๔๓
♦ ฝีมือสะท้านโลก ♦
……………
ส่วนฉี้อิงตลอดเวลาได้เดินวนเวียนอยู่นอกวงการต่อสู้ แส้พายุดำกวัดแกว่งไปมา แต่ยังลังเลมิลงมือ คล้ายดั่งไม่อาจเสาะพบช่องว่างสอดแทรกเข้าไป
ปึงเซียะจับจ้องอยู่ครู่หนึ่ง แลเห็นนางแมงมุมขาวกลับไม่มีทีท่าพ่ายแพ้ บางครั้งยังสามารถจู่โจมอย่างเกรี้ยวกราด และอุ้ยเอี้ยงก็มิสะดวกสบายเฉกเช่นคราแรกแล้ว
สภาพเช่นนี้ สร้างความพิศวงไม่เข้าใจให้กับปึงเซียะ แต่ชั่วครู่ต่อมาค่อยพบเห็นว่า ฉี้อิงความจริงได้ช่วยเหลือร่วมต่อสู้ด้วย
มาตรแม้นมิได้จู่โจมอย่างตรงๆ แต่ตลอดเวลาคอยเดินวนเวียนอยู่รอบวง บีบบังคับจนอุ้ยเอี้ยงมิอาจไม่คอยระมัดระวังนาง จนแบ่งปันกำลังไปส่วนใหญ่ ซึ่งก็มิแตกต่างจากการลงมือจริงๆ เท่าไหร่นัก
ตำแหน่งที่ฉี้อิงเหยียบย่ำลง ลึกล้ำพิสดารยิ่งนัก ปึงเซียะจับจ้องจนตื่นเต้นเลื่อมใสอย่างใหญ่หลวง แต่ทว่าอุ้ยเอี้ยงกลับสามารถป้องกันอย่างรัดกุม ไม่เปิดโอกาสให้จู่โจมได้
อีกทางหนึ่ง มันยังต้องรับมือผู้ทรงฝีมือเฉกเช่นนางแมงมุมขาว ความสำเร็จเช่นนี้ควรค่าแก่การแตกตื่นตระหนก และปึงเซียะสำนึกว่า หากแปรเปลี่ยนเป็นมันก็ไม่มีทางกระทำได้
ชั่วครู่ให้หลัง ฉี้อิงพลันแค่นหัวร่ออย่างเย็นชา กล่าวว่า
“อุ้ยเอี้ยง ท่านระวังข้าพเจ้าจะลงมือจริงๆ แล้ว”
อุ้ยเอี้ยงส่งเสียงกล่าวว่า
“มิต้องเกรงใจ เชิญตามสะดวก”
“ข้าพเจ้ากลับมิหลงกลอุบายของท่านหรอก”
“ท่านประกาศว่าจะลงมือเอง หาใช่บีบบังคับไม่ ยังมีการหลงกลอุบายด้วย?”
“ย่อมต้องมี วิชากระบี่ของท่าน ถนัดในการตีโต้โดยอาศัยปมด้อยของศัตรู หากแม้นข้าพเจ้าลงมือจู่โจมเข้าไป ท่านก็สามารถใช้นางแมงมุมขาวน้องเรามาคุกคามข้าพเจ้า”
อุ้ยเอี้ยงเงียบงันไปครู่หนึ่ง แล้วจึงหัวร่อพลางกล่าวว่า
“ร้ายกาจจริงๆ ในใต้หล้าสามารถเห็นซึ้งในข้อนี้ นับว่ามีน้อยกว่าน้อย”
ฉี้อิงกล่าวขึ้นว่า
“ท่านรั้งกระบี่ปล่อยให้น้องสาวของเราล่าถอยออกมา ข้าพเจ้าจึงจะลงมือ”
“โกวเนี้ยตามรกตนางนี้ ยังมิยินยอมพร้อมใจอาจเข้าใจว่าเอาชัยเราได้”
“นั่นเป็นเรื่องอีกประการหนึ่ง กล่าวตามความสัตย์ นางยังมีไม้ตายอันร้ายกาจอยู่ ซึ่งเพียงแต่แสดงออก ท่านจะรอดชีวิตได้หรือไม่ นับเป็นปัญหาทีเดียว”
“เฮอะวาจานี้เรายากที่จะเชื่อถือความจริงสมควรบ่งบอกว่า เรายังมีวิชาอันอำมหิต ที่ยังมิทันสำแดงออกจึงจะถูกต้อง”
ปึงเซียะกล่าวเสียงกังวานว่า
“ท่านอย่าได้คุยโอ่ ข้าพเจ้าเมื่อครู่นี้ ก็รับการแนะนำมาแล้ว ท่านนอกจากมีวิชาทบทวนไปมาอยู่มิกี่กระบวนท่าแล้ว ยังมีไม้ตายอำมหิตอัดใดอีก”
“ผู้แซ่ปึง ท่านหากมิเกรงว่าภรรยาในอนาคตจะถูกสังหาร ก็ลองเอ่ยวาจากระตุ้นดูว่า จะเป็นจริงเท็จประการใด”
มันเมื่อเอื้อนเอ่ยเช่นนี้ ปึงเซียะก็มีกล้ากล่าววาจาเหลวไหล ขบคิดอย่างหมกมุ่น
ฉี้อิงกล่าวเสริมอย่างเย็นชาว่า
“ท่านหากมิเชื่อว่า นางแมงมุมขาวน้องเรา มีไม้ตายที่ไม่ได้สำแดงออกก็ไยมิลองใช้วาจา กระตุ้นพวกเราบ้าง”
อุ้ยเอี้ยงเปล่งเสียงหัวร่อกล่าวว่า
“ท่านเมื่อกล่าวเช่นนี้ คล้ายดั่งมีเรื่องจริงด้วย ขอให้เราทดสอบดูก็จะทราบชัดเอง”
มันเบิ่งตาจับจ้องนางแมงมุมขาว และมิระแวดระวังฉี้อิงอีก กระบี่ยาวพลันเพิ่มพูนอานุภาพ กลับกลายเป็นผู้รุกกระหน่ำ จนนางแมงมุมขาวมือไม้สั่นเป็นพัลวัน
ทุกผู้คนล้วนสังเกตได้ว่า มันมีความเกรี้ยวกราดกว่ากาลก่อนมากมายนัก กระบี่ยาวแผ่พลังอันอำมหิตอย่างเลือนราง!
ฉี้อิงใจสะท้านหวั่นไหว ร้องดังๆ ว่า
“เซี่ยวเพ้ง รีบมาทางนี้”
โค้วเพ้งบนรถม้า สลัดทิ้งเชือกบังเหียน วิ่งตะบึงตรงเข้ามา
ฉี้อิงถอยออกจากวงมาหกเจ็ดก้าว ถามเบาๆ ว่า
“ซิเจกเจ่กของเจ้า ได้เอ่ยวาจาอันใดหรือไม่?”
“หามีไม่”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าไปถามไถ่เขาว่า สามารถช่วยเหลือเราพันตูกับศัตรูผู้นี้หรือไม่?”
โค้วเพ้งเบิ่งตากล่าวว่า
“ท่านมิอาจเอาชัยมันหรอกหรือ?”
“หากสามารถเอาชัย ไยต้องการให้ซิเจกเจ่กของเจ้าช่วยเหลือด้วย”
“ซิเจกเจ่กคล้ายดั่งอ่อนระโหยยิ่งนัก ไหนเลยจะลงมือต่อยตีได้ ขอให้ผู้หลานช่วยเหลือท่านเถอะ”
ฉี้อิงกระชากเสียงว่า
“รีบไปถามไถ่พร่ำพิไรไยกัน?”
โค้วเพ้งแลเห็นนางมีโทสะ ก็มิกล้าเอื้อนเอ่ยอีก รีบหันกายวิ่งกลับไป
พริบตาเดียวก็พุ่งกลับมา กล่าวกับฉี้อิงว่า
“ผู้หลานถามไถ่ซิเจกเจ่กแล้ว และท่านกล่าวว่าโกวโกวยังอย่าได้ลงมือเลย มาตรมิเช่นนั้น…”
กล่าวถึงตอนนี้ พลันได้ยินเสียงนางแมงมุมขาวส่งเสียงกรีดร้องขึ้น สร้างความแตกตื่นให้กับฉี้อิงและโค้วเพ้ง จนเบือนหน้ามองไป แลเห็นเสื้อผ้าที่นางแมงมุมขาวสวมใส่อยู่ ถูกกระบี่กรีดขาดสองแห่ง แต่ยังร่ายรำดาบคู่โหมจู่โจม
ฉี้อิงรีบกล่าวว่า
“เซี่ยวเพ้ง ซิเล้งที่แท้ว่ากระไร?”
“ซิเจกเจ่กบ่งบอกว่า ท่านหากคิดลงมืออย่างแน่นอน ก็ไม่มีทางช่วยเหลือเลย
“ย่ำแย่ยิ่งนัก มีแต่เรากับเขาร่วมมือกัน จึงสามารถเอาชัยได้”
“ขอให้ผู้หลานออกไปเถอะ”
ฉี้อิงขมวดคิ้วกล่าวว่า
“เราได้บอกว่าเจ้าใช้การมิได้แล้ว อย่าว่าเจ้า แม้กระทั่งปึงเจกเจ่กก็ไม่สามารถช่วยเหลือ”
นางแลเห็นโค้วเพ้งมีท่วงท่าผิดหวังยิ่งนัก จึงกล่าวสืบไปว่า
“ทั้งนี้ก็เพราะเรากับซิเจกเจ่กของเจ้า หากรวมกำลังจู่โจมศัตรูจะร้ายกายเป็นพิเศษ หากเปลี่ยนบุคคลอื่นมาชดเชย สภาพการณ์ก็จะแตกต่างไปมากมาย อย่าว่าแต่ปึงเจกเจ่กของเจ้า ประกาศยอมแพ้แล้ว ไม่สามารถลงมือได้อีกเลย”
หลังจากนั้น ฉี้อิงได้สืบเท้าเข้าใกล้วงการต่อสู้ ตวาดอย่างเกรี้ยวกราดว่า
“ท่านที่แท้มีนามว่ากระไร?”
อุ้ยเอี้ยงกล่าวว่า
“โกวเนี้ยถามไถ่ประหลาดนัก เราไยต้องปลอมแปลงชื่อแซ่ด้วย”
มันเมื่อย้อนถาม ฉี้อิงก็ยากโต้แย้ง นางขมวดคิ้วแล้วกล่าวอีกว่า
“บัดนี้ท่านทดสอบจนทราบความจริงหรือปลอมแล้วหรือไม่?”
“ทดสอบแล้ว รู้สึกว่ายากจำแนกข้อเท็จจริงเพราะโกวเนี้ยตามรกตนี้ มีวิชาฝีมือแต่เพียงเท่านี้ เราสามารถลงมือปลิดชีวิตนางทุกโอกาส หากแม้นนางมีไม้ตายจริงๆ ก็เกรงว่ามิมีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังฝีมือประจำตัว”
“คำตอบของท่านยากที่จะเข้าใจได้
“เราจะสมมติเปรียบเทียบ โกวเนี้ยตามรกตนางนี้ อาจจะมีวิชาหรือวัตถุอันพิสดาร มาตรแม้นถูกฝ่ายตรงข้ามสังหารไป ก็ยังสามารถปลิดชีวิตคู่ต่อสู้เช่นกัน”
ฉี้อิงมิอาจไม่ยอมรับว่า วาจาของมันใกล้เคียงกับสภาพความเป็นจริง ดังนั้นจึงสะบัดแส้จนบังเกิดสำเนียงอันแหลมคม คุกคามเข้าไปในวงการต่อสู้อีก
อุ้ยเอี้ยงหัวร่อพลางกล่าวว่า
“ท่านสมควรลงมือเองแต่เนิ่นๆ แล้ว รอจนพวกท่านพ่ายแพ้ไปทีละคน ก็สามารถนำประแจเจดีย์ทองคำน้อมส่งมา เพื่อแลกเปลี่ยนกับการมีชีวิตสืบไป”
มันคุยเขื่องอย่างอักโข คล้ายดั่งมิแยแสสนใจซิเล้งฉี้อิงอยู่ในสายตาเลย
ฉี้อิงกลับมิขุ่นเคืองแม้แต่น้อย ลอบใคร่ครวญว่า
“…มันมีเจตนากระตุ้นโทสะ จนเรารีบลงมือ เราพาลไม่หลงกลของมัน เพียงแต่ขณะนี้ มันสามารถสังหารนางแมงมุมขาวทุกขณะจิต ทำให้มิอาจไม่ลงมือเลย…”
นางในเมื่อมิอาจสืบทราบแนววิชาฝีมือของอุ้ยเอี้ยงผู้นี้ ย่อมไม่สามารถคาดคะเนเจตนารมณ์ และอุปนิสัยใจคอของมันได้
มันจะลงมืออย่างกระทันหัน สังหารนางแมงมุมขาวหรือไม่ และเร่งรุดมาโดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ประแจเจดีย์ทองคำจริงๆ หรือ?
ควรทราบว่า ซิเล้งฉี้อิงได้ประกาศไปแล้วว่า จะนำประแจไขสู่เจดีย์ทองคำออกมาอย่างเปิดเผย ค่ายสำนักทุกแห่งสามารถไปฝึกปรือวิชาฝีมือในเจดีย์ทองคำ
ดังนั้น อุ้ยเอี้ยงความจริงมิต้องมีความประสงค์ยึดครองประแจทอง อย่าว่าแต่อาศัยความสำเร็จของมัน หากมิมีสาเหตุประการอื่น เฉกเช่นพวกซิเล้งฉี้อิง ซึ่งต้องต้านทานรับมืออลัชชีโลกันตร์กับกิมเม้งตี้ก็ไม่จำเป็นต้องละโมบวิชาอย่างอื่นเลย
แน่นอน สิ่งที่ทำให้ฉี้อิงแตกตื่นเคลือบแคลงใจสืบเนื่องจากความสำเร็จในเชิงกระบี่ของบุคคลนั้น อาศัยความสูงล้ำของมัน แม้กระทั่งกิมเม้งตี้ก็มิใช่คู่มือด้วย?
ในวงพวกนักเลง ถึงกับกำเนิดอัจฉริยะอายุเยาว์เช่นนี้ โดยที่มิมีผู้ใดรับทราบได้ ไยมิใช่เรื่องราวอันประหลาดพิกล
อุ้ยเอี้ยงพลันเปล่งเสียงกล่าวว่า
“ฉี้อิง เหตุใดยังไม่ลงมือ?”
ฉี้อิงแค่นเสียงดังเฮอะกล่าวว่า
“ท่านมิรั้งกระบี่ล่าถอยไป ข้าพเจ้าจะลงมืออย่างไร หรือว่าต้องการให้ข้าพเจ้ากระทำเรื่องราวที่ใช้พวกมากเข้ากลุ่มรุมด้วย?”
อุ้ยเอี้ยงอุทานดังอ้อ พลันขยับข้อมือจู่โจมไปสองกระบวนท่า เป็นประกายกระบี่ผืนใหญ่ รุกไล่จนนางแมงมุมขาวเหงื่อกาฬแตกชุ่มโชก ถอยกรูดๆ อยู่ตลอดเวลา
จากนั้นอุ้ยเอี้ยงจึงกระโดดปราดออกจากวงอย่างคล่องแคล่วปราดเปรียวจับจ้องมาทางฉี้อิงเป็นเชิงท้าทาย
ฉี้อิงกล่าวกับนางแมงมุมขาวว่า
“น้องเราถอยไปทางด้านปึงเฮียเถอะ”
นางแมงมุมขาวกล่าวว่า
“เจ้เจ๊ระวัง เดียรัจฉานนี้มีเพลงกระบี่ล้ำเลิศยิ่งนัก”
ขณะกล่าววาจา ก็ส่งเสียงหอบหายใจ มีสภาพเหน็ดเหนื่อยอิดโรย
ฉี้อิงผงกศีรษะเป็นเชิงรับทราบ รอจนนางแมงมุมขาวล่าถอยไป จึงเบือนสายตาจับจ้องผู้ทรงฝีมืออายุเยาว์เบื้องหน้า รู้สึกว่ามันมีรูปโฉมคมคาย จนสวยสะคราญยิ่ง
อุ้ยเอี้ยงก็เบิ่งตาสำรวจนางอย่างอุกอาจ มิคำนึงถึงมารยาท บนใบหน้ามีแววครึ่งยิ้มแย้มอยู่ด้วย
ฉี้อิงพลันถามไปว่า
“ท่านไฉนจึงต้องช่วงชิงประแจเจดีย์ทองคำ?”
“ท่านเหตุใดจึงไม่มอบต่อเราเล่า?”
“ชนชาวบู๊ลิ้มทั่วใต้หล้า บัดนี้ล้วนแต่ชุมนุมอยู่ที่ภูเขาไต้เซาะซัว รอคอยพวเราเร่งรุดไป เกี่ยวกับเรื่องนี้ท่านไม่ใช่มิทราบ ดังนั้นประแจทองไหนเลยจะมอบให้กับท่าน”
อุ้ยเอี้ยงกล่าวว่า
“ท่านสั่งเสียกับผู้อื่น นั่นเป็นเรื่องของท่าน เราเพียงมุ่งครอบครองประแจเจดีย์ทองคำดอกนั้น ซึ่งขณะนี้อยู่ในร่างกายของท่านหรือไม่?”
“ในยามนี้ล้วนไม่อยู่ในเรือนร่างของพวกเราทุกผู้คน สำหรับข้อนี้ข้าพเจ้ามิต้องกล่าวโป้ปดหลอกลวง”
“อือม์ ขณะนี้ท่านมิถึงกับต้องกล่าวมดเท็จ เพราะว่าท่านกับซิเล้งสองคนหากร่วมมือกัน มิแน่นักว่าจะพ่ายแพ้ใต้คมกระบี่ของเรา แต่ประแจทองดอกนั้นอยู่ที่ใด ท่านย่อมทราบดีใช่หรือไม่?”
“ข้าพเจ้าภายหลังมิทราบแล้ว มีแต่ซิเล้งที่ล่วงรู้ และข้าพเจ้ามิเคยถามไถ่มันมาก่อน”
คราก่อนกี้เฮียงเค้งได้นำประแจเจดีย์ทองคำไปซุกซ่อนอยู่แห่งอื่นและนางบ่งบอกตำแหน่งต่อซิเล้งเท่านั้น
อุ้ยเอี้ยงกลับยินยอมเชื่อถือ กล่าวว่า
“เป็นไปได้อย่างยิ่ง ทั้งนี้ก็เพราะพวกท่านย่อมไม่แยกจากกัน มันล่วงรู้ท่านย่อมทราบด้วย ซิเล้งคงอยู่ในรถม้าใช่หรือไม่?”
“ย่อมต้องแน่นอน”
“ท่านได้พบเห็นเพลงกระบี่ของเราแล้ว รู้สึกว่าสามารถเอาชัยเราได้หรือไม่ หากแม้นสำนึกว่ามิอาจต้านทาน พวกเราก็มิต้องลงมือแล้ว”
ฉี้อิงเค้นเสียงกล่าวว่า
“เอาชัยท่านได้หรือไม่ ยังต้องหักล้างกันแล้วค่อยซาบซึ้ง แต่มาตรแม้นมิจำเป็นต้องลงมือ ข้าพเจ้าก็สามารถออมกำลังเอาไว้”
“บอกกล่าวตามความสัตย์ ในวันนี้มิว่าพวกท่านจะดิ้นรนสักเท่าไร แม้กระทั่งกลุ้มรุมจู่โจมมาในคราเดียว ก็ยากที่จะรอดพ้นภัยพ่ายแพ้! ดังนั้นท่านยังคงทราบสถานการณ์ ปลอบโยนให้ซิเล้งมอบประแจทอง พวกเรายังไม่กระทบกระเทือนจิตใจกัน และเราจะบอกกล่าวชาติกำเนิดความเป็นมาแก่ท่าน”
“เกี่ยวกับเรื่องมอบประแจทองคำ มิอาจกระทำได้”
อุ้ยเอี้ยงมีดวงตาทอประกายอันขุ่นเคือง แต่ก็สลายวูบไป ยังกล่าวอย่างสงบดังเดิมว่า
“ท่านมิยอมมอบมา ก็เป็นเรื่องตามเหตุผล เอาเถอะ ท่านเรียกให้ซิเล้งออกมา และรวมกำลังจู่โจมต่อเรา โดยพวกเราใช้ประแจเจดีย์ทองคำเป็นเดิมพัน หากแม้นพวกท่านพ่ายแพ้ ก็เสนอประแจทองมา มาตรแม้นเรามิอาจเอาชัย ย่อมไม่มีวาจาอ้างอิง”
วาจานี้ ยามรับฟังรู้สึกมีเปรียบกว่า ทั้งนี้ก็เพราะมันหากพ่ายแพ้ก็ไม่มีผลเสียหาย แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ วิจารณ์โดยละเอียด กลับเป็นอุ้ยเอี้ยงที่เสียเปรียบ
เนื่องจากมันอาศัยกำลังโดดเดี่ยว กระบี่เล่มเดียวท้าทายหักล้างกับสองผู้ทรงฝีมือแห่งยุค มันก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบขอเพียงแต่พ่ายแพ้ มิแน่นักว่าชีวิตยังมิอาจรักษาได้
ฉี้อิงเขม้นมองมันอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า
“ท่านออกจะคุยเขื่องไปแล้ว”
อุ้ยเอี้ยงหัวร่อพลางกล่าวว่า
“พวกท่านอย่าได้เข้าใจว่า ตัวเองไร้เทียมทาน เราหากมิมีความมั่นใจ ไหนเลยจะกล้าท้าทายประลอง?”
“ท่านมิเคยพบเห็นวิชาฝีมือของข้าพเจ้ากับซิเล้ง เชื่อมั่นได้อย่างไรว่าสามารถเอาชัย?”
“ถามไถ่ได้ประเสริฐ แต่ควรทราบว่าวิชาฝีมือของพวกท่าน มีรากฐานสืบเนื่องมา เราขอเพียงรู้จักแนววิชาของนงคราญยะเยือกกับขุนพลไร้กรก็เพียงพอแล้ว!”
ฉี้อิงกระชากเสียงกล่าวว่า
“เหลวไหล ท่านปีนี้เพิ่งมีอายุเท่าใด กลับกล้าคุยโอ่ว่าเคยพบพานซือแป๋ของเรา กับอาวเอี้ยงแป๊ะแปะด้วย?”
“เราไม่กล่าวเหลวไหลแม้แต่น้อย เพียงแต่ท่านมิได้คาดคิดถึงเท่านั้น เรามิแน่นักว่าจะได้รับทราบพลังฝีมือของพวกมันด้วยตนเอง สมมุติว่าอาจารย์ของเราเคยประมือกับพวกมัน แล้วนำประสบการณ์นั้นบอกกล่าวกับเรา ไยมิใช่เท่ากับเราเคยพบพานพวกมันเช่นกัน?”
ฉี้อิงขมวดคิ้วกล่าวว่า
“ท่านกล่าววกวนอ้อมค้อมเกินไป เท่าที่ข้าพเจ้าทราบมาหลายสิบปีนี้ ในใต้หล้ายังมิมีผู้ใดสามารถเปรียบเทียมกับซือแป๋หรืออาวเอี้ยงแป๊ะแปะเลย อาจารย์ของท่านเป็นใครกัน?”
“วาจาของท่านหาได้ประโคมโหม พวกมันเป็นยอดคนอันสูงเยี่ยมแห่งยุคจริงๆ แต่กาลเวลาผิดแผกแตกต่างไป สมมุติว่าพวกมันขณะนี้เผชิญกับเรา ก็จะน่าชมยิ่ง และมิถึงกับต้องอาศัยผู้อาวุโสของเราเลย”
ฉี้อิงชั่วชีวิตเคารพยกย่องซือแป๋ของนางที่สุด พอได้ยินวาจาเช่นนี้ จึงบังเกิดเพลงโทสะลุกฮือโหม สืบเท้าก้าวเข้าหาคุกคามประชิดใกล้ฝ่ายตรงข้าม หัวร่อแค่นๆ กล่าวว่า
“อสูรน้อยที่มิทราบความสูงล้ำต่ำต้อย ลองลิ้มชิมแส้พายุดำของข้าพเจ้าบ้าง”
ได้ยินเสียงดังควับ เมื่อแส้อ่อนกวาดฟาดออกไปพร้อมกับนั้นมือซ้ายก็กระชับกุมกระบี่สั้นที่พกประจำตัวรอฉวยโอกาสลงมือซ้ำเติม
นางนับตั้งแต่ท่องเที่ยวมา น้อยครั้งที่จะหยิบฉวยกระบี่สั้นเล่มนี้ออกมา และจากเหตุนี้แสดงว่าภายในใจของนาง มีความตื่นเต้นเคร่งเครียดเมื่อยามเผชิญกับศัตรูผู้นี้
อุ้ยเอี้ยงเสือกกระบี่ออกปัดป้อง แลเห็นท่าร่างและกระบวนเพลงของมันล้วนคล่องแคล่วปราดเปรียว ดุจดังเมฆพลิ้วละลิ่วล่อง สามารถคลี่คลายการจู่โจมจากฉี้อิงถึงเจ็ดแส้ซ้อนๆ
ทันใดนั้นมันได้สะบัดข้อมือ จู่โจมกระบี่ออกไป ตีโต้ใส่ฉี้อิง ในช่วงเวลานี้ท่าแส้ของฉี้อิง กำลังรุนแรงแผ่อานุภาพ จึงนอกเหนือความคาดหมายของฉี้อิงอย่างใหญ่หลวง มิเข้าใจว่าฝ่ายตรงข้ามกระทำได้อย่างไร
ดังนั้นวิชาแส้ของนาง จึงมีสภาพสับสนเล็กน้อย พริบตาเดียวกลับถูกอุ้ยเอี้ยงรุกไล่ล่าถอยไปสี่ก้าว
อุ้ยเอี้ยงหัวร่อพลางกล่าวว่า
“ท่านสมควรลงมือแต่เนิ่นๆ มิต้องปะทะเล่ห์คารมกัน เราขอเพียงหักโค่นท่านได้ ก็มิต้องกังวลว่า ซิเล้งจะกล้าแสร้งแกล้งถนอมตัวมิยอมปรากฏกายออกมา”
ฉี้อิงรวบรวมสติสมาธิอย่างสุดความสามารถ เปลี่ยนแปลงวิชาแส้ไปหกเจ็ดชนิดอย่างต่อเนื่องกัน
แต่นางยังไม่อาจสยบเพลงกระบี่ของคู่ต่อสู้ รู้สึกว่าวิชากระบี่ของอุ้ยเอี้ยง มีความปราดเปรียวพิสดารอย่างสุดแสน มีปมเด่นอยู่ที่ไม่ปะปนคละเคล้ากับสิ่งสามัญธรรมดา
นี่เป็นการอธิบายอย่างหยาบๆ หากแยกแยะความรู้สึกโดยละเอียด กระบวนท่าร่างอันคล่องแคล่วเลิศล้ำของอุ้ยเอี้ยง สามารถจำแนกออกเป็นสองประการคือ
หนึ่ง อาศัยเพลงกระบี่เป็นหลักโดยเฉพาะ กล่าวคือขณะที่มันร่ายรำกระบี่รุกรับอยู่นั้น กระบวนท่าได้แฝงไว้ด้วยปมเด่นที่ว่า อีกประการหนึ่งแสดงออกมาจากท่าร่างเดินเหินของมัน
ในบางครั้งเพียงแต่มันใช้ท่าร่างหลบเลี่ยง โดยไม่ใช้กระบี่ ก็สามารถคลี่คลายอันตราย และท่าเท้าเดินเหินของมัน ก็ได้เหยียบย่างเข้าสู่เขตแดนอันปราดเปรียวไร้ร่องรอย
ฉี้อิงมาตรแม้นทุ่มเทไม้ตายโดยสิ้นเชิง แต่ก็ไม่มีกระบวนท่าใดสามารถทำให้คู่ต่อสู้ใช้กำลังถึงสิบส่วน สภาพเช่นนี้เฉกเช่นกับกำลังจับปลาไหลตัวหนึ่ง ซึ่งแม้จะมีกำลังอันเข้มแข็ง ก็ปราศจากผลประโยชน์
พวกปึงเซียะทั้งหมด ขมการต่อสู้จนปากอ้าตาค้าง ตื่นเต้นตระหนก และเลื่อมใสจนสุดหัวใจ
แน่นอน พวกปึงเซียะทั้งหลายคน ได้มีจิตใจที่กระวนกระวาย ทั้งนี้ก็เพราะฉี้อิงทุ่มเทกำลังจนหมดสิ้นแล้ว ยังไม่อาจหักโค่นคู่ต่อสู้ซึ่งหากล้างผลาญกันต่อไป มีแต่หนทางพ่ายแพ้เพียงทางเดียว!
นางแมงมุมขาวพลันกล่าวอย่างขุ่นแค้นว่า
“ช่างร้อนรุ่มแทบตายแล้ว หากแยกแยะกันแล้ว ต้องโทษว่าซิเล้งเพียงผู้เดียว…”
ปึงเซียะกล่าวอย่างสงสัยใจว่า
“ซิเฮียมีอันใดผิดพลาดด้วย?”
“หากแม้นมันไม่กลับกลายเป็นอ่อนแอถึงปานนี้ ก็สามารถชักกระบี่ช่วยเหลือฉี้เจ้เจ๊แล้ว ท่านว่าสมควรตำหนิมันหรือไม่?”
ปึงเซียะกล่าวว่า
“ซิเฮียกลับกลายเป็นเช่นนี้ ท่านมิอาจตำหนิมันเลย…ยังประเสริฐที่วิชากระบี่ของอุ้ยเอี้ยง แม้สูงล้ำอย่างสุดแสน จนนับว่าไร้ผู้เทียมทานแต่ไม่มีอาถรรพ์การฆ่าฟัน ขอเพียงแต่ฉี้โกวเนี้ยไม่บีบบังคับจนเกินไป อย่างมากก็พ่ายแพ้บาดเจ็บ มิถึงกับมีอันตรายถึงแก่ชีวิต”
“อันใจจึงจะเรียกว่า บีบบังคับจนเกินไป?”
ปึงเซียะกล่าวอย่างหมกมุ่นว่า
“หากแม้นฉี้โกวเนี้ยหักโหม เนิ่นนานมิประสบผล ในยามดาลเดือดได้ทุ่มเทกระบวนท่าร่างที่คิดบาดเจ็บครั้งนี้กันทั้งสองฝ่าย นี่นับเป็นการบีบคั้นผู้คนจนเกินไป ครานี้อุ้ยเอี้ยงเพราะต้องการคุ้มครองตน เพลงกระบี่ย่อมสำแดงการต้านทาน
ฉี้โกวเนี้ยแม้ว่าไม่สามารถรับไว้ ชีวิตเกรงว่ายากที่จะรักษาได้ ดังนี้ข้าพเจ้าจึงมีแต่มุ่งหวังว่า นางพันตูอย่างสงบมิร้อนรน อย่าได้กระวนกระวายขึ้นมา”
มันกล่าวถึงตอนนี้ ฉี้อิงกลับบังเกิดเพลิงอำมหิต มีความคิดทุ่มเทแนววิชาอันโหดเหี้ยม ทดสอบเสี่ยง เพื่อพิสูจน์ผลแพ้ชนะ
นางซาบซึ้งว่า เพลงกระบี่ของฝ่ายตรงข้าม มาตรแม้นสูงล้ำอย่างสุดแสน แต่กำลังภายในขณะบังคับกระบี่ ยังไม่บรรลุถึงขึ้นสูงสุด
หากแม้นทั้งสองฝ่าย เพียงทดสอบพลังภายในกัน มันก็จะเป็นรองนางเล็กน้อย เพียงแต่ฝ่ายตรงข้ามอาศัยความลึกล้ำพลิกแพลงของท่ากระบี่ จนมีสภาพการณ์เช่นนี้
ดังนั้นนางจึงมีความคิดใช้กระบี่สั้นในมือซ้าย สำแดงการจู่โจมอันเกรี้ยวกราด
กระบวนท่านั้นเรียกว่าแป๊ะยิกเซ็งเทียน (สุริยันลอยสู่ฟากฟ้า) ซึ่งต้องสะอึกกายเข้าไปในรัศมีกระบี่ของฝ่ายศัตรู โถมใส่อ้อมอกฝ่ายตรงข้าม ใช้กระบี่สั้นทิ่มแทงสังหารเสีย
ผู้ทรงฝีมืออันดับสูง ขณะประหัตประหารกัน ย่อมไม่อนุญาตให้คู่ต่อสู้พัวพันเข้าใกล้ เพราะเหตุนี้ฉี้อิงหากคิดโถมเข้าใกล้ฝ่ายตรงข้าม ย่อมมิง่ายดาย จะต้องมีการเสียสละบางประการ จึงกระทำสำเร็จได้
การเสียสละของนาง ต้องกล้ำกลืนรับการพุ่งกระบี่ทำลายส่วนสัดแห่งใดบนร่างกายจากฝ่ายตรงข้าม แล้วค่อยเข้าประชิดติดพันได้ ดังนั้นนางจึงลังเลมิกล้าใช้ออก ต้องรอจนปราศจากหนทางอื่น ค่อยมีความคิดบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่ายเช่นนี้
ปัจจุบันนี้ นางเท่ากับอับจนปัญญาโดยสิ้นเชิง เพลงกระบี่อันพิสดารของอุ้ยเอี้ยง มีอานุภาพอย่างที่คาดคิดมิถึง ทำให้นางสำนึกว่า หากหักหาญต่อไป ก็มีแต่พ่ายแพ้
หากแม้นต้องประสบความอัปยศอดสู ยังคงหักล้างเสี่ยงชีวิตกับฝ่ายตรงข้าม จนรับบาดเจ็บไปด้วยกัน ก็จะประเสริฐกว่า
ในดวงตาคู่งามของฉี้อิง ได้สาดประกายอันอำมหิต อุ้ยเอี้ยงเห็นได้อย่างชัดแจ้ง จึงบังเกิดความตื่นเต้นตึงเครียด ลอบระมัดระวัง แต่ทว่าแส้พายุดำของฉี้อิง ก็มีความลึกล้ำพลิกแพลงอย่างสุดแสน
ทั้งสองฝ่ายโรมรันกันอีกสิบกว่ากระบวนท่า ฉี้อิงค่อยเสาะพบโอกาสพลันสะบัดแส้กวาดกราดออก ทุ่มเทอย่างสุดกำลัง
คราครั้งนี้ นางต้องการม้วนตลบถูกกระบี่ของฝ่ายตรงข้าม ทำให้ท่ากระบี่ของมันปรากฏช่องว่างรอยโหว่
แส้พายุดำได้ฟาดออกดังขวับใหญ่ และสามารถม้วนพันตัวกระบี่เอาไว้ พลังภายในที่แผ่เข้าไปในตัวแส้ ก็เริ่มกดดันใส่กระบี่ทันที
อุ้ยเอี้ยงมิทราบซึ้งว่า ฝ่ายตรงข้ามมีเจตนาอันใด ดังนั้นกระบี่ยาวแม้ถูกแส้อ่อนรัดพันก็มิลนลาน ขบคิดคำนึงอย่างว่องไวว่า
“…ท่านจู่โจมอย่างวู่วาม ไยมิใช่เป็นการแส่หาความอัปยศหรอกหรือ…”
คมกระบี่ได้เบนเบือนเล็กน้อย กลับอาศัยวิชาอันเลิศล้ำประจำตัว สลายพลังที่แผ่พุ่งจากศัตรูไปกว่าครึ่ง พร้อมกับนั้นก็เริ่มผนึกพลังตระเตรียมจู่โจมกระบี่ทำร้ายศัตรูได้ทุกโอกาส!
ขณะนั้นเอง ตัวกระบี่ของมันเมื่อเบนเบือนเล็กน้อย ก็ปรากฏช่องว่างรอยโหว่ ฉี้อิงฉกฉวยโอกาสรีบโถมปราดเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามเลย
แต่นางเมื่อกระทำเช่นนี้ ก็ต้องถูกอุ้ยเอี้ยงทิ่มแทงใส่หนึ่งหรือสองกระบี่ ทั้งนี้ก็เพราะกระบี่ของอุ้ยเอี้ยงมีสภาวะตีโต้ ย่อมสามารถปิดสกัดช่องว่างแห่งนั้น
หากแม้นเป็นคนธรรมดา ฉี้อิงย่อมไม่บุกฝ่าอย่างหักโหม แต่ครั้งนี้นางมีเจตนาอยู่ก่อนแล้ว จึงย่อร่างเล็กน้อย สองเท้าก้าวเข้าไปในม่านกระบี่ของฝ่ายตรงข้าม
แต่แล้วพลันรู้สึกเจ็บแปลบปลาบบนชีพจรข้อมือเนื่องจากบนตัวแส้พายุดำ ได้แผ่ทะลักพลังจากตัวกระบี่ของศัตรู ซึ่งเป็นกระแสพลังที่รุนแรงอย่างมิเคยพบพานมาก่อน
นางบังเกิดความตื่นตระหนกอย่างใหญ่หลวง สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ชะงักร่างตรึงแน่นกับพื้นดิน ชะลอสภาวะโถมใส่เอาไว้
ประกายกระบี่สายหนึ่ง ได้กรีดผ่านข้างกายโดยมิได้ทำร้ายนางแต่มาตรแม้ว่านางดำเนินการณ์การแผน กระบี่ของฝ่ายตรงข้ามนี้ ก็จะทิ่มแทงเข้าไปในท้องน้อย เกี่ยวกับความเป็นความตาย ยากที่จะสันนิษฐาน
ฉี้อิงเข้าใจดีว่า อุบัติการณ์ที่ผ่านมา มีอันตรายอย่างสุดแสนจึงแตกตื่นจนเหงื่อกาฬทะลักชุ่มโชก
อุ้ยเอี้ยงฉวยโอกาสที่นางมีจิตหวั่นไหว ฝ่ามือซ้ายได้พุ่งออกไปใช้วิชาสกัดจุดฝ่าอากาศ จี้สกัดจุดเส้นของฉี้อิงเอาไว้!
มันพอเบือนศีรษะไปเหลือบแล ก็พบว่าปึงเซียะมีสีหน้าแปรเปลี่ยน นางแมงมุมขาวท่วงท่าแตกตื่น และโค้วเพ้งทารกใหญ่ก็ล่ำสัน ได้กำหมัดจนแนบแน่น คล้ายดั่งจะโถมเข้ามา
อุ้ยเอี้ยงพลันเสือกกระบี่ออกอย่างว่องไว จ่ออยู่ที่ทรวงอกของฉี้อิง กล่าวอย่างเย็นชา
“พวกท่านผู้ใดกล้าเข้ามา เราก็จะสังหารนางเสียก่อน”
วาจาพอเอ่ยออก ปึงเซียะนางแมงมุมขาว โค้วเพ้งทั้งสามย่อมมิกล้ามีปฏิกิริยาอันวู่วาม อุ้ยเอี้ยงพอพบว่าฝ่ายตรงข้ามถูกสยบเอาไว้ จึงแหงนหน้าหัวร่ออย่างลำพองกล่าวว่า
“ปึงเซียะเป็นชายชาติชาตรีที่แท้จริง ดังนั้นย่อมมิอาศัยศักดิ์ศรีที่เป็นขุนพลพ่ายแพ้แล้ว ลงมือต่อเราอีก โกวเนี้ยตามรกตก็เลื่อมใสในเพลงกระบี่ของเรา มิกล้าจู่โจมอย่างวู่วาม มีแต่ทารกที่วู่วามผู้นั้น ย่อมต้องบุกเข้ามา ซึ่งจะเกิดการพันตูอย่างน่าชิงชังเบื่อหน่าย…”
ปึงเซียะร้องดังๆ ว่า
“ถ้าเช่นนั้นอุ้ยเฮียมีการตกลงใจอย่างไร?”
มันรู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามมีมันสมองปราดเรื่อง จึงเพิ่มความตื่นตระหนกขึ้นอีก
อุ้ยเอี้ยงแค่นหัวร่อพลางกล่าวว่า
“เราจะพาฉี้โกวเนี้ย เข้าไปหาซิเล้ง สนทนาวาจาสักหลายประโยค ขอเพียงแต่พวกท่านยืนหยัดอยู่ตำแหน่งเดิม อย่าได้เข้ามารบกวน เราย่อมมิทำร้ายผู้หนึ่งผู้ใด”
คราครั้งนี้ วาจาของมันเทียบเท่ากับเป็นคำบงการ ปึงเซียะมิอาจไม่ตกลง เบิ่งตาจับจ้องอุ้ยเอี้ยงยื่นมือโอบรอบเอวของฉี้อิง เดินเหินไปรถม้า
อุ้ยเอี้ยงขณะใช้มือโอบเอวฉี้อิง ได้แสดงท่วงท่าอันสนิทสนมดั่งราวกับบุคคลที่มากราคะ พอมาถึงข้างรถม้า จึงยื่นกระบี่ยาวออก ปาดประตูรถจนเปิดอ้า
ในยามนี้ ปึงเซียะรวมทั้งพวกยู้ไคกัง ได้ยืนหยัดไปหกเจ็ดวา ทัศนาการเคลื่อนไหวของอุ้ยเอี้ยงจากที่ห่างไกล
ประตูรถพอเปิดออก แลเห็นบนที่นั่งมีบุคคลผู้หนึ่งนั่งอยู่ในท่วงท่าอันเฉื่อยชาเกียจคร้าน และมิได้เบือนสายตามองออกมาทางนอกรถเลย
อุ้ยเอี้ยงเค้นเสียงกล่าวว่า
“ซิเล้ง ท่านย่อมต้องแลเห็นเหตุการณ์ทั้งมวลที่ผ่านมาแล้ว…”
บุคคลผู้นั้นยังนั่งนิ่งมิเคลื่อนไหว อุ้ยเอี้ยงอดชะงักวาจามิได้ ขมวดคิ้วเข้าหากัน แต่ชั่วครู่ก็กล่าวอีกว่า
“หนทางที่ประเสริฐ ท่านอย่าได้เสแสร้งแกล้งดัดอีกเลย เราได้สืบทราบล่วงหน้าเกี่ยวกับรูปโฉมลักษณะของท่านแล้ว…”
บุคคลผู้นั้นยังมิมีปฏิกิริยาตอบโต้ อุ้ยเอี้ยงก็ต้องหยุดชะงักวาจาอีก สีหน้ามีการเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน ดวงตาทั้งคู่จับจ้องผู้คนภายในรถอย่างเกรี้ยวกราด
ชั่วครู่ให้หลัง ผู้คนภายในรถกลับไม่เบือนสายตามองมา อุ้ยเอี้ยงลอบผนึกพลังภายใน กล่าวอย่างเย็นชาว่า
“ท่านคือซิเล้งใช่หรือไม่?”
บุคคลในรถม้า ผงกศีรษะกล่าวว่า
“เป็นข้าพเจ้าเอง”
สำเนียงอ่อนระโหยไร้เรี่ยวแรง แต่คล้ายดั่งมีความหมายดูแคลน มิอนาทรฝ่ายตรงข้าม อุ้ยเอี้ยงจำแนกมิออกว่า มันมีเจตนารมณ์อย่างไรกันกระชากเสียงกล่าวว่า
“คาดมิถึงว่าซิเล้งที่มีเกียรติภูมิทั่วใต้หล้า กลับเป็นบุรุษที่ขลาดเขลาผู้หนึ่ง!”
ซิเล้งเบือนศีรษะมองมาอย่างแช่มช้า เค้าหน้าที่ซูบซีด และดวงตาที่ไร้ประกาย มาตรแม้นสูญเสียความอิ่มเอิบกระตือรือร้นของกาลก่อน แต่ก็ยังมิอาจปกปิดความสง่างามตั้งแต่กำเนิด มิหนำซ้ำสภาพอันอิดโรยเช่นนี้ กลับเป็นบุคคลอันพิสดารอีกแบบหนึ่ง
อุ้ยเอี้ยงงงงันไปวูบหนึ่ง ค่อยกล่าวว่า
“รับทราบมาว่า ท่านกับกิมเม้งตี้เป็นบุรุษรูปงามแห่งยุค วาจานี้กลับมิผิดพลาด”
ซิเล้งมิเอื้อนเอ่ยวาจา แต่ตนก็เห็นชัดถนัดว่าอุ้ยเอี้ยงกลับโอบฉี้อิงไว้อย่างสนิทสนม อุกอาจปราศจากมารยาท
ในดวงตาของตน ค่อยๆ สาดประกายเจิดจ้า คล้ายดั่งภาพพจน์เช่นนั้นได้สร้างความกระทบกระเทือนถูกสามัญสำนึกจนกระตือรือร้นขึ้นมา
ซิเล้งยืดตัวตรงแต่ยังนั่งอยู่ตำแหน่งเดิม กล่าวขึ้นว่า!
“ท่านเป็นใคร? อาอิงเป็นอย่างไรแล้ว?”
อุ้ยเอี้ยงหัวร่อออกมา เผยให้เห็นถึงฟันอันขาวสะอาดเป็นระเบียบ สะท้อนประกายละลานตาใต้แสงอาทิตย์ รู้สึกงดงามน่าทัศนา
ซิเล้งอดครุ่นคิดมิได้ว่า
“…ฟันของมันแถวนั้น หากงอกเงยอยู่ในปากของอิสตรี กอปรกับดวงเนตรที่ปราดเปรียวของมัน…”
พอฉุกคิดเช่นนั้น ก็เริ่มสังเกตพบว่า ฝ่ายตรงข้ามได้สวมใส่อาภรณ์ชุดที่ตัดใหม่ ผิวกายขาวผุดผ่องรู้สึกสง่างามยิ่มงนัก
อุ้ยเอี้ยงตอบว่า
“นางได้พ่ายแพ้อยู่ใต้คมกระบี่ของเรา ขณะนี้จึงเป็นสมบัติของเรา หาใช่ท่านไม่!”
ซิเล้งสูดลมหายใจลึกๆ กล่าวว่า
“วาจาของท่านขออภัยที่ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ”
อุ้ยเอี้ยงพลันกล่าวอย่างไม่พอใจว่า
“เอ๊ะ ท่านคล้ายดั่งยังมิทราบชื่อแซ่ของเราด้วย”
“ข้าพเจ้ามิทราบอย่างแท้จริง ขอรับทราบนามอันสูงส่ง”
“ประเสริฐมาก ท่านถึงกับยโสลำพองถึงปานนี้ แต่บ่งบอกนามอีกครั้งก็หาเป็นไรไม่ เราแซ่อุ้ยนามเดียวว่าเอี้ยง”
ซิเล้งกล่าวขึ้นว่า
“ข้าพเจ้าจะจดจำเอาไว้”
“อือม์ ตามถ้อยคารมของท่าน คล้ายกับว่าท่านมิได้ชมสภาพการณ์ต่อสู้ระหว่างเรากับฉี้อิงเลย?”
“ขออภัย มิได้ดูจริงๆ”
อุ้ยเอี้ยงขมวดคิ้วเข้าหากัน กล่าวว่า
“ท่านยโสผยองถึงปานนี้ มิน่าเล่า จึงกล้านำประแจเจดีย์ทองคำ แสดงต่อชุมนุมชน พวกท่านเชื่อมั่นว่า ผู้คนในใต้หล้าแม้จะฝึกปรือวิชาของเจดีย์ทองคำไปจนหมดสิ้นก็มิอาจเอาชัยพวกท่านใช่หรือไม่”
“นี่เป็นเพียงถ้อยคารมของอุ้ยเฮียท่าน พวกเรามิมีความคิดเช่นนั้นมาก่อน”
อุ้ยเอี้ยงพลันแค่นเสียงดังเฮอะ กล่าวว่า
“สำหรับเรื่องนั้นอย่าเพิ่งไปพาดพิง บัดนี้ฉี้อิงได้ตกอยู่ในเงื้อมหัตถ์ของเรา เพียงมิทราบว่า ซิเฮียท่านมีความคิดอย่างไร?”
ซิเล้งมีสีหน้าพลุ่งพล่านดาลเดือด พลันขยับเคลื่อนร่าง อุ้ยเอี้ยงที่นอกรถ อดถอยกายไปเบื้องหลังเล็กน้อยมิได้ หาคาดไม่ว่าซิเล้งพลันนั่งลง มิได้โถมปราดออกมา
ตนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าขอเรียนถามอุ้ยเฮียก่อนว่า มีความคิดประการใด?”
“ฮา ฮา เราจะพานางไป เป็นนางสนมหรือหญิงรับใช้ก็ได้ เพียงแต่ว่า เราจะไม่สังหารนางอย่างอำมหิตก็แล้วกัน ท่านเห็นเป็นอย่างไร”
ซิเล้งเงียบงันไปเล็กน้อย ค่อยกล่าวว่า
“อุ้ยเฮียเมื่อสามารถคร่ากุมอาอิงเป็นเชลย ความสูงล้ำในวิชาฝีมือ ย่อมยิ่งเหนือล้ำกว่าข้าพเจ้า พร้อมกันนั้นบุคลิกลักษณะของท่าน ก็น้อยครั้งจะประสบพบพาน ย่อมต้องมีความเป็นมาอย่างใหญ่หลวง เพียงมิทราบว่า อุ้ยเฮียมีภรรยาแล้วหรือไม่?”
“เอ๊ะ น่าขบขันยิ่ง หรือว่าท่านคิดจะเป็นพ่อสื่อให้กับเราด้วย คู่หมายปองคือฉี้อิง หรือดรุณีอื่นเล่า?”
“อุ้ยเฮียยังมิได้ประทานคำตอบเลย”
อุ้ยเอี้ยงเค้นเสียงกล่าวว่า
“ท่านกลับมีเจตจำนงอันมุ่งมั่น ถ้าเช่นนั้น ขอบอกกับท่าน เรายังมิมีคู่ครอง แต่ชั่วชีวิตนี้ก็มิต้องการมีภรรยา เพียงแต่หากพบพานนงคราญ หาความสำราญสักครา ก็หาเป็นไรไม่”
“อุ้ยเฮียมีบุคลิกที่เด่นล้ำ ย่อมเปี่ยมรสนิยมอันสูงส่ง เพียงแต่หากพบพานคู่ที่เหมาะสม อาจจะเปลี่ยนความตั้งใจได้”
“ท่านก็มายกย่องอีกแล้ว แต่ทว่ามาตรแม้จะเป็นเทพธิดาจุติมา เราก็มิเปลี่ยนแปลงความตั้งใจ ชั่วชีวิตนี้ไม่ขอมีภรรยาอย่างเด็ดขาด”
“ผู้น้องมีเจตนาเป็นพ่อสื่อให้อุ้ยเฮีย แต่เมื่อท่านปฏิเสธบอกปัด ก็อับจนปัญญา”
อุ้ยเอี้ยงส่งเสียงกล่าวว่า
“เราพาลสาบานต่อเทพยดาฟ้าดิน ท่านคงเชื่อถือกระมัง?”
พร้อมกับนั้นก็สาบานอย่างรุนแรงว่า หากผิดจากวจี จะประสบชะตากรรมอันอเนจอนาถ ท่วงท่าจริงจังมิเสแสร้ง สร้างความคลางแคลงสงสัยให้กับซิเล้งอย่างใหญ่หลวง แต่มิอาจไม่เชื่อถือ
อุ้ยเอี้ยงจึงแค่นเสียงหัวเราะกล่าวว่า
“บัดนี้พวกเรามาสนทนาถึงเรื่องราวของฉี้อิงเถอะ วงพวกนักเลงร่ำลือกันว่า พวกท่านเป็นคู่ครองประหนึ่งเทพบุตรกับธิดาสวรรค์ แต่วันนี้มาพบพานเรา เกรงว่าจะเผชิญกับมรสุมอันรุนแรง!”
ซิเล้งปลุกปลอบตัวเอง รวมรวมสติสำนึก จดจ่อสนใจฝ่ายตรงข้าม ทางหนึ่งก็พยายามต่อต้านกับความอิดโรยอ่อนเพลียร่างกาย ไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งสังเกตพบพาน
ตนกล่าวออกไปว่า
“คำร่ำลือในวงพวกนักเลง บางครั้งก็ปราศจากข้อเท็จจริง แต่มิว่าเรื่องของข้าพเจ้ากับฉี้โกวเนี้ยจะเป็นความจริงหรือไม่ มิทราบว่ามีความสัมพันธ์อันใดกับอุ้ยเฮีย ถึงกับสอดแทรกเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย?”
“บ่งบอกไปก็รวบรัดยิ่ง เราเพียงแต่ต้องการประแจเจดีย์ทองคำ ท่านหากมอบมาอย่างสะดวกดาย เราก็จะมอบคืนฉี้อิงให้ หากแม้นท่านมิทราบสถานการณ์ ตอแยเรามีโทสะ เฮอะ เฮอะ พวกท่านก็อย่าได้คาดหวังว่า จะเร่งรุดไปถึงไต้เซาะซัว และฉี้อิงไม่อาจรักษาความบริสุทธิ์เอาไว้”
ซิเล้งสะท้านใจอย่างรุนแรง แต่ก็ระงับอารมณ์กล่าวไปว่า
“ที่แท้อุ้ยเฮียมีความมุ่งหมายอยู่ที่ประแจทอง สำหรับเรื่องนี้สามารถหารือกันได้ บอกกล่าวตามความสัตย์ ข้าพเจ้าก็มิมีความกระตือรือร้น ในการเร่งรุดสู่ภูเขาไต้เซาะซัว…”
วาจาในตอนท้าย รู้สึกท้อแท้ทอดอาลัย และหยุดชะงักไปเล็กน้อย จึงกล่าวอีกว่า
“ท่านสามารถอนุญาตให้ข้าพเจ้าได้หารือกับฉี้อิงสักคราหนึ่งหรือไม่?”
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป