๔๖
♦ บรรพชิตผู้เยี่ยมยอด ♦
……………
เลี่ยวอ้วงสะท้านใจอย่างรุนแรง รีบใช้เบาะกลมเข้าต้านรับ หาคาดไม่ว่าท่ากระบี่ของซิเล้งพอเริ่มต้น กระบี่ยาวก็กรีดเป็นประกายดั่งสายรุ้งอันเจิดจ้า
พลังกระบี่พอคุกคามมาถึงเบื้องบนศีรษะของเลี่ยวอ้วง ความเกรี้ยวกราดเย็นยะเยียบ รุนแรงจนสามารถทำให้ตลอดเรือนร่างของผู้คนแข็งตัว และแตกตื่นจนตกตายไป
สภาพเช่นนี้ เลี่ยวอ้วงไหนเลยจะต้านรับไว้ได้ ถึงกับถอยกรูดเป็นพัลวัน
ซิเล้งรีบชะลอสภาวะเล็กน้อย จากนั้นก็ถลันกายเข้าไปในประตูรูปดวงเดือน แล้วจึงห้อยกระบี่ยาวลงต่ำกล่าวว่า
“เซี่ยวซือแป๋ ครั้งที่สองนี้ข้าพเจ้าประสบผลอย่างโชคช่วย เพียงแต่มิทราบว่าจะนับได้หรือไม่?”
เลี่ยวอ้วงกล่าวว่า
“สามารถ…นับได้ อาตมาจะไปน้อมเรียนต่อซือแป๋เฒ่า”
กล่าวจบก็หันกายวิ่งตะบึงไปอย่างเร่งร้อน ซิเล้งเบือนสายตาสำรวจดู แลเห็นภายในประตูรูปดวงเดือนเป็นตัวตึกโล่งแจ้งแถบใหญ่อาณาบริเวณกว้างขวาง ปลูกต้นไผ่มรกตจำนวนสุดคณานับ
ทางอันกว้างขวางปูลาดด้วยอิฐแดงสายใหญ่ ได้ตัดสร้างจนถึงด้านในของดงไผ่ ดังนั้นจึงมิอาจทราบว่าในดงไผ่มีสภาพการณ์อย่างไร
อุ้ยเอี้ยงได้เดินเหินเข้ามา ซิเล้งเบือนศีรษะเหลือบมองมันวูบหนึ่งแลเห็นมันมีสีหน้าลิงโลด ฝีเท้าคล่องแคล่วประกายเจิดจ้าดั่งเดิม
ซิเล้งกล่าวอย่างสงสัยใจว่า
“อุ้ยเอี้ยงได้ฟื้นฟูเป็นปรกติแล้ว?”
อุ้ยเอี้ยงกล่าวว่า
“โบราณมีวลีว่า ผู้คนพบพานเรื่องราวลิงโลดสติก็แจ่มใส เราแม้มิได้ฟื้นฟูพลังฝีมือดังเดิม แต่ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อครู่นี้มากมายนัก”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าแม้คิดหลบหนี ก็มีแน่นักว่าจะกระทำได้เลย?”
“ซิเฮียต้องการรับฟังวาจาที่แท้จริง หรือหลอกลวง?”
ซิเล้งกล่าวอย่างพิศวงว่า
“ย่อมต้องการรับฟังวาจาอันแท้จริง”
อุ้ยเอี้ยงจึงกล่าวว่า
“เราในขณะนี้ ยังไม่สามารถขัดขวางซิเฮียเอาไว้”
ซิเล้งในยามนี้ เพิ่งเข้าใจสาเหตุที่ฝ่ายตรงข้ามถามไถ่วาจาข้างต้น ทั้งนี้ก็เพราะซิเล้งในเมื่อแสดงว่าต้องการแต่ความจริง ก็มิอาจฉกฉวยโอกาสขณะที่ผู้คนมีสภาพไม่ปรกติ
แน่นอน พฤติการดังว่า ย่อมครอบคลุมแต่บุคคลที่ยึดมั่นคุณธรรมอันดีงาม หากแม้นเป็นชนชั้นชั่วร้าย ก็ไม่มีคุณค่าความหมาย
ซิเล้งความจริงมิมีแผนการหลบหนีจากเงื้อมหัตถ์ของมัน จึงมิขบคิดให้มากความกล่าวว่า
“พวเราจะเข้าไปหรือไม่?”
“รออีกสักครู่หนึ่ง ท่านไต้ซือย่อมมีคำสั่งเรียกหา”
ซิเล้งส่งเสียงกล่าวว่า
“เมื่อครู่นี้รับฟังจากวาจาของอุ้ยเฮีย จับฮึงไต้ซือท่านนั้นคล้ายดั่งมีความสัมพันธ์กับท่านด้วย?”
อุ้ยเอี้ยงผงกศีรษะกล่าวว่า
“หากมิใช่ผู้สนิทชิดใกล้ เราจะบากบั่นมาขอน้อมพบมันไปไยกัน?”
ซิเล้งรู้สึกว่า คำตอบของมันนี้ ปราศจากเหตุผลเสียเลย หากแม้นคิดเพียงอาศัยวาจาประโยคนี้ ก็ไม่อาจคำนวณเบาะแสใดๆ ดังนั้นจึงรอดูเหตุการณ์ต่อไป
สำเนียงฝีเท้าก้าวเดิน ทำให้พวกซิเล้งทั้งสองจับจ้องมองไป แลเห็นเลี่ยวอ้วงเดินเหินออกจากดงต้นไผ่ มันกล่าวอย่างหมกมุ่นว่า
ซือแป๋เฒ่ามีคำถ่ายทอดมาว่า ขอเพียงแต่ท่านทั้งสองผู้หนึ่งผู้ใดทะลวงผ่านเจ๊าะเช้งก่ำ (ประตูไร้ไมตรี) ได้ ท่านผู้เฒ่าย่อมจะออกมาพบหน้าประสกทั้งสอง”
ซิเล้งรู้สึกคลางแคลงใจ มิทราบว่าอะไรคือประตูไร้ไมตรี ได้ยินอุ้ยเอี้ยงถามว่า
“ประตูไร้ไมตรีนั้น มีสภาพอย่างไร?”
ซิเล้งเพิ่งล่วงรู้ว่า แม้กระทั่งอุ้ยเอี้ยงก็มิทราบด้วย แลเห็นเลี่ยวอ้วงเกาศีรษะกล่าวว่า
“ซือแป๋เฒ่ามีวาจาไถ่ทอดเช่นนี้ อาตมาก็มาน้อมเรียนโดยมิผิดพลาด”
อุ้ยเอี้ยงกล่าวว่า
“หรือว่าเซี่ยวซือแป๋ก็มิรู้ซึ้งด้วย?”
“อาตมามิเคยพบเห็นตำแหน่งใดมีประตูที่เรียกว่า แต่ก่อนที่ประสกทั้งสองจะเร่งรุดไป อาจจะปรากฏขึ้นก็ได้”
อุ้ยเอี้ยงยื่นมือออกมาเกาะกุมต้นแขนของซิเล้ง กล่าวว่า
“เอาเถอะ พวกเราไปดูกัน อา ในเมื่อเรียกว่าประตูไร้ไมตรีย่อมยากที่จะทะลวงฝ่า…”
ซิเล้งกลับเป็นฝ่ายปลอบโยนว่า
“พวกเราต้องดูกันแล้วค่อยว่ากล่าว แม้ว่ามีนามไร้ไมตรี ความจริงอาจจะมีไมตรีอนุโลม”
ทั้งสองติดตามเลี่ยวอ้วง เดินเหินไปตามทางอิฐสีแดง อ้อมมุมดงไผ่ พลันเหลือบแลเห็นที่ห่างไกลไปสองวา มีรั้วล้อมอยู่แห่งหนึ่ง ระหว่างกลางปรากฏช่องว่างรอยแตก กว้างประมาณวาครึ่ง
รั้วที่โอบล้อมนั้น จัดสร้างขึ้นโดยใช้ต้นไผ่เตี้ยๆ มีความสูงเสียสามสี่เชียะ แต่กลับเรียงรายจนมีความหนาสองเชียะ และแม้ว่าไม่มีช่องว่างแห่งนั้น ผู้คนธรรมดาก็จะพุ่งข้ามไปอย่างง่ายดาย
ในรั้วมีพื้นที่ว่างเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสผืนหนึ่ง กว้างยาวข้างละครึ่ง หลังจากนั้นเป็นห้องศิลาหลังหนึ่ง ประตูห้องหันมาทางช่องว่างของรั้วล้อม แต่จัดสร้างม่านไม้ไผ่ห้อยปกปิด
เนื่องจากด้านแสงสว่างมีจำกัด ดังนั้นบุคคลภายนอกแม้มีสายตากล้าแข็ง ก็ไม่สามารถมองทะลุเข้าไปในห้อง แต่ผู้คนที่อาศัยอยู่ภายใน จะสังเกตเห็นสภาพการณ์ด้านนอกได้
เลี่ยวอ้วงชะงักเท้าอยู่ที่หน้าช่องว่าง ร้องดังๆ ว่า
“น้อมเรียนซือแป๋เฒ่า ประสกทั้งสองได้นำพามาถึงแล้ว”
ซิเล้งรู้สึกว่า อุ้ยเอี้ยงพลันเบียดชิดเข้ามา คล้ายดั่งบังเกิดความประหวั่นคร้ามเกรงอย่างกระทันหัน ดังนั้นจึงกล่าวเบาๆ ว่า
“มิต้องแตกตื่น มาตรแม้นว่ามีอุปสรรคอย่างใหญ่หลวง แต่พวกเราสามารถต้านรับอย่างระมัดระวัง”
ความจริงแล้ว ซิเล้งการที่เหยียบย่ำเข้ามาในอาณาบริเวณแถบนี้ เวลาเริ่มต้นหาได้ล่วงรู้ถึงจุดประสงค์มุ่งหมายของอุ้ยเอี้ยงไม่ จวบจนบัดนี้ซิเล้งยังรู้สึกพิศวงสงสัยจนอัดอก
เพียงแต่ว่าพฤติการณ์ของอุ้ยเอี้ยงคราครั้งนี้ ย่อมต้องมีส่วนสัมพันธ์อย่างใหญ่หลวง
ขณะนั้นเอง ภายในห้องศิลาได้แว่วสำเนียงสรรเสริญพระคุณ ต่อจากนั้นสุ้มเสียงอันชราภาพก็ดังขึ้นว่า
“เรื่องราวในใต้หล้า หากอาศัยทัศนคติและวิธีการธรรมดาสามัญ จะมีจำนวนมากที่ไม่อาจกระทำสำเร็จลุล่วง!…วาจานี้พวกท่านจะเชื่อถือหรือไม่ก็วินิจฉัยเอง”
ซิเล้งสะท้านใจอย่างรุนแรง คำนึงขึ้นว่า
“…บุคคลที่เอื้อนเอ่ยขึ้น ย่อมต้องเป็นจับฮึงไต้ซือ (หลวงจีนทศทิศ) แล้ว มันมาตรแม้นจะนั่งอยู่หลังม่านไผ่ตรงหน้าประตู ก็ยังห่างจากที่นี่ถึงสองวา แต่สามารถได้ยินวาจาของเรา แสดงว่าความสำเร็จในวิชาฝีมือของมัน บรรลุถึงขั้นสูงล้ำทัดเทียมเทพยดาทีเดียว!…”
ขณะครุ่นคิดอยู่นั้น อุ้ยเอี้ยงได้กล่าวว่า
“มาตรแม้นเป็นเช่นนั้น แต่พวกเราเมื่ออยู่ในใต้หล้า ก็ย่อมมีแต่ทุ่มเทความนึกคิดกระทำอย่างสุดความสามารถ ไต้ซือว่าใช่หรือไม่?”
จับฮึงไต้ซือที่หลังม่านไผ่ ซึ่งประดับอยู่หน้าประตู ได้กล่าวอย่างแช่มช้าว่า
“พวกเจ้าในเมื่อไม่มีความนึกคิดที่หลุดพ้นจากโลกีย์วิสัย อาตมาพร่ำอธิบายก็ไม่มีประโยชน์ เลี่ยวอ้วงเจ้าเข้ามา”
เลี่ยวอ้วงวิ่งตะบึงเข้าไป ขณะอยู่ที่หน้าประตูได้คอยรับฟังวาจากระซิบของจับฮึงไต้ซือ
ซิเล้งกลับครุ่นคิดว่า
“…อุ้ยเอี้ยงกับจับฮึงไต้ซือ มิทราบว่ามีความสัมพันธ์อย่างไร? มันเมื่อครู่นี้ ขณะเอื้อนเอ่ยวาจากับหลวงจีนเฒ่า สุ้มเสียงนุ่มนวลยิ่งนัก หากแม้นผู้คนแลเห็นมัน รับฟัง แต่เพียงสำเนียง ย่อมเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นอิสตรี…”
พลันเหลือบแลเห็นเลี่ยวอ้วงได้จากไปอย่างเร่งรีบและแล้วก็หวนกลับมา ในมือถือไม้ไผ่ลำยาวเหยียดท่อนหนึ่ง มีความยาวเชียะครึ่ง วิ่งตะบึงมาถึงหน้าประตู
หลังประตูที่ประดับด้วยม่านไผ่ ปรากฏฝ่ามือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากชายจีวรอันกว้างขวาง ทำให้ปกปิดนิ้วมือเอาไว้ ฝ่ามือนั้นรับต้นไผ่เอาไว้ยื่นออกไปเบื้องหน้า ปลายต้นไผ่ประจวบเหมาะกับมาถึงช่องว่างของรั้วกั้น
เลี่ยวอ้วงได้ล่าถอยไป สำเนียงของจับฮึงไต้ซือดังแว่วมาว่า
“ช่องว่างของรั้วล้อมนี้ ก็คือประตูไร้ไมตรี”
ซิเล้ง อุ้ยเอี้ยง ทั้งสองก้มศีรษะมองไป ไหนเลยจะมีประตูจัดสร้างอยู่ แต่ทั้งสองเข้าใจว่า ฝ่ายตรงข้ามย่อมมีการอธิบายประกอบเพิ่มเติม
จริงดังคาดหมาย จับฮึงไต้ซือกล่าวอีกว่า
“พวกท่านมิว่าหนึ่งผู้ใด ขอเพียงแต่ฝ่าประตูไร้ไมตรีนี้ อาตมาก็จะเลิกม่านออกพบพาน หากแม้นไม่สามารถผ่านได้ ก็กลับไปฝึกฝนอีก รอจนเชื่อมั่นค่อยทดสอบ”
ซิเล้งกล่าวเสริมว่า
“ไต้ซือหมายความว่า พวกเราขอเพียงแต่บุกฝ่าเข้าไปในรั้วกั้นก็สามารถกราบพบท่าน”
“มิผิด แต่ประตูนี้มีนามว่าไร้ไมตรี มีเจตนาก็แจ่มชัดคาดว่าอาตมามิต้องบ่งบอกให้มากความ”
ซิเล้งเลิกคิ้วอันเรียวงาม บังเกิดความฮึกเหิมองอาจ จนเปี่ยมล้นคำนึงขึ้นว่า
“…ช่องว่างที่มีความกว้างเช่นนี้ ฝ่ายตรงข้ามอาศัยไม้ไผ่เพียงท่อนเดียว และอยู่หลังประตูที่ห้อยม่าน ยามเคลื่อนไหวไม่สะดวก พวกเราไหนเลยจะบุกฝ่าเข้าไปมิได้?…”
ดังนั้น จึงอดมิได้ต้องหัวร่อเบาๆ กล่าวว่า
“ไต้ซือคิดจะอาศัยต้นไผ่นี้ ขัดขวางบุคคลที่ฝ่าด่านหรอกหรือ”
จับฮึงไต้ซือ กล่าวว่า
“ถูกต้อง อาตมาเพียงแสดงแขนข้างหนึ่งออกไปภายนอก ยึดถือต้นไผ่ปิดสกัดด่าน พวกท่านมาตรแม้นมิอาจบุกฝ่าประตูบานนี้ แต่สามารถบีบบังคับจนอาตมาต้องเลิกม่านหรือเดินเหินออกจากห้อง ก็นับว่าพวกท่านได้ฝ่าผ่านเข้ามา”
ซิเล้งเบือนศีรษะมองไปทางอุ้ยเอี้ยง ประกายสายตาของทั้งสองพอประสานสบกัน กลับแลเห็นอุ้ยเอี้ยง มีท่วงท่าหมกมุ่นกังวล กล่าวว่า
“พวกเราไม่อาจฝ่าด่านนี้ไปได้เลย!”
ซิเล้งมิยินยอมพร้อมใจ กล่าวเบาๆ ว่า
“นั่นกลับมิแน่นัก พวกเรากระทำอย่างสุดความสามารถ เชื่อมั่นว่าย่อมมีโอกาส”
อุ้ยเอี้ยงสั่นศีรษะ กล่าวว่า
“ท่านอย่าได้เห็นว่า ต้นไผ่ยาวเกินไป ท่านไต้ซือก็มิสามารถออกจากห้องโลดแล่นเคลื่อนไหว ก็เข้าใจว่าไม่ยากลำบากต่อการฝ่าผ่าน ความจริงในความคิดเห็นของมัน ต้นไผ่นี้ก็เทียบเท่ากับกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง! ความยาวสั้นไม่เป็นปัญหาเลย!
ยังมีช่องว่างของรั้วล้อมนี้ มาตรแม้นกว้างกว่าหนึ่งวาขึ้นไป แต่ในสายตาของท่านผู้เฒ่า เปรียบประดุจประตูบานที่คับแคบอย่างสุดแสน”
ซิเล้งกล่าวว่า
“ท่านหมายความว่าสภาพการณ์ที่ข้าพเจ้าเห็นว่ามีเปรียบถึงสองประการ ความจริงมิอาจเอารัดเอาเปรียบได้เลย ใช่หรือไม่?”
“มิผิด พวกเราไม่สามารถผ่านด่านนี้อย่างแน่นอน”
ซิเล้งหัวร่อเบาๆ กล่าวว่า
“ข้าพเจ้าจะลองทดสอบดู”
อุ้ยเอี้ยงเอื้อนเอ่ยว่า
“ท่านต้องระมัดระวัง อย่าได้กระทำอย่างแข็งขืนความสามารถตัวเอง…”
“ข้าพเจ้าย่อมสามารถระวัง”
ต่อจากนั้นจึงร้องดังๆ ว่า
“ไต้ซือโปรดเตรียมตัว ผู้เยาว์จะลงมือแล้ว”
จังฮึงไต้ซือกล่าวว่า
“ประสกเชิญได้”
ซิเล้งมิลังเลอีกต่อไป กระชับกุมกระบี่ยาว สาวเท้าก้าวไปที่ช่องว่างแห่งนั้น ฝีเท้าของตนเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว บุคลิกเหี้ยมหาญองอาจเพียงการแสดงออกเช่นนี้ ก็ทราบได้ว่าเป็นผู้ทรงฝีมือแห่งยุค
จับฮึงไต้ซือกล่าวว่า
“โอมมณีตัสสะ ที่แท้ประสกคือยอดฝีมือแห่งบู๊ลิ้ม มิน่าเล่าจึงมีความเชื่อมั่นว่า สามารถฝ่าด่านนี้ แต่อาตมาขอตักเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ด่านนี้เรียกว่าประตูไร้ไมตรีมีความหมายลึกล้ำ ประสกต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มาก”
ซิเล้งกล่าวว่า
“ขอบพระคุณในคำแนะนำของไต้ซือ”
ขณะกล่าววาจาก็สืบเท้าก้าวเข้าไปในช่องว่างของรั้วล้อมทันที
ทันใดนั้น ไม้ไผ่ลำยาวเหยียดที่ยื่นขวางอยู่ พลันพุ่งออกมาอย่างตรงๆ จี้เข้าใส่จุดชีวิตบริเวณส่วนกลางของร่างกาย เสือกแทงเข้าหาซิเล้งอย่างมิรวดเร็วแต่ก็ไม่เชื่องช้า
ในยามนี้ ดูอย่างผิวเผิน ซิเล้งขอเพียงแต่ทุ่มเทวิชาเปลี่ยนแปลงตำแหน่งท่าร่าง สะอึกปราดเข้าไปทั้งสองด้านอย่างรวดเร็ว ก็สามารถประสบผลได้
คาดมิถึงว่า ซิเล้งเพียงแต่ไม่ชิงล่วงล้ำเข้าไป กระทั่งความคิดสะบัดกระบี่ปัดป้อง ก็ไม่อาจกระทำได้ พลันถอยปราดออกมาทางด้านนอก
จับฮึงไต้ซือส่งเสียงดังมาว่า
“ประสกคงทราบแล้วว่า ประตูไร้ไมตรีนี้มิง่ายดายต่อการฝ่าเข้ากระมัง?”
ซิเล้งเบือนหน้าไปทางอุ้ยเอี้ยงอย่างตื่นเต้นพิศวง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า
“กระบวนท่านี้ร้ายกาจยิ่งนัก!”
อุ้ยเอี้ยงกล่าวขึ้นว่า
“กระบวนท่านี้เรียกว่า ซุ่ยฮวงเจี่ยยิก (สุริยนสาดส่องหล้า) มิว่าจะเป็นบุคคลที่มีพลังการฝึกปรืออันสูงล้ำอย่างไร ก็มีแต่หนทางล่าถอยเพียงประการเดียว
ซิเล้งขมวดคิ้วทั้งสองข้างกล่าวว่า
“ท่านก็รู้จักเพลงกระบี่ของจับฮึงไต้ซือด้วย?”
“นี่เป็นวิชากระบี่ประจำตระกูลอุ้ยของเรา ไหนเลยจะไม่รู้จัก?!”
ซิเล้งพอได้ยินคำตอบข้อนี้ ก็บังเกิดชมปริศนาพัวพันจิตใจอย่างซับซ้อน แต่สถานการณ์เฉพาะหน้าทำให้มิสามารถซักไซ้ไล่เลียงหลังจากครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย จึงกล่าวว่า
“จับฮึงไต้ซือเพียงอาศัยกระบวนท่านี้ ก็สามารถปิดสกัดปากทางเข้าเอาไว้ หากคิดจะคลี่คลายสลาย มีแต่จู่โจมอย่างพิสดารเสี่ยงอันตราย”
อุ้ยเอี้ยงมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป กล่าวว่า
“ท่านมิอาจเสี่ยงอันตรายอย่างบ้าบิ่น โดยเด็ดขาด…”
“มิเป็นไร ข้าพเจ้าได้วางแผนการไว้แล้ว”
อุ้ยเอี้ยงรีบกล่าวว่า
“ช้าก่อน…”
ซิเล้งหยุดชะงักอิริยาบถที่กำลังจะสืบเท้าออก ถามว่า
“เรื่องอันใด?”
“ท่านหากครุ่นคิดหาหนทางต้านรับได้แล้ว ก็ไยมิลองชมสภาพการณ์ดู พิสูจน์ว่าวาจาของเรามีเหตุผลหรือไม่? ท่านยืมกระบี่ให้กับเราด้วย”
ซิเล้งมิทราบว่า มันมีเล่ห์เหลี่ยมลวดลายอันใด แต่ก็ยืนส่งกระบี่ให้
อุ้ยเอี้ยงรีบโถมปราดไปที่ช่องว่างของรั้วล้อมแห่งนั้นอย่างรวดเร็ว มันบุกฝ่าหักโหมอย่างตรงๆ จึงเผชิญกับกระบวนท่าเฉกเช่นเมื่อครู่นี้
แลเห็นกระบี่ยาวของมันฟาดซ้ายป่ายขวา อึดใจเดียวก็ทุ่มเทเพลิงกระบี่หกเจ็ดกระบวนท่า พร้อมกับนั้นก็ใช้วิชาท่าร่างอันพลิกแพลงพิสดาร หมายจะบุกทะลวงเข้าไปจากทางซ้ายขวา
แต่ทว่าไม้ไผ่ลำยาวเหยียดของจับฮึงไต้ซือ ทุกครั้งคราที่กวัดแกว่งเคลื่อนไหว เพียงอาศัยกระบวนท่าดังเดิม ก็สามารถต้านทางภาวะจู่โจมทุกประการของอุ้ยเอี้ยง ในที่สุดยังบีบบังคับมันจนล่าถอยกลับมา
อุ้ยเอี้ยงหอบหายใจกล่าวว่า
ท่านก็แลเห็นแล้ว ความคิดที่จะทำลายกระบวนท่าสุริยันสาดส่องหล้าของมัน ฉวยโอกาสฝ่าเข้าไป เกรงว่ามีแต่วิธีการเท่าที่เราแสดงออก จึงรู้สึกว่าพอจะมีความหวัง แต่เรายังพ่ายแพ้”
ซิเล้งหัวร่ออย่างเฉื่อยชา กล่าวว่า
“ข้าพเจ้ายังต้องการทดสอบสักคราหนึ่ง”
อุ้ยเอี้ยงเพียงแต่ต้องการให้ซิเล้งเข้าใจถึงความร้ายกาจ อย่าได้บุกทะลวงอย่างวู่วามจนประสบอันตราย ดังนั้นในยามนี้จึงส่งกระบี่ยาวคืนให้
ซิเล้งก้าวยาวๆ เข้าไป พอไม้ไผ่ลำยาวเสือกแทงมาทางด้านหน้าก็แฉลบเลี่ยงไปทางขวามือ ไม้ไผ่ก็เคลื่อนย้ายตามติด ยังคงควบคุมจุดอันตรายบริเวณร่างท่อนกลาง
ในพริบตานั้น ซิเล้งพลันพลิกกาย กระบี่ยาวปาดไปเบื้องหลัง เนื่องจากตนได้หันกาย ดังนั้นกระบี่นี้จึงฟาดใส่ไม้ไผ่ยาว
พร้อมกับนั้น ตนความจริงได้เคลื่อนร่างมาทางขวามือ ดังนั้นการหันกาย พลิกข้อมือ ปาดกระบี่จึงเป็นสภาวะที่สะดวกมิติดขัด และท่ากระบี่ได้ใช้วิชาในหกกระบวนท่ามหรรณพ
คราครั้งนี้ ความเกรี้ยวกราดของอานุภาพ สุดที่จะประมาณต้านทานได้ แลเห็นประกายกระบี่สาดกระจายอย่างดุร้าย ม้วนตลบกระแทกจนไม้ไผ่สั่นสะเทือนเล็กน้อย
ซิเล้งความจริงคิดจะฉกฉวยโอกาสครั้งนี้ พลิกร่างโถมเข้าไปแต่ตนกลับกระโดดปราดออก พลิ้วร่างลงที่ข้างกายของอุ้ยเอี้ยง หอบหายใจอยู่ตลอดเวลา ในยามกะทันหันมิอาจเอื้อนเอ่ยวาจา
อุ้ยเอี้ยงยื่นมือออกนวดเฟ้นและตบบริเวณกลางหลังของซิเล้งใช้วิธีเร่งเร้าโลหิตถ่ายเทสะดวก เพื่อช่วยให้ฟื้นฟูเป็นปรกติ ชั่วครู่ต่อมา ซิเล้งก็ไม่หอบหายใจอีก
อุ้ยเอี้ยงกล่าวว่า
“กระบี่ของท่านนี้ รู้สึกแกร่งกร้าวรุนแรงอย่างสุดแสน มีโอกาสเกือบจะฝ่าด่านได้จริง… อา ท่านคงต้องเสื่อมสูญพละกำลังไปมิน้อยเลย”
ซิเล้งส่งเสียงกล่าวว่า
“มิปิดบังอำพราง มาตรแม้นว่าในขณะนั้นมีช่องว่างรอยโหว่อยู่เล็กน้อย แต่ทว่าบนไม้ไผ่ยาวของจับฮึงไต้ซือ ได้แผ่ทะลักพลังอันเกรี้ยวกราดกระแสหนึ่งปิดสกัดช่องโหว่นั้นจนรัดกุม ความจริงแล้วไม่มีทางทะลวงผ่าน”
อุ้ยเอี้ยงผงกศีรษะกล่าวว่า
“เพลงกระบี่ประจำตระกูลเราเป็นเช่นนี้จริง…”
“ข้าพเจ้ายังเข้าใจว่า สาเหตุเนื่องมาจากพลังฝีมือของข้าพเจ้ามิได้ฟื้นฟูโดยสิ้นเชิง หากแม้นมีวันเวลาฝึกฝนฝีมือ และขบคิดใคร่ครวญ เชื่อมั่นว่าสามารถฝ่าด่านไป”
จับฮึงไต้ซือพลันส่งสำเนียงขึ้นกล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้นท่านก็ลองทดสอบอีก มิว่าอย่างไรอาตมาอาศัยอยู่ที่นี้ตลอดกาล ยินดีรอรับคำแนะนำอยู่ทุกโอกาส”
ซิเล้งเบิ่งตาขึ้น บังเกิดความฮึกเหิมทะเยอทะยาน สีหน้ามีแววอันกล้าหาญ อย่างที่ผู้คนมิกล้าดูแคลน อุ้ยเอี้ยงถึงกับจับจ้องจนตะลึงลานไป
แต่แล้ว ตนก็อ่อนระโหยลง ถอนหายใจเบาๆ หาได้ส่งเสียงตอบโต้ไม่
อุ้ยเอี้ยงทุ่มเทสมาธิสังเกตสนใจซิเล้ง เกี่ยวกับอิริยาบถของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งฟื้นฟูสู่ความทอดอาลัยรู้สึกเสียใจเป็นที่ยิ่ง
ได้ยินจับฮึงไต้ซือกล่าวว่า
“พวกท่านหากทราบซึ้งถึงอุปสรรค คิดล่าถอยไป อาตมาก็มิร่วมสนองแล้ว”
อุ้ยเอี้ยงเบือนศีรษะไปจับจ้องห้องศิลาอย่างอาลัยอาวรณ์อยู่ครู่ใหญ่ แล้วจึงฉุดลากต้นแขนของซิเล้งกล่าวว่า
“ไปกันเถอะ พวกเราจะต้องปรึกษากันอีกสักคราหนึ่ง”
ทั้งสองออกจากวัดโบราณน่ำไท้ยี่ อุ้ยเอี้ยงเริ่มฟื้นฟูเป็นปรกติ แต่ซิเล้งกลับยิ่งมีท่วงท้าท้อแท้ เดินเหินอย่างเงียบงัน มิทราบว่าครุ่นคิดคำนึงถึงเรื่องราวอันใด
อุ้ยเอี้ยงรอคอยอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวเบาๆ ว่า
“ซิเล้งเฮีย เราเมื่อครู่นี้แลเห็นท่านแสดงบุคลิกของชายชาติชาตรี ทอดสายตาไปทั่วใต้หล้า มิมีผู้ใดสามารถเทียบเทียมเปรียบเปรยกับท่าน คราก่อนท่านเป็นเช่นนี้หรอกหรือ?”
ซิเล้งส่งเสียงดังอือม์อย่างกระตือรือร้น อุ้ยเอี้ยงกล่าวอีกว่า
“มิน่าเล่า ดรุณีที่สูงล้ำเยี่ยมยอดเฉกเช่นฉี้อิง ก็ยังฝากฝังดวงใจต่อท่าน”
มันพอพาดพิงถึงฉี้อิง ซิเล้งพลันรู้สึกเจ็บแปลบปลาบในใจแหงนหน้าถอนหายใจยาวๆ
อุ้ยเอี้ยงครุ่นคิดขึ้นว่า
‘…มันคราก่อนไม่รู้จักทอดถอนหายใจเลย แสดงว่าในยามนั้นจิตใจได้ตายด้าน มิมีความรู้สึกใดๆ บัดนี้อย่างน้อยก็ฟื้นฟูเล็กน้อย จึงรู้ซึ้งถึงรสชาติของความเจ็บช้ำใจ…’
มันเพราะเหตุนี้ ทำให้รู้สึกปีติลิงโลด แต่ตัวเองมิได้คาดคิดว่า
“ซิเฮีย ตามการสันนิษฐานของท่าน จับฮึงไต้ซือมีความสำเร็จถึงขั้นใด?”
ภวังค์ความคิดของซิเล้ง ได้หมกมุ่นไปที่วิชาฝีมือโดยมิรู้สึกตัว จนลืมเลือนความในใจที่อัดอกชั่วคราว ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวอย่างแช่มช้าว่า
“พลังฝีมือของฮึงไต้ซือได้บรรลุขั้นสูงสุดยอด อุ้ยเฮียมีความมุ่งหวังขอเข้าพบ แต่มาตรแม้นว่าจะฝึกฝนอีกชั่วชีวิต ก็อย่าได้คาดหวังว่า จะผ่านประตูไร้ไมตรีเลย”
อุ้ยเอี้ยงกล่าวอย่างผิดหวังว่า
“วาจานี้เป็นความจริง อา ถ้าเช่นนั้นในใต้หล้า ยังมีผู้ใดสามารถผ่านได้อีก?”
ซิเล้งตอบเสียงเนิบนาบว่า
“หามีไม่ ในใต้หล้ามิมีผู้ใดสามารถฝ่าด่านนี้”
ขณะเอื้อนเอ่ย ประกายสายตาของตนก็เบือนไปที่ใบหน้าของอุ้ยเอี้ยง แลเห็นหว่างคิ้วของมันแสดงความหมกมุ่นกังวลอย่างลึกซึ้ง แต่ทว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ กลับทำให้มันคมคายน่าดูยิ่งขึ้น
ซิเล้งนับเป็นครั้งแรกที่สังเกตบุคคลผู้นี้โดยละเอียด หลายวันที่ผ่านมา ตนมิใช่ไม่ได้เหลือบแลมัน แต่ทว่ารอยประทับเปรียบประดุจวิหคโบยบินผ่านนภากาศพอพ้นไปแล้วก็มิหวนรำลึกอีก
จวบจนบัดนี้ ซิเล้งเพิ่งฟื้นฟูพลังฝีมือส่วนหนึ่ง จิตสำนึกก็ไม่ตายด้านดั่งเก่าก่อน ดังนั้นขณะนี้เกี่ยวกับรูปโฉมของอุ้ยเอี้ยงจึงมีรอยประทับอันแท้จริง
ความรู้สึกที่มีต่ออุ้ยเอี้ยง ผสมผสานขึ้นจากความตื่นเต้นเคลือบแคลงและใคร่อยากรู้ ลำดับแรกอุ้ยเอี้ยงที่เยาว์ยังสง่างาม ทำให้ซิเล้งตื่นเต้น ถัดจากนั้นก็รู้สึกเคลือบแคลงเกี่ยวกับวิชากระบี่ของมัน
ดังนั้นเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างในตัวมัน จึงบังเกิดความสนใจใคร่อยากรู้ มันที่แท้ถือกำเนิดจากค่ายสำนักใด เหตุไฉนทั้งที่เยาว์วัย ก็ฝึกฝนจนมีความสำเร็จถึงปานนี้?
คราครั้งกระโน้น กิมเม้งตี้ถูกยกย่องเป็นผู้ทรงฝีมืออันดับหนึ่ง แต่ทว่าหากนำมาเปรียบเทียบกับอุ้ยเอี้ยง ก็ยังอ่อนด้อยกว่าขั้นหนึ่ง
กิมเม้งตี้มีความสง่างามจนลืมนาม แต่อุ้ยเอี้ยงกลับมีคิ้วเรียวงามปานแต่งแต้ม ผิวกายขาวผุดผ่องยังสวยสง่ากว่ากิมเม้งตี้เสียอีก
พร้อมกับนั้น อุ้ยเอี้ยงไฉนจึงต้องการเข้าพบพานจับฮึงไต้ซือ มันที่แท้มีเจตนารมณ์อันใดแอบแฝงอยู่?
สำหรับวิชากระบี่ของจับฮึงไต้ซือผู้นั้น ก็ชวนแตกตื่นสะท้านโลก เชื่อมั่นว่าในใต้หล้า ปราศจากคู่มือเทียมท่าน!
แต่ทว่านามจับฮึงไต้ซือ ขณะอยู่ในวงพวกนักเลง ไฉนจึงไม่มีผู้คนเอ่ยอ้างกล่าวขวัญถึงมาก่อน?
เรื่องราวข้างต้น ทำให้ซิเล้งต้องหมกมุ่นครุ่นคิด พกพาเอาปมปริศนาจนเปี่ยมล้น ความอัดอั้นกังวลพลอยลืมเลือนไปชั่วขณะหนึ่ง
ทั้งสองสนทนาไปพลางเดินเหินไปพลาง แต่หาได้หวนกลับสู่ตัวเมือง โดยอ้อมกันไปที่ม่อกังเหลา (หอทัศนาธารา) ซึ่งมีฉากวิวอยู่มากมายลือนาม
อุ้ยเอี้ยงชี้มือไปที่หอสูงหลังหนึ่ง กล่าวว่า
“บนหอนั้นมีสุราอาหารว่างจัดจำหน่าย และสามารถทอดสายตามองไปที่ห่างไกล ทิวทัศน์นานาประการ ล้วนปรากฏเข้ามาในคลองจักษุ เบื้องล่างเป็นแม่น้ำสายใหญ่ทะลักไหลผ่าน นาวาใหญ่น้อยแล่นเฉื่อยฉิว รู้สึกงามตายิ่งนัก”
ซิเล้งกล่าวขึ้นว่า
“ถ้าเช่นนั้นก็ขึ้นไปบนหอเถอะ”
“ซิเฮียมีเกียรติภูมิโด่งดัง ผู้ที่รู้จักท่านมีมากมายยิ่งนัก หากขึ้นไปบนหอม่อกังเหลา ชั่วพริบตาเดียว ข่าวคราวจะแพร่สะพัดไปทั่วมณฑลซี่ชวน… สำหรับเรื่องนี้สามารถคลี่คลายได้ ขอเพียงแต่ซิเฮียยินยอมร่วมมือ ปล่อยให้เราปลอมแปลงรูปโฉมของท่าน”
ซิเล้งมิได้ปฏิเสธ อนุญาตให้มันจัดการ ดังนั้นจึงถูกอุ้ยเอี้ยงลากพาไปที่ตำแหน่งอันรกร้าง พอหวนกลับออกมา ก็แปรเปลี่ยนเป็นบุรุษที่มีสีหน้าดำคล้ำ คิ้วดกหนาผู้หนึ่ง
ทั้งสองขึ้นไปบนหอ สั่งสุราอาหาร มองฝ่าระเบียงทัศนาไปที่ห่างไกล ดื่มกินกันอย่างมีรสชาติ พลันได้ยินอุ้ยเอี้ยงกล่าวเบาๆ ว่า
“ซิเฮีย หลายคนที่ขึ้นมาเมื่อครู่นี้เป็นใคร?”
ซิเล้งเบือนศีรษะมองไป เพียงจดจำได้ว่า หนึ่งในจำนวนนั้นคือซัวมุ่งเทียนแห่งสำนักบู๊ตึง อีกสามคนมิรู้จักมักคุ้น แต่ก็เป็นชนชั้นผู้ทรงฝีมือ
ตนบ่งบอกนามผู้ที่รู้จักออกไป อุ้ยเอี้ยงผงกศีรษะกล่าวอย่างหมกมุ่นว่า
“เท่าที่เราทราบมา หลายวันนี้เมืองเซ้งโตวได้ชุมนุมผู้มีฝีมือ ใคร่ดักพบท่านกับฉี้อิง เพื่อเร่งรุดสู่เจดีย์ทองคำ”
ซิเล้งถอนหายใจออกมา เนื่องจากในขณะนี้ตนมิอาจกระทำตามสัตย์วาจาที่ลั่นไว้กับชนชาวบู๊ลิ้ม เพราะตกเป็นเชลยในควบคุมบุคคลผู้อื่น
ส่วนอุ้ยเอี้ยงกลับสังเกตสนใจในพวกพ้องของซัวมุ่งเทียน แลเห็นสุราอาหารเพิ่งยกมา พวกมันยังมิทันดื่มกิน ก็ปรากฏบุรุษฉกรรจ์ผู้หนึ่งพุ่งกายเข้ามา กระซิบกระซาบหลายประโยค พวกซัวมุ่งเทียนก็จากไปอย่างรีบเร่ง
อุ้ยเอี้ยงหัวร่อให้กับซิเล้ง กล่าวว่า
“พวกมันไปแล้ว เราได้ยินคำรายงานของบุรุษฉกรรจ์ผู้นั้นด้วย”
ซิเล้งคร้านที่จะถามไถ่มัน อุ้ยเอี้ยงก็บอกกล่าวขึ้นเองว่า
“เมื่อครู่นี้บุรุษผู้นั้นรายงานต่อซัวมุ่งเทียนว่าท่านผู้เฒ่าเก็งอิกเล้งแห่งง่อไบ๊ ได้รับคำบอกเล่าทราบว่า ผู้แซ่อุ้ยกับซิไต้เฮียปรากฏที่เมืองกิ้มจิว ขอให้รีบไปสมทบ พวกซัวมุ่งเทียนจึงลนลานจากไป”
ซิเล้งกล่าวอย่างสงสัยใจว่า
“เรื่องนี้คงมีผู้ใดแอบอ้างนามของเก็งอิกเล้ง หลอกลวงซัวมุ่งเทียน”
“ผู้ใดกล้ากระทำเช่นนั้นด้วย?”
ซิเล้งเหลือบแลมันวูบหนึ่ง รู้สึกด่าผู้ดำเนินการครั้งนี้คงเป็นพวกพ้องของอุ้ยเอี้ยง แต่มันเมื่อมิยอมรับ ก็มิซักไซ้ หลังจากอยู่บนหอเป็นเวลาเนิ่นนานค่อยหวนกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลอุ้ย
โค้งเพ้งกลับมิเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว ที่แท้มันตลอดเวลาเที่ยง มีดรุณีรับใช้นามเพ็กเง็กผู้หนึ่ง เล่นอยู่ด้วยกันสนุกสนานเบิกบานยิ่ง
เมื่อยามค่ำ ทั้งหมดขนย้ายไปพำนักอยู่ในตึกแถบหลัง ห้องหับตกแต่งอย่างสวยงาม ดรุณีรับใช้เพ็กเง็กก็ช่วยเหลือพวกซิเล้งด้วย โค้วเพ้งได้ถามไถ่นางว่า
“ประตูตึกทางซ้ายมือทอดไปถึงที่ใด?”
เพ็กเง็กกล่าวว่า
“นั่นเป็นประตูทอดไปถึงที่พักของตั่วเสียวเอี้ย (เจ้านายน้อยคนโต) หากเลี้ยวขวาก็จะพบตัวตึกแล้ว”
ซิเล้งได้ยินนางขณะกล่าววาจา มีน้ำเสียงเข้มแข็ง แสดงว่าเป็นผู้มีพลังการฝึกปรือ จึงรู้สึกตื่นเต้นพิศวง กวาดตามองไป แลเห็นนางมีอายุสิบแปดสิบเก้าปี คล้ายดั่งได้เติบโตสมบูรณ์เข้าใจเรื่องราว
ดังนั้นแสดงว่านางตลอดทั้งวัน ติดตามอยู่ร่วมกับโค้วเพ้ง เพราะได้รับคำสั่งปฏิบัติการ ทั้งนี้ก็เพราะโค้วเพ้งแม้มีร่างกายบึกบึนสูงใหญ่ แต่ไม่เข้าใจเรื่องราว มิรู้จักวิธีเอาอกเอาใจ เพ็กเง็กไหนเลยจะชมชอบมัน พร้อมกับนั้นนางเมื่อเป็นหญิงรับใช้ จะเที่ยวเล่นทั้งวันได้อย่างไร
นางมิเพียงแต่มีเรือนร่างเปล่งปลั่งสมบูรณ์ เค้าหน้าก็สวยสะคราญมิน้อย ขณะเอื้อนเอ่ยกับโค้วเพ้ง ดวงตาทั้งคู่ได้ชะม้ายชำเลืองไปที่ซิเล้ง
โค้วเพ้งชี้มือไปทางขวามือบ้าง ถามนางว่า
“ทางด้านนั้นเล่า?”
“นั่น เป็นที่พำนักของยี่เสียวเจี๊ยะ (ธิดาคนที่สอง) ของเรา”
ซิเล้งรับฟังจนขมวดคิ้วเข้าหากัน คำนึงว่า
‘… เราไฉนจึงถูกจัดมาอยู่ในระหว่างกลางที่พำนักของเจ้าของบ้านเล่า?…’
โค้งเพ้งถามว่า
“ตั่วเสี่ยวเอี้ยของท่านอุ้ยเอี้ยงใช่หรือไม่?”
เพ็กเง็กผงกศีรษะพร้อมกับกล่าวว่า
“ยี่เสียวเจี๊ยะมีนามเซี่ยวย้ง พี่น้องทั้งสองท่านนี้ มิเพียงแต่มีไมตรีร่วมสายโลหิตอย่างลึกซึ้ง แม้กระทั่งรูปโฉมโนมพรรณก็เป็นเฉกเช่นกัน หากแม้นตั่วเสี่ยวเอี้ยผลัดเป็นอิสตรี นอกจากขนคิ้วดกดำ ส่วนสัดสูงกว่าเล็กน้อยแล้ว นับได้ว่ามิมีส่วนผิดแผกเลยไป!”
ซิเล้งคำนึงขึ้นอย่างลืมตัวว่า
‘… อุ้ยเอี้ยงถนัดในวิชาปลอมแปลงรูปโฉม หรือว่ามันมิรู้จักเสริมเติมขนคิ้วขึ้นด้วย?…’
แต่แล้วก็รู้สึกว่า นี่เป็นความคิดที่น่าหัวร่อยิ่ง จึงหันกายไปในห้องนอนพักผ่อน ริมโสตได้ยินเสียงสัพยอกระหว่างเพ็กเง็กกับโค้งเพ้งเนิ่นนานต่อมา อิสตรีอีกนางหนึ่งก็ส่งเสียงร้องเรียกว่า
“เพ็กเง็กเจ้ เสียวเจี๊ยะให้ท่านกลับไป”
หลังจากนั้น ทั่วทั้งตัวตึกล้วนเงียบสงัด ซิเล้งทราบว่าโค้งเพ้งย่อมต้องกลับไปห้องพักฝึกปรือฝีมือ พลันรู้สึกว่ามีร่างกายร้อนรุ่ม มิอาจนอนหลับต่อไป จำต้องผุดลุกขึ้น
ตนสำนึกทราบว่า นี่สืบเนื่องมาจากความกดดันทางจิตใจ หลังจากที่แพร่งพรายต่ออุ้ยเอี้ยงไปประโยคหนึ่งแล้ว ก็ผ่อนคลายกว่าครึ่ง และฟื้นฟูความกระตือรือร้นมิน้อย
พร้อมกันนั้น อุ้ยเอี้ยงได้ถ่ายทอดพลังภายในให้จนร่างกายมีกำลังเปี่ยมล้น ไม่สามารถหลับใหลอยู่บนเตียงราวกับซากศพที่แข็งทื่อ จึงนั่งขัดสมาธิพริ้มตาลงโคจรลมปราณไปทั่วกาย
อุ้ยเอี้ยงยามพลบค่ำได้เข้ามารับประทานอาหารร่วมกับซิเล้ง และสนทนาปราศรัยกัน ซิเล้งจากปากคำของมันรับทราบว่า ตระกูลอุ้ยมีแต่มันกับน้องสาวสองคน
ความจริงแล้ว มันมีนิวาสถานอยู่แห่งอื่น แต่มันได้ซื้อคฤหาสน์ในเมืองเซ้งโตวหลังนี้ และมักพำนักอาศัยอยู่ และซิเล้งยังรับรู้ว่าม่วยม่วยของมัน คล้ายดั่งมิได้อยู่ในที่นี้ จึงปลอดโปร่งใจกว่าเดิมบ้าง
หลังจากนั้นอีกสามสี่วัน อุ้ยเอี้ยงคอยอยู่ร่วมกับซิเล้ง แต่พอถึงเวลาฝึกปรือฝีมือ ก็จะจากไปเสียก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้ซิเล้งจึงฟื้นฟูกำลังฝีมือได้อย่างรวดเร็วนัก
พอถึงวันที่ห้า ซิเล้งพอฝึกฝนฝีมือแล้ว ขณะเดินเหินอยู่ในตัวตึก พลันได้ยินสำเนียงดนตรีดังแว่วมาจากตึกทางขวามือ ซิเล้งถึงกับฉุกใจได้คิดคำนึงขึ้นว่า
‘… หลายวันนี้ทางตึกข้างเคียงปราศจากสุ้มเสียง เราเข้าใจว่าโกวเนี้ยตระกูลอุ้ยหาได้อาศัยอยู่ แต่จดจำได้ว่าในวันนั้น มีหญิงรับใช้ผู้หนึ่งถ่ายทอดคำสั่งผู้เป็นเสียวเจี๊ยะเรียกหาเพ็กเง็กไป แสดงว่าโกวเนี้ยตระกูลอุ้ยอาศัยอยู่ในตึกข้างเคียงตลอดเวลา…’
ซิเล้งพอสำนึกทราบว่า ในตึกข้างเคียงมีอิสตรีอยู่นางหนึ่งก็อดไม่สบายใจมิได้ ครุ่นคิดว่า
‘…อุ้ยเฮีย จัดให้เรามาอยู่ในที่นี้ นอกจากคอยสังเกตการณ์แล้วมิทราบว่ามีเจตนารมณ์อย่างไรอื่นอีก?…’
ทันใดนั้น สำเนียงเสียงฝีเท้าได้ดังแว่วมาจากตึกข้างเคียงเดินผ่านประตูมา ซิเล้งในขณะนี้ สำหรับกับเพศตรงข้าม มีความรู้สึกอันพิสดาร จึงมิต้องการพบหน้าอุ้ยเซี่ยวย้งนางนั้น แต่ขณะนี้คิดหลบเลี่ยงก็มิทันท่วงที
เสียงฝีเท้านั้นเดินเหินอย่างแผ่วเบา จนมาถึงเบื้องหลังของตน แล้วจึงหยุดยั้งชะงัก และกลิ่นอันหอมหวนได้โชยกระทบนาสิก ทำให้ซิเล้งมิต้องเบือนศีรษะไป ก็ทราบว่าเป็นอิสตรีนางหนึ่ง
ซิเล้งยังคงมิเบือนศีรษะกลับไป แต่ทางเบื้องหลังได้บังเกิดปฏิกิริยาอย่างนอกเหนือความคาดหมาย ที่แท้ฝ่ามืออันผุดผ่องข้างหนึ่งได้ยื่นมาสัมผัสถูกหัวไหล่ของตนและโยกคลอนเบาๆ
ซิเล้งถึงกับตะลึงลานไป ได้ยินสำเนียงเรียกหาดังอย่างเจื้อยแจ้ว ซิเล้งจดจำได้ว่าเป็นสุ้มเสียงของเพ็กเง็ก จึงเบือนศีรษะมองไป
แลเห็นเพ็กเง็กยืนแย้มยิ้มอย่างหยาดเยิ้ม มือข้างที่เกาะกุมหัวไหล่ได้คลายนิ้วออก คว้ากุมข้อมือของซิเล้งกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า
“ซิเซียงกง (คำยกย่องบุรุษหนุ่มแซ่ซิ) โกวเนี้ยของเราขอเชื้อเชิญ”
ซิเล้งรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสอันเหมาะสมต่อการจู่โจมฝ่ายตรงข้ามอย่างดุดัน จึงส่งสำเนียงอันเย็นชาไร้ไมตรีว่า
“โกวเนี้ยกลับไปรายงานต่อเสียวเจี๊ยะท่านว่าข้าพเจ้ากับนางมิรู้จักมักคุ้น ไหนเลยจะเหยียบย่างเข้าไปในห้องหอโดยไร้มารยาท”
เพ็กเง็กงงงันไป ซิเล้งพลันสะบัดแขนหลุดพ้นจากการถูกเกาะกุม แสดงความชิงชังรังเกียจ นางถึงกับเชิดริมฝีปากแทบร่ำไห้ออกมา
แต่ในยามนี้ ซิเล้งได้หันร่างไปมิเหลือบแลนางแม้แต่วูบเดียว เพ็กเง็กก็ขยี้เท้าวิ่งตะบึงกลับไป
ซิเล้งฉกฉวยโอกาสกลับมาในห้องตน สันนิษฐานว่าอุ้ยเซี่ยวย้งพอได้รับทราบคำรายงาน อาจจะขุ่นเคืองมิพอใจ จึงล่าถอยมาที่ห้องพัก มิแน่นักว่านางจะไม่กล้าล่วงล้ำเข้ามา
ชั่วครู่ให้หลัง พลันแว่วสำเนียงเคาะประตูดังขึ้น
ซิเล้งขมวดคิ้วถามว่า
“ผู้ใด?”
นอกห้องแว่วสำเนียงอิสตรีที่แปลกหูดังขึ้นว่า
“ผู้น้องอุ้ยเซี่ยวย้ง มาเยี่ยมเยือนซิเฮียโดยเฉพาะ”
ซิเล้งลอบร่ำร้องในใจว่า แล้วกันไปเถอะ แต่ก็ครุ่นคิดว่า
‘… นางมีน้ำเสียงราบเรียบ ถ้อยคารมเปี่ยมมารยาท ย่อมมิมีความคิดแสวงหาเรื่องราว…’
ดังนั้น จึงกล่าวว่า
“อุ้ยโกวเนี้ย เชิญเข้ามา”
ประตูห้องได้ถูกผลักไสออก ดรุณีอาภรณ์ชุดเขียวนางหนึ่งเดินเหินอย่างชดช้อยตรงเข้ามา แลเห็นนางมีเรือนร่างแน่งน้อยบอบบางกระโปรงยาวลากดิน ยามเดินเหินแว่วเสียงเครื่องประดับกระทบกันดังตึงตัง
เค้าหน้าของนาง ทำให้ซิเล้งสะท้านใจอย่างรุนแรง เนื่องจากมีความละม้ายคล้ายเหมือนกับอุ้ยเอี้ยงอย่างใหญ่หลวง เห็นว่านางมีใบหน้าขาวนวลผุดผ่อง สองแก้มแดงระเรื่อ โสภาสะคราญยิ่ง
ดวงเนตรทั้งสองข้าง มิเพียงแต่จำแนกดำขาวอย่างแจ่มชัดยังปราดเปรียวเป็นที่ยิ่ง คล้ายดั่งสามารถเอื้อนเอ่ยวาจาและได้แย้มยิ้มน้อยๆ ด้วย
พร้อมกับนั้น ก็เป็นไปตามความคาดหมายของซิเล้ง นางปราศจากความขวยเขินสะเทิ้นอายเฉกเช่นอิสตรีทั่วไป พอเข้ามาในห้อง ก็ทรุดกายลงนั่งประจันหน้ากับซิเล้งอย่างสง่าผ่าเผย
นางเพ่งพินิจซิเล้งโดยมิไหวหวั่นพรั่นพรึง สังเกตอย่างระมัดระวัง เสมือนกับกำลังทัศนาวัตถุโบราณหรือภาพพจน์ของจิตรกร ซึ่งต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
ซิเล้งกลับถูกจับจ้องจนใจเต้นระทึกกล่าวว่า
“โกวเนี้ยมิทราบว่ามีคำแนะนําประการใด?”
อุ้ยเซี่ยวย้งขยับเขยื้อนริมฝีปาก ส่งสำเนียงอันไพเราะเสนาะโสตว่า
“ข้าพเจ้ารับทราบจากผู้เป็นพี่ชาย ยามพาดพิงถึงซิเฮียก็สรรเสริญยกย่องว่า เป็นวีรบุรุษที่ไร้ผู้เทียมทาน ดังนั้นจึงอดพินิจมองจนไร้มารยาทมิได้”
“พี่ชายของท่านได้กล่าวล้อเล่น โกวเนี้ยอย่าได้ยึดถืออย่างจริงจัง”
อุ้ยเซี่ยวย้งเอื้อนเอ่ยว่า
“พี่ชายของเรามีความทระนงถือดี มิปรารมภ์บุคคลผู้อื่น ข้าพเจ้าเพิ่งได้ยินมันกล่าวคำชมเชยผู้อื่นเป็นครั้งแรก และก็นับถืออย่างจริงใจ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงทราบว่ามิใช่วาจาเหลวไหล ทำให้บังเกิดความเลื่อมใสด้วย”
ซิเล้งรู้สึกว่า วาจาหากเป็นความจริง ก็คือเรื่องราวที่ตนปวดเศียรและหวั่นเกรงที่สุด แต่ปากคำย่อมต้องกล่าวคำถ่อมตัว
อุ้ยเซี่ยวย้งพลันกล่าวว่า
“พี่ชายของเราในวันนี้ได้จากไปอย่างเร่งรีบ และค่อยแพร่งพรายต่อข้าพเจ้า เกี่ยวกับเรื่องที่ซิเฮียยื่นมือช่วยเหลือ มาตรแม้ว่าครั้งแรกมิประสบผล แต่ข้าพเจ้าก็สำนึกพระคุณอย่างใหญ่หลวง”
ซิเล้งอดมิได้ต้องถามไถ่ว่า
“อุ้ยเฮียไม่ได้แพร่งพรายความสัมพันธ์กับจับฮึงไต้ซือ ข้าพเจ้าก็มิเคยถามไถ่ โกวเนี้ยจะประทานคำบอกเล่าได้หรือไม่?”
“จับฮึงไต้ซือเป็นญาติผู้ใหญ่ที่สนิทสนมกับตระกูลเราท่านหนึ่ง ในเมื่อพี่ชายของเรามิเคยน้อมเรียนบอกกล่าว ผู้น้องก็ไม่สะดวกต่อการเปิดเผย”
“ข้าพเจ้าเพียงถามไถ่ไป โกวเนี้ยเมื่อมิสะดวกก็ไม่เป็นไร”
อุ้ยเซี่ยวย้งส่งเสียงกล่าวว่า
“ตามคำบอกเล่าจากพี่ชายของเรา ซิเฮียมีประสบการณ์ที่คับแค้นขมขื่นจนเสื่อมคลายความฮึกเหิมเหี้ยมหาญ แทบจะสูบสิ้นพลังกลายเป็นวิญญาณอนาถา สำหรับเรื่องนี้คงมิผิดพลาดกระมัง?”
“น่าละอายยิ่งนัก วาจาของอุ้ยเฮียมิผิดพลาดแม้แต่น้อย”
อุ้ยเซี่ยวย้งกล่าวว่า
“แต่ในวันนี้ ข้าพเจ้าได้ยลรูปโฉม รู้สึกว่าซิเฮียมีท่วงท่าคึกคัก ลมปราณเปี่ยมล้น มาตรแม้ว่าพี่ชายของเราเคยถ่ายทอดกำลังภายในให้ แต่หากแม้ซิเฮียไม่ใช้ความพยายามหมกมุ่นฝึกปรือ ย่อมไม่เป็นเช่นนี้ จึงบังอาจถามไถ่ว่า ซิเฮียได้เสาะพบวิธีการขจัดความทุกข์ในใจแล้วหรือ?”
ซิเล้งในยามนี้ มีสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง แต่อุ้ยเซี่ยวย้งยังเอื้อนเอ่ยวาจาจนจบลง ดวงตาคู่ที่สดใสปานน้ำค้างกลางหาว ได้จับจ้องมองมาโดยมิผ่อนคลาย
ซิเล้งเผชิญกับผู้คนที่มีความสนิทสนมกังวลใจเช่นนี้ ก็ได้แต่กล่าวว่า
“ข้าพเจ้ามีการมานะฝึกฝนหลายวันจริง และสำนึกว่าฟื้นฟูเป็นปรกติแล้ว ทางด้านจิตใจรู้สึกว่าพอเปิดเผยต่ออุ้ยเฮียไปบ้างแล้ว ก็มิถึงกับเลวร้ายทรุดหนักไป”
อุ้ยเซี่ยวย้งมีสีหน้าหมกมุ่นเห็นใจ แต่กลับเอื้อนเอ่ยอย่างตรงๆ ว่า
“ซิเฮียเพียงบอกว่า ท่านบังเกิดความคับแค้นใจเพราะเรื่องราวของมารดา ข้าพเจ้าหลังจากครุ่นคิดไปมา หรือว่ามารดาของท่านมีประสบการณ์อันน่ารันทด แต่ขณะนี้ยังมีชีวิตอยู่ด้วย?”
ถ้อยคารมของนางนี้ แสดงว่าได้ทราบซึ้งถึงชาติกำเนิดของซิเล้ง ซึ่งครอบครัวถูกทำลายล้มล้าง จึงคาดคิดไปว่า มารดาของซิเล้งยังมีชีวิตอยู่
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป