หลังจากเดินเท้าฝ่าสายฝนมานานนับชั่วโมงๆ ข้าพเจ้าก็มายืนอยู่หน้าบ้านตัวเอง ไม่กี่อึดใจจากนั้นก็เห็นร่างของใครบางคนกำลังเดินตรงมายังบ้าน

พ่อนั่นเอง!

“พยายามเอาวัวขึ้นจากหล่มตั้งแต่บ่ายจนมืดยังไม่ได้เลย” พ่อเปรยประโยคขึ้น

ราวจะบอกให้รู้ว่ามีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น พ่อยืนเกาหัว ทำท่าเหมือนข้าพเจ้าเพิ่งออกจากบ้านไปเมื่อห้านาทีแล้วกลับมา พ่อไม่รู้หรอกว่าข้าพเจ้าคิดถึงบ้านแค่ไหนและดีใจมากเพียงใดที่เห็นพ่อ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้พูดออกไป กลับพูดว่า “วัวใครพ่อ”

“วัวน้าลอง” พ่อตอบ น้าลองเป็นน้องชายของแม่ ตั้งแต่จำความได้ก็ไม่เห็นแกทำอย่างอื่นนอกจากเลี้ยงวัว

พ่อกลับเข้าบ้านง่วนอยู่กับการหาเชือกคงจะเอาไปคล้องวัวเพื่อช่วยกันดึงขึ้นจากหล่ม พอได้ของที่ต้องการ พ่อก็เดินฝ่าสายฝนเม็ดเล็กละเอียดย้อนไปตามทางที่เดินมาเมื่อสักครู่ ข้าพเจ้ารู้ว่าพ่อคงต้องการคนเพิ่มแต่ไม่เอ่ยปากชวน ข้าพเจ้าเห็นตะเกียงโป๊ะแขวนอยู่ที่เดิม จึงเดินไปติดไฟ น่าดีใจที่ข้าพเจ้ายังไม่ลืมวิธีติด ใจนึกว่าพ่อกลับมาอีกครั้งก็คงมืดแล้ว ข้าพเจ้าควรจะรีบตามพ่อไปจะดีกว่า ข้าพเจ้าวางกระเป๋าเป้บนแคร่ ปล่อยตะเกียงโป๊ะแขวนไว้ที่เดิม

และนั่นเองที่ข้าพเจ้ามองแสงไฟตะเกียงสาดแสงสีเหลืองสว่างไปทั่วบ้านอย่างอิ่มอกอิ่มใจ…

 

ฝนยังไม่หยุดเม็ดดี ยังสัมผัสได้ว่ามีฝนเม็ดเล็กๆ โปรยปรายอยู่ในอากาศเย็นชื้น ข้าพเจ้าไม่ชอบอากาศอย่างนี้เลย ถ้าเป็นไปได้อยากจะก่อไฟผิงมากกว่าต้องไปทำอย่างอื่น ข้าพเจ้ากับพ่อต้องเดินข้ามห้วยไปกว่าจะถึงจุดเกิดเหตุที่วัวติดหล่ม หนทางค่อนข้างลึกและชัน ดินเปียกลื่นต้องคอยดึงเถาวัลย์ไว้ ถึงกระนั้นก็ยังทุลักทุเลพอสมควร กว่าจะข้ามมาได้ ริมห้วยมีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่งยังไม่ใหญ่นัก คนแถวบ้านข้าพเจ้าเรียกชื่อว่า ‘ต้นก้านเหลือง’ เนื้อไม้เป็นสีเหลืองคล้ายเนื้อไม้ขนุน ข้าพเจ้ามองบริเวณโดยรอบที่ยังเป็นป่าเหมือนไม่เคยเปลี่ยน บอนขึ้นรกไปทั่ว ข้าพเจ้าเดินจนลืมไปว่าทิ้งพ่อให้อยู่ข้างหลัง จึงหยุดฝีเท้ารอพ่อ ขณะนั้นเองที่หิ่งห้อยบินอวดแสงวิบวับอยู่เบื้องหน้า มองแล้วน่าเอ็นดูทั้งน่าอัศจรรย์ที่สิ่งมีชีวิตสามารถสร้างแสงสว่างได้ด้วยตัวเอง ข้าพเจ้ายืนมองอยู่สักพัก น้ำตาก็เรื่อที่ขอบตา หันหลังไปดูพ่อที่ดูแก่ไปมาก กี่ปีแล้วนะ ที่ข้าพเจ้าไม่ได้กลับบ้าน

บริเวณที่วัวติดหล่มอยู่ไม่ไกลแล้ว ได้ยินเสียงคนคุยกันเอ็ดอึง เมื่อเข้าใกล้ก็ได้ยินต่างคนต่างเสนอวิธีการที่จะนำมันขึ้นมาจากหล่ม

“เป็นวัวอยู่ดีๆ นึกอยากเป็นควายน้อมึง” เสียงของใครบางคนพูดถึงวัวตัวนั้นเพราะปกติวัวจะไม่ลงไปแช่ปลักโคลน เสียงหัวเราะระบายเครียดจึงมีขึ้นมาบ้าง

ข้าพเจ้าเดินมาถึงจึงพบว่าวัวตัวนั้นอยู่ลึกพอสมควร โคลนเกือบท่วมหลังมัน

“ไปเอาไม้จิ้มฟันมา” เสียงของใครบางคนพูดขึ้น

“เอามาทำไม” ผู้หญิงในกลุ่มถามขึ้น

“ก็เอามันมางัดงัวตัวนี้แล่ว” สิ้นเสียงตอบ ก็มีเสียงโอ๊ยยยย…ยาวๆ ดังๆ ตามมาคนที่ถามถึงไม้จิ้มฟันหัวเราะพึงพอใจกับมุกตลกของตัวเอง

ฝนที่เมื่อครู่เหมือนว่าจะหยุดไปแล้วกลับโปรยสายลงมาใหม่อีกครั้ง

“เอาเข้าไป ฝนก็ตกตายกันพอดี ไปเรียก อบต.เอารถมาลากขึ้นเลยเป็นไง” พ่อมาถึงก็เสนอความคิดเห็น “อบต.ควรจะมาช่วยชาวบ้าน ยามที่ชาวบ้านเดือดร้อน”

“โห… คิดไปได้ มันก็จะพากันถือเขียงกับมีดนั่นแหละที่จะมาช่วย” ใครคนหนึ่งร้อง

“ฮ่วย!  ถ้างั้นก็อย่ามา” ใครบางคนตอบขึ้น

“อ้าว นั่นใคร” ใครบางคนถามพลางพยักเพยิดมาทางข้าพเจ้า

“ไอ้สุไง” พ่อตอบพลางมองไปยังทุกคน

น้าลองนั่นเองที่ทำตาโตวาว “โอ้โห ไอ้สุ มึงตัวโตขนาดนี้เลยหรือ”

“จ้ะ น้า” ข้าพเจ้าตอบแล้วยกมือไหว้น้าลองและทุกๆ คน

“เอ้า จะทักกันอีกนานไหม วัวมันมองหน้าแล้ว” พ่อทัก

ฝนเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่แช่โคลนเย็นเฉียบ แต่วัวตัวนั้นก็หอบจนซี่โครงยกดูท่าทางเหนื่อยอิดโรย น้าคนหนึ่งกำลังเอาเชือกที่พ่อไปเอามาจากกระท่อมเมื่อสักครู่ลอดใต้ท้องวัว คงต้องช่วยกันลากมันขึ้น ข้าพเจ้าคิด แล้วพ่อก็หันบอกกับข้าพเจ้าเมื่อเห็นว่ากำลังจ้องมองแก “น้าเมฆไง แกจำได้ไหม”

“นึกออกแล้ว” ข้าพเจ้าตอบแล้วนึกถึงผู้ชายที่ชอบอำคนนั้นคนนี้ตั้งแต่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็กน้อย กี่ปีๆ แกก็ดูไม่แก่เลย

น้าผู้หญิงคนหนึ่งจุดธูปแล้วปักลงกับดิน ก่อนจะพูดอ้อนวอนกับพระแม่ธรณี พระภูมิเจ้าที่ ผีปู่ผีย่าให้ช่วยเหลือ มันน่าแปลกที่เวลาคนเราพบปัญหาที่เหมือนจะไม่มีทางออก ความว่างเปล่าที่เราเชื่อว่าจะมีมวลสารสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซุ่มซ่อนอยู่เหมือนจะเป็นตัวช่วยให้จิตใจของเรามีกำลังที่จะต่อสู้กับอุปสรรคนั้นๆ ข้าพเจ้านึกถึงตัวเองตอนอยู่ในนั้น

“มันคงอยากแดกกล้วย สมน้ำหน้าชอบนักมึง” น้าเมฆซ้ำเติมชะตากรรมของวัวตัวนั้นด้วยถ้อยคำที่ถ้ามันฟังรู้เรื่องก็ไม่รู้จะสำนึกไหม ข้าพเจ้ามองไปรอบๆ จึงเข้าใจทันทีว่าวัวคงอยากกินกล้วย จึงตกลงไปในบ่อโคลนแล้วเอาตัวเองขึ้นไม่ได้ ข้าพเจ้านึกถึงตัวเอง หลายอย่างที่เสพแล้วพาตัวตกนรกยิ่งกว่าหลุมบ่อโคลนนี้ข้าพเจ้าก็ยังเลือกเสพ

ข้าพเจ้าเดินไปปลิดกล้วยลูกสุกจากเครือนั้นมากินอย่างอร่อยพลางมองไปทางวัวตัวนั้น สายตามันบ่งบอกว่า “กูไม่นึกอยากกับมึงเลยไอ้….” ข้าพเจ้ายิ้มเหมือนคนบ้า

“โยนมาให้สักลูก เหนื่อยว่ะ” น้าเมฆร้องขอกล้วยกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าโยนไปให้ น่าเสียดายแกรับพลาด แกบ่น “แม่ง…หลุด เอามาใหม่”

ข้าพเจ้ากำลังจะโยนไปอีกลูก

“เดี๋ยว! อย่าพึ่งโยน เช็ดมือก่อน” น้าเมฆเช็ดมือที่เปื้อนโคลนกับผ้าขาวม้าที่โพกอยู่บนหัว

“มะ” น้าเมฆให้สัญญาณ ข้าพเจ้าโยนไปคราวนี้ไม่พลาด แกรับแล้วรีบปอกเปลือก ก่อนจะรีบยัดกล้วยทั้งลูกเข้าปาก ราวกับกลัววัวจะแย่ง

“คาคอตายซะด้อก” เสียงใครบางคนพูดขึ้น น้าเมฆไม่สนยังเคี้ยวตุ้ยๆ จนหมดลูก แล้วแกก็ทำหน้าที่ตามเดิมเอาเชือกลอดท้องวัวมัดเชือกเตรียมตัวดึงวัวตัวนั้น

“ดึงมันขึ้นเลย ได้แล้วละ คนมาช่วยเยอะแล้ว” น้าเมฆพูดแล้วนับจำนวนคน ตอนนี้มีชายวัยฉกรรจ์เกือบสิบคนอยู่ล้อมรอบ

“เอาพร้อมยัง ลากคอมันขึ้นมากันเร้ว” แกตะโกนบอก

หลายๆ คนช่วยกันลากช่วยกันดึง สักพักวัวตัวนั้นก็พ้นขึ้นมาจากหลุมโคลน มันยังยืนไม่ได้พอพ้นขึ้นมาเหมือนจะตั้งสติและพักเหนื่อย สักพักมันก็ลุกขึ้น เห็นได้ชัดว่าขามันเจ็บยืนไม่ถนัดนัก

ทันใดนั้นวัวก็ทำท่าขวิดแก แกตะโกนด่า “ห่า! กูช่วยมึงขึ้นมายังไม่สำนึกบุญคุณ”

พี่ผู้ชายอีกคนที่ไปช่วยก็โดนไล่ขวิดเหมือนกัน จึงร้องด่าไปมันอีกคน แล้วแกก็ตะโกนบอกคนอื่น “ระวังมันบ้า วิ่งลงไปที่เดิมนะ อ้ายทิดพงษ์เจ้าระวังมันนะ มันชอบไล่” พี่ผู้ชายคนเดิมร้องบอกพ่อของข้าพเจ้าให้ระวัง

เจ้าของวัวบอกขอบอกขอบใจคนที่มาช่วย และชวนไปกินข้าวที่กระท่อมของแก

ข้าพเจ้ากับพ่อปฏิเสธ เรารู้กันดีว่าเราต้องรีบกลับบ้าน นอกจากฝนทำท่าจะหนักขึ้นเรื่อยๆ เรามีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะ

ข้าพเจ้ากับพ่อต่างเก็บจอบเก็บเสียม เก็บไฟฉายและเชือกคล้องตัว ทิ้งไว้แต่บ่อปลักโคลนว่างเปล่าทางสายตา แวบหนึ่งข้าพเจ้าเห็นแววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกของพ่อขณะมองมาทางข้าพเจ้า

ครั้นแล้วข้าพเจ้านึกถึงภาพที่ตัวเองต้องปีนขึ้นห้วยลาดชันนั้นอีกครั้งก็ป่วนจิตป่วนใจ

“ระวังให้ดีนะ พ่อลื่นครั้งหนึ่งล้มทับแขนตัวเองเป็นอาทิตย์ยังไม่หายปวด” พ่อเตือนข้าพเจ้า

“พ่อนั่นแหละระวังตัว นั่นเถาวัลย์อยู่ข้างๆ ดึงขึ้นไปเลยพ่อ” ข้าพเจ้าตอบ

“ทำเป็นสอนพ่อ แต่ก็นั่นแหละ เอ็งไม่ใช่เด็กๆ แล้ว พ่อคิดถึงตอนเอ็งตัวกะเปี๊ยกจัง” พ่อยิ้มแล้วพยักเพยิดให้เดิน

เราสองคนเดินตามกันกลับ จนกระทั่งบ้านของเรามองจากที่ยืนเห็นแสงตะเกียงสาดส่องสว่างทั่วทั้งบ้าน ใกล้ถึงแล้ว นาทีนั้นพ่อหันมาถามข้าพเจ้า “เป็นไงบ้าง”

“ก็ดีพ่อ” ข้าพเจ้าตอบ

“พ่อรู้ว่าแกจะออกเมื่อวาน แต่อยากทำตามที่แกขอร้อง”

ข้าพเจ้าเป็นคนเขียนจดหมายมาบอกพ่อเองแหละ ว่าไม่ต้องไปรับเมื่อพ่อเขียนมาบอกว่าจะไปรับ

แล้วพ่อก็โอบไหล่ข้าพเจ้าที่ครั้งหนึ่ง ก่อนเข้าไปข้าพเจ้าสูงเพียงหัวไหล่พ่อ บัดนี้พ่อต้องเขย่งจึงจะโอบไหล่ข้าพเจ้าได้ แปดปีมันนานดีแท้

“ไป เข้าบ้าน” พ่อชวน ก่อนจะดึงข้าพเจ้าเข้ามากอด “พ่อคิดถึงเอ็งนะ”

ข้าพเจ้าน้ำตารื้น แล้วย่อตัวลงกอดเอวพ่อ

“ไป แม่คงกำลังรอเรากินข้าว” พ่อพูด

นี่เป็นเรื่องเกิดขึ้น ในวันที่ออกจากเรือนจำเป็นวันแรก

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่