๔๘
♦ ฝ่าด่านไร้ไมตรีอีก ♦
……………

 

อุ้ยเซี่ยวย้งที่อยู่บนกำแพง ถึงกับส่งเสียงโห่ร้อง ที่แท้ซิเล้งได้สำแดงกระบวนท่าสุริยันสาดส่องหล้าในวิชากระบี่เทพเจ้าไร้เทียมทาน ซึ่งใช้อย่างประจวบเหมาะ แม้กระทั่งอุ้ยเซี่ยวย้งก็ต้องส่งสำเนียงชมเชย

สภาวะกระบี่พอทุ่มเทออก ก็สลายพลังดาบไปโดยสิ้นเชิง เนี่ยคกเตี่ยคล้ายดั่งรู้สึกตาลายพร่างพราย มิทราบว่าจะต้านทานท่ากระบี่ที่ธรรมดาสามัญนี้ได้อย่างไร ถึงกับซวนเซถอยกายไปหลายก้าว

แต่ทว่าเรือนร่างของซิเล้งก็ถลัน ตามติดดุจดั่งเงาตามตัว กระบี่ยาวมาตรแม้นเพียงแต่เสือกไสออกไปอย่างตรงๆ แต่ก็มีอานุภาพที่ไพศาลไร้สิ้นสุด!

เนี่ยคกเตี่ยถอยกายไปเบื้องหลังตามสัญชาตญาณ ทันใดนั้นได้ล่าถอยมาถึงใต้กำแพง ไม่มีทางหลีกหลบอีก

ในความรู้สึกของมัน ได้ถูกกระบี่ของศัตรูคุกคามจุดชีวิต คล้ายดั่งไม่มีกำลังสลัดพ้น และมิมีหนทางปัดป้องต้านรับ ในยามอับจนปัญญา จึงพริ้มตาลง ดาบยาวสะบัดฟาดฟันเข้าใส่คู่ต่อสู้

ซิเล้งแค่นหัวร่ออย่างเย็นชา ฝ่ามือซ้ายยื่นออกอย่างฉับไว ใช้นิ้วชี้นิ้วกลางคีบจับคมดาบ กระบี่ยาวในมือขวาเสือกไสไปเบื้องหน้า หมายจะทิ่มแทงลำคอของมัน

ปลายกระบี่พอสัมผัสถูกผิวหนัง บริเวณลำคอของเนี่ยคกเตี่ย มันถึงกับสยิวกายอย่างหนาวเหน็บ ซิเล้งกลับรั้งภาวะกระบี่แหงนหน้ามอง ไปที่อุ้ยเซี่ยวย้งกล่าวว่า

“โกวเนี้ยคิดจะว่าอย่างไร?”

อุ้ยเซี่ยวย้งมีสีหน้ามึนงงสงสัยกล่าวว่า

“ประหลาดแท้ บุคคลนี้หลงเหลือไว้ก็มิมีประโยชน์ ลงมือปลิดชีวิตเลยเถอะ”

ซิเล้งหาใช่บุคคลอันโหดเหี้ยม ในยามนี้แม้จะบังเกิดเพลิงอำมหิตแต่ก็ไม่อาจลงมือ พลันกล่าวอย่างเย็นชาว่า

“ในครอบครัวของท่านยังมีผู้ใดอีก?”

เนี่ยคกเตี่ยกล่าวว่า

“มีแต่มารดาที่ชราภาพ ยังคอยรับใช้อยู่”

“บิดาของท่านเล่า?”

“ย่อมต้องถึงแก่มรณกรรมไปแล้ว พวกท่านคงสืบทราบล่วงหน้าไยต้องถามไถ่ด้วย”

ซิเล้งเหลือบแลไปทางอุ้ยเซี่ยวย้ง กล่าวอย่างแช่มช้าว่า

“ข้าพเจ้ารู้สึกว่า มันหาใช่บุคคลอันชั่วร้าย แต่ความจริงเมื่อเป็นเช่นนี้ คาดว่าคงไม่ผิดพลาดเลย”

อุ้ยเซี่ยวย้งพลิ้วกายลงมายืนหยัดเคียงข้างกับซิเล้ง ฝ่ามือซ้ายพุ่งออกอย่างว่องไว พลังดรรชนีแหวกฝ่าอากาศออกมา จี้สกัดจุดบริเวณทรวงอกของเนี่ยคกเตี่ย

ได้ยินเนี่ยคกเตี่ยส่งเสียงครางออกมา มีเรือนร่างชาด้าน แต่ดวงตามิพริ้มลงกลับลืมขึ้น แสดงว่าเพียงถูกควบคุมร่างกาย ด้านสติสัมปชัญญะยังมิสูญสลาย

หลังจากนั้นอุ้ยเซี่ยวย้งจึงกล่าวว่า

“หากแม้นข้าพเจ้าเป็ฯท่าน ข้าพเจ้าก็จะจู่โจมกระบี่ออกไปอย่างหมดจดตัดความกังวลทั้งมวล”

ซิเล้งพลันกล่าวว่า

“แต่ท่านรู้สึกว่ามันจะเป็นชนชั้นอันชั่วร้ายที่น่าพรั่นพรึงหรอกหรือ พลังฝีมือของมัน มินับว่าสูงสุดยอด หากแม้นซึมทราบว่าถูกความตายคุกคาม ย่อมต้องใช้ไม้ตายประจำตัว แสดงว่ามันครั้งนี้ได้ทุ่มเทวิชาทั้งมวลโดยมิคิดออมรั้ง”

“วาจานี้กลับมีเหตุผล”

“เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าพลันระแวงว่า จะเสาะพบผู้คนผิดพลาดหรือไม่ ความคิดนี้ได้บังเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว จวบจนบัดนี้ได้คลางแคลงยิ่งขึ้น”

กล่าวจบ ก็หันร่างมาทางเนี่ยคกเตี่ยกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าคิดจะถามไถ่วาจาท่านหลายประโยค ขอให้ท่านตอบมาตามความสัตย์จริง”

เนี่ยคกเตี่ยเข้าใจว่า ฝ่ายตรงข้ามมีความคิดจะจับแต่แสร้งปล่อย จึงกล่าวอย่างเย็นชาว่า

“ท่านอย่าได้คาดหวังว่าจะได้รับคำตอบ เรายินยอมเสี่ยงชีวิตมากกว่า”

ซิเล้งหวนถึงฝ่ายตรงข้าม เคยสังหารผู้คนหลายสิบคน จึงบังเกิดความคิดหมายลงมือ ขยับกระบี่ยาววูบหนึ่ง…

ในยามนั้นเอง นอกประตูตึก พลังแว่วสำเนียงของสตรีนางหนึ่งดังอย่างเข้มงวดมีอำนาจว่า

“บุตรของเรามีความผิดอันใด ถึงกับต้องรบกวนให้พวกท่านลงมือด้วย”

พร้อมกับนั้นเงาร่างผู้คนได้ปรากฏขึ้น แลเห็นเป็นสตรีอายุประมาณสี่สิบห้าปี ในมือซ้ายยึดถือวัตถุห่อหนึ่ง สวมอาภรณ์ชุดดำ

ดวงตาทั้งคู่ของนาง สาดประกายอันเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว แสดงอุปนิสัยใจคออย่างชัดแจ้งมาตรแม้น จอนหูนางจะมีผมหงอกขาวแต่มีร่องรอยความงาม เมื่อวัยสาวหลงเหลืออยู่

ซิเล้งกับอุ้ยเซี่ยวย้งพากันจับจ้องมองไป เนี่ยคกเตี่ยได้ถอนหายใจยาวๆ กล่าวว่า

“มารดาท่านไฉนต้องปรากฏกายด้วย?”

ซิเล้งพลันกล่าวขึ้นว่า

“ผู้ที่มาคงเป็นเนี่ยฮูหยินกระมัง?”

สตรีนางนั้นผงกศีรษะ กล่าวว่า

“ถูกต้อง ขอรับทราบนามของท่านทั้งสอง”

“ข้าพเจ้า ซิเล้ง ท่านผู้นี้คืออุ้ยเซี่ยวย้งโกวเนี้ย”

“ซิเสียวเฮียบเป็นบุรุษเปี่ยมมารยาท เราผู้เฒ่าเหลือแลวูบเดียวก็ทราบดี คาดมิถึงว่ายามปฏิบัติการกลับอำมหิตยิ่งนัก”

ซิเล้งมิปรารถนาที่จะโต้แย้งกับฝ่ายตรงข้าม พลังได้ยินเนี่ยฮูหยินกล่าวขึ้นว่า

“ท่านทั้งสองอาจจะเร่งรุดมาเพราะวัตถุสิ่งนี้ ถ้าเช่นนั้นเราผู้เฒ่าก็จะเหวี่ยงลงไปบนพื้นดินที่เบื้องหน้าของพวกท่านเลย”

พลางกวัดแกว่งวัตถุที่ถืออยู่ในมือซ้าย เนี่ยคกเตี่ยขณะนั้นมีสีหน้าประหวั่นพรั่นพรึง เพียงแต่ซิเล้งกับอุ้ยเซี่ยวย้งมิทันสังเกตสนใจ

ที่แท้วัตถุที่เนี่ยฮูหยินถืออยู่ เป็นระเบิดเพลิงที่รุนแรงร้ายกาจชนิดหนึ่ง ซึ่งฉี้ตั่วเนี้ยเมื่อยี่สิบปีได้มอบให้ พอเหวี่ยงลงบนพื้นดินก็จะระเบิดขึ้นทันที ในรัศมีสิบวา อย่าได้คาดหวังว่าจะรอดชีวิต

เนี่ยฮูหยินซุกซ่อนวัตถุสิ่งนี้มาเป็นเวลายี่สิบปี ตระเตรียมไว้ว่า หากเผชิญกับศัตรูรุกราน ก็ใช้ระเบิดเพลิงนี้ ตกตายตามกันร่วมศัตรู เพียงแต่ซิเล้งกับอุ้ยเซี่ยวย้งหาทราบไม่ว่า นี่คือวัตถุอันร้ายแรง

เนี่ยฮูหยินพลันแหงนหน้าแผดหัวร่ออย่างเกรี้ยวกราด สะบัดข้อมือวูบหนึ่ง เหวี่ยงเอาระเบิดที่รุนแรงในห่อลงไปบนพื้นดินเบื้องหน้าของซิเล้งกับอุ้ยเซี่ยวย้งทันที

เนี่ยคกเตี่ยสำนึกทราบถึงผลสุดท้ายเป็นอย่างดี ถึงกับร้องอย่างโหยหวนว่า

“มารดา….”

แต่ทว่าในทันใดนั้น สรรพสำเนียงทั้งหมดล้วนปลาสนาการไป มารดาและบุตรตระกูลเนี่ยทั้งสองล้วนแต่งงงันไป ทั้งนี้ก็เพราะสภาพการระเบิดที่ทั้งสองคาดคิดล่วงหน้า หาได้อุบัติขึ้นไม่

เนี่ยฮูหยินกวาดตามองไปบนพื้นดิน ก็มิพบพานร่องรอยของระเบิดห่อนั้น พอเหลียวแลไปยังอุ้ยเซี่ยวย้งกับซิเล้ง จึงพบว่าวัตถุห่อนั้นได้ตกอยู่ในมือของอุ้ยเซี่ยวย้ง

เนี่ยฮูหยินพลันคำนึงขึ้นว่า

“…คราครั้งนี้เรากลับวู่วามไป เราแม้ตกตายก็มิเสียใจ น่าเวทนาที่บุตรชายเราต้องเสียชีวิตด้วย”

นางพอบังเกิดความรู้สึกของมารดาผู้เมตตา ถึงกับมีหยาดน้ำตาร่วงพร่างพรู สืบเท้าก้าวเข้าหาเนี่ยคกเตี่ย โอบกอดมันและส่งเสียงสะอึกสะอื้น

ซิเล้งถอนหายใจกล่าวว่า

“อุ้ยโกวเนี้ย พวกเราไปกันเถอะ”

“ตกลง แต่วัตถุสิ่งนี้”

“ย่อมต้องมอบคืนให้กับพวกมัน”

อุ้ยเซี่ยวย้งผงกศีรษะยื่นมือไปที่เบื้องหน้าของเนี่ยฮูหยินกับบุตรกล่าวว่า

“ท่านรับกลับไปด้วย ขอให้ภายภาคหน้าอย่าได้อาศัยวิชาไม้ตายที่ฝึกฝน สร้างสรรค์เภทภัย จึงจะไม่เสียทีที่ซิเฮียละเว้นชีวิตพวกท่าน”

เนี่ยฮูหยินรับฟังได้อย่างชัดเจน นางพลันกล่าวว่า

“โกวเนี้ยว่ากระไร และทราบหรือไม่ว่าวัตถุในมือเป็นสิ่งใด?”

“ข้าพเจ้าย่อมมิทราบ”

โกวเนี้ยขอให้ยึดถืออย่างระมัดระวัง วัตถุในห่อเป็นระเบิดชนิดหนึ่ง หากได้รับการสั่นสะเทือนเล็กน้อยก็จะระเบิดขึ้น รอบรัศมีสิบวาทุกสิ่งทุกอย่างจะแหลกราญเป็นผุยผง

อุ้ยเซี่ยวย้งสะท้านใจอย่างรุนแรง พลันรู้สึกอ่อนระโหยโรยแรงวัตถุที่ถืออยู่แทบตกหล่นลงบนพื้นดิน

ซิเล้งรีบสะอึกกายเข้ามา ยื่นมือออกรับวัตถุสิ่งนั้น และพอเห็นนางมีเรือนร่างสั่นระริกเล็กน้อย จึงปลอบโยนนางไปประโยคหนึ่ง

ควรทราบว่ากำลังขวัญของทุกผู้คนแตกต่างกัน ดรุณีที่มีพลังฝีมือสูงเยี่ยมเฉกเช่นอุ้ยเซี่ยวย้ง สามารถประหัตประหารกับผู้ทรงฝีมือแห่งยุค แต่มิกล้ายึดถือระเบิดอันรุนแรง หากแม้นซิเล้งมิมารับไว้ ก็คงบังเกิดผลสุดท้ายอันเลวร้าย

เนี่ยฮูหยินจับจ้องซิเล้ง ชมเชยว่า

“ท่านผู้กล้าหาญนี้มีกำลังขวัญอย่างแท้จริง…”

อุ้ยเซี่ยวย้งสยบสติเล็กน้อย แล้วจึงเข้าไปตบคลายจุดของเนี่ยคกเตี่ย พลางถามว่า

“บิดาท่านมีนามว่าเนี่ยฮงกระมัง?”

เนี่ยฮูหยินที่รับฟังมีใบหน้าแปรเปลี่ยนไป กล่าวว่า

“อะไร เนี่ยฮงผู้นั้นคือจอมอสูรร้ายแห่งยุค ตระกูลเราหลบหนีมาเร้นกายอยู่ในที่นี้ หนึ่งในจำนวน

ศัตรูก็เป็นมัน”

ซิเล้ง อุทานดังอ้อ กล่าวว่า

“ที่แท้เป็นเช่นนี้ พวกเรากลับถูกจอมอสูรเนี่ยฮงวางแผนทำร้ายแล้ว”

พร้อมกับนั้นตนก็เข้าใจเหตุการณ์เป็นอีกแบบหนึ่ง กล่าวอีกว่า

“ขอบ่งบอกให้เนี่ยฮูหยินได้รับทราบ หัตถ์อสนีบาตเนี่ยฮง ความจริงได้ตกตายคาคมกระบี่ของข้าพเจ้าแล้ว ก่อนที่มันจะเสียชีวิต ได้อ้างว่ามีบุตรชายผู้หนึ่งอยู่ทีเมืองเซ้งโตว และบ่งบอกนามของเนี่ยเฮียกล่าวว่า เคยรับถ่ายทอดยอดวิชาจากบุคคลอื่นสามารถล้างแค้นแทนมัน”

ดังนั้นข้าพเจ้าจึงสืบเสาะมาถึงที่นี้ รบกวนในยามวิกาล รู้สึกเสียใจอย่างใหญ่หลวง ยังประเสริฐที่ได้คลี่คลายความจริง ไม่หลงกลอันชั่วร้ายของจอมอสูร นับเป็นวาสนาทีเดียว

เนี่ยฮูหยินได้แต่รับคำ พร้อมกับปลอดโปร่งวางใจ ในการที่หัตถ์อสนีบาตเนี่ยฮงถูกปลิดชีวิตไป

อุ้ยเซี่ยวย้งพลันกล่าวเบาๆ ว่า

“พวกเราไปกันเถอะ”

ซิเล้งมอบระเบิดห่อนั้นคืนให้กับเนี่ยฮูหยินอย่างระมัดระวัง เหลือบแลอุ้ยเซี่ยวย้งวูบหนึ่ง แล้วกล่าวกับเนี่ยฮูหยินว่า

“เมื่อวันพิฆาตเนี่ยฮง ยังมีโกวเนี้ยท่านหนึ่งอยู่ด้านข้างนาง ขณะนี้ได้แยกทางกับข้าพเจ้า มีร่องรอยไม่แน่นอน มิแน่นักว่านางก็จะมาเสาะหาเนี่ยเฮีย”

ตนเอื้อนเอ่ยอย่างเร่งร้อน เนี่ยฮูหยินสำนึกทราบได้ว่า เนื่องจากมีอุ้ยเซี่ยวย้งอยู่ข้างเคียง จึงไม่ต้องการพาดพิงถึงโกวเนี้ยอีกนางหนึ่ง ซึ่งความรู้สึกเช่นนี้นางย่อมเข้าใจเป็นอย่างดี และไม่ซักไซ้ เพียงผงกศีรษะรับคำ

พฤติการณ์ของซิเล้งนี้ ต้องการสลัดพ้นจากความยุ่งเหยิง ซึ่งอาจอุบัติขึ้นในวินาทีข้างหน้า หากแม้นว่า ฉี้อิงได้เร่งรุดมาพบพานพวกเนี่ยฮูหยิน และรับทราบเรื่องที่ตนร่วมทางมากับอิสตรีนางหนึ่ง ซึ่งรับรองว่าไม่มีทางอธิบายได้เข้าใจ จึงกล่าวเป็นเชิงขอร้องให้เนี่ยฮูหยินปกปิดร่องรอยของตน

หลังจากผ่านความวุ่นวายแล้ว ซิเล้งกลับลืมเลือนตักเตือนเนี่ยฮูหยิน เกี่ยวกับเรื่องที่ฉี้อิงอาจจะลงมืออย่างอำมหิต รอจนฉุกคิดขึ้นได้ก็เป็นเหตุการณ์ของวันรุ่งขึ้นแล้ว

ในวันนี้ อุ้ยเซี่ยวย้งได้เดินทางกลับไปบ้านเดิม และพี่ชายของนางอุ้ยเอี้ยงหาได้เร่งรุดมาถึง

ซิเล้งตลอดทั้งวันได้หมกมุ่นฝึกปรือกระบี่ นี่คือเงื่อนไขที่อุ้ยเซี่ยวย้งก่อนจากไปขอร้องต่อตน นอกจากนั้นยังขอให้รับปากว่า อย่าได้ออกจากคฤหาสน์

จวบจนยามค่ำมืด ซิเล้งจึงเร่งรุดมาที่พำนักตระกูลเนี่ยอีก หาคาดไม่ว่าตระกูลเนี่ยได้ขนย้ายจากไปโดยปราศจากร่องรอยเค้ามูล จึงพกพาเอาความผิดหวังหวนกลับมา

ตนสำนึกได้ว่า ตระกูลเนี่ยย่อมต้องมีความจำเป็นบางประการ จึงขนย้ายจากไปอย่างเร่งร้อน แต่ขณะนี้ มิมีทางหยั่งคาดสันนิษฐาน และตนยังไม่รับทราบข้อเท็จจริงโดยละเอียดเลย

วันต่อมาอุ้ยเอียงก็บรรลุถึง เวลายามเที่ยงมันได้นำพาซิเล้งเร่งรุดไปยังวัดน่ำไท้ยี่ เพื่อขอเข้าพบจับฮึงไต้ซืออีก

ทั้งสองยามเดินเหิน ซิเล้งพลันกล่าวถามว่า

“การที่น้องสาวของท่าน ถ่ายทอดวิชาประจำตระกูลให้กับข้าพเจ้า มิทราบว่าจะมีความผิดหรือไม่?”

อุ้ยเอี้ยงผงกศีรษะกล่าวว่า

“ย่อมต้องถูกลงโทษ!”

ซิเล้งอดมิได้ต้องถามว่า

“นางจะถูกพิจารณาโทษทัณฑ์สถานใด?”

“ซิเฮียมาตรแม้นว่ากังวลแทนนางจริงๆ แต่ก็อย่าได้ซักไซ้ถามไถ่”

“ข้าพเจ้าไม่เข้าใจวาจาของท่าน”

อุ้ยเอี้ยงกล่าวขึ้นว่า

“ทั้งนี้ก็เพราะซิเฮียเป็นบุคคลภายนอก แม้วิตกกังวลก็ไม่อาจช่วยเหลือ ยังคงอย่าได้รับรู้เลย”

“ไม่ หากแม้นมิขัดข้อง ข้าพเจ้าต้องการรับทราบการพิจารณาโทษต่อน้องสาวของท่าน”

“ความจริงก็ไม่เท่าใด นางอย่างปรานีก็ถูกขับไล่ออกจากตระกูล มาตรมิเช่นนั้นก็ทำลายวิชาฝีมือประจำตัวแล้วค่อยขับไล่ไสส่ง!”

ซิเล้งสะท้านใจวาบ และอดขุ่นเคืองเล็กน้อยมิได้ กล่าวว่า

“อุ้ยเฮียเอื้อนเอ่ยอย่างปลอดโปร่งใจยิ่งนัก นางเป็นน้องสาวร่วมสายโลหิตกับท่านหรือไม่?”

อุ้ยเอี้ยงหาได้สังเกตว่า ซิเล้งบังเกิดความไม่พอใจ กล่าวว่า

“ย่อมต้องเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิต มีความสัมพันธ์อย่างสนิทสนมยิ่งนัก”

ซิเล้งแค่นเสียงดังเฮอะ มิได้เอื้อนเอ่ยวาจา

หลังจากเดินเหินอีกระยะทางหนึ่ง อุ้ยเอี้ยงพลันกล่าวว่า

“อาจจะต้องตำหนิเรา ที่ไม่สมควรบอกกล่าวสภาพการณ์อันยุ่งยากของซิเฮียออกไป เราบอกกับนางว่า ท่านเพราะเหตุว่า สถาบันอำมหิตได้วิชาหัตถ์เทพยดาไร้เทียมทาน และกิมเม้งตี้สามารถฝึกปรือดาบพุทธไร้เทียมทาน ดังนั้นท่านจึงต้องเร่งรุดไปที่เจดีย์ทองคำ เสาะแสวงยอดวิชาบ้าง”

ซิเล้งถามไถ่ว่า

“ท่านเมื่อบ่งบอกเช่นนั้น จะเป็นอย่างไร?”

“อิสตรีย่อมตระหนกตื่นกลัว ใคร่ครวญไม่รอบคอบ และมิคาดคิดว่าครึ่งเพลงหนึ่งกระบวนท่า ไหนเลยจะกอบกู้สถานการณ์ได้ กลับอาศัยข้ออ้างขอให้ท่านช่วยฝ่าประตูไร้ไมตรีของจับฮึงไต้ซือ ถ่ายทอดกระบวนท่าสุริยันสาดส่องหล้าที่ลึกล้ำพิสดารที่สุด ในเพลงกระบี่ตระกูลเราให้กับท่าน”

ซิเล้งอุทานดังอ้อ พลันรู้สึกสำนึกว่า ปัญหามีความสาหัสยิ่งนัก ทั้งนี้ก็เพราะจากปากคำของ อุ้ยเอี้ยง มันได้เข้าใจว่าอุ้ยเซี่ยวย้งเริ่มมีไมตรีต่อตน

จิตปฏิพันธ์ของนาง หาใช่เพียงเช่นนั้นไม่ เนื่องจากนางถึงกับฝ่าฝืนกฎระเบียบประจำตระกูล ยินยอมรับการพิจารณาโทษทัณฑ์ ลอบให้การช่วยเหลือต่อตน ถ้าเช่นนั้น ตนไยมิต้องรับภาระเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย

ซิเล้ง ครุ่นคิดอย่างเงียบงัน ห้วงสมองรู้สึกหนักอึ้งยิ่งนัก

ทั้งนี้ก็เพราะ ตนไม่ต้องการพัวพันกับความพิศวาสอันใด ยิ่งมิคิดให้ดรุณีที่น่ารักเฉกเช่นอุ้ยเซี่ยวย้ง ถูกลงทัณฑ์โดยการขับไล่ออกจากตระกูล แน่นอนก็ไม่มุ่งหวังให้นางเศร้าเสียใจเพราะตน

ทั้งสองโดยมิรู้สึกตัว ได้มาถึงหน้าประตูอารามวัดวาที่โบราณนี้ ขณะอยู่กลางทุ่งร้าง รู้สึกสงบสงัดผิดสามัญ ทำให้ผู้คนบังเกิดความรู้สึกหลุดพ้นจากห้วงโลกีย์วิสัย

ซิเล้งจับจ้องอยู่ครู่หนึ่ง พลันสั่นศีรษะเล็กน้อย

อุ้ยเอี้ยงส่งเสียงกล่าวว่า

“ซิเฮียรู้สึกว่าวัดวานี้รกร้างเกินไปหรอกหรือ?”

“หาใช่ไม่ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าสถานที่นี้แม้สงัดวังเวง แต่หากแม้นข้าพเจ้าคิดจะปลงผมออกบวช ที่นี้ยังไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ หากเป็นข้าพเจ้าจะยึดถือสรณะ สลัดหลุดพ้นจากโลกกว้าง เร้นกายอยู่ตามเทือกทวิเขาอันรกร้าง”

อุ้ยเอี้ยงผงกศีรษะคล้ายดั่งเข้าใจได้ จากนั้นก็ถามว่า

“ซิเฮียคงมิถึงกับเร้นกายออกบวชกระมัง?”

“สภาพการณ์แล้วแต่ลิขิตชักนำ ในอนาคตจะมีวิถีชีวิตอย่างไรข้าพเจ้ามินำมาปรารมภ์”

อุ้ยเอี้ยงเกาะกุมต้นแขนของซิเล้ง ก้าวย่างเข้าไปในอารามขณะเดินเหินก็ถามไถ่ว่า

“ซิเฮียคงมิลืมเลือน เรื่องราวที่ท่านในวันนั้น รับปากว่าจะแอบอ้างยอมรับเป็นบุคคลผู้หนึ่งกระมัง?”

“ข้าพเจ้ายังจดจำได้ แต่จะให้ข้าพเจ้าแอบอ้างเป็นผู้ใด?”

“หากถึงเวลาจำเป็น เราจะประกอบออกไป”

ซิเล้งหันเหเรื่องราวสนทนาถามว่า

“หากแม้นข้าพเจ้าสามรถฝ่าประตูไร้ไมตรี น้องสาวของท่านจะได้รับการอภัยโทษหรือไม่?”

อุ้ยเอี้ยงจับจ้องฝ่ายตรงข้ามอย่างครึ่งยิ้มแย้มกล่าวว่า

“ซิเฮียคล้ายดังกังวลในตัวน้องสาวของเรา ผู้น้องรู้สึกเป็นเกียติอย่างยิ่ง”

“หากแม้นว่าน้องสาวของท่านเพราะถูกพิจารณาโทษ จนต้องร่อนเร่อยู่ในวงพวกนักเลง ข้าพเจ้าไหนเลยจะมีจิตใจสงบ เพราะเหตุนี้จึงคิดจะอาศัยกำลังความสามารถ หาหนทางช่วยเหลือ”

“หากทะลวงฝ่าประตูไร้ไมตรี สำหรับนางย่อมมีส่วนช่วยเหลือ… แต่ทว่าเรื่องราวในใต้หล้าสุดที่จะหยั่งคาดสันนิษฐาน พวกเรามีแต่ปฏิบัติไปพลางใคร่ครวญไปพลาง”

ซิเล้งก็มิเอื้อนเอ่ยวาจาอีกต่อไป ทั้งสองเดินเหินจนมาถึงตึกแถวพำนักของบรรพชิต แลเห็นเณรน้อยเลี่ยวอ้วง ได้นั้งขัดสมาธิอยู่หน้าตัวตึก ประนมมือทั้งสองข้างขึ้น ท่วงท่าสงบสำรวมยิ่งนัก

อุ้ยเอี้ยงส่งเสียงร้องว่า

“เซี่ยวซือแป๋ พวกเรามาอีกแล้ว”

เณรน้อยเลี่ยวอ้วงเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า

“ซือแป๋ ท่านผู้เฒ่าได้สั่งเสียไว้แล้วว่า ประสกทั้งสองท่านหากมาอีก ไม่จำเป็นต้องหน่วงเหนี่ยว เพียงมิทราบว่าพวกท่านเร่งรุดมาเป็นคำรบสอง ได้มีความเชื่อมั่นว่าจะทะลวงฝ่าประตูไร้ไมตรีหรือไม่?”

“อุ้ยเอี้ยงหัวร่อพลางกล่าวว่า”

“เซี่ยวซือแป๋ คิดจะสืบเสาะทราบเบาะแสใช่หรือไม่?”

ซิเล้งพลันกล่าวเสริมว่า

“อุ้ยเฮียกล่าวผิดพลาดไปแล้ว ข้าพเจ้าแลเห็นเซี่ยวซือแป๋เมื่อครู่นี้มีท่วงท่าสำรวมน่าเลื่อมใส มาตรแม้นอายุยังเยาว์ ก็มีบุคลิกของบรรพชิตผู้สูงส่ง เพราะเหตุนี้เซี่ยวซือแป๋คงลอบบังเกิดดวงจิตมุทิตา การถามไถ่นี้ย่อมไม่มีความมุ่งหมายชั่วร้ายเลย”

เลี่ยวอ้วงเหลือบแลซิเล้งวูบหนึ่ง กล่าวอย่างแช่มช้าว่า

“ประสกแซ่ซิชมเชยเกินไปแล้ว อาตมาเพียงแต่ได้ยินซือแป๋ท่านผู้เฒ่าทอดถอนใจเอ่ยอ้างว่า ขณะที่ท่านทั้งสองเร่งรุดมาอีก สถานการณ์จะเลวร้ายสุดที่จะเปรียบ อาจถึงกับมีโลหิตชโลมแดนพระธรรมอาตมาจึงอดถามไถ่ว่ามีความมั่นใจเป็นอย่างไรมิได้”

มันผุดลุกขึ้นมาอีก กล่าวอีกว่า

“แน่นอน ท่านทั้งสองย่อมมีความมั่นใจจึงได้มาอีก อาตมาจะไปน้อมเรียนซือแป๋เฒ่า”

มันพอจากไปแล้ว อุ้ยเอี้ยงมีสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือก ใช้กำลังเกาะกุมต้นแขนของซิเล้ง แสดงท่วงท่าที่ตื่นเต้นตึงเครียดอย่างยิ่งยวด

ซิเล้งกลับต้องปลอบประโลมมันว่า

“มิเป็นไรหรอก ครานี้พวกเราอาจพ่ายแพ้อีก ก็ยังมีโอกาสต่อไป”

อุ้ยเอี้ยงส่งเสียงอันอ่อนระโหยโรยแรงว่า

“เราเพียงกังวลในความปลอดภัยของท่าน”

ซิเล้งรับฟังจนเบือนศีรษะจับจ้อง พลันรู้สึกว่ามันกับอุ้ยเซี่ยวย้งคลับคล้ายกันยิ่งนัก และสำเนียงครานี้ก็ละม้ายเหมือนกับสุ้มเสียงของอุ้ยเซี่ยวย้ง จนมีความคุ้นหูยิ่งนัก

ตลอดเวลาตนมิได้พิจารณาเค้าหน้าของอุ้ยเอี้ยงอย่างจดจ่อ บัดนี้พอเหลือบแล ก็หวนนึกถึงมันในบางครั้งปรากฏรอยยิ้มอันเย้ายวนชนิดหนึ่ง และสามารถสร้างความเวทนาสงสารให้กับผู้พบเห็น

นี่นับเป็นเรื่องราวอันประหลาดพิกล แต่ซิเล้งมิได้ครุ่นคิดอีก ต่อไปกล่าวว่า

“ข้าพเจ้ารู้ซึ้งถึงความลึกล้ำในกระบวนท่าสุริยันสาดส่องหล้าแล้ว ย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงสภาวะตามสถานการณ์ ทะลวงฝ่าให้จงได้”

อุ้ยเอี่ยงพลันกล่าวว่า

“ซิเฮียขอให้รับปากกับเราว่า ท่านอย่าได้ทะลวงฝ่าอย่างแข็งขืน เพราะน้องสาวเราเป็นต้นเหตุเลย”

ซิเล้งบังเกิดความระแวงสงสัยวูบหนึ่ง แต่ก็กล่าวว่า

“หากแม้นอุ้ยเฮียเชื่อถือในวาจา ข้าพเจ้าก็จะปฏิบัติตาม”

อุ้ยเอี้ยงระบายลมหายใจยาวออกมา แต่แล้วก็กล่าวว่า

“ถ้าเช่นนั้นท่านก็มิได้แยแสสนใจน้องสาวของเราแล้ว?”

ซิเล้งขมวดคิ้วเข้าหากัน รู้สึกว่ามีถ้อยคารมที่ละม้ายเหมือนกับอิสตรี ซึ่งนิยมซักไซ้และขัดแย้งกันเองอยู่เสมอ

ขณะนั้นบนทางที่ปูด้วยอิฐแดง ปรากฏเงาร่างของเลี่ยวอ้วงมันใช้ฝีเท้าที่หนักแน่นสุขุม เดินเหินตรงเข้ามา

ซิเล้งกล่าวเบาๆ ว่า

“อุ้ยเฮีย เซี่ยวซือแป๋ผู้นี้มีบุคลิกอันสำรวม ภายภาคหน้าย่อมมีความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง”

“มิผิด มันหากมีส่วนสัดอันธรรมดาสามัญ จับฮึงไต้ซือไหนเลยจะชมชอบ รับเป็นศิษย์ถ่ายทอดวิชาเล่า?”

ซิเล้งพลันบังเกิดปมปัญหาประการหนึ่ง กล่าวว่า

“ข้าพเจ้าได้ยินอุ้ยเฮียอ้างว่าเพลงกระบี่ประจำตระกูลของท่านไปถ่ายทอดให้กับบุคคลภายนอก จับฮึงไต้ซือเมื่อเป็นผู้อาวุโสของอุ้ยเฮียย่อมมิต้องกล่าวถึง แต่เลี่ยวอ้วงเป็นบุคคลภายนอก หรือว่าจับฮึงไต้ซือสามารถฝ่าฝืนกฎระเบียบถ่ายทอดให้ด้วย?”

“เลี่ยวอ้วงเมื่อป็นศิษย์ของจับฮึงไต้ซือ ย่อมมินับเป็นบุคคลภายนอก”

ซิเล้งสั่นศีรษะกล่าวว่า

“ข้าพเจ้ารู้สึกว่าสาเหตุนี้มิใคร่สอดคล้องนัก”

ขณะนั้นเณรน้อยเลี่ยวอ้วงได้เข้าใกล้มาในรัศมีสองวา เอื้อนเอ่ยว่า

“ซือแป๋เฒ่าขอเชิญประสกทั้งสองเร่งรุดไป คราครั้งนี้ไม่ต้องอธิบายให้มากความ ขอเพียงแต่พวกท่านฝ่าประตูไร้ไมตรี ก็จะเข้าพบพานได้”

อุ้ยเอี้ยงกล่าวคำขอบคุณมัน ยื่นมือเกาะกุมซิเล้ง ก้าวอย่างเร่งร้อนเข้าไป พอเลี้ยวผ่านดงไม้ไผ่อันเขียวขจี แลเห็นที่ช่องว่างของรั้วล้อมเตี้ยๆ นั้น มีต้นไผ่ลำยาว ชี้ตรงออกมา

อีกด้านหนึ่งของต้นไผ่ลำยาว ทอดไปถึงหน้าประตูห้องศิลาซึ่งมีระยะห่างหนึ่งวากับเจ็ดแปดเชียะ และหลังม่านไม้ไผ่ปรากฏฝ่ามือข้างหนึ่ง ยื่นออกมายึดถือต้นไผ่

อุ้ยเอี้ยงส่งเสียงกล่าวว่า

“ไต้ซือพวกเรามาอีกแล้ว”

หลังม่านไม้ไผ่เงียบงันปราศจากสุ้มเสียง ปลายต้นไผ่ที่ปิดสกัดช่องว่าง ห่างจากพื้นดินประมาณสามเชียะ คล้ายดั่งแข็งตัวอยู่กลางอากาศ มีโยกคลอนเคลื่อนไหว มีสภาวะอันแกร่งกร้าวยากหักโค่น

ซิเล้งเอื้อมมือกระชากกระบี่ยาวออกมา น้อมกายคารวะกล่าวว่า

“ผู้เยาว์ซิเล้ง จะได้ลงมือล่วงเกินแล้ว”

หลังม่านไม้ไผ่ยังคงไม่มีสุ้มเสียงถ่ายทอดออกมา เพราะเหตุนี้ตรงช่องว่างของรั้วล้อม จึงอบอวลไปด้วยบรรยากาศที่ไร้ไมตรี!

ซิเล้งมิกล่าววาจาอีก เสือกกระบี่พุ่งออกอย่างฉับไว ตนได้ตระเตรียมไว้ว่า จะทะลวงฝ่าอย่างสุดกำลัง ด้านสมาธิพลังจิตล้วนสมบรูณ์เปี่ยมล้น ในยามนี้มิต้องชะลอชะงักเพื่อเตรียมตัวอีก

และกระบวนท่าที่ใช้ออก เป็นหนึ่งในสามวิชาที่ครุ่นคิดบัญญัติขึ้น เพื่อคลี่คลายสลาย หลังจากที่มีความช่ำชองจัดเจนในกระบวนท่า สุริยันสาดส่องหล้า แล้วโดยแฝงไว้ด้วยความพิสดารลึกล้ำสุดจะเปรียบ

แลเห็นกระบี่ในมือของซิเล้ง ใกล้จะถึงปลายต้นไผ่ แต่ตนคล้ายดั่งมิมีความคิดหยุดยั้งชะงักเท้า อุ้ยเอี้ยงจับจ้องจนขมวดคิ้วอย่างหมกมุ่น รู้สึกพิศวงไม่เข้าใจ และลอบร้อนรุ่มแทนตนเหงื่อกาฬแตกชุ่มโชก

สมควรทราบว่า สถานการณ์ ในขณะนี้ มีความผิดแผกแตกต่างจากเวลาโรมรัมพันตูธรรมดา เนื่องจากจับฮึงไต้ซือใช้ต้นไผ่ที่มีความยาวหนึ่งวาหกเจ็ดเชียะ แต่กระบี่ของซิเล้งเป็นอาวุธยาวเพียงสี่เชียะ ความยาวสั้นแตกต่างกันอย่างลิบลับ

ดังนั้นขณะที่ปลายต้นไผ่ที่แทงถูกร่างกายของซิเล้งนั้น ซิเล้งมิว่าอย่างไร ก็ไม่อาจคุกคามถึงฝ่ายตรงข้าม

อุ้ยเอี้ยงตื่นตระหนกในข้อที่ ไม่อาจทราบซึ้งว่ากระบวนท่าของซิเล้งมีคุณค่าอย่างไร คำนวณจากตำแหน่งที่คิดจู่โจม ซิเล้งกระบวนท่านี้เป็นวิธีบุกฝ่าอย่างหักโหม

แต่ทว่าฝ่ายตรงข้ามอยู่ห่างจากซิเล้งเกือบสองวา มาตรแม้นไม่คำนึงถึงความเป็นความตายของตัวเอง ก็จะช่วยให้สถานการณ์กระเตื้องขึ้นได้อย่างไร?

อุ้ยเอี้ยงขณะพิศวงคลางแคลง ยังได้รับความตื่นตระหนก เนื่องจากซิเล้งพาตัวเองเข้าเผชิญอันตราย ถึงกับมีสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง

ขณะนั้น ในม่านไม้ไผ่แว่วสำเนียงดังออกมาเป็นครั้งแรก นั่นเป็นเสียงกระแอมอย่างหนักหน่วง มีความเข้มแข็งสะท้านโสตประสาท

และเณรน้อยเลี่ยวอ้วงก็ได้เบือนศีรษะเบนสายตา มิจับจ้องภาวะจู่โจมของซิเล้ง เหลือบแลไปยังใบหน้าของอุ้ยเอี้ยง

มันพลันส่งเสียง สรรเสริญพระคุณดังกังวานผิดสามัญ หากแม้นมิใช่อยู่ในสถานการณ์อันคับขันถึงขีดสุด ทำให้อุ้ยเอี้ยงทุ่มเทความสนใจต่อปฏิกิริยาของซิเล้ง อุ้ยเอี้ยงย่อมมีใจสะท้านหวั่นไหวเพราะสำเนียงในครั้งนี้

ซิเล้งเสือกไสกระบี่เข้าไปอย่างฉับไว จวบจนปลายกระบี่สามารถกระแทกถูกไม้ไผ่ท่อนนั้น สภาวะก็พลันชะลอเชื่องช้า ปลายกระบี่แผ่กระจายเป็นประกายอันเย็นยะเยียบจุดหนึ่ง ทิ่มแทงใส่ส่วนปลายของต้นไผ่ทันที

เมื่อคราแรกปลายกระบี่ของซิเล้งได้ส่ายเคลื่อนไหวไปมาไม่แน่นอน ทำให้ไม่มีทางคาดคะเนว่า ปลายกระบี่จะจู่โจมไปยังตำแหน่งใด บัดนี้พอพลิกแพลงอย่างกระทันหัน เนื่องจากกระบี่มีระยะกระชั้นชิดและเป็นแนววิชาอันพิเศษพิสดาร สร้างสรรค์ขึ้นมาโดยเฉพาะ

ดังนั้นเอง ปลายแหลมคมของกระบี่ยาว จึงทิ่มแทงถูกส่วนปลายของต้นไผ่โดยปราศจากอุปสรรค

หากแม้นกระบี่ท่านี้ ใช้ออกในยามโรมรันพันตู ย่อมไม่มีคุณค่าแม้แต่น้อย ทั้งนี้ก็เพราะดาบหรือกระบี่ของฝ่ายตรงข้าม สามารถเคลื่อนไหวอย่างว่องไว และส่วนปลายของคมอาวุธก็เป็นจุดเล็กที่แทบมองไม่เห็น ไหนเลยจะทิ่มแทงถูกได้

แต่ว่าท่อนไม้ไผ่ของฝ่ายตรงข้ามขณะนี้ มิเพียงแต่มีกระบวนท่าแน่นอน เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า ส่วนปลายของต้นไผ่ ก็ยังใหญ่โตกว่าคมของอาวุธมากมายหลายเท่า

ดังนั้น ซิเล้งกระบี่นี้จึงทิ่มแทงถูกเป้าหมาย และสามารถปฏิบัติการตามแผนที่กำหนด ตระเตรียมว่าหากถึงคราจำเป็น ก็จะสลัดทิ้งกระบี่ยาวไป

มิหนำซ้ำยังจะทนทานรับการกวาดกระแทกของต้นไผ่ จนกระดูกแหลกสลาย เพื่อทะลวงเข้าไปจากทางด้านข้างของช่องว่าง ขอเพียงแต่มิถูกปลายต้นไผ่ทิ่มแทงใส่ ก็ไม่ถึงกับสูญเสียชีวิต

ขณะที่ซิเล้งเพิ่งบังเกิดความนึกคิด ไม่ทันมีปฏิกิริยา ส่วนปลายของต้นไผ่ ได้แผ่ทะลักพลังกระบี่อันรุนแรงเย็นยะเยียบ สามารถทำลายเรือนร่างของซิเล้งให้แหลกสลาย!

ซิเล้งทุ่มเทพลังการฝึกปรือทั่วทั้งกาย ก็ไม่มีทางต้านทานรับเอาไว้ มิสามารถแสดงพฤติการณ์อื่นใด นอกจากล่าถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็วประการเดียว

มาตรแม้นว่าซิเล้งจะมีพลังการฝึกปรืออันลึกล้ำ แต่ยามล่าถอยมาถึงข้างกายของอุ้ยเอี้ยง ยังรู้สึกว่ากระแสพลังอันเยือกเย็นยะเยียบของฝ่ายตรงข้าม ได้คุกคามถูกร่างกาย จนแทบมีอาการเหน็บชา

อุ้ยเอี้ยงยื่นมือออกรับร่างของซิเล้ง กล่าวอย่างแตกตื่นว่า

“ท่านมิเป็นไรกระมัง?”

อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป

วีรบุรุษผู้พิฆาตเล่ม 19 ตอนที่ 47 :: เทพธิดาผู้ลึกล้ำ

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่