๔๕
♦ พฤติการณ์อันพิสดาร ♦
……………
ในยามสนธยา ทั้งหมดก็เร่งรุดเข้ามาในตัวเมืองแห่งหนึ่ง หยุดรถม้ารับประทานอาหาร
โค้วเพ้งมิเหินห่างจากซิเล้งแม้แต่น้อย มันฉกฉวยโอกาสกล่าวถามซิเล้งว่า
“ฉี้โกวโกวจะกังวลใจหรือไม่?”
ซิเล้งกล่าวอย่างอ่อนระโหยว่า
“ย่อมต้องกังวล”
“ผู้หลานรู้สึกว่า ผู้แซ่อุ้ยคนนี้หาใช่ถึงกับเป็นคนเลวร้ายไม่”
ซิเล้งผงกศีรษะอย่างเงียบงัน โค้วเพ้งกล่าวอีกว่า
“แต่พวกเราไหนเลยจะทำให้โกวโกวมุ่งวิตก ดังนั้นผู้หลานจะคอยฉวยโอกาสที่พวกมันมิทันระมัดระวังหลบหนีไปกับเจกเจ่ก”
ซิเล้งกล่าวอย่างหมกมุ่นว่า
“เกรงว่ามิง่ายดายนัก…”
“ข้าพเจ้าทราบว่าเจกเจ่กมีร่างกายอ่อนแอ แต่ข้าพเจ้าจะแบกท่านไป โดยที่สามารถเดินเหินอย่างรวดเร็ว”
กล่าวถึงตอนนี้ อุ้ยเอี้ยงได้หวนกลับมา โค้วเพ้งจึงจำต้องหุบปากลง
อุ้ยเอี้ยงกล่าวขึ้นว่า
“โค้วเพ้ง เจ้านำพาซิเล้งออกจากตัวเมือง ในที่นั้นเรามีรถม้าอีกคันหนึ่ง ค่ำคืนนี้ต้องเร่งรุดโดยมิหยุดยั้ง เพื่อมิให้ถูกพวกฉี้อิงไลล่าตามทัน”
มันแค่นหัวร่ออย่างเย็นชากล่าวอีกว่า
“พวกมันทางที่ประเสริฐอย่าได้ติดตามมาถึง มาตรมิเช่นนั้นผู้ประสบเคราะห์กรรมยังคงเป็นนางเอง”
โค้วเพ้งสะท้านใจวาบ ร้องโพล่งว่า
“ท่านคิดจะจัดการกับนางอย่างไร สังหารนางหรอกหรือ?”
“เราผู้แซ่อุ้ยมีความข่มกลั้นอย่างจำกัด หากแม้นนางไล่ล่ามาถึงเราก็จะปลิดชีวิตของนาง!”
ในเวลาต่อมา โค้วเพ้งได้ปฏิบัติตามวาจา เดินเหินร่วมกับซิเล้งออกไปนอกตัวเมือง
พอใกล้จะพ้นเขตเมือง โค้วเพ้งก็กล่าวว่า
“บัดนี้พวกมันไม่เห็นพวกเราแล้ว เป็นโอกาสหลบหนีได้อย่างประเสริฐ”
โดยมิรอให้ซิเล้งแสดงความคิดเห็น ก็ย่อกายลงเล็กน้อย รวบสองเท้าของซิเล้ง เพื่อให้หมอบฟุบอยู่บนหลังของมัน จากนั้นก็ทุ่มเทฝีเท้าวิ่งเข้าไปในตรอกเล็ก อาศัยอีกตำแหน่งหนึ่งออกจากตัวเมือง
ขณะอยู่ท่ามกลางท้องทุ่งอันรกร้าง ได้วิ่งตะบึงอย่างรวดเร็วหลายลี้ แล้วค่อยวกเข้าสู่ถนนหลวง โค้วเพ้งมิจำแนกทิศทาง ต้องการหลบหนีไปให้ห่างไกลเสียก่อน
โค้งเพ้งโลดแล่นตามทางหลวงเป็นระยะทางอีกลี้เศษ พลันเหลือแลเห็นใต้ต้นไม้ข้างทาง มีรถม้าคันหนึ่ง แต่ก็มิพบพานผู้คน มันฉุกใจได้คิด คำนึงว่า
“…หากแม้นมีรถม้าย่อมเดินทางได้รวดเร็ว…”
หาคาดไม่ว่า โค้วเพ้งพอวิ่งมาถึงหน้ารถ ภายในพงพนาริมทางหลวง ปรากฏผู้คนกระโดดปราดออกมาสองคน กลับเป็นบริวารของอุ้ยเอี้ยงผู้หนึ่งคืออากิม ผู้หนึ่งเรียกว่าอาเตีย
พวกมันทั้งสอง กระชับกุมกระบี่ยาว แยกย้ายเป็นหน้าหลัง สกัดขัดขวางโค้วเพ้งเอาไว้
โค้วเพ้งแม้มิเกรงกลัวคมสาตราวุธ แต่ก็หวั่นวิตกว่า ห้ามทำร้ายถูกซิเล้งบนบ่า ดังนั้นจึงเบิ่งตาอย่างงงงัน มิทราบว่าสมควรกระทำอย่างไร?
ภายในรถม้า แว่วสำเนียงหัวร่อ ต่อจากนั้นบุคคลผู้หนึ่งได้พลิ้วกายลงมา กลับเป็นอุ้ยเอี้ยงที่สง่าคมคายผู้นั้น มันจับจ้องโค้วเพ้งอย่างเย้ยหยันกล่าวว่า
“โค้วเพ้ง เจ้าคิดจะไปที่ใด?”
โค้วเพ้งขบริมฝีปากมิส่งเสียง ความจริงก็ไม่มีอำนาจเอื้อนเอ่ยออกได้
อุ้ยเอี้ยงแค่นหัวร่อกล่าวว่า
“รู้สึกว่าเจ้ามิยินยอมพร้อมใจ คราครั้งนี้จะต้องอบรมสั่งสอนเจ้า อากิมลงมือจัดการมัน”
อากิมสะอึกปราดออกในบัดดล ขยับข้อมือวูบหนึ่ง กระบี่ยาวได้เสือกแทงใส่ทรวงอกของฝ่ายตรงข้าม
โค้วเพ้งรีบพลันหลบหลีก กลับแทบจะกระบี่ทำร้ายใส่
อุ้ยเอี้ยงกล่าวว่า
“เจ้าไยมิปลดปล่อยซิเล้งลงเสียก่อน หากแม้นเจ้าเอาชัยพวกเราได้ ย่อมอนุญาตให้เจ้าพามันไป”
โค้วเพ้งสั่นศีรษะกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าในยามลงมือ พวกท่านอาจจะช่วงชิงผู้คนไปแม้พวกท่านจะเอ่ยวาจารับรองข้าพเจ้าก็ไม่เชื่อถือ”
อุ้ยเอี้ยงรู้สึกว่า ทารกใหญ่ผู้นี้ดูอย่างผิวเผินโง่งมไร้ความคิด ความจริงกลับดื้อรั้นปราดเปรียวยิ่ง จึงหัวร่ออย่างเฉื่อยชากล่าวว่า
“เราสามารถให้คำรับรองได้ และหากเจ้าครุ่นคิดดู ก็จะทราบว่าเราไม่จำเป็นต้องโป้ปดด้วยวาจา ทั้งนี้ก็เพราะ แท้จริงแล้วเราจงใจให้เจ้าช่วงชิงซิเล้งบรรทุกมาถึงที่นี่”
ซิเล้งพลันกล่าวว่า
“เซี่ยวเพ้ง พวกเราในเมื่อถูกฝ่ายตรงข้ามสกัดกั้นไว้ ก็แล้วกันไปเถอะ”
โค้วเพ้งหลังจากงงงันอยู่เล็กน้อย แล้วจึงผลกศีรษะยอมเชื่อฟัง
อุ้ยเอี้ยงกลับหัวร่อแค่นๆ กล่าวว่า
“มิได้ โค้วเพ้งภายในใจย่อมมิยินยอม ภายหลังอาจก่อการเหลวไหล จะต้องให้อากิมจัดการกับเจ้าสักคราหนึ่ง”
ซิเล้งขมวดคิ้วกล่าวว่า
“อุ้ยเฮีย หลานชายของข้าพเจ้านี้ แม้มีอายุเยาว์วัย แต่วิชาฝีมือหาได้ต่ำทรามไม่ หากแม้นบริวารของท่านถูกทำร้ายบาดเจ็บ ท่านอาจจะมิพอใจ”
“อะไร ทารกนี้คิดจะเอาชัยอากิมได้ ตกลง หากแม้นว่าอากิมพลาดพลั้ง หรือถึงกับตกตาย ล้วนไม่โทษว่าโค้วเพ้งเลย”
ซิเล้งกล่าวว่า ประเสริฐมาก โค้วเพ้งได้วางร่างของซิเล้งลง ซิเล้งกล่าวอีกว่า
“เซี่ยวเพ้ง เรามีวาจาประโยคหนึ่ง เจ้าต้องจดจำให้มั่น”
โค้วเพ้งแนบใบหูเข้าไป ซิเล้งเพียงกล่าววาจาประโยคเดียว โค้วเพ้งก็ผงกศีรษะรับคำ แล้วจึงหันกายกระโดดปราดออกมา พลิ้วละลิ่วลงที่เบื้องหน้าของอากิม
อุ้ยเอี้ยงแค่นหัวร่อดังเฮอะฮะ กล่าวว่า
“มิว่าท่านจะแนะนำวิชาอันใดต่อมัน ในวันนี้ก็ต้องถูกลงมือสั่งสอน อากิมจัดการมัน”
อากิมส่งเสียงรับคำ สะบัดกระบี่เสือกแทงไปยังบริเวณใบหน้าของโค้วเพ้งอย่างตรงๆ กระบวนท่านี้ธรรมดาสามัญ มาตรแม้นเป็นบุถุชนทั่วไป ก็มิแน่นักว่าไม่สามารถหลบเลี่ยงได้
ซิเล้งเป็นผู้ทรงฝีมืออันดับสูง พอเหลือบแลเพียงวูบเดียวก็บังเกิดความตื่นตระหนกอย่างใหญ่หลวง คราตนมิได้แลเห็นเพลงกระบี่ของอุ้ยเอี้ยง ในยามนี้เพิ่งพบเห็นบริวารของมันใช้ท่ากระบี่ออก
ขณะนั้นตนรู้สึกว่า เป็นแนววิชาที่ลึกล้ำพิสดารสุดจะเปรียบ และกระบี่นี้เสริมสร้างอานุภาพขึ้นมา ด้วยวิชาท่าเท้าก้าวกาย
ซิเล้งมาตรแม้นมิได้ร่วมพันตู แต่ขณะขบคิดแทนโค้วเพ้ง ก็สังเกตพบว่ามิจะปัดป้องหรือล่าถอยล้วนต้องหลงพลัดเข้าไปในหลุมพรางกับดัก
จริงดังคาดหมาย โค้วเพ้งมิอาจเข้าใจแตกฉานถึงความพลิกแพลงในท่ากระบี่ของศัตรูขั้นต่อมา จึงได้แต่ถอยปราดไปด้านหลังอย่างว่องไว
แลเห็นเงาร่างแฉลบวูบ อากิมผู้นั้นได้สำแดงวิชาท่าเท้าอันพิสดารประหลาดล้ำ คุกคามมาทางซ้ายมือ ภาวะกระบี่ดุจดั่งอสนีบาตทลายลง อุปมากระเรียนขาวขยายปีก แทงเฉียงๆ เข้าใส่จุดชีวิตบริเวณชายโครงของคู่ต่อสู้
กระบวนท่านี้ โค้วเพ้งพาตัวเองเข้าสู้กับดัก ไม่มีทางหลบเลี่ยงแลเห็นเงาร่างพลันแยกย้ายออก หนึ่งในสองซวนเซเทล้มลง แต่มิใช่โค้วเพ้ง หากกลับเป็นอากิม
ที่แท้โค้วเพ้งได้รับการฝึกปรือวิชาเทพยดามังกรทองพิทักษ์เสา ตลอดทั่วทั้งร่างแข็งแกร่งราวกับเหล็กไหล คราครั้งกระโน้นแม้กระทั่งดาบพม่าของหัตถอสนีบาตยังไม่ระคายเคือง อย่าว่าแต่เป็นดาบกระบี่ธรรมดาทั่วไป
ดังนั้นมันขอเพียงหลบหลีกจากตำแหน่งอันตรายที่ชวนหวาดเสียวบางแห่ง อาทิ บริเวณใบหน้า สำหรับส่วนสัดแห่งอื่น ก็มิเกรงว่าถูกอาวุธของศัตรูฟันใส่
ขณะที่กระบี่ยาวของอากิมแทงถูกชายโครงขวา มันก็สะบัดฝ่ามือออก ประทับใส่หัวไหล่ของฝ่ายตรงข้าม อากิมได้รับความเจ็บปวดจนเหงื่อกาฬแตกชุ่มโชก กระดูกหัวไหล่คล้ายดั่งแหลกสลายไป
อุ้ยเอี้ยงกล่าวอย่างเย็นชาว่า
“เฮอะ ที่แท้มีพลังเทพยดาคุ้มครองกาย มิน่าเล่าจึงกล้าหักหาญกับอากิม แต่เจ้าแส่หาทางมรณะ มิอาจโทษว่าเราจิตใจอำมหิต”
อาเตียที่ร่วมทางมา ได้กระโดดปราดออก หมายคอยขัดขวางโค้วเพ้งมิให้ทำร้ายซ้ำเติมอากิม แต่โค้วเพ้งความจริงมิมีเจตนาไล่ล่าเพียงยืดหยัดอยู่กับที่
อุ้ยเอี้ยงเริ่มสืบเท้าก้าวเข้าหา โค้วเพ้งมิมีสีหน้าพรั่นพรึงมิหนำซ้ำยังถลึงตาขุ่นเคือง จ้องมองฝ่ายตรงข้าม
อุ้ยเอี้ยงเดินเหินจนสามารถชักกระบี่จู่โจมถึง ค่อยชะงักเท้าลงอาเตียไท้ประคองอากิมล่าถอยไป อุ้ยเอี้ยงกล่าวอย่างเย้ยหยันว่า
“ดูจากท่วงท่าของเจ้า รู้สึกยโสโอหังยิ่งนัก”
โค้วเพ้งกระชากเสียงกล่าวว่า
“ท่านชักกระบี่ แต่ข้าพเจ้าบอกกับท่าน คราครั้งนี้ข้าพเจ้ายามลงมือ จะมิเชื่อฟังวาจาของซิเจกเจ่กแล้ว”
อุ้ยเอี้ยงรู้สึกสงสัยใคร่อยากรู้ถามว่า
“มันกล่าววาจาอันใดกับเจ้า เป็นเคล็ดวิชาหรอกหรือ?”
“มิใช่ ซิเจกเจ่กกำชับมิให้เราทำร้ายผู้คนถึงแก่ชีวิต ดังนั้นเราจึงมิได้ต่อยอากิมจนตายไป”
“อ้อ นี่กลับนอกเหนือความคาดหมายของเราซิเจกเจ่กของเจ้าสังหารผู้กล้าหาญดาบทองจูกงเม้ง ที่ได้รับความเคารพจากผู้ทุกคน แสดงว่าซิเล้งมิใช่คนดีงาม บัดนี้กลับมิให้เจ้าฆ่าคน นับว่าน่าหัวร่อยิ่ง”
โค้วเพ้งทุ่มเถียงว่า
“จูกงเม้งไม่ใช่คนดีงาม เราเคยเห็นมันใช้เล่ห์อุบาย และคิดจะทำร้ายปู่กับเราหลายครั้ง มันเป็นคนชั่วร้ายอันดับหนึ่ง”
วาจานี้หากเอื้อนเอ่ยออกจากปากของซิเล้งฉี้อิงยังมิสร้างความเชื่อถือให้กับผู้คน เทียบเท่ากับ จากปากคำของทารกใหญ่ไร้ความคิด อุ้ยเอี้ยงรับฟังจนขมวดคิ้วเข้าหากัน
โค้วเพ้งกล่าวว่า
“จูกงเม้งภายหลัง ยังใช้อุบายหลบหนีเอาชีวิตรอดนานาชนิดซึ่งชั่วช้าไร้ยางอาย หากว่าเป็นซิเจกเจ่กย่อมยินยอมตกตายแทนที่จะกระทำเรื่องราวเช่นนั้น”
อุ้ยเอี้ยงจึงกล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้นเราจะไม่ปลิดชีวิตของเจ้า เพียงแต่ว่า เจ้าคงเข้าใจว่า สามารถอาศัยพลังเทพยดาคุ้มครองกาย จนเราไม่อาจเอาชัยใช่หรือไม่?”
โค้วเพ้งสั่นศีรษะกล่าวว่า
“ฉี้โกวโกวได้บอกว่า ข้าพเจ้าไม่อาจต่อสู้กับท่าน หาไม่แล้วข้าพเจ้าคงเสี่ยงชีวิตกับท่านเลย”
วาจานี้มีเหตุผลอย่างแจ่มแจ้ง อุ้ยเอี้ยงผงกศีรษะกล่าวว่า
“เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ไม่ลงมือ เจ้าพาซิเล้งขึ้นไปบนรถพวกเราจะเดินทางต่อไป”
ตลอดรายทาง รถม้าได้ห้อตะบึงอย่างรวดเร็ว วันที่สองก็วกเข้าสู้มณฑลซี่ชวน เริ่มต้นรอนแรมเข้าไป
ในยามนี้ขบวนผู้คนทั้งห้าพากันลงจากรถ ใช้ฝีเท้าเดินเหิน และขณะล่วงล้ำเข้ามาในเส้นทางที่คับแคบ ภาวะแวดล้อมหวาดเสียวเปี่ยมอันตราย ซิเล้งซึ่งอ่อนระโหยไร้เรี่ยวแรง จึงต้องถูกโค้วเพ้งกับอาเตียซึ่งมิได้รับบาดเจ็บ แบกอยู่บนหลังโลดแล่นเดินทาง
ในเวลาต่อมา ก็บรรลุถึงตัวเมืองเซ้งโตว นี่เป็นดินแดนอันร่ำรวยในแถบซี่ชวน เคยเป็นมาตุภูมิของสามพี่น้องร่วมสาบานแห่งจ๊กก๊ก (อันมีเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ) มีผู้คนแน่นหนา กิจการค้ารุ่งเรือง
อุ้ยเอี้ยงและพวกคล้ายดั่งคุ้นเคยกับสถานที่นี้ยิ่งนัก พอเข้าสู่ตัวเมือง ก็ควบขับรถม้าเข้าไปในคฤหาสน์หลังหนึ่ง จัดการอาบน้ำชำระร่างกาย
หลังจากนั้น ก็รับประทานอาหารเที่ยงที่อุดมสมบูรณ์ อุ้ยเอี้ยงกล่าวกับซิเล้งว่า
ท่านในสองวันนี้ ร่างกายคล้ายกับดีขึ้นบ้าง หากแม้นมีความกระตือรือร้นใคร่ท่องเที่ยว พวกเราหลังจากหลับนอนหนึ่งชั่วยาม แล้วก็ไปท่องเที่ยวชมปูชนียสถานอันลือนามเป็นอย่างไร?”
ซิเล้งรับปากตกลง หลังจากหลับนอนเวลาหนึ่งแล้ว ก็ออกเดินทางกันไป ซึ่งซิเล้งรู้สึกว่า ในด้านสติสัมปชัญญะและกำลังกาย ประเสริฐกว่าเก่าก่อนมากมายนัก
ทั้งหมดออกจากประตูทิศทักษิณของตัวเมือง แลเห็นสะพานศิลาสายหนึ่ง ทอดข้ามแม่น้ำล้อมรอบเมือง มุมสะพานปักป้ายสลักนามว่า “บ้วนลี้เกี้ย” (สะพานหมื่นลี้)
อุ้ยเอี้ยง กล่าวขึ้นว่า
“เมื่อสมัยสามก๊ก ประเทศจ๊ก ได้ส่งราชทูต นามอุยเอี๋ยนเร่งรุดไปยังประเทศง่อก๊ก เพื่อสันถวไมตรี ขงเบ้งตามส่งมาถึง สะพานกล่าวกับอุยเอี๋ยนว่า… การเดินทางนับหมื่นลี้ จะเริ่มต้นตั้งแต่บัดนี้ อนุชนรุ่นหลัง จึงขนาดนามว่าสะพานหมื่นลี้”
ซิเล้งรับฟังอย่างงมงาย พอข้ามสะพานหมื่นลี้ก็เดินเหินไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ จนสามารถแลเห็นดงสนโบราณงอกเงยรกครึ้ม พอเข้าใกล้จึงพบเห็นศาลเจ้าหลังหนึ่ง และสลักนามว่า “เจียวเลี๊ยกเบี่ย”
พอผ่านประตูเข้าไป ก็เป็นเขตตึกหลังใหญ่ ดงสนโบราณปกคลุมแน่นขนัด
ซิเล้งกล่าวว่า
“อุ้ยเฮีย ในที่นี้เป็นศาลขงเบ้ง ซึ่งโต่วโพ่ว (นักกวีสมัยถัง) เอ่ยอ้างถึงในหนังสือขุมนุมกวีหรอกหรือ?”
อุ้ยเอี้ยงกล่าวว่า
“มิผิดแม้แต่น้อย ท่านมิได้แลเห็นสนโบราณด้านนอกหรอกหรือ โต่วโพ่วได้รจนาเป็นคำกลอน บรรยายทิวทัศน์ฉากนี้ว่า กิ้มกัวเซี้ยงั่วแป๊ะเซียมเซียม (นอกตัวเมืองสนโบราณแน่นหนาทึบ)”
ซิเล้ง ถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า
“ลี้หงีซัวเคยรจนาคำกลอนว่า จูกัวะตั่วเมี้ยซุ่ยอูติ๋ว (นามขงเบ้งเกริกไกรทั่วพิภพ) แต่ดูจากที่นี้ ยังคงเป็นกษัตริย์ เจียวเลี๊ยกตี่เล่าปี่ ซึ่งเหนือล้ำกว่าอีกขั้นหนึ่ง”
อุ้ยเอี้ยงหัวร่อพลางกล่าวว่า
“ซิเฮียออกจะยึดถือคร่ำครึเกินไป ศาลขงเบ้งที่แท้จริงอยู่ในตัวเมืองเมี้ยงกุ่ย นี่เป็นมาตุภูมิของสามสหายแห่งจ๊กก๊ก เพียงแต่สมควรโทษว่า กลอนของโต่วโท่วบาทนั้น ก่อกวนจนผู้คนทั่วใต้หล้ามานมัสการศาลเจ้าเจียวเลี๊ยกเบี่ยนี้ โดยเข้าใจว่าเป็นศาลขงเบ้ง”
ซิเล้งรู้สึกว่า วาจานี้มีเหตุผล จึงเดินเหินเข้าไปตามทางที่จัดสร้างไว้
ตำหนักชั้นหน้าเป็นของกษัตริย์เล่าปี่ ตำหนักข้างซ้ายเป็นกวนอู ด้านขวาเป็นเตียวหุย ตำหนักหลังเป็นขงเบ้ง นอกจากนั้นยังมีขุนพลผู้จงรักษ์อาทิจูล่ง แยกย้ายกระจัดกระจายไป
ทั้งหมดท่องเที่ยวไปทั่ว และได้ชมกลองทองเหลืองใบหนึ่ง ซึ่งตามคำร่ำลือเป็นมรดกของขงเบ้งข้างตำหนักมีบึงบัวแห่งหนึ่ง ทางทิศเหนือมีหอดีดพิณหลังหนึ่ง
ทั้งหมดพอชมทั่วแล้ว จึงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นสุสานของเล่าปี่ โดยสร้างกำแพงเตี้ยๆ รายล้อมเอาไว้ ในสุสานมีดงสนรกครื้ม รู้สึกสงบวังเวงยิ่ง
จวบจนบัดนี้ ศาลเจ้าที่ลือนามไปทั่วแผ่นดินก็ถูกทัศนาจนถ้วนทั่ว ซิเล้งทั้งพอใจและเสียใจด้วย
อุ้ยเอี้ยง นำพาซิเล้งเดินเหินไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของศาลเจ้า ข้ามลำธารน้ำใสสายหนึ่ง ตามรายทางรู้สึกสงบสงัด อุ้ยเอี้ยงพลันกล่าวว่า
“ซิเฮีย หลายวันนี้ปราศจาก ความกระตือรือร้น อันฮึกเหิม ทำให้เรารู้สึกสงสัยใจอย่างใหญ่หลวง”
ซิเล้งกล่าวอย่างเฉื่อยชาว่า
“เรื่องราวในใต้หล้า บางครั้งก็บีบบังคับจนผู้คนอับจนปัญญา ได้แต่หลบหลีกเลี่ยงหนี”
“วาจานี้ก็ถูกต้อง โต่วโท่วรจนากลอนเกี่ยวกับพวกของจ๊กก๊ก สองประโยคสุดท้ายมีอยู่ว่า “กระทำการมิสำเร็จสังขารสูญ ชายชาติชาตรีหยาดน้ำตาเนืองนอง” แสดงออกถึงความสะทกสะท้อนชวนหดหู่ และร่ำลือตกทอดมาทุกยุคทุกสมัย”
ซิเล้งพึมพำว่า
“กระทำการมิสำเร็จสังขารสูญ ชายชาติชาตรีหยาดน้ำตาเนืองนอง”
หลังจากท่องทบทวนอยู่หลายครา รู้สึกว่าตัวเองมิทันตกตาย แต่ดวงใจได้ท้อแท้ทอดอาลัย มิแตกต่างกับการตกตายไป จึงบังเกิดความสะทกสะท้อนเศร้าหมองอย่างใหญ่หลวง
อุ้ยเอี้ยงสำหรับเรื่องนี้มีความสงสัยใคร่อย่างรู้อยู่ก่อนแล้ว โดนเฉพาะอย่างยิ่ง การได้ใกล้ชิดเป็นเวลาหลายวัน ทำให้ทราบว่า ซิเล้งเป็นชายชาติชาตรีที่มีคุณธรรมอันสูงส่ง
มันมิอาจสันนิษฐานว่า เพราะเหตุใด ซิเล้งจึงทอดอาลัยถึงปานนี้ ดังนั้นจึงกล่าวกระตุ้นว่า
“ซิเฮียคาดว่าคงหลงพลัดสู่ม่านพิศวาสไม่อาจไถ่ถอน จึงยุ่งยากใจถึงปานนี้ สภาพดังว่าในใต้หล้ามีอยู่มากมาย แต่ซิเฮียกลับเฉกเช่นดังคนธรรมดา ไม่สามารถใช้กระบี่แห่งปัญญา สะบั้นใยพิศวาส รู้สึกน่าหัวร่อยิ่ง”
ซิเล้งมีสีหน้าพลุ่งพล่าน ร้องดังๆ ว่า
“ผู้ใดว่า ข้าพเจ้ายุ่งยากใจเพราะความรัก?”
อุ้ยเอียง มิยอมผ่อนคลาย รีบกล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้นเป็นเพราะเหตุใด?”
ซิเล้งมีดวงตาสาดประกายอันรวดร้าวกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าเพราะมารดา ทำให้กลับกลายเป็นเช่นนี้”
ตนพอกล่าวออกไปสองประโยค ก็พลันรู้สึกว่าความอัดอั้นประหนึ่งถูกพะเนินเหล็กสุมทับดวงใจ ได้ผ่อนคลายไปกว่าครึ่ง จึงอดสงสัยใจมิได้ว่า ตัวเองไฉนจึงมิยินยอมบอกกล่าวกับผู้หนึ่งผู้ใด ทำให้ได้รับ ความคับแค้นเนิ่นนานตรงถึงปานนี้
อุ้ยเอี้ยงเบิ่งตาขึ้นอย่างตื่นเต้นคลางแคลง ชะงักเท้าจับจ้องฝ่ายตรงข้ามกล่าวว่า
“วาจาของซิเฮีย ทำให้เราอยากที่จะหยั่งคาดได้”
ซิเล้งแบมือกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าเพียงสามารถแพร่งพรายเท่านี้ รายละเอียดมิสะดวกต่อการน้อมเรียน อุ้ยเฮียโปรดให้อภัย”
“ในเมื่อไม่สะดวก พวกเราก็มิต้องสนทนากันอีก”
มันพลันแสดงท่วงท่าอันกระตือรือร้น ชี้มือไปที่เบื้องหน้ากล่าวว่า
“ทางด้านนั้น ปรากฏมุมกำแพงสีแดง ท่านแลเห็นหรือไม่นั่นเป็นวัดน่ำไท้ยี่อันลือนาม พวกเราเข้าไปทัศนา ดื่มน้ำชาสักถ้วยหนึ่ง รู้สึกว่ามีความหมายยิ่ง”
ซิเล้งมิได้ปฏิเสธ เดินเหินมาถึงวัดโบราณหลังนั้น แต่หามีหลวงจีนออกต้อนรับอาคันตุกะไม่ ทั้งหมดก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ทุกแห่งหนมีความสันโดษไม่ฟุ้งเฟ้อ ทำให้ผู้คนสลัดลืมเลือนโลกีย์วิสัยได้
ตนพลันสังเกตพบว่า อุ้ยเอี้ยงมีสีหน้าไม่แน่นอน บัดเดี๋ยวลิงโลด บัดเดี๋ยวกังวล หลายวันที่ผ่านมา ซิเล้งรู้สึกว่าอุ้ยเอี้ยงเป็นบุคคลที่มีอารมณ์พลุ่งพล่านคนหนึ่ง
ดังนั้นขณะนี้ มันทั้งลิงโลดทั้งกังวล ก็แสดงออกอย่างรุนแรง หาใช่เรื่องที่ชวนพิศวงไม่ เพียงแต่ว่ามันเหตุไฉนจึงมีอารมณ์ไม่แน่นอนเช่นนี้?
แต่ซิเล้งก็มิได้ซักไซ้ พอเดินเหินมาถึงลานหญ้าแห่งหนึ่งอุ้ยเอี้ยงพลันชะงักฝีเท้าลง กล่าวอย่างแช่มช้าว่า
“ซิเฮีย เรามีเรื่องราวประการหนึ่ง ใคร่ขอความช่วยเหลือ ซึ่งก็ง่ายดายยิ่ง เพียงแต่มิทราบว่าท่านยินยอมช่วยด้วยหรือไม่?”
ซิเล้งกล่าวอย่างสงสัยใจว่า
“เรื่องราวอันใด?”
อุ้ยเอี้ยงกล่าวขึ้นว่า
“เราจะไปพบพานบุคคลผู้หนึ่ง หากแม้นมันมิยินยอมแสดงตน เราก็จะบอกว่าท่านเป็นบุตรเขยของมัน และท่านอย่าได้ปฏิเสธก็แล้วกัน”
ซิเล้งไม่เข้าใจเลยว่ามันต้องการไปพบพานบุคคลผู้ใด และมีเจตนารมณ์อย่างไร แต่ก็กล่าวว่า
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ท่านสามารถนำพาบุคคลผู้หนึ่งแอบอ้างปลอมแปลงขึ้น ไยต้องอาศัยข้าพเจ้าด้วย?”
“สำหรับข้อนี้ไม่อาจเหลวไหล ดังนั้นจึงขอร้องให้ท่านช่วยเหลือด้วย”
ซิเล้งหลังจากครุ่นคิดดู รู้สึกว่ามิมีความขัดข้องอย่างไร ค่อยผงกศีรษะแล้วจึงติดตามอุ้ยเอี้ยง เดินเหินไปที่ห้องหับหลังหนึ่ง
ขณะที่จะมาถึงหน้าห้อง ซิเล้งพลันฉุกใจได้คิดส่งเสียงกล่าวว่า
“เกี่ยวกับเรื่องแอบอ้าง ปลอมแปลง ข้าพเจ้าขอบ่งบอกล่วงหน้าว่าหากแม้นพฤติการณ์นี้อันดีงาม ข้าพเจ้าจะปฏิเสธในบัดดล”
อุ้ยเอี้ยงแย้มยิ้มพลางกล่าวว่า
“ย่อมไม่มีเหตุการณ์เช่นนั้น ซิเฮียไม่เชื่อถือเราหรอกหรือ?”
มันยามแย้มสรวล ได้เผยให้เห็นถึงฟันอันเรียบร้อยขาวสะอาด มีอิริยาบถที่เย้ายวนใจเล็กน้อย ซิเล้งจับจ้องจนตะลึงลานไปคำนึงว่า
“…มันกลับเป็นบุคคลที่คมคาย น้อยครั้งจะได้พบพาน น่าเสียดายที่ร่างกายเตี้ยเล็กเกินไป และขาดบุคลิกของบุรุษเพศอยู่บ้าง…”
ทั้งสองเหยียบย่างเข้าสู่ตึกพำนักของหลวงจีน แลเห็นห้องหับทั้งแถว ล้วนปิดประตูอย่างแนบแน่นสงบเยือกเย็นผิดสามัญ
อุ้ยเอี้ยงก้าวย่างนำหน้า เดินไปตามระเบียงสุดท้ายเป็นประตูรูปดวงเดือนบานหนึ่ง ในประตูมีเณรน้อยอายุสิบสามสิบสี่ปีรูปหนึ่ง นั่งอยู่บนเบาะกลม
เสียงฝีเท้าของอุ้ยเอี้ยงกับซิเล้ง ทำให้เณรน้อยรูปนั้นลืมตาขึ้น มีแววตาหรี่ปรือ อุ้ยเอี้ยงอดหัวร่อมิได้กล่าวว่า
“เซี่ยวซือแป๋ (คำยกย่องเณรน้อย) นับแต่โบราณกาลมา เคยบรรพชิตใดสำเร็จเป็นอรหันต์ในความฝันด้วย?”
เณรน้อยรูปนั้นกล่าวว่า
“พระพุทธองค์อยู่ในกระแสจิตสำนึก มิว่าในยามตื่นหรือหลับ หาได้เหินห่างแม้แต่น้อย”
“อือม์ เซี่ยวซือแป๋มีความเปรื่องปราดนัก”
“ประสกใหญ่เกรงใจเกินไปแล้ว”
ทั้งสองสนทนามิกี่ประโยค ล้วนแต่ตอบโต้กันอย่างเผ็ดร้อน ซิเล้งทัศนาอยู่ด้านข้าง กลับรู้สึกสนุกสนาน
อุ้ยเอี้ยงเอื้อนเอ่ยว่า
“เราครึ่งปีก่อนมาในที่นี้ คล้ายดั่งมิได้พบเห็นเซี่ยวซือแป๋เลย”
เณรน้อยรูปนั้นกล่าวว่า
“อาตมาเพิ่งมาเป็นเวลาสี่เดือน ได้รับความเมตตาจากซือแป๋เฒ่า ใช้สอยให้มานั่งฝึกฝนในที่นี้”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราหากคิดจะเข้าน้อมพบจับฮึงไต้ซือ (หลวงจีนทศทิศ) ก็สมควรหาหนทางทำให้เซี่ยวซือแป๋หลีกทางไป ใช่หรือไม่”
“ประสกในเมื่อทราบซึ้งก็ประเสริฐยิ่ง อาตมามิต้องพร่ำอธิบาย”
อุ้ยเอี้ยงกล่าวขึ้นว่า
“ถ้าเช่นนั้นเซี่ยวซือแป๋ตั้งปัญหามาเถอะ”
“หากแม้นต้องการให้อาตมาออกคำถาม เกรงว่าพวกประสกจะต้องหวนกลับไปอย่างผิดหวังแล้ว”
“นั่นกลับมิแน่นัก เซี่ยวซือแป๋อย่าได้คุยเขื่อง”
เณรน้อยรูปนั้นกล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้นก็ประเสริฐ อาตมาจะอาศัยปมเด่นของตัวเอง จู่โจมจุดอ่อนของประสก…ขณะนี้อยู่กึ่งกลางประตู จะไม่หลีกเลี่ยง ประสกทั้งสองหากคิดทะลวงผ่านด่านนี้ นอกจากบุกฝ่าอย่างหักโหม ก็มิมีหนทางอื่นอีก”
อุ้ยเอี้ยงเบือนศีรษะมาชำเลืองแลซิเล้งวูบหนึ่ง แล้วจึงกล่าวกับเณรน้อยว่า
“ขณะทะลวงฝ่า มีข้อบังคับอันใดหรือไม่?”
เณรน้อยรูปนั้นกล่าวว่า
“ย่อมต้องมี”
“นั่นคงจำกัดกระบวนท่าช่วงเวลา เช่นนี้เถอะ เราจะใช้มือเปล่าเท้าเปลือย ในกระบวนท่าเดียวจะบุกผ่านเข้าไป เป็นอย่างไร?”
เณรน้อยรูปนั้นสั่นศีรษะกล่าวว่า
“กระบวนท่าเดียวน้อยเกินไป”
“ไม่ ความจริงเรายามฝ่าด่านนี้ คาดว่าครึ่งกระบวนท่าก็เพียงพอแล้ว”
เณรน้องรูปนั้นมิมีสีหน้าผิดปรกติ ยังคงสงบเฉกเช่นเดิม กล่าวว่า
“กระบวนท่าเดียวหรือครึ่งท่า จะตกลงกันภายหลัง ข้อจำกัดของอาตมายังมิทันบ่งบอกออก กล่าวคือผู้ที่จะฝ่าด่าน หาใช่ท่านหากเป็นมัน!”
พลางชี้มือไปยังซิเล้ง เอื้อนเอ่ยอีกว่า
“ประสกท่านนี้จะใช้กี่กระบวนท่าก็ได้ แต่จำต้องฝ่าด่านไปมาตรมิเช่นนั้น ก็ต้องหวนกลับด้วยความผิดหวัง”
อุ้ยเอี้ยงถึงกลับงงงันไปกล่าวว่า
“ผู้ที่จะขอน้อมพบจับฮึงไต้ซือคือเรา หาใช่ซิเฮียไม่ ไฉนจึงให้มันรับภาระด้วย”
เณรน้อยรูปนั้นหัวร่อพลางกล่าวว่า
“นี่เรียกว่าอาศัยปมเด่นของตัวเอง จู่โจมจุดอ่อนฝ่ายตรงข้ามอาตมามิใช่เคยบ่งบอกไปแล้ว?”
อุ้ยเอี้ยงเงียบงันไร้วาจา รู้สึกว่าคราครั้งนี้กลับถูกหลวงจีนน้อยสร้างความยุ่งยาก หาคาดไม่ว่า ฝ่ายตรงข้ามจะปราดเปรื่องจนสังเกตพบว่า ซิเล้งอ่อนระโหยโรยแรง ยังอ่อนแอกว่าคนธรรมดาเสียอีก
ซิเล้งมีใจท้อแท้ เกี่ยวกับการถูกเณรน้อยท้าทาย คล้ายดั่งมิได้ยินไม่ส่งเสียงแม้แต่คำเดียว และย่อมมิแสดงความอาจหาญยอมรับคำท้าเลย
เณรน้อยรูปนั้นหัวร่อ ฮา ฮา กล่าวว่า
“พวกประสกยังคงกลับไปเถอะ หากมีความกระตือรือร้น ก็อบรมประสกแซ่ซิ จนมีพลังฝีมือเสียก่อน”
มันถึงกับเหยียดหยามมิอนาทรต่อตัวซิเล้ง ซึ่งเป็นผู้ที่มีเกียรติภูมิกระเดื่องโด่งดังอยู่ในวงพวกนักเลง แต่ความจริง ซิเล้งขณะนี้ ไหนเลยจะมีบุคลิกของผู้มีฝีมือเล่า?
ซิเล้งในยามนี้ เปรียบประดุจมังกรที่ถูกกักอยู่ในน้ำตื้น อย่าว่าแต่ไม่มีจิตใจคิดชิงดีชิงเด่น มาตรแม้นบังเกิดเพลิงโทสะ มีเจตนาลงมือก็อับจนปัญญาเนื่องจากไร้เรี่ยวแรง
อุ้ยเอี้ยงครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานจึงหัวร่อพลางกล่าวว่า
“เซี่ยวซือแป๋ฝึกปรือพลังฝีมือได้เนิ่นนานเท่าใด?”
เณรน้อยรูปนั้นกล่าวว่า
“ประสกไฉนจึงถามไถ่เช่นนี้”
“หากแม้นเซี่ยวซือแป๋ฝึกปรือ ด้วยเวลาอันจำกัดก็มีแต่พิสูจน์ความสูงล้ำต่ำต้อยโดยการพันตู มาตรแม้นว่าฝึกฝนเป็นช่วงเวลาอันยาวนาน ก็สามารถสลัดทิ้งอาวุธ เปลี่ยนแปลงเป็นประลองอย่างนุ่มนวลเพียงเอ่ยปากบ่งบอกกระบวนท่า ก็สามารถพิสูจน์ผลได้!”
เณรน้อยรูปนั้น กล่าวขึ้นว่า
“นี่กลับเป็นวิธีการอันแปลกใหม่…ในเมื่อประสกทั้งสองเป็นอาคันตุกะ อาตมาก็ยินยอมให้มีเปรียบบ้าง ทั้งจะประลองกับพันตูด้วย พวกท่านขอเพียงแต่เอาชัยเราครั้งเดียว ก็จะอนุโลมให้ผ่านเข้า
แต่ทว่าอาตมาก็มีเงื่อนไข กล่าวคือท่านเป็นผู้ประลองด้วยลมปาก ส่วนการหักหาญต่อสู้ จำกัดให้ประสกแซ่ซิเป็นผู้ลงมือเท่านั้น”
อุ้ยเอี้ยงกล่าวในบัดดลว่า
“ประเสริฐมาก บัดนี้พวกเราเริ่มประลองกันเลยเซี่ยวซือแป๋ หากแม้นยืนหยัดอยู่กึ่งกลางเช่นนี้ เราเพียงแต่ใช้กระบวนท่าจกเอียมกิมแท้ง (เท้าเหยียบย่างตำหนักทอง) ก็สามารถฝ่าข้าม”
มันคิดจะอธิบายการใช้ออก และอานุภาพของการบวนท่านี้ หากทว่าเณรน้อยรูปนั้นได้กล่าวว่า
“นั้นกลับมิแน่นัก อาตมาใช้กระบวนท่าเจียฮุ้นฮงซัว (ชักนำเมฆาปิดกั้นบรรพต) ย่อมต้านรับเอาไว้ได้”
อุ้ยเอี้ยงมีสีหน้าแตกตื่นกล่าวว่า
“ท่านรู้สึกว่ามีความสามารถอยู่บ้าง เราเปลี่ยนแปลงเป็นกระบวนท่าตังไฮ้ตู้เล้ง (พิฆาตมังกรในตังไฮ้) ท่านจะทำอย่างไร?”
เณรน้อยรูปนั้นยิ้มพลางกล่าวว่า
“ง่ายดายยิ่งนัก อาตมาใช้กระบวนท่าจ้อซ้วงอิ๋วทิว (ซ้ายหมุนตลบขวาดูดรั้ง) ต้านรับเอาไว้”
อุ้ยเอี้ยงมีสีหน้าหมกมุ่นกล่าวว่า
“เราพลิกแพลงเป็นท่าจิบักฮุกยิด (ปลิดกิ่งไม้ปาดอาทิตย์)”
“เพียงใช้กระบวนท่าฮั่งโหวปวยฉก (พิรุณเย็นสัมผัสชายคา) อันตรายของเราก็คลี่คลาย”
“เราเปลี่ยนเป็นใช้กระบวนท่ายิกอี่กี่แม้ (ทิวาต่อราตรี) จู่โจมติดต่อกันห้ากระบี่”
“อาตมาเพียงใช้ท่าคิงฮุงป่วยเฮียะ (สะบัดใบลาน) ท่านจะทำอย่างไร”
อุ้ยเอี้ยงกล่าวว่า
“เล็กเต่ยซ้วงลิ้ง (คฤหาสน์มรกตตระหง่านง้ำ)”
เณรน้อยรูปนั้นก็ตอบโต้ว่า
“ทีตี่เตี่ยอุ่ย (ฟ้าดินคงนิรันดร)”
“เซี่ยงฮี้ไคง๊วย (เกาทัณ์เทพยิงจันทรา)”
“โกวอ้วงฮักเตี่ย (สันโดษมุ่งยึดมั่น)”
อุ้ยเอี้ยงทยอยจู่โจมสิบกระบวนท่า เณรน้อยรูปนั้นก็น้อมสนองกลับไปสิบกระบวนท่า ต้านรับอย่างรัดกุม ตีโต้อย่างฉับไว
อุ้ยเอี้ยงจู่โจมอีกสามกระบวนท่า ก็ยังมิประสบผล จึงหุบปากมิกล่าวอีก เขม้นมองเณรน้อยรูปนั้นกล่าวอย่างเย็นชาว่า
“ท่านกับฮึงไต้ซือมีความสัมพันธ์อย่างไร?”
เณรน้อยรูปนั้นกล่าวว่า
“อาตมาได้รับความเมตตาจากท่านผู้เฒ่า รับเป็นศิษย์ถ่ายทอดขนานนามว่าเลี่ยวอ้วง”
อุ้ยเอี้ยงอุทานดังอ้อ กล่าวว่า
“มิน่าเล่า ท่านจึงรู้จักแนววิชาอันเร้นลับของตระกูลอุ้ยเอี้ยงของเรา”
เลี่ยวอ้วง ลูบคลำศีรษะล้านเลี่ยนของตัวกล่าวว่า
“บอกกล่าวตามความสัตย์ อาตมาฝึกหัดกระบวนท่าเหล่านี้ได้สูญเสียความพยายามมิน้อย ตลอดทั้งวันศีรษะมึนงง ปากต้องคอยท่องบ่น บุคคลอื่นกลับเข้าใจว่า เรามีสติไม่สมบูรณ์”
อุ้ยเอี้ยงฝืนหัวร่อแล้วกล่าวว่า
“ท่านเพียงท่องจำนามของกระบวนท่าเหล่านี้ใช่หรือไม่?”
“ถูกแล้ว นี่ก็ลำบากยากเย็นยิ่ง ซือแป๋เฒ่ายังคอยถามไถ่ป้อนกระบวนท่าต่อเรา ไม่อนุญาตให้มีการผิดพลาด และความยุ่งยากอยู่ที่ว่า ท่าเริ่มต้นพอมีการพลิกแพลง ท่าต่อมาก็ต้องเปลี่ยนแปลงด้วย”
อุ้ยเอี้ยงเบือนศีรษะมา ฝืนแย้มยิ้มกับซิเล้งกล่าวว่า
“คาดมิถึงว่าด่านนี้ ได้ถูกจับฮึงไต้ซือชิงมีเปรียบไป”
อิริยาบถของมันในยามนี้ มีความงามรัดรึงใจ ทำให้ซิเล้งพลันบังเกิดความรู้สึกที่เวทนาเห็นใจ
ดังนั้นจึงเอ่ยปากปลอบประโลมไปว่า
“เพศบรรพชิตตลอดวัน มิต้องถูกเรื่องราวอันยุ่งเหยิง ก่อกวนจนวุ่นวาย สามัญสำนึกย่อมกระจ่าง แจ่มชัด ท่านหาคำนึงถึงข้อนี้ ก็มิต้องสำนึกเสียใจอันใด”
อุ้ยเอี้ยงชำเลืองแลซิเล้งอย่างตื่นเต้นสงสัย กล่าวเบาๆ ว่า
“นี่เป็นวาจาที่แอบแฝงด้วยไมตรี ซึ่งเราได้ยินเป็นประโยคแรก ท่านทราบหรือไม่?”
ซิเล้งเพียงหัวร่ออย่างเฉื่อยชา อุ้ยเอี้ยงหลังจากครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยจึงกล่าวว่า
“มิทราบว่า ซิเฮียยินยอมลงมือทดสอบดูสักคราหนึ่งหรือไม่?”
ซิเล้งกล่าวว่า
“พฤติการณ์เช่นนั้น ไม่มีความหวังว่าจะประสบผลสำเร็จ ไฉนต้องทดลองด้วย”
อุ้ยเอี้ยงเอื้อนเอ่ยว่า
“หากแม้นซิเฮียรู้สึกว่ามิสามารถทะลวงฝ่า ก็ไม่เสื่อมเสียชื่อเสียงคราครั้งนี้ขอให้ช่วยเหลือเราสักคราหนึ่งเป็นอย่างไร?”
ซิเล้งคำนึงในใจว่า
“…ท่านคร่ากุมตัวเรามา บัดนี้กล่าวต้องการให้เราช่วยเหลือด้วย…”
แต่มิอาจบอกปัดปฏิเสธกล่าวว่า
“ตกลง”
พลางสาวเท้าก้าวไปเบื้องหน้า ยามเดินเหินไม่มีเรี่ยวแรง เณรน้อยเลี่ยวอ้วงกลับจับจ้องอย่างระมัดระวัง มิได้ประมาทเลินเล่อ
อุ้ยเอี้ยงกล่าวว่า
“เซี่ยวซือแป๋ ท่านว่ายินยอมให้ซิเฮียจู่โจมโดยไม่จำกัดกระบวนท่าวาจานี้มิอาจกลับกลอก”
เลี่ยวอ้วงส่งเสียงกล่าวว่า
“นั่นย่อมต้องแน่นอน”
อุ้ยเอี้ยงกล่าวอีกว่า
“เราเพียงแต่ให้มันจู่โจมท่านสองครั้ง หากมิประสบผล พวกเราก็จะหวนกลับไป”
เลี่ยวอ้วงรับปากตกลง ในใจได้คำนึงว่า
“…หากแม้นมันคราแรกมิอาจฝ่าเข้า จู่โจมอีกสิบครั้งไยมิเป็นเฉกเช่นกันหรอกหรือ?…”
อุ้ยเอี้ยงเอื้อนเอ่ยว่า
“เซี่ยวซือแป๋มีอาวุธหรือไม่ ซิเฮียใช้กระบี่ หนทางที่ประเสริฐท่านขอให้นำอาวุธเข้าต่อต้าน”
เลี่ยวอ้วงผงกศีรษะย่อเอวลง หยิบฉวยเบาะกลมบนพื้นดินมาถืออยู่ในมือกล่าวว่า
“อาตมาจะใช้สิ่งนี้”
อุ้ยเอี้ยงแลเห็นว่ามันเพียงใช้มือซ้ายยึดถือใจกลางของเบาะกลมปกป้องร่างกายเอาไว้ ดั่งราวกับเป็นโล่กำบัง สามารถเคลื่อนไหวตามใจนึก แสดงว่าเบาะกลมอันนั้น กึ่งกลางมีที่ให้มันยึดถือได้ มาตรมิเช่นนั้นจะจับกุมจนมั่นคงได้อย่างไร
ดังนั้นจึงคาดคิดได้ว่า เบาะกลมนี้ความจริงใช้เป็นอาวุธคุ้มครองกาย ยามจู่โจมศัตรูสามารถใช้ฝ่ามือข้างขวา
มันดึงกระบี่ยาวของตัวเองออกมา มอบส่งให้กับซิเล้ง แลเห็นซิเล้งยามรับกระบี่ ข้อมือได้ลดต่ำลงเล็กน้อย แสดงว่าปราศจากเรี่ยวแรงเสียเลย จึงอดสั่นศีรษะมิได้กล่าวว่า
“ซิเฮียไยต้องย่ำยีตัวเองถึงปานนี้”
ซิเล้งเพียงฝืนหัวร่อมิเอื้อนเอ่ยวาจา ตนเมื่อมีกระบี่อยู่ในมือย่อมรวบรวมสมาธิ ผนึกกำลัง ยังมิสูญเสียบุคลิกของผู้ทรงฝีมือ
เลี่ยวอ้วงอุทานดังเอ๊ะกล่าวว่า
“ประสกแซ่ซิกลับเป็นชนชั้นผู้ทรงฝีมือด้วย”
ซิเล้งสืบเท้าออกไปสองก้าว รั้งกระบี่ฟาดฟันลงใส่ศีรษะฝ่ายตรงข้าม ท่าร่างนี้เป็นหนึ่งในหกกระบวนท่ามหรรณพ
คราครั้งกระโน้น จูกงเม้งยามถูกกระบวนท่านี้จู่โจมก็ต้องถอยกายไป สุดท้ายถึงกับเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นดิน จึงนับว่าสามารถหลบหลีกเลี่ยงพ้น
ในยามนี้ ซิเล้งก็จู่โจมด้วยกระบวนท่าเดิม คาดมิถึงว่าเลี่ยวอ้วงกลับหัวร่อฮาฮา กวัดแกว่งเบาะกลมต้านรับอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียงดังฉึกเมื่อกระบี่ยาวแทงถูกเบาะกลม
ซิเล้งรู้สึกว่าบนเบาะกลมมีกระแสพลังสายหนึ่งทะลักเข้ามา อดมิได้ต้องถอยกรูดๆ ไปด้านหนัง ในที่สุดไม่สามารถทนทานเอาไว้ ถึงกับกระแทกกายลงบนพื้นดินดังโครมใหญ่
เลี่ยวอ้วงหัวร่อพลางกล่าวว่า
“ประสกแซ่ซิโปรดอภัย แต่อาตมาได้ใช้กำลังอย่างแท้จริง หาไม่แล้วมิแน่นักว่า ท่านต้องตีลังกาไปหลายทอด”
อุ้ยเอี้ยงรีบสาวเท้าเข้าไป ย่อกายลงฉุดลากท่อนแขนของซิเล้ง มือหนึ่งโอบหลังเอว กล่าวว่า
“กลับสร้างความเจ็บปวดต่อซิเฮียแล้ว”
สำเนียงของมันนุ่มนวลผิดสามัญ จนซิเล้งรู้สึกว่าคล้ายดั่งเป็นอิสตรีนางหนึ่ง กล่าวคำขออภัยต่อชายในดวงใจก็ปานกัน
ในยามนั้น ซิเล้งพลันมีความรู้สึกว่า พลังอันร้อนระอุกระแสหนึ่ง ได้ถ่ายเทมาจากใจกลางฝ่ามือข้างที่โอบอยู่หลังเอวของอุ้ยเอี้ยง ทะลักเข้ามาในร่างกายของซิเล้ง
ช่วงเวลานั้น คล้ายดั่งกับเป็นระลอกคลื่นสายใหญ่ ตลอดทั่วร่างของซิเล้ง มีปฏิกิริยารับสนองในบัดดล และลมปราณบริสุทธิ์ของฝ่ายตรงข้าม ได้ถ่ายเทไปตามจุดเส้นชีพจรส่วนต่างๆ
พริบตาเดียว ซิเล้งเสมือนได้เปลี่ยนแปลงร่างการอีกสังขารหนึ่ง ตามแขนทุกส่วนสัด มีพลังภายในสมบูรณ์เปี่ยมล้น!
ซิเล้งผุดลุกขึ้นอย่างแช่มช้า ยามเบือนศีรษะเหลือบแลไปทางอุ้ยเอี้ยง แลเห็นประกายที่เคยกระจ่างเจิดจ้าของมัน ล้วนปลาสนาการไปจึงอดมิได้ต้องกล่าวว่า
“อุ้ยเฮียสามารถดูดครั้งกำลังภายในกลับไปหรือไม่?”
อุ้ยเอี้ยงชักมือที่สัมผัสอยู่ส่วนหลังของซิเล้งกลับไป ตัวเองแอบอิงอีกฝ่ายหนึ่งอย่างอ่อนระโหย กล่าวอย่างไร้เรียวแรงว่า
“เราไม่มีความสามารถถึงปานนั้น จะต้องหมกมุ่นฝึกปรือเป็นเวลาร้อยวัน จึงค่อยฟื้นฟูปรกติได้!”
ซิเล้งกล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้น หากแม้นข้าพเจ้าสลัดจากไป อุ้ยเอี้ยงในเวลาร้อยวันก็มิอาจจัดการกับข้าพเจ้าแล้ว?”
อุ้ยเอี้ยงยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มสรวลกลับชวนให้ซิเล้งบังเกิดความเวทนาสงสาร มันกล่าวว่า
“เรามิอาจไม่ทดลองเสี่ยงดู ยังประเสริฐที่ท่านเป็นชายชาติอาชาไนย ย่อมไม่กระทำเรื่องราวที่ฉกฉวยอันตรายของผู้อื่นหรือไม่?”
ซิเล้งกล่าวว่า
“ในขณะนี้ข้าพเจ้ายังมิทราบ”
อุ้ยเอี้ยงแย้มยิ้มอย่างปลาบปลื้มประโลมใจกล่าวว่า
“อย่างน้อยท่านคงต้องช่วยเหลือเราฝ่าด่านนี้ไป…”
ซิเล้งผงกศีรษะ อดรนทนรอจนอุ้ยเอี้ยงสามารถยืนหยัดทรงกายแล้วจึงสาวเท้าก้าวไปที่ประตูรูปดวงเดือน ฝีเท้าแกร่งกร้าวมั่นคง เปรียบเทียบเมื่อครู่นี้ดั่งราวกับคนละคน
เลี่ยวอ้วงกล่าวอย่างสงสัยใจว่า
“อ๊ะ การพลัดตกลงไปครานี้ กลับทำให้ประสกกลับกลายเป็นมังกรคึกคะนอง นับเป็นเรื่องราวที่พิสดารอย่างสุดแสน”
“ตามคำร่ำลือเที่ยก่ากิม (บุคคลลือนามที่มีลิ้นคารมเยี่ยมยอดในสมัยเดียวกับซิยิ่นกุ้ย) คือเทพเจ้าดิน พอเห็นดินก็คืนชีพ ดังนั้นมันเคยประจัญบานตกตายหลายครั้ง แต่พอตกจากหลังม้าสัมผัสถูกพื้นดิน ก็ฟื้นคืนชีวิต เรื่องราวเช่นนี้มีมาแต่โบราณกาล หารู้สึกพิสดารไม่”
วาจาเหล่านี้ ทำให้เณรน้อยรูปนั้นตะลึงลานงงงันไป ปากอ้ากว้างจับจ้องซิเล้ง
ซิเล้งพลันกล่าวว่า
“เซี่ยวซือแป๋ระวัง ข้าพเจ้าจะละมือแล้ว”
เลี่ยวอ้วงกล่าว่า
“เชิญลงมือได้ หากทว่าคราครั้งนี้ อาตมามิเพียงแต่กระแทกท่านจนล้มลงไปเท่านั้น”
ซิเล้งเกาะกุมกระบี่ยาว วาดเป็นอิริยาบถหนึ่ง พริบตาเดียวรัศมีอันอำมหิตก็แผ่ทะลักออก มีอานุภาพเกรี้ยวกราดอย่างยิ่งยวด!
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป