๔๗
♦ เทพธิดาผู้ลึกล้ำ ♦
……………
ซิเล้งงงงันไปเล็กน้อย แล้วจึงถอนหายใจยาวๆ ก้มศีรษะลงกล่าวว่า
“ข้าพเจ้า ไม่ต้องการพาดพิงถึงเรื่องนี้ โกวเนี้ยโปรดให้อภัยด้วย”
อุ้ยเซี่ยวย้งมีประกายตาที่เวทนาสงสาร กล่าวคำขอขมาโทษอย่างแผ่วเบา
ทั้งสองนั่งอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง อุ้ยเซี่ยวย้งได้ทอดถอนหายใจกล่าวว่า
“เรื่องราวอันน่าวิปโยคในใต้หล้า เพียงแต่เรื่องของซีเฮีย ก็ชวนเศร้าสลดจนวาจาลึกซึ้งแม้รูปสลักก็หลั่งน้ำตา กระดูกเหล็กไหลก็มอดมลาย”
ซิเล้งรู้สึกว่า วาจาสองประโยคในตอนท้ายแสดงชะตากรรมอันอาภัพของตนได้อย่างเหมาะสม จึงพึมพำขึ้นว่า
“วาจาลึกซึ้งแม้รูปสลักก็หลั่งน้ำตากระดูกเหล็กไหลก็มอดมลาย…”
กาลเวลาผ่านพ้นไปอีกครู่ใหญ่ อุ้ยเซี่ยวย้งพลันกล่าวว่า
“ซิเฮีย ท่านกำลังร่ำไห้?”
ซิเล้งมิอาจปฏิเสธ ได้แต่ผงกศีรษะเบาๆ
อุ้ยเซี่ยวย้ง กล่าวว่า
“ข้าพเจ้าชั่วชีวิตมิเคยแลเห็นบุรุษเพศหลั่งน้ำตา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชายชาติชาตรีเฉกเช่นท่าน ขอให้ท่านเงยหน้าขึ้นเถอะ”
ซิเล้งรู้สึกว่า อิสตรีนางนี้ประหลาดพิสดารยิ่งนัก แต่ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นบนใบหน้าที่คมคายมีคราบน้ำตาแปดเปื้อน ขอบตาก็ยังแดงก่ำ
อุ้ยเซี่ยวย้งพอแลเห็น ก็บังเกิดความรันทดหดหู่ พลันมีหยาดน้ำตาสองสายไหลรินลงมา
ซิเล้งเห็นว่านางแสดงไมตรีอย่างจริงใจก็ตื้นตันอย่างใหญ่หลวง แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ ความรู้สึกที่ระทมเศร้าหมอง เพราะถูกอุ้ยเซี่ยวย้งกระตุ้นขึ้น เนื่องจากแบ่งแยกสมาธิจึงสร่างซาไปมิน้อย
อุ้ยเซี่ยวย้งคราบน้ำตามิทันเหือดแห้งก็ปรากฏรอยแย้มสรวลขึ้น ซิเล้งเพิ่งได้พบพานภาพพจน์พิสดาร ขณะงงงันไปได้ยินนางกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าเนื่องจากแลเห็นซิเฮียมีความทุกข์ระทมอยู่เต็มอก จึงรู้สึกหดหู่จนหลั่งน้ำตา แต่พร้อมกับนั้นก็ครุ่นคิดได้ว่า ซิเฮียสามารถสลัดตัวออกจากบ่วงทำลายตัวเอง เริ่มปลุกปลอบกำลังขวัญเผชิญกับอุปสรรค จึงอดหัวร่ออย่างปีติมิได้”
ซิเล้งพิจารณาความหมายในวาจาของนางโดยละเอียด ก็มีความรู้ซึ้ง สำนึกอย่างเลือนราง
อุ้ยเซี่ยวย้งล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งซับหยาดน้ำตา ผุดลุกขึ้นเดินเหินอยู่ภายในห้องตลบหนึ่ง เสียงเครื่องประดับบนร่างกายกระทบกันดังติงตัง รู้สึกไพเราะเสนาะโสต
ซิเล้งอดมิได้ต้องคำนึงขึ้นว่า
‘…ก่อนที่นางจะถึงประตูห้องของเรามิได้ยินเสียงเครื่องประดับ แสดงว่านางมีพลังฝีมือสูงล้ำยิ่งนัก บรรลุถึงขั้นเล้งปอตะเซาะ (ท่องคลื่นย่ำหิมะ) อันสูงเยี่ยมทีเดียว พวกมันสองพี่น้อง มีความสำเร็จลึกล้ำถึงปานนี้ ไฉนมิเคยรับฟังในวงพวกนักเลงมาก่อน? และจับฮึงไต้ซือใครเล่า?…’
ตนทุกครั้งคราที่หวนนึกถึงเพลงกระบี่อันยอดเยี่ยมของจับฮึงไต้ซือ ก็บังเกิดความรู้สึกที่ทั้งแตกตื่นทั้งเลื่อมใส คิดจะถามไถ่ต้นตอของเพลงกระบี่ตระกูลอุ้ย แต่แล้วก็เลิกล้มความคิดไป
อุ้ยเซี่ยวย้งยืนหยัดอยู่เบื้องหน้าของซิเล้ง พลันกล่าวว่า
“ซิเฮียหลังจากผ่านการฝึกฝนมาหลายวัน ขณะลงมือย่อมผิดแผกจากวันก่อน หากแม้นท่านมิตำหนิดูแคลน ข้าพเจ้าคิดอยากจะรับทราบกระบวนท่าอันอันสูงส่งบ้าง”
ซิเล้งกล่าวอย่างแช่มช้าว่า
“ข้าพเจ้าเพียงแต่ฝึกหัดวิชากระบี่อันอ่อนด้อยมิกี่กระบวนท่า มิคู่ควรต่อการแสดงต่อหน้าของโกวเนี้ย”
ในใจของตน กลับคาดคิดว่า
‘…หกกระบวนท่ามหรรณพที่เราฝึกปรือ มีอานุภาพเกรี้ยวกราดเป็นที่ยิ่ง ไหนเลยจะลงมือทดสอบอย่างวู่วาม จนอาจพลาดพลั้งได้รับอันตราย…’
อุ้ยเซี่ยวย้งคล้ายดั่งมิทราบซึ้งถึงความปรารถนาดีของฝ่ายตรงข้าม กล่าวอย่างยืนกรานว่า
“ซิเฮียมิต้องถ่อมตน ท่านคือจอมกระบี่กระเดื่องนามแห่งยุค มาเถอะ พวกเราพิสูจน์กันสิบหรือยี่สิบกระบวนท่าก็เพียงพอแล้ว”
“ข้าพเจ้ามีความสำเร็จอันต่ำต้อยอย่างแท้จริง”
“หรือว่า ซิเฮียไม่คิดทดสอบดู เพลงกระบี่ตระกูลเรา กระบวนท่าสุริยันสาดส่องหล้านั้น ท่านได้เสาะพบวิธีการสลายแล้วหรือไม่?”
นางพอพาดพิงถึงกระบวนท่าสุริยันสาดส่องหล้า ทำให้ซิเล้งเปลี่ยนแปลงความเข้าใจทันที ทั้งนี้ก็เพราะเมื่อหลายวันก่อน ตนได้ถูกจับฮึงไต้ซือใช้กระบวนท่านี้ขัดขวางเอาไว้ ไม่สามารถทะลวงผ่านประตูให้ไมตรี
ตนกล่าวอย่างผ่าเผยว่า
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าได้แต่แสดงความต่ำต้อยแล้ว”
พลางผุดลุกขึ้น ปลดกระบี่ยาวที่แขวนอยู่บนผนังห้อง ก้าวยาวๆ ออกไป แลเห็นดรุณีรับใช้เพ็กเง็กยืนหยัดอยู่ที่ลานกว้างหน้าตึก ในมือประคองกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง ฝักกับด้ามของกระบี่ล้วนเป็นสีแดงสดใสบาดตายิ่งนัก
นางแลเห็นซิเล้งออกมา ก็เบือนสายตาไป แต่ย่อกายลงแสดงความคารวะ เรียกหาว่าซิเซียงกง
ซิเล้งสำนึกทราบว่า นางเนื่องจากถูกตอบโต้อย่างมิแยแส จึงมีความรู้สึกผิดปรกติ ดังนั้นตนได้ปั้นรอยแย้มยิ้มขึ้น และยินดีกล่าวคำขออภัย แต่เพ็กเง็กกลับก้มศีรษะเดินผ่านข้างกายไป
ได้ยินเครื่องประดับดังเคลื่อนมาที่ลานตึก ซิเล้งหันกายมองไป แลเห็นอุ้ยเซี่ยวย้งได้กระชับกระบี่อยู่ในมือ ประกายกระบี่แผ่กระจายดุจดั่งรุ้งสีแดง เหลือบแลเพียงวูบเดียวก็ทราบว่า หาใช่อาวุธธรรมดาไม่
นางหัวร่อเบาๆ กล่าวว่า
“กระบี่นี้เรียกว่า กั่งฮุ้น (เมฆแดง) เป็นศาสตราวุธวิเศษประจําตระกูล มีความคมกล้าฟันเหล็กดั่งฟันหยวก และขณะตกอยู่ในเงื้อมหัตถ์ของผู้คนตระกูลเรา ยังมีประสิทธิภาพอื่นอีก”
ซิเล้งเอื้อนเอ่ยว่า
“ข้าพเจ้าสันนิษฐานว่า ย่อมต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวกับรัศมีกระบี่ มิทราบว่าถูกต้องหรือไม่?”
อุ้ยเซี่ยวย้งกล่าวอย่างเลื่อมใสว่า
ซิเฮียมิเสียทีที่เป็นผู้ทรงฝีมือแห่งยุค ถึงกับกล่าวได้ถูกต้องในวาจาประโยคเดียว เพลงกระบี่ของตระกูลเรา แฝงไว้ด้วยอานุภาพชนิดหนึ่งพอฝึกฝนถึงขั้นสูงสุด จะแผ่รัศมีแสดงอานุภาพโดยที่มิต้องหักโหมก็จะเอาชัย เพียงแต่ข้าพเจ้าสำนึกว่าพลังฝีมืออ่อนด้อย มิมีความสามารถถึงปานนั้น ขอให้ท่านอย่าได้หัวร่อเยาะด้วย”
“ข้าพเจ้าไหนเลยจะกล้ามีความคิดเยาะเย้ย เพียงแต่มิทราบว่าโกวเนี้ยหากเปรียบเทียบกับพี่ชายของท่านในด้านความสำเร็จมีความผิดแผกกันอย่างไร?”
อุ้ยเซี่ยวย้ง กล่าวว่า
“พวกเราสองพี่น้องไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก”
“ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าก็มิมีความสามารถเอาชัยได้ โกวเนี้ยไยต้องใช้กระบี่วิเศษเล่า?”
“วาจาของซิเฮียนี้ ออกจะถ่อมตนเกินไปแล้ว”
“ข้าพเจ้ามิเคยกล่าววาจาที่ขัดแย้งกับจิตใจมาก่อน”
เพ็กเง็กพลันกล่าวลอดว่า
“เสียวเจี๊ยะ บ่าวมักเคยได้ยินผู้สูงวัยตักเตือนว่า วาจาของบุรุษเพศมิคู่ควรต่อการเชื่อมั่น บางครั้งผู้อื่นแสร้งแกล้งถ่อมตัว แต่บางคราก็วางท่าอวดโอ่ตัวเอง”
อุ้ยเซี่ยวย้งดุด่าว่า
“อย่าได้กล่าวเหลวไหล… ซิเฮีย ข้าพเจ้าอบรมไม่เข้มงวด ขออย่าได้นำพามาปรารมภ์”
ซิเล้งเพียงหัวร่ออย่างเฉื่อยชา สำนึกทราบความในใจของเพ็กเง็กเป็นอย่างไร จึงไม่เกี่ยงงอนด้วย
อุ้ยเซียวย้งกล่าวว่า
“พี่ชายของเรา คล้ายดั่งมิเคยประมือกับซิเฮียมาก่อน ท่านไฉนจึงจำแนกความเหลื่อมล้ำต่ำสูงได้เล่า?”
ซิเล้งเอื้อนเอ่ยว่า
“ข้าพเจ้ารับทราบมาว่า มันสามารถเอาชัยสหายเราฉี้อิงโกวเนี้ย และความสำเร็จของข้าพเจ้า ยังมิอาจเปรียบเทียบกับฉี้อิงโกวเนี้ย ย่อมไม่สามารถต้านทานรับมือพี่ชายของท่าน”
อุ้ยเซี่ยวย้งสั่นศีรษะกล่าวว่า
“ท่านเข้าใจผิดพลาดแล้ว เพลงกระบี่ของตระกูลเรามีความเชื่อมั่นตลอดเวลาว่าสูงล้ำยิ่ง แต่ในวันนี้ซิเฮียพอจู่โจมออกหนึ่งกระบี่กระบวนท่าร่างกลับมิถูกวิชากระบี่ตระกูลเราสยบเอาไว้
“เพราะเหตุนี้ จับฮึงไต้ซือถึงกับถูกท่านจู่โจมใส่จนปรากฏช่องว่างรอยโหว่ หากแม้นมิใช่มันมีพลังการฝึกปรืออันลึกล้ำ ซิเฮียก็คงบุกฝ่าเข้าไปได้ ดังนั้นข้าพเจ้าไหนเลยจะกล้าเลินเล่อใช้อาวุธธรรมดาเล่า”
ซิเล้งมิแสดงความคิดเห็นแต่ประการใด อุ้ยเซี่ยวย้งกล่าวอีกว่า
“กระบี่เมฆแดงนี้ ยามตกอยู่ในการยึดครองของผู้คนสำนักอื่น มิเพียงแต่ไม่ได้แผ่ซ่านรัศมีกระบี่ แม้กระทั่งความคมกริบก็ไม่เท่าเทียมกับเวลาอยู่ในมือของตระกูลเรา นี่นับเป็นสภาพการณ์อันประหลาดพิกล”
ซิเล้งกล่าวว่า
“นี่เรียกว่าวัตถุของวิเศษ มีเจ้าของยึดครองอย่างแน่นอน”
ขณะกล่าววาจาก็ดึงกระบี่ยาวออกมา ก้าวยาวๆ เข้าหาอุ้ยเซี่ยวย้ง
ทั้งสองฝ่ายมีระยะห่างกันสี่ห้าเชียะ ยืนหยัดประจันหน้า ซิเล้งพอกระชับกุมกระบี่ ความคิดสับสนล้วนปลาสนาการ ทุ่มเทสมาธิจดจ่ออยู่กับตัวกระบี่ พริบตาเดียว ก็แผ่ซ่านพลังกายอันเหี้ยมหาญเกรี้ยวกราดสุดจะเปรียบ
อุ้ยเซี่ยวย้งมีเสื้อผ้าพลิ้วปลิวไสว ยืนประคองกระบี่อยู่อย่างยิ้มแย้ม อิริยาบถพิเศษเด่นล้ำ ดั่งราวกับเทพธิดา คล้ายดั่งมิถูกอานุภาพของซิเล้งคุกคามแม้แต่น้อย
ซิเล้งกล่าวเสียงหนักๆ ว่า
“อุ้ยโกวเนี้ยขอให้ระวัง วิถีกระบี่ของข้าพเจ้าพอเริ่มรุกขยาย ก็ไม่มีทางออมรั้ง”
อุ้ยเซี่ยวย้งผงกศีรษะอย่างเยือกเย็น
ซิเล้งพลันสืบเท้าออกไปหนึ่งก้าว สะบัดกระบี่ จู่โจมไปทางเบื้องหน้าอย่างหักโหม
นี่เป็นท่าหน้าในหกกระบวนท่ามหรรณพ และมีแต่ท่าร่างนี้ที่รุกจู่โจมล้ำหน้า ความแกร่งกร้าวของอานุภาพรุนแรงจนสามารถโยกคลอนบรรพต
แต่ความจริง ซิเล้งใช้พลังภายในเพียงเจ็ดส่วน คาดมิถึงว่าอุ้ยเซี่ยวย้งได้สะบัดข้อมืออันผุดผ่อง สั่นพลิ้วเป็นเงากระบี่สามสี่กลุ่ม ปิดสกัดตำแหน่งอันตรายเอาไว้
พร้อมกับนั้น ก็เคลื่อนฝีเท้าก้าวเนิบนาบ เรือนร่างอันแน่งน้อยเพียงแฉลบวูบ ก็ก้าวเฉียงๆ มาสามสี่ก้าว หลุดพ้นจากขอบเขตแผ่รัศมีในท่ากระบี่ของซิเล้งนี้
วิชาท่าร่างกับเพลงกระบี่ของนาง ผสมผสานกันอย่างพิสดารประจวบเหมาะและมีกลิ่นอายของเทพยดาอยู่ด้วย
ซิเล้งสูดลมหายใจเข้าไป ใช้ท่าซ้ายสะบัดกระบี่จู่โจมไปทางซ้ายมือ แลเห็นประกายกระบี่กระจายวูบ ดุจดั่งฟ้าแลบลั่นอสนีบาตคะนอง ความเกรี้ยวกราดของอานุภาพยังรุนแรงกว่าท่ากระบี่เริ่มต้นเสียอีก
เพ็กเง็กหญิงรับใช้ ซึ่งยืนหยัดอยู่บนบันไดศิลา แลเห็นซิเล้งมีความห้าวหาญถึงปานนี้ ก็มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปกระชากกระบี่ออกมาดังเปรื่องใหญ่ พุ่งร่างไปที่ลานตึก
อุ้ยเซี่ยวย้งตวาดเสียงเจื้อยแจ้วว่า
“เพ็กเง็กกลับไป”
พลางสะบัดข้อมืออันผุดผ่อง กระบี่เมฆแดงเล่มนั้น แผ่กระจายเป็นประกายสายรุ้งสีแดงสดใสนับร้อยๆ สาย พริบตานั้นได้ยินเสียงเปรื่องดังถี่ยิบ
ที่แท้อุ้ยเซี่ยวย้งกลับใช้แนววิชาอันฉับไว ขณะที่กระบี่ของคู่ต่อสู้ฟาดฟันลงมา ตวัดอาวุธโหมฟันลงไป จนบังเกิดสำเนียงปะทะดังมิขาดหู
มาตรแม้นเป็นเช่นนั้น นางยังต้องอาศัยท่าเท้าอันพิสดารลึกล้ำ ขณะที่กระบี่ของฝ่ายตรงข้ามชะลอชักช้าไปเล็กน้อย ถอยปราดออกจากวงกระบี่ ค่อยนับว่าสลายกระบวนท่าของศัตรูท่านี้
ซิเล้งบนสีหน้ามิมีความเปลี่ยนแปลงอันใด แต่ความจริงเมื่อครู่นี้ ตนได้ถูกพลังอันเย็นยะเยียบ ซึ่งแผ่ทะลักจากกระบี่ของฝ่ายตรงข้าม คุกคามจนไม่สามารถใช้ท่าร่างจนหมดสิ้น!
ตนซึมซาบว่า ในยามนี้หากมีความคิดลังเลหรือหวั่นไหว ความฮึกเหิมของตนก็จะลดถอยอ่อนด้อยลง เมื่อเป็นเช่นนี้จะไม่มีทางต้านรับพลังกระบี่ของนางเลย
ดังนั้นจึงปลุกปลอบสมาธิจนกระตือรือร้น ตวาดดังกึกก้องกวัดแกว่งกระบี่ยาว ฟาดฟันใส่อุ้ยเซี่ยวย้งเป็นคำรบสาม
กระบี่นี้ยามใช้ออก ซิเล้งก็รู้สึกว่าพลังฝีมือของตัวเองรุดหน้ากว่ากวนก่อนมิน้อย ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด
อุ้ยเซี่ยวย้งพบว่า ฝ่ายตรงข้ามมีความเหี้ยมหาญระย่นย่อ ก็มิกล้าชะลอชักช้า แลเห็นร่างของนางพลันลอยขึ้นสู่เบื้องบน ห่างจากพื้นดินเพียงสี่ห้าเชียะ กระโปรงพลิ้วไสว อุปมาเทพธิดากำลังท่องนภา
พลังกระบี่จากซิเล้งพอทะลักถึง ก็ทำให้เรือนร่างของนางพุ่งถอยไปด้านหลัง ลอยละล่องตามสายลม บัดเดี๋ยวซ้ายบัดเดี๋ยวขวานางขณะลอยตัวอยู่กลางอากาศอันเวิ้งว้างกลับมีความคล่องแคล่วปราดเปรียวยิ่งนัก
สภาพของนางเสมือนกับปุยนุ่นอันเบาบางสามารถโชยพัดไปพร้อมกับสายลม ทำให้ซิเล้งมีความรู้สึกว่าภาวะกระบี่ที่ทุ่มเทออก ไม่ประสบพบกับเป้าหมาย
นี่เป็นอุบัติการณ์ชั่วพริบตาเดียว ทั้งสองบัดเดี๋ยวรุกไล่ บัดเดี๋ยวล่าถอย วนเวียนอยู่รอบตึกราวกับสายฟ้าแลบพุ่ง อุ้ยเซี่ยวย้งพลันพลิ้วกายลงบนพื้นดิน แต่หากจากซิเล้งได้ใช้ออกถึงขั้นบั้นปลายสภาวะนับเป็นสูญสิ้นไปแล้ว
พลันได้ยินอุ้ยเซี่ยวย้งส่งเสียงดังกังวานว่า
“ซิเฮียระวัง นี่คือไม้ตายท่าสุริยันสาดส่องหล้าอันเร้นลับประจำตระกูลของเราแล้ว!”
ขณะที่เอื้อนเอ่ย กระบี่เมฆแดงได้เสือกพุ่งออกจี้ใส่ร่างกายส่วนบนและท่อนกลางของซิเล้งอย่างหักโหมและกระจายถึงอย่างฉับไว
ปลายกระบี่ของนาง แผ่ซ่านกระแสพลังที่เย็นยะเยียบเกรี้ยวกราดอย่างสุดแสน ซิเล้งรู้สึกว่าไม่มีหนทางคลี่คลายสลาย ได้แต่สำแดงวิชาเดิมเมื่อวันที่ต้านรับจับฮึงไต้ซือ
เรือนร่างล่ำสันได้แฉบหลบมาทางขวามือแล้วพลันหมุนคว้างหงายมือจู่โจมกระบี่ออก แว่วเสียงดังตึง เมื่อปะทะถูกกระบี่ของศัตรู ต้านรับอานุภาพกระบี่ของนางท่านี้
แต่ซิเล้งปราศจากเรี่ยวแรงจู่โจมซ้ำเติม พุ่งกายล่าถอยออกมานอกรัศมีเจ็ดแปดเชี๊ยะ กล่าวอย่างแตกตื่นพิศวงสะทกสะท้อนว่า
“โกวเนี้ยกระบวนท่านี้ เป็นไม้ตายไร้เทียมทานข้าพเจ้าต้านทานอย่างเต็มฝืน นับเป็นพฤติการณ์อันหวาดเสียวเสี่ยงภยันตราย”
อุ้ยเซี่ยวย้งกล่าวว่า
“เท่าที่ข้าพเจ้าทราบมา กระบวนท่าสุริยันสาดส่องหล้าของตระกูลเรา มีแต่วิธีต้านทานเพียงสองประการ ซึ่งจะอาศัยความสูงล้ำต่ำต้อยของทั้งสองฝ่าย จึงจะจำแนกผลแพ้ชนะ แต่กระบวนท่าอันพิสดารของซิเฮียนี้เป็นหนทางต้านรับประการที่สาม นับว่าประหลาดพิสดารอย่างยิ่งยวด”
ซิเล้งหมกมุ่นครุ่นคิด กลับมิได้เอื้อนเอ่ยวาจา
อุ้ยเซี่ยวย้งก็สำนึกทราบสถานการณ์ มิได้ส่งเสียงรบกวนสมาธิ มาตรแม้นนางมิทราบว่ากำลังคำนึงถึงเรื่องใด
ชั่วครู่ต่อมา ซิเล้งจึงกล่าวว่า
“อุ้ยโกวเนี้ย เมื่อครู้นี้วิชาท่าเท้าอันพิสดารผสมผสานกับเพลงกระบี่แขนงนั้น มีความสูงส่งเทียบเทียมเทพยดา สามารถดำรงโดยมิพ่ายแพ้ ข้าพเจ้ารู้สึกเลื่อมใสอย่างใหญ่หลวง”
อุ้ยเซี่ยวย้งกล่าวอย่างแช่มช้าว่า
“แนววิชาอันเร้นลับของตระกูลเรานี้ เรียกว่าบ้อเต็กเซียงเกี่ยม (กระบี่เทพเจ้าไร้เทียมทาน)!”
ซิเล้งอุทานดังอ้อกล่าวว่า
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ มิน่าเล่าจึงมีความพิสดารร้ายกาจถึงปานนี้”
“เอ๊ะ ซิเฮียได้ยินนามนี้มาก่อนหรือ?”
“ข้าพเจ้ารับทราบมาว่า นี่คือหนึ่งในสามยอดวิชาที่เทพโฉดสะท้านโพยมกับมหาสมณะโพธิสัตว์ร่วมบัญญัติขึ้น อีกสองวิชาที่หลงเหลือคือดาบพุทธไร้เทียมทานกับหัตถ์เทพยดาไร้เทียมทาน มิทราบว่าถูกต้องหรือไม่?”
อุ้ยเซี่ยวย้งกล่าวอย่างแตกตื่นว่า
“ในใต้หล้ากลับมีผู้คนรู้จักวิชาไม้ตายทั้งสามนี้ ถ้าเช่นนั้นยอดวิชาอีกสองประการ ก็คงมีผู้รับถ่ายทอดไปแล้ว?”
ซิเล้งกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าทราบมาว่า วิชาดาบพุทธไร้เทียมทานได้แพร่งพรายสู่ชาวโลกแล้ว มีบุคคลที่เรียนรู้ถึงสองคน หนึ่งคือผู้เคยถูกยกย่องเป็นผู้ทรงฝีมืออันดับหนึ่งกิมเม้งตี้ มันได้รับวิชานี้มาจากจูกงเม้งกำลังเร้นกายฝึกปรือ
“และสองเป็นบุรุษแซ่เนี่ยที่อยู่ในตัวเมืองเซ้งโตวนี้ มันเป็นบุตรของหัวหน้าหน่วยทหารรักษาพระองค์หัตถ์อสนีบาตเนี่ยฮง และจูกงเม้งได้ถ่ายทอดให้ กำลังลอบฝึกหัด”
หยุดอยู่เล็กน้อย จึงกล่าวอีกว่า
“เกี่ยวกับหัตถ์เทพยดาไร้เทียมทาน ได้ตกอยู่ในการครอบครองของอลัชชีโลกันตร์กำลังฝึกฝนยอดฝีมือรุ่นเยาว์ เพื่อสำเร็จล่วงจุดประสงค์ที่คิดอาละวาดทั่วใต้หล้าโดยไร้ผู้เทียมทาน”
อุ้ยเซี่ยวย้งมิทราบซึ้งถึงพฤติการณ์ของสถาบันอำมหิต ซิเล้งจึงต้องคอยอธิบายจนนางเข้าใจความเป็นมาได้ หลังจากครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย นางจึงกล่าวว่า
“ในเมื่อเนี่ยคกเตี่ยผู้นั้นอยู่ในบริเวณใกล้เคียงและเป็นชนชั้นอันป่าเถื่อน ข้าพเจ้าสมควรไปเผชิญพบมัน เพื่อทดสอบว่าวิชาดาบพุทธไร้เทียมทานนั้น มีอานุภาพอย่างไร?”
ซิเล้งกล่าวขึ้นว่า
“เท่าที่จูกงเม้งบอกเล่าออกมา วิชาดาบพุทธไร้เทียมทาน ได้บัญญัติขึ้นโดยผสมผสานจากเพลงดาบพัวพัน กับคมปัญญาบารมี แต่มีความร้ายกาจปานใดก็ยากบ่งบอก หากทว่าคำนวณจากอานุภาพของกระบี่เทพเจ้าไร้เทียมทาน ย่อมต้องเป็นวิชาอันแตกตื่นสะท้านโลกด้วย”
อุ้ยเซี่ยวย้งกล่าวอย่างหมกมุ่นว่า
“คาดมิถึงว่าวิชาเร้นลับขั้นสุดยอดในเจดีย์ทองคำยังตกทอดสู่โลกมนุษย์… พวกเราต้องทวงถามวิชาทั้งสองนั้นกลับมาก่อนที่ผู้อื่นจะฝึกปรือสำเร็จ!”
ซิเล้งพลันฉุกใจได้คิดกล่าวว่า
“ที่แท้พี่ชายของท่านคราก่อนปรากฏกายขึ้น กลับมีเจตนารมณ์ไม่ต้องการให้วิชาเร้นลับในเจดีย์ทองคำ ตกทอดสู่โลกมนุษย์? เพียงแต่มิทราบว่าพวกท่านไฉนจึงต้องการให้แนววิชาอันลึกล้ำเหล่านั้น หายสาบสูญไปตลอดกาล?”
อุ้ยเซี่ยวย้งกล่าวว่า
“นี่เป็นคำส่งเสียของทวดผู้ล่วงลับ ท่านผู้เฒ่าเคยติดตามรับใช้เทพโฉดสะท้านโพยมอย่างซื่อสัตย์ชั่วชีวิตเพราะไม่ต้องการให้อนุชนรุ่นหลังสัมผัสถูกซากศพของเทพโฉดสะท้านโพยม กับมหาสมณะโพธิสัตว์
“ดังนั้นจึงมีคำสั่งเสียให้บุตรหลานของตระกูลอุ้ยทุกๆ รุ่น เฝ้าพิทักษ์รักษาเจดีย์ทองคำ ไม่อนุญาตให้วิชาไม้ตายแขนงใดกระจัดกระจายสู่โลกกว้างและมิยินยอมให้ชนชาวบู๊ลิ้มเปิดเจดีย์ทองคำ!”
ซิเล้งรู้สึกนอกเหนือความคาดหมายอย่างใหญ่หลวง กล่าวว่า
“นี่เป็นเรื่องราวที่คาดคิดมิถึงอย่างแท้จริง แต่หากแม้นมีผู้คนหลบหลีกจากการตรวจตรารักษาของท่าน เปิดเจดีย์ทองคำ พวกท่านจะใช้วิธีการอย่างไร?”
“ย่อมต้องสังหารชนชาวที่ละโมบเหล่านั้นให้ตกตายโดยสิ้นเชิง!”
ซิเล้งคำนึงในใจว่า
‘… ฉี้อิงและพวก อาจจะลอบปฏิบัติการลงมือเปิดเจดีย์ทองคำ พฤติการณ์นี้ละเมิดข้อหวงห้ามของตระกลอุ้ย หากแม้นพวกพี่น้องตระกูลอุ้ยลงมือไล่ล่าสังหารก็จะก่อเกิดโศกนาฏกรรม ผู้มีฝีมือในบู๊ลิ้มจะเสื่อมสูญไปกว่าครึ่ง
แต่เราขณะนี้หากหาทางติดต่อกับฉี้อิง ไม่ให้นางเร่งรุดสู่เจดีย์ทองคำ ถ้าเช่นนั้นชนชาวบู๊ลิ้มทั้งหมดก็เข้าใจว่าเราทรยศต่อคำมั่นสัญญา มีจิตยึดครองเพียงลำพัง ซึ่งจะชักจูงเป็นเภทภัยโดยมีสิ้นสุด…’
ตนครุ่นคิดทบทวน รู้สึกว่ามีแต่ปลอบประโลมตระกูลอุ้ย ไม่ปิดสกัดเจดีย์ทองคำอีก จึงจะล้มล้างเภทภัยนี้ ดังนั้นจึงกล่าวว่า
“อุ้ยโกวเนี้ย ข้าพเจ้าคิดจะพบพานพี่ชายของท่าน มิทราบว่ามันจะหวนกลับมาเมื่อใด?”
“ตัวมันไม่มีความแน่นอน ท่านมีเรื่องอันใดบอกกล่าวกับข้าพเจ้าก็ได้”
ซิเล้งสั่นศีรษะกล่าวว่า
“ข้าพเจ้ามิอาจไม่พบพานพี่ชายของท่าน”
“มันพอหวนกลับมา ย่อมต้องมุ่งเสาะหาท่าน ข้าพเจ้าจะไปสืบเสาะร่องรอยของเนี่ยคกเตี่ยผู้นั้น ยังประเสริฐที่มันเป็นบุคคลชั้นพิเศษ คงไม่ลำบากต่อการเสาะพบ”
ซิเล้งกล่าวเสเรื่องว่า
“เพลงกระบี่อันเร้นลับของโกวเนี้ย มิทราบว่าได้ประกบขึ้นจากยอดวิชาสองแขนง เฉกเช่นดาบพุทธไร้เทียมทานด้วยหรือไม่?”
อุ้ยเซี่ยวย้งผายมือเป็นเชิงเชื้อเชิญให้ซิเล้งกลับสู่ห้องพัก ขณะเดินเหินได้กล่าวว่า
“มิผิด เท่าที่ข้าพเจ้าทราบมา นั่นเป็นการประกบจากเพลงกระบี่สตรีเมืองอ๊วกตั้งแต่สมัยโบราณของประเทศเรา กับวิชาปวยเจี้ยวเจียะ (ร่องรอยวิหคเหิน) อันพิศดารของชมพูทวีป”
ซิเล้งทรุดกายนั่งลงที่เก้าอี้ริมหน้าต่างกล่าวว่า
“นี่เป็นวิชากระบี่ที่ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง มีความพิสดารที่คาดคิดมิถึง ข้าพเจ้าประหวัดหวนนึกถึงจับฮึงไต้ซือ อาศัยความสำเร็จที่ลึกล้ำของมัน ประตูไร้ไมตรีนั้น เกรงว่าไม่มีผู้ใดฝ่าพ้น”
อุ้ยเซี่ยวย้งมีสีหน้าหม่นหมองกังวล กล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไร?”
ซิเล้งยักไหล่เป็นเชิงอ้างว่าอับจนปัญญา
แต่ทว่าความคิดคำนึงได้ทุ่มเทไปที่ฉี้อิง นางกำลังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เปี่ยมอันตราย โดยที่นางเองหารู้ซึ้งสำนึกไม่ ทำให้ผู้คนหมกมุ่นกังวลยิ่งนัก
ตนพลันได้ยินอุ้ยเซี่ยวย้งส่งเสียงถอนหายใจยาวๆ พอเบือนสายตามองไป ก็แลเห็นสีหน้าของนางปกคลุมด้วยความวิตกระทมทุกข์ชวนให้เวทนา
ทันใดนั้น ความคิดประการหนึ่ง ได้พุ่งผ่านเข้ามาในจิตสำนึก ทำให้ซิเล้งกล่าวว่า
“อุ้ยโกวเนี้ย มีความหม่นหมองถึงปานนี้ หรือว่าเรื่องการฝ่าประตูไร้ไมตรี มีความสำคัญต่อท่านอย่างยิ่งยวดด้วย?”
“หากแม้ข้าพเจ้าเสียงยันตรายฝ่าด่านนี้ และขอร้องต่อท่านสองพี่น้องประการหนึ่ง มิทราบว่าจะเป็นผลสำเร็จหรือไม่?”
อุ้ยเซี่ยวย้งกล่าวว่า
“ขอเพียงแต่สามารถฝ่าประตูไร้ไมตรีได้ ซิเฮียจะมีเงื่อนไขอย่างไร ก็สามารถปฏิบัติตาม”
“ตกลง ข้าพเจ้าจะพยายามฝ่าด่านนี้ให้จงได้ สำหรับข้อขอร้องของข้าพเจ้า ยังต้องรอจนพบหน้าพี่ชายของท่าน จึงสามารถเอ่ยอ้างออก”
อุ้ยเซี่ยวย้งผงกศีรษะ ซิเล้งได้กล่าวอีกว่า
“บัดนี้ขอให้โกวเนี้ยสำแดงกระบวนท่าสุริยันสาดส่องหล้านั้น จับฮึงไต้ซือมาตรแม้นมีพลังฝีมือสุดยอด แต่มันได้เร้นกายอยู่ในม่านไผ่ สูญเสียความสะดวกยามเคลื่อนตำแหน่ง จึงเชื่อมั่นว่ามีโอกาสให้ฉกฉวยได้”
อุ้ยเซี่ยวย้งรีบผุดลุกขึ้นกล่าวว่า
“พวกเราออกไปด้านนอก ข้าพเจ้าจะสำแดงต่อท่าน”
ซิเล้งติดตามนางออกไป จับจ้องนางกรีดวาดอย่างแช่มช้า และรับฟังนางบ่งบอกตำแหน่งท่าเท้า กับการพลิกแพลงท่าร่างโดยละเอียด
กระบวนท่านี้ สูญเสียเวลาอธิบายถึงครึ่งชั่วยามจึงสามารถบอกเล่าจนหมดสิ้น
แต่ทว่าซิเล้งขณะครุ่นคิดตีความ ก็มักไม่อาจจดจำท่าเท้ายามเดินเหิน ทำให้ต้องถามไถ่ต่อนาง
สภาพเช่นนี้ดำเนินถึงเวลาค่ำมืด ซิเล้งยังไม่สามารถเข้าใจความลึกล้ำของกระบวนท่าสุริยันสาดส่องหล้า ย่อมมิอาจพาดพิงถึงเรื่องคลี่คลายสลายเลย
ยังคงเป็นอุ้ยเซี่ยวย้งเฝ้าตักเตือน ซิเล้งจึงหยุดชะงักชั่วคราวอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นได้รับประทานอาหารค่ำร่วมกับอุ้ยเซี่ยวย้งอยู่ที่หลังห้องโถง
ซิเล้งขณะเผชิญกับนงคราญและอาหารเลิศรสกลับคอยวิจารณ์แต่เพลงกระบี่ ถามไถ่ถึงความพิสดารยามเปลี่ยนแปลงกระบวนท่าร่างบางประการ
ควรทราบว่า วิชากระบี่อันสูงล้ำพิสดารเฉกเช่นเพลงกระบี่เทพเจ้าไร้เทียมทานนี้ ส่วนที่ยากจะตีความแตกฉาน ก็อยู่ที่ความพลิกแพลง
มรรคาแห่งวิชาฝีมือ การที่ไร้ขอบเขตจำกัด สุดจะหยั่งคาดสันนิษฐาน ก็สืบเนื่องมาจากกระบวนท่าหนึ่งท่าใด ล้วนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเพราะ “มนุษย์” “เวลา” และ “สถานที่”
กระบวนท่าที่เช่นเดียวกัน บุคคลที่เริ่มฝึกหัดกับผู้ทรงฝีมือเวลาใช้ออก ย่อมมีความแตกต่างอย่างใหญ่หลวง
แต่ในเมื่อเป็นกระบวนท่าเดียว และถูกผู้ทรงฝีมือคนเดียวกันใช้ออกไปรวมสองครั้ง ก็จะแผ่อานุภาพไม่เท่าเทียมกัน โดยเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงในด้านกาลเวลา คู่ต่อสู้ และสภาพแวดล้อม
ดังนั้นซิเล้ง ได้อาศัยประสบการณ์อันช่ำชองชำนาญ กอปรกับความสำเร็จเชิงวิชาฝีมือ และสามัญสานึกของตน ยามตีความกระบวนท่าสุริยันสาดส่องหล้า ได้พบพานปัญหามากมายที่แม้แต่อุ้ยเซี่ยวย้งก็คาดคิดมิถึงมาก่อน
ความจริงนี่เป็นสาเหตุสืบมาจากการเปลี่ยนแปลงทัศนะแง่มุมแห่งความคิดเท่านั้นเอง…
ซิเล้งการที่ถามไถ่โดยไม่ยอมเลิกรา ก็เพราะว่าตนเริ่มฝึกหัดกระบวนท่านี้ ความพลิกแพลงลึกล้ำภายในซึ่งมากมายไพศาล ในยามกะทันหันไหนเลยจะเข้าใจได้หมดสิ้น
อุ้ยเซี่ยวย้งมีความนุ่มนวลคล้อยตามอย่างผิดสามัญ ไม่มีแววรำคาญมิพอใจ ความจริงดวงตาคู่งามที่หยาดเยิ้มของนางได้จับจ้องอยู่บนใบหน้าของซิเล้งน้อยครั้งจะเบนเบือน
อิริยาบถของนางเช่นนี้ เสมือนกับว่าขอเพียงแต่สามารถอยู่ร่วมสนทนากับซิเล้ง นางก็จะพอใจแล้ว
ซิเล้งมิเพียงแต่ไม่รู้สึกสำนึก แม้กระทั่งอีกสามวันให้หลัง ตนก็ยังจดจ่อลุ่มหลงอยู่กับกระบวนท่านี้
ขณะรับประทานอาหารค่ำของอีกสามวันต่อมา ซิเล้งได้กล่าวกับนางว่า
“กระบวนท่าสุริยันสาดส่องหล้านี้ นับว่าลึกล้ำอย่างแท้จริง ข้าพเจ้าจวบจนบัดนี้ยังไม่สามารถเข้าใจได้ลึกซึ้ง รู้สำนึกเพียงผิวเผินเท่านั้น”
อุ้ยเซี่ยวย้งกล่าวว่า
“เวลายังมีอีกมากนัก ซีเฮียมิต้องร้อนรน”
“เนื่องจากเวลามีอยู่ไม่มากนัก ข้าพเจ้าจึงลอบร้อนรุ่มใจ”
“เหตุใดเวลาจึงมิไม่มาเล่า?”
ซิเล้งถอนหายใจกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าต้องการคลี่คลายเรื่องราวประการหนึ่งอย่างรีบด่วน แต่ต้องฝ่าประตูไร้ไมตรีไป จึงสามารถพาดพิงเอ่ยถึง หากแม้นพี่ชายของท่านอยู่ในที่นี้ด้วย ก็อาจจะมีประโยชน์บ้าง”
“ข้าพเจ้ามิเข้าใจความมุ่งหมายของท่าน และเนื่องจากมารดาท่านผู้เฒ่ามีอายุชราภาพ ร่างกายไม่แข็งแรง ดังนั้นข้าพเจ้ากับพี่ชายจึงต้องมีผู้หนึ่งคอยปรนนิบัติรับใช้มารดา มิอาจจากมาโดยพร้อมเพรียงกัน ความหวังของท่านเกรงว่าไม่สำเร็จ”
ซิเล้งกล่าวอย่างผิดหวังว่า
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็มิอาจบ่งบอกวาจาที่คิดเอื้อนเอ่ยออกไปได้”
“พี่ชายของเรากำหนดว่า อีกสองวันก็จะมาที่นี้ ข้าพเจ้าวันพรุ่งนี้ต้องกลับไปแล้ว”
ซิเล้งมีแววอันกระวนกระวาย แต่ไม่ยอมบ่งบอกว่าเป็นเรื่องราวประการใด
อุ้ยเซี่ยวย้งพลันกล่าวเสเรื่องว่า
“ขอบ่งบอกให้ซิเฮียรับทราบ ผู้น้องได้ส่งผู้คนไปสืบทราบร่องรอยของเนี่ยค๊กเตี่ยแล้ว พวกเราค่ำคืนนี้ไปพบพานมัน เป็นอย่างไร?”
นี่เป็นเรื่องราวสำคัญอย่างยิ่งยวด ซิเล้งพลันเบนเบือนความสนใจ ถามว่า
“ข่าวคราวนี้คงมิผิดพลาดกระมัง?”
“จะผิดพลาดได้อย่างไร เนี่ยค๊กเตี่ยเป็นบุคคลอันเด่นล้ำ และรู้จักวิชาฝีมือ รับรองว่ามิมีผู้คนอื่นที่มีนามประจวบเหมาะเช่นนี้เลย”
“ถ้าเช่นนั้นค่ำคืนนี้พวกเราจะเร่งรุดไป หากถึงคราจำเป็น ก็มีแต่ลงมือพิฆาตมัน”
อุ้ยเซี่ยวย้งสนับสนุนว่า
“ถูกต้อง นี่เรียกว่าลงมือก่อน จึงจะเข้มแข็งกว่า อย่าว่าแต่มันได้ฝึกปรือดาบพุทธไร้เทียมทานละเมิดข้อหวงห้ามของตระกูลเรา จนต้องประหารฆ่าทิ้ง มาตรมิเช่นนั้นมันเมื่อเป็นทายาทของหัตถ์อสนีบาตก็สมควรกำจัดไป และข้าพเจ้ามีความต้องการรับทราบอานุภาพวิชาดาบพุทธไร้เทียมทาน จึงขอเป็นฝ่ายหักล้างกับมันเอง”
ซิเล้งมิได้เกี่ยงงอนและตกลงนัดแนะกำหนดเวลาปฏิบัติการด้วย
พอถึงยามสองของค่ำคืน อุ้ยเซี่ยวย้งก็ผลักประตูเข้ามา
ท่ามกลางแสงโคมไฟที่สาดส่อง แลเห็นนางสวมชุดรัดกุม บนบ่าสะพายกระบี่ยาว ผมเผ้าที่เคยยาวสยายก็เกล้าเป็นมวยใช้ปิ่นทองเสียบเอาไว้ มีความงามผุดผาดบาดตายิ่งนัก
ส่วนซิเล้งยังคงสวมใส่ชุดยาว เพียงหยิบฉวยกระบี่ยาวมายึดถือ
อุ้ยเซี่ยวย้งกล่าวว่า
“เนี่ยคกเตี่ยเมื่อฝึกหัดหนึ่งในสามยอดวิชาในเจดีย์ทองคำ ข้าพเจ้าย่อมมิกล้าเลินเล่อดูแคลน”
ซิเล้งกล่าวอย่างหมกมุ่นว่า
“โบราณมีวลีว่า ยามพิฆาตราชสีห์ให้ทุ่มเทสุดกำลัง เวลาต่อสู้กระต่ายก็ใช้สุดกำลัง นับว่ามีเหตุผลยิ่ง และบุคคลผู้ใดหากยึดถืออุดมคตินี้ คาดว่าคงไม่พลาดพลั้งเสียทีเลย”
ทั้งสองออกจากประตูใหญ่ของคฤหาสน์ บนท้องถนนมีแต่ความมืดมิดไร้รองรอยผู้คน อุ้ยเซี่ยวย้งกระโดดปราดขึ้นไปบนหลังคาตึกก่อนเหยียบย่ำกระเบื้องพุ่งผ่านอย่างปราดเปรียว
ซิเล้งติดตามอยู่เบื้องหลังของนาง ยามเหลือบแลเงาหลังที่บอบบาง ก็บังเกิดความสะทกสะท้าน แต่มิทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด
มินานให้หลังก็มาถึงคฤหาสน์หลังหนึ่ง อุ้ยเซี่ยวย้งวาดมือเป็นเชิงชักชวน ละลิ่วพลิ้วลงไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาต่อมาทั้งสองก็ขึ้นไปยืนหยัดอยู่บนกำแพงตึกแห่งหนึ่ง
อุ้ยเซี่ยวย้งชี้มือไปที่ห้องหับในเขตตึกหลังหนึ่งเป็นเชิงบ่งบอกว่า นั่นคือห้องนอนของเนี่ยคกเตี่ย ซิเล้งรู้สึกว่าบริวารของนางมีความสามารถมิน้อย แม้แต่ห้องนอนของฝ่ายตรงข้ามก็สืบทราบได้
แลเห็นนางย่อเอวลงเล็กน้อย คิดจะพุ่งปราดลงไป ซิเล้งพลันคว้ากุมนางเอาไว้ ตนเพียงเกาะกุมต้นแขนของนาง แต่อุ้ยเซี่ยวย้งถึงกับแอบอิงร่างเข้ามา
ซิเล้งขมวดคิ้วเล็กน้อยคำนึงว่า
‘…ลางสังหรณ์นี้ รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง หรือว่านางมีจิตปฏิพัทธ์ต่อเราด้วย?…’
อุ้ยเซี่ยวย้งใช้วิชาส่งเสียงทางลมปราณกล่าวถามว่า
“ซิเฮีย ไฉนจึงขัดขวางการลงไปของข้าพเจ้าด้วย?”
ซิเล้งมิตอบคำ ย่อเอวลงฉกฉวยเศษอิฐก้อนหนึ่งสะบัดเหวี่ยงลงไปที่ลานตึก ได้ยินเสียงดังเพียะ รู้สึกว่ากังวานเป็นพิเศษเมื่ออยู่ในยามวิกาลดึกดื่น
ซิเล้งกับอุ้ยเซี่ยวย้งยืนหยัดอยู่บนกำแพงโดยมีเคลื่อนไหว ชั่วครู่ให้หลัง ม่านประตูห้องพลันถูกเลิกออก เงาร่างสายหนึ่งได้ถลันปราดออกมา พลิ้วกายที่ลานตึกอย่างไร้สุ้มเสียง
บุคคลผู้นั้นแหงนหน้าขึ้นสำรวจผู้คนบนกำแพง ซิเล้งกับอุ้ยเซี่ยวย้งก็มีปฏิกิริยาเฉกเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายห่างกันเพียงวาเศษ จึงต่างเห็นได้อย่างชัดเจน
แลเห็นบุคคลนั้นเป็นนักศึกษา ใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลาผู้หนึ่ง ในมือกระชับดาบยาว แผ่ประกายอันวาววับ
มันคาดว่าพอพบเห็นผู้ที่มาคือบุรุษสตรีที่สง่าสวยงามสองคน ก็รู้สึกพิศวงคลางแคลงใจ ชั่วครู่ค่อยกล่าวว่า
“ท่านทั้งสองเยี่ยมกรายมาในยามวิกาล มีกิจธุระประการใด?”
อุ้ยเซี่ยวย้งกล่าวอย่างเย็นชาว่า
“ท่านคงคือเนี่ยคกเตี่ย?”
นักศึกษาผู้นั้นกล่าวว่า
“เป็นเราเอง ขอรับทราบนามของท่านทั้งสอง”
“ขณะนี้โกวเนี้ยยังไม่บ่งบอก รอท่านจนใกล้จะสิ้นลมปราณ ค่อยประกาศให้รับทราบ”
เนี่ยคกเตี่ยมีประกายตาวูบวาบ เพ่งพินิจผู้ที่มารู้สึกว่าบุรุษหนุ่มคมคายผู้นั้น มีความสุขุมยากหยั่งคาดฝ่ายดรุณีงามมีถ้อยคารมที่อำมหิต มันจึงแค่นหัวร่ออย่างเย็นชา
ซิเล้งพลันกล่าวเบาๆ กับอุ้ยเซี่ยวย้งว่า
“รอให้ข้าพเจ้าพิสูจน์ทดสอบบุคคลผู้นี้แล้ว ท่านค่อยลงมือ…”
“แต่คราแรกได้ตกลงแล้วว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ลงมือ…”
“บัดนี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย รอจนข้าพเจ้าต้านรับมิได้ ท่านค่อยจัดการ”
“หากแม้นท่านมิใช่คู่มือข้าพเจ้าก็คงต้านรับมิได้”
ซิเล้งพลันพลิ้วกายลงบนพื้นดิน แต่ไม่ตะปบกระบี่ยาวออกมา สืบเท้าก้าวเข้าใกล้ฝ่ายตรงข้าม
เนี่ยคกเตี่ยขยับข้อมือเล็กน้อย ปลายดาบพลันจี้ใส่ฝ่ายตรงข้าม กระบวนท่านี้มาตรแม้นเป็นเพียงท่าคุ้มครองตน แต่ก็มีพลังดาบอันเย็นยะเยียบแผ่ซ่านออกครอบคลุมคู่ต่อสู้
ซิเล้งชะงักฝีเท้าลงกล่าวว่า
“บุคลิกกับท่าดาบของท่าน รู้สึกสูงล้ำยิ่งนัก คาดมิถึงว่าในกลุ่มนักศึกษาผู้คงแก่เรียน จะมีผู้ตรงฝีมือเฉกเช่นท่าน”
เนี่ยคกเตี่ยกล่าวว่า
“นักศึกษาอันอ่อนแอเช่นเรา ไหนเลยจะเปรียบเทียบกับท่านได้ เพียงมิทราบว่าท่านมีคำแนะนำประการใด?”
“หากแม้นข้าพเจ้ามีวาจาจะถามไถ่ ท่านยินยอมประทานคำตอบหรือไม่”
“นั่นต้องดูว่า ท่านจะถามไถ่เรื่องราวประเภทใด”
ซิเล้งกวาดสายตาไปรอบบริเวณกล่าวอย่างเฉื่อยชาว่า
“อาศัยศักดิ์ศรีของท่าน สมควรมีชาวทาสคอยรับใช้อยู่มิน้อย แต่พวกเราสนทนากันอยู่หลายประโยค ห้องหับข้างเคียงกลับปราศจากสุ้มเสียงผู้คน นี่ไยมิใช่เป็นสภาพการณ์อันพิสดารด้วย?”
“หรือว่าท่านเร่งรุดมาเพราะเรื่องนี้?”
“นี่เป็นสภาพการณ์ที่ไม่สอดคล้องกับเหตุผล ทำให้ข้าพเจ้าคาดคำนวณว่า ท่านแม้จะพำนักอยู่ในเมืองนี้ แต่ในด้านชาติกำเนิดคงมีความจำเป็นต้องปกปิดใช่หรือไม่?”
เนี่ยคกเตี่ยมีใบหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย แต่มิได้ตอบคำ
อุ้ยเซี่ยวย้งบนกำแพงตึกได้กล่าวว่า
“ซิเฮียมิอาจสืบทราบเรื่องราวใดๆ จากปากคำของมันหรอก ยังคงลงมือทดสอบดูเถอะ”
ซิเล้งกล่าวว่า
“มิผิด เกรงว่ามีแต่ลงมือแล้ว”
เนี่ยคกเตี่ยหัวร่อแค่นๆ กล่าวว่า
“นั่นก็ประเสริฐยิ่ง”
ในใจของมันกลับคิดว่า
‘… ชนชาวบู๊ลิ้มเหล่านี้ร้ายกาจยิ่งนัก เรากับมารดาหาหนทางหลบซ่อนมาถึงตัวเมืองเซ้งโตว ยังมิอาจสกัดหลุดพ้นจากการถูกไล่ล่าได้…’
พอฉุกคิดถึงตอนนี้ ก็บังเกิดเพลิงอำมหิตลุกฮือโหม รู้สึกว่าต้องทุ่มเทความสามารถที่ฝึกฝนมา สังหารผู้รุกรานไปให้หมดสิ้น
สมควรทราบว่า เนี่ยคกเตี่ยความจริงคือเนี่ยฮักปิง นับตั้งแต่บิดาของมันถึงแก่กรรม และประแจเจดีย์ทองคำที่ยึดครองแพร่งพรายสู่ภายนอก เนี่ยฮูหยินถึงกับขอความช่วยเหลือจากฉี้น่ำซัว ตระกูลเนี่ยก็ตกอยู่ในภาวะแวดล้อมอันน่าประหวั่นพรั่นพรึง
มันกับมารดาโยกย้ายไปที่เมืองเซียงเอี้ยง จากนั้นก็พากันมาที่เมืองเซ้งโตว เนี่ยฮักปิงเมื่อยามเยาว์ก็ดำรงชีวิตด้วยอารมณ์ที่หวั่นไหว แต่เพราะเหตุนี้มันนอกจากร่ำเรียนวิชาอักษรศาสตร์ ก็ฝึกปรือวิชาฝีมือด้วย
บัดนี้ซิเล้งได้อ้างอิงว่า ชาติกำเนิดของมันมีความจำเป็นต้องปกปิด กลับหลงกลอุบายอันชั่วร้ายของหัตถ์อสนีบาตเนี่ยฮง สำหรับกับเนี่ยค๊กเตี่ยเข้าใจว่าประแจแห่งเจดีย์ทองคำ ชักนำมาซึ่งมหันตภัย
แต่ซิเล้งกลับเข้าใจว่า ฝ่ายตรงข้ามเป็นบุตรของหัตถ์อสนีบาต ถูกกำชับมิให้แพร่งพรายชาติกำเนิด ความจริงแล้ว ซิเล้งเนื่องจากเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามมีความสงบเรียบร้อย จึงต้องการถามไถ่จนเข้าใจ
หากแม้นว่า เนี่ยค๊กเตี่ยหาใช่บุคคลอันชั่วร้ายมาตรแม้นว่ามันจะเป็นทายาทของอสนีบาต ก็ไม่ลงมือประทุษร้าย แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ สภาพการณ์ก็เริ่มดำเนินไปตามความมุ่งหมายอันชั่วช้าของเนี่ยฮง
ซิเล้งพลันกระชากกระบี่ออกมาดังควับใหญ่ สืบเท้าออกไปหนึ่งก้าว กล่าวอย่างเย็นชาว่า
“ท่านระวังด้วย”
กล่าวจบก็สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ลมปราณทั่วร่างทะลักเปี่ยมล้น เป็นสัญลักษณ์แสดงว่ากำลังจะใช้หกกระบวนท่ามหรรณพ ซึ่งเป็นวิชากระบี่ที่ฉับไวเกรี้ยวกราดยิ่งนัก
เนี่ยคกเตี่ยกลับยืนหยัดโดยปราศจากความหวั่นไหว ซิเล้งพลันกล่าวถามว่า
“ท่านมีกำลังขวัญเข้มแข็งยิ่งนัก เพียงแต่มิทราบว่าใต้คมดาบ เคยทำร้ายผู้คนถึงแก่ชีวิตบ้างหรือไม่?”
เนี่ยคกเตี่ยมีดวงตาสาดประกายเย็นยะเยียบ กล่าวว่า
“ย่อมต้องมี ดาบนี้เคยปลิดชีวิตผู้คนกว่าสามสิบคน แต่คมดาบไม่ได้รับความกระทบกระเทือน มิหนำซ้ำยังปราดเปรียวผิดสามัญ สามารถพุ่งออกจากฝักได้เอง”
ซิเล้งรับฟังจนบังเกิดเพลิงอำมหิตลุกฮือโหม เนี่ยค๊กเตี่ยในยามนี้กลับบังเกิดความฮึกเหิมเหี้ยมหาญ ห้วงสมองหวนนึกไปถึงเหตุการณ์ เมื่อเผชิญกับโจรปล้นสะดมเมื่อสองปีก่อน
คราครั้งนั้น มันเพิ่งสำแดงวิชาฝีมือปกป้องมารดารอดพ้นจากการถูกโจรร้ายสังหาร หลังจากที่มีปุถุชนจำนวนมากตกตายไปแล้ว และมันอาศัยดาบวิเศษปลิดชีวิตโจรร้าย เป็นจำนวนกว่าสามสิบคน
หลังจากนั้นมันก็หมกมุ่นฝึกปรือฝีมือและเพื่อมิให้แพร่งพรายสู่ภายนอก จึงขับไล่บ่าวทาสไปที่แห่งอื่น พำนักอยู่ในตึกเพียงลำพัง
บัดนี้พอหวนนึกถึงความหลัง ก็บังเกิดความฮึกเหิมห้าวหาญ พลังที่แผ่จากดาบยาวยิ่งเกรี้ยวกราดอำมหิต
ซิเล้งมาตรแม้นยังสามารถต้านรับเอาไว้ แต่ก็อกสั่นขวัญสะท้านวิญญาณมิได้ ผนึกลมปราณจนสุดตัว ตระเตรียมจู่โจมอย่างเกรี้ยวกราด ปากก็ร้องดังๆ ต่ออุ้ยเซี่ยวย้งว่า
“วิชากระบี่ของบุคคลนี้ ได้รับการถ่ายทอดอย่างแท้จริง พลังดาบจึงเย็นยะเยียบเป็นพิเศษ บัดนี้ข้าพเจ้าจะทดสอบว่า ท่าดาบของมัน มีความร้ายกาจอย่างไร?”
ตนรั้งกระบี่ยาวขึ้น สภาวะกราดเกรี้ยวผิดสามัญ กำลังคิดจะใช้หกกระบวนท่ามหรรณพ พลันฉุกใจได้คิด ผนึกลมปราณเปลี่ยนแปลงท่ากระบี่
กระบี่ยาวของซิเล้งพลันเสือกแทงออกไปเบื้องหน้าอย่างปราดเปรียวสง่างาม วิชาท่าทางธรรมดาสามัญ ความเร็วก็ไม่ว่องไวเท่าใดนัก
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป