๑๑
………………
ยอดสั่งและยอดขายเทียนไขเพิ่มสูงขึ้น วันหยุดของคนงานห่อเทียนทั้งรายเดือนและรายวันมีอันต้องหายไป เถ้าแก่ย้ำเสมอว่าประเทศพุทธศาสนาต้องใช้เทียนจุดบูชาพระ ทั้งพระสงฆ์ที่เดินเหินไปไหนมาไหนได้ บิณฑบาตภิกขาจารและสวดมนต์ได้ไพเราะ พระพุทธรูปน้อยใหญ่และพระประธานในอุโบสถ รวมไปถึงพ่อพระแม่พระส่วนตัวของแต่ละครอบครัว เท่านั้นยังไม่พอ ศาลเจ้า ศาลพระภูมิ และศาลเพียงตาต่างๆ ก็ยังต้องใช้เทียน
ไม่เพียงศาสนาพุทธ ลัทธิหรือศาสนาอื่นๆ ต่างก็พึ่งแสงสว่างจากเทียนไข ชีวิตมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าตอนคลอดออกจากครรภ์มารดา หรือถูกส่งร่างลงไปฝังดินล้วนเกี่ยวข้องกับเทียนไขทั้งสิ้น แถมตอนมีชีวิตอยู่ยังต้องฉลองวันเกิดกันคนละหลายรอบ
ฉะนั้นคนทำเทียนไขจึงต้องอดทน เสียสละ อุทิศตน และตระหนักในความสำคัญอันยิ่งใหญ่ตัวเองว่าทำงานเพื่อประเทศชาติ
วันหยุดที่ไหมน้อยและคนงานห่อเทียนพร้อมหน้ากันรับใช้ชาติ จ้อยขาดเพื่อนร่วมทางอย่างผองเหล่าสี่สหาย ผมพาเขาไปเยือนทางรถไฟ ผ่านตรงที่เคยนอนตากน้ำค้างจ้อยหัวเราะก๊าก พลางชี้ไปยังจุดเกิดเหตุ
“ไม่น่าเชื่อเลยมึง ว่าจะเมากันหมดสภาพขนาดนั้น”
ผมจ้องมองพื้นหญ้าแห้งซึ่งตอนนี้เกลื่อนไปด้วยของเหลือทิ้งจากหมาจรจัด “กูจะไม่ยอมให้ตัวเองเป็นแบบนั้นอีก”
“งั้นมึงต้องไม่ยอมให้ตัวเองติดลมเวลากินเหล้า” จ้อยว่า
ผมถาม “ติดลมมันเป็นยังไง”
“ก็เหมือนว่าว” จ้อยทำไม้ทำมือประกอบ “ว่าวที่ลอยค้างฟ้า สะบัดส่ายไปมาเหมือนจะอยู่ตรงนั้นไปตลอด จนกระทั่งหัวปักทิ่มดิน”
เราถอยจากรางเหล็กในทันทีที่ได้ยินเสียงระฆัง จากนั้นไม่นานหวูดรถไฟก็ดังก้อง ขณะหลบอยู่ใต้ร่มหูกวางข้างทาง เรายืนจ้องมองรถไฟขบวนสั้นๆ แล่นห่างออกไป
“สักวันหนึ่งกูจะนั่งรถไปไกลๆ” จ้อยยืนเท้าสะเอวมองตาม
“วันหยุดก็ไปได้นี่มึง” ผมว่า
“ตอนนี้เก็บเงินก่อน ใช้มากไม่ได้ สงกรานต์กูจะกลับบ้าน”
“มึงต้องกลับไปเกณฑ์ทหาร” ผมพูดเหมือนเตือนความทรงจำของเพื่อน
จ้อยผงกหัว “ใช่ๆ แต่กูไม่กลัวหรอก”
ผมยิ้มที่มุมปากขณะจ้องมองส่วนสูงประมาณร้อยห้าสิบเซนติเมตรของเขา
เราเดินไปถึงสถานีซึ่งตกอยู่ในความเงียบทันทีหลังรถไฟแล่นผ่านไป ธงผ้าสีเขียวและแดงถูกปักไว้ที่เดิม บ้านพักซึ่งเหมือนชุมชนเล็กๆ ดูสงบเงียบ พี่ทุเรียนเคยเล่า พนักงานรถไฟทำงานกันค่อนข้างสบาย ไม่มีขบวนรถเข้าสถานีให้ไปโบกธงรับหรือจัดรางก็นั่งถองเหล้ากันครื้นเครง บ้านพักสวัสดิการก็ขนญาติมาพักอาศัยได้ไม่จำกัด พี่ทุเรียนบอกข้อดีอันวิเศษสุดแล้ว แกก็ส่ายหัวกับข้อเสียที่ไม่อาจแก้ไขได้อีกตลอดชาตินี้
“ทำงานสบายกันเกิน พ่อบ้านรถไฟจึงเป็นขี้เมาหัวราน้ำกันหมด”
เราจำบ้านไม้หลังเดิมได้ บ้านพี่ทุเรียนซึ่งเราเคยมานั่งกินเหล้า และส้มตำยัดไส้เสน่หา ตอนนี้ลูกชายของพี่ทุเรียนอำลาผ้าเหลืองกลับไปทำงานบริษัท และเช่าบ้านอยู่เองในย่านชานเมืองอีกฟากหนึ่งของมหานคร
เราได้ยินเสียงพูดคุยของพ่อบ้าน ตามมาด้วยเสียงหัวเราะประสาน แล้วใครบางคนในวงเหล้าก็ชะเง้อมองลงมา
“เฮ้ย… มีวัยรุ่นมากันสองคน”
“ลูกใครหรือ”
“ไม่ใช่คนแถวนี้ แต่มันเคยมา กูจำได้… นั่น ไอ้ตัวกินส้มตำ”
“เฮ้ย… วัยรุ่น ขึ้นมานี่เลย มากินเหล้า”
เราเดินขึ้นบันได วงเหล้าบนพื้นเรือนไม่หนาแน่นเท่าตอนงานบวช บรรดาพ่อบ้านสี่ห้าคน ผมจำสามีพี่ทุเรียนได้คนเดียว เราเบียดแทรกเข้าไป แก้วเหล้าสองใบถูกนำมาวางลงตรงหน้า
“มึงสองคนต้องตามพวกน้าๆ ลุงๆ ให้ทัน” สามีพี่ทุเรียนยกเหล้าทั้งกลมมาวางลงเบื้องหน้าผม
“พวกผมกินไม่ได้มากหรอก” จ้อยว่า
พ่อบ้านคนหนึ่งหัวเราะ “ไม่ต้องมาก เอาแค่เมาเท่าวันนั้นก็พอ”
พ่อบ้านทั้งหมดประสานเสียงหัวเราะ จ้อยยิ้มเขิน ผมแก้ขวยด้วยการยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม
“ชนแก้วกันหน่อยสิหนุ่ม” สามีพี่ทุเรียนยืนแก้วในมือมาข้างหน้า
แก้วเหล้าทั้งเจ็ดใบประสานงากันเบื้องหน้าทุกคน จากนั้นเหล้าในแก้วก็หายวาบผ่านลำคอ ผมหน้าตึงแล้วตอนที่สามีพี่ทุเรียนเอ่ยถาม
“มึงจะกินส้มตำอีกไหม”
พอผมผงกหัว แกว่าขึ้นอีก “มึงต้องไปปลิดมะละกอมาเอง ข้างบ้านพักฟากสถานีฝั่งโน้น ไปกับอีขวัญ”
ผมเพิ่งรู้ว่าหลานสาวพี่ทุเรียนสามคนมาจากบางปลาม้า ขวัญจำผมได้ เธอยิ้มทักพร้อมแววขบขันในดวงตา เสียงเหน่อๆ ว่าขึ้นเหมือนเยาะผมอยู่ในที
“วันนี้ไม่มีพริกขี้นก”
เธอแยกตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อน เดินนำหน้าผมผ่านบ้านเรือนไปถึงริมทางรถไฟ กลิ่นแป้งจางๆ จากเรือนแก้มของเธอโชยแตะจมูก ผมเลือดฉีดแรงยิ่งกว่าตอนดื่มเหล้าแก้วแรกในชีวิต ขวัญสวมผ้าถุงเยี่ยงสาวชาวทุ่ง สะโพกอวบอัดหยุดยืนห่างผมราวสองช่วงแขน มองซ้ายขวาอย่างรอบคอบดีแล้วค่อยก้าวต่อ อกตูมใต้เสื้อยืดแขนสั้นกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะก้าว
ไม่มีครั้งไหนในชีวิตที่ผมรู้สึกปั่นป่วนรัญจวนในใจมากเท่านี้ กระแสเลือดที่ผมมองไม่เห็นเหมือนแตกซ่านอยู่ข้างในร่างกาย ผมเคียงข้างเธอจนผ่านรถไฟทั้งสองราง ถึงเนินสูงที่จะต้องหย่อนกายลง ผมกระโดดถึงพื้นแล้วยื่นมือให้เธอจับ ในทันทีที่เธอทิ้งตัวลงข้างๆ กลิ่นแป้งหอมที่สัมผัสคล้ายดวงวิญญาณของผมกำลังถูกกระชาก
ตอนที่หยิบไม้ไผ่ลำเล็กขึ้นสอยนมะละกอ ผมแอบมองแก้มอิ่ม และริมฝีปากสีชมพูอันเย้ายวน เต้าเต่งตึงขยับเขยื้อน ผมสูดหายใจแรงและหนักหน่วง หากเป็นไปได้ ผมอยากเข้าไปสวมกอดเธอกระชับวงแขน จูบ คลึงเคล้น และบดขยี้เธอด้วยแรงรัญจวนทั้งหมด
ผมยื่นมือให้เธอจับอีกครั้งตอนขากลับ สัมผัสอันอ่อนโยนชั่วเสี้ยวนาที แรงปรารถนาภายในคุโชนโถมถั่งจนผมเกือบรั้งร่างของเธอเข้าหา
เป็นเพราะเหล้าที่ผมดื่มเข้าไป หรือกลิ่นแป้งและเรือนร่างเย้ายวน ยามใกล้ชิดกับไหมน้อยทำไมผมไม่เกิดอารมณ์ปรารถนารุนแรงเช่นนี้
ผมกลับขึ้นไปนั่งกุมแก้วเหล้า ยืดตัวเป็นสง่า วันนี้ผมแต่งตัวดี กางเกงยีนใหม่เอี่ยม เสื้อเชิ้ตลายสีอ่อนพับแขน สวมสร้อยคอพร้อมพระเลี่ยมทอง เหรียญหลวงปู่ศุขวัดคลองมะขามเฒ่าซึ่งผมได้รับมาจากเพื่อนร่วมงานต่างวัยตอนร่วมทางกันไปเป็นลูกจ้างทำสวน ผมเพิ่งมีเงินเลี่ยมทองจากอั่งเปาเสี่ยเตี้ย ข้อมือประดับนาฬิกาไซโก้เรือนเหล็ก
จนกระทั่งส้มตำปรุงเสร็จเรียบร้อย ขวัญเดินมาเสิร์ฟด้วยตัวเอง เธอส่งยิ้มมาทางผมเหมือนจงใจยั่วยวน ผมมองตามจนกระทั่งเธอเดินลับลงบันได
“หลานสาวกูสวยนะเว้ย” สามีพี่ทุเรียนพูด “ถ้ามึงสนใจก็หมั่นมากินเหล้าที่นี่บ่อยๆ”
เราเดินเซเล็กน้อยขณะลัดเลาะมาตามริมทางรถไฟ จ้อยร้องเพลงลูกทุ่งจดหมายเป็นหมันที่เขาจำได้ขึ้นใจ และนำมาร้องบ่อยๆ ประชดเพื่อนทางจดหมายที่จากลาเขาไป ผมรู้สึกหนักท้องกับส้มตำที่กินเอาใจคนปรุง ปลายนิ้วนุ่มละมุนของสาวบางปลาม้ายังรู้สึกซ่านในสัมผัส
ถึงโรงงานขณะแดดบ่ายยังคงแผดร้อน สายเหงื่อรดไปทั่วแผ่นหลังและเกาะพราวไปทั่วใบหน้าที่แดงก่ำ เราแวะเข้าไปในโรงงานเพื่อจะรินน้ำเย็นหน้าห้องคุณพิชัยประคบหน้าผาก ท้ายทอย และดื่ม
ผมไม่หันมองไปทางโต๊ะห่อเทียน ทำตัวลีบเหมือนคนมีความผิด ไม่เพียงกลัวสบตากับไหมน้อยซึ่งจะซุกซ่อนสำนึกผิดไม่มิด หากเฮียคุงนั่งคุมอยู่ที่นั่น ผมไม่อยากเผชิญหน้ากับแกด้วยสภาพที่ร่างกายบรรทุกแอลกอฮอล์มาเกือบเพียบแปล้
ผมเดินเกือบจะทะลุถึงสนามหญ้าแล้ว จ้อยสืบเท้าตามมาติดๆ เสียงพี่แดงร้องเรียก
“ไอ้ยา…”
แม่ครัวปากร้ายที่มักห่วงใยเราลึกๆ ในน้ำใสใจจริงของแก วันหยุดหยุดไม่ว่าสั้นหรือยาว ทางโรงงานไม่ได้เลี้ยงข้าวสามมื้อเหมือนวันทำงาน ปิ่นโตที่ผูกไว้ก็ไม่ได้มาส่ง แต่แกก็ละเมิดข้อตกลงและกบฏต่อกฎเกณฑ์ที่ทางโรงงานตั้งไว้ ข้าวที่หุงไว้ให้คนห่อเทียนทำงานล่วงเวลาหม้อใหญ่ เผื่อเหลือไว้ให้พวกเราเสมอมา บ่อยครั้งที่แกเห็นพวกเราหมดตัวจากการเที่ยวเตร่ ซมซานกลับมาพร้อมความหิวโซ ข้าวในหม้อยังเหลือ และบางครั้งแกก็ควักกระเป๋าซื้อไข่มาเจียวให้เราได้กินกันจนอิ่ม
จ้อยไม่ได้ถังแตก ผมเองก็ไม่ได้หิว เท้าสองคู่ยังสืบก้าวผ่านสนามหญ้ามุ่งสู่ประตูทางออก
“ไอ้ยา…” พี่แดงตะโกนเรียกซ้ำ
ผมหันมองไปทางแก โบกมือเป็นเชิงบอกว่า ไม่ได้หิวข้าวสักหน่อย พี่แดงไม่ต้องมายุ่ง
แกกวักมือเรียก ผมไม่เดินเข้าหา เป็นแกเองที่เดินปรี่เข้ามาบอก
“ไอ้ไหมน้อยป่วย นอนอยู่ในห้องข้างบน”
ผมพยายามสลัดทิ้งฤทธิ์เหล้าไปจากหัวที่หนักอึ้ง รวมทั้งแรงปรารถนารัญจวนใจที่อัดแน่นอยู่ข้างใน
“ผมขึ้นไปได้หรือพี่แดง”
“ได้ มึงตามกูมา”
นอกจากจากจ้อยที่เคยจู่โจมขึ้นไปในยามวิกาล ผมนับเป็นคนแรกที่ย่างเท้าสู่แดนหวงห้ามด้วยความยินยอมพร้อมใจของแม่บ้านเก่าแก่ น้ำเย็นและร่มเงาของอาคาร สลายความมึนเมาไปแทบสิ้นแล้ว ผ่านประตูห้องเข้าไป ร่างเล็กๆ ของไหมนอนน้อยอยู่บนพื้นเสื่อเก่าๆ
ผมยาวสยายเกยอยู่บนหมอนขิดเก่าๆ ผ้าขนหนูผืนเล็กๆ คลุมห่มร่างส่วนบน เธอซื้อผ้าห่มและเสื้อกันหนาวส่งไปให้แม่และน้อง แต่ไม่เหลือเงินไว้ซื้อให้กับตัวเอง ที่พักคนงานก็มีให้เพียงห้องเปล่าๆ ไร้สวัสดิการอื่นใด
ผมก้าวไปหย่อนตัวนั่งลงข้างๆ ดวงตาที่เคยวาวประกายลืมขึ้นมอง ริมฝีปากซีดๆ พยายามเผยอยิ้ม
“มันถูกกรรไกรปาดมือ” พี่แดงซึ่งยืนอยู่หน้าประตูพูด
มือซ้ายของเธอพันผ้าขาว ผมหันไปถามพี่แดง “เมื่อไหร่”
พี่แดงตอบ “ตอนบ่ายนี้เอง มันเผลอยังไงไม่รู้เหมือนเอากรรไกรแทงมือตัวเอง กูทำแผลให้มันเอง แล้วจู่ๆ ก็ไข้ขึ้น”
ผมยื่นหลังมือแตะหน้าผากตามอย่างที่เคยเห็นคนแก่คนเฒ่าบ้านนอกปฏิบัติ ผิวเนื้อที่ร้อนผ่าวบอกถึงพิษไข้ ใบหน้าของเธอเหมือนสั่นน้อยๆ ไม่ทันชักมือกลับเธอก็คว้าแขนผมไปกอดไว้
“กินข้าวได้ไหม” ผมโน้มหน้าถาม “แล้วยาแก้ไข้”
พี่แดงทรุดนั่งลงข้างๆ บุ้ยใบ้ไปยังซองยาแก้ไข้หวัดซึ่งน่าจะเอามาจากตู้เล็กๆ หน้าห้องคุณพิชัย ไหมน้อยเบิกตามองและกอดแขนผมเงียบๆ
“มันหลับไปหลังกินยา” พี่แดงพูด “ละเมอเรียกหามึง”
ผมดึงแขนออกช้าๆ กุมมือข้างขวาของเธอไว้ “พี่จะหาผ้าห่มมาให้ ไข้ขึ้นจะหนาว”
เธอขยับหัวและฝืนยิ้มอีกครั้ง “พรุ่งนี้ไหมก็หายแล้ว ลงไปห่อเทียนได้”
ผมหัวเราะ “นอนยาวไปสามสี่วัน ไหมต้องพักผ่อนให้มาก”
ในเขตหวงห้าม ผมไม่อาจอยู่กับเธอได้นาน ไออุ่นสุดท้ายจากมือน้อยๆ ก่อนปลายนิ้วของเราจะผละจากกันกระแทกสำนึกของผมถึงอย่างแรง หรือว่า… ขณะผมกุมมือหญิงสาวอีกคนที่ริมทางรถไฟ เป็นนาทีเดียวกับที่คมกรรไกรบาดลงบนอุ้งมือของไหมน้อย
รุ่งเช้าวันทำงาน ผมกับจ้อยเตรียมรับมือปัญหาใหญ่ เสี่ยเตี้ยสั่งผ่านเฮียคุงถึงความจำเป็นที่เราสองคนต้องรับใช้ชาติให้หนักกว่าเดิม ไม่อาจเนิบช้าไปกับการคุมเตาเพียงแผนกเดียวเหมือนที่ผ่านมา ถ่ายทอดคำสั่งเถ้าแก่แล้ว เฮียคุงไม่ลืมสำทับ เถ้าแก่มีพิเศษให้ ไม่ได้ใช้งานฟรีๆ หรอก
เด็กหนุ่มสองคนที่ยังเป็นมือใหม่ถูกยัดเข้าแผนกเทเทียนแทนสี่สหายที่จากไป เฮียคุงพยายามจะสอนงาน แต่แกไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ ผมกับจ้อยผลัดกันไปดูแลและกำกับ หนักเข้าก็ต้องหิ้วกระป๋องขี้ผึ้งไปเทลงบนแท่นด้วยตัวเอง รวมทั้งตัดเทียนที่แข็งได้ที่แล้วลงจากแท่น
หลังอาหารมื้อกลางวันไม่นาน ไหมน้อยลงมาจากห้องพัก เธอเดินช้าๆ ไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม มือซ้ายยังพันผ้าขาว แต่ยังหยิบจับกล่องกระดาษ เชือก และขวดกาวได้คล่องแคล่ว
ผมเดินไปถาม “หายดีแล้วหรือ ไม่นอนพักไปก่อน”
เธอยิ้มน้อยๆ “หายแล้ว”
ผมคุมเตา เทเทียน ตัดเทียนลงจากแท่น อากาศร้อนจนเหงื่อไหลท่วมตัว แวะหน้าห้องคุณพิชัยเพื่อจะดื่มน้ำเย็น พี่แดงก้าวมายืนอยู่ใกล้ๆ
“ไอ้ไหมน้อยมันได้ยาดี”
“ยาดี”
“กำลังใจไงล่ะมึง”
ผมดื่มน้ำอึกใหญ่ หันไปจ้องหน้าพี่แดง
แกจับแขนผมเขย่า “เด็กคนนี้รักมึง รักมาก มึงอย่าได้ทอดทิ้งมัน…”
***************************