๔๑
♦ กระบี่ล้างแค้น ♦
……………

จูกงเม้งพริ้มตาลง ถอนหายใจยาวๆ กล่าวว่า

            “มิผิด คราครั้งนั้นเราไหนเลยจะเชื่อถือว่า พวกเจ้ามีความสามารถติดตามมาถึงเมืองเซียงเอี้ยง มาตรแม้นเสาะพบได้ เรายังมีตัวแทนรับเคราะห์กรรม

            ขอเพียงแต่ไม่ใช่กี้เฮียงเค้งลงมือด้วยตนเอง ตามการคำนวณของเรา พวกเจ้าย่อมไม่ลงมือยามกลางวัน และเราทราบอีกว่า กี้เฮียงเค้งใกล้จะตกตาย มิอาจร่วมทางมากับพวกเจ้า ดังนั้นเราจึงวางใจยิ่งนัก”

ซิเล้งมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปกล่าวว่า

“ท่านว่ากระไร เค้งเจ้เจ๊ของเรากำลังจะตกตายได้อย่างไร?”

“นางกับกิมเม้งตี้ได้นัดพบพานในชาติหน้า ไยมิใช่แสดงว่านางต้องตกตายอย่างแน่นอน”

ซิเล้งกับฉี้อิงบังเกิดความตื่นตระหนกอย่างใหญ่หลวง ทั้งสองหาใช่มิทราบเรื่องนี้ เพียงแต่ไม่ยินยอมคำนึงในทางร้าย จูกงเม้งเอ่ยวาจาเดียวก็เปิดโปงออกมา ทำให้ทั้งสองต้องยอมรับเหตุผลนี้ด้วย

ฉี้อิงพลิกฝ่ามือตบใส่จูกงเม้งไปฉาดหนึ่ง กระชากเสียงว่า

“ท่านกล้าแช่งชักเค้งเจ้เจ๊ด้วย?”

ซิเล้งถอนหายใจอย่างหนักหน่วง กล่าวว่า

“วาจาของมัน หาใช่ไร้เหตุผล… บัดนี้ขอถามท่าน กิมเม้งตี้อยู่ที่ใด และฝึกปรือยอดวิชาได้หรือไม่?”

จูกงเม้งกล่าวว่า

“เราพามันไปที่สำนักเสียวลิ้มยี่ หยิบฉวยคัมภีร์ของวิชาดาบพุทธไร้เทียมทานได้ มันพอเห็นว่าไม่ผิด

“เท่าที่เราสืบทราบมา เพียงรับรู้ร่องรอยของมหาสมณะโพธิสัตว์ ส่วนเบาะแสเกี่ยวกับตัวเทพโฉดสะท้านโพยม มีร่องรอยอันเร้นลับ เหตุการณ์พอเหินห่างมาร้อยกว่าปี จึงไม่มีทางสืบเสาะได้”

เพียงแต่ทราบว่าวิชาหัตถ์เทพยดาไร้เทียมทาน ตกอยู่ในการครอบครองของผู้สังกัดสำนักคุนลุ้น และวิชาพุทธไร้เทียมทาน ลอบซุกซ่อนอยู่ในหอเก็บคัมภีร์ของเสียวลิ้มยี่

มันซาบซึ้งว่า ขณะนี้เป็นโอกาสเดียวของมัน ขอเพียงซิเล้งฉี้อิงยินยอมรับฟัง ตัวมันก็สามารถตกตายอย่างปลอดโปร่งใจ จึงกล่าวสืบไปอีกว่า

“เกี่ยวกับคนในสำนักคุนลุ้นได้วิชาหัตถ์เทพยดาไร้เทียมทาน เราพอสืบทราบได้ มันผู้นั้นก็ถูกซือแป๋เฒ่า (อลัชชีโลกันตร์) คร่ากุมไป คาดว่าซือแป๋เฒ่าก็สามารถสืบรู้ด้วย ดังนั้นวิชาไม้ตายดังกล่าว จึงตกอยู่ในการครอบครองของสถาบันอำมหิตแล้ว”

ซิเล้งฉี้อิง รับทราบมาก่อนว่าสำนักคุณลุ้นมีผู้คนถูกคุมขังอยู่ที่อาณาจักรอัคคี บัดนี้นับว่าสามารถซึมทราบถึงสามเหตุเลศนัยแล้วว่า ศิษย์ร่วมสำนักกับปึงเซียะผู้นั้นไฉนจึงถูกอลัชชีโลกันตร์คร่ากุมไปจองจำ

อีกด้านหนึ่ง มีการยืนยันจนเชื่อมั่นได้ว่าวิชาหัตถ์เทพยดาไร้เทียมทาน ไม้ตายอีกแขนงหนึ่งซึ่งเทพโฉดสะท้านโพยม กับมหาสมณะโพธิสัตว์ร่วมบัญญัติขึ้นตกเป็นสมบัติของสถาบันอำมหิตจริง

ฉี้อิงลอบมีสีหน้าแตกตื่น นางพลันฉุกคิดขึ้นว่าสภาพการของซิเล้ง เปี่ยมอันตรายยิ่งนัก หนึ่ง เนื่องจากกิมเม้งตี้ได้เพลงดาบไร้เทียมทานไปแล้ว และสอง อลัชชีโลกันตร์สามารถครอบครองวิชาหัตถ์เทพยดาไร้เทียมทาน

ไม้ตายทั้งสองวิชานี้หากฝึกปรือสำเร็จ ก็สามารถทัดเทียมกับยอดคนมีอาวุโส เฉกเช่นขุนพลไร้กร เทพเจ้าสันโดษ ตลอดจนซือแป๋ของนางนงคราญยะเยือก

ซิเล้งหากแม้นมิได้รับไม้ตายแขนงอื่น ในภายภาคหน้าย่อมต้องเผชิญกับการถูกประทุษกรรมจนเสียชีวิตอย่างแน่นอน

ฉี้อิงพลันขบกรามกรอด กล่าวถามจูกงเม้งว่า

“ท่านต้องการมีชีวิตหรือไม่?”

ซิเล้งกับจูกงเม้งต่างสะท้านทั้งร่าง แทบมิเชื่อโสตประสาทของตัวเอง ซิเล้งกล่าวเสียงหนักๆ ว่า

“ฉี้โกวเนี้ย พวกเราไหนเลยจะอนุญาตให้มันมีชีวิตได้?”

ฉี้อิงเอื้อนเอ่ยว่า

“ท่านอย่าเพิ่งยุ่งเกี่ยว… จูกงเม้ง ข้าพเจ้าต้องการทราบคำตอบจากท่าน”

“เราย่อมต้องการมีชีวิต”

“โทษประหารสามารถละเว้น แต่ท่านต้องถูกสะบั้นแขนขาไปสองข้าง”

จูกงเม้งกล่าวว่า

“เราสามารถให้คำตอบกับโกวเนี้ยว่า ยินดีกระทำตามเงื่อนไขที่ว่าเพียงเพื่อต้องการมีชีวิต”

“ประเสริฐมาก ท่านบ่งบอกร่องรอยของวิชาดาบพุทธไร้เทียมทาน และหัตถ์เทพยดาไร้เทียมทานมาแล้ว บัดนี้ท่านบอกกล่าวอีกว่าวิชากระบี่เทพเจ้าไร้เทียมทานอยู่ที่ใด จะได้ครอบครองอย่างไร และท่านจะถูกละเว้นชีวิต”

ซิเล้งกล่าวในบัดดลว่า

“ฉี้โกวเนี้ย ตั้งแต่โบราณกาลมา ความแค้นของบุพการี ลึกล้ำเทียบเทียมมหาสมุทร พวกเราไหนเลยจะมิคำนึงถึงข้ออาฆาตแค้น มุ่งมั่นหมายครอบครองยอดวิชาอันใด”

ฉี้อิงแค่นเสียงหนักๆ กล่าวว่า

“หากแม้นข้าพเจ้ายืนกรานความคิดเช่นนี้ ท่านคิดจะขัดแย้งด้วย?”

“ข้าพเจ้าขบคิดมิออกเลยว่า ท่านไฉนจึงกระทำเช่นนี้?”

ฉี้อิงกล่าวอย่างดื้อรั้นว่า

“สำหรับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวแล้ว”

“หากเป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้านอกจากมิมีกำลังขัดขวางท่าน หาไม่แล้วจะต้องขัดแย้งจนถึงที่สุด”

สำเนียงของซิเล้งพลุ่งพล่านดาลเดือด ตนสามารถรับการตบตีด่าว่าจากฉี้อิง แต่เกี่ยวกับหนี้โลหิตของตระกูลย่อมมิอ่อนข้อ ซึ่งฉี้อิงก็มีใบหน้าเคร่งเครียดด้วย

จูกงเม้งพลันกล่าวว่า

“โกวเนี้ย บอกกล่าวตามความสัตย์ เราไม่อาจบ่งบอกถึงร่องรอยของวิชากระบี่เทพเจ้าไร้เทียมทานเลย”

ฉี้อิงกล่าวอย่างสงสัยว่า

“วาจานี้เป็นความจริง?”

“เราเหตุใดต้องหลอกลวง หรือมิคิดมีชีวิตอยู่ด้วย?”

“เอาเถอะ เราโกวเนี้ยรับปากว่าจะประทานความสะดวกดายแก่ท่านย่อมมิกลับกลอกคืนคำ แต่ท่านไฉนจึงไม่สามารถสืบทราบร่องรอยของวิชากระบี่เทพเจ้าไร้เทียมทานเล่า?”

จูกงเม้งกล่าวว่า

“คราก่อนเราพอสืบพบยอดวิชาถึงสองแขนงแล้ว ก็เข้าใจว่าไม่จำเป็นต้องเสื่อมสูญ กำลังค้นหาวิชาอื่นอีก เพราะมาตรแม้นได้มา ชั่วชีวิตนี้ก็มิอาจตีความแตกฉานได้ทั้งหมด”

ฉิ้อิงพลันเบือนหน้ามากล่าวกับซิเล้งว่า

“เดียรัจฉานนี้เป็นคู่อาฆาตล้มล้างตระกูลซิ สมควรให้ท่านลงมือพิฆาตด้วยตนเอง”

ซิเล้งพบว่า นางกลับอ่อนโยนอย่างกระทันหัน จึงรู้สึกว่าจิตใจของอิสตรี มีการพลิกแพลงแปรเปลี่ยนสุดที่จะหยั่งคาดคะเน

ตนพลันกระชากระบี่ยาวออกจากฝัก ผนึกพลังจนสาดเป็นประกายอันเย็นยะเยียบ ตวาดเสียงเกรี้ยวกราดว่า

“จูกงเม้ง ในวันนี้ข้าพเจ้าจะสังหารท่านเพื่อล้างแค้นให้กับบิดามารดาผู้ล่วงลับ”

จูกงเม้งผงกศีรษะกล่าวว่า

“เจ้าลงมือเถอะ เรามีคำสั่งเสียเพียงประโยคเดียว กล่าวคือขอให้พวกเจ้าตรวจดูวัตถุในถุงย่ามของเราแล้วค่อยจากไป แต่พวกเจ้ามิยินยอมกระทำก็แล้วกันไป”

ซิเล้ง ฉี้อิง ต่างบังเกิดความรู้สึกอันพิสดารคล้ายดั่งสำนึกได้ ในคำสั่งเสียของมันนี้ แฝงไว้ด้วยความลับอันน่าเคลือบแคลงประการหนึ่ง!

แต่พวกตนหาได้ตอบคำไม่ ซิเล้งถอนหายใจยาวๆ กระแสเสียงโศกเศร้ารันทด ต่อจากนั้นพลันสะบัดข้อมือเสือกแทงกระบี่ออกไป ทิ่มทะลวงถูกทรวงอกของจูกงเม้ง ปรากฏห่าโลหิตฉีดทะลักออกมา

เรือนร่างของจูกงเม้งส่ายโงนเงนอยู่หลายครา แล้วค่อยล้มคว่ำลงมิส่งเสียงคร่ำครวญ สองเท้าพลันเหยียดตรง สิ้นลมหายใจไปแล้ว!

จอมอสูรเจ้าเล่ห์ มีสมญาผู้กล้าหาญดาบทองอันจอมปลอมในที่สุดก็ต้องเสียชีวิตใต้คมกระบี่ของศัตรูคู่อาฆาต ชดเชยความผิดที่มันเคยสร้างสมเอาไว้ ตามลิขิตของเทพยดา ที่ไม่อนุญาตให้อธรรมดำรงนิรันดร

ซิเล้งคุกเข่าลงบนพื้นดิน เปล่งเสียงร่ำไห้อย่างหดหู่ ในที่สุดก็นับว่าสามารถพิฆาตคู่อาฆาตลงได้แล้ว แต่ขณะนี้ตนยังประสบความทุกข์ทรมานในด้านความรัก จนต้องคับแค้นตรมตรอมใจอยู่ตลอดเวลา

ตนมีความรู้สึกสับสน จึงระบายความในใจออกมาด้วยเสียงร่ำไห้ และฉี้อิงย่อมต้องร่ำไห้คร่ำครวญด้วย จนมิมีเวลามาสนใจซิเล้ง

ยังประเสริฐที่พวกปึงเซียะนางแมงมุมขาว แว่วสำเนียงและเร่งรุดมา พอพบว่าจูกงเม้งตกตายไปแล้ว จึงแยกย้ายกันปลอบประโลมผู้เป็นเพศเดียวกัน

รอจนซิเล้งฉี้อิงสร่างซาความเศร้าโศกลงแล้ว ปึงเซียะจึงกล่าวว่า

“เดียรัจฉานนี้ แม้สร้างสมบาปกรรมมามากหลาย แต่เมื่อตกตายก็มิสมควรทิ้งซากศพให้อุจาด ยังคงลงมือกลบฝังด้วย”

ซิเล้งพลันโบกมือห้ามปรามมิให้มันขนย้ายซากศพ ปาดหยาดน้ำตากล่าวถามฉี้อิงว่า

“คำสั่งเสียของมัน พวกเราจะสนใจหรือไม่?”

ฉี้อิงมีจิตใจสับสนยิ่งนัก จึงสั่นศีรษะบ่งบอกว่ามิทราบ

ซิเล้งถอนหายใจยาวๆ กล่าวว่า

“หาใช่ข้าพเจ้ามีความคิดยึดมั่น แต่ทว่าพวกเราไหนเลยจะลืมเลือนหนี้โลหิตของตระกูล ปล่อยให้ศัตรูดำรงชีวิตอยู่ เพื่อมุ่งหวังครอบครองวิชาฝีมือได้เล่า”

ฉี้อิงส่งเสียงกล่าวว่า

“บอกกล่าวตามความสัตย์ ข้าพเจ้าหวนรำลึกถึงอนาคตกาลของท่าน จึงคิดไปถึงวิชากระบี่เทพเจ้าไร้เทียมทาน หากแม้นไม่มีไม้ตายนั้น ท่านย่อมมิมีทางต้านทานรับมือกับกิมเม้งตี้และอลัชชีโลกันตร์”

ซิเล้งงงงันไปวูบหนึ่ง บังเกิดความซาบซึ้งตื้นตันใจอย่างใหญ่หลวงและกล่าวว่า

“ขออภัย เมื่อยามนั้นข้าพเจ้ามิได้คำนึงมาก่อน แต่ทว่าแม้จะเป็นเหตุผลเช่นนั้น ก็ขออภัยที่ข้าพเจ้ามิอาจรับไว้…อา ชะตาชีวิตของทุกผู้คน ยากที่จะสันนิษฐาน อนาคตจะถูกสังหาร นั่นเป็นเรื่องของภายภาคหน้าพวกเราไม่สมควรกังวลถึงขั้นนั้น”

“เอาเถอะ เรื่องราวที่ผ่านมา อย่าได้เอ่ยอ้างถึง บัดนี้มาวิเคราะห์คำสั่งเสียของจูกงเม้ง”

นางเบือนหน้ามาทางปึงเซียะกับนางแมงมุมขาว กล่าวว่า

“เดียรัจฉานนี้ก่อนตกตาย ได้ฝากวาจาว่า ขอให้พวกเราสำรวจดูสิ่งของในถุงย่ามของมัน บุคคลนี้มีกลอุบายลึกซึ้ง ข้าพเจ้าคาดว่ายังคงอย่าได้สนใจจัดการกลบฝังมันเสียเลย”

ปึงเซียะกล่าวว่า

“ถูกต้อง ข้าพเจ้าขอให้อย่าได้กระทบกระทั่งถูกวัตถุในถุงของมันอย่างเด็ดขาด”

ซิเล้งกล่าวเสียงกังวานว่า

“ปึงเฮียไหวระแวงรอบคอบเกินไปแล้ว ข้าพเจ้าต้องการสืบเสาะดูวัตถุในถุงย่ามว่า ที่แท้เป็นสิ่งของอันใดกัน”

ฉี้อิงพอได้ยินก็พลอยกล่าวว่า

“สำหรับครั้งนี้ พวกเราย่อมมิต้องเกรงกลัวแม้กระทั่งผู้ที่ตกตายไปแล้ว”

ปึงเซียะจึงกล่าวว่า

“ท่านทั้งสองเมื่อยืนกรานความคิด ก็แล้วแต่ท่านเถอะ หากทว่าข้าพเจ้าหวนนึกถึงเรื่องราวประการหนึ่ง มิทราบว่าพวกท่านได้ถามไถ่ต่อจูกงเม้งหรือไม่?”

ซิเล้งถามว่า

“เรื่องราวอันใด?”

“เกี่ยวกับเรื่องของทายาทอสนีบาตนามเนี่ยคกเตี่ย ซึ่งหัตถ์อสนีบาตบ่งบอกว่า บุตรชายของมันได้รับคำแนะนำจากจูกงเม้ง ฝึกปรือเพลงดาบพุทธไร้เทียมทาน และพวกเราเมื่อยามนั้นก็แสดงเจตนาว่า จะต้องกำจัดเนี่ยคกเตี่ยเสียก่อน”

“อ้อ พวกเราแม้เคยถามไถ่ถึงเรื่องวิชาฝีมือ แต่ลืมเลือนซักไซ้จูกงเม้งว่า ได้ถ่ายทอดวิชาดาบให้กับผู้ใดบ้าง”

ฉี้อิงกล่าวขึ้นบ้างว่า

“หากแม้นเนี่ยคกเตี่ยผู้นั้นมีอุปนิสัยชั่วร้าย และฝึกปรือวิชาดาบพุทธไร้เทียมทานได้ พวกเราเพื่อส่วนรวม ต้องสังหารมันเป็นการกำจัดเภทภัย สำหรับเรื่องนี้ย่อมมิต้องซักถาม พวกเราจะเร่งรุดสู่เมืองเซ้งโต่วก่อน แล้วค่อยไปที่เจดีย์ทองคำ”

ซิเล้งนับว่ายังมีความระมัดระวัง กระชับกุมกระบี่ยาว กรีดเอาถุงย่ามที่ข้างเอวของจูกงเม้งจนขาดออก แทนที่จะใช้มือสัมผัสจับต้อง

แลเห็นในถุงย่ามมีสิ่งของอยู่ไม่น้อย อาทิ เงินก้อน ทองแท่ง ไข่มุก ขวดยา หยกอันหนึ่ง กับจดหมายปิดผนึกฉบับหนึ่ง

ฉี้อิงพลันร้องโพล่งอย่างแตกตื่นว่า

“พวกเราดูจดหมายฉบับนั้นมีชื่อของอาเล้งด้วย”

ปึงเซียะก็กล่าวว่า

“มิผิด จ่าหน้าซองไว้ว่า ซิเฮียเปิดอ่านด้วยตนเอง รู้สึกว่ามีเลศนัยอย่างใหญ่หลวง”

ซิเล้งสูดลมหายใจลึกๆ ซุกเก็บกระบี่ยาว หยิบจดหมายฉบับนั้นขึ้นมาฉีกซองออก ในยามนี้ตนได้ปิดสกัดลมหายใจ เพื่อป้องกันว่าจะถูกจูกงเม้งลอบทำร้ายด้วยยาพิษ

ตนค่อยๆ ดึงจดหมายออกมา ปึงเซียะกับนางแมงมุมขาวก็ขนย้ายซากศพของจูกงเม้ง จัดการบรรจุฝังเสีย

พอหวนกลับมา ก็แลเห็นซิเล้งมีสภาพแปรเปลี่ยนไป ท่วงท่าเซื่องซึมโง่งม ปึงเซียะบังเกิดความตื่นตระหนกอย่างใหญ่หลวง และพบว่าจดหมายฉบับนั้นได้ถูกทำลายเป็นผุยผง!

มันเบือนหน้าไปทางฉี้อิงเป็นเชิงถามไถ่ ฉี้อิงก็ยักไหล่แสดงว่ามิทราบความนัย

ปึงเซียะกล่าวเบาๆ กับนางแมงมุมขาวว่า

“ซิเฮียคงถูกจูกงเม้งประทุษร้ายแล้ว?”

นางแมงมุมขาวกล่าวว่า

“ประหลาดแท้ เรารู้สึกว่ามันคล้ายดั่งได้รับความกระทบกระเทือนใจอย่างใหญ่หลวง จนมีสภาพเช่นนี้ หากแม้นถูกพิษแทรกซึม จะมีสภาพแตกต่างไป”

“อือม์ ท่วงท่าของซิเฮีย คล้ายดั่งสูญเสียสติสำนึกไป ข้าพเจ้าจะร้องเรียกสักสองครั้งดูบ้าง”

มันสูดลมหายใจ โคจรพลังจากจุดตังชั้ง ร้องเรียกว่า

“ซิเฮีย ซิเฮีย…”

สำเนียงของปึงเซียะ ดังสะท้านแก้วหูแทบแตกทำลาย กลับสร้างความแตกตื่นให้กับฉี้อิงและนางแมงมุมขาวจะสะดุ้งสุดตัว

แต่ซิเล้งได้เบือนศีรษะมองไปทางปึงเซียะอย่างแช่มช้า กล่าวว่า

“เรื่องอันใด?”

ปึงเซียะกล่าวอย่างจริงจังว่า

“ขออภัยที่ข้าพเจ้าต้องกล่าวอย่างตรงๆ ว่า กิริยาท่าทางของท่านคล้ายดั่งผิดปรกติไป”

ซิเล้งปลุกปลอบสติสัมปชัญญะ ฝืนหัวร่อกล่าวว่า

“มิมีอันใด ข้าพเจ้าเพียงแต่หลังจากอ่านจดหมายแล้ว อดประหวั่นหวนนึกถึงความหลังบางประการมิได้”

ฉี้อิงพลันเอ่ยสอดว่า

“ท่านคิดถึงผู้ใดกัน?”

สำเนียงมีแววหึงหวง ซิเล้งกลับมีอารมณ์คำนึงว่า นางไม่สมควรมาริษยา กล่าวอย่างมิต้องขบคิดว่า

“นั่นคือมารดาผู้ล่วงลับ”

ฉี้อิงอุทานดังอ้ออย่างลุแก่โทษ และทั้งหมดก็เร่งรุดเดินทางต่อไป มุ่งสู่ตัวเมืองเซ้งโตว

ตลอดรายทาง ทั้งหมดได้แพร่งพรายข่าวคราวไปว่า ผู้กล้าหาญทองจูกงเม้ง กับหัตถ์อสนีบาตเนี่ยฮงได้ถูกประหารแล้ว ซึ่งวงพวกนักเลงมีปฏิกิริยาผิดแผกไป

ซิเล้ง ฉี้อิง และพวก แม้ไม่มีเวลาสืบเสาะ แต่คำนวณจากอากัปกิริยาที่ชนชาวบู๊ลิ้มทุกแห่งหนแสดงต่อพวกตนอย่างเฉื่อยชา บ้างถึงกับหลบเลี่ยงมิยอมพบปะ ก็พอจะสรุปสภาพการได้ แต่พวกตนก็มิสนใจกับสิ่งแวดล้อม ยังปลอดโปร่งใจที่มิมีผู้คนมาพัวพัน

การเดินเหินได้รอนแรมเป็นเวลาเจ็ดแปดวัน ทุกผู้คนล้วนสังเกตสนใจท่วงท่าอันเซื่องซึมราวกับไร้วิญญาณของซิเล้ง มิหนำซ้ำยังมิใคร่หลับนอน ดื่มกินน้อยลงจนมีสติเสื่อมโทรม สารรูปอิดโรย เพียงไม่กี่วัน คล้ายกับชราภาพไปมากมายนัก

ค่ำคืนของวันนี้ ปึงเซียะได้ลอบกล่าวกับฉี้อิงว่า

“โกวเนี้ยสังเกตถึงความผิดปรกติในท่วงท่าของซิเฮียหรือไม่?”

ฉี้อิงตอบว่า

“ข้าพเจ้าสังเกตพบ แต่มันสมควรเป็นเช่นนี้แล้ว”

“โกวเนี้ย สามารถคาดคะเนถึงสาเหตุภายในหรือไม่?”

ฉี้อิงเปิดริมปากกล่าวว่า

“ข้าพเจ้ามิแยแส สนใจด้วย”

ปึงเซียะไม่ปรารมภ์ถึงวาจาอันแง่งอนของนางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวว่า

“ข้าพเจ้ามีวาจาประโยคหนึ่ง ขอโกวเนี้ยอย่าได้ถือสา สภาพการณ์ของซิเฮียเช่นนี้ จะสืบเนื่องจากโกวเนี้ยท่านได้หรือไม่?”

ฉี้อิงงงงันไปวูบหนึ่ง มิอาจกล่าวคารมอันรุนแรงได้ สงบอารมณ์อยู่เล็กน้อยจึงกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ตัวเองไม่มีวาสนาสร้างความกังวลให้กับมันได้หรอก”

“อา ซิเฮียหากมีสภาพเช่นนี้อีกต่อไป อย่าว่าแต่คิดจะเร่งรุดไปยังเจดีย์ทองคำฝึกปรือยอดวิชา เกรงว่าตรากตรำอีกสิบวันหรือครึ่งเดือน ซิเฮียคงเคี่ยวเข็ญตัวเองจนตกตายเสียชีวิต พวกเราสมควรครุ่นคิดหาหนทางสืบทราบความลับภายในใจของมัน และพยายามช่วยเหลือด้วย”

“ข้าพเจ้าก็ต้องการทราบว่า ในใจของมันซุกซ่อนความลับอันใด… อ้อ หรือว่าจะสืบเนื่องจากเรื่องนี้ด้วย?”

ปึงเซียะรีบกล่าวว่า

“โกวเนี้ยลองแสดงความคิดของตัวเองออกมา”

“ในจดหมายของจูกงเม้ง อาจจะพาดพิงถึงเรื่องราวประการหนึ่ง ทำให้มันหวั่นไหวไม่สบายใจ สมมติว่า…ท่านทราบเรื่องที่จูกงเม้ง ใช้นางสนมยั่วยวนซิเล้งหรือไม่?”

“ข้าพเจ้าทราบดี”

“อาจจะเป็นไปได้ว่าสนมรักของจูกงเม้งนางนั้นได้กำเนิดบุตรธิดา…”

วาจาต่อไป นางมิอาจเอื้อนเอ่ยออกได้

ปึงเซียะขบคิดอย่างแตกตื่นอยู่ครู่หนึ่งค่อยกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าคาดว่าวมิใช่เรื่องนี้ หนึ่งซิเฮียมิใช่คนที่ประกอบเรื่องราวอันเหลวไหลถึงปานนั้น สองมาตรแม้นมีเหตุการณ์ดังกล่าวบังเกิดขึ้นอย่างมากก็รุ้สึกวุ่นวายใจ ไม่มีอาการเลวร้ายถึงเช่นนี้”

ฉี้อิงพอได้ยิน จิตใจก็สงบไปมากมาย กล่าวว่า

“หากแม้นมิใช่ ข้าพเจ้าก็สุดที่จะขบคิดคาดเดาได้”

ปึงเซียะกล่าวอย่างหนักแน่นว่า

“เพื่อความสงบสันติของใต้หล้า ข้าพเจ้าขอให้โกวเนี้ยพยายามสืบทราบให้จงได้ และโกวเนี้ยโปรดรับปากด้วย”

ฉี้อิงรู้สึกว่ามิอาจบอกปัดทันทีเลย หลังจากขบคิดอยู่เล็กน้อยก็เห็นว่า เรื่องนี้คู่ควรกับการสืบทราบให้กระจ่างชัด จึงผงกศีรษะกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าจะลองทดสอบดู หากแม้นไม่สำเร็จท่านก็ต้องทดลองบ้าง”

ปึงเซียะรับปากตกลง ทั้งสองจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อน และวันที่สอง ทั้งหมดก็เหยียบย่างเข้าสู่เขตแดนมณฑลเซียมไซ

บนทางหลวงอันกว้างขวาง ลมทรายพุ่งปะทะหน้า อาณาบริเวณไพศาล ปึงเซียะควบม้ารั้งท้ายโดยโค้วเพ้งขับรถม้านำหน้า ใกล้จะถึงยามเที่ยง ปึงเซียะพลันเหลือบแลเห็นซิเล้ง ซึ่งโดยสารอาชาอีกตัวหนึ่งมีเรือนร่างส่ายโงนเงน คล้ายดั่งจะพลัดตกลงจากหลังม้า

ปึงเซียะสะท้านใจวาบ รีบใช้สองเท้าหนีบท้องม้าพุ่งทะยานออกไป จวบจนอาชาทั้งสองตัววิ่งเคียงคู่กันจึงยื่นมือออก ตะปบคว้าต้นแขนของซิเล้ง ถามว่า

“ซิเฮีย ท่านไม่สบายหรอกหรือ?”

ซิเล้งคล้ายดั่งตื่นตะลึงจากความฝัน สะท้านขึ้นทั้งร่าง เบือนศีรษะไปมา กล่าวว่า

“มิมีอันใด คาดว่าเมื่อคืนนี้มิได้หลับสนิทรู้สึกอิดโรยอยู่บ้าง”

“อือม์ ในที่นี้มิเป็นไร แต่รายทางเบื้องหน้าขอให้ระมัดระวัง หาไม่แล้วอาจจะพลัดตกลงไปในหุบเหวข้างทาง”

ซิเล้งฝืนหัวร่อคราหนึ่ง กล่าวคำขอบคุณที่ได้กังวล

ปึงเซียะเนื่องจากตกลงกับฉี้อิงแล้ว ดังนั้นนางยังมิทันดำเนินการ มาตรแม้นเห็นชัดว่า กำลังกายของซิเล้งเริ่มสูญสลายมิอาจทนทานแต่ก็มิถามไถ่ ล่าถอยจากมา

เวลาเที่ยงตรง ขณะพักรับประทานอาหาร ซิเล้งเพียงกลืนกินหมี่น้ำครึ่งชาม ก็ทิ้งตะเกียบลงผุดลุกขขึ้นตนคล้ายดั่งต้องการปลีกตัวจากพวกพ้อง เพื่อขบคิดเพียงลำพัง จึงก้าวออกมานอกร้าน

ความจริงแล้ว หลายวันที่ผ่านมา ตนครุ่นคิดคำนึงอยู่ทุกเช้าค่ำ ถึงกับมิได้หลับนอน ไหนเลยจะมีเรื่องราวให้คิดถึงมากมายถึงปานนี้ นี่เป็นข้อพิศวงสงสัยของพวกฉี้อิงทั้งหมด

ฉี้อิงก็ผลักชามห่างออกไป กล่าวกับปึงเซียะและนางแมงมุมขาวว่า

“ข้าพเจ้าอีกครู่หนึ่งจะพามันขึ้นรถม้าเดินทางสักระยะหนึ่ง พวกท่านควบอาชาแทนด้วย”

โค้วเพ้งใช้สายตาน้อมส่งฉี้อิงออกจากร้านด้วย อดมิได้ต้องกล่าวอย่างสงสัยใจว่า

“ปึงเจกเจ่ก พวกมันเป็นอย่างไรแล้ว ซิเจกเจ่กคล้ายดั่งรับประทานมิอิ่มหนำก็จากไป และฉี้โกวโกวเหตุใดพลอยไม่กินอาหารด้วย?”

ปึงเซียะกล่าวว่า

“ฉี้โกวโกวของเจ้าไปปลอบโยนซิเล้งเฮีย สำหรับเรื่องนี้เจ้ามิต้องกังวลหรอก”

นางแมงมุมขาวกล่าวขึ้นบ้างว่า

“ประหลาดแท้ ซิเฮียไฉนจึงมีความในใจที่อัดอกด้วย?”

ปึงเซียะย่อมมิสามารถให้คำตอบได้ เพราะมิทราบเช่นกันว่า ซิเล้งมีความในใจอันใดที่สุมอก?

ทั้งหมดรับประทานอาหารเที่ยงกันอย่างรีบเร่ง ประจวบเหมาะกับแลเห็นฉี้อิงดึงดันพาซิเล้งขึ้นไปบนรถม้า ดังนั้นจึงกระทำตามคำกำชับของนาง ปึงเซียะกับนางแมงมุมขาวโดยสารอาชา ส่วนโค้วเพ้งทำหน้าที่ขับรถม้า

หลังจากเดินเหินได้ระยะทางหนึ่ง ฉี้อิงแลเห็นซิเล้งนั่งเซื่องซึมมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเงียบงันตลอดเวลา จึงอดรนทนมิได้ ยื่นมือออกผลักไสกล่าวถามว่า

“ท่านกำลังคำนึงถึงเรื่องใด?”

ซิเล้งพลันมีกายสะท้านเล็กน้อย กล่าวว่า

“ข้าพเจ้ามิได้คิดถึงอันใดเลย”

“หลายวันที่ผ่านมา ท่วงท่าของท่านคล้ายดั่งผิดปรกติยิ่งนัก”

“ขอบพระคุณที่กังวล แต่ข้าพเจ้าหามีส่วนใดไม่สบายไม่”

ฉี้อิงตลอดเวลาล้วนคำนึงถึงเรื่องราวที่ซิเล้งปฏิเสธการแต่งงานและคราใดที่หวนรำลึก ก็มีดวงใจเจ็บแปลบปลาบ บังเกิดอัคคีโทสะลุกฮือโหม

นางลอบตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่า จะไม่ให้อภัยซิเล้ง และแสดงสีหน้าที่ดีเลิศ ไม่ยอมกล่าววาจาอันไพเราะหูอย่างเด็ดขาดตลอดกาล

และในกาลเวลาที่ผ่านมา นางก็ได้กระทำเช่นนั้นในยามนี้ พอหวนนึกถึงเรื่องที่ทำให้นางรันทดวิปโยค จึงบังเกิดความขุ่นเคือง และชังชิงตัวเองที่กลับมาวิสาสะกับซิเล้งด้วย

ฉี้อิงจ้องมองเค้าหน้าด้านข้างของซิเล้ง ส่วนประกอบที่หมดจดคมคายนั้น นางมีความคุ้นเคยอย่างสุดจะเปรียบ แต่บัดนี้ได้ซูบซีดไปมากมาย และในห้วงสมองของเขา มิมีผู้ใดทราบว่า กำลังพลุ่งพล่านด้วยความนึกคิดอันใด

ฉี้อิงเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า

“ท่านคล้ายดั่งมีความในใจอย่างใหญ่หลวง เพียงแต่มิทราบว่าสามารถแพร่งพรายต่อผู้อื่นหรือไม่”

ซิเล้งสั่นศีรษะอย่างแช่มช้ากล่าวว่า

“ข้าพเจ้ามิมีความในใจเลย”

“ท่านไยต้องหลอกลวงข้าพเจ้า หรือว่าข้าพเจ้ามิอาจสังเกตได้ด้วย”

วาจาของนางอ่อนโยนยิ่งนัก มิว่าอย่างไรซิเล้งย่อมต้องตอบโต้ แต่ได้ยินซิเล้งกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าไม่มีความในใจจริงๆ”

ฉี้อิงพลันบังเกิดความเดือดดาลสุดระงับ แทบจะกัดกินเลือดเนื้อของฝ่ายตรงข้าม นางสะกดกลั้นเพลิงโทสะ ส่งเสียงเรียกหานามของฝ่ายตรงข้าม ซิเล้งจึงเบือนศีรษะมองมา

นางพลันพลิกฝ่ามืออันผุดผ่อง ได้ยินเสียงดังฉาด เมื่อสามารถตบใส่ซิเล้งอย่างถนัดถนี่ไปคราหนึ่ง ฉี้อิงหัวร่อแค่นๆ กล่าวว่า

“รสชาติเช่นนี้เป็นอย่างไร?”

ประกายตาของซิเล้ง จับจ้องนางอย่างเซื่องซึมเลื่อนลอย เพียงถอนหายใจยาวๆ ออกมา ฉี้อิงรั้งฝ่ามือขึ้นอย่างแช่มช้า อิริยาบถนี้แสดงว่าจะคิดตบตีเป็นคำรบสอง

แต่ทว่าซิเล้งได้นั่งอย่างงงงัน เสมือนกับร่างกายและจิตใจล้วนชาด้าน แม้ถูกตบตีก็มิปรารมภ์ ไม่หลบเลี่ยงแม้แต่น้อย

ฉี้อิงเริ่มสำนึกว่าผิดคาดไป แต่อัคคีโทสะได้ระเบิดขึ้นแล้ว จึงตบใส่ใบหน้าของซิเล้งอีกคราหนึ่ง บังเกิดสำเนียงดังสดใส

ครึ่งซีกหน้าของซิเล้งได้แดงฉานไปแล้ว แต่ตนมิลูบคลำแม้แต่น้อย ส่งเสียงทอดถอนหายใจ เบือนศีรษะอย่างแช่มช้า มองออกไปนอกหน้าต่าง!

ฉี้อิงเดือดดาลจนยื่นมือเบนวงพักตร์ของซิเล้งกลับมา กระชากเสียงว่า

“ท่าทีของท่านเช่นนี้ หมายความว่ากระไร? ท่านกลับกล้าไม่แยแสข้าพเจ้าด้วย?”

ซิเล้งพลันสะท้านขึ้นทั้งร่าง ประกายตาอันเซื่องซึมได้สลายไป คิดเอื้อนเอ่ยวาจา แต่ก็ชะงักงันในที่สุดพลันถอนหายใจอีกคราหนึ่ง

ฉี้อิงเขม้นมองฝ่ายตรงข้ามกล่าวว่า

“ท่านคงสามารถกล่าววาจาได้ บัดนี้ข้าพเจ้าจะถามไถ่ท่านประโยคหนึ่ง รับรองว่าท่านสามารถให้คำตอบ แต่ท่านหากมิตอบโต้ พวกเราก็ตกตายร่วมกันอยู่ในรถม้าคันนี้เลย!”

ซิเล้งกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าหากขัดแย้งความรู้สึกของท่าน ท่านสามารถปลิดชีวิตข้าพเจ้า ไฉนต้องเสียชีวิตร่วมด้วย?”

“นี่เป็นเรื่องราวของเรา ข้าพเจ้ายินดีตกตายร่วมด้วย ท่านมิอาจยุ่งเกี่ยวเลย”

ซิเล้งเงียบงันไป ฉี้อิงค่อยผ่อนคลายโทสะ กล่าวอย่างชัดแจ้งว่า

“ข้าพเจ้าต้องการถามไถ่ท่านว่า หลายวันที่ผ่านมา ท่านคงมีความในใจสุมอกเพราะอิสตรีอื่นกระมัง?”

ซิเล้งใคร่ครวญอยู่เล็กน้อย จึงกล่าวว่า

“คำตอบของข้าพเจ้า หากมีการล่วงเกินท่าน ก็ขออย่าได้ถือสา ท่านโปรดรับทราบว่า ในใต้หล้านอกจากท่านแล้ว ข้าพเจ้าไม่เคยมีไมตรีต่ออิสตรีอื่นเลย”

ฉี้อิงรู้สึกดื่มด่ำวาบหวามใจ จับจ้องซิเล้งอย่างงงงัน แต่ยังกล่าวว่า

“อย่าได้ล้อเล่น ข้าพเจ้าในความรู้สึกของท่านมีน้ำหนักถึงปานนั้นด้วย”

“วาจานี้จากใจจริงของข้าพเจ้า เชื่อหรือไม่แล้วแต่ท่าน”

ฉี้อิงคิดถามไถ่ว่า ในเมื่อซิเล้งเพียงรักนาง ไฉนไม่รับเป็นภรรยา แต่นางมีความเชื่อถือในวาจาฝ่ายตรงข้าม ดังนั้นจึงไม่อาจด้านหน้าถามไถ่ออกไป

นางจับจ้องครึ่งซีกหน้าของซิเล้ง ซึ่งอาการแดงฉานยังมิสร่างซา รู้สึกสำนึกเสียใจ กล่าวอย่างนุ่มนวลว่า

“ข้าพเจ้าเมื่อครู่นี้ลงมือรุนแรงเกินไปบัดนี้ยังเจ็บปวดหรือไม่?”

ซิเล้งดวงตาได้สาดประกายอันตื้นตัน กล่าวว่า

“มิเจ็บปวดแม้แต่น้อย”

ทั้งสองฝ่ายล้วนมีความรู้สึกว่า ไมตรีที่ได้สร่างสลายไปตลอดเวลาหลายวันที่ผ่านมา คล้ายดั่งเริ่มฟื้นคืนสู่สภาพเก่าก่อนแล้ว

สำหรับด้านซิเล้ง รู้สึกว่าคราก่อนตนถึงกับกระทบกระเทือนจิตใจของนาง ชั่วชีวิตนี้คงมิอาจคาดฝันว่านางจะยินยอมคืนดีด้วย บัดนี้นางกลับต้องการคืนดีนี่เป็นเรื่องราวที่สร้างความตื่นเต้นพิศวงให้กับตนอย่างใหญ่หลวง

ฉี้อิงกล่าวอย่างเสียงละห้อยว่า

“อาเล้ง หาใช่ข้าพเจ้าทารุณอำมหิตต่อท่าน ความจริงท่านสร้างความสะเทือนใจให้กับข้าพเจ้ายิ่งนัก”

ซิเล้งกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าเป็นฝ่ายผิดจริงๆ ดังนั้นท่านต่อว่าลงมือต่อข้าพเจ้า กลับสามารถลดถอยความสำนึกเสียใจที่มีอยู่ อา พวกเราล้วนเป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การเวทนาสงสาร”

ฉี้อิงอดมิได้ต้องถามว่า

“อาเล้ง ท่านในเมื่อมิมีอิสตรีอื่นอีก ไฉนจึงกระทำต่อข้าพเจ้าเช่นนั้นด้วย”

ซิเล้งคิดจะเอื้อนเอ่ยวาจา พลันรู้สึกว่ารถม้าได้หยุดชะงักลง และแว่วสำเนียงตวาดถามไถ่ของโค้วเพ้งต่อจากนั้นเสียงฝีเท้าม้า พลันห้อตะบึงผ่านไปทางข้างรถ กลับเป็นอาชาทั้งสองตัวของปึงเซียะและนางแมงมุมขาว

ซิเล้ง ฉี้อิงในยามนี้ ย่อมมิสามารถสนทนาต่อไปต่างชะโงกศีรษะออกนอกรถ กวาดตามองไปทางเบื้องหน้า

แลเห็นผู้คนเจ็ดแปดคน ยืนหยัดอยู่กึ่งกลางทางหลวง ใต้ร่มไม้ริมทาง ได้ผูกพาหนะของพวกมัน มองเพียงวูบเดียวก็ทราบว่า ขบวนบุคคลเหล่านี้ จงใจล่วงหน้ามาดักรออยู่ก่อน

ในกลุ่มคนมีชายชราอายุหกสิบปีสามคน ล้วนแต่มีประกายตาเจิดจ้าสมบูรณ์ นอกจากนั้นอีกสี่คน เป็นบุรุษกลางคนท่วงท่าบึกบึนองอาจ และขมับนูนสูงเด่น

ยังมีอีกผู้หนึ่ง กลับเป็นบุรุษหนุ่มอายุยี่สิบเศษศีรษะสวมหมวกนักศึกษา ใส่อาภรณ์ชุดยาว ตกแต่งอย่างเรียบร้อยสง่างาม กลางหลังสะพายกระบี่ยาว เค้าหน้าคมคายยิ่งนัก!


 อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่