๔๙
♦ คลี่คลายความโง่ทึบ ♦
……………
ซิเล้งผนึกพลังเร่งเร้าเลือดลม อาการเหน็บหนาวพลันสลายไป แล้วจึงกล่าวว่า
“ไม่สบายนัก”
อุ้ยเอี้ยงถอนหายใจกล่าวว่า
“กระบี่ของท่านเมื่อครู่นี้ มีความพิสดารถึงจุดสุดยอดอย่างแท้จริงตามการคาดคะเนของเรา เกรงว่ามีพียงกระบวนท่านี้จึงสามารถฝ่าด่านเข้าไป แต่ท่านยังพ่ายแพ้ พวกเราจะกระทำอย่างไร?”
ซิเล้งส่งเสียงกล่าวว่า
“ข้าพเจ้ายังมีหนทางอื่น สามารถทดสอบอีก”
ตนสูดลมหายใจลึกๆ สะบัดแขนสลัดหลุดจากการถูกเกาะกุม กระชับกระบี่ยามพุ่งร่างไปเบื้องหน้าเป็นคำรบสอง
คราครั้งนี้พอกระโดดปราดมาถึงหน้าท่อนไม้ไผ่ ก็สะบัดกระบี่จู่โจมเข้าใส่ แลเห็นกระบี่ยาวในมือแผ่กระจายเป็นประกายนับร้อยพันสายทิ้งให้ผู้คนตาละลานพร่างพราย
และต้นไผ่ของจับฮึงไต้ซือ ก็สำแดงปฏิกิริยาตอบโต้ บัดเดี๋ยวพุ่งสู่เบื้องบน บัดเดี๋ยวลดต่ำลงไปด้านล่าง คอยทิ่มแทงพุ่งใส่ทั้งสอง ในชั่วพริบตาเดียวได้หักล้างกันสิบเจ็ดสิบแปดกระบวนท่า แต่ไม่ว่าซิเล้งจะบังคับกระบี่ตะลุยโหมรุกอย่างไร ก็ยังไม่อาจสลายกระบวนท่าสุริยันสาดส่องหล้าของจับฮึงไต้ซือเลย!
ในที่สุด ซิเล้งก็สำนึกทราบสถานการณ์ ล่าถอยจากมา ยืนหยัดอยู่ข้างกายของอุ้ยเอี้ยงส่งเสียงหอบหายใจ อุ้ยเอี้ยงก็ยื่นมือช่วยนวดเฟ้นจุดเส้นบริเวณทรวงอกและกลางหลังซิเล้ง เพื่อช่วยให้ฟื้นฟูเป็นปกติโดยไว
ในยามนั้นหลังม่านไม้ไผ่ได้แว่วสำเนียงอันทุ้มหนักเยือกเย็นกล่าวขึ้นว่า
“ประเสริฐมาก ประสกแซ่ซิสามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกระบวนท่าสุริยันสาดส่องหล้าในระยะเวลาสั้นๆ เพียงหลายวัน คาดว่าหากผ่านเวลาอีกระยะหนึ่ง วิชากระบี่เทพเจ้าไร้เทียมทานทั้งชุด คงถูกมันฝึกหัดได้ไป”
อุ้ยเอี้ยงถอนหายใจออกมากล่าวว่า
“ประตูไร้ไมตรีของไต้ซือร้ายกาจถึงปานนี้ นอกจากอาศัยกำลังของซิเฮียยังจะมีหนทางอื่นใด นี่เป็นเรื่องราวที่ถูกบีบบังคับจนจำต้องกระทำ”
จับฮึงไต้ซือแค่นเสียงอย่างหนักหน่วงว่า
“มันล้มเหลวมาสองครั้ง คาดว่าคงยินยอมพ่ายแพ้แล้วกระมัง?”
ซิเล้งได้ฟื้นฟูเป็นปกติกล่าวตอบดังกังวานว่า
“ผู้เยาว์มิคำนึงถึงความสามารถ ยังจะทดสอบอีกคราหนึ่ง”
จับฮึงไต้ซือส่งเสียงกล่าวว่า
“ประเสริฐมาก แต่คราครั้งนี้ เจ้าต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากด้วย”
ซิเล้งสลัดหลุดจากการยึดกุมของอุ้ยเอี้ยงอีก เลิกคิ้วยืดอกแสดงท่วงท่าที่เข้มแข็งไม่สยบยอม ก้าวยาวๆ เข้าไป
ทุกครั้งคราที่ตนสืบเท้าก้าวออก ในด้านระยะและความเร็ว มิมีความแตกต่างแม้แต่น้อย ก่อเกิดเป็นสภาวะอันแกร่งกร้าว เปี่ยมอานุภาพทำให้ผู้พบเห็นแตกตื่นคร้ามเกรง
แลเห็นซิเล้งพอกระชั้นชิด สภาวะยิ่งแข็งแกร่งสืบเท้าเฉียงๆ ไปทางด้านขวาสามก้าว พลันหันกายอย่างกะทันหัน สะบัดกระบี่ตวัดฟาดไปด้านหลัง กระบี่นี้ได้รับการช่วยเหลือจากภาวะพลิกกาย พลานุภาพจึงเพิ่มพูนไม่ต่ำกว่าหนึ่งเท่าตัว
ประกายอันเจิดจ้าได้แฉลบวูบ ท่อนไม้ไผ่ของจับฮึงไต้ซือถูกกระบี่ยาวฟาดใส่ สภาพการณ์เฉกเช่นกับเมื่อครั้งแรกที่ฝ่าด่านเพียงแต่ผิดแผกในข้อที่ว่า คราครั้งนี้ซิเล้งยิ่งเกรี้ยวกราดรุนแรง สุดที่กาลก่อนจะเปรียบเทียบได้
ไม้ไผ่ท่อนนี้บังเกิดเสียงดังเพี้ยะ ลำไม้ไผ่สั่นสะเทือนอย่างเร่งร้อน อุปมางูร้ายอันปราดเปรียว
ขณะนั้นบุคคลธรรมดาย่อมรู้สึกตาพร่างพรายสับสน แต่ซิเล้งสามารถแลเห็นช่องว่างรอยโหว่แห่งหนึ่งสามารถทะลวงฝ่า ซึ่งก็จะผ่านประตูไร้ไมตรีนี้ได้
ซิเล้งเคลื่อนไหวร่างกายพร้อมกับภาวะกระบี่ พุ่งปราดเข้าหาราวกับอสนีบาตคะนอง จับฮึงไต้ซือในม่านไม้ไผ่ ส่งเสียงกู่ร้องดังกังวาน สดใสผิดสามัญ มีกลิ่นอายของเทพเจ้าอย่างเปี่ยมล้น
สภาพการพุ่งถลันเข้าหาอย่างฉับไวของซิเล้ง ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามส่งสำเนียงกู่ร้อง ก็พลันชะลอชะงัก แต่ทว่าเรือนร่างยังคงคิดโถมไปเบื้องหน้า
ช่วงเวลานั้นเอง แลเห็นไม้ไผ่ลำยาวส่งสำเนียงดังอึงอล กวาดฟาดเข้าใส่ซิเล้ง ได้ยินสำเนียงดังขึ้นครั้งหนึ่ง สามารถฟาดใส่กระบี่ยาวที่ซิเล้งใช้คุ้มครองกาย!
ซิเล้งถอยซวนเซออกมา โดยถอยกายติดต่อกันเจ็ดแปดก้าวแทบจะล้มฟุบลงไป
อุ้ยเอี้ยงรีบพุ่งปราดมาถึงข้างกายยื่นมือออกโอบรับซิเล้งเอาไว้ ใบหน้าเต็มไปด้วยแววอันกระวนกระวาย
ซิเล้งแอบอิงร่างกายของมัน ส่งเสียงหอบหายใจอย่างรุนแรงคล้ายดั่งกับว่าในยามกะทันหันไม่สามารถฟื้นฟูเรี่ยวแรงเป็นปกติได้
อุ้ยเอี้ยงพลันพลิกฝ่ามือตบใส่จุดสำคัญจี้เก็งเต้งกวนบนทรวงอกของซิเล้งสองแห่ง ต่อจากนั้นก็นวดเฟ้นจุดเส้น สีหน้ายังมีแววหวั่นวิตกกังวล
ชั่วครูต่อมาซิเล้งจึงระบายลมหายใจยาวๆ กล่าวเบาๆ ว่า
“ร้ายกาจนัก พลังกระบี่ครั้งนี้แทบคุกคามข้าพเจ้าจนอึดอัดใจตายไป!”
อุ้ยเอี้ยงกล่าวว่า
“บนร่างกายของท่านมีความผิดปกติหรือไม่?”
“เมื่อครู่นี้มีอาการเย็นยะเยียบเสียดกระดูกสุดจะทนทาน บัดนี้ทุเลาแล้ว”
อุ้ยเอี้ยงถอนหายใจออกมากล่าวว่า
“นั่นเป็นขั้นสุดยอดในวิชากระบี่ เพียงอาศัยกระแสพลังก็สามารถสังหารศัตรูในรัศมีร้อยก้าว ท่านหากไม่มีพลังการฝึกปรืออันลึกล้ำ กอปรกับเข้าใจความพลิกแพลงของกระบวนท่าสุริยันสาดส่องหล้า ก็ยากที่จะรอดพ้นเภทภัยถึงแก่ชีวิต อา นี่นับว่าหวาดเสียวอย่างยิ่งยวด”
จับฮึงไต้ซือกล่าวสอดว่า
“อาเอี้ยง เจ้าถ่ายทอดเพลงกระบี่ประจำตระกูลให้กับคนภายนอกหรือว่าได้ลืมเลือนกฎระเบียบอันเข้มงวดของญาติผู้ใหญ่แล้ว?”
กระแสเสียงของมันแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายที่เยือกเย็นไร้ไมตรี
อุ้ยเอี้ยงก้มศีรษะลง จับฮึงไต้ซือส่งเสียงอีกว่า
“บัดนี้เจ้าทบทวนกฎระเบียบประจำตระกูลในใจ”
อุ้ยเอี้ยงมีเรือนร่างสั่นระริก ทำให้ซิเล้งซึ่งอยู่ใกล้ชิดบังเกิดความรู้สึกอันพิสดาร กล่าวคือร่างกายของฝ่ายตรงข้ามมีความนุ่มนิ่มและเปี่ยมแรงสะท้อนคล้ายดั่งสมบูรณ์ด้วยเลือดเนื้อ มิอาจเสาะพบโครงกระดูก
ซิเล้งยืดอกยืนหยัดอย่างแน่วนิ่ง กล่าวเบาๆ ว่า
“ท่านมิต้องพรั่นพรึง!”
อุ้ยเอี้ยงกลับแอบอิงเข้าหา กล่าวว่า
“เราจะไม่เกรงกลัวได้อย่างไร?”
จับฮึงไต้ซือกล่าวอย่างเย็นชาว่า
“เจ้าในเมื่อเกรงกลัว ไฉนจึงกล้าดำเนินการล่วงละเมิดกฎระเบียบ?”
ซิเล้งอาศัยอยู่ข้างเคียง สังเกตการณ์ได้แจ่มชัดพลันรู้สึกว่าสำเนียงของจับฮึงไต้ซือเริ่มสลายความเยือกเย็นไร้ไมตรีแล้ว
ตนบังเกิดปฏิภาณวูบหนึ่งใช้สำเนียงทางลมปราณกล่าวกับอุ้ยเอี้ยงว่า
“จับฮึงไต้ซือได้มีจิตเวทนาสงสารแล้ว ท่านไยไม่ลองฉวยโอกาสนี้ อาจจะสามารถได้รับการอภัยโทษและทำลายประตูไร้ไมตรีนี้”
อุ้ยเอี้ยงเงยหน้ามองไปที่ม่านไม้ไผ่ซึ่งปล่อยห้อยลง ดวงตาทั้งคู่มีหยาดน้ำตาเอ่อคลอ แสดงท่วงท่าอันน่าสมเพชเวทนา ซิเล้งกลับลอบคร่ำครวญในใจ คำนึงว่า
‘…พฤติการณ์นี้ เกรงว่าจะพลิกเหตุการณ์ให้เลวร้าย เนื่องจากการหลั่งน้ำตาสมควรให้สตรีเพศแสดงออก จึงจะสร้างความหวั่นไหวต่อผู้คน หากแม้นบุรุษเพศคอยร่ำไห้ กลับทำให้ผู้คนรู้สึกชิงชัง…’
แต่ตนก็ไม่เข้าใจว่าอุ้ยเอี้ยงมาตรแม้นเป็นบุรุษ แต่หยาดน้ำตาสองสายยามปรากฏอยู่บนเค้าหน้าที่คมคายขาวสะอาดของมัน แทนที่จะรู้สึกชิงชังน่าหัวร่อ กลับมีจิตใจอ่อนระทวย
ซิเล้งพลันฉุกใจได้คิด เข้าใจว่ามันกับอุ้ยเซี่ยวย้งมีรูปโฉมคลับคล้ายกัน ทำให้ตนรู้สึกไปว่าอุ้ยเซี่ยวย้งกำลังหลั่งน้ำตา
จับฮึงไต้ซือเงียบงันไปครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า
“อาตมามาตรแม้นมีจิตปกป้อง ก็ปราศจากหนทาง สำหรับข้อนี้เจ้าย่อมทราบดี”
อุ้ยเอี้ยงส่งเสียงขึ้นว่า
“หากแม้นซิเล้งเป็นบุตรเขยของท่านผู้เฒ่า ก็ไม่อาจนับเป็นบุคคลภายนอกใช่หรือไม่?”
ซิเล้งสะท้านใจวาบ ห้วงสมองปรากฏวงพักตร์ของอุ้ยเซี่ยวย้งและรู้สึกว่าตนกลับมิมีความคิดไม่ต้องการเป็นสามีของนาง ทำให้ตื่นตระหนกยิ่งขึ้น
แต่ทว่าซิเล้งมิได้แสดงความแตกตื่นออกมาทางสีหน้า ทั้งนี้ก็เพราะตนตกลงล่วงหน้าแล้วว่า จะยอมรับสมอ้างเป็นบุคคลผู้หนึ่ง ขณะนี้กำลังดำเนินการตบตา จึงไม่อาจทำลายแผนการของอุ้ยเอี้ยง
หากแต่ในใจของตน เต็มไปด้วยความหวั่นไหว ตนกลับมิมีความคิดไม่ยอมรับสมอ้างเป็นสามีของอุ้ยเซี่ยวย้ง นี่ไยมิใช่แสดงว่าตนบังเกิดความนิยมชมชอบในตัวนางแล้ว?
ตามเหตุผล อาศัยดรุณีเฉกเช่นอุ้ยเซี่ยวย้งซึ่งโสภาสะคราญตาเปรื่องปราดเปี่ยมวิชา และปฏิบัติต่อตนอย่างนุ่มนวลเอาอกเอาใจ มิกล้าแสดงความแง่งอนถืออารมณ์แม้แต่น้อย
ซิเล้งมิมีความคิดปฏิเสธต่อการรับนางเป็นภรรยาย่อมเป็นเรื่องตามเหตุผล แต่ปัญหาอยู่ที่ตนเข้าใจว่า ตัวเองปราศจากอารมณ์พิศวาสนอกจากฉี้อิงแล้ว จะไม่รักใคร่บุคคลอื่น และความจริงก็เป็นเช่นนี้ หากทว่าบัดนี้ …
ได้ยินจับฮึงไต้ซือส่งเสียงดังอือม์ กล่าวว่า
“อาตมาถนัดในการเข้าใจความรู้สึกของผู้คน สีหน้าของท่านแม้มิเปลี่ยนแปลง แต่ดวงตาเบิกกว้างแสดงว่าได้รับความกระทบกระเทือนใจ นี่เป็นเหตุผลกลใด?”
“ไต้ซือมีดวงตาปราดเปรียว สามารถมองทะลุซึ้ง ผู้เยาว์…”
ตนสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ข่มกลั้นความพลุ่งพล่านดาลใจค่อยกล่าวสืบไปว่า
“ผู้เยาว์เนื่องจากจวบจนบัดนี้เพิ่งรับทราบชาติกำเนิดที่แท้จริงของท่านผู้เฒ่า รู้สึกตื่นเต้นพิศวงอย่างใหญ่หลวง”
จับฮึงไต้ซือ กล่าวว่า
“เหตุผลนี้กลับสมบูรณ์จนสามารถใช้มาอ้างอิง… ถ้าเช่นนั้นประสกแซ่ซิขอให้เอื้อนเอ่ยออกมาว่าท่านยินยอมเป็นบุตรเขยของอาตมาจริงๆ?”
ซิเล้งขบกรามกรอด ตอบว่า
“ถูกต้อง ไต้ซือไฉนจึงถามไถ่เช่นนี้?”
จับฮึงไต้ซือส่งเสียงกล่าวว่า
“อาตมาสังเกตความประพฤติของท่าน ทราบว่ามีวาจาเป็นสัจจะยินยอมตกใจโดยไม่ทำลายคำสัตย์ เพราะเหตุนี้อาตมาจึงต้องการให้ท่านยอมรับด้วยตัวเอง ซึ่งหลังจากนั้นมิว่าจะเป็นจริงเท็จ บัดนี้ได้แน่นอนแล้ว หากเป็นความเท็จก็เปลี่ยนแปลงเป็นความจริง”
ซิเล้งรับฟังจนงงงันไป กล่าวว่า
“ผู้เยาว์กลับมิได้คำนึงถึงข้อนี้”
“บัดนี้พอรับทราบก็มิสายเกินไป แต่อาตมาสามารถสาบานต่อพุทธองค์ว่า พฤติการณ์นี้หาใช่อาตมากับธิดาสร้างสรรค์ขึ้น เพียงแต่จากการที่ท่านสอดแทรกเข้ามา ทำให้อาตมามิอาจสลัดพ้นจากโลกีย์วิสัย อาตมาก็ฉวยโอกาสนี้สวมใส่บ่วงพันธะต่อท่าน”
ซิเล้งพลันสำนึกได้ว่า เรื่องนี้มีความสำคัญยิ่งนัก จึงฝืนหัวร่อกล่าวว่า
“หากแม้นธิดาของท่าน มีความรู้สึกชิงชังผู้เยาว์ พฤติการณ์ของไต้ซือนี้ ไยมิใช่ทำลายอนาคตของนาง”
จับฮึงไต้ซือกล่าวอย่างแช่มช้าว่า
“ท่านชนชั้นอัจฉริยะที่เด่นล้ำ ชั่วชีวิตเราเพิ่งพบพานย่อมเหมาะสมคู่ควรกับธิดาเรา”
อุ้ยเอี้ยงพลันกล่าวสอดว่า
“ไต้ซือหรือว่าไม่อนุญาตให้บุตรเขยได้กราบพบสักคราหนึ่งหรอกหรือ?”
จับฮึงไต้ซือมิส่งเสียง คล้ายดั่งกำลังใคร่ครวญ ซิเล้งเบือนหน้าไปทางอุ้ยเอี้ยง ใบหน้ามีรอยยิ้มอันแห้งแล้ง อุ้ยเอี้ยงพลันก้มศีรษะลง มิกล้าจับจ้องตน
ซิเล้งจวบจนบัดนี้จึงสะท้านใจอย่างรุนแรง เบิ่งตาจนกลมกว้าง พิจารณาช่วงลำคอของอุ้ยเอี้ยง แลเห็นมีผิวกายขาวผุดผ่องเป็นยองใย ไหนเลยจะละม้ายช่วงคอของบุรุษเพศ?
ถ้าเช่นนั้น มันกลับเป็นอุ้ยเซี่ยวย้งแอบอ้างปลอมแปลงขึ้นด้วย? ซิเล้งขบคิดด้วยความแตกตื่นและพิจารณาอุ้ยเอี้ยงโดยละเอียด
พลันได้ยินจับฮึงไต้ซือทอดถอนหายใจกล่าวขึ้นว่า
“พวกเจ้าเข้ามาเถอะ”
ไม้ไผ่ลำยาวท่อนนั้นปล่อยห้อยลงอย่างแช่มช้า จนกระทบถูกพื้นดินดังเบาๆ
อุ้ยเอี้ยงยื่นมือคว้ากุมต้นแขนของซิเล้ง ซิเล้งกลับใช้กำลังสะบัดหลุด ขมวดคิ้วกล่าวว่า
“ท่านเข้าไปก่อน”
อุ้ยเอี้ยงสังเกตได้ว่า สภาพการณ์ผิดพลาดไปจึงกล่าวอย่างร้อนรนว่า
“ท่านเป็นอย่างไร?”
ซิเล้งส่งเสียงกล่าวว่า
“ท่านย่อมจดจำวาจาที่ข้าพเจ้าอ้างอิงได้ว่า จะต้องทะลวงฝ่าประตูไร้ไมตรีนี้ บัดนี้ประตูแม้เพิกถอนไปท่านก็เข้าไปเอง หามีส่วนเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าไม่”
“ไฉนจึงไม่เกี่ยวข้องกับท่าน ไต้ซือต้องการพบท่าน”
“ข้าพเจ้าหากไม่มีทางอาศัยพลังฝีมือทะลวงฝ่า ก็จะไม่เข้าไป!”
อุ้ยเอี้ยงได้ร้อนรุ่มจนมีท่วงท่าคิดร่ำไห้ ชวนให้เวทนาสงสารจนผู้คนไม่อาจตัดใจอย่างทารุณ
แต่ซิเล้งได้ตัดใจเบือนสายตาไป กล่าวอย่างเหินห่างว่า
“ท่านเข้าไปเอง ข้าพเจ้าต้องการขบคิดสักคราหนึ่ง”
ทั้งสองยามโต้ตอบกัน ทั้งอุ้ยเอี้ยงกับซิเล้งล้วนไม่ใช้คำยกย่องฝ่ายตรงข้ามเป็นพี่ชาย แสดงว่าซิเล้งได้เข้าใจว่า อุ้ยเอี้ยงผู้นี้คืออุ้ยเซี่ยวย้ง และอุ้ยเอี้ยงเมื่อเป็นอุ้ยเซี่ยวย้ง ก็มิต้องการให้จับฮึงไต้ซือรับฟังจนทราบว่า ซิเล้งเป็นบุคคลรับสมอ้าง
แต่ทว่าขณะนี้ล้วนไม่จำเป็นแล้ว ซิเล้งได้หมกมุ่นครุ่นคิดวิธีการที่จะสลัดพันจากหลุมพรางแห่งนี้ ซึ่งมาตรแม้นจะสร้างความรันทดใจให้กับอุ้ยเซี่ยวย้ง ก็เป็นเรื่องอบจนปัญญา
ซิเล้งใคร่ครวญอย่างหมกมุ่น รู้สึกว่าตนในเมื่อมิอาจสู้หน้ากับฉี้อิงอีก และหวนนึกถึงความเจ็บช้ำที่สุมอก ยามกะทันหันเมื่อมิอาจตัดสินใจได้ รู้สึกว่ามีแต่อัตวินิบาตกรรม เพื่อหลุดพ้นจากเรื่องราว
ม่านไม้ไผ่หน้าประตูห้องพลันหลุดออกมากองอยู่บนพื้นดิน ซิเล้งกวาดสายตามองไป แลเห็นหน้าประตูยืนหยัดไว้ด้วยหลวงจีนผอมซูบร่างสูงตระหง่านผู้หนึ่ง
หลวงจีนผู้นี้มีอายุหกสิบเศษ คิ้วสีดำสนิททั้งสองสายห้อยลงมา เค้าหน้าเคร่งขรึมสำรวมเปี่ยมอำนาจและในยามนี้ยังมีสีหน้าเคร่งเครียด
อุ้ยเอี้ยงเบิ่งตาจนกลมกว้าง เรียกหาว่าบิดา หยาดน้ำตาสองสายได้ไหลทะลักออกมาเนืองนองไปสองแก้มแปดเปื้อนอาภรณ์
หลวงจีนชรารูปงามนั้นย่อมต้องเป็นจับฮึงไต้ซือ ในมือของมันยังยึดถือไม้ไผ่ท่อนนั้น จับจ้องเขม้นมองซิเล้ง ฝ่ามือซ้ายเคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบา นับเป็นการทักทายกับอุ้ยเอี้ยง
มันส่งเสียงอย่างเย็นชาว่า
“ประสกแซ่ซิ วาจาของท่านออกจะทระนงตนเกินไปแล้ว อาตมามาตรแม้นอาศัยอยู่กับพุทธองค์มาเนิ่นนานปี แต่โมหะจิตยังมิสลายการละศีลฆ่าฟันผู้คนสามารถกระทำได้!”
ซิเล้งรู้สึกว่า มันมีสำเนียงที่ท้าทาย จึงฟื้นฟูสติสัมปชัญญะยังเกิดความฮึกเหิมเหี้ยมหาญ น้อมกายลงคารวะกล่าวว่า
“ไต้ซือมีคารมอันฉับไว ผู้เยาว์รู้สึกนับถือยิ่ง แต่ผู้เยาว์มีอุปนิสัยอันดื้อรั้น วาจาที่เอ่ยอ้างออกก็มิอาจไม่กระทำ”
จับฮึงไต้ซือเบือนสายตาไปที่กระบี่ยาวซึ่งตกอยู่บนพื้นดินแค่นเสียงอย่างเย็นชา ลำไม้ไผ่ได้ตวัดลง แว่วเสียงดังฉาดเมื่อกระแทกถูกตัวกระบี่ยาว
แลเห็นกระบี่ยาวเล่มนั้นหักสะบั้นเป็นสองท่อน อันกระแสพลังที่แกร่งกร้าวเกรี้ยวกราดเช่นนี้ ยามแผ่ทะลักสามารถหักสะบั้นกระบี่ยาว นับว่าไร้ผู้เทียมทานเลย!
ซิเล้งย่อมนับถือเลื่อมใส ได้ยินจับฮึงไต้ซือกล่าวเสียงทุ้มหนักว่า
“ประสกแซ่ซิมิใช่อาตมาคุยโอ่ ความจริงครั้งนี้ท่านก็ต้องฝึกฝนเป็นเวลายี่สิบปี จึงสามารถแสดงได้เทียบเท่า”
มันแค่นเสียงเบาๆ กล่าวอีกว่า
“แต่อาตมาไหนเลยจะสามารถรอคอยถึงยี่สิบปีเล่า?”
ซิเล้งพลันยื่นมือออกตะปบคว้ากระบี่คู่มือของอุ้ยเอี้ยงมากระชับมั่น ประกายสีแดงฉานแผ่กระจายบาดตา ตนขยับกระบี่วาดเป็นสภาวะ กล่าวว่า
“ไยต้องรอคอยยี่สิบปี ผู้เยาว์บัดนี้จะแสดงความต่ำต้อยออกไปแล้ว”
อุ้ยเอี้ยงสะอึกร่างมาขัดขวาง หยาดน้ำตาเนืองนองเต็มใบหน้า กล่าวอย่างหดหู่ว่า
“ท่าน … คิดจะทำอย่างไร?”
ซิเล้งเค้นเสียงกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าต้องการทะลวงฝ่าด่านด้วยความสามารถของตัวเอง”
อุ้ยเอี้ยงขยี้เท้ากล่าวว่า
“ท่านไย มิต้องบีบบังคับให้บิดาเราต้องลงมืออย่างอำมหิตด้วย?”
จับฮึงไต้ซือส่งเสียงกล่าวว่า
“เอี้ยงยี้ถอยไป เราลงมือมิเคยมีไมตรี หาใช่ครั้งนี้เป็นคราแรกไม่”
อุ้ยเอี้ยงมีเรือนร่างส่ายโงนเงน ดุจดั่งรื้อฟื้นจากการป่วยไข้ เท้าอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรง ซิเล้งขบกรามกรอด ใช้มือซ้ายผลักไสอุ้ยเอี้ยงแล้วสาวเท้าคุกคามเข้าไป
พริบตาเดียวก็ได้เข้าใกล้ช่องว่างนั้น แลเห็นจับฮึงไต้ซือรั้งไม้ไผ่ขึ้น ปิดสกัดช่องว่างอย่างรัดกุมไร้รอยโหว่ ยังคงเป็นกระบวนท่าสุริยันสาดส่องหล้า
ซิเล้งเกาะกุมกระบี่เมฆแดง ปลายกระบี่ตรงไปเบื้องหน้ามีอาการสั่นพลิ้วเล็กน้อย ทำให้ผู้คนสุดจะขบคิดคำนวณสภาวะพลิกแพลงของวิถีกระบี่
กระบวนท่านี้ ซิเล้งยามเข้ามาก็สำแดงเป็นครั้งแรก ในที่สุดได้ถูกหลังกระบี่ของจับฮึงไต้ซือบังคับล่าถอย บัดนี้ก็ใช้ออกมาอีก จับฮึงไต้ซือแค่นเสียงอย่างเย็นชา ไม้ไผ่ไม่คลาดเคลื่อนหลีกเลี่ยง
พริบตาเดียวซิเล้งได้ถลันเข้าไปในกลางวง กระบี่เมฆแดงเสือกพุ่งไปเบื้องหน้าประหนึ่งสายฟ้าแลบแปลบปลาบ ปลายกระบี่ทิ่มแทงถูกส่วนปลายของไม้ไผ่ จากนั้นได้ผลักไสขึ้นไปทางซ้ายมือ
ในยามนี้ขอเพียงแต่ไม้ไผ่ของจับฮึงไต้ซือเคลื่อนไหวไปทางซ้ายพร้อมกับภาวะกระบี่ ซิเล้งก็สามารถพลิกร่างทะลวงฝ่าเข้าไป
จับฮึงไต้ซือยืนหยัดอยู่ห่างไกล ไม้ไผ่มีส่วนยาวเหยียด นอกจากใช้พลังกระบี่คุกคามศัตรูจนล่าถอยก็ปราศจากหนทางอื่นอีก
ดังนั้นจับฮึงไต้ซือจึงกู่ร้องดังสดใส พลังกระบี่กระแสใหญ่ได้แผ่ทะลักออกไป ความเข้มแข็งของอานุภาพสุดที่จะเปรียบประมาณ แสดงว่ามันได้ตีโต้อย่างสุดกำลัง
ซิเล้งย่อมมิกล้าชักช้าเลินเล่อ ก็ผนึกพลังทั่วทั้งร่างแผ่พุ่งออกจากตัวกระบี่ ก่อเกิดเป็นกระแสพลังอันเย็นยะเยียบทะลักทลายใส่โดยมิขาดสาย
พลังกระบี่ของทั้งสองฝ่ายพอสัมผัสปะทะกัน ซิเล้งรู้สึกว่ากระแสพลังของตัวเอง คล้ายดั่งหิมะถูกอัคคีแผดเผา พอปะทะก็สลายสิ้น ไม่มีประสิทธิภาพในการต่อต้านศัตรู จึงบังเกิดความตื่นตระหนกสุดจะเปรียบ!
สมควรทราบว่า ซิเล้งตั้งแต่สำเร็จวิชาฝีมือออกท่องเที่ยว ได้อาศัยหกกระบวนท่าของสำนักอาจารย์กอปรกับขันติมานะที่เหนือล้ำกว่าปุถุชนมาแต่กำเนิด ก่อเกิดเป็นพลานุภาพที่ไร้ผู้เทียมทาน อาละวาดไปทั่ววงพวกนักเลง
มาตรแม้นว่า ชนชั้นผู้ทรงฝีมือเฉกเช่นกิมเม้งตี้ จูกงเม้ง ก็ไม่มีทางปะทะกับซิเล้งอย่างหักโหมตรงๆ ต้องแฉลบหลบหลีก แล้วค่อยตีโต้ด้วยท่าร่างอันพิสดาร
แต่จับฮึงไต้ซือกลับเป็นบุคคลแรกที่สามารถสยบตนได้โดยมิสูญเสียเรี่ยวแรง มิเพียงแต่ไม่คร้ามเกรง พลังกระบี่ของซิเล้งยังสามารถกดดันบังคับ จนซิเล้งกลับรู้สึกว่าไม่อาจต้านทานภาวะจู่โจมจากฝ่ายตรงข้าม
ช่วงเวลานั้นเอง พลังกระบี่อันเกรี้ยวกราดของจับฮึงไต้ซือ ได้เปี่ยมล้นด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิตอาศัยความรวดเร็วคุกคามเข้ามาแล้ว
ซิเล้งขณะนั้นมาตรแม้นจะแตกตื่นตระหนก แต่จับฮึงไต้ซือไม่สับสนลนลานแม้แต่น้อย และตนคราแรกมีเจตจำนงเสี่ยงชีวิต ดังนั้นจึงไม่มีความคิดหลบเลี่ยงล่าถอย
ตนแม้จะยินยอมสละชีวิต แต่สถานการณ์ยามคับขัน สัญชาตญาณประจำตัวย่อมบ่งการให้รวบรวมพละกำลัง หาหนทางต้านรับตอบโต้
แต่ในสภาพเช่นนี้ ไม่มีทางตีโต้กลับไป หนทางเพียงประการเดียวคือพยายามต้านทานเอาไว้…
ซิเล้งแลเห็นแนววิชาประจำสำนักอาจารย์ ล้วนถูกศัตรูสยบเอาไว้ จึงขบคิดอย่างว่องไว ปลายกระบี่พลันรั้งขึ้นสูงครึ่งเชียะจากนั้นก็เสือกแทงออกไป
ความจริงภาวะเสือกแทงที่ว่า เพียงแต่พุ่งออกไปหกเจ็ดนิ้วเท่านั้น แต่ปลายกระบี่กลับส่งสำเนียงอันแกร่งกร้าวผิดสามัญ ดั่งราวกับกำลังกรีดผ่านม่านอันหนาทึบ
นี่นับเป็นเหตุการณ์ที่ซิเล้งมิได้คาดคิดมาก่อน รู้สึกว่ากระบี่คู่มือในพริบตาเดียวมีความหนักอึ้งปานบรรพตแทบไม่สามารถกุมกระชับมั่น จึงรวมรั้งลมปราณทั่วทั้งร่างอย่างเร่งร้อน ขยับกระบี่สำแดงกระบวนท่าต่อต้าน
ในพริบตานั้น ทั้งสองฝ่ายก็โรมรันอย่างเยิ่นเย้อเป็นสภาพที่พัวพันจนยากสลัดหลุด แลเห็นจีวรที่จับฮึงไต้ซือครองอยู่คล้ายดั่งถูกลมพัดพลิ้วปลิวไสวตลอดเวลา
ส่วนไม้ไผ่ลำยาวเหยียดในมือได้ชี้เฉียงมาทางด้านซ้าย ปลายไม้ไผ่ประจวบกับถูกกระบี่เมฆแดงพัวพันเอาไว้ ในเมื่อไม่อาจลดต่ำลงก็มิสามารถรั้งกลับไป
ซิเล้งขณะนี้ก็ยังใช้กระบวนท่าสุริยันสาดส่องหล้า ดังนั้นมาตรแม้นสถานการณ์ได้พลิกแพลงอย่างกะทันหันก็ไม่สูญเสียชีวิต ในยามนี้กำลังทุ่มเทพลังภายในบังคับกระบี่ แผ่ซ่านลมปราณบริสุทธิ์ออกไปตามเคล็ดเกร็งกำลังของกระบวนท่าดังกล่าวอย่างมิขาดสาย
เพียงชั่วขณะหนึ่ง ซิเล้งก็รู้สึกว่ากำลังภายในยิ่งนานยิ่งสมบูรณ์ไม่ขาดห้วง และเพิ่มพูนความแกร่งกร้าวขึ้น จึงยิ่งทุ่มเทออกไป โดยมิผ่อนคลายแม้แต่น้อย
แต่ตนไม่มีทางขบคิดได้ว่า สถานการณ์ไฉนจึงผิดสามัญถึงปานนี้ พฤติการณ์หักล้างพลังภายในด้วยกัน เหตุใดยิ่งนานยิ่งเข้มแข็งมิสลายสูญ!
แลเห็นปลายกระบี่ของซิเล้งได้เคลื่อนออกไปเบื้องหน้ามาตรแม้นเชื่องช้า แต่พริบตาเดียวก็ผลักไสไม้ไผ่ของฝ่ายตรงข้ามไปถึงห้านิ้ว
ความจริงไม้ไผ่ยาวเหยียด กระบี่สั้นกว่า เวลาหักล้างพลังภายใน ฝ่ายไม้ไผ่ก็เสียเปรียบอยู่แล้ว อย่าว่าแต่ขณะนี้เป็นภาวะต่อสู้ทางด้านข้างด้วย
ดังนั้นซิเล้งทุกครั้งที่ผลักดันไปหนึ่งนิ้ว ภาวะมีเปรียบก็เพิ่มพูนขึ้นอีกหลายส่วน ซิเล้งลอบปีติลิงโลด ยิ่งมิยอมผ่อนคลาย
ทันใดนั้นตัวกระบี่รู้สึกเบาหวิว ที่แท้ไม้ไผ่ลำยาวของจับฮึงไต้ซือได้ตวัดขึ้นสู่เบื้องบนท้องฟ้า หลุดพ้นจากการพัวพันของกระบี่ซิเล้ง ซึ่งก็ไม่ต้องใช้ลมปราณภายในพันตูกันอีก
ไม้ไผ่ลำยาวนั้นพอพุ่งขึ้นแล้วก็ตวัดลง มีความฉับไวประหนึ่งสายฟ้า แต่สำหรับซิเล้งช่องว่างนี้อุปมาวิถีทางอันกว้างขวางได้สืบเท้าถลันเข้าไปในช่องว่างของรั้วล้อม
จับฮึงไต้ซือพลันชะงักสภาวะของไม้ไผ่ ไม่ได้พุ่งต่ำลงจริงๆ ซิเล้งประคองกระบี่น้อมกายลงคารวะ
พลันได้ยินอุ้ยเอี้ยงส่งเสียงเรียกหาว่าบิดา และพุ่งเฉียดผ่านข้างกายของซิเล้ง ถาโถมเข้าไปในอ้อมอกของหลวงจีนชรา
ซิเล้งพลางคลายนิ้วทั้งห้าอย่างลืมตัว กระบี่เมฆแดงได้ร่วงหล่นลงบนพื้นดิน ส่งสำเนียงดังเปรื่อง จวบจนบัดนี้ตนจึงเชื่อมั่นว่า อุ้ยเอี้ยงความจริงคืออุ้ยเซี่ยวย้งโดยมิผิดพลาด!
เพราะเหตุนี้ จิตใจของซิเล้งจึงแตกตื่นตระหนกและมึนงงเลื่อนลอย แม้แต่กระบี่ก็มิอาจจะกระชับกุมได้
จับฮึงไต้ซือยื่นมือออกลูบคลำอุ้ยเอี้ยง สีหน้าเต็มไปด้วยแววอันเวทนารักใคร่ กล่าวเบาๆ ว่า
“หนูเอย เจ้าหาหนทางบีบบังคับบิดากลับคืนสู่มาตุภูมิ ความจริงหาใช่พฤติการณ์อันเฉลียวฉลาดเลย”
อุ้ยเอี้ยงส่งเสียงอันลิงโลดว่า
“บิดา คราก่อนท่านไม่อนุญาตให้บุตรได้น้อมเรียนเรื่องราวในบ้านพัก ดังนั้นจวบจนบัดนี้ยังมิทราบความจริงตั้งแต่หลายปีก่อน มารดาก็สำนึกเสียใจ ภาวนาให้ท่านกลับไป”
จับฮึงไต้ซือหัวร่ออย่างเฉื่อยชากล่าวว่า
“บิดาเห็นซึ้งถึงโลกีย์วิสัย ขอพึ่งพิงต่อพุทธองค์ นั่นเป็นเจตนาจากใจจริง หาใช่ถูกผู้คนบังคับไม่ มารดาแม้ภาวนาให้เรากลับไป แต่อีกมินานย่อมมีวาจาหลายหลากคอยกล่าวหา เจ้าเป็นดรุณีน้อยไหนเลยจะทราบซึ้งถึงน้ำใจมนุษย์ที่มักเปลี่ยนแปลง”
ซิเล้งรับฟังถึงตอนนี้ จึงปักใจเชื่อมั่นว่า ฝ่ายตรงข้ามคืออุ้ยเซี่ยวย้ง จิตใจรู้สึกสับสนวุ่นวาย ในยามกะทันหันมิทราบว่าสมควรกระทำอย่างไร
ได้ยินอุ้ยเซี่ยวย้งกล่าวนุ่มนวลว่า
“บิดา วาจาของท่านแม้มีเหตุผล แต่มารดาได้ปลูกสร้างตึกกะทัดรัดหลังหนึ่ง อยู่ในส่วนลึกของสวนเรา เตรียมให้บิดาพำนัก มารดาอ้างว่าท่านไม่นิยมให้ผู้คนรบกวน จึงสรรหาสถานที่นั้น ซึ่งห่างจากหมู่ตึกกว่าหนึ่งลี้ และมารดาเพียงมุ่งหวังให้ท่านเข้าไปอาศัยสักหลายวัน ชั่วชีวิตของนางก็พึงพอใจแล้ว
จับฮึงไต้ซือมีใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมสำรวม กล่าวช้าๆ ว่า
“ความปรารถนาดีของมารดาเจ้า บิดารู้สึกตื้นตัน ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็จะหวนกลับไปพำนักด้วยกัน แต่อาย้งเจ้าทราบหรือไม่ว่า ตัวเองได้ชักนำเอาความยุ่งยาก จนชั่วชีวิตมิอาจสลัดหลุดพ้น?”
อุ้ยเซี่ยวย้งงงงันไปเล็กน้อย พลันก้มศีรษะลงซุกอยู่ที่ทรวงอกของบิดาผู้ชรา มิได้ส่งสำเนียง
จับฮึงไต้ซือส่งสำเนียงเบาๆ ประกายสายตาเบือนไปยังซิเล้งกล่าวว่า
“เขยเรา เข้ามาในห้อง สนทนาด้วยกันเถอะ!”
ซิเล้งแม้มิตอบคำ แต่ก็สืบเท้าก้าวเข้าไปในห้องพักของจับฮึงไต้ซือ ภายในห้องกว้างขวางยิ่งนัก นอกจากผนังแขวนรูปพุทธองค์สำหรับบูชา ก็มีเพียงเตียงนอกกับเก้าอี้เก่าแก่หลายตัวเท่านั้น
จับฮึงไต้ซือนั่งลงที่ริมเตียง อุ้ยเซี่ยวย้งนั่งเบียดเสียดใกล้ชิดกับผู้เป็นบิดา กลับมิกล้าเงยหน้าขึ้นมาเหลือบแลซิเล้งเลย
ซิเล้งก็ทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่ง เลี่ยวอ้วงได้เข้ามาอย่างรวดเร็ว นำน้ำชาสามถ้วยใช้ต้อนรับ
จับฮึงไต้ซือกระแอมไอหนักๆ แล้วค่อยกล่าวว่า
“อาตมาได้ปลีกตัวออกห่างจากซีกโลกอันยุ่งเหยิง แต่หากสามารถแลเห็นธิดารักเป็นฝั่งเป็นฝา ก็เป็นเรื่องราวอันมงคลน่าประโลมใจ”
มันขณะเอื้อนเอ่ย ก็สังเกตพบว่า ซิเล้งได้ขมวดคิ้วนิ่วหน้า และได้ยินหัวใจของธิดารักเต้นระทึกตูมตาม ในใจอดบังเกิดความรู้สึกอันเจ็บปวดขมขื่นใจมิได้
มันพลันหยุดยั้งไปชั่วครู่ ก็กล่าวสืบไปว่า
“อาตมามิทราบว่าในระหว่างพวกเจ้ามีส่วนสัมพันธ์กันอย่างไร เพียงแต่ต้องการได้ยินประสกแซ่ซิตอบมาด้วยตัวเอง อาตมาจะเรียกหาท่านเป็นบุตรเขย และท่านยอมรับหรือไม่?”
ซิเล้งยืดอกขึ้นมีความฮึกเหิมคุกคามผู้คน กล่าวว่า
“ไต้ซือไยมิทดสอบดูสักคราหนึ่ง?”
จับฮึงไต้ซือกลับงงงันไป กล่าวว่า
“เจ้ายอมรับด้วยตนเองก็ใช้ได้แล้ว บอกกล่าวตามความสัตย์เนื่องจากย้งยี้อ้างอิงว่า เจ้าเป็นบุตรเขยของเรา ประตูไร้ไมตรีจึงสามารถทะลวงฝ่าได้”
“ผู้เยาว์เมื่อครู่นี้กระทำอย่างสุดความสามารถ เชื่อมั่นว่าประสบผลสำเร็จ”
“เจ้าลองครุ่นคิดดู เมื่อครู่นี้ได้อาศัยวิชาฝีมืออันใดทะลวงผ่านด่านนี้?”
ซิเล้งพอได้ยินก็คำนึงขึ้นว่า
“…ที่แท้เราเนื่องจากใช้เพลงกระบี่ตระกูลอุ้ยของพวกมัน ทำให้กระบี่เมฆแดงแผ่อานุภาพถึงจุดสุดยอด จึงประสบผลสำเร็จได้อย่างโชคช่วย…”
ตนผงกศีรษะกล่าวว่า
“ผู้เยาว์เข้าใจแล้ว แต่หากแม้นผู้เกรงกลัวรักชีวิต คาดว่ามิอาจสำแดงไม้ตายของตระกูลท่านได้”
จับฮึงไต้ซือกล่าวอย่างสำรวมว่า
“พอพาดพิงถึงเรื่องนี้ เจ้าย่อมไม่ลืมเลือนว่าตระกูลเรามีระเบียบห้ามถ่ายทอดวิชาต่อบุคคลภายนอก ดังนั้นอาตมาจึงต้องถามไถ่จนเข้าใจ ดูว่าเจ้านับเป็นคนภายนอกหรือไม่?”
มันระบายลมหายใจยาวๆ ออกมา กล่าวสืบไปว่า
“อาตมามีความทระนงตนยิ่งนัก ไม่มีความคิดข่มขู่แข็งขืน สำหรับเรื่องนี้เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดด้วย”
ซิเล้งรับฟังจากน้ำเสียง สังเกตอิริยาบถของมัน รู้สึกว่าเป็นบุคคลที่ยึดมั่นในคุณธรรมจริงๆ ผู้คนเฉกเช่นมัน ในวงพวกนักเลงย่อมปรารถนา ดังนั้นตนได้คาดคิดว่า หากปฏิบัติตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกับมัน สถานการณ์ย่อมมิอาจเปรียบเทียบกับกาลก่อน
ตนขบคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาเดียว ก็เข้าใจในด้านคุณธรรม สัจจะธรรม ภาวะแวดล้อมในวงพวกนักเลงจนทะลุปรุโปร่ง และมีการตกลงใจแล้ว
จับฮึงไต้ซือพลันกล่าวว่า
“ก่อนที่เจ้าจะเอ่ยปาก ยังมีวาจาอื่นใดคิดอ้างอิงหรือไม่?”
ซิเล้งร้องโพล่งไปว่า
“เรื่องของการแต่งงานอยู่กิน ตามธรรมเนียมสมควรให้บุพการีดำเนินการ ข้าพเจ้า…”
ขณะนั้นอุ้ยเซี่ยวย้งพลันกล่าวสอดอย่างแผ่วเบาว่า
“ชาติกำเนิดของท่าน ทั่วใต้หล้าล้วนทราบดี ปัจจุบันนี้ยังมีผู้ใดดำเนินการให้กับท่านอีก?”
สำเนียงของนางแม้แผ่วเบา แต่คล้ายดั่งเสื่อมสูญไร้เรี่ยวแรงมิน้อย สองแก้มแดงฉานสดใส
จับฮึงไต้ซือเหลือบแลเห็นท่วงท่าของซิเล้ง กลับกลายเป็นหม่นหมองเซื่องซึม มองเพียงวูบเดียวก็ทราบว่าสูญเสียความกระตือรือร้นไปแล้ว
จับฮึงไต้ซือออกบวชเพราะเห็นซึ้งในโลกีย์วิสัยมีประสบการณ์ชีวิตช่ำชอง ในยามนี้พอพบเห็นการเปลี่ยนแปลงด้านอิริยาบถของซิเล้ง ก็สำนึกทราบว่าเรื่องนี้ย่อมต้องมีเลศนัยอย่างใหญ่หลวงแอบแฝงอยู่
แต่ทว่าหากแม้นละเลยชนชั้นอัจฉริยะเช่นนี้ไปบุตรเขยเช่นซิเล้ง นับว่ายากจะพบพาน เพราะเพื่อธิดารัก จำต้องมานะพยายามสักคราหนึ่ง
จับฮึงไต้ซือครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยจึงกล่าวว่า
“อาย้งถอยไปก่อน บิดากับประสกแซ่ซิจะสนทนากันสักหลายประโยค”
อุ้ยเซี่ยวย้งลังเลอยู่เล็กน้อย แล้วจึงล่าถอยออกจากห้อง จับฮึงไต้ซือกล่าวอย่างแช่มช้าว่า
“ซิเล้ง ผู้คนในใต้หล้า สร้างสมบาปกรรมขึ้นเอง ภายหลังก็จมอยู่ในทะเลทุกข์ ไม่สามารถไถ่ถอน เพราะเหตุนี้อาตมาไหนเลยจะเฉกเช่นกับคนธรรมดา แสวงหาความยุ่งยากต่อตัวเอง”
ซิเล้งรู้สึกว่าวาจาของหลวงจีนชรารูปนี้มีเหตุผลยิ่งนัก ความอดอั้นกังวลในใจ พอได้ยินวาจาหลายประโยคนี้แล้ว ก็เสื่อมสลายไปมิน้อย
แต่จิตใจของตนยังมีความหวั่นไหวไม่สงบ จึงกล่าวอย่างสำรวมว่า
“เซี่ยงซือเฒ่าใช้ดวงตาปัญญา มองซึ้งมวลส่ำสัตว์ ย่อมเด่นล้ำกว่าปุถุชน แต่ผู้เยาว์ได้รับความคับแค้นอย่างใหญ่หลวง มิสามารถขจัดได้ คาดว่าแม้จะยึดพุทธองค์เป็นที่พึ่งก็ไม่มีประโยชน์”
จับฮึงไต้ซือหัวร่อเบาๆ กล่าวว่า
“ทวารสงฆ์กว้างไพศาล ยินดีเสริมส่งส่ำสัตว์ แต่ทว่าเจ้าหากมีความคับแค้นใจ ก็ต้องขจัดโดยอาศัยจิตสำนึก ทั้งนี้ก็เพราะอารมณ์รัก แค้น รันทด ลิงโลด ล้วนคั่งค้างอยู่ในกระแสจิต แม้กระทั่งฟ้าดินอันไพศาลก็ไม่อาจรับไว้ได้”
ซิเล้งใคร่ครวญความหมายในวาจาโดยละเอียดคล้ายสำนึกดั่งมิรู้ซึ้ง แต่จิตใจรู้สึกปลอดโปร่งมิน้อย ควรทราบว่าตลอดเวลาตนได้ซุกซ่อนเก็บงำความยุ่งยากกังวลใจ มิมีโอกาสถกเถียงวิจารณ์กับบุคคลผู้อื่น
บัดนี้จับฮึงไต้ซืออาศัยสติปัญญาที่หลุดพ้นจากปกติวิสัย ดวงจิตที่เมตตาการุณย์ ชี้แนะมรรคาอันสว่าง ทำให้ตนมีความคิดฝักใฝ่พึ่งพิงโดยมิรู้สึกตัว ชั่วชีวิตนี้จะไม่ซุกซ่อนเอาความคับแค้นอยู่ในส่วนลึกของจิตใจอีก…
ซิเล้งก้มศีรษะกล่าวว่า
“เซี่ยงซือเฒ่าหาทราบไม่ว่า ชะตากรรมของผู้เยาว์ บางสิ่งสุดที่กำลังมนุษย์จะคลี่คลาย หากแม้นเป็นเพียงความรักความแค้นส่วนตัวยังสามารถแบกรับไว้ แต่เรื่องบางประการ อา…”
จับฮึงไต้ซือ กล่าวว่า
“เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าเชื่อมั่นว่าสามารถแบกรับบุญคุณความแค้นส่วนตัวได้?”
“ถูกต้อง ผู้เยาว์เคยรู้จักกับอิสตรีนางหนึ่ง คราก่อนได้รับการพิทักษ์จากนาง มิเพียงแต่มีชีวิตรอดจากเภทภัย ยังสามารถพบพานอาจารย์ฝึกปรือฝีมือสำเร็จ”
ตนบอกกล่าวความรักที่พัวพันกับฉี้อิงออกไป สุดท้ายย่อมพาดพิงถึงสาเหตุที่ไม่สามารถอยู่กินกับนาง หลังจากสรุปแล้ว ก็กล่าวว่า
“ฉี้อิงมีความโสภาเลิศล้ำ มาตรแม้นว่าผู้เยาว์ได้กระทบกระเทือนจิตใจนาง แต่ภายภาคหน้านางย่อมต้องมีประสบการณ์อย่างอื่น รักษาแผลหัวใจเป็นปกติ”
จับฮึงไต้ซือผงกศีรษะอย่างแช่มช้า กล่าวว่า
“อาจจะเป็นเช่นนั้น”
ซิเล้งกล่าวอีกว่า
“แต่ผู้เยาว์ยังมีความคับแค้นใจอย่างรุนแรง รู้สึกว่ายากที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้”
“ตามคำบอกล่าของเจ้า ตระกูลซิล้วนถูกจูกงเม้งกับหัตถ์อสนีบาตทำลายล้มล้าง นอกจากความกลัดกลุ้มในความรักแล้ว ยังมีเรื่องราวอื่นใดทำให้เจ้าต้องกังวลด้วย?”
“จูกงเม้งก่อนที่จะเสียชีวิต ได้แพร่งพรายต่อข้าพเจ้าว่ามารดายังมีชีวิตอยู่ สำหรับเรื่องนี้…”
จับฮึงไต้ซือ ส่งเสียงกล่าวว่า
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ยังประเสริฐที่เจ้าได้พบพานอาตมา สามารถคลี่คลายความอัดอั้นในใจ”
ซิเล้งสะท้านทั้งร่าง เงยหน้าขึ้นจับจ้องหลวงจีนชราที่สองคิ้วห้อยต่ำลงเบื้องหน้า จับฮึงไต้ซือส่งเสียงสรรเสริญพระคุณเบาๆ กล่าวว่า
“ตามความเห็นของอาตมา จูกงเม้งในเมื่อเป็นบุคคลที่ชั่วร้ายถึงปานนั้น วาจาของมันเจ้าไหนเลยจะเชื่อมั่นมิคลางแคลง?”
ซิเล้งกล่าวอย่างหวั่นไหวว่า
“แต่ผู้เยาว์มิสามารถไม่เชื่อถืออย่างเด็ดขาด”
“นั่นก็ประเสริฐยิ่ง หากแม้นมีเรื่องราวที่เคลือบแคลง ย่อมสมควรสืบเสาะอย่างสุดความสามารถ”
ซิเล้งมีกำลังขวัญฟื้นฟูแปดเก้าส่วน กล่าวว่า
“ไต้ซือ มีความคิดให้ผู้เยาว์ไปสืบสวนจนกระจ่างหรอกหรือ?”
“ถูกต้อง อาตมามาตรแม้นมิทราบว่า จูกงเม้งเอ่ยอ้างว่าอย่างไร แต่ตามการสันนิษฐาน มันย่อมบรรยายสภาพการณ์อเนจอนาถสะเทือนขวัญ ทำให้เจ้ามีดวงจิตแหลกสลาย แม้กระทั่งกำลังขวัญสืบเสาะเหตุการณ์ก็หามีไม่ ทั้งนี้ก็เพราะมันทราบซึ้งถึงความประพฤติของเจ้า จึงดำเนินอุบายชั่วช้าถึงปานนั้น นับแต่นี้ไปเจ้ายังคงละเลยเรื่องนี้รอจนสืบสวนทราบกระจ่างเสียก่อน”
ซิเล้งผุดลุกขึ้น หมอบกราบลงพื้นดินกล่าวว่า
“ไต้ซือคลี่คลายความโง่ทึบของข้าพเจ้า เท่ากับว่าผู้เยาว์สามารถเริ่มชีวิตใหม่ทีเดียว”
แน่นอน ซิเล้งหาใช่เพราะเหตุนี้ก็ปลอดโปร่งวางใจ เพียงแต่เปลี่ยนแปลงรูปการณ์อีกแบบหนึ่งไปรับความในใจวิปโยคและเคลือบแคลงนั้น
คราก่อน ตนเชื่อมั่นว่าความจริงเป็นไปตามคำบอกเล่าของจูกงเม้ง ดังนั้นจึงไม่มีกำลังขวัญแม้แต่สืบเสาะจนทราบกระจ่าง บัดนี้เริ่มไม่ยอมเชื่อถือชั่วคราว ตกลงใจว่าจะต้องสืบสวนให้แจ่มแจ้ง
จับฮึงไต้ซือฉุดลากซิเล้งให้ลุกขึ้น เอื้อนเอ่ยว่า
“นี่มินับเป็นเรื่องต้องจดจำ เพียงแต่ยังมีเรื่องราวที่จำต้องคลี่คลายมิน้อย สมมติว่ากำหนดนัดหมายหนึ่งปีกับกิมเม้งตี้ และมันกำลังหมกมุ่นฝึกปรือวิชาดาบพุทธไร้เทียมทาน สถาบันอำมหิตก็มีผู้คนฝึกปรือวิชาหัตถ์เทพยดาไร้เทียมทาน
“ส่วนในเจดีย์ทองคำ มาตรแม้นมีไม้ตายนับร้อยพันแขนง แต่ยอดวิชาสองประการดังกล่าวข้างต้น รวมทั้งเพลงกระบี่เทพเจ้าไร้เทียมทานประจำตระกูลเรา ความจริงได้ตกทอดแพร่หลายสู่โลกภายนอกแล้วไม่หลงเหลืออยู่ในเจดีย์ทองคำเลย”
ซิเล้งรับฟังจนปากอ้าตาค้าง ชั่วครู่ยังมิสามารถส่งเสียงขึ้น
จับฮึงไต้ซือกล่าวสืบไปว่า
“ยังมีเรื่องราวของเจ้ากับอาย้งสมควรจัดการให้เรียบร้อยตามกฎระเบียบของตระกูลอุ้ย เจ้าได้ฝึกหัดเพลงกระบี่ของเรา การลงทัณฑ์สถานเบาที่สุด ก็ต้องตัดแขนข้างที่ใช้กระบี่นั้น”
ซิเล้งพอได้ฟังก็ทราบว่าหากแม้นตนยินยอมรับอุ้ยเซี่ยวย้งเป็นภรรยา มิเพียงแต่สามารถละเว้นโทษสะบั้น ยังได้ฝึกหัดเพลงกระบี่ชุดนั้น จนคู่ควรต่อการปะทะกับกิมเม้งตี้
ในยามกะทันหัน ซิเล้งยากที่จะตกลงใจก้มศีรษะหมกมุ่นครุ่นคิด
จับฮึงไต้ซือรอคอยอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า
“ตามเหตุผล เรื่องของการแต่งงานอยู่กินสมควรให้บิดามารดาดำเนินการ แต่เจ้าหลังจากเผชิญเภทภัยต่างๆ นานามาแล้ว ก็แสดงว่าเจ้ามีความสามารถตัดสินใจได้ แม้บุพการียังมีชีวิตอยู่ ก็เพียงรายงานให้รับทราบเท่านั้น อย่าว่าแต่เจ้ามีชาติกำเนิดเช่นนี้ นอกจากซือแป๋เจ้าจะขัดแย้ง บุคคลอื่นล้วนไม่อาจทัดทาน”
ซิเล้งขบคิดอย่างเคร่งเครียด ก็ไม่สามารถตกลงใจ ตนซึมทราบว่า อุ้ยเซี่ยวย้งทั้งสูงล้ำทั้งปราดเปรื่องและโสภาสะคราญล้ำ หลายวันที่คบค้าอยู่ร่วม ได้บังเกิดความรู้สึกมีไมตรี
ดังนั้นใจจริงของตนมิมีความคิดไม่ยอมรับนางเป็นภรรยา หากทว่าเรื่องนี้มีส่วนสัมพันธ์อย่างไพศาล หากแม้นจัดการไม่ถูกต้อง ภายหลังจะก่อเกิดความยุ่งยาก และสำนึกเสียใจไปจวบชั่วชีวิต
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป