– ๑o –
………………
ผมสังเกตแสงไฟบนห้องพักชั้นสาม พี่แดงและคนห่อเทียนรายเดือนอีกสองน่าจะยังอยู่กันครบ ครั้นลดสายตาต่ำลง ชั้นล่างกลับมืดสนิท เฮียคุงกลับมาจากไปเยี่ยมอาม่าที่แม่กลองแล้ว นั่นแสดงว่าหากแกไม่เข้านอนแต่หัวค่ำก็ออกไปข้างนอก ถ้าเป็นเช่นนั้น หากไม่ฝากธุระไว้กับพี่แดง แกอาจพกลูกกุญแจไขประตูพวงใหญ่ติดตัวไปด้วย
ผมเดินย้อนจากด้านหลังมาถึงหน้าประตูซึ่งไหมน้อยยืนหิ้วถุงเสื้อยืด ใบหน้าของเธอซีดลงด้วยความกังวล ผมฝืนยิ้มปลอบเธอเป็นเชิงส่งสัญญาณด้านบวก ปัญหานี้พอแก้ไขได้ไม่ยาก ไม้ตายสุดท้ายที่คิดสำรองไว้ก็เจ้าต้นเขียวเสวยข้างกำแพง
ไม่มีตัวช่วยไหนจะดีไปกว่าเพื่อนร่วมงานเสียงดังและใจกล้า เดินเข้าบ้านพัก ถึงห้องเจอหน้าจ้อยผมใจชื้น เขานั่งคุยกับคนงานใหม่ซึ่งเฮียคุงให้มาช่วยหน้าเตา
“เขาไปกันหมดแล้วมึง” จ้อยเงยหน้าขึ้นพูด
“ใครไปไหน” ผมถาม
“ภูเขียวกับอีกสามคน ลาออกกันหมดเลย”
ผมเงียบ เคยแว่วยินเสียงบ่นมาบ้าง ภูเขียวและคนเทเทียนทั้งหมดมีปัญหากับการมาของเฮียคุง เช้าที่พวกเขาเคยตื่นทำงานกันแบบสบายๆ ใครไปถึงก่อนก็จัดการหิ้วกระป๋องไปยังแท่น จัดการเทชั้นแรกไว้ให้ครบทุกฐาน ไม่ได้ยกพลกันมาพร้อมหน้าทั้งสี่คน รอจนได้เวลาอาหาร ปิ่นโตมื้อเช้ามาส่ง ทุกคนจึงพร้อมหน้าพร้อมตากัน
เฮียคุงรายงานเถ้าแก่ถึงความไม่มีวินัย เข้างานตามอำเภอใจ ขืนปล่อยเลยตามเลยโรงงานจะเสียผลประโยชน์ ในฐานะผู้ดูแลโรงงาน แกไม่อาจปล่อยให้ความเละเทะแบบนี้เย้ยหยันการทำหน้าที่ของทหารเก่า
รายละเอียดของแต่ละคนเฮียคุงบันทึกไว้ในหัว ก่อนพ่นเป็นลมปากให้เถ้าแก่เตี้ยรับฟัง สุดท้ายก็กลายเป็นโทษทัณฑ์ย้อนหลัง ในวันจ่ายเงินเดือน หนุ่มนักนิยมเพลงทั้งสี่ก็ถูกหักค่าแรงไปเป็นจำนวนไม่น้อย เงินเดือนที่จะถูกปรับขึ้นหลังช่วงตรุษจีนโดนภาคทัณฑ์เอาไว้สองเดือน พวกเขาจะได้รับอัตราใหม่ก็เมื่ออยู่ต่อไปอีกสองเดือน เท่านั้นยังไม่หนำใจ ซองแดงที่รอคอยด้วยความหวัง พินาศลงกับแบงก์ร้อยห้าใบซึ่งพวกเขาดึงออกมาด้วยมือสั่นระริก
ภูเขียวสืบเสาะหาคำตอบจากเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ จ้อยซึ่งได้รับเพียงสามร้อยบาททำให้เขาใจชื้นขึ้นมานิดหนึ่ง ผมซึ่งเข้ามาทีหลังหลายเดือนได้รับมากกว่าเท่าตัว คนเข้าใหม่สองรายไม่ต้องพูดถึง เสี่ยเตี้ยยังต้องการให้พวกเขาพิสูจน์ความขยันไปอีกสักหน่อย ถ้าอยู่ถึงตรุษจีนปีหน้าค่อยว่ากัน
ภูเขียวประกาศต่อหน้าเพื่อนๆ “แบบนี้ต้องลาออก”
ผมเดินไปเปิดห้องซึ่งเคยเป็นที่ซุกหัวนอนของสี่สหาย โปสเตอร์หนังรักอุตลุดหายไปจากผนังห้อง คนงานใหม่ซึ่งมีเงินทุนไปฉลองตรุษจีนเพียงวันเดียวนอนสูบยาเส้นตามลำพัง
กลับมายังปัญหาของตัวเอง ผมเดินไปดึงแขนจ้อยลุกขึ้น “มึงช่วยกูหน่อย ประตูโรงงานปิด ไหมน้อยเข้าที่พักไม่ได้”
อากาศหนาวเหมือนหมดเชื้อแล้วโบกมืออำลาไปอีกปีหนึ่ง รอบริมบึงร้อนอบอ้าว จ้อยหยิบก้อนหินติดมือขึ้นมาแล้วแหงนมองหน้าต่าง เขาป้องปากตะโกน “พี่แดงๆ”
เขาตะโกนแรงขึ้น บานหน้าต่างที่หับปิดไว้ยังคงไม่ขยับ จ้อยส่ายหัว “หรือแกไม่ได้ยิน หูหนวก หรือว่าหลับกันไปหมด”
จ้อยเงื้อแขนจะปาก้อนหินขึ้นไป ผมรีบเข้าไปห้าม “อย่า มึงแน่ใจหรือว่า หินที่ปาขึ้นไปจะโดนบานหน้าต่างไม้ ไม่ใช่กระจก”
จ้อยลดมือต่ำลง “งั้นมึงจะให้กูทำยังไง”
ผมเดินนำหน้าเขามาหยุดอยู่ข้างกำแพง กิ่งใหญ่ของเขียวเสวยเหยียดกางอยู่บนหัวของเรา
ผมสบตากับจ้อยเป็นเชิงหารือ เอาไงกันดี ส่งร่างไหมน้อยข้ามกำแพงไปเอง หรือจะให้จ้อยปีนเข้าไปเรียกพี่แดงมาเปิดประตู
“กูขึ้นไปเรียกพี่แดงมาเปิดดีกว่า” จ้อยอาสา
ผมเกือบส่ายหน้ากับข้อเสนอ เพราะนั่นเท่ากับเรายอมเปิดเผยความลับที่ช่วยกันรักษามานานแสนนาน แถมยังเท่ายอมรับสารภาพว่าเป็นหน่วยจู่โจมไปถลุงห้องครัวของพี่แดงยามวิกาล แล้วหากส่งไหมน้อยผ่านช่องทางนี้เข้าไป เธอก็จะถูกถามอยู่ดีว่าเข้ามาทางไหน เข้ามาได้อย่างไร
จ้อยคิดถึงเรื่องนี้เช่นเดียวกัน เขาเองก็ไม่อยากเป็นหัวขโมยในสายตาพี่แดง แม้ว่าในความเป็นจริง เขาจะเคยปีนกำแพงเข้าไปลักบะหมี่ พริกป่น น้ำปลา และของกินอื่นๆ มามากกว่าหนึ่งครั้งก็ตาม
“เอางี้ไหม” เขาเสนอทางออก “เราไปนอนห้องคนเทเทียน ห้องเราให้ไหมน้อยพักคืนหนึ่ง”
ผมนิ่งคิดชั่วครู่ พลางวาดภาพถึงตอนเช้าที่ไหมน้อยเดินซึมเหงาผ่านประตูโรงงานเข้าไป ไม่ว่าพี่แดงหรือคนงานห่อเทียนคนอื่นๆ จะต้องมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ บางคนก็อาจตัดสินเธอไปตามความเข้าใจของตนไปเรียบร้อย เด็กสาวซึ่งเป็นที่รักของทุกคน เรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้ คบหากับหัวหน้าคุมเตาก็แค่ไปดูหนังด้วยกันในวันหยุด ถ้าพี่แดงสอบถาม แล้วต่อให้เธอพูดความจริงหรือพยายามอธิบายอย่างไร แต่เธอก็ถูกตัดสินไปแล้ว
“ทำแบบนั้นไม่ได้ ไหมน้อยจะเสียหาย” ผมขึ้นเสียง สีหน้าเครียดเขม็งจนจ้อยหัวเราะไม่ออก
“งั้นกูเอง” จ้อยยืดไหล่ “กูจะไปเคาะประตูห้องปลุกเฮียคุง อย่างน้อยก็ดีกว่ามึงไปเอง ถ้าเฮียคุงไม่อยู่ กูก็จะขึ้นไปหาพี่แดง”
ผมขยับเข้าหาจ้อย อยากจะสวมกอดเขาแน่นกระชับทั้งวงแขนและหัวใจ แต่ผมไม่อาจทำเช่นนั้น ได้แต่ก้าวไปตบบ่าเขาและพูด “ถ้ามึงถูกเถ้าแก่ไล่ออก กูจะลาออกแล้วไปจากที่นี่พร้อมมึง”
ซอยเล็กๆ ที่แทบไม่มียวดยานผ่านไปมายามค่ำคืน แสงไฟจากเสาข้างกำแพงโรงงานส่องสว่าง ผมพาไหมน้อยข้ามฟากถนนมานั่งรอ ความเงียบทิ้งตัวลงระหว่างเรา ผมเดาไม่ถูกว่าจ้อยซึ่งสวมวิญญาณนักปีนกำแพงจะไปเคาะประตูห้องไหนก่อน ไม่ว่าจะเป็นเฮียคุงหรือพี่แดง ล้วนแต่ต้องตอบคำถามและสร้างความไม่พอใจ
นอกจากหัวขโมยที่บุกห้องครัวยามวิกาล ไม่มีใครใช้ทางลัดเข้าโรงงานผ่านต้นมะม่วง ยิ่งห้องพักคนงานหญิงบนตึกชั้นสาม ยิ่งเป็นแดนต้องห้ามสำหรับคนงานชายในยามวิกาล
ทันทีที่เปิดประตูห้องออกมาเผชิญหน้าดำๆ ของจ้อย พี่แดงคงตื่นตระหนก คิดในแง่ลบจนไม่มีเวลารับฟังเหตุผลอธิบาย มันบุกขึ้นมาถึงนี่ได้อย่างไร ไม่มีทางเผ่นโผนเข้ามาด้วยเจตนาดี ไม่แน่ว่าพี่แดงอาจพกมีดติดตัวตลอดเวลา แล้วจ้วงแทงออกไปด้วยสัญชาตญาณป้องกันตัว
ผมรู้ประวัติพี่แดงตามคำบอกเล่าของคนงานรุ่นพี่ซึ่งจากลาไปแล้ว แกเคยอยู่กินกับผู้ชายมาแล้วสามคน รายแรกที่บ้านเกิดกับนักมวยที่เดินสายชกตามงานวัด อยู่กินร่วมชีวิตกันมาสามปีด้วยความรักใคร่เสน่หา แล้วต้องมีอันหย่าร้างเพราะทนเป็นกระสอบทรายเคลื่อนที่ให้สามีฝึกซ้อมไม่ไหว หนีเข้ากรุงเทพฯ เป็นกรรมการก่อสร้างพบรักกับช่างปูน ไม่ทันถึงปีก็ต้องแยกทางเพราะหนุ่มช่างปูนเอาแต่เมาเช้าเมาเย็น พูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผลไม่นานก็ตรรกวิบัติ แล้วแกก็ตกเป็นเป้าหมัดเท้าเข่าศอกไล่ถลุงจนถึงขั้นหยอดน้ำข้าวต้ม รายสุดท้ายล่าสุดก็ยังย้อนหลังไปเกือบสิบห้าปี ทหารเก่าที่มาสมัครเป็นยามโรงงานเย็บผ้า ร่วมห้องหอและทางชีวิตกันแค่หกเดือนก็มีอันล่มสลาย ขี้เมา เจ้าชู้ นอกใจ และหมัดเท้าเข่าศอกหนักยิ่งกว่านักมวยแท้ๆ เสียอีก
ตลอดสิบกว่าปีของชีวิตแม่บ้านโรงงานเทียนไข พี่แดงไม่เคยชายตาเหลือบแลหนุ่มใหญ่หนุ่มแก่ที่พยายามเข้ามาพัวพัน ในวัยที่ล่วงเลยเกินห้าสิบ แกตั้งหน้าตั้งตาทำงานเลี้ยงตัวเอง คนงานบางรายรู้สึกกับแกเหมือนพี่สาวคนหนึ่ง ถึงจะปากร้าย ด่าเก่ง ใบหน้าไม่ค่อยมีร้อยยิ้ม แต่ทุกครั้งที่ข้าวในหม้อไม่พอกินหรือข้าวสารหมดกระสอบ แกเป็นธุระโวยวายเอากับเถ้าแก่อย่าไม่หวั่นเกรงจะถูกไล่ออก
หน้าต่างห้องพักปิดเงียบ แกไม่เคยโผล่หน้ามองไปทางริมบึงบ้านพักคนงานชาย ไหมน้อยเป็นคนแรกและคนเดียวที่แหกกฎซึ่งเคยปฏิบัติ
ผมกับไหมน้อยได้แต่นั่งรอ กุมมือกันจนเหงื่อชุ่ม อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ผมปลุกใจตัวเองให้พร้อมเผชิญ หากต้องปะทะกับเฮียคุงจนถึงขั้นแตกหัก พรุ่งนี้ผมกับไหมน้อยก็พร้อมที่จะหิ้วกระเป๋าเดินจากไป
จนกระทั่งไฟที่ช่องบันไดเปิดสว่าง จ้อยโผล่หน้าออกมาเป็นคนแรก ผมกับไหมน้อยพร้อมถอนหายใจยาว ทันทีที่เห็นพี่แดงโผล่ตามหลังออกมา มือแกหิ้วลูกกุญแจพวงใหญ่
พี่แดงไขกุญแจประตูบานเล็ก สีหน้ายังคงไร้รอยยิ้ม ผมดันหลังไหมน้อยสวนทางกับจ้อยที่เดินออกมาข้างนอก บรรยากาศเหมือนยามสงครามที่สองฝ่ายแลกเปลี่ยนเชลยศึก
พี่แดงล็อคกุญแจ ยังไม่ทันได้กล่าวอะไรไหมน้อยก็โผเข้ากอดและซบหน้าลงบนอกของแก
ร่างเล็กๆ ของเด็กสาวเหมือนนกน้อยที่บินฝ่าความหนาวมาไกลแสนไกล สำหรับคนงานที่อยู่กินกับนายจ้าง ข้อบังคับหลายอย่างไม่ได้ควบคุมเราแค่ในช่วงชั่วโมงทำงานเท่านั้น หากมันล่ามเราไว้ทุกนาทีที่ยังไม่ลาออก หรือถูกไส่ส่งเฉดหัวไปให้พ้นๆ พันธะหน้าที่
ผมกับจ้อยยืนมองตามร่างคนทั้งสองจนลับช่องบันได
“เรียบร้อยแล้วมึง” จ้อยหอบหายใจเบาๆ
“พี่แดงดุมึงสิ ด่ามึงด้วยว่าเป็นขโมย” ผมพูด
จ้อยส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่เลย แกไม่ว่าอะไรกูสักคำ”
ถึงทางแยกข้างโรงงานจ้อยไม่ได้เลี้ยวเข้าบ้านพัก ผมเดินตามเขาไปห่างๆ ตอนนี้นอกจากคำขอบคุณแล้ว จ้อยจะขอยืมเงินสักห้าร้อย หรือขอให้ผมเลี้ยงเหล้าสีสักกี่แบน ผมก็จะแถมกับแกล้มชั้นดีให้เขาโดยไม่เกี่ยงงอน
อีกไม่ถึงสิบเมตรจะถึงร้านขายของชำ ผมก้าวไปทันเขาและถาม “พี่แดงไม่ติดใจเรื่องของถูกขโมยเลยหรือมึง”
“แกถามเหมือนกัน หลังจากที่แกรู้ว่ากูเข้าไปทางไหน”
“แกไม่โกรธ”
“โกรธสิมึง หน้าแดงตาขวางทีเดียว แต่กูมีวิธีแก้ตัว”
“แก้ตัวยังไง”
“ก็บอกแกว่าคนตัวเตี้ยอย่างกูปีนกำแพงไม่ถึงหรอก เคยเห็นแต่พวกไอ้ภูเขียวมันปีนกัน แต่คราวนี้มันจำเป็น”
“พี่แดงเชื่อมึง”
จ้อยเดินไปใกล้เสาไฟ เขาแกะกระดุมเสื้ออวดแผงอกที่เต็มไปด้วยรอยถลอก
“เพื่อให้สมเหตุสมผลหากถูกถาม กูถอดเสื้อเอาอกถูกับขอบกำแพง ตั้งใจไว้ให้มีรอยเพียงนิดเดียว ไม่คิดว่าจะเป็นแผลลึกขนาดนี้ มึงมีเงินซื้อยาแดงนะ”
คราวนี้ผมยั้งตัวเองไว้ไม่ทัน เดินไปโอบไหล่เขาและบอก “มีสิ มี นอกจากยาแดงแล้ว มึงจะกินอะไรก็ได้ วันนี้กูเลี้ยงมึงเต็มที่”
***************************