๔๔
♦ เชลยในควบคุม ♦
……………

อุ้ยเอื้ยงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า

“ตกลง แต่หากแม้นพวกท่านมีเล่ห์เหลี่ยมลวดลาย ขอให้ระมัดระวัง เราจะใช้วิธีการอันอำมหิต จัดการกับฉี้อิง! “

มันทุกถ้อยคำ ประกาศว่าจะจัดการกับฉี้อิง ทำให้ซิเล้งซึ่งเสื่อมสูญความกระตือรือร้นมานานวัน มิกล้าประมาทเลินเล่อ

อุ้ยเอี้ยงคลายมือซ้ายออก จี้สกัดจุดเส้นอีกสองแห่งที่กลางหลังของฉี้อิงอย่างว่องไว แล้วใช้ฝ่ามือตบใส่สามครั้ง ตัวเองเริ่มถอยกายไปด้านหลัง ปากก็กล่าวว่า

“พวกท่านหารือกันเถอะ แต่สมควรลำลึกว่า วิธีการตอบโต้ของเรารุนแรง มิเพียงข่มขู่ให้หวาดผวา นางขณะนี้สามารถเดินเหินเอ่ยวาจา แต่มิอาจลงมือหักโหม ในเวลาสามวัน หากไม่ได้รับการตบคลายจากเรา ก็ต้องตกตายอย่างสยดสยอง

มันถอยกายจนอยู่ห่างไปสองวา ซิเล้งลดสำเนียงจนแผ่วเบากล่าวว่า

“ฉี้โกวเนี้ย ฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้มีฝีมือสำนักใด สามารถเอาชัยท่านจริงๆ ?”

ในดวงตาคู่งามของฉี้อิง  มีหยาดน้ำตาเอ่อคลอ เค้าหน้าที่งามสะคราญ มีแต่แววอันขุ่นเคือง

ซิเล้งลดสำเนียงถามไถ่เป็นคำรบสอง นางค่อยขบกรามกรอดกล่าวว่า

“ถามได้น่าหัวร่อยิ่ง หรือว่าข้าพจ้าแสร้งแกล้งพ่ายแพ้มันด้วย? เทพยดาจึงจะทราบว่า มันเป็นผู้คนของสำนักใด…”

แน่นอน นางมิใช่ขุ่นเคืองเพราะคำถามของซิเล้งนี้ หากแต่ได้ยินคำตอบโต้สนทนาระหว่างซิเล้งอุ้ยเอี้ยง จนซาบซึ้งถึงเจตนาที่ซิเล้งเป็นพ่อสื่อชักจูง

ฉี้อิงที่ชาญฉลาด ไหนเลยจะไม่เข้าใจว่า ซิเล้งนิยมชมชอบในตัวอุ้ยเอี้ยง คิดจะให้มันแทนตน และ เท่ากับมีการฝากฝังชีวิตของนาง จนพบคู่ครองแทนตัวซิเล้ง

แต่ทว่าในด้านความรัก ขณะที่ผูกพันต่อบุคคลผู้หนึ่งแล้วก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงชดเชย อุ้ยเอี้ยง มาตรแม้นจะคมคายหล่อเหลา มีความสำเร็จกว่าซิเล้งนับร้อยเท่าพันทวี ฉี้อิงก็ไม่พิศวาสหมายปอง เพราะสาเหตุข้างต้นเลย

ดังนั้นนางจึงบังเกิดความขุ่นแค้น กอปรกับแผลเก่าที่สะเทือนใจ ทำให้ไม่คิดปฏิบัติตัวอย่างดีเลิศต่อซิเล้ง

ซิเล้งกล่าวขึ้นว่า

“นี่นับเป็นเรื่องราวที่หน้าแตกตื่น ในใต้หล้ากลับมีอัจฉริยะอายุเยาว์เช่นนี้ เอาชัยแส้พายุดำของท่านได้ พวกเราลองใคร่ครวญกันว่า มันจะเป็นยอดฝีมือของสถาบันอำมหิต ที่เพิ่งออกท่องเที่ยวหรือไม่?”

ฉี้อิงแค่นเสียงดังเฮฮะ มิแยแสสนใจ

ซิเล้งพึมพำกับตัวเองว่า

“เป็นไปมิได้ ย่อมมิใช่ผู้คนจากสถาบันอำมหิต หาไม่มันคงสังหารพวกเราทั้งสอง โดยมิต้องคิด ครอบครองประแจทองอันใดเลย…อา น่าเสียดายที่ข้าพเจ้ามิได้พินิจดูวิชากระบี่ของมัน”

ฉี้อิงสะท้านใจอย่างรุนแรง ประหวัดหวนนึกถึงปมปริศนาที่อัดอก ตลอดเวลาหลายวัน อดมิได้ต้องถามว่า

“ท่านที่แท้เป็นเพราะเรื่องราวอันใด จนกลับกลายเป็นเช่นนี้?”

“อือม์ ข้าพเจ้าสมควรบอกกล่าวกับท่านตั้งแต่เนิ่นๆ ข้าพเจ้า…”

ตนพลันหุบปากลง ขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด

ฉี้อิงมิกล้าเร่งเร้า เกรงว่าซิเล้งจะเลิกความคิดอย่างกะทันหัน จึงเฝ้าอดรนทนดู

ซิเล้งขณะจะเอื้อนเอ่ย พลันแว่วสุ้มเสียงของอุ้ยเอี้ยงดังมาจากอีกด้านหนึ่งว่า

“พวกท่านหารือกันเรียบร้อยหรือไม่?”

ฉี้อิงร้องไปว่า ขอเวลาอีกครู่หนึ่ง

ซิเล้งเอื้อนเอ่ยขึ้นมาว่า

“เรื่องราวของข้าพเจ้า ภายหลังค่อยพาดพิง ข้าพเจ้าย่อมต้องบอกกับท่าน นี่เป็นความลับประจำตัวของข้าพเจ้า บัดนี้ยังคลี่คลายภาวะคับขันเฉพาะหน้าเสียก่อน ข้าพเจ้าแม้ต้องตกตายก็มิอาลัย แต่จะสร้างความยุ่งยากให้กับท่านและพวกปึงเฮีย”

“พวกเราล้วนมิอาจเสียสละตัวเอง เดียรัจฉานแซ่อุ้ยนี้ ประกาศว่าเป็นผู้คนของสำนักง่อไบ๊ แต่เพลงกระบี่ของมันหาเป็นเช่นนั้นไม่”

ซิเล้งกล่าวช้าๆ ว่า

“พวกเราแม้แต่แนววิชาฝีมือของฝ่ายตรงข้ามยังไม่สามรถสืบทราบ ข้าพเจ้าก็มีกำลังอ่อนแอ มิอาจลงมือหักโหม รู้สึกว่ามีแต่ยินยอมผ่ายแพ้แล้ว!”

ฉี้อิงกล่าวอย่างแตกตื่นว่า

“พวกเราจะมอบประแจทองให้กับมันเลย? ท่านลืมเลือนภารกิจของพวกเราแล้วหรือ มิได้ เราทั้งหมดต้องหักล้างกับมันจนถึงที่สุด”

“ความจริงพวกเราชนชาวบู๊ลิ้ม หากพบพานศัตรูอันเข้มแข้ง มิสามารถเอาชัย ก็ต้องตกตายเสียชีวิต แต่ฝ่ายตรงขามถึงกับประกาศว่า พวกเราหากมิมอบประแจทอง มันจะ… ท่าน”

ตนมิกล้ากล่าวคำว่า “ย่ำยี” ออกมา อดถอนหายใจมิได้

ฉี้อิงกล่าวขึ้นว่า

“ข้าพเจ้าได้ยินวาจาของมันแล้ว แต่มันหากได้ประแจทองก็ยังคร่ากุมข้าพเจ้าไป เพื่ออิ่มเอมความปรารถนาของมันเล่า?”

วาจาประโยคสุดท้าย กระทบกระเทือนจนซิเล้งสะท้านทั้งร่าง มีสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าวใจอย่างรุนแรง นี่เป็นสภาพการณ์ที่ฉี้อิงปรารถนาใคร่พบพาน

นางลอบทอดถอนใจ คำนึงว่า

“…เราหากมิใช้วิธีนี้เอ่ยกระตุ้น เกรงว่ามันจะทอดอาลัยไปจวบชั่วชีวิต…”

ซิเล้งพลันกล่าวว่า

“แต่นอกจากยอมรับความพ่ายแพ้ พวกเราก็ปราศจากหนทางอื่นแล้ว”

ฉี้อิงกล่าวขึ้นว่า

“ย่อมต้องมี พวกเราหากต้องรอรับการเชือดเฉือนจากผู้คนยังคงดิ้นรนต่อต้านสักคราหนึ่ง ท่านแม้ไม่มีเรี่ยวแรงหักโหม แต่ย่อมสามารถหลบหนี ข้าพเจ้าขอเพียงต้านทานขัดขวางอุ้ยเอี้ยงเดียรัจฉานนั้น สักคราหนึ่ง ท่านก็สามารถหลบรอดได้”

“ขณะนี้ ท่านถูกสกัดจุด ข้าพเจ้าตรวดดูแล้วรู้สึกว่ามิมีหนทางคลี่คลาย จะเสี่ยงชีวิตกับฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไร…มาตรแม้นกระทำได้ข้าพเจ้าก็ไม่อนุญาตให้ท่านลงมือ”

“ถ้าเช่นนั้น ท่านยินยอมให้ข้าพเจ้าตกอยู่ในเงื้อมหัตถ์ของศัตรู และเผชิญกับความอัปยศอดสูหรอกหรือ?”

วาจานี้เอื้อนเอ่ยอย่างรุนแรง ซิเล้งได้รับความกระทบกระเทือนใจคับแค้นปวดร้าวเป็นที่ยิ่ง จนมีเลือดลมระอุพลุ่งพล่าน พลันอ้าปากกระอักโลหิตออกมาดังโอ๊กใหญ่!

ฉี้อิงใจสะท้านหวั่นไหวกล่าวว่า

“ท่านเป็นอย่างไรไปแล้ว?”

ซิเล้งสูดลมหายใจลึกๆ กล่าวว่า

“ข้าพเจ้ามิเป็นไร ขณะนี้กลับรู้สึกทรวงอกปลอดโปร่งมากมายนัก หลายวันนี้คล้ายดั่งถูกโลหิตก้อนนั้นอัดตันอยู่ จนสุดที่จะทนทานได้”

ฉี้อิงมิคำนึงใคร่ครวญให้มากนัก กล่าวว่า

“ท่านเห็นพ้องกับวิธีการของข้าพเจ้าหรือไม่?”

“ท่านมีหนทางพัวพันขัดขวางมันอย่างไร?”

“ซือแป๋ ได้ถ่ายทอดวิชาอันพิสดาร ประหนึ่งสามารถทำให้ผู้ที่ถูกจี้สกัดอยู่ มีสภาพราวกับว่าได้ฟื้นฟูพลังฝีมือดังเดิม หรืออาจจะเกรี้ยวกราดกว่าเก่าก่อน ข้าพเจ้าบ่งบอกวิธีดำเนินการต่อท่าน และท่านสำแดงต่อเราแล้วควบรถม้าหลบหนีไป… พวกเราต้องปฎิบัติอย่างรวดเร็ว จนฝ่ายตรงข้ามคาดคิดมิถึง ดังนั้นจึงมิอาจติดต่อกับพวกปึงเซียะแล้ว”

ซิเล้งกล่าวอย่างกังวลใจว่า

“ท่านหากลงมือเช่นนั้น พอหักหาญกับคู่ต่อสู้มิว่าชนะพ่ายแพ้หรือจะ ผลสุดท้ายท่านต้องตกตายใช่หรือไม่?”

“มิผิด แต่ข้าพเจ้าตกตายไปเช่นนี้ ไยมิใช่ประเสริฐกว่าการมีชีวิตอย่างอัปยศ”

ซิเล้งเงียบงันมิส่งเสียง ฉี้อิงแลเห็นเช่นนั้นก็ซึมซาบว่าข้อเสนอแนะของนางมิได้เราความเห็นพ้อง จึงถอนหายใจอย่างหนักหน่วงคำนึงว่า

“…เขามีจิตกังวลในความเป็นความตาย และอนาคตของเราจริงๆ ? หากแม้นเป็นเช่นนั้น เขาไฉนจึงปฏิเสธการแต่งงาน อา เรามิเข้าใจอย่างแท้จริง…”

จริงดังคาดหมาย ซิเล้งได้กล่าวว่า

“มิได้ นี่เป็นอุบายชักจูงความตายมา หากแม้นพวกเราเข้าใจว่า มันจะดำเนินการประทุษร้ายต่อพวกเรา จึงสมควรลงมือเช่นนั้น บัดนี้ข้าพเจ้ายังคงเสียสละประแจเจดีย์ทองคำ ทดสอบดูว่า มันยินยอมปลดปล่อยพวกเราหรือไม่?”

ฉี้อิงรู้สึกกว่าซิเล้งมีสำเนียงเด็ดเดี่ยว จึงทราบว่าไม่มีทางกระตุ้นเตือน ได้แต่อนุโลมคล้อยตาม

ซิเล้งส่งเสียงดังกังวานว่า

“อุ้ยเฮีย พวกเราตกลงกันเรียบร้อยแล้ว”

อุ้ยเฮียเค้นเสียงกล่าวว่า

“พวกท่านสนทนาเป็นเวลาเนิ่นนาน คาดว่าคงสั่งเสียเรียบร้อยแล้วกระมัง?”

พลางพุ่งกายถลันปราดมาถึงเบื้องหลังของฉี้อิง ยื่นมือโอบรอบเอวของนาง อาศัยอย่างสนิทแนบแน่นปฏิกิริยาก็ลามกน่าชิงชัง

ซิเล้งเขม้นมองอย่างขุ่นเคือง กล่าววอย่างเย็นชาว่า

“หากแม้นท่านมิสำรวมมีมารยาท ก็อย่าคาดหวังว่าจะสนทนากันเลย”

“ฮา ฮา คารมคุกคามยิ่งนัก เราพิศวงอย่างสุดแสนว่า ท่านไฉนจึงมิลงมือเสี่ยงชีวิตด้วย รู้สึกว่าท่านอิดโรยราวกับป่วยไข้?”

ในยามนี้มันได้คลายมือถอยกายไปหนึ่งก้าว ซิเล้งเหลือบแลฉี้อิงวูบหนึ่ง ก็ทราบว่านางถูดสกัดจุดแห่งอื่นอีก ดังนั้นจึงมิสามารถเอ่ยวาจาหรือเคลื่อนไหว

ซิเล้งได้ผงกศีรษะกล่าวว่า

“มิผิด ข้าพเจ้าป่วยไข้อย่างรุนแรง จึงมิอาจหักโหมกับท่านจึงเสียใจยิ่งนัก”

อุ้ยเอี้ยงแค่นหัวร่อกล่าวว่า

“ความเสียใจนี้ สามารถชดเชยอย่างง่ายดาย ท่านเพียงแต่พักผ่อนระยะเวลาหนึ่ง ก็หักล้างกับเราได้ แต่มิทราบว่าท่านเป็นโรคใด ถึงกับมีอาการเลวร้ายเช่นนี้?”

วาจาในตอนท้าย มีความหมายเหน็บแนม ซิเล้งชี้มือไปที่ขั้วหัวใจกล่าว่า

“นั่นมิใช่โรคภัยที่คุกคามสังขาร อุ้ยเฮียมุ่งหวังสิ่งใดก็ได้ครอบครอง เกรงว่าไม่มีทางรับรู้ถึกความเจ็บปวดรวดร้าวทางจิตใจ”

ตนแดกดันไปว่า ฝ่ายตรงข้ามเยาว์วัยมิรู้ความ อุ้ยเอี้ยงไหนเลยจะมิเข้าใจ แต่มันก็ไม่ทุ่มเถียง หัวร่ออย่างเฉื่อยชากล่าวว่า

“พวกเราวกเข้าเรื่องสำคัญ ประแจเจดีย์ทองคำ ยินยอมมอบออกว่าหรือไม่?”

ซิเล้งกล่าวว่า

“ตกลง”

คำตอบที่หมดจดเช่นนี้ กลับทำให้อุ้ยเอี้ยงจับจ้องอย่างเคลือบแคลงกล่าวว่า

“มีเงื่อนไขอันใดหรือไม่?”

“ความเป็นความตายโชคเคราะห์ของข้าพเจ้าเพียงลำพัง มิต้องพาดพิงถึงแม้แต่ประโยคเดียว ข้าพเจ้าเพียงถามท่านประโยคเดียวว่า ท่านจะจัดการฉี้อิงโกวเนี้ยอย่างไร?”

“รู้สึกมากไมตรียิ่งนัก มาตรแม้ว่าเราปลดปล่อยนางไป และไม่ทำร้ายสหายของท่าน แต่กลับต้องการชีวิตของท่าน มิทราบว่าท่านจะยินยอมพร้อมใจหรือไม่?!”

“ยินยอมอย่างจริงใจ แต่หากเป็นเช่นนี้ ก็ต้องมีเงื่อนไขแล้ว”

อุ้ยเอี้ยงกล่าวอย่างสงสัยใจว่า

“เงื่อนไขอันใด?”

“หากแม้นท่านต้องการปลิดชีวิตข้าพเจ้า เพื่อทดสอบว่าข้าพเจ้าจะมีสัจจะตรงกับใจจริงหรือไม่ ก็ลองพิสูจน์ดู แต่ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าก็มิอาจมอบประแจทองให้ และยังขอร้องให้ท่านอนุญาตให้พวกฉี้อิง สามารถเปิดเจดีย์ทองคำโดยไร้อุปสรรค”

ในยามนี้ฉี้อิงเพิ่งเข้าใจเจตนารมณ์ของซิเล้งได้ว่า ตนยินยอมสละชีวิตของตัวเอง เพื่อให้นางได้ไขความลับของเจดีย์ทองคำ ฝึกปรือแนววิชาอันเยี่ยมยอด กอบกู้ชะตากรรมของวงพวกนักเลง

แต่ข้อที่ไม่เข้าใจก็คือ หากแม้นฝ่ายตรงข้ามปฏิเสธข้อเสนอนี้ เพียงแต่ช่วงชิงประเจเจดีย์ทองคำจากไป เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกผู้คนแม้จะปลอดภัยไร้อันตราย แต่ก็ไม่มีหนทางฝึกปรือแนววิชาอันลึกล้ำสุดยอด มหันตภัยในภายภาคหน้า ผู้ใดจะรับกอบกู้กัน?

ได้ยินอุ้ยเอี้ยงกล่าวอย่างครุ่นคิดว่า

“ข้อเสนอแนะนี้กลับควรค่าแก่การพิจารณา… เพียงมิทราบว่า พวกท่านยังมีแผนการอื่นใดหรือไม่?”

ซิเล้งทราบว่ามิบอกกล่าวก็ไม่ได้ จึงกระโดดปราดลงรถม้าก้าวเดินออกไปสิบกว่าก้าว แลเห็นอุ้ยเอี้ยงติดตามมาทางเบื้องหลัง ค่อยลดสำเนียงจนแผ่วเบากล่าวว่า

“ข้าพเจ้ามอบประแจเจดีย์ทองคำออกไป ท่านต้องรับฉี้อิงเป็นภรรยา”

อุ้ยเอี้ยงอดงงงันไปมิได้ กล่าวว่า

“ท่านเป็นอย่างไรไปแล้ว นี่เป็นวาจาเหลวไหลชัดๆ”

“ข้าพเจ้ามีเจตนาอย่างจริงจัง วงพวกนักเลงแม้ร่ำลือเรื่องราวเกี่ยวกับข้าพเจ้าและนาง แต่บอกกล่าวตามความสัตย์ ข้าพเจ้าเพราะสาเหตุประการหนึ่ง มิอาจรับนางเป็นภรรยา อุ้ยเฮียมีบุคลิกอันเด่นล้ำ พลังฝีมือก็สูงส่งถึงปานนี้ ย่อมคู่ควรกับนาง”

อุ้ยเอี้ยงกล่าวอย่างมิพอใจว่า

“ท่านพยายามฝากฝังชีวิตของนาง มาตรแม้นแสดงออกถึงการมีไมตรีอันลึกล้ำ ภาวนาให้นางมีอนาคตสุขสบาย แต่ท่านลืมเลือนว่า เราได้สาบานไว้แล้วว่า ชั่วชีวิตนี้จะมิขอมีภรรยาหรอกหรือ?”

“อ้อ สำหรับเรื่องนี้ก็สร้างความพิศวงไม่เข้าใจให้กับข้าพเจ้า”

“ท่านเข้าใจหรือไม่ก็ว่ามิมีความจำเป็น เพียงแต่ไฉนท่านจึงมิยอมรับนางเป็นภรรยาเล่า?”

ซิเล้งรู้สึกว่าสำหรับเรื่องนี้ย่อมต้องสร้างความระแวงคลางแคลงให้กับผู้รับทราบ จึงรีบกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าสามารถบอกเล่าตามความสัตย์ เรื่องนี้ฉี้อิงยังไม่ทราบ ความข้าพเจ้าก็มิสะดวกต่อการกล่าวออก ขอให้ท่านรักษาเป็นความลับด้วย”

“ตกลง”

“ความจริงฉิ้อิงได้รับคำสั่งจากบิดาไปเป็นสะใภ้ของครอบครัวที่แดนกังหนำ มาตรแม้นยังมิทันดำเนินพิธีวิวาห์ และเพียงพบเห็นคู่หมั้นหมายหลายครา ภายหลังเพราะมีสาเหตุจึงแยกจากมา ข้าพเจ้าหลังจากการฝึกปรือฝีมือสำเร็จแล้วก็ได้พบพานนาง และมีความสัมพันธ์อย่างสนิทสนมตลอดเวลา แต่ปัญหาอยู่ที่คู่หมั้นของนางกลับเป็นสหายร่วมตายของข้าพเจ้า”

กล่าวถึงตอนนี้ก็หยุดชะงักไป คล้ายดั่งกับวาจาประโยคสุดท้าย มีความรุนแรงอย่างที่ทุกผู้คนรับฟังเข้าใจได้

คาดมิถึงว่า อุ้ยเอี้ยงยังคงกระพริบตาดั่งราวกับไม่เข้าใจ ถามว่า

“ภายหลังเป็นอย่างไรเล่า?”

“อา ยังมีภายหลังอันใดอีก นางมิสมควรเป็นภรรยาในนามของสหายของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้ามาตรแม้นรักใคร่นาง ก็ไม่อาจรับเป็นภรรยา”

“ที่แท้เป็นเช่นนี้ บัดนี้สหายของท่านผู้นั้นคงคับแค้นใจยิ่งนักใช่หรือไม่?”

ซิเล้งงงงันไปวูบหนึ่ง ค่อยกล่าวว่า

“คราแรกมันย่อมรวดร้าวใจ แต่ขณะนี้ได้อยู่กินกับอิสตรีอื่นแล้ว”

“ถ้าเช้นนั้นเราก็ไม่เข้าใจเลย สหายของท่านเมื่อมีสตรีอื่น และฉี้อิงก็มิทันเข้าพิธีวิวาห์ ท่านไฉนจึงมิอาจรับนางเป็นภรรยาเล่า?”

“เรื่องราวทั้งมวลเกี่ยวข้องกับคุณธรรมประจำใจมนุษย์ ไหนเลยจะฝ่าฝืนได้ พร้อมกับนั้นสหายของข้าพเจ้า เนื่องจากรับทราบว่า ข้าพเจ้ากับฉี้อิงมีความสัมพันธ์กัน จึงหาหนทางหลีกเลี่ยงอยู่กินกับอิสตรีอื่น และเพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงมิอาจรับนางเป็นภรรยา”

อุ้ยเอี้ยงสั่นศีรษะกล่าวว่า

“ท่านคร่ำครึเกินไปแล้ว ในเมื่อสหายของท่านยอมหลีกเลี่ยงก็ไฉนไม่รับไว้ หากเปลี่ยนเป็นเรา มันไม่ยินยอมเราก็จะช่วงชิง ผู้ใดให้เราบังเกิดความนิยมชมชอบเล่า?”

ซิเล้งกล่าวอย่างหวั่นไหวว่า

“เรื่องราวเหล่านี้ข้าพเจ้ามิอาจกระทำได้ อุ้ยเอี้ยง ยังมิเชื่อถือวาจาที่ข้าพเจ้าบอกเล่าหรอกหรือ?”

“เราเชื่อถือ เพียงแต่มิคล้อยตามเหตุผลของท่านเท่านั้น ท่านเพราะเหตุนี้ ถึงกับคิดมอบนางให้กับเรา รู้สึกว่าออกจะเกินไปแล้ว”

“ข้าพเจ้ายังมีสาเหตุอื่นอีก สมมุติว่า ท่านเคยรับทราบนามสถาบันอำมหิตของอลัชชีโลกันตร์หรอกหรือ?”

ซิเล้งกล่าวขึ้นว่า

“มิผิด มันได้เคี่ยวเข็ญฝึกฝนผู้ทรงฝีมืออายุเยาว์ ขอเพียงประสบความสำเร็จ พวกข้าพเจ้าก็ล้วนมิใช่คู่มือ  ข้าพเจ้าโดดเดี่ยวเดียวดายหากตกตายก็หาเป็นไรไม่

แต่ทว่าฉี้อิงกับพวก ล้วนมีบิดามารดากับสำนักอาจารย์ สำหรับฉี้อิง หมู่บ้านตระกูลฉี้ของนาง ต้องอาศัยผู้คนคอยคุ้มครอง พลังฝีมือของท่านเมื่อสูงล้ำกว่านาง หากรวมกำลังกัน ย่อมมีอานุภาพสุดจะเปรียบ อลัชชีโลกันตร์มิแน่นักว่าจะรุกรานพวกท่านได้”

อุ้ยเอี้ยงขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงปรากฏรอยยิ้มอันเย้ยหยันกล่าวว่า

“เราได้มีการตกลงใจแล้ว ท่านคงคาดคิดมิถึง…”

ซิเล้งกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าไม่ถนัดในการคาดคำนวณจิตใจของผู้คน ย่อมไม่สามารถหยั่งคาดความรู้สึกของอุ้ยเอี้ยงได้”

“เราบอกกับท่าน ประแจเจดีย์ทองคำในเมื่ออยู่ที่ท่าน เราตกลงว่าจะนำพาท่านไป โดยไม่ทำร้ายพวกพ้อง สำหรับท่านจะเห็นพ้องหรือไม่ก็มิอาจตามใจพวกท่านแล้ว”

ซิเล้งรู้สึกว่า ตัวเองหลังจากยืนหยัดอยู่เนิ่นนานถึงกับกินแรงยิ่งนัก ไหนเลยจะสามารถหักล้างกับผู้ทรงฝีมือเบื้องหน้าได้ จึงผงกศีรษะกล่าวว่า

“ข้าพเจ้ามิอาจกระทำตามใจนึก เพียงแต่ประแจทองมิได้อยู่ในร่างกายของข้าพเจ้า ท่านตบค้นก็มิพบพาน ข้าพเจ้ามิยอมมอบให้กับท่านหรือว่าท่านมีหนทางบีบบังคับข้าพเจ้าให้มอบออกไปด้วย?”

อุ้ยเอี้ยงกล่าวอย่างเฉื่อยชาว่า

“เมื่อเป็นเช่นนี้ ประแจเจดีย์ทองคำก็กลับกลายเป็นไม่สำคัญแล้วท่านเข้าใจหรือไม่… เราเพียงแต่ไม่อนุญาตให้สามัญชนล่วงล้ำเข้าสู่เจดีย์ทองคำซึ่งบัดนี้ก็บรรลุถึงจุดมุ่งหมายแล้ว”

เราพลันลงมืออย่างกระทันหัน จี้สกัดจุดของซิเล้ง โอบอุ้มซิเล้งขึ้นอย่างรวดเร็ว วิ่งปราดมาที่ข้างรถ

อย่าว่าแต่ฉี้อิง ปึงเซียะ แม้แต่พวกยู้ไคกัง ก็สังเกตสนใจสภาพการสนทนาระหว่างซิเล้งกับอุ้ยเอี้ยงจวบจนบัดนี้ ดังนั้นอุ้ยอี้ยงพอลงมือสกัดจุดของซิเล้งอย่างกระทันหัน ก็ได้สร้างความปั่นป่วนขึ้น

ฉี้อิงส่งเสียงร้องว่า

“ท่านกำลังทำอันใด?”

ท่ามกลางสำเนียงตวาด ได้ถาโถมมาที่รถม้า

ปึงเซียะก็ถลันปราดเข้าหาพร้อมกับนางอย่างว่องไว เรือนร่างขณะลอยตัวอยู่กลางอากาศ กระบี่ยาวได้กระชากออกจากฝัก

อุ้ยเอี้ยงได้กระโดดปราดขึ้นไปที่หน้ารถแล้ว จัดวางซิเล้งอยู่ที่ซ้ายมือ หัวร่อ ฮา ฮา แล้วเบือนหน้าทางฉี้อิงปึงเซียะ สำหรับอิริยาบถที่โถมปราดเข้ามาอย่างร้อนรน คล้ายดั่งมิแยแสสนใจ

ปึงเซียะมาตรแม้นมีความลึกซึ้ง ไม่เดือดดาลอย่างง่ายดายลงมือด้วยความอำมหิต แต่ในยามนี้สำนึกทราบว่า พฤติการณ์ของอุ้ยเอี้ยงปราศจากเจตนาอันดีงาม ดังนั้นตัวกระบี่จึงสาดประกายดั่งสายรุ้ง จู่โจมใส่อุ้ยเอี้ยงอยู่บนอานรถอย่าเกรี้ยวกราด

ฉี้อิงกลับสู่สภาวะจู่โจมของปึงเซียะ ทำให้มิสะดวก ถูกบีบบังคับ จนต้องพลิ้วกายเฉียวๆ ลงมาอีกด้านหนึ่ง

อุ้ยเอี้ยงมือซ้ายคว้าจับบังเหียนม้า ฝ่ามือขวาสะบัดกระบี่ยาวกรีดวาดอย่างปราดเปรียว กลับสามารถต้านรับการจู่โจมที่รุนแรงราวกับสายฟ้าคะนองฝนของปึงเซียะเอาไว้

ปฏิกิริยาของมัน สง่างามเป็นพิษ คล้ายดั่งกับว่าไม่เสื่อมสูญเรี่ยวแรงแม้แต่น้อย

ฉี้อิงพลันยื่นมือออก คว้าจับถูกเหล็กบังเหียนที่ปากม้า มิอนุญาตให้อุ้ยเอี้ยงควบม้าห้อตะบึงออกไป ส่วนปึงเซียะเรือนร่างที่ลอยอยู่ กลางอากาศเปลี่ยนแปลงกระบวนท่า จู่โจมอีกหนึ่งกระบี่

อุ้ยเอี้ยงสะบัดปาดกระบี่ยาว ประหนึ่งสายฟ้าแลบพุ่ง ฟาดถูกกระบี่ของศัตรู แว่วเสี่ยงดังเปรื่องถึงกับกระแทกผู้ทรงฝีมือแห่งคุนลุ้นถอยกายไป มิอาจไม่พลิ้วร่างลงบนพื้นดิน

หลังจากที่อุ้ยเอี้ยงรุกไล่ศัตรูล่าถอยไปแล้ว มิเพียงแต่ไม่ชำเลืองแลปึงเซียะ ยังรั้งกระบี่ยาวกลับมาแต่หาได้สอดคืนสู่ฝัก เพียงเสือกไปที่กลางหลัง

เมื่อเป็นเช่นนี้ ปลายกระบี่ก็จ่ออยู่ที่ใต้ชายโครง มันเพียงแต่เสือกไสเข้าใส่ อาวุธอันคมกล้าก็จะทิ่มแทงเข้าสู่จุดชีวิตในเรือนร่างของซิเล้ง!

อุ้ยเอี้ยงจับจ้องซิเล้ง แย้มยิ้มอย่างเยือกเย็น กล่าวว่า

ซิเล้งทั้งถูกสกัดจุด และเผชิญกับปลายกระบี่คุกคามใส่ แต่กล่าวว่า

“ในเมื่อเป็นสหายของข้าพเจ้า ย่อมต้องขัดขวางพฤติการณ์ที่ท่านคร่ากุมข้าพเจ้าไป ยังจะมีความพิสดารอันใด”

“หากแม้นท่านเปลี่ยนแปลงเป็นพวกฉี้อิง เราคร่ากุมนางหรือปึงเซียะขึ้นไปบนรถม้า ท่านจะจัดการอย่างไร?”

ซิเล้งโดยมิต้องขบคิด ได้กล่าวว่า

“ข้าพเจ้าแม้มิกล้าลงมือจู่โจมต่อท่าน ก็ต้องขัดขวางรถม้า มิยอมให้ท่านควบขับจากไป”

อุ้ยเอี้ยงหัวร่อแค่นๆ กล่าวว่า

“ตอบได้ประเสริฐ แต่พวกสหายของท่าน กลับร้อนรุ่มจนลงมือจู่โจมอย่างวู่วาม โดยลืมเลือนไปว่าเราสามารถสังหารท่าน!”

ซิเล้งเงียบงันไป ตนย่อมมิอาจเอื้อนเอ่ยวาจาได้

ปึงเซียะยืนหยัดอยู่บนพื้นดินที่อยู่ห่างไปหลายเชียะ แลเห็นฝ่ายตรงข้ามใช้กระบี่ยาว จ่ออยู่ที่จุดชีวิตของซิเล้ง ไหนเลยจะกล้าลงมืออย่างวู่วาม?

ฉี้อิงกระชากเสียงกล่าวว่า

“ผู้แซ่อุ้ย ท่านมีเจตนาอย่างไร?”

“ฮา ฮา โกวเนี้ยขออย่าได้ขุ่นเคืองไป ควรทราบว่าการมีโทสะเป็นศัตรูสำคัญของดรุณีโฉม สะคราญ หากขุ่นเคืองอยู่ตลอดเวลา ท่านจะชราภาพอย่างรวดเร็ว”

ฉี้อิงกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า

“ท่านที่แท้มีแผนการอย่างไร?”

อุ้ยเอี้ยงกล่าวว่า

“หากแม้นพวกท่านไม่บีบบังคับเราจนเกินไป เราก็จะมิสังหารซิเล้ง หรือทารุนทรามานมัน บัดนี้ ท่านถอยไปให้กับเราด้วย!”

วาจาประโยคสุดท้าย เกรี้ยวกราดเย็นยะเยียบ และสีหน้าก็ถูกปกคลุมด้วยแววอำมหิต

ฉี้อิงอดมิได้ต้องมีสีหน้าประหวั่นพรั่งพรึง นิ้วมือทั้งห้าคลายออก ถอยกายไปสองก้าว

อุ้ยเอี้ยงกล่าวอย่างเย็นชาว่า

“คาดมิถึงว่า ท่านยังมีไมตรีต่อซิเล้งอยู่บ้าง หากแม้เราเป็นท่าน จะเหวี่ยงมันไปเนิ่นนานแล้ว…”

ฉี้อิงเลิกคิ้วขึ้นกล่าวว่า

“เขาบอกกล่าวเรื่องราวอันใดกับท่าน?”

“ท่านเฝ้ามุ่งหวังว่า ภายภาคหน้ามันค่อยบอกกล่าวกับท่านถอะ เรามิร่วมน้อมสนองด้วยแล้ว”

ขณะกล่าววาจา ก็เบนเบือนตัวกระบี่ที่จ่ออยู่ตรงชายโครงของซิเล้งออกห่างมา เบือนสายตาที่ปึงเซียะ กล่าวว่า

“เราไม่ต้องใช้กระบี่ก็สามารถปลิดชีวิตของมันได้ ท่านเชื่อถือหรือไม่”

ปึงเซียะย่อมต้องเชื่อถือ ได้แต่กล่าวว่า

“อุ้ยเฮียที่แท้มีความคิดอันใด?”

อุ้ยเอี้ยงเค้นเสียงกล่าวว่า

“เราจะนำพาซิเล้งจากไป แต่ท่านย่อมต้องขัดขวางพฤติการณ์ของเรา เพียงแต่ไม่มีทางกระทำสำเร็จ”

ปึงเซียะจับจ้องฝ่ายตรงข้ามอย่างเงียบงัน รู้สึกว่าอุ้ยเอี้ยงผู้นี้  มีความเร้นลับสุดหยั่งคาด ในเมื่อมิทราบซึ้งถึงความเป็นมา ก็ไม่อาจล่วงรู้ถึงความนึกคิดของมันด้วย

นางแมงมุมขาวได้วิ่งตะบึงเข้ามา ลอบใช้ใยเทพแมงมุมดำติดพันอยู่บนรถม้า

อุ้ยเอี้ยงโอบอุ้มซิเล้ง พลันกระโดดปราดลงมาบนพื้นดิน ปึงเซียะรู้สึกพิศวงสงสัยในพฤติการณ์ แลเห็นอุ้ยเอี้ยงถลันกายเข้าไปในตัวรถ และผลักไสซิเล้งเข้าไปด้วย

หลังจากนั้น มันได้เหวี่ยงวัตถุสิ่งหนึ่งออกมาจากตัวรถ ร่วงหล่นลงบนพื้นดิน พวกปึงเซียะทั้งหมดพอกวาดตามองไป กลับแลเห็นเป็นระเบิดกลมลูกหนึ่ง และแตกระเบิดออก ปรากฏควันสีเขียวอันแน่นหนากลุ่มหนึ่งพวยพุ่งขึ้น

ควันสีเขียวนั้น รวมตัวโดยไม่แตกกระจาย พวยพุ่งขึ้นสู่เบื้องบนคล้ายดั่งเป็นม่านหมอก รู้สึกสวยงามจับตา ชั่ววูบเดียวได้ ลอยขึ้นสูงหลายวา

พวกปึงเซียะเพิ่งรู้สึกว่านี่เป็นการส่งสัญญาณ เพียงแต่มิทราบเจตจำนงมุ่งหมาย

ชั่วครู่ให้หลัง ปรากฏเงาร่างสองสายพุ่งปราดๆ ตรงเข้ามาอย่างว่องไวประชิดใกล้ ทั้งหมดจึงเห็น ชัดถนัดตาว่า เป็นบุรุษอายุเยาว์ประมาณยี่สิบหก ยี่สิบเจ็ดปี

ทั้งสองสวมอาภรณ์ชุดรัดกุม บนบ่าสะพายกระบี่ยาว คำนวณจากวิชาท่าร่างของพวกมัน ก็ทราบได้ว่ามีพลังฝีมือต่ำทราม

พวกมันวิ่งตะบึงไปที่รถม้า ปึงเซียะจึงเข้าใจได้ว่า ทั้งสองนี้ได้รับคำสั่งมาควบคุมรถม้า ดังนั้นถึงกับฉุกใจได้คิด คำนึงว่า

“…เราเกรงว่าจะทำร้ายถูกสหาย จึงมิกล้าตอแยกับอุ้ยเอี้ยง แต่หากคิดลงมือขัดขวาง บุรุษทั้งสอง นี้ก็จะพัวพันจนอาจสืบทราบเบาะแส เกี่ยวกับแนววิชาฝีมือของฝ่ายตรงข้าม แน่นอนหากสามารถคร่ากุมพวกมันย่อมประเสริฐ จนใช้แลกเปลี่ยนกันได้…”

ความคิดพอปรากฏขึ้น ก็ผนึกกำลังในบัดดล รอจนบุรุษทั้งสองพุ่งกายเข้าใกล้ พลันลงมือสะบัดกระบี่ออกปากก็ตวาดว่า

“ท่านทั้งสองคิดจะไปที่ใด?”

มันอาศัยกระบี่เล่มเดียว จู่โจมคู่ต่อสู้สองคนในเวลาเดียวกัน ประกายกระบี่ม้วนทะลักออกอย่างเกรี้ยวกราด บุรุษทั้งสองชะงักภาวะรุกล้ำหน้าและกรีดกระบี่เข้าต้านทาน

ปฏิกิริยาของพวกมันทั้งสอง ล้วนแต่รวดเร็วสุดจะเปรียบ ได้ยินเสียงดังเปรื่อง กระบี่ยาวทั้งสาม เล่มปะทะเข้าหากัน ปึงเซียะรู้สึกว่าการรวมกำลังของมันทั้งสอง มีความเข้มแข็งรุนแรงยิ่งนัก ถึงกับสะท้านใจอย่างรุนแรง

มารตแม้นเป็นเช่นนั้น ปึงเซียะก็ยังพลิกแพลงกระบานท่า จู่โจมออกไปสามกระบี่อย่างต่อเนื่องกัน กลับถูกพวกมันทั้งสองปาดกระบี่ต้านรับไว้ มิอาจรุกไล่ พวกให้ถอยกายแม้แต่ก้าวเดียว

วิชาฝืมือของบุรุษวัยฉกรรจ์ทั้งสองนี้ ทำให้พวกยู้ไคกังทั้งเจ็ดคน ซึ่งทัศนาอยู่ที่ห่างไกล พากันตะลึงลานไป ทั้งนี้เพราะความลึกล้ำในเพลงกระบี่ ความเข้มแข็งในพลังฝีมือของมันทั้งสอง สามารถทัดเทียมกับผู้ทรงฝีมือแห่งยุค

หากทว่า พวกมันกลับเป็นชนชั้นปราศจากชื่อเสียงเรียงนาม เพียงแต่เป็นบริวารของอุ้ยเอี้ยง คอยรับฟังคำบงการเท่านั้น

ปึงเซียะก็สำนึกทราบว่า มิมีทางคร่ากุมพวกมันทั้งสอง จึงได้แต่รั้งภาวะกระบี่ กล่าวว่า

“เพลงกระบี่ของพี่ท่านทั้งสองนี้ นับว่าสูงล้ำอย่างยิ่งยวด”

อุ้ยเอี้ยงในตัวรถกล่าวสอดว่า

“มิกล้ารับ พวกมันเพียงฝึกปรือวิชากระบี่มาสามสี่ปี… เรารู้สึกว่าปึงเฮียอย่าได้เสื่อมสูญกำลังอีกเลย ยังคงปล่อยให้พวกเราไปเถอะ มาตรมิเช่นนั้น เราก็มิเกรงใจต่อซิเล้งแล้ว!”

ปึงเซียะอับจนปัญญา ขยับกายหลบเลี่ยงมาด้านข้าง บุรุษทั้งสองมิส่งเสียงเอ่ยวาจา พากันกระโดดปราดขึ้นไปที่หน้ารถ ฉี้อิงยามกระวนกระวายก็ยื่นมือไปคว้าจับเหล็กบังเหียนอีก

บุรุษวัยฉกรรจ์ผู้หนึ่ง กล่าวอย่างเย็นชาว่า

“โกวเนี้ยทางที่ประเสริฐ ยังคงปล่อยมือล่าถอยไป”

ฉี้อิงถลึงตาเข้าใส่ กระชากเสียงว่า

“เรามิปล่อยมือท่านจะกระทำไร ท่านกล้าต่อสู้กับเราหรือไม่?”

บุรุษผู้นั้นกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า

“ข้าพเจ้าก่อนที่มิได้รับคำบัญชาของท่านประมุขย่อมมิสามารถต่อสู้กับท่าน เพียงแต่ข้าพเจ้าจะจดจำความไร้มารยาทของโกวเนี้ย ภายภาคหน้าระบายอารมณ์ต่อบุคคลอื่น”

ฉี้อิงรับฟังจนใจเย็นยะเยียบ ปล่อยมือออกอย่างเลื่อนลอย

อุ้ยเอี้ยงหัวร่อแค่นๆ กล่าวว่า

“นี่เรียกว่าแส่หาเรื่องราวเอง อากิม พวกเราไปกันเถอะ”

บุรุษผู้ที่ใช้ถ้อยคารมคุกคามฉี้อิง ส่งเสียงรับคำอย่างนอบน้อมกระตุกเส้นบังเหียน หมายบังคับรถม้าควบขับออก

ทันใดนั้น เงาร่างสายหนึ่งได้พลิ้วปราดเข้ามาคว้าจับเหล็กบังเหียน จนอาชาเทียมรถมิอาจก้าวออกจากที่ อากิมเหลือบแลเห็นเป็นสตรีงามผมขาวตามรกตนางหนึ่ง ถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากัน กล่าวว่า

“โกวเนี้ยรีบถอยไป”

นางแมงมุมขาวยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า

“เรามีวาจาหลายประโยค เอื้อนเอ่ยต่อประมุขท่าน พวกท่านรอคอยสักครู่หนึ่ง”

อุ้ยเอี้ยงกล่าวสวนขึ้นว่า

“เรื่องราวอันใด?”

“ซิเฮียมีร่างกายไม่สบาย ดังนั้นมิสามารถลงมือหักโหมกับท่าน สำหรับข้อนี้ท่านย่อมทราบแล้ว”

“ทราบแล้วจะเป็นอย่างไร?”

“หากแม้นท่านเชื่อถือเรา เราคิดจะตรวจดูชีพจรของมัน อาจจะมอบตัวยาบางประการให้ด้วย”

อุ้ยเอี้ยงเงียบงันไปเล็กน้อยจึงกล่าว

“ความจริงก็มิมีอันใดมิได้ เพียงแต่พฤติการณ์นี้เยิ่นเย้อเวลา”

นางแมงมุมขาวรีบกล่าวว่า

“มิต้องใช้เวลาเนิ่นนานเลย อาศัยความสามารถของท่าน หรือเกรงว่าจะฉกฉวยโอกาสช่วงชิงมัน ไปด้วย?”

ฉี้อิง ปึงเซียะ ย่อมทราบว่าแผนการของนางแมงมุมขาว ต้องการใช้ใยของเทพแมงมุมดำ ติดพันอยู่บนร่างกายของซิเล้ง หลังจากนั้นมาตรแม้นว่าฝ่ายตรงข้ามจะนำพาซิเล้งไปถึงตำแหน่งใด ก็สามารถเสาะพบได้

อุบายนี้ประเสริฐอย่างสุดแสน ขอเพียงแต่ฝ่ายตรงข้ามอนุโลมด้วยก็จะมีโอกาสพลิกแพลงจากสภาพพ่ายแพ้เป็นเอาชัยได้ทีเดียว

ขณะนั้นพลันได้ยินซิเล้งกล่าวขึ้นว่า

“อุ้ยเฮียทางประเสริฐอย่าได้ตกลง นางแมงมุมขาวหาได้รู้จักวิชาแพทย์พยาบาลไม่”

อุ้ยเอี้ยงพลันเขม้นมองนางแมงมุมขาวกล่าวว่า

“บัดนี้ท่านมิอาจเคลื่อนไหว มาตรมิเช่นนั้นเราก็จะปลิดชีวิตของท่าน”

มันเคยประมือกับนางแมงมุมขาว มีความสามารถสังหารนางได้จริงๆ วาจานี้หาได้คุยเขื่องข่มขู่ไม่

อุ้ยเอี้ยงกล่าวถามซิเล้งบ้างว่า

“นางในเมื่อมิรู้จักวิชาแพทย์ แสดงว่าย่อมต้องมีกลอุบาย จึงคิดจะหาทางใกล้ชิดกับท่าน เหตุไฉนท่านจึงเปิดเผยแผนการของนาง ทำให้เรารู้สึกสงสัยใจยิ่ง”

ซิเล้งถอนหายใจยาวๆ ออกมากล่าวว่า

“อุ้ยเฮียมิต้องถามไถ่ให้มากความ มิว่าอย่างไรพฤติการณ์ของข้าพเจ้านี้ สามารถทำให้ท่านมิต้องเผชิญกับเหตุการณ์อันยุ่งยาก”

อุ้ยเอี้ยงผงกศีรษะ พลันสะบัดกระบี่เสือกแทงเข้าใส่นางแมงมุมขาวดังควับใหญ่ นางแมงมุมขาวรู้สึกว่ามีพลังกระบี่อันเกรี้ยวกราดคุกคามมา สามัญสำนึกบงการให้นางถอยกายไปหลายก้าว

รถม้าพลันขับเคลื่อนไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็วโลดแล่นตามทางหลวง มุ่งสู่ทิศทักษิณ ฉี้อิง ปึงเซียะ นางแมงมุมขาว ล้วนแต่งงงันไป มิทราบว่าสมควรกระทำอย่างไร

โค้วเพ้งพลันร้องขึ้นว่า

“โกวโกว ซีเจกเจ่กจะถูกนำพาไปที่ใด?”

ฉี้อิงกล่าวว่า

“มันถูกเดียรัจฉานนั้นคร่ากุมไป เราย่อมมิอาจคาดคำนวณได้”

โค้วเพ้งพลันทุ่มเทฝีเท้าติดตาม พวกฉี้อิงส่งเสียงเรียกหา มันก็มิแยแสสนใจ พริบตาเดียวได้ไล่ล่า ตามทัน ตวาดหักห้ามรถม้าอย่างขุ่นเคือง

รถม้ายังตะบึงต่อไป โค้วเพ้งก็ติดตามโดยมิยอมเลิกรา

พวกฉี้อิงทั้งหมดรีบโลดแล่นตามไป พลันเหลือบแลเห็นรถม้าชะลอความเร็วลง โค้วเพ้งติดตามจนถึงข้างรถ เดินเหินอีกยี่สิบสามสิบก้าว พลันกระโดดปราดขึ้นสู่ตัวรถ

หลังจากนั้น รถม้าก็เพิ่มพูนความเร็วขึ้น สภาพเช่นนี้แสดงว่า โค้วเพ้งยินยอมติดตามซิเล้ง และได้รับอนุญาตจากฝ่ายตรงข้ามด้วย

นางแมงมุมขาวส่งเสียงจนฉี้อิงปึงเซียะชะงักเท้าลง แล้วจึงกล่าวว่า

“พวกเรารอถึงยามค่ำคืนค่อยสะกดรอยตาม เราสามารถเสาะพบรถม้าคันนั้น”

ฉี้อิงกล่าวอย่างลิงโลดว่า

“ถ้าเช้นนั้นก็ประเสริฐ พวกเราบัดนี้อย่าเพิ่งติดตาม”

ปึงเซียะกลับสั่นศีรษะอย่างหมกมุ่นกังวล แต่มิได้ว่ากล่าวอย่างไร

มันหลังจากครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย จึงเดินเหินเข้าหายู้ไค้กังกับพวกไกล่เกลี่ยให้เลิกร้างเรื่องราว พวกยู้กังก็สำนึกทราบว่า กลุ่มของฉี้อิงมีพลังฝีมือสูงเยี่ยม มิมีทางลงมือได้ ภายหลังปึงเซียะยังขอร้องให้ร่วมมือกันสืบเสาะความเป็นมาของอุ้ยเอี้ยง

ขอย้อนกล่าวถึงโค้วเพ้น พอขึ้นไปบนรถแล้ว รถม้าก็ตะลุยตะบึงเป็นระยะทางสิบกว่าลี้ พลันเลี้ยวเข้าไปในดงไม้แห่งหนึ่ง อุ้ยเอี้ยงลงมือตบคลายจุดของซิเล้ง ดังนั้นซิเล้งจึงสามารถเคลื่อนไหวได้

อุ้ยเอี้ยงบงการให้ซิเล้งโค้วเพ้งลงจากรถ สาวเท้าก้าวออกจากดงพฤกษา แลเห็นบุรุษวัยฉกรรจ์ผู้หนึ่ง ได้ควบขับรถม้าอีกคันหนึ่งมาถึง อุ้ยเอี้ยงให้ทั้งหมดขึ้นไปบนรถ และห้อตะบึงต่อไป!

ซิเล้งถูกพฤติการณ์อันลึกลับของบุคคลนี้ บังเกิดความพิศวงคลางแคลงใจอย่างใหญ่หลวง เคยทัศนามันอยู่ครู่ใหญ่  แต่ความรู้สึกข้างต้นก็เสื่อมสลายไปอย่างรวดเร็ว ฟื้นฟูสู่ความเฉื่อยชาไม่อนาทร

อุ้ยเอี้ยงย่อมสังเกตพบความผิดปรกติในอิริยาบถของซิเล้ง ถามไถ่อยู่สองครั้ง ซิเล้งล้วนมิแยแสสนใจ อุ้ยเอี้ยงก็ไม่มีโทสะ กลับไปถามไถ่ต่อโค้วเพ้ง

ดังนั้นค่อยรับทราบว่า ซิเล้งในหลายวันที่ผ่านมาล้วนเป็นเช่นนี้และถามไถ่จนทราบว่า แม้แต่ฉี้อิงก็มิใจความนัยด้วย จึงมิเอื้อนเอ่ยวาจากับซิเล้งอีก


 อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่