รักแรกพบของศพไร้หัว (ตอนจบ)
……..
คำว่า เคย ทำให้ฉันเจ็บแปลบ นั่นหมายความว่ามันเป็นอดีต มันผ่านไปแล้ว และจะไม่มีวันหวนกลับมาอีกใช่ไหม เคยรักกัน เคยเป็นแฟนกัน เคยเป็นคนสำคัญ แค่เคยเท่านั้น…
“อโหสิกรรมให้พี่ด้วยนะพิม” นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ฉันได้ยิน ก่อนจะลอยคว้างเข้าไปในพงหญ้า เผยอปากอ้า ดวงตาเบิกค้าง จ้องมองลวดลายเนื้อผ้าและผิวด้านในของถุงพลาสติกที่กำลังมีไอน้ำเริ่มเกาะ
ในขณะที่อีกสถานที่หนึ่ง ร่างของฉันยังคงนอนตะแคงกางขา 45 องศาเป็นรูปกรรไกร ครึ่งบนอยู่ในพงหญ้า ครึ่งตัวล่างอยู่บนพื้นซีเมนต์
หลังจากถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานถ่ายรูปและเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุเบื้องต้นแล้ว ฉันก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสจากฝ่ามือใหญ่นุ่มอุ่นคู่หนึ่ง ขยับขาฉันชิดกัน และดึงกระโปรงลงคลุมเข่าด้วยกิริยาอาการราวกับฉันเป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่ยังคงต้องการการปกป้อง ทะนุถนอม และยังไม่ตาย ความอ่อนนุ่มสะอาดสะอ้านจากผ้าผืนใหญ่ผืนหนึ่ง ห่มคลุมลงมาที่ขา ลำตัว และคอที่ถูกลวดทองแดงตัดขาดจนเลือดแดงฉานไปทั่วบริเวณ
“ขอโทษนะครับ รบกวนงดบันทึกภาพนะครับ ให้เกียรติผู้เสียชีวิตด้วย” เสียงนั้นเหมือนจะเป็นเสียงชายหนุ่มวัยไม่เกินสามสิบ สุภาพและอ่อนโยน
เจ้าหน้าที่กู้ภัยมาถึง เมื่อได้รับคำสั่ง พวกเขาวางเปลผ้าใบลงที่พื้น ปูผ้าดิบสำหรับห่อศพ และเตรียมจะอุ้มฉันขึ้น
“พี่ครับ เดี๋ยวผมอุ้มเองครับ” เสียงของชายหนุ่มคนเดิมทำให้ฉันอุ่นวาบในใจ หรือไม่ก็คล้ายๆ อย่างนั้น เพราะตอนนี้หัวใจฉันไม่เต้นแล้ว
เขาค่อยๆ สอดมือเข้าใต้รักแร้และต้นขาใกล้หัวเข่า กระชับตัวฉันแนบอกเหมือนที่ใครสักคนจะทำกับหญิงสาวที่เขารัก กล้ามเนื้อแขนและหน้าอกของเขาแข็งแรงอย่างคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ยกฉันตัวลอยเหมือนไม่มีน้ำหนัก ให้ตายเถอะ ฉันอยากเห็นหน้าเขาเหลือเกิน แต่ลูกตาดันอยู่อีกที่!
หลังฉันแตะเปลหามอย่างนุ่มนวล ก่อนที่ผ้าดิบจะถูกรวบขึ้นมัดสามปมและยกขึ้นบนรถ
“เอ้า พี่จะไปด้วยเหรอ” กู้ภัยคนหนึ่งร้องถาม เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มคนที่อุ้มฉันก้าวขึ้นท้ายรถมานั่งข้างๆ ฉันด้วย
“ขอติดรถไปด้วยละกัน ผมต้องไปที่นั่นอยู่แล้ว” เขาตอบ
“แล้วพี่นั่งกับศพได้เหรอ ไม่กลัวนะ” หนุ่มกู้ภัยถามอีก
ฉันไม่ได้ยินเสียงตอบ ได้ยินแต่เสียงปิดประตูท้ายรถ และรถสตาร์ท ออกตัวไป
“ผมเป็นตำรวจที่จะมาดูแลคดีของคุณนะครับ คุณพิมมาลา”
นั่น! เขาพูดกับฉัน แถมยังรู้ชื่อฉันด้วย คงเป็นเพราะบัตรนักศึกษาในกระเป๋าถือนั่นแหละ
“ผมเพิ่งทำงานได้ไม่กี่ปี แต่ก็เจอเรื่องโหดๆ แบบนี้หลายครั้ง ครั้งนี้ทำให้ผมเศร้าใจที่สุด เพราะน้องสาวของผมที่เพิ่งตายไปเมื่อเดือนก่อน เธอก็เรียนที่เดียวกับคุณ แถมอายุเท่าๆ กันด้วย”
“ผมช่วยคนอื่น แต่ปกป้องน้องตัวเองไม่ได้ ทีแรกผมโกรธน้อง ทั้งที่เป็นเด็กฉลาด แต่ทำไมถึงโง่ถูกผู้ชายแบบนั้นหลอกเอาได้ แต่พอมานึกดูแล้ว ไอ้เลวพวกนั้นต่างหากที่สมควรตาย”
ให้ตายเหอะ บทพูดพระเอกละครหลังข่าวสุดๆ แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ฉันอยากเห็นหน้าเขา
เพราะอะไรก็ไม่รู้ เขาค่อยๆ ประคองมือซ้ายฉันขึ้นมากุมไว้ “ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องกลัว ไม่มีใครทำร้ายคุณได้แล้ว ผมจะนั่งเป็นเพื่อนคุณไปส่งที่ รพ. เอง”
เป็นโมงยามแห่งความอบอุ่นน่าประทับใจ คืนนั้นรถติดตามธรรมดาของคืนวันศุกร์ รถขนศพไม่ต้องรีบร้อนเท่ารถขนคนป่วย เราจึงมีเวลาอยู่ใกล้กันนานขึ้น คืนนั้นเป็นคืนแรกในชีวิต ที่ฉันมีชายหนุ่มน่ารักนั่งกุมมืออย่างอ่อนโยนและพูดปลอบใจฉันตลอดการเดินทาง
หนึ่งคืนแห่งความโดดเดี่ยวมาถึงหลังจากนั้น ในขณะร่างส่วนใต้ลำคอลงมาถูกแช่เย็นยะเยือกอยู่ในตู้เก็บศพของโรงพยาบาลตำรวจ รอแพทย์นิติเวชมาจัดการตามระบบในตอนเช้า ส่วนหัวกลับต้องแหงนหน้าหนุนพงหญ้าร้อนอบอ้าวเดียวดายในซอยเปลี่ยว
ความกลัวเกิดขึ้นแวบหนึ่งเมื่อคิดว่านี่มันจะสิ้นสุดที่ตรงไหน ก่อนที่จะเริ่มเปลี่ยนเป็นความเศร้า ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว ไม่อยากอยู่ที่นี่
ต่อมน้ำตาน่าจะไม่ทำงานแล้ว ไม่รู้ว่านี่มันแปลกไหมที่มีน้ำตาไหลออกจากหางตาฉัน ฉันกำลังร้องไห้ด้วยร่างที่ไม่มีชีพจร ภาวนาให้ใครสักคนรู้ว่าฉันอยู่ตรงนี้ และหาฉันให้พบ อย่างน้อยรีบพาฉันกลับไปหาร่างของฉัน ก่อนที่คนคนนั้นเขาจะกลับมาในวันรุ่งขึ้น อยากเห็นหน้ากันเหลือเกิน
เสียงรองเท้าผ้าใบคู่หนึ่งเดินไวๆ ใกล้เข้ามา ฉันดีใจ พยายามร้องเรียกในความคิด ใครน่ะ ฉันอยู่ตรงนี้ ช่วยด้วย หาฉันหน่อย
เสียงฝีเท้าหยุดชะงัก และความมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นอีก เมื่อจู่ๆ เหมือนฉันกับเจ้าของรองเท้าผ้าใบขาวคู่นั้นสามารถมองเห็นกันได้ เราสบตากัน ดวงตาใต้แว่นสายตาของเธอตื่นตระหนกงงงวย เด็กสาวที่ใส่เสื้อยืด กางเกงยีน รวบผมหางม้าท่าทางคงแก่เรียนนั่น ได้ยินใช่ไหม ฉันอยู่ตรงนี้ เข้ามาสิ เข้ามาอีกนิด
แต่แล้วแสงไฟจากรถยนต์คันหนึ่งสาดวาบเข้ามา ผลักให้เราสองคนผงะหลุดออกจากอาณาเขตมนตรานั้น แล้วเสียงพื้นรองเท้าผ้าใบสีขาวก็วิ่งหนีหายไปทางท้ายซอย
ฉันสงบนิ่งอยู่ที่เดิม รอฟ้าเริ่มสาง ได้ยินเสียงหมาตัวหนึ่งเห่า ตะกุยตะกายพื้น ก่อนที่เจ้าของจะทำเชือกจูงหลุดมือจนมันวิ่งพรวดเข้ามาที่ถุงพลาสติกที่ส่วนหัวของฉันอาศัยนอนอยู่เกือบทั้งคืนที่ผ่านมา
ตามมาด้วยเสียงหวีดร้องด้วยความสยดสยอง เสียงเอะอะโวยวาย เสียงหวอ เสียงรถกู้ภัย และเสียงอื่นๆ อีกสารพัด
ในที่สุด ส่วนหัวของฉันก็ได้มาอยู่กับลำตัวเสียที ฉันดีใจที่ใบหน้าของฉันได้สัมผัสความเย็นในตู้เก็บศพนานพอที่จะทำให้หายบวม ไม่มีรอยเลือดเก่าเขียวคล้ำน่ากลัวเหมือนศพอื่น ที่สำคัญ ลิปเนื้อแมทผสมมุกสีชมพูฉ่ำยังคงติดอยู่มากพอกลบสีเขียวซีดของริมฝีปาก
เมื่อถึงเวลาทำการ ประตูห้องเก็บศพเปิดออก ฉันถูกเข็นออกมาที่เตียงเพื่อเตรียมพบแพทย์
ร่างเงาคนสองคนเดินมาใกล้เตียง มองเห็นรำไรผ่านผ้าคลุมศพ
“ไอ้ระยำนี่เหี้ยจริงๆ นะครับ หมอเจ้าของเคสยังไม่ได้เข้ามาตรวจ แต่ผมเบื้องต้นเห็นรอยเชือกมัดเขียวเป็นจ้ำตรงข้อมือ ข้อเท้า ช้ำไปทั่วทั้งตัวเลย ตรงเบ้าตาด้านซ้ายก็มีเลือดห้อเป็นจุดๆ น่าจะถูกรัดคออย่างแรงก่อนที่น้องเขาจะเสีย สงสัยจะเป็นพวกจิตวิปริตที่ชอบทรมานเหยื่อ”
เสียงเท้าคู่หนึ่งเดินออกไป เหลืออีกคนหนึ่งไว้ ฉันตื่นเต้นเมื่อมือหนานุ่มขาวสะอาดยื่นใกล้เข้ามาที่ผ้าคลุมหน้า
ผ้าค่อยๆ เปิดออกช้าๆ ฉันนึกภาพตัวเองเป็นเจ้าสาวในหนังจีนโบราณ เจ้าบ่าวกำลังจะเปิดผ้าคลุมหน้าแล้ว เขาเองก็คงตื่นเต้นไม่แพ้ฉัน
วินาทีแรกที่เราได้เห็นหน้ากัน หัวใจฉันเหมือนจะหยุดเต้น (ถ้ามันจะหยุดได้อีกรอบน่ะนะ) รูปหน้าสวยสะอาดคมสัน ดวงตาคมเข้มดูอบอุ่นจริงใจ คิ้วหนาอย่างคนที่จริงจังเปี่ยมด้วยอารมณ์ ผิวขาวสะอาดสะอ้าน
โอย นี่สเป๊คฉันเลย ดาวและมงกุฎบนบ่า บอกยศอะไรบ้างฉันก็ไม่รู้ รู้แต่ชื่อของเขาที่ติดอยู่บนหน้าอก ร.ต.ท. ปรารภ
เขายิ้มให้ฉัน น้ำตาเอ่อขึ้นมาคลอตา “สวัสดีครับคุณพิมมาลา ได้เจอหน้ากันเสียที คุณสวย น่ารัก เหมือนที่ผมคิดไว้เลยจริงๆ”
เขามองต่ำลงมาตรงลำคอของฉันจนฉันเริ่มเขิน ก่อนจะค่อยๆ ขยับผ้าขึ้นห่มให้อย่างนุ่มนวล “คุณไม่น่าต้องมาเจอเรื่องแบบนี้เลย ที่ตรงนั้นเกิดอาชญากรรมบ่อย เป็นพื้นที่รับผิดชอบของผมด้วย ตอนนี้เรามีการเพิ่มสายตรวจ และประสานงานผลักดันให้ติดตั้งฟ้าแสงสว่างและกล้องวงจรปิดเพิ่ม เผื่อเรื่องร้ายๆ จะลดลงบ้าง”
เขาล้วงมือลงในกระเป๋าเสื้อตัวเอง ต่างหูเงินรูปกระต่ายเล็กจิ๋วในมือของเขาทำให้ฉันประหลาดใจและตื้นตันมากขึ้นไปอีก
“ผมพบมันตกอยู่ในที่เกิดเหตุ เอ่อ หมายถึง ตกอยู่บริเวณไม่ห่างจากร่างคุณ ในป่าหญ้าด้านหลังตึกนั่น หลังจากย้ายร่างของคุณไปที่ รพ.ตำรวจ ตอนที่ทุกคนกลับไปหมดแล้วผมรู้สึกเหมือนมีบางอย่างติดค้าง เลยกลับไปที่นั่นอีกครั้ง เลยพบเข้า ทีแรกคิดว่าอาจจะเป็นของคนอื่น แต่พอนึกถึงแหวนเงินรูปกระต่าย กับกระเป๋าสตางค์รูปกระต่ายของคุณ ผมเลยค่อนข้างแน่ใจ”
ใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาชำเลืองมองไปที่ด้านหน้าห้องแวบหนึ่ง เหมือนสำรวจว่ามีใครมามองอยู่หรือไม่
หลังจากนั้น นิ้วมือเรียวยาวขาวสะอาดค่อยๆ ประคองใบหน้าของฉันอย่างเบามือ วาดเส้นผมที่ปิดอยู่ตรงใบหูข้างซ้ายคล้องไว้ให้ที่หลังหู ไล้นิ้วมือลงมาที่ติ่งหูข้างนั้นแผ่วเบา สัมผัสแรกของเราช่างอ่อนโยนหวามไหว
เขาเกลี่ยนิ้วอ้อยอิ่งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ก่อนใช้มืออีกข้าง หยิบต่างหูที่หล่นหายกลับคืนที่เดิมของมัน ค่อยๆ สอดใส่ก้านโลหะสีเงินที่อุ่นร้อนด้วยอุณหภูมิมือของเขา เข้ามาในซอกเนื้อเล็กๆ อ่อนนุ่มของฉันอย่างเบามือ ทีละนิด ทีละนิดจนสุดโคน กระต่ายน้อยแนบกับผิวเนื้อนิ่มอ่อน เหมือนแววระยับไหวด้วยความพอใจปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาแวบหนึ่ง
“ฉันสวยแล้วใช่ไหมคะ” ฉันนึกถาม แม้จะรู้ดีว่าคงไม่ได้รับคำตอบ
“อีกเดี๋ยวแพทย์นิติเวชจะเข้ามาแล้ว ไม่ต้องกลัวนะ หลับให้สบายนะครับ คุณพิมมาลา” ทั้งใบหน้าและน้ำเสียงของเขาฟังดูเศร้าเหลือเกิน “ไม่ต้องห่วง ผมจะตามจับคนร้ายที่ทำกับคุณแบบนี้ให้ได้ มันจะไม่มีโอกาสได้ไปทำแบบนี้กับใครที่ไหนอีก”
นายตำรวจหนุ่มชะโงกหน้ามาใกล้ พูดขึ้นด้วยเสียงกระซิบสั่นเครือ ใจฉันร่วงวูบ ทำไมหนอ เราจึงไม่มีโอกาสได้พบกันก่อนหน้านี้ ตอนที่หัวของฉันยังมีลำคอยึดติดกับร่างกาย และหัวใจของฉันยังคงสูบฉีดเลือดมาเลี้ยงแก้มให้แดงปลั่งเพื่อเขา
ผ้าขาวถูกเลื่อนขึ้นคลุมหน้าฉันอีกครั้งช้าๆ ด้วยมือสั่นเทาที่ฉันหลงรักเข้าเต็มเปา ใจหายนิดหน่อยเมื่อคิดว่านี่เราอาจจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว แต่ก็เอาเถอะ ไม่เป็นไรหรอก แค่ได้พบกันและรักกัน ก็นับว่ามีวาสนาต่อกันมากแล้วในชาตินี้
ถ้าได้ยินไม่ผิด เหมือนฉันได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ ของเขา ก่อนเสียงฝีเท้าในรองเท้าหนังจะค่อยๆ ห่างออกไป
“ลาก่อนค่ะคุณปรารภ” ฉันรวบรวมสมาธิสื่อสารกับเขาในใจอีกครั้ง ได้ยินเสียงฝีเท้าชะงักกึก เขาต้องได้ยินฉันแน่ๆ
ฉันรู้สึกเขินนิดๆ ตอนที่พยายามสื่อสารประโยคต่อมา มันฟังดูคล้ายๆ ขอนัดเดทยังไงก็ไม่รู้ “แล้วยังไง ถ้าไม่รังเกียจ มาพบกันอีกครั้งที่งานศพฉันนะคะ ฉันจะรอ” #.
…………………………………………..
อ่านตอนแรก —->>> คลิ๊กเลย