบังอาจยิ่งนัก ขอให้อาโฮ้วอย่าได้ลืมเลือนคำสั่งสอนอบรมด้วย”
ซิเล้งเพิ่งทราบว่าอุ้นเซี่ยวย้งมีพี่ชายอยู่ผู้หนึ่งจริงๆ จึงหาโอกาสต่ออุ้ยเซี่ยวย้ง และรับรู้ว่าตระกูลอุ้ยมีกฎระเบียบ ห้ามมิให้บุตรชายเหยียบย่างเข้าสู้วงพวกนักเลง แสวงหาเกียรติภูมิ
อาเตียโลดแล่นไปอย่างเร่งร้อน ชั่วครู่ให้หลังได้ควบขับรถม้าคันหนึ่ง ยังมีอาชาพ่วงพีอีกหลายตัว
เนื่องจากร่องรอยของซิเล้ง ต้องการรักษาความลับ ดังนั้นตนกับอุ้ยเซี่ยวย้งจึงโดยสารรถม้าร่วมกันพวกจับฮึงไต้ซือกลับควบขับพาหนะเดินทาง
ตลอดรายทางได้มุ่งสู่ทิศประจิม ซิเล้งรับทราบว่าจุดหมายปลายทางคือพะจี่โล้ว ดังนั้นจิตใจจึงมิมีความรู้สึกกังวลเคลือบแคลง การเดินทางดำเนินไปด้วยความราบรื่นโล่งอารมณ์
ฉากวิวทิวทัศน์แถบทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ผิดแผกจากตำแหน่งอื่น ตามรายทางนอกจากพบพานชาวฮั่นแล้ว ยังมีชนชาวธิเบต แม้ว และอื่นๆ อาภรณ์การแต่งกายประหลาดพิสดารยิ่งนัก
หลังจากผ่านตัวเมืองเงี่ยจิว ขาวฮั่นก็เริ่มลดน้อยลง พอรอนแรมอีกระยะหนึ่ง ก็บรรลุถึงเมืองคังเตี่ย
ซิเล้งสำหรับกับพวกลามะที่สวมเสื้อเหลืองหรือแดง รู้สึกสนใจยิ่ง และรับทราบจากอุ้ยเซี่ยวย้งว่าสถานที่นี้มีคณะพรรคลามะกับรับรู้ด้วยว่าตระกูลอุ้ยมีตำแหน่งอันสูงส่งอยู่ในบริเวณแถบนี้ด้วย
จับฮึงไต้ซือก่อนที่จะออกบวช เคยเป็นที่ปรึกษาของข้าราชการแถบนี้ และสองปีนี้พี่ชายของนางอุ้ยอิกโฮ้วก็รับตำแห่นงแทน ตระกูลอุ้ยจึงทรงอำนาจอยู่ที่พะจี่โล่วนี้ ขบวนรถม้าพอผ่านพ้น ผู้คนตามรายทางล้วนแสดงความเคารพ
ในที่สุดผู้คนทั้งหมดก็เข้าไปในสายบุปผา และยังต้องห้อตะบึงอยู่เนิ่นนาน จึงบรรลุถึงประตูคฤหาสน์ตระกูลอุ้ย ทางนอกประตูยืนแออัดได้ด้วยผู้คนจำนวนมาก ผู้ที่อยู่ล้ำหน้ากลับเป็นสตรีงามกลางคน มีสง่าราศีน่ายำเกรง
อุ้ยเซี่ยวย้งกระโดดปราดลงจากรถม้า คล้ายดั่งสกุณาคืนสู่รวงรัง ถาโถมเข้าไปในอ้อมอกของสตรี งามกลางคน จับฮึงไต้ซือกลับยืนหยัดอยู่ห่างห้าหกเชียะ เพียงประนมมือขึ้นเป็นเชิงทักทาย
บ่าวทาสในตระกูลจำนวนมาก ล้วนเข้ามาคารวะต่อจับฮึงไต้ซือ ในจำนวนมากนั้นมีชายชรากับสตรีชราอายุหกสิบเจ็ดปีด้วย จับฮึงได้ซือเข้าทักทายปราศรัยอย่างสนิทสนม
ซิเล้งกับโค้วเพ้งยืนหยัดอยู่ด้านข้าง สตรีงามกลางคนนางนั้น พลังเดินเหินฝ่ากลุ่มคนมาถึงเบื้องหน้าของซิเล้ง ประกายสายตาของทั้งหมดก็ได้จับจ้องมองมา
ซิเล้งน้อมกายลงคารวะ รู้สึกว่าขณะนี้ยังมิอาจเรียกหาเป็นงักบ้อ (แม่ยาย) จึงกล่าวว่า
“ผู้เยาว์ซิเล้งขอน้อมพบอุ้ยฮูหยิน”
อุ้ยฮูหยินใช้ประกายสายตาที่เจิดจ้า จับจ้องอยู่เนิ่นนานจึงกล่าวว่า
“นับว่ามีบุคลิกอันเด่นล้ำจริงๆ มิน่าเล่าอาย้งจึงรักใคร่เจ้า”
ซิเล้งพอได้ยิน อดมีใบหน้าแดงระเรื่อมิได้ อุ้ยฮูหยินก็สังเกตพบ หัวร่อพลางกล่าวว่า
“หนูเอย เจ้าอย่าได้สนใจจดจำ เราผู้เฒ่าอาศัยอยู่ในที่นี้เป็นเวลาสามปี พลอยเปิดเผยไร้มารยาทเฉกเช่นชนชาวเมืองนี้ด้วย”
โค้วเพ้งก็เข้าไปน้อมคารวะ อุ้ยฮูหยินวาดมือเล็กน้อยกล่าวว่า
“หนูเอยลุกขึ้นมา”
โค้วเพ้งรู้สึกว่า มีพลังอันเร้นลับกระแสหนึ่งทะลักมา จนต้องยืนหยัดลุกขึ้น ในใจจึงบังเกิดความนับถือเลื่อมใส
ทิวานี้ได้จัดโต๊ะสุราอาหารเลี้ยงต้อนรับ สภาพการณ์รื่นเริงสนุกสนานยิ่งนัก
วันรุ่งขึ้นพอรุ่งเข้า ซิเล้งภายใต้การบีบบังคับจากอุ้ยเซี่ยวย้งได้ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ประจำถิ่น จนมีสภาพผิดแผกไป ก่อกวนจนอุ้ยเซี่ยวย้งหัวร่อโดยมิหยุดยั้ง
นางเองก็สวมอาภรณ์ชุดกะทัดรัด ใส่รองเท้าหนังสัตว์ฉุดลากซิเล้งออกจากห้องหับ คัดเลือกอาชาสองตัว เคียงบ่าเคียงไหล่ออกท่องเที่ยวกัน อุ้ยเซี่ยวย้งคอยแนะนำทิวทัศน์ และขนบธรรมเนียมถิ่นนี้ ตลอดเวลาเช้าผ่านไปอย่างน่าภิรมย์
ยามบ่าย ซิเล้งถูกเรียกหาเข้าไปในห้องหับที่ห่างจากคฤหาสน์ตระกูลอุ้ยถึงลี้เศษ น้อมพบจับฮึงไต้ซือกับอุ้ยฮูหยิน จับฮึงไต้ซือกลับบงการให้ตนแสดงความคารวะต่ออุ้ยฮูหยินเช่นบุตรเขย แล้วจึงกล่าวว่า
“ฮูหยินนางก็เห็นพ้องกับวิธีการของอาตมา ดังนั้นภายภาคหน้าเจ้ากับอาย้งหากมิอาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยา นางก็ไม่ตำหนิเจ้า”
อุ้ยเซี่ยวยังถอนหายใจเบาๆ ส่วนซิเล้งได้แต่รับคำ ตนทราบซึ้งว่าจับฮึงไต้ซือกล่าววาจาเช่นนี้โดยเฉพาะ ย่อมต้องมีความมุ่งหมายอันลึกล้ำ เพียงแต่ในยามกะทันหัน มิเข้าใจสำนึกแจ้ง
จับฮึงไต้ซือกล่าวอีกว่า
“บัดนี้จะสนทนาถึงเรื่องที่เจ้าจะฝึกปรือฝีมืออย่างไร เท่าที่อาตมารับทราบมา ในวิชาฝีมือนับร้อยพันแขนง ซึ่งซุกซ่อนอยู่ที่เจดีย์ทองคำ มาตรแม้นจะมีแนววิชาอันลึกล้ำสะท้านโลกอยู่มากมาย แต่วิจารณ์โดยละเอียด ไม่มีวิชาใดเหนือกว่า สามไม้ตายที่ปรมาจารย์ทั้งสองท่านนั้นบัญญัติขึ้นเลย
ไม้ตายทั้งสามแขนงนั้น เจ้ามิทราบแล้วว่านั่นคือกระบี่เทพเจ้าไร้เทียมทาน ดาบพุทธไร้เทียมทาน กับหัตถ์เทพยดาไร้เทียมทาน ในสายยอดวิชา ยากที่จะจำแนกความเหลื่อมล้ำต่ำสูง คาดว่าผู้ที่พลังการฝึกปรือลึกล้ำกว่า จึงสามารถเอาชัย”
อุ้ยฮูหยินกล่าวสอดว่า
“นั่นเป็นข้อสรุปที่ควรรับฟัง ปัญหาอยู่ที่ว่ากำลังฝีมือของซิเล้ง มิแน่นักว่าจะสูงส่งกว่าผู้ที่ฝึกปรือยอดวิชาอีกสองแขนง ซึ่งนั้นก็จนปัญญา”
อุ้ยเซี่ยวยังอดมิได้ต้องกล่าวว่า
“บิดาและมารดาเรียกหาเขามาที่นี้เพียงแต่คิดบ่งบอกวาจามิกี่ประโยคเช่นนี้หรอกหรือ?”
จับฮึงไต้ซือยิ้มน้อยๆ อุ้ยหยินกล่าวว่า
“ร้อนรุ่มอันใดกัน หากแม้นเพียงวาจามิกี่ประโยคนี้ ไยต้องมาบ่งบอกในที่นี้ด้วย”
อุ้ยเซี่ยวย้งกล่าวอย่างลิงโลดว่า
“มารดา หรือว่ายังมีหนทางประการอื่นด้วย”
“อือม์ แต่ผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ก็สุดที่จะสันนิษฐาน ซึ่งไปตามที่ไต้ซือบ่งบอกว่าต้องแล้วแต่โชควาสนาของอาเล้ง พวกเราได้แต่สร้างสรรค์โอกาสให้กับมันสักคราหนึ่งเท่านั้น”
“โอกาสอันใด?”
“บิดาเจ้าตกลงใจว่าจะเปิดตำหนักลับใต้ดิน ปล่อยให้อาเล้งเข้าไปทดสอบดูสักคราหนึ่ง”
อุ้ยเซี่ยวย้งเบิ่งตาจนกลมกว้าง กล่าวว่า
“เปิดตำหนักลับใต้ดิน มารดามิใช่เคยบ่งบอกว่า ไม่สามารถเปิดออกมาหรอกหรือ?”
“มารดาเพียงลำพังย่อมไม่มีเรี่ยวแรงเปิดตำหนักลับใต้ดิน สมควรให้บิดาเจ้ากลับมา รวมกำลังกันจึงจะกระทำสำเร็จ อา โอกาสนี้เราความจริงคิดหลงเหลือให้กับโฮ้วยี้”
ซิเล้งกล่าวในบัดดลว่า
“ถ้าเช่นนั้น ผู้เชยมิกล้ารับไว้…”
อุ้ยฮูหยินโบกมือห้ามปราบมิให้เอื้อนเอ่ยต่อไป กล่าวว่า
“เจ้าหากสามารถรับอาย้งเป็นภรรยา มิเพียงแต่มีส่วนสัมพันธ์กัน และอายังเมื่อได้เป็นฝั่งเป็นฝา เราผู้เป็นมารดาก็ปลาบปลื้มประโลมใจ พร้อมกับนั้นตระกลอุ้ยก็มิอนุญาตให้บุรุษเพศดำรงตนอยู่ในวงพวกนักเลง โฮ้วยี้แม้จะฝึกปรือไม้ตายอันใด ก็ไม่มีประโยชน์”
ซิเล้งกล่าวขึ้นว่า
“ผู้เขยจะทุ่มเทชีวิตมานะฝึกฝนวิชากระบี่เทพเจ้าไร้เทียมทาน ซึ่งก็รู้สึกเพียงพอแล้ว”
“เพลงกระบี่ชุดนั้น เจ้ามิอาจไม่ฝึกหัด แต่มิอาจมั่นใจว่าสามารถใช้สยบคู่ต่อสู้ เจ้าจึงสมควรไปทดสอบวาสนา หากแม้นในตำหนักลับใต้ดิน มิมีไม้ตายอันพิสดาร ก็ได้แต่กลับมาพากเพียรฝึกปรือแล้ว
นางหยุดยั้งไปเล็กน้อย จึงกล่าวอีกว่า
“ตำหนักลับใต้ดินนั้น เป็นดินแดนอันพิสดารตามธรรมชาติแห่งหนึ่ง อยู่ในริมเขา มีทางเดินอันซับซ้อนไม่ติดต่อกันหลายสิบสาย และมีห้องศิลาอีกจำนวนมาก
คราครั้งกระโน้น พ่อผัวของเรากับบ่าวทาสจำนวนหนึ่ง ล้วนอาศัยอยู่ในตำหนักลับ ปรนนิบัติรับใช้ท่านปรมาจารย์เทพโฉดสะท้านโพยมงักแป๋ (พ่อตา…จับฮึงไต้ซือ) เจ้าเมื่ออายุเยาว์ ตลอดทั้งวันก็เที่ยวเล่นอยู่ภายใน มีความคุ้นเคยอย่างยิ่งยวด”
ซิเล้งรับฟังมาถึงตอนนี้ ก็สำนึกทราบว่าย่อมต้องมีเรื่องราวอันประหลาดล้ำ บ่งบอกในตอนต่อมาจึงนั่งแน่วนิ่งรับฟังอย่างจดจ่อ
อุ้ยฮูหยินกล่าวอีกว่า
“งักแป๋เจ้าพอพอมีอายุสิบปี ก็โยกย้ายออกจากตำหนักลับ สามสิบปีให้หลังค่อยกลับเข้าไป และถึงกับแทบหลงทาง เนื่องจากทางเดินในตำหนักลับ ได้ผิดแผกไปจากความทรงจำของเขาแล้ว”
อุ้ยเซี่ยวย้งกล่าวอย่างสงสัยใจว่า
“รับทราบมาว่าตำหนักลับใต้ดินนั้นซุกซ่อนอยู่ในริมเขา มิว่าจะเป็นทางเดินหรือห้องหับ ล้วนกำเนิดตามธรรมชาติ บิดาแทบจะหลงทางหรือว่าทางเดินเหล่านั้นสามารถเปลี่ยนแปลงด้วย?”
ซิเล้งรับฟังวาจานี้ จึงทราบว่าอุ้ยเซี่ยวย้งก็มิเคยไปที่ตำหนักลับดังกล่าว และรับทราบเพียงผิวเผิน มิล่วงรู้รายละเอียดเลย
จับฮึงไต้ซือกล่าวเสริมว่า
“นี่ก็มิอาจโทษว่าอาย้งจะเคลือบแคลงไม่เข้าใจ ควรทราบว่าทางเดินในตำหนักลับ ความจริงก็คดเคี้ยวยุ่งเหยิง ราวกับเป็นขบวนพยุหเลือนประสาท
ในขณะที่ตำหนักลับได้ปิดตาย พวกเราทั้งตระกูลขนย้ายออกมา ปู่ของอาย้งเจ้าได้ปฏิบัติตามคำสั่งเสียของท่านมหาสมณะโพธิสัตว์ ปิดตันสถานที่บางแห่ง และเมื่อเป็นเช่นนั้น ทางเดินในตำหนักลับก็พลันกลับกลายเป็นค่ายกลอันพิสดารลึกล้ำ”
อุ้ยเซี่ยวย้งกล่าวว่า
“หากแม้นบิดาท่านเข้าใจความรู้เชิงค่ายคูประตูกล ย่อมไม่ต้องกังวลว่าจะหลงทาง แต่หากมิล่วงรู้เสียเลยก็ไม่แน่ใจแน่นักว่าจะออกมาได้ใช่หรือไม่”
วาจานี้คงถกเถียงถึงเรื่องที่จับฮึงไต้ซือยามเข้าไปในตำหนักลับ ไฉนจึงหลงทางด้วย จับฮึงไต้ซือกล่าวอย่างแช่มช้าว่า
“ถามไถ่ได้ประเสริฐ บิดาย่อมทราบซึ่งความลึกล้ำของขบวนค่ายกลในตำหนักลับ แต่เนื่องจากปู่ของเจ้าได้มรณภาพไป ย่าของเจ้าก็เป็นผู้ชราอายุแปดสิบปี ส่วนมารดาเจ้าพลังฝีมือยังอ่อนด้อย…”
มันหยุดยั้งไปเล็กน้อย แลเห็นธิดารักกับซิเล้งล้วนมีสีหน้าอันมึนงงสงสัย จึงทราบว่าพวกมันไม่เข้าใจว่า เรื่องราวนี้ไฉนมีส่วนเกี่ยวข้องกับวิชาฝีมือ ดังนั้นก็กล่าวสืบไปว่า
“สมควรทราบว่า ตำหนักลับแห่งนั้น ได้รับการก่อสร้างโดยหลวงจีนจากชมพูทวีป ซึ่งท่านสมณะโพธิสัตว์นำพามา กอปรกับพอมีการควบคุมอันพิสดารแล้ว ประตูศิลาปากทางเข้า ก็มีความหนักอึ้งสุดจะเปรียบ บุคคลธรรมดาแม้มีจำนวนนับร้อยพัน ก็ไม่มีทางผลักเคลื่อนออก”
ประกายสายตาของมันเบือนไปที่อุ้ยฮูหยิน พลันชะงักวาจาเอาไว้คล้ายดั่งมิคิดเอื้อนเอ่ยให้มากความ
อุ้ยฮูหยินกล่าวต่อไปในบัดดลว่า
“ในตำหนักลับนั้น ได้ซุกซ่อนสังขารอันทรงคุณค่าของปรมาจารย์ผู้ล่วงลับไปทั้งสองท่าน เพราะเหตุนี้จึงไม่อนุญาตให้บุคคลธรรมดาล่วงล้ำเข้าไป
แต่ท่านมหาสมณะโพธิสัตว์มีคำสั่งเสียว่า หลังจากที่ท่านสำเร็จมรรคผลแล้ว ยังมีวาสนาอยู่กับอนุชนรุ่นหลังครั้งหนึ่ง ดังนั้นไม่อนุญาตให้ปิดตายประตูใหญ่เลย
เพราะเหตุนี้หลวงจีนที่มาจากชมพูทวีปหลายท่านนั้น จึงจัดสร้างประตูศิลาบานหนึ่ง ซุกซ่อนกลไกควบคุม มิเพียงแต่ยามผลักเคลื่อนออกหนักหน่วงกินแรงยิ่งนัก มิหนำซ้ำหลังจากที่เคลื่อนออกมาสองครั้งแล้ว ก็จะปิดตายเอง
และจะต้องรอคอยให้ก้อนน้ำแข็งซึ่งอยู่บนห้องหับหลังหนึ่งในตำหนักลับ ถูกวัตถุทรงคุณค่าคือบ้วนนี้อุนเง็ก (หยกอุ่นหมื่นปี) หลอมละลายไปสิ้น กลไกที่ควบคุมประตูจึงจะมีประสิทธิภาพ”
อุ้ยเซี่ยวย้งกล่าวอย่างสงสัยใจว่า
“ไฉนจึงต้องเปิดออกถึงสองครั้ง แล้วประตูตำหนักค่อยปิดตายเล่า?”
อุ้ยฮูหยินกล่าวว่า
“ทั้งนี้ก็เพราะทุกครั้งที่เข้าไป ย่อมต้องผลักเคลื่อนประตูออกสองครั้ง ครั้งแรกคือเข้าไป อีกครั้งหนึ่งคือออกมา และน้ำแข็งในห้องนั้นนักมักจะต้องใช้เวลาสิบปีจึงหลอมละลาย โดยสรุปแล้วขอให้เข้าใจว่าประตูของตำหนักลับ ทุกๆ สิบปีให้หลัง จึงสามารถเปิดอีก”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้… แต่ผู้บุตรยังรู้สึกไม่เข้าใจกระจ่างนัก”
“อุปนิสัยของเจ้าก็ร้อนรุ่มเฉกเช่นกับเราผู้เป็นมารดา พอรับฟังจบแล้วย่อมเข้าใจดี”
นางชำเลืองแลผู้เป็นธิดาเป็นเชิงติเตียนวูบหนึ่ง แล้วค่อยกล่าวกับซิเล้งว่า
“ประตูตำหนักบานนั้น ทุกครั้งที่เปิดออก น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นมากมาย จนยิ่งเคลื่อนออก บิดาของย้งยี้ครั้งแรกที่เข้าไปในตำหนักลับ เรากับพั่วพั้ว (ย่าของอุ้ยเซี่ยวย้ง) ได้คอยช่วยเหลืออยู่ภายนอก
รอจนเขาออกมา พวกเราเป็นผู้ผลักประตูศิลาเคลื่อนออก ขณะนั้นเขายังมีพลังฝีมืออ่อนด้อย ตอนแรกคิดผลักประตูเพียงลำพัง ทำให้เหน็ดเหนื่อยจนตาลายสมองหมุนทีเดียว
และเนื่องจากว่ามีเวลาจำกัดเพียงสิบสองชั่วยาม เลยกำหนดไม่สามารถออกมา ดังนั้นบิดาของอาย้งจึงมิกล้าพักผ่อน แข็งใจเข้าไปตรวจดู ในยามอ่อนเพลียฉุกละหุก ทำให้หลงทาง จึงได้แต่รวบรวมสมาธิแสวงหาทางออกจากขบวน ปล่อยให้สิบสองชั่วยามผ่านพ้นไปโดยปราศจากประโยชน์”
อุ้ยเซี่ยวย้งคิดเอ่ยปาก แต่พอหวนนึกได้ว่า เพิ่งถูกมารดาตำหนิมา จึงรีบหุบปากลง ซิเล้งยามชำเลืองเห็น แทบจะหัวร่อออกมา
อุ้ยฮูหยินกล่าวว่า
“พวกเจ้าย่อมต้องการทราบว่า ตอนแรกไฉนจึงต้องให้บิดาของอาย้งผลักเคลื่อนศิลาเพียงลำพัง ทั้งนี้ก็เพราะย่าของอาย้งมีอายุสูงวัย เราก็มีพลังฝีมือต่ำทราม เกรงว่าพอใช้กำลังแล้ว อีกสิบสองชั่วยามมิสามารถฟื้นฟูได้”
อุ้ยเซี่ยวย้ง กล่าวอย่างแตกตื่นว่า
“หากแม้นคราก่อนบิดาพลาดพลั้ง ถูกกักอยู่ในตำหนักลับผ่านกาลเวลาสิบปี เกรงว่าคงมิมิโอกาสออกจากตำหนักลับแล้ว”
จับฮึงไต้ซือจวบจนบัดนี้ จึงกล่าวว่าเสริมว่า
“นั่นย่อมต้องแน่นอน ในตำหนักลับปราศจากอาหารสามารถประทังหิว มีแต่ก้อนน้ำแข็งในห้องน้ำแข็ง สามารถใช้แก้กระหาย แต่กาลเวลาถึงสิบปี เพียงดื่มน้ำย่อมมิอาจมีชีวิตรอด และหากพกนำเสบียงอาหารเข้าไป รับรองว่าไม่สามารถยืนหยัดถึงสองปีเลย”
อุ้ยฮูหยินกล่าวสอดว่า
“ประตูตำหนักลับ ทุกครั้งที่เปิดออก ก็จะเพิ่มน้ำหนักขึ้นเพราะเหตุนี้อีกสิบปีให้หลัง ยามคิดจะเข้าไปสืบเสาะจึงมิกล้ากระทำ”
อุ้ยเซี่ยวย้ง อดมิได้ต้องกล่าวอย่างพิศวงว่า
“แต่ทว่า ประตูสามารถเปิดได้ ไฉนไม่กล้าเข้าไป?”
“บิดาเจ้ากับเรา มาตรแม้นว่าสามารถรวมกำลังกันผลักประตูตำหนัก แต่เราทราบว่าอาศัยกำลังของเราเพียงลำพัง ไม่สามารถปล่อยเขาออกมา จึงล้มเลิกความคิดหมายเข้าไป”
นางหยุดยั้งไปเล็กน้อย จึงกล่าวอีกว่า
“ดังนั้นจึงรอคอยอีกสิบปี ค่อยมีความหวังเข้าสืบเสาะเป็นครั้งที่สาม คราครั้งนี้เราเพียงลำพังไม่อาจเปิดประตู แต่บิดาเจ้ามีพลังฝีมือรุดหน้า สามารถผลักไสประตูโดยใช้ฝ่ามือสองข้างอยู่ด้านใน ช่วยเราผลักเคลื่อนออก เพราะเหตุนี้เขาจึงเข้าไปเสี่ยงอันตราย”
อุ้ยเซี่ยวย้ง ซักไซ้ผู้เป็นมารดาว่า
“ถ้าเช่นนั้น บิดาก็ได้น้อมคารวะต่อสังขารของท่านปรมาจารย์ผู้ล่วงลับทั้งสองแล้ว”
“หากแม้นเขาได้เสาะพบห้องลับหลังนั้น ยังต้องให้อาเล้งเข้าไปทดสอบเสี่ยงดูอีกหรือ?”
นางเบือนศีรษะมา กล่าวกับซิเล้งว่า
“เจ้ารับฟังอย่างสงบสนใจตลอดเวลา มิเอื้อนเอ่ยวาจา แสดงว่ามีความข่มกลั้นเหนือล้ำกว่าปุถุชนบัดนี้จะบ่งบอกถึงโชควาสนาที่ว่านั้นเป็นประการใด”
ความจริง พวกเราหาได้รับทราบมาอย่างแน่ชัด เพียงแต่จากปากคำของผู้อาวุโสรุ่นก่อน สามารถสันนิษฐานว่า ย่อมต้องเป็นแนววิชาอันลึกล้ำสุดยอด เป็นวิชาทางจิตชนิดหนึ่ง ซึ่งปรมาจารย์ทั้งสองท่านร่วมกันบัญญัติขึ้น ตั้งแต่โบราณกาลมา ไม่มีวิชาใดเทียมทาน
อันความลับข้อนี้ ขอเพียงแต่เจ้าเสาะพบห้องลับในตำหนัก ได้กราบพบซากสังขารของเทพโฉดสะท้านโพยม มหาสมณะโพธิสัตว์ก็จะทราบชัดกระจ่างเอง”
อุ้ยเซี่ยวย้ง กล่าวว่า
“ในครั้งหลังสุดที่เข้าไปในตำหลักลับ บิดาไฉนมิอาจเสาะพบห้องลับ… และเมื่อแม้กระทั้งบิดามิพบพาน อาเล้งจะเสาะพบได้อย่างไร?”
อุ้ยฮูหยิน กล่าวว่า
“นั้นก็ต้องแล้วแต่โชควาสนาของมันแล้ว ครั้งหลังสุดบิดาเจ้าพอเข้าไปในตำหนัก ได้สูญเสียเวลาหกชั่วยามนั่งขัดสมาธิฟื้นฟูลมปราณ”
คาดมิถึงว่า อีกหกชั่วยามให้หลัง ในตำหนักมืดทึบยิ่งนัก มาตรแม้นบิดาเจ้าจะเสาะแสวงหาอย่างละเอียด แต่เวลามีจำกัดกอปรกับสายตาถูกบดบัง จึงหวนกลับออกมาอย่างผิดหวัง”
จับฮึงไต้ซือ พลันกล่าวสอดว่า
“ซิเล้ง เจ้ารับฟังเหตุการณ์ที่ได้อุบัติขึ้นเหล่านี้แล้ว ย่อมทราบว่ามีภยันตรายอย่างใหญ่หลวง หากแม้นอาตมากับงักบ้อของเจ้ารวมกำลังกัน ยังไม่อาจผลักประตูปล่อยเจ้าออกมา ก็ย่อมต้องตกตายอย่างมิต้องสงสัย!
และมาตรแม้นว่า เจ้าขณะอยู่ในตำหนักลับหลงพลัดอยู่ท่ามกลางขบวนพยุหเลยกำหนดเวลา พวกเราไม่มีทางช่วยเหลือ นั่นก็ต้องเสียชีวิตเช่นกัน ดังนั้นเจ้าต้องใคร่ครวญอย่างรอบคอบ แล้วค่อยตกลงใจ”
ซิเล้ง ครุ่นคิดอย่างเงียบงัน มิได้ตอบโต้ในบัดดล
อุ้ยเซี่ยวย้ง พลันกล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้น รออีกสามวันค่อยให้คำตอบเถอะ”
จับฮึงไต้ซือ วาดมือเป็นเชิงส่งอาคันตุกะ ปากก็กล่าวว่า
“ตกลงกันเช่นนี้ พวกเจ้าคอยหารืออย่างละเอียด แต่ทว่าหากแม้นตกลงใจ ซิเล้งก็ต้องสูญเสียเวลามานะพยายามแปดถึงสิบวัน เพื่อจดจำแผนผังในตำหนักลับจนช่ำชอง เพื่อมิให้หลงพลัดเข้าไปในขบวนพยุห จนมีอันตรายถึงแก่ชีวิต”
ซิเล้งอำลาจากมาพร้อมกับอุ้ยเซี่ยวย้ง หวนกลับสู่คฤหาสน์ตระกูลอุ้ย และอุ้ยเซี่ยวย้งได้ติดตามจนมาถึงห้องพักของตน ประจวบเหมาะกับโค้วเพ้งออกไปล่าสัตว์ มิมีบุคคลอื่นอยู่ด้านข้าง
อุ้ยเซี่ยวย้งกล่าวว่า
“ท่านมีการตกลงใจแล้วหรือไม่?”
ซิเล้งสั่นศีรษะกล่าวว่า
“หามีไม่”
“ข้าพเจ้าขอให้ท่านอย่าได้ไปเสี่ยงภยันตราย ตามคาดคะเนของข้าพเจ้า อาศัยความชาญฉลาดของท่าน หากมานะฝึกฝนสักหนึ่งปี ย่อมสามารถชิงชัยกับกิมเม้งตี้”
ซิเล้งกล่าวขึ้นว่า
“ท่านรู้สึกว่าการเข้าสู่ตำหนักลับ เปี่ยมอันตรายยิ่งนักหรอกหรือ”
“ย่อมต้องเต็มไปด้วยอันตราย มาตรมิเช่นนั้นบิดามารดาก็คงให้กอกอเข้าไปทดสอบดูวาสนาแล้ว”
“มิแน่นักว่า พอถึงกำหนดเวลา ข้าพเจ้ากับพี่ชายของท่านจะเข้าไปด้วยกัน…”
อุ้ยเซี่ยวย้งพลันกล่าวอย่างลิงโลดว่า
“มีแล้ว ท่านลองไปทดสอบเสี่ยงดู ส่วนข้าพเจ้าจะขอติดตามท่าน พวกเราหากต้องถึงแก่ชีวิต ก็ขอให้ตกตายร่วมกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็มิไหวหวั่นพรั่นพรึงเลย”
นางเอื้อนเอ่ยอย่างสัตย์ซื่อจริงจัง ซิเล้งบังเกิดความตื่นตันใจอย่างใหญ่หลวง คำนึงว่า
“…นางกับเราที่แท้จะเป็นสามีภรรยาหรือไม่ ยังมิอาจทราบความ แต่ก็ยินดีร่วมเป็นร่วมตายกับเรา อาไมตรีนี้จะไม่แยแสได้อย่างไร?”
ทิวานี้อุ้ยเซี่ยวย้งมิเหินห่างจากซิเล้งแม้แต่ครึ่งก้าวผ่านวันนี้ไปด้วยความรื่นเริง ซิเล้งได้สังเกตพบว่า อุ้ยเซี่ยวย้งเป็นอิสตรีที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง และซื่อตรงไร้มารยา
สำหรับโค้วเพ้งมิทราบแม้แต่น้อยว่า บรรดาผู้ใหญ่บังเกิดเรื่องราวอันใด มันอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลอุ้ยคบหาบุรุษหนุ่มหลายคน ตลอดทั้งวันเที่ยวควบม้าล่าสัตว์ กลับสุขสบายยิ่งนัก
กาลเวลาสามวัน ในความรู้สึกของซิเล้ง ได้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
ทั้งนี้ก็เพราะอุ้ยเซี่ยวย้งตลอดเวลาอยู่ร่วมกับตน ทำให้ซิเลงมิบังเกิดความท้อแท้ทอดอาลัยอีก และความกดดันทางจิตใจเมื่อมินานมานี้ พอได้รับการผ่อนคลาย และมีนงคราญอยู่เคียงข้าง ย่อมมีแต่ชิงชังกาลเวลาที่ล่วงลับรวดเร็วเกินไป
ในยามสนธยาของวันที่สาม ซิเล้งก็ไปที่ห้องหับอันกะทัดรัด กราบพบจับฮึงไต้ซือกับอุ้ยฮูหยิน
จับฮึงไต้ซือถามว่า
“เจ้าตกลงใจแล้วหรือไม่?”
ซิเลงกล่าวอย่างสำรวมว่า
“ผู้เยาว์ได้ครุ่นคิดแล้ว ขอเพียงแต่ประตูตำหนักลับสามารถเปิดออก ย่อมไม่ขอหลีกเลี่ยงภยันตรายต้องการเข้าไปสืบเสาะ”
จับฮึงไต้ซือปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้าอย่างที่น้อยครั้งจะได้พบพาน กล่าวว่า
“ประเสริฐมาก มีความฮึกเหิมองอาจ ถ้าเช่นนั้นก็ตกลงกันตามนี้เลย”
อุ้ยเซี่ยวย้งกล่าวว่า
“ขอน้อมเรียนต่อบิดามารดา ผู้บุตรก็ตกลงใจว่าจะติดตามอาเล้งเข้าไป”
อุ้ยฮูหยินสั่นศีรษะ จับฮึงไต้ซือได้ถอนหายใจกล่าวว่า
“สถานการณ์ไหนเลยจะเป็นไปตามความมุ่งหวังได้ หากแม้นในเวลาเดียวกัน สามารถเข้าไปถึงสองคน พี่ชายของเจ้าก็ไม่พลาดโอกาสแล้ว”
“เอ๊ะ ผุ้บุตรมิเข้าใจว่า เหตุใดจึงอนุญาตให้เข้าไปได้เพียงคนเดียว?”
จับฮึงไต้ซือกล่าวว่า
“ประตูของตำหนักลับนั้น มีความหนักอึ้งสุดจะเปรียบ เรากับมารดาเจ้ารวมกำลังกัน ก็เพียงผลักเคลื่อนออกเป็นช่องหนึ่ง ซิเล้งต้องรีบเบียดเสียดเข้าไป จากนั้นประตูศิลาก็จะปิดลง ท่าร่างของมันหากมิว่องไว ยังมีภยันตรายในการถูกประตูบดร่าง ลองคิดดู บุคคลที่สองจะเข้าไปอย่างกัน?”
อุ้ยเซี่ยวย้งถึงกับงงงันไป ชั่วครู่ก็ปราศจากวาจา
อุ้ยฮูหยินฉุนลากนางมาที่ข้างกาย กางแขนออกโอบกอด กล่าวอย่างนุ่มนวลว่า
“หนูเอย อย่าได้โง่เขลาไป เรากับบิดาเจ้าหรือว่าจะนำชีวิตของผู้คนที่เจ้าฝากฝังอนาคตมาล้อเล่นด้วย ความจริงมันไม่สามารถพบพานวาสนาปาฏิหาริย์ อีกหนึ่งปีให้หลัง ก็เกรงว่ายากจะรอดชีวิต จากเงื้อมหัตถ์ของฝ่ายตรงข้าม”
จับฮึงไต้ซือก็กล่าวว่า
“เนื่องจากว่า วิชาที่ซิเล้งร่ำเรียนมาไม่กว้างขวาง หากคิดจะให้มันฝึกปรือวิชากระบี่เทพเจ้าไร้เทียมทานของตระกูลอุ้ยจนแตกฉานในระยะเวลาสั้นๆ ไหนเลยจะง่ายดายตามใจนึก ดังนั้นพวกเราหลังจากหารือกันแล้ว จึงคิดจะให้มันไปทดสอบเสี่ยงวาสนา”
อุ้ยเซี่ยวย้งรู้สึกผิดหวังยิ่งนัก แต่ก็เป็นเรื่องราวที่อับจนปัญญา
จับฮึงไต้ซือล้วงหยิบแผนผังออกมาสองแผ่น อธิบายต่อซิเล้งโดยละเอียด อุ้ยเซี่ยวย้งกลับใช้สมองขบคิดข้อที่จะช่วยตระเตรียมเสบียงอาหารให้กับซิเล้งอย่างไร
นางได้คาดคิดว่า ประตูศิลาบานนั้น ในเมื่อเพียงเผยอก็จะปิดลง ซิเล้ง ย่อมไม่มีทางขนย้ายห่อเสบียงใหญ่ๆ เข้าไป มาตรมิเช่นนั้นนางก็สามารถติดตามไปด้วย
นางขบคิดอยู่เนิ่นนาน ยังไม่เสาะพบวิธีการ แต่ก็ตกลงใจว่าจะเสาะหาผู้สูงอายุ ขอรับทราบแผนการจึงจากไปอย่างเร่งร้อน
ส่วนซิเล้งทุ่มเทสมาธิทั้งมวล หมกมุ่นสนใจอยู่กับภูมิประเทศของตำหนักลับ ซึ่งภายหลังได้จัดเป็นขบวนพยุห รู้สึกว่ามีความยุ่งยากซับซ้อนอย่างยิ่งยวด ไม่อาจเข้าใจได้ภายในเวลาสั้นๆ
แต่ตนก็มีความมานะพากเพียร ไม่เคยย่นย่อต่ออุปสรรคจนเป็นอุปนิสัยประจำตัว หลังจากพิจารณาอยู่เจ็ดวัน ก็นับว่าเข้าใจแจ่มแจ้ง จดจำได้อย่างแม่นยำ
รุ่งเช้าของวันที่แปด ซิเล้งก็บงการให้โค้วเพ้งไปที่ตึกกะทัดรัด อยู่รับใช้จับฮึงไต้ซือ นอกจากซิเล้งจะไปเสาะหามัน มาตรมิเช่นนั้นไม่อนุญาตให้มันมาที่คฤหาสน์ตระกูลอุ้ย
นี่เป็นแผนตระเตรียมล่วงหน้าว่า หากแม้นสถานการณ์พลาดพลั้ง โค้วเพ้งไม่พบพานซิเล้ง ย่อมต้องเข้าใจผิด จึงจัดการเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุด ในเวลาหนึ่งหรือสองปี ย่อมมิบังเกิดเหตุการณ์
และทั้งหมดในยามเช้าก็เริ่มออกเดินทาง เป็นขบวนที่มีเพียงสี่คน โดยมีจับฮึงไต้ซือ อุ้ยฮูหยิน อุ้ยเซี่ยวย้งกับซิเล้ง ล้วนสวมชุดรัดกุม เดินเหินไปตามทาง
ประมาณยามเที่ยง ทั้งหมดก็เข้าไปในเทือกทิวเขาอันรกร้างไร้ผู้คน พอถึงเวลาค่ำมืด ซิเล้งก็รุ้สึกว่าได้ตกอยู่ในซีกโลกอันหนาวเหน็บ เนื่องจากภูมิประเทศสูงล้ำเกินไป ทำให้อากาศเบาบาง
ค่ำคืนนี้ ทั้งหมดได้หยุดพักผ่อนอยู่ในถ้ำที่เร้นลับ และกว้างขวางแห่งหนึ่ง มีทั้งบานประตูที่สามารถหลบพายุและหิมะ ภายในถ้ำยังมีเตียงนอนและเตาผิงต่างๆ เป็นที่หยุดพักประจำทาง ซึ่งตระกูลอุ้ยเมื่อร้อยกว่าปีก่อนจัดสร้างเอาไว้
จับฮึงไต้ซือกล่าวว่า
“ตำหนักลับนั้นก็อยู่เบื้องล่างของเจดีย์ทองคำ! แต่ทางเดินที่ทอดไป หลายร้อยปีที่ผ่านมา นอกจากตระกูลอุ้ยไม่มีบุคคลภายนอกเดินผ่าน ผู้อื่นหากเร่งรุดสู่เจดีย์ทองคำ ต้องเดินเหินไปตามทางอีกสายหนึ่ง”
ซิเล้งได้ยินวาจาเหล่านี้ มิใคร่เข้าใจนัก แต่ก็ไม่ซักไซ้ช่วยเหลืออุ้ยเซี่ยวย้งจัดแจงที่หลับนอนยามค่ำคืน
วันรุ่งขึ้น พอรุ่งสางก็ตื่นขึ้นมา ทั้งหมดนั่งผนึกลมปราณอยู่ภายในถ้ำ จากนั้นก็ทยอยกันออกจากถ้ำมาเดินเหินทางด้านนอก เคลื่อนไหวโครงกระดูก
ซิเล้งเดินเหินอย่างเชื่องช้าอยู่บนเนินดินหน้าถ้ำ เหยียบย่ำหิมะก้าวเดินตลบหนึ่ง ทางเบื้องหลังแว่วสำเนียงของอุ้ยเซี่ยวย้งยังดังมาว่า
“อาเล้ง เสร็จสิ้นจากการผนึกกำลังแล้วหรือ?”
ซิเล้งเบือนศีรษะมองไป แลเห็นอุ้ยเซี่ยวย้งคลุมผ้าขนสัตว์สีดำผืนหนึ่ง จอนหูเสียบบุปผาสีแดงท่ามกลางพื้นหิมะสีเงินยวงเสริมส่งให้นางมีความผุดผาดงดงามสะคราญ
ตนอดมิได้ต้องยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า
“อ้อ ท่านงดงามยิ่งนัก”
อุ้ยเซี่ยวย้งมีใบหน้าแดงระเรื่อ ดวงตาได้ทอประกายอันปลื้มปีติ เดินเหินอย่างแผ่วเบามาถึงเบื้องหน้าของตน ส่งเสียงกล่าวว่า
“ท่านนับเป็นครั้งแรกที่ชมเชยข้าพเจ้า”
ซิเล้งกล่าวว่า
“คราก่อนมิใช่ข้าพเจ้าไม่รู้สึกว่าท่านโสภา เพียงแต่มิทันมีความสัมพันธ์กัน บัดนี้เราสองค่อยสนิทสนมกันได้ จึงระบายความรู้สึกที่ซุกซ่อนอยู่ในใจออกมา”
อุ้ยเซี่ยวย้งแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวาน แล้วจึงถามไถ่ว่า
“ท่านหนาวหรือไม่?”
นางได้ยื่นมือออกมากุมฝ่ามือของตน รู้สึกว่ามีความอบอุ่นจึงผงกศีรษะอย่างวางใจ กล่าวอีกว่า
“มาทางด้านนี้ ข้าพเจ้าจะพาท่านไปชมทัศนียภาพอันพิสดาร”
ทั้งสองวิ่งปราดไปโดยจูงมือกันอย่างสนิทสนม อ้อมผ่านเนินดิน ขึ้นไปบนหน้าผาอันตรายแห่งหนึ่ง อุ้ยเซี่ยวย้งชี้มือไปทางทิศประจิมร้องดังๆ ว่า
“ท่านดู…”
ซิเล้งกวาดสายตามองไป แลเห็นที่ห่างไกลบนภูเขาหิมะลูกหนึ่ง ปรากฏประกายสีทองแผ่กระจายออก พอเบิ่งตาจับจ้อง ที่แท้เป็นเจดีย์วิเศษสีทองหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ริมหน้าผาที่อยู่ด้านข้าง
ในยามนี้ อรุโณทัยเพิ่งแผ่แสงสีอันกระจ่างจ้า และค่อยๆ สาดส่องไปยังตำแหน่งแห่งนั้น
ประกายแสงอรุณพอสาดพุ่งถึงตัวเจดีย์ ก็สะท้อนลำแสงสีทองแวววับนับพันหมื่น ท่ามกลางพื้นหิมะสีขาวโพลง นับเป็นภาพพจน์ที่งดงามจับตาน้อยครั้งจะได้พบพาน
ซิเล้งจับจ้องเป็นเวลาครู่ใหญ่ อุ้ยเซี่ยวย้งกล่าวขึ้นว่า
“นั่นก็คือเจดีย์ทองคำซึ่งแพร่สะบัดอยู่ในวงนักเลงเป็นเวลาร้อยกว่าปี ท่านสังเกตหรือไม่ว่า ยามมองจากที่นี้ไป ประกายตาได้ทะลวงผ่านยอดเขาสีขาวสล้างจำนวนมาก
และทางลับที่ในเวลาข้างหน้าพวกเราจะใช้เดินเหิน ตลอดรายทางมีอยู่สองแห่งที่แลเห็นเจดีย์ทองหลังนั้นได้ หนึ่งคือที่นี้ อีกหนึ่งต้องรอให้ไปถึงหน้าผาขาดที่อยู่ใกล้เจดีย์ทอง มีหุบเขาคับแคบแห่งหนึ่ง”
ซิเล้งกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าจดจำได้ว่า จับฮึงไต้ซือเคยบอกว่า ตำหนักลับก็อยู่ใต้เจดีย์ทองคำ ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็เข้าไปทางหน้าผาขาดแห่งนี้แล้ว?”
อุ้ยเซี่ยวย้งส่งเสียงกล่าวว่า
“ถูกแล้ว พวกเราจะผ่านหุบเขารกร้างโดยตรงจนถึงใต้หน้าผา และผู้คนทางด้านบน เพราะสภาพของภูมิประเทศ มิว่าอย่างไรก็ไม่อาจแลเห็นทิวทัศน์เบื้องล่าง และมิมีทางลงมา”
“พวกเราจะเดินตามทางอันตรายสายหนึ่ง ขึ้นไปบนหน้าผา จนถึงที่ห่างจากเจดีย์ทองคำเพียงยี่สิบวา ก็มิพื้นที่ราบซึ่งจมลึกเข้าไป นั่นคือทางเข้าตำหนักลับซึ่งมีสภาพตามธรรมชาติ มิผิดแผกจากสามัญ แต่พายุหรือหิมะไม่สามารถคุกคามเข้าไป อากาศอบอุ่นยิ่งนัก”
นางชะงักวาจาเอาไว้ ประกายตาเป็นเบือนจากเจดีย์ทองคำที่อยู่ห่างไกลมาที่ใบหน้าของซิเล้ง
ซิเล้งก็รั้งสายตากลับมา ทั้งนี้ก็เพราะสุริยันเริ่มลอยขึ้นสูง ลำแสงแผดเจิดจ้า ประกายที่สะท้อนจากเจดีย์ทอง ทำให้ดวงตาพร่างพราย
อุ้ยเซี่ยวย้งกล่าวอีกว่า
“ตำหนักลับนั้นเป็นถ้ำศิลาที่กว้างขวางแห่งหนึ่ง และประตูตำหนักอยู่ในถ้ำศิลา”
ซิเล้งกล่าวว่า
“คราก่อนพวกท่านทั้งครอบครัวล้วนอาศัยอยู่ในตำหนักลับ คาดว่าคงเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก ชั่วนาตาปีน้อยครั้งจะพบพานคนภายนอก แม้แต่อาหารเครื่องใช้ประจำวัน ก็ยากที่ได้มา หากแม้นขณะนี้ต้องการให้ท่านอาศัยอยู่ ย่อมไม่อาจสะกดอดกลั้น”
อุ้ยเซี่ยวย้งหัวร่อพลางกล่าวว่า
“หากแม้นสามารถอยู่ร่วมกันท่าน มิว่าสถานที่ใดก็เป็นเฉกเช่นกัน”
นางหยุดยั้งไปเล็กน้อย จึงกล่าวอีก
“ความจริงในที่นั้น ไม่นับว่าห่างไกลจากผู้คน ทั้งนี้ก็เพราะทางอีกสายหนึ่ง ซึ่งไปที่เจดีย์ทองคำ ตามรายทางยังมีมนุษย์อาศัยอยู่ และห่างจากเจดีย์ทองคำมิถึงยี่สิบลี้ ก็มีสำนักของเหล่าลามะกับบ้านเรือน สามารถซื้อหาอาหารได้”
ซิเล้งกล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้นหากแม้นชนชาวบู๊ลิ้มมาชุมนุมในที่นี้ ปัญหาเรื่องอาหารหรือที่อยู่ ก็คลี่คลายจากบ้านเรือนแถบนั้นแล้ว”
“ย่อมต้องแน่นนอน อย่าว่าแต่พวกมัน พวกบ้านเรือนแถบนั้น ในถ้ำศิลามีทางลับอยู่สายหนึ่ง ปากทางออกอยู่ที่เชิงเขา สายลมรุนแรงยิ่งนักและหากลงไปตามทางลับ จะถึงวัดของพวกลามะ หลังจากเดินเหินอีกหลายลี้ ก็จะถึงบ้านเรือนดังกล่าว”
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป