๔o
♦ พลาดพลั้งอีกครั้งหนึ่ง ♦
……………
ฉี้อิงอดแค่นหัวร่อมิได้ กล่าวว่า
“เรื่องราวอย่างอื่นท่านเชื่อเชื่อถึงปานนี้ก็ประเสริฐยิ่งแล้ว”
ซิเล้งไหนเลยจะกล้าทุ่มเถียงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ปึงเซียะพลันกล่าวขึ้นว่า
“เอาเถอะ พวกเรายังคงปฏิบัติการ ตามแผนของกี้โกวเนี้ยเถอะ บัดนี้ทั้งหมดเตรียมตัวเข้าสู่เมืองเซียงเอี้ยง คร่ากุมจูกงเม้งจิ้งจอกเฒ่า”
ขบวนผู้คนทั้งสี่หวนกลับออกมาบนถนนหลวง ควบคุมอาชาห้อรถม้าเร่งรุดเข้าสู่ตัวเมืองเซียงเอี้ยง ในยามนี้เป็นเวลาใกล้พลบค่ำ แต่ทั้งหมดมิเสาะหาโรงเตี๊ยมพักผ่อน
ภายใต้การชี้แนะจากนางแมงมุมขาว โค้วเพ้งได้ควบขับรถม้าไปตามทางหลวงสายต่างๆ ขณะผ่านถนนสายที่ครึกครื้นจอแจ นางแมงมุมขาวได้ส่งสัญญาณให้หยุดชะงักลง
ทุกผู้คนต่างก็รู้สึกเขม็งตึงเครียด ซิเล้งกับปึงเซียะนั่งอยู่บนรถ
กวาดสายตาสำรวจไปรอบบริเวณ หากแม้นปรากฏผู้คนที่มีกิริยาฉุกละหุกคิดหลบเลี่ยง ทั้งหมดก็จะลงมือคร่ากุมทันที
นางแมงมุมขาวเลิกม่านรถขึ้น กวาดมองไปทางซ้ายมือ แลเห็นเป็นร้านรวงปลูกสร้างอยู่แถวหนึ่ง ผู้คนเดินเหินอย่างพลุกพล่านสับสน
นางพลันกล่าวว่า
“ฉี้เจ้เจ๊ รีบมองเข้าไปในร้านค้าเสบียงหลังนั้น
ฉี้อิงเพ่งสายตามองไป แลเห็นภายในร้านค้าเสบียงกรัง มีผู้คนเข้าออกจำนวนมาก ผู้ที่สงบไม่เคลื่อนไหว มีเพียงชายชราผมหงอกประปราย ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะบัญชีคนเดียว ดูจากลักษณะคล้ายกับเจ้าของร้านสส่วนเสมียนเก็บเงิน เป็นบุรุษร่างอ้วนอีกคนหนึ่ง ซึ่งวุ่นวายยิ่งนัก
ชายชราผมหงอกประปราย พลันเบือนศีรษะมองมานอกประตูเหลือบแลเห็นรถม้ากับพวกซิเล้ง มีสีหน้าปรากฏแววตื่นตระหนก รีบก้มศีรษะลง
แต่มันคล้ายดั่งรู้สำนึกว่า ฝ่ายตรงข้ามกำลังสังเกตมองมา จึงล้วงหยิบลูกคิดขึ้นมาอันหนึ่ง ส่งเสียงดีดดังเพียะพะ
ฉี้อิงพลันส่งเสียงร้องขึ้นมา ซิเล้งพลิ้วปราดลง จากหลังรถม้ามาถึงข้างรถ ได้ยินฉี้อิงรายงานว่า
“เป็นชายชราผมขาวในร้านเสบียงผู้นั้น”
ซิเล้งพอพิจารณาดูอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวถามนางแมงมุมขาวว่า
“โกวเนี้ยเชื่อมั่นว่ามิผิดพลาดหรอกหรือ?”
“ไม่ผิดพลาดแน่นอน พวกเรารอนแรมมาจากที่ห่างไกลยังสามารถบรรลุถึงสถานที่นี้ อย่าว่าแต่ขณะนี้ห่างกันมิกี่ว่า ต้องเป็นเฒ่าผู้นั้นอย่างเด็ดขาด”
“ประเสริฐมาก คราครั้งนี้ย่อมไม่ปล่อยให้มันหลบรอดจากเงื้อมหัตถ์พวกเราเลย”
ฉี้อิงกล่าวขึ้นว่า
“จะลงมือในบัดดลหรือ?”
สำหรับเรื่องนี้มีความสัมพันธ์กับหนี้โลหิตของตระกูลซิ นางจึงถามไถ่ความเห็นมอบให้ซิเล้งเป็นผู้ตัดสินใจ
ซิเล้งพยายามข่มกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านดาลเดือดจนสงบลงได้ กล่าวว่า
“พวกเราหากจู่โจมทันที คร่ากุมฝ่ายตรงข้ามไป เกรงว่าจะสร้างความแตกตื่นให้กับสามัญชน จนแพร่สะบัดไปทั่ว”
นางแมงมุมขาวร้องว่า
“หากแม้นเป็นเรา ย่อมบุกทะลวงเข้าไป ไยต้องสนใจกับบุคคลอื่นด้วย”
โค้วเพ้งส่งเสียงสนับสนุนเช่นเดียวกัน แต่ซิเล้งสั่นศีรษะกล่าวกับนางแมงมุมขาวว่า
“พวกเรารอนแรมมาจนถึงที่นี่ แสดงว่าเทพแมงมุมดำของท่านเป็นสัตว์ที่ปราดเปรื่องอย่างแท้จริง ในวันนี้มันแม้จะเตลิดหนีไปเมื่อเวลาค่ำคืน ก็ยากที่จะรอดพ้นจากการติดตามของเทพแมงมุมดำได้”
นางแมงมุมขาวกล่าวอย่างทระนงว่า
“ย่อมต้องแน่นอน เราหากเฝ้าคุมเชิงอยู่ในละแวกใกล้เคียง มันหลบหนีไปสารทิศใด เรามิต้องเหลือบดูก็ทราบได้”
ซิเล้งผงกศีรษะอย่างวางใจ พลันเหลือบแลเห็นทารกชายอายุสิบห้าสิบหกปีผู้หนึ่ง แบกข้าวถุงใหญ่ออกมา คล้ายดั่งไปส่งสินค้า ซิเล้งจึงสาวเท้าติดตามไป รอจนเดินพ้นสายตาของผู้คนภายในร้านแล้ว จึงสะอึกกายไปหลายก้าว ตบบ่าของมันกล่าวว่า
“น้องเรา ท่านเป็นคนในร้านค้าเสบียงหมงเชียงใช่หรือไม่?”
ทารกชายผู้นั้น เบือนศีรษะมองมา ไหนว่าซิเล้งมีบุคลิกอันเด่นล้ำ จึงรีบกล่าวว่า
“ถูกแล้ว ตั่วเอี้ย (คำยกย่อง) มีคำแนะนำประการใด?”
“ชายชราผู้ที่อยู่ในร้านของพวกท่านเป็นใครกัน ข้าพเจ้ารู้สึกคุ้นตายิ่งนัก คล้ายดั่งเคยพบพานที่เมืองหลวงมาก่อน”
“อ้อ ท่านคือเจ้าของร้านแซ่จู หลายปีที่ผ่านมามิเคยออกจากบ้าน ตั่วเอี้ยไหนเลยจะเคยพบพานด้วย”
ซิเล้งกล่าวอีกว่า
“ในครอบครัวของมันมีผู้คนมากมายหรือไม่?”
“หามีไม่ มีแต่ท่านเจ้าของร้านเพียงคนเดียว ดังนั้นเวลาค่ำคืน จึงพักอยู่ในห้องหับหลังร้านอยู่ร่วมกับเราที่เป็นคนรับใช้”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าจดจำผิดพลาดแล้ว ท่านรีบไปเถอะ อย่าได้ชักช้าจนอาจถูกเจ้าของร้านตำหนิ”
“ไม่ ท่านเจ้าของร้านแซ่จูเป็นคนอันดีงาม ท่านมักบริจาคทรัพย์เจือจานผู้ยากไร้อยู่เสมอ”
ซิเล้งมีอารมณ์ไปรับฟังโดยละเอียด หันกายก้าวกลับมาพบว่าเจ้าของร้านแซ่จูที่โต๊ะบัญชีผู้นั้นได้หายสาบสูญแล้ว จึงกล่าวถามว่า
“เดียรัจฉานนั้นไปที่ใดแล้ว?”
นางแมงมุมขาวกล่าวว่า
“มันอยู่ในห้องที่ห่างจากหลังร้านประมาณสองวา”
“อือม์ มันกลับไปที่ห้องพักของมันแล้ว บัดนี้พวกเราเสาะหาโรงเตี๊ยมพำนัก พักผ่อนให้สบาย จวบจนเที่ยงคืนค่อยลงมือ”
ดังนั้นขบวนผู้คนทั้งห้า เสาะหาโรงเตี๊ยมพักผ่อน หลังจากรับประทานอาหารแล้วก็นั่งขัดสมาธิโคจรลมปราณ จวบจนถึงเที่ยงคืน ทั้งหมดจึงสวมอาภรณ์รัดกุมออกปฏิบัติการ
ทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีความสามารถอันสูงล้ำ ยามโลดแล่นข้ามตัวตึก มีความว่องไวปานประหนึ่งประกายไฟ พริบตาเดียวก็มาถึงนอกร้านค้าเสบียงอาหาร
นางแมงมุมขาวกล่าวว่า
“มันอยู่ที่ภายใน ตามตำแหน่งซึ่งเมื่อยามทิวาเราได้บ่งบอก”
ซิเล้งผงกศีรษะและกล่าวว่า
“โกวเนี้ยขอให้เฝ้ารักษาอยู่ที่นี้ ปึงเฮียกับอาเพ้งจะอยู่ร่วมกับท่าน หากแม้นฝ่ายตรงข้ามหลบหนีออกมาก็ลงมือคร่ากุมเอาไว้”
จากนั้นจึงกล่าวกับฉี้อิงว่า
“พวกเราไปกันเถอะ”
พลางพลิ้วกายขึ้นสู่หลังคาตึกก่อน ที่ข้างกายปรากฏสายลมพุ่งผ่านมา ฉี้อิงได้ยืนหยัดอยู่ล้ำตนสามสี่ก้าว
ทั้งสองสำรวจสภาพรอบบริเวณอย่างระมัดระวัง รู้สึกว่าไม่มีลางสังหรณ์ที่ชวนไหวระแวงเลย
ซิเล้งสะอึกกายไปหลายก้าว กระซิบอยู่ที่ข้างหูของฉี้อิงว่า
“เค้าเจ้เจ๊บอกว่าได้ทำลายพลังฝีมือของมันไปแล้ว ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น มันมาตรแม้นมีประสบการณ์อย่างช่ำชอง แต่ในยามนี้หูตาย่อมมิปราดเปรียว ยากที่จะพบพานร่องรอยพวกเรา”
ฉี้อิงกล่าวอย่างหมกมุ่นว่า
“มิว่าอย่างไร พวกเรายังต้องระแวดระวังอย่าได้เลินเล่อ”
ทั้งสองเคลื่อนไหวไปเบื้องหน้าอย่างแช่มช้า มาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ซิเล้งชี้มือลงไปเบื้องล่างซึ่งมีห้องหับแห่งหนึ่ง และสาดแสงตะเกียงออกมาอย่างริบหรี่
ซิเล้งใช้วิชาส่งเสียงทางลมปราณกล่าวกับฉี้อิงว่า
“นั่นย่อมต้องเป็นห้องนอนของจูกงเม้ง หากเป็นของผู้รับใช้ในร้าน ย่อมมิกล้าจุดตะเกียงจนถึงฟ้าสาง”
ฉี้อิงกล่าวว่า
“ประสบการณ์ในวงพวกนักเลงของท่าน นับว่าช่ำชองยิ่ง วาจานี้มีเหตุผล ข้าพเจ้าเพียงกังวลว่า ในห้องนอนของมัน มีกลไกกับดักอันพิสดาร”
ซิเล้งจมอยู่ในภวังค์ครุ่นคิด ฉี้อิงพลันคล้ายดั่งหมอกควันจางๆ สายหนึ่ง พลิ้วปราดลงที่หน้าตึก
อุบัติการณ์นี้ สร้างความตื่นตระหนกให้กับซิเล้ง คิดจะขัดขวางก็มิทันท่วงที (และก็มิกล้าส่งเสียงเรียกหานาง รู้สึกว่าเสียวเจียะนางนี้หุนหันเกินไป) นางสมควรกระทำตามแผนการ สังเกตการณ์อยู่บนหลังคาตึกเป็นระยะเวลาหนึ่ง
ในยามนี้ ซิเล้งมีแต่ถลันปราดตามติดลงไปอย่างปราดเปรียว ฉี้อิงที่หน้าประตูห้องได้ชิงลงมือก่อนโดยยื่นฝ่ามือออกไป แผ่พุ่งกำลังภายในกระแทกใส่
กลอนประตูในห้องพลันหักสะบั้นทันที ฉี้อิงผลักประตูถลันเข้าไป ซิเล้งรีบพุ่งกายตามติด และเพิ่มความสว่างของดวงตะเกียงขึ้น
ภายในห้องได้จัดตั้งเตียงนอนเตียงใหญ่ ปล่อยมุ้งม่านลงอย่างมิดชิด ฉี้อิงเข้าไปเลิกม่านมุ้งขึ้น แลเห็นชายชราผู้หนึ่งเพิ่งลืมตามองมา มันถูกแสงตะเกียงชอนไชนัยน์ตาจนตื่นขึ้นมา และมีสีหน้าปรากฏแววอันตื่นเต้นสงสัย
ฉี้อิงกล่าวอย่างเย็นชาว่า
“จูกงเม้ง ท่านมาตรแม้นจะมีความสามารถเทียบเท่าเทพยดา ก็อย่าคาดหวังว่า จะหลบหนีได้เลย”
ชายชราผู้นั้นถอนหายใจออกมา มิได้ส่งเสียง
ฉี้อิงยื่นมือออก จี้สกัดไปที่ทรวงอกของมัน ตำแหน่งที่พุ่งใส่ หากถูกทำร้ายจะได้รับความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างสุดแสน ปลายนิ้วของนางกำลังจะสัมผัสถูกกล้ามเนื้อบนทรวงอกของฝ่ายตรงข้าม แต่ชายชรายังมิได้หลบเลี่ยง
คราครั้งนี้ ก็ได้ทดสอบจนทราบชัดว่า ฝ่ายตรงข้าม สูญเสียพลังฝีมือ จนไม่มีทางหลบเลี่ยง ฉี้อิงจึงรีบสลายพลังภายใน เพียงแต่ทิ่มนิ้วลงไป และรู้สึกว่ากล้ามเนื้อของฝ่ายตรงข้ามอ่อนนิ่ม เฉกเช่นกับปุถุชนสามัญ
ฉี้อิงส่งเสียงกล่าวว่า
“ท่านคือจูกงเม้งใช่หรือไม่?”
ชายชราผู้นั้นผงกศีรษะ เบือนสายตาไปอีกทางหนึ่ง คล้ายดั่งมิต้องการกล่าววาจา
ซิเล้งซึ่งอยู่ร่วมด้วย ได้สำรวจห้องหับจนทราบชัดว่า ปราศจากกลไกน่าเคลือบแคลง ดังนั้นจึงสะอึกปราดมาถึงหน้าเตียง ขบกรามกรอดกล่าวว่า
“จูกงเม้ง หนี้โลหิตของพวกเรา ในวันนี้สามารถสะสางกันแล้ว”
จูกงเม้งจับจ้องมองตน อ้าปากหมายเอ่ยวาจา แต่สำเนียงตะกุกตะกัก รับฟังไม่ชัดเจน
ซิเล้งเกรงว่ามันจะส่งเสียงร่ำร้อง จนสร้างความแตกตื่นให้กับผู้อื่น จึงพุ่งดรรชนีออกไปอย่างรวดเร็ว จี้สกัดจุดของฝ่ายตรงข้าม ในยามนี้จูกงเม้งมิสามารถส่งเสียงได้ เพียงแต่เบิ่งตาขึ้น สาดเป็นประกายอันประหวั่นพรั่นพรึง
ซิเล้งหัวร่อแค่นๆ กล่าวว่า
“จูกงเม้ง คาดมิถึงว่าท่านมีความเกรงกลัวต่อความตายถึงปานนี้ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกผิดหวังยิ่งนัก”
ฉี้อิงพลันกล่าวว่า
“ถามไถ่มันเสียก่อนว่า กิมเม้งตี้อยู่ที่ใด?”
ซิเล้งเอื้อมมือตบคลายจุดของมัน เค้นเสียงกล่าวว่า
“ท่านหากยินยอมบ่งบอกร่องรอยของกิมเม้งตี้ พวกเราก็สามารถประทานความตายต่อท่านโดยมิทารุณ รีบบอกมา”
จูกงเม้งหอบหายใจอยู่ตลอดเวลา มิสามารถเอื้อนเอ่ยวาจาแม้ประโยคเดียว มุ่งแต่สั่นศีรษะพร้อมกับชี้มือไปที่แผ่นกระดานใต้เตียงนอน ท่วงท่าน่าหวาดหวั่นลนลานยิ่งนัก!
ฉี้อิงพลันลงมือสกัดจุดของมันกล่าวว่า
“มันคิดจะร่ำร้องอีกแล้ว ประหลาดแท้ จูกงเม้งกลับกลายเป็นขลาดเขลาถึงปานนี้ แม้กระทั่งข้าพเจ้าก็รู้สึกผิดหวัง”
นางพลันกล่าวอีกว่า
“การจัดการกับมัน มอบเป็นภาระของท่านตัดสินใจเองเถอะ”
ซิเล้งแหงนหน้าขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวว่า
“ความขลาดเขลาของเดียรัจฉานนี้ นอกเหนือความคาดหมายของข้าพเจ้าอย่างใหญ่หลวง ข้าพเจ้าก็จะลงมืออย่างที่มันคาดคิดมิถึง คิดจะจี้สกัดจุดชีวิตของมัน ปล่อยให้ทนทุกข์ทรมานเป็นเวลาสามวัน แล้วค่อยประหารทิ้งไป”
ฉี้อิงกล่าวขึ้นว่า
“จิ้งจอกเฒ่าผู้นี้ มิแน่ว่าจะคลายจุดได้”
“พวกเราย่อมสามารถคอยควบคุมมัน และอย่างมากก็ปล่อยให้มีชีวิตอีกสามวัน วิธีการนี้ทำให้มันครุ่นคิดถึงความตายตลอดเวลาสามวัน ซึ่งจะกระทบกระเทือนจิตใจจนแทบวิปลาสทีเดียว”
“ตกลง บัดนี้จู่โจมฝ่ามือปลิดชีวิตของมันทันที ก็ออกจะสะดวกดายต่อมันจนเกินไป”
ซิเล้งลงมือจี้สกัดจุดสำคัญของจูกงเม้งสามแห่ง โดยใช้แนววิชาอันเร้นลับ ซึ่งนอกจากตนแล้ว มีแต่ซือแป๋ ขุนพลไร้กรอาวเอี้ยงง้วนเจียงสามารถคลายออกได้
พอลงมือแล้ว ทั้งสองก็หรี่แสงตะเกียงจนอ่อนจางลง ล่าถอยออกจากห้องพัก ปิดประตูเอาไว้ดังเดิม ออกมาสมทบกับปึงเซียะ นางแมงมุมขาว โค้วเพ้งทั้งสามบนท้องถนน แล้วจึงหวนกลับสู่โรงเตี๊ยม
วันรุ่งขึ้นพอตื่นขึ้นมา ทั้งหมดเนื่องจากทราบว่า ต้องพำนักอยู่เป็นเวลาสามวัน จึงท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ ในละแวกใกล้เคียงอย่างสบายอารมณ์
ขณะกลับจากท่องเที่ยว ก็เป็นเวลาพลบค่ำ ทั้งหมดรับประทานอาหารชำระล้างร่างกายแล้ว กำลังคิดจะแยกย้ายกันพักผ่อน นางแมงมุมขาวพลันถลันเข้ามาหาซิเล้ง ฉี้อิง ปึงเซียะทั้งสามอย่างร้อนรน
สีหน้าของนางตื่นเต้นตึงเครียดยิ่งนัก ส่งเสียงกล่าวว่า
“จูกงเม้งได้หลบหนีออกจากตัวเมืองแล้ว!”
ข่าวคราวนี้สร้างความตื่นตระหนกให้กับบุคคลทั้งสาม จนต่างสะท้านขึ้นทั้งร่าง
แต่ซิเล้งพอเห็นนางแมงมุมขาว บังเกิดความเขม็งเคร่งเครียด จึงพยายามสงบอารมณ์ของตัวเอง ปลอบโยนนางว่า
“มิต้องร้อนรุ่มไป คงเป็นเทพแมงมุมดำบอกกล่าวกับท่านกระมัง?”
นางแมงมุมขาวกล่าวว่า
“มิผิด มันได้ออกจากตัวเมืองไปกว่าร้อยลี้แล้ว ดังนั้นเราจึงรู้สึกแตกตื่นตระหนกยิ่งนัก”
ฉี้อิงกล่าวขึ้นบ้างว่า
“นางแมงมุมขาวน้องเรา จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าคือคบุคคลอีกผู้หนึ่ง ซึ่งถูกใยเทพแมงมุมพัวพันกับตัวประจวบเหมาะกับอยู่นอกรัศมีร้อยลี้?”
“เป็นไปมิได้ สัญญาณที่เทพแมงมุมดำแจ้งว่าเป็นจูกงเม้งมีความแตกต่างไป เรามิเข้าใจผิดพลาดอย่างเด็ดขาด”
ซิเล้งเงียบงันไปครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า
“จูกงเม้งถูกพวกเราทอดทิ้งอยู่ในห้องนอน มิอาจเอื้อนเอ่ยวาจา มือเท้ามิมีทางเคลื่อนไหว เพียงสามารถกระพริบตาเท่านั้น ไหนเลยจะถ่ายทอดกระแสจิต ให้ผู้อื่นย้ายมันออกจากเมืองไปได้?!”
ฉี้อิงกล่าวถามซิเล้งว่า
“หรือว่า มันมีความสามารถคลายจุดที่ท่านสกัดไว้ด้วย?”
“ตามเหตุผล นอกจากซือแป๋ท่านผู้เฒ่าแล้ว บุคคลอื่นก็ยากจะกระทำได้ ฉี้อิงท่านว่าใช่หรือไม่?”
“มิผิด มาตรแม้นเป็นกิมเม้งตี้ถูกจี้สกัดจุด ก็เชื่อว่าไม่อาจคลี่คลาย แต่บัดนี้จูกงเม้งในเมื่อสามารถเตลิดหนีไปได้ไกลกว่าร้อยลี้ ในเวลาเพียงวันเดียว แสดงว่าตัวเองสามารถเดินเหินเอง จึงจะกระทำได้ หากว่าจ้างผู้อื่น เกรงว่ามิมีทางหลบหนีได้รวดเร็วถึงปานนี้”
สภาพการณ์พอเปลี่ยนแปลงไป ทั้งหมดจึงต้องขบคิดอย่างหนักหน่วง ซิเล้งพลันกล่าวว่า
“พวกเราจะต้องสืบทราบสาเหตุเลศนัยนี้ บัดนี้มิอาจชักช้า ต้องรีบไล่ล่าติดตามฝ่ายตรงข้ามไป”
ทั้งหมดลงมือเก็บรวบรวมสัมภาระ ซิเล้งเรียกให้คนรับใช้คิดค่าที่พัก ผู้รับใช้จึงกล่าวอย่างสงสัยใจว่า
“ทั้งหมดมิใช่ตกลงกันว่า จะพำนักอีกสามวันหรอกหรือ”
ซิเล้งกล่าวว่า
“พวกเรามีเรื่องราวต้องไปกระทำอย่างรีบด่วน”
ปึงเซียะเอ่ยปากถามผู้รับใช้ว่า
“ท่านรู้จักร้านขายเสบียงกรังยี่ห้อหมงเชียงที่ถนนใหญ่สายนั้นหรือไม่?”
“บ่าวย่อมรู้จักดี รับทราบมาว่าท่านเจ้าของร้านแซ่จูได้ป่วยเป็นโรคประหลาด ทั้งไม่สามารถเคลื่อนไหว กล่าววาจา นายแพทย์ทั่วทั้งเมืองเชื้อเชิญไปดูอาการแล้ว ล้วนมิทราบสมุฏฐาน ขณะนี้ส่งคนไปเชิญแพทย์ถึงเมืองบู๊เชียง คราครั้งนี้คงสูญเสียเงินทองมิน้อย อา ผู้ใจบุญสุนทานท่านนี้ กลับเผชิญโรคภัย เทพยดาฟ้าดินช่างไม่มีทิพย์เนตรเลย”
มันกลับเอ่ยปากตำหนิเทพยดาบนฟากฟ้า แสดงว่าเจ้าของร้านแซ่จูผู้นั้น เป็นคนดีอย่างแท้จริง
ซิเล้งกล่าวขึ้นว่า
“ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว คนของร้านเสบียงนั้น ได้ขนส่งท่านเจ้าของร้านแซ่จูไปเมืองบู๊เชียงเพื่อรักษาพยาบาลใช่หรือไม่?”
ผู้รับใช้คนนั้นตอบว่า
“หามีไม่ ท่านผู้เฒ่าออกเดินตั้งแต่เมื่อใด บ่าวเพิ่งเยี่ยมเยียนมา จวบจนบัดนี้ยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม!”
ทุกผู้คนรับฟังจนงงงันไป รู้สึกสำนึกว่าเรื่องราวมีเลศนัยน่าเคลือบแคลง ฉี้อิงกล่าวว่า
“ท่านเจ้าของร้านแซ่จู ยังอยู่ในเมืองจริงๆ ท่านมิได้กล่าวเหลวไหล”
ผู้รับใช้คนนั้นส่งเสียงสาบานอย่างหนักแน่น ซิเล้งฉุกใจได้คิดกล่าวว่า
“ข้าพเจ้ารู้จักวิชาแพทย์พยาบาล และถนัดในการรักษาโรคภัยประหลาด มิว่าอย่างไร ข้าพเจ้าไม่ได้คิดค่าตอบแทน ท่านไยไม่ลองพาข้าพเจ้าไปตรวจดูหากช่วยให้มันทุเลาได้ ก็เท่ากับสร้างกุศลอย่างใหญ่หลวง”
ผู้รับใช้คนนั้นลิงโลดยิ่งนัก ตกลงว่าจะนำพาไป หลังจากบอกกล่าวกับเสมียนโรงเตี๊ยมแล้ว ก็พาซิเล้ง ฉี้อิง ปึงเซียะ นางแมงมุมขาว ตรงที่ร้านเสบียงอาหารทันที
แลเห็นร้านรวงปิดการค้าชั่วคราว ผู้มาเยี่ยมอาการไข้มีจำนวนมากมาย คนรับใช้พาพวกซิเล้งเข้าไปหาสมุหบัญชีร่างอ้วนฉุคนนั้น บ่งบอกเจตนาการมา
สำหรับเรื่องนี้ เมื่อมิต้องจ่ายเงินทอง ย่อมไม่เกรงว่าจะถูกผู้คนฉวยโอกาสหลอกลวง สมุหบัญชีร่างอ้วน จึงนำพาผู้คนทั้งหมดไปหลังร้านทันที
ซิเล้งและพวกเริ่มทราบว่า เรื่องที่เจ้าของร้านแซ่จูยังอยู่ในที่นี้ไม่ผิดพลาดแน่แล้ว พอเข้ามาในห้อง สมุหบัญชีร่างอ้วนก็เชื้อเชิญบุคคลอื่นออกไปจนหมดสิ้น
บนเตียงนอนภายในห้อง นอนเหยียดยาวไว้ด้วยชายชราผู้หนึ่ง มันกำลังพริ้มตาอยู่ ซิเล้งยื่นมือออกผลักไสมัน โดยลอบแผ่พุ่งพลังภายในเข้าไปในร่างกายของมัน
ชายชราผู้นั้นลืมตาขึ้นมาทันที พอพบเห็นซิเล้งก็ปรากฏแววอันตื่นเต้นคลางแคลง
ซิเล้งเบือนหน้ามาทางนางแมงมุมขาวเป็นเชิงถามไถ่ นางก็สั่นศีรษะปฏิเสธว่า ชายชราผู้นี้หาใช่จูกงเม้งไม่ ซิเล้งจึงขอให้สมุหบัญชีร่างอ้วน กับผู้รับใช้ประจำโรงเตี๊ยมออกจากห้องไป แล้วค่อยลงมือตบคลายจุด
ชั่วครู่ต่อมา เจ้าของร้านแซ่จูผู้นั้น จึงฟื้นฟูเป็นปรกติ ส่งเสียงตะกุกตะกักว่า
“ท่าน…ท่าน…”
ร่ำร้องอยู่ครึ่งค่อนวัน ยังมิได้กล่าววาจาแม้แต่ประโยคหนึ่ง ปึงเซียะพลันเอ่ยขึ้นว่า
“ซิเฮีย ผู้เฒ่าท่านนี้ยามกล่าววาจาไม่สะดวกนัก”
มันไม่อาจกล่าวอย่างตรงๆ ว่า ชายชรานี้เป็นคนติดอ่าง แต่ทุกผู้คนก็เข้าใจดี
ซิเล้งส่งเสียงกล่าวว่า
“ท่านเจ้าของร้านแซ่จู พวกเราเข้าใจผิดคิดว่าท่านเป็นบุคคลผู้หนึ่งเมื่อคืนนี้จึงลงมือต่อท่าน”
เจ้าของร้านแซ่จูกล่าวว่า
“เรา…เราทราบดี…”
ซิเล้งคำนึงในใจว่า
“…ที่แท้เรื่องนี้มีเลศนัยแอบแฝงอยู่ เราเกือบจะเลินเล่อสังหารเจ้าของร้านแซ่จูนี้ โดยปล่อยให้ตัวฆาตกรร้ายดำรงชีวิตได้เสียแล้ว…”
ดังนั้นจึงกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า
“ข้าพเจ้าจดจำได้ว่า เมื่อคืนนี้ท่านยอมรับว่าคือจูกงเม้ง แต่ความจริงท่านหาใช่จูกงเม้งไม่ หรือว่านามของท่านประจวบเหมาะกับชื่อว่าจูกงเม้งด้วย?”
“เรา…ความจริง…มิใช่มีนามเช่นนั้น”
ซิเล้งประหวัดนึกถึงจูกงเม้งตัวจริงที่เตลิดหลบหนีไป หลังจากถามไถ่เรื่องราวทางด้านนี้จนกระจ่างแจ้งแล้ว ยังต้องไล่ล่าติดตามจิ้งจอกเฒ่านั้น จึงเร่งเร้าฝ่ายตรงข้ามให้รีบบอกเล่าเหตุการณ์ออกมา
เจ้าของร้านแซ่จูใช้เวลาบอกเล่าอยู่เนิ่นนาน พวกซิเล้งทั้งสี่ค่อยเข้าใจได้ ที่แท้มันผู้นี้เป็นชาวเมืองหลวง เมื่อยี่สิบปีก่อนถูกบุคคลผู้หนึ่งพามาถึงที่นี้ และให้เป็นเจ้าของร้านค้าเสบียงอาหาร
บุคคลนั้นต้องการให้มันเปลี่ยนแปลงชื่อแซ่ ดังนั้นมันในรอบยี่สิบปีจึงกลับกลายเป็นจูกงเม้ง และบุคคลผู้นั้นทุกๆ หนึ่งหรือสองปีก็มาที่เมืองเซียงเอี้ยง ให้มันพำนักอยู่ที่อื่น
ส่วนบุคคลผู้นั้นจะปลอมแปลงเป็นมัน อาศัยอยู่ในร้านเป็นเวลาหลายวัน แล้วค่อยจากไป และให้เฒ่าแซ่จูเป็นเจ้าของร้านดังเดิม ซึ่งกาลเวลาที่ผ่านไปล้วนไม้มีเหตุการณ์ เฒ่าแซ่จูก็ดำรงชีวิตอย่างสุขสบาย
เนื่องจากมันเป็นผู้โดดเดี่ยวไร้ญาติมิตร จึงมักนำเงินทองไปประกอบบุญกุศล ดังนั้นในเมืองเซียงเอี้ยง พอพาดพิงถึงเฒ่าแซ่จู ทุกผู้คนต่างก็เคารพเลื่อมใส
เมื่อมินานมานี้ บุคคลผู้นั้นก็มาอีก และเฒ่าแซ่จูได้ไปพำนักอยู่ที่อื่นตามปรกติ แต่เมื่อคืนนี้มันถูกเรียกหามา เฒ่าแซ่จูได้ไปพำนักอยู่ที่อื่นตามปรกติ แต่เมื่อคืนนี้มันถูกเรียกหามา เฒ่าแซ่จูมิทราบสาเหตุเลศนัย เพียงล่วงรู้ว่าบุคคลผู้นั้นซุกซ่อนอยู่ใต้เตียงนอน!
พอถึงยามค่ำคืน ก็ยังเกิดเหตุการณ์ที่ซิเล้งฉี้อิงบุกเข้ามาภายในห้อง ขณะนั้นมันชี้มือไปที่ใต้เตียงนอน คิดจะบ่งบอกว่าตำแหน่งนั้นมีผู้คนอยู่
เฒ่าแซ่จูเนื่องจากเป็นคนติดอ่าง กอปรกับสัตย์ซื่อไม่ปราดเปรียวดังนั้นซิเล้งฉี้อิงขณะซักไซ้ถามไถ่ มันจึงไม่มีโอกาสอธิบาย จนถูกจี้สกัดจุด นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่จูกงเม้งคัดเลือกมันเป็นหุ่นแทน
ซิเล้งพอทราบชัดแล้ว ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกแตกตื่นตระหนกและนิยมเลื่อมใส ในการที่จอมเฒ่าเจ้าเล่ห์เฉกเช่นจูกงเม้ง ได้ตระเตรียมทางถอยไว้ล่วงหน้ามากมายถึงปานนี้!
ตนกล่าวคำขอขมาต่อเฒ่าแซ่จู แล้วค่อยสำรวจใต้เตียง จนพบว่าเบื้องล่างจัดสร้างห้องใต้ดินกว้างยาววาเศษหลังหนึ่ง อนุญาตให้จูกงเม้งซุกซ่อนกายพอดี
ทั้งหมดออกจากร้านค้าเสบียงอาหาร และตักเตือนผู้คนภายในร้านมิให้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป แล้วจึงเร่งรุดออกจากตัวเมืองอย่างรวดเร็วโดยให้นางแมงมุมขาวนำทาง
เมื่อเวลาท้องฟ้าใกล้รุ่งสาง ทางเบื้องหน้าที่ห่างไกล ปรากฏเป็นตัวเมืองแห่งหนึ่ง นางแมงมุมขาวพลันบงการให้โค้วเพ้งหยุดรถ
ซิเล้งกับปึงเซียะควบม้าเข้ามาสมทบ นางแมงมุมขาวกล่าวว่า
“จูกงเม้งอยู่ในตัวเมืองแห่งนี้ พวกเราจะเข้าเมืองอย่างตรงๆ หรือกระจายกำลังแยกย้ายเข้าไป?”
ซิเล้งใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง พลันกล่าวว่า
“พวกเราจะเข้าเมืองอย่างเปิดเผย มิว่าฝ่ายตรงข้ามจะซุกซ่อนร่องรอยอยู่ตำแหน่งใด ก็ลงมือคร่ากุมมันทันที”
นางแมงมุมขาวกล่าวว่า
“หากท่านกระทำเช่นนี้ตั้งแต่เริ่มต้น ก็คงมิต้องตรากตรำเดินทางแล้ว”
“บัดนี้ข้าพเจ้าเพิ่งฉุกคิดได้ว่า ยามจัดการกับอสูรร้ายเฉกเช่นจูกงเม้ง สมควรดำเนินวิธีอันหนักหน่วง ประหนึ่งอสนีบาตทลายลง อย่าได้ไปคำนึงถึงสภาพแวดล้อมเลย!”
ฉี้อิงกล่าวขึ้นว่า
“คราครั้งนี้ จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ จะต้องเผชิญกับการลงทัณฑ์อย่างสาหัส ชดเชยความผิดทั้งมวลที่มันสร้างสมเอาไว้”
รถม้าเพิ่มความเร็วห้อตะบึง มินานก็เข้าสู่ตัวเมือง ในยามนี้แม้ฟ้าสางสว่างไม่นานเท่าใด แต่ก็เป็นเวลาเปิดตลาดอย่างบังเอิญ ภายในเมืองคึกคักจอแจยิ่งนัก ดังนั้นขบวนรถม้ากับอาชาของซิเล้งปึงเซียะทั้งสองตัว ยามเข้ามายังตัวเมือง จึงถูกสรรพสำเนียงกลบเกลื่อนเอาไว้
นางแมงมุมขาวพลันบงการให้โค้วเพ้งหยุดรถ ชี้มือไปที่ห้องหับแห่งหนึ่งกล่าวว่า
“มันอยู่ข้างใน”
ฉี้อิงกวาดสายตามองไป กลับเห็นเป็นโรงเตี้ยมธรรมดาแห่งหนึ่ง จึงหัวร่อแค่นๆ กล่าวว่า
“สภาพเช่นนี้นับว่าประเสริฐแท้”
นางกระโดดปราดลงมาจากรถม้า ซิเล้งก็พลิ้วกายลงมาจากหลังอาชา กล่าวกับนางว่า
“พวกเรายามเข้าไป ให้แปรเปลี่ยนดำเนินการตามสภาพแวดล้อม อย่าให้ผู้คนระแวงสงสัยจะประเสริฐที่สุด หากสามารถคร่ากุมจูกงเม้ง ข้าพเจ้าจะควบคุมมันอยู่ในรถม้า ท่านขับอาชาข้าพเจ้าติดตามออกไปนอกเมืองโดยเร็วที่สุด”
ทั้งสองพากันเข้าไปสู่โรงเตี๊ยมด้วยกัน ในยามนี้ผู้รับใช้คนหนึ่งเพิ่งมาเปิดโรงเตี๊ยม พอพบเห็นคนทั้งสองจึงงงงันไปวูบหนึ่ง
ซิเล้งพลันยื่นมือออก ตะปบคว้ากุมข้อมือซ้ายของคนรับใช้ฉุดลากออกนอกโรงเตี๊ยม ผู้รับใช้คนนั้นคิดร่ำร้อง แต่ปรากฏพลังอันร้อนระอุสายหนึ่ง ทะลักมาที่บริเวณลำคอ จนไม่อาจส่งเสียงได้
ซิเล้งได้คลายนิ้วทั้งห้าออก มือซ้ายล้วงหยิบเงินแท่งหนึ่งส่งออกไปพลางกล่าวว่า
“ในโรงเตี๊ยมของท่าน มีผู้มาพำนักอยู่กี่คน?”
ผู้รับใช้พอเห็นเงินทอง ดวงตาก็เบิ่งจนกลมกว้างกล่าวว่า
“มีแขกเหรื่อเพียงผู้เดียว”
ซิเล้งซักไซ้ว่า
“บุคคลนั้นมีรูปลักษณะประการใด?”
“อายุประมาณหกสิบเศษ มีใบหน้าแดงระเรื่อ”
“ประเสริฐมาก พวกเรากำลังเสาะหามัน ท่านมิต้องแตกตื่นและอย่าได้บอกกล่าวกับผู้อื่น”
กล่าวจบก็ยัดเยียดเงินทองลงไปในฝ่ามือของมัน ผู้รับใช้คนนั้นผงกศีรษะอยู่ตลอดเวลา
ซิเล้งถามไถ่ตำแหน่งของห้องพัก แล้วจึงเข้าไปในโรงเตี๊ยมอย่างว่องไว โบกมือให้กับฉี้อิงเป็นเชิงชักชวน ทั้งสองถลันปราดเข้าสู่ตึกในอย่างไร้สุ้มเสียงชักชวน ทั้งสองถลันปราดเข้าสู่ตึกในอย่างไร้สุ้มเสียง แลเห็นประตูห้องหลังกึ่งกลางได้ปิดสนิท
ฉี้อิงโคจรลมปราณตลบหนึ่ง กระโดดปราดขึ้นไปอย่างฉับไวพุ่งข้ามหลังคาตึก พลิ้วกายลงที่นอกหน้าต่างบานหลัง ปิดสกัดลมหายใจผนึกพลังตระเตรียมเอาไว้
ซิเล้งสาวเท้าก้าวขึ้นไปบนบันไดศิลา คุกคามเข้ามาใกล้ประตูหน้าห้องทางด้านใน พลันได้ยินสำเนียงถอนหายใจเบาๆ ซิเล้งถึงกับสะท้านใจอย่างรุนแรง
ตนสะบัดฝ่ามือออก กระแทกใส่บานประตูด้วยพลังลมอันเกรี้ยวกราด ได้ยินเสียงดังโครม ประตูทั้งสองเปิดผางออก แลเห็นภายในห้องอาศัยอยู่ด้วยชายสวมชุดยาว หน้าแดงระเรื่ออยู่ผู้หนึ่ง!
ชายชราผู้นั้น พอพบเห็นซิเล้งยืนหยัดอยู่หน้าประตู ด้วยท่าทางอันเหี้ยมหาญ จึงมีสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง และท่ามกลางความตื่นตระหนก ยังรู้สึกพิศวงสงสัยเป็นที่ยิ่ง
ซิเล้งเนื่องจากรับฟังจากสำเนียง จนทราบว่าฝ่ายตรงข้ามคือจูกงเม้ง จึงลงมือในบัดดล ขณะนี้ได้แหงนหน้าหัวร่อดังกังวานกล่าวว่า
“จูกงเม้ง ในที่สุดท่านก็มิอาจหลบรอดไปได้อีก”
อดีตผู้กล้าหาญดาบทอง…จูกงเม้ง มิเสียทีที่เป็นจอมอสูรแห่งยุค พริบตาเดียวก็ฟื้นฟูเป็นปรกติกล่าวว่า
“สำหรับครั้งนี้เราอดเลื่อมใสมิได้ เจ้าไฉนจึงสามารถติดตามมาถึงที่นี้?”
ซิเล้งกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า
“รายละเอียดยิบยาวยิ่ง ท่านยังคงพกพาเอาความสงสัยไปในปรภพเถอะ ฉี้โกวเนี้ย ท่านสามารถเข้ามาได้แล้ว”
ประตูบานหลังแว่วเสียงดังโครม กลิ่นอันหอมหวนได้โชยเข้ามาดรุณีที่งามสะคราญนางหนึ่ง มายืนหยัดอยู่ภายในห้อง มือถือแส้อ่อนสะบัดไปมา เขม้นมองจูกงเม้งอย่างเย็นชา
จูกงเม้งพลันส่งเสียงหัวร่อขึ้นกล่าวว่า
“พวกเจ้ายังคงมาสายไปก้าวหนึ่ง ควรทราบว่า เล่าฮูชั่วชีวิตได้วางแผนล่วงหน้าอยู่ตลอดเวลา พวกเจ้าไยมิลองมองขึ้นไปบนเพดานห้องว่า จัดวางวัตถุสิ่งใด?”
ซิเล้ง ฉี้อิงสำนึกทราบว่า ฝ่ายตรงข้ามเป็นจอมเฒ่าเจ้าเล่ห์ พอได้ยินจึงอดแหงนหน้าขึ้นไปสำรวจดูมิได้ แต่ทว่าบนเพดานห้อง เวิ้งว้างว่างเปล่าปราศจากวัตถุใดๆ
จูกงเม้งพลันล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ ตะปบเอากระบี่สั้นออกมาเล่มหนึ่ง ทิ่มแทงเข้าใส่จุดสำคัญบริเวณทรวงอกของตัวเอง ปรากฏโลหิตสีแดงฉานฉีดทะลักออก
ซิเล้งฉี้อิงเบือนสายตากลับมา เพิ่งรู้ซึ้งว่าหลงกลอุบายของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งได้หาหนทางอัตวินิบาตกรรมตัวเอง
ซิเล้งเดือดดาลจนขยี้เท้าเหยียบย่ำแผ่นอิฐแตกละเอียดไปสี่แผ่น พร้อมกับนั้นได้กระชากกระบี่ลงมือใส่ปลายกระบี่จี้ถูกจุดเส้นใต้ชายโครงของจูกงเม้ง ทำให้จูกงเม้งถึงกับเซื่องซึมมิอาจเคลื่อนไหว
ฉี้อิงกระโดดปราดเข้าไป ช่วงชิงกระบี่สั้นในมือของจูกงเม้ง ตรวจตราดูอาการ แล้วจึงเปล่งเสียงหัวร่อ กล่าวว่า
“เดียรัจฉานนี้บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย รับรองไม่เสียชีวิต นี่คงเป็นการช่วยเหลือของเทพยดาฟ้าดิน ซึ่งมิอนุญาตให้มันตกตายไปอย่างสะดวกดาย”
นางล้วงหยิบเอายาสมานแผลพอกใส่ ฉีกเศษผ้าพันปากแผลเอาไว้
ซิเล้งยื่นมือออกจัดแจงเสื้อยาวของจูกงเม้ง แล้วจึงโอบรอบเอวของมัน ออกจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้ บุคคลอื่นยามพบเห็น เพียงเข้าใจว่าตนประคองจูกงเม้งอยู่ หาทราบไม่ว่า ซิเล้งได้ควบคุมฝ่ายตรงข้ามเอาไว้
ตนนำจูกงเม้งผลักไสเข้าไปในรถม้า ตัวเองกระโดดปราดไปที่หน้ารถควบตะบึงออกจากตัวเมืองอย่างรวดเร็ว ชั่วครู่ให้หลัง ก็มาถึงสถานที่อันรกร้างวังเวงแห่งหนึ่ง
ทั้งหมดจอดรถม้าอยู่นอกดงไม้ ซิเล้งฉี้อิงทั้งสองหนีบร่างของจูกงเม้งวิ่งตะบึงเข้าไปในพุ่มพฤกษา เสาะหาที่ว่างแห่งหนึ่ง แล้วค่อยชะงักฝีเท้าลง
พื้นที่ว่างในดงพนาแห่งนี้ มีหญ้าคาท่วมสูง ทั่วทั้งสี่ด้านถูกต้นไม้บดบังเอาไว้ รู้สึกสงัดผิดสามัญ แต่ก็เป็นสถานที่ลงมือได้
ซิเล้งเหวี่ยงร่างของจูกงเม้งลงบนพื้นดิน บนใบหน้าอันสำรวม แฝงไว้ด้วยแววโศกเศร้ารันทด กล่าวกับฉี้อิงว่า
“ฉี้โกวเนี้ย พวกเราส่งความระลึกสักการะถึงญาติผู้ใหญ่ที่ถูกจูกงเม้งประทุษร้ายไปเสียก่อน บัดนี้ขอเชิญท่าน”
ฉี้อิงงงงันไปวูบหนึ่ง แล้วจึงแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า แลเห็นนภากาศขาวสะล้างไร้ปุยเมฆ แต่บนฟากฟ้าผืนที่แจ่งกระจ่าง นางคล้ายดั่งพบพานวงพักตร์อันเมตตาของสตรีนางหนึ่ง กำลังแย้มยิ้มให้กับนาง นั่นเป็นรูปโฉมของมารดา ซึ่งฉี้อิงตลอดเวลาที่ผ่านมา วาดมโนภาพขึ้นเอง
นางงอเข่าทั้งสองข้างลงบนพื้นดิน หยาดน้ำตาสองสายไหลทะลักออกมา และพลันประหวัดหวนนึกถึงชะตาชีวิตอันอาภัพอัปภาคย์ของมารดาผู้ล่วงลับ บิดาที่ต้องซุกซ่อนร่องรอย รวมทั้งตัวเองที่คอยร่อนเรพเนจร ทำให้ต้องร่ำไห้ออกมา
ซิเล้งก็แหงนหน้าสู่ท้องฟ้า แสดงจิตสักการะต่อผู้ล่วงลับ คุกเข่าลงไปเช่นกัน
สำเนียงร่ำไห้ของฉี้อิงพอแว่วกระทบโสต ทำให้ทั้งรันทดทั้งคั่งแค้น พลันผุดลุกขึ้น พุ่งร่างมาถึงข้างกายของจูกงเม้ง ลงมือจี้สกัดจุดของมันหลายแห่ง
จูกงเม้งพลันมีดวงตาสาดประกายอันประหวั่นรวดร้าว มันปากไม่อาจกล่าววาจา ร่างกายมิสามารถเคลื่อนไหว มีแต่ดวงตาที่ยังไม่พริ้มลง ซึ่งสามารถใช้แสดงออกถึงความรู้สึกภายในของมัน
ซิเล้งตวาดอย่างคั่งแค้นว่า
“จูกงเม้ง ท่านขณะประกอบกรรมชั่ว คงมิเคยคาดว่า ตัวเองจะได้ประสบกับผลสุดท้ายอันน่าพรั่นพรึงเช่นนี้มาก่อน”
จูกงเม้งย่อมมิสามารถส่งเสียงตอบวาจา นัยน์ตาของมันบัดเดี๋ยวเบิ่งกว้าง บัดเดี๋ยวหรี่เล็กลง บัดเดี๋ยวมีเหงื่อกาฬไหลซึมออกมา บนร่างกายทุกสัดส่วน มีอาการสั่นกระตุกอย่างรุนแรง
ซิเล้งพลันได้ยินเสียงร่ำไห้ของฉี้อิงดังอย่างหวนโหย สร้างความตื่นตระหนกจนก้าวกลับมาข้างกายของนาง แลเห็นฉี้อิงได้หมอบกายอยู่บนพื้นดินร่างอันแน่งน้อยได้สั่นสะท้าน
ตนโน้มกายลง ยื่นมือตบจุดเส้นที่กลางหลังของนางเบาๆ กล่าวว่า
“ฉี้โกวเนี้ย…”
ฉี้อิงพลันพลิกกายขึ้น โถมเข้ามาในอ้อมอกของตน สำเนียงร่ำไห้คร่ำครวญจนน่าเวทนา
ซิเล้งอย่างลืมตัว สองแขนได้โอบรัดนางจนแนบแน่น ในยามนี้ทั้งสองล้วนมีความรู้สึกว่า ความห่างเหินชาชิน ซึ่งเป็นมาหลายวัน ล้วนปลาสนาการไป ทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจ และต้องการซึ่งกันและกัน!
ชั่วครู่ต่อมา ฉี้อิงได้ชะงักเสียงร่ำไห้เงยหน้าขึ้นกล่าวว่า
“อาเล้ง ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าคาดคิดถึงโฉมหน้าของมารดาผู้ล่วงลับ ทำให้ชิงชังในตัวจูกงเม้งอย่างที่สุด เพราะมันทำให้ข้าพเจ้ามิอาจได้ยลโฉมหน้าของมารดา จนต้องคับแค้นใจไปชั่วชีวิต”
ซิเล้งพึมพำว่า
“อาอิง ท่านเป็นผู้วิปโยคอย่างยิ่งยวด ข้าพเจ้ายังจดจำรูปโฉมกับน้ำเสียงของบุพการีทั้งสองท่านได้”
ฉี้อิงปาดหยาดน้ำตา พลันจุมพิตริมฝีปากของซิเล้งอย่างว่องไวผุดลุกขึ้นมา กวาดมองไปทางจูกงเม้งกล่าวว่า
“อาเล้ง บัดนี้ถึงเวลาที่ข้าพเจ้าจัดการกับอสูรร้ายผู้นั้นบ้าง”
ซิเล้งถูกนางจุมพิตจนบังเกิดความรู้สึก ทั้งอบอุ่น ชื่นชม คับแค้น และส่งเสียงรับคำไปอย่างเลื่อนลอย
ตนผุดลุกขึ้นก้าวเข้าหาจูกงเม้งด้วย แลเห็นฝ่ายตรงข้ามมีสีหน้าทั้งเขียวคล้ำทั้งขาวซีด เต็มไปด้วยความรวดร้าวทรมาน ซิเล้งตวัดเท้าเตะใส่ จูกงเม้งพลันระบายลมหายใจยาวๆ ออกจากปาก ชั่วพริบตาเดียวคล้ายกับผ่ายผอมไปมากมาย
ฉี้อิงตวาดว่า
“อสูรร้าย ถึงคราข้าพเจ้าบ้างแล้ว”
จูกงเม้งพลันส่งเสียงขึ้นว่า
“ช้าก่อน กี้เฮียงเค้งโกวเนี้ยได้ให้วัตถุสิ่งหนึ่ง…”
มันมิว่าจะเอื้อนเอ่ยวาจาอย่างไร ซิเล้งฉี้อิงล้วนมิแยแสสนใจแต่พอพาดพิงถึงกี้เฮียงเค้ง ถึงกับมีประสิทธิภาพในบัดดล ฉี้อิงลงมือตบใส่ร่างกายของมันสองครั้ง ช่วยเร่งเร้าลมปราณให้สะดวกด้วย
จูกงเม้งจึงฟื้นฟูสติสัมปชัญญะและรีบกล่าวว่า
“กี้เฮียงเค้งโกวเนี้ยได้ฝากหยกก้อนหนึ่งให้กับกิมเม้งตี้ และมันได้มอบต่อเรา โดยอ้างอิงว่าอาศัยวัตถุนี้สามารถทำให้มิต้องรับทัณฑ์ทรมานจากพวกเจ้า”
ซิเล้งฉี้อิงสบตากันอย่างตื่นเต้น ฉี้อิงกล่าวถามว่า
“หยกก้อนนั้นเล่า?”
จูกงเม้งร้องโพล่งว่า
“เราเหวี่ยงทิ้งไปแล้ว”
ฉี้อิงหัวร่อแค่นๆ กล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้น ท่านก็มีแต่ตระเตรียมรับทัณฑ์ทรมานเถอะ”
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป