วิทยัญ
……..

ศาสตราจารย์สุรพลคลี่ยิ้มและปรบมือเสียงดังนำทุกๆ คนในห้องประชุม เมื่อกฤษฎาวางปากกาเมจิกลงแล้วก้าวถอยออกมาจากภาพที่เขาเพิ่งวาดเสร็จลงสดๆ

เสียงปรบมือและโห่ร้องด้วยความชื่นชมกึกก้องต่อเนื่องสะท้อนไปมาอีกนานหลายวินาทีจนกฤษฎามีท่าทางกังวล หวาดกลัว เขาย่อตัวลงเอามือปิดหู และหลับตา จนทีมงานคนอื่นๆ และแม่ของเขาต้องมาช่วยประคองเขาลงจากเวที หลายคนอุทานแสดงความเห็นใจ แต่อีกหลายคนกลับหัวเราะขัน

“นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่า สมองของมนุษย์มหัศจรรย์แค่ไหน จากคนที่เคยช่วยเหลือตัวเองแทบไม่ได้ กลายเป็นอัจฉริยะด้านศิลปะในชั่วเวลาเพียงไม่นาน ต้องยกความดีให้ทีมงานวิจัยของเรานะครับ ที่ทำให้ทุกอย่างลุล่วงไปด้วยดีจนถึงเดี๋ยวนี้…”

ศาสตราจารย์วัยห้าสิบสองปียังคงพูดต่อไปอีกเรื่อยๆ ในขณะที่กฤษฎาหลบลงมานั่งอยู่กับแม่ของเขาที่ด้านหลังเวที ชายหนุ่มไม่ชอบเสียงดังอึกทึกแบบนี้เอาเสียเลย มันทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัย ตอนนี้เขาอยากกลับบ้าน

            ก่อนหน้านั้นสามปี

“สิ่งที่เราจะทำกันนี้เรียกว่า Transcranial Magnetic Stimulation เป็นการส่งคลื่นไฟฟ้ารบกวนสมองซีกซ้าย เพื่อเพิ่มศักยภาพการทำงานของสมองซีกขวาชั่วคราว เราจะผ่าแผลเล็กๆ เพื่อฝังแผ่นชิปโลหะลงในสมองซีกซ้าย แล้วจะปล่อยสัญญาณไฟฟ้ารบกวนคุณตอนที่กำลังสอบ พอสอบเสร็จเราก็ปิดเครื่องส่งสัญญาณกวนและผ่าตัดชิปออก ง่ายๆ เท่านั้นเองครับ”

“คุณแน่ใจนะครับว่าไม่มีอันตราย” กฤษฎาดูจะสนใจวิธีการนี้มาก แต่ก็ยังไม่วายกังวล

ประณตและทีมนักวิทยาศาสตร์ของเขาเรียกได้ว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์และแพทย์ทางสมองที่เก่งที่สุดในเอเชีย การยินยอมเข้าร่วมการผ่าตัดครั้งนี้ จะทำให้ทั้งเขาและทีมของประณตได้รับผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เขาเองจะสอบเข้าเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยที่หมายปองได้อย่างที่ฝัน ส่วนทีมของประณตก็จะได้เคสสำหรับปิดงานวิจัย ดูไม่น่าจะมีอะไรต้องห่วง

กฤษดาเข้ารับการผ่าตัดจนสำเร็จเรียบร้อย ผลการผ่าตัดสำเร็จตามที่คาดหมายไว้ทุกประการ ชายหนุ่มเข้ารายงานตัวและเข้าสอบตามกำหนดการของมหาวิทยาลัยและเดินทางกลับที่พัก

แต่ทว่าหลังการสอบเกิดความผิดพลาดอย่างรุนแรงกับเครื่องส่งสัญญาณรบกวนสมอง นอกจากจะไม่สามารถทำให้เครื่องหยุดส่งสัญญาณได้แล้ว ยังทำให้สัญญาณทุกชนิดที่เดินทางผ่านจุดที่กฤษฎาอยู่สามารถเข้าไปรบกวนการทำงานของสมองกฤษฎาได้ทั้งหมด จนทำให้กฤษฎาเริ่มมีอาการควบคุมตนเองไม่ได้ เหม่อลอย สมองซีกซ้ายเริ่มถูกทำลายลงทีละน้อย

กฤษฎาได้รับการเตรียมตัวผ่าตัดนำแผ่นชิปโลหะออกจากสมองโดยด่วนที่สุด เพื่อลดการสูญเสียของสมองซีกซ้าย ประณตและทีมแพทย์เตรียมห้องผ่าตัดอย่างเคร่งเครียด

เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง เมื่อทางมหาวิทยาลัยสืบทราบเรื่องการผ่าตัดสมองของกฤษฎา และขู่จะเปิดโปงเรื่องนี้ ศาสตราจารย์สุรพลเชิญประณตเข้าไปคุยเป็นการส่วนตัวในห้องทำงาน

“พวกคุณพยายามทุจริตสอบ ด้วยวิธีที่เหนือความคาดหมาย ถ้าข่าวนี้แพร่กระจายออกไป สื่อต้องสนใจกันมากแน่ๆ เพราะเป็นเรื่องแปลกใหม่ พวกคุณต้องถูกถอนทุนวิจัย และหมดอนาคตถ้าเรื่องนี้เปิดเผยออกไป คุณว่างั้นไหมคุณประณต”

ประณตมีสีหน้าเคร่งเครียด “ศาสตราจารย์ เรียกผมมาคุยแสดงว่ามีเรื่องที่ต้องการตกลงกับผม รีบพูดมาเถอะครับ กฤษฎากำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน”

“คุณนี่ ตรงไปตรงมาดีนะ ดี แบบนี้ดี ผมชอบ” อธิการบดีสุรพลยิ้มมุมปาก

“สิ่งที่ทางเราต้องการตกลงกับคุณ เป็นข้อเสนอที่เราทุกฝ่ายจะได้รับประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ คือตอนนี้ทางมหาวิทยาลัยของเรากำลังสนับสนุนงานวิจัยเกี่ยวกับการฟื้นฟูศักยภาพบุคคลที่มีความบกพร่องด้านสมอง อย่างออทิสติก โดยการดึงศักยภาพด้านที่เขามีออกมาใช้อย่างเต็มที่ด้วยกระบวนการกระตุ้นเพื่อพัฒนาที่เราคิดขึ้น บุคคลประเภทนี้มีไม่น้อยที่ซ่อนความเป็นอัจฉริยะภาพไว้ในตัว ถ้าเราดึงออกมาได้ถูกวิธี บุคคลที่เคยเป็นภาระของสังคมก็จะมีคุณค่ากับตัวเองและคนอื่นๆ มากขึ้น”

“ครับ ว่ามาเลยครับ” ประณตก้มดูนาฬิกาด้วยท่าทางกระวนกระวาย

ศาสตราจารย์สุรพลพูดต่อ “ผลงานที่เขาใช้สอบเข้าเป็นนักศึกษาที่นี่ ถือได้ว่าเป็นผลงานของอัจฉริยะโดยแท้ ผมพูดตรงๆ เลยนะ ผมต้องการตัวคุณกฤษฎา เข้าไว้ในโครงการวิจัยของเรา เราจะทำการกระตุ้นพัฒนาการสมองของเขาทั้งสองด้านเรื่อยๆ เพื่อลดอาการเสื่อม และจะเพิ่มศักยภาพในด้านที่เขาทำได้ยอดเยี่ยม ให้ดีขึ้นไปอีก”

นักวิทยาศาสตร์หนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตาอธิการบดี เขาใช้เวลาคิดอยู่พักหนึ่งก็ถามต่อไปว่า “แล้วศาสตราจารย์ต้องการเขานานแค่ไหน”

ชายวัยกลางคนยิ้ม “ผมต้องการแค่หนึ่งปีเท่านั้น”

ประณตเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ถอนหายใจ หลับตา ส่ายหน้า “นานเกินไปครับ สมองซีกซ้ายเขาอาจจะถูกทำลายถาวรได้ ผมให้ท่านได้นานที่สุดหกเดือน”

“สิบเดือน” ศาสตราจารย์สุรพลรีบพูดขึ้น “สิบเดือน คุณต่อรองอะไรไม่ได้อีก งานวิจัยของเราจำเป็นต้องมีเงื่อนไขเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง สิบเดือน แลกกับผมจะมีค่าเสียเวลาให้คุณ สำหรับงานวิจัยในส่วนของคุณที่จะต้องล่าช้าออกไปอีก”

ประณตกัดฟันกรอด แล้วเขาจะมีทางเลือกอื่นใดอีกเล่า…

 

            สิบเดือนต่อมา…

“กฤษฎาคนใหม่ทำคุณประโยชน์ให้กับภาควิชาและสถาบันของเรามาก เป็นศิลปินเอกของประเทศ เป็นปูชนียบุคคล คุณจะเอาอะไรมาแลกสิ่งเหล่านี้ได้”

“แต่ ศาสตราจารย์ครับ ถ้าเราคิดแบบนั้นก็เท่ากับว่าเราฆ่ากฤษฎาคนเดิมให้ตายไปจากโลกใบเก่า จากแม่ ครอบครัว และคนรอบตัวเขา เขาจะต้องกลายเป็นคนมีอาการพิการทางสมองอย่างนี้ตลอดไปเลยนะครับ”

ศาสตราจารย์สุรพลกระแอมเสียงเข้ม แล้วเน้นเสียงเหมือนครูกำลังดุนักเรียน “คุณประณต…คุณประณต… คุณพูดเกินไปแล้ว อย่าเพิ่งคิดเอาเอง คุณเห็นบ้านหลังใหม่ของคุณแม่กฤษฎาแล้วหรือยัง บ้านริมน้ำใหญ่โตหยั่งกะคฤหาสน์ ทีวีทุกช่องอยากได้กฤษฎาไปออกรายการ อาหารการกินเพียบพร้อม ญาติพี่น้องพร้อมหน้า ลูกชายไม่เอาอ่าวกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงระดับโลก คุณว่ากฤษฎาคนเดิมจะทำเรื่องพวกนี้ได้ภายในเวลาไม่ถึงปีไหม ทั้งชาติก็ทำไม่ได้ คุณไม่เข้าใจหรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง รวมทั้งกับชื่อเสียงของสถาบันของเรา”

ประณตส่ายหน้า “คนคนหนึ่งจะต้องอยู่กับอาการหวาดกลัวสิ่งแปลกใหม่ไปชั่วชีวิต สื่อสารแทบไม่ได้ ช่วยเหลือตัวเองได้ครึ่งๆ กลางๆ และไม่ได้สัมผัสความรู้สึกทางจิตใจรูปแบบต่างๆรวมถึงความรักอีกเลยตลอดชีวิต ผมว่าถ้าผมเห็นด้วยผมคงเห็นแก่ตัวน่าดู”

คู่สนทนาที่จมอยู่กลางเก้าอี้นวมตัวโตจ้องกลับมาด้วยสีหน้าเรียบๆ ระยะห่างราวสิบวินาทีต่อจากนั้นยาวนานและชวนให้อึดอัดจนหายใจไม่ทั่วท้อง

“ได้ งั้นผมขอเวลาให้พวกเราอีกสักสองเดือน ผมจะคืนกฤษฎาคนเดิมให้คุณ ให้ผมเคลียร์อะไรต่ออะไรให้เรียบร้อยเสียก่อน ตกลงนะ” ศาสตราจารย์กล่าวสรุปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ และสีหน้าที่ราบเรียบผิดปกติ แต่ประณตแน่ใจว่าหากเชื่อศาสตราจารย์ไม่ว่าจะอีกกี่เดือน เขาก็คงไม่มีทางได้กฤษฎาคนเก่าคืนให้แก่ครอบครัวแน่ๆ

 

“คุณประณตแน่ใจนะคะว่าการผ่าตัดนี้จะปลอดภัย สมองของลูกดิฉันจะไม่เป็นอะไรไปมากกว่านี้อีก” มารดาของกฤษดาที่บีบนิ้วมือตกเองจนซีดขาวเพราะความกังวล เอ่ยถามเสียงสั่น ก่อนที่ลูกชายของเธอจะถูกเข็นเข้าไปในห้องผ่าตัดเล็กๆ ของคลินิกแห่งหนึ่ง

“คุณแม่วางใจนะครับ ผมจะพาลูกชายคนเดิมของคุณแม่กลับมาคืนให้อย่างปลอดภัยแน่นอน รอข้างนอกก่อนนะครับ”

หญิงกลางคนใจเต้นไม่เป็นส่ำ เธอสบตากับลูกชายและบีบมือเขาเบาๆ

“แม่ หนูกลัว” ชายหนุ่มทำหน้าเบ้

“ไม่ต้องกลัวนะลูก แม่อยู่ตรงนี้ รอหนูอยู่ตรงนี้แหละ หมอจะช่วยลูก ไม่นานหรอกจ้ะ แค่หลับไปแป๊บเดียว”

เตียงของชายหนุ่มถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัดไปอย่างรีบร้อน

ในขณะเดียวกับที่คนอีกกลุ่มหนึ่งพร้อมอาวุธครบมือรีบวิ่งตามเข้ามาในตัวตึก…

 

“ต่อไปนี้ขอเสียงปรบมือให้กับอัจฉริยะบุคคลที่โลกต้องตะลึงครับ เจ้าของภาพวาดสมจริงกรุงเทพฯ ทั้งเมืองได้จากความจำล้วนๆ หลังจากการบินชมเมืองด้วยเฮลิคอปเตอร์เพียงครั้งเดียว คุณกฤษฎา ครับ”

เสียงพิธีกรรายการสัมภาษณ์ชายหนุ่มและผู้ช่วยเหลือที่นั่งอยู่ข้างๆ สลับกับเสียงปรบมือและหัวเราะของผู้ชมรายการในห้องส่งดังเข้ามาที่ด้านหลังเวทีเป็นระยะๆ

            หญิงวัยกลางคนที่นั่งแอบอยู่เงียบๆ ในมุมหนึ่งหลังเวทีมาตลอดยังคงก้มหน้านิ่ง จ้องมองภาพถ่ายในมือตนเองด้วยอาการเหม่อลอย ภาพนั้นเป็นภาพเด็กชายคนหนึ่งในอาการที่กำลังหัวเราะร่าเริงสดใส

“คุณแม่ ทำไมมานั่งที่นี่ล่ะครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นเรียบๆ เล่นเอาเธอสะดุ้งสุดตัว

“ลูกชายคุณแม่ อัจฉริยะแท้ๆ เลยนะครับ ผมทึ่งมากเลย” ชายคนนั้นส่งยิ้มให้เธอ ดูเหมือนเขาจะเป็นเจ้าหน้าที่เวทีหรือทีมงานอะไรสักอย่างในรายการนี้ “ไปนั่งที่เก้าอี้ด้านหน้าไม่ดีเหรอครับ จะได้ดูความสามารถของลูกชายได้ถนัดๆ เผื่อกล้องจะได้จับใบหน้าคุณแม่ออกโทรทัศน์ด้วยไง”

เธอรีบส่ายหน้า “ไม่เป็นไรลูก ป้าอยู่ตรงนี้ดีแล้วจ้ะ”

ทีมงานเดินจากไป ในขณะที่หญิงกลางคนชะเง้อมองไปทางจอมอนิเตอร์ที่กำลังถ่ายทอดภาพลูกชายของเธอนั่งนิ่งตาลอยในขณะที่พิธีกรกำลังคุยกับศาสตราจารย์สุรพลอย่างออกรส เธอสงสารลูกชายจับใจแต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้มากไปกว่านี้ เธอนั่งนึกภาพเหตุการณ์ในวันที่ประณตกำลังจะเข็นลูกชายเธอไปผ่าตัดเพื่อรักษาอาการทางสมองให้กลับเป็นปกติ

เสียงวุ่นวายเกิดขึ้นในห้องเตรียมผ่าตัดครู่หนึ่ง ก่อนที่กลุ่มชายแปลกหน้าจะเข็นลูกชายเธอออกมาในสภาพหลับใหลไม่ได้สติแล้วบอกกับเธอว่าลูกเธอจะปลอดภัยภายใต้การดูแลของมหาวิทยาลัย แล้วหลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้พบประณตและทีมของเขาอีกเลย

 

หลังถ่ายทำรายการจบ ศาสตราจารย์สุรพลเดินอมยิ้ม พาชายหนุ่มอัจฉริยะมาส่งคืนให้เธอแล้วว่า “เดี๋ยวผมจะให้คนพาไปที่ลานจอดรถนะครับ มีรถที่จะพาคุณแม่กับน้องไปส่งที่บ้านแล้ว ระหว่างทางถ้ามีใครทักถามหรือขอสัมภาษณ์อะไร ไม่ต้องตอบ เดี๋ยวคนของผมจะจัดการให้เอง”

เธอรีบโอบกอดลูกที่ผวาเข้าหาเธอราวกับว่าเขายังเป็นเด็กชายตัวน้อย กฤษฎาตื่นกลัวเวลาอยู่ท่ามกลางคนมากๆ ทุกวันนี้เธอต้องดูแลเขาเหมือนดูแลเด็กเล็กๆ โดยที่ไม่สามารถตอบญาติพี่น้องคนใดได้ว่าเหตุใดลูกชายเธอจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้

“อาจารย์ขา ขอร้องเถอะค่ะ ฉันไม่อยากให้ลูกต้องเป็นแบบนี้ ไม่อยากได้บ้าน ไม่อยากได้เงิน ฉันจะคืนให้คุณหมดทุกบาท แค่อยากให้ลูกหายเป็นปกติ ไม่ต้องฉลาดอัจฉริยะอะไรอีกแล้ว นะคะ”

อาจารย์สุรพลสีหน้าเครียดขึ้นทันที “ถ้ายังไม่หยุดพูดเรื่องนี้ เดี๋ยวได้หายแน่ครับ หายทั้งแม่ ทั้งลูก เหมือนไอ้ประณตกับทีมของมันนั่นไง เอาแบบนั้นไหม”

หญิงกลางคนสะดุ้ง เบิกตาโพลง หน้าซีดเผือด นั่นเหรอคำตอบของสิ่งที่เธอสงสัยมาตั้งแต่ตอนนั้น

“อยากกลับบ้าน” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ร้องไห้สะอื้นอยู่ในอ้อมกอด

หญิงกลางคนลูบหลังเขาแล้วปลอบเบาๆ ทั้งที่ตัวเองก็กำลังหวาดกลัว “จ้ะลูกแม่ อย่าร้องเลยลูก กลับบ้านกันนะ”

ศาสตราจารย์สุรพลมองตามหลังสองแม่ลูกจนลับตาไป แล้วพูดเบาๆ กับผู้ช่วย “อันที่จริง เรายังจำเป็นต้องมีแม่ของเด็กนั่นไว้ทำไมกันนะ”

ผู้ช่วยเอียงคอ “ผมว่าไม่จำเป็นนะครับ”

สุรพลพยักหน้า “ผมก็ว่างั้น” เขาถอนหายใจ ตบบ่าผู้ช่วยเบาๆ “จัดการให้ผมด้วยก็แล้วกันนะ ส่วนเด็กนั่น เดี๋ยวผมส่งคนไปดูแลเพิ่มเอง มีโปรแกรมต้องออกอีกหลายรายการเลยพรุ่งนี้”.#

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่