– ๖ –
………………

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมล่วงล้ำเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  แต่นี่เป็นหนแรกที่ผมไม่ได้มาตามลำพังคนเดียว  สองครั้งก่อนผมมานั่งฟังอภิปรายในหอประชุมใหญ่  ได้เห็นตัวเป็นๆ ของนักพูดและนักการเมืองชื่อดังนั่งประชันน้ำลายกันบนเวที  โอกาสครบรอบคล้ายวันสถาปนามหาวิทยาลัย  อีกครั้งตีตั๋วเข้าชมละครเวที  จบแล้วเดินดูหนังสือในศูนย์ของมหาวิทยาลัย  ผมผ่านประตูเข้าสู่ภายในด้วยสีหน้าท่าทางปกติเหมือนนักศึกษาคนหนึ่ง  ส่วนไหมน้อยเผลอถอนหายใจ  ตากลมๆ ของเธอแฝงแววประหวั่น  ผ่านลานโพธิ์ไปถึงสนามฟุตบอลเธอเร่งเท้ามาทัน  และคว้ามือผมไปกุมไว้

สายตาซึ่งเต็มไปด้วยคำถามกับสถานที่แปลกหน้าเหมือนโลกใบอื่นซึ่งเธอไม่มีทางจะคุ้นเคย  ความแตกต่างของผู้คนคล้ายกระแสคุกคามที่แฝงมากับความเงียบ  ผมหัวเราะในลำคอแล้วบอกเธอไปตามตรงว่า  “เดี๋ยวเข้าไปดูละคร”  บ้านเกิดของเธอไม่มีโทรทัศน์  เข้ากรุงเทพฯ มาก็ไม่ได้มีโอกาสนั่งติดหนึบหน้าจอเหมือนนักนิยมทีวีทั่วไป  บ้านพักบนชั้นสามของตึกเสี่ยเตี้ยก็ไม่มีสวัสดิการบันเทิง  พี่แดงเองถึงจะทำงานกับโรงเทียนมานานหลายปี  แกก็มีได้แค่วิทยุทรานซิสเตอร์เอาไว้ฟังเพลงลูกทุ่ง

ละครตามความเข้าใจของไหมน้อยในตอนแรก  เธอนึกถึงคณะแก้วฟ้าซึ่งเคยผ่านหูจากวิทยุ  เธองุนงงอยู่พักหนึ่งจึงถามผมเพื่อความแน่ใจ

“ละครดูได้ด้วยหรือ  นึกว่าเขาเล่นแต่เสียงให้ฟัง”

จนกระทั่งแฝงตัวนั่งอยู่ในความมืดของโรงละครแล้ว  ไหมน้อยจึงรับรู้ถึงความแตกต่างว่าละครที่เธอเคยฟังผ่านวิทยุทรานซิสเตอร์กับที่เคลื่อนไหวในแสงสีบนเวทีตอนนี้ไม่เหมือนกัน  ผมปล่อยให้เธอจมหายไปกับความมืด  ตั้งอกตั้งใจทำความเข้าในกับเนื้อหาของการแสดง  ผมหวังว่าเธอคงเผลอหลับ  และถ้าเธอหลับก็จะเป็นการดีที่สุด

ละครแนวปรัชญาของนักศึกษาและอาจารย์  อย่าว่าแต่คนแปลกหน้าจากโลกใบอื่นอย่างไหมน้อยจะไม่เข้าใจ  ผมซึ่งพยายามขบคิดตามเนื้อหาและเก็บรายละเอียดก็ยังมึนงงอยู่จนกระทั่งไฟเปิดสว่าง  นักแสดงออกมายืนเรียงแถวโค้งคำนับขอบคุณผู้ชม

ผมไม่ได้ปลุกไหมน้อย  ดวงตาของเธอสว่างไสวยิ่งกว่าแสงไฟเสียอีก  สีหน้ายังคงระรื่น  ออกจากมหาวิทยาลัยผมพาเธอเดินอ้อมสนามหลวงข้ามไปยังฝั่งตลาดนัดหนังสือ  เธอไม่ได้ถามผมแม้แต่คำเดียวว่าทำไมถึงเดินอ้อมไกล  แทนที่จะลัดไปตรงๆ  ถึงซุ้มหนังสือและที่วางกองเป็นหย่อมๆ ไว้แนบพื้นดินเธอไม่มีข้อสงสัยและคำถามว่าผมมาที่นี่ทำไม

ผมไม่อยากชำเลืองมองสนามหลวง  ปีที่ผ่านมานี่เองที่กลายเป็นลานสังหาร และมีคนตาย  ตอนนั้นผมเป็นลูกจ้างร้านขายเครื่องมือช่าง  เถ้าแก่เป็นชายไทยเชื้อจีน  แกเปิดวิทยุติดตามข่าวสารบ้านเมืองแบบเกาะติดสถานการณ์  แกบอกให้ผมอยู่ในความสงบ  วันนี้เขาฆ่าคอมมิวนิสต์ที่สนามหลวง

“เขาล้องฆ่าอ้ายพวกหนากแผ่งดิง  ม่ายอย่างน้านปาเทกทายซิกหายกางโหมด…”

วันนั้นผมไม่ได้ไปส่งของให้ลูกค้าของเถ้าแก่  ทางการประกาศเคอร์ฟิวตั้งแต่หัวค่ำ  จากหน้าต่างบ้านพักสับปะรังเค  ผมมองไปยังท้องถนนที่เปลือยเปล่าใต้แสงไฟ  ทุกส่วนของเมืองเหมือนพร้อมกันหลับสนิท  ผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็สามัคคีกันนิ่งเงียบ  และสงบงันเยี่ยงคนที่ถูกฆ่ากลางท้องสนามหลวง

นานหลายเดือนหลังจากนั้น  ข่าวสารจากในส่วนที่ไม่ใช่สื่อกระแสหลัก และจากหนังสือที่ผมสรรหามาอ่าน  ฆาตกรรมกลางสนามหลวงที่ผมเคยเห็นด้วยกับคำพูดของเถ้าแก่ร้านขายเครื่องมือช่างค่อยๆ เปลี่ยนไป  นักศึกษาที่รอดชีวิตจากการล้อมปราบ  ถูกกล่าวหาเป็นคอมมิวนิสต์  ต่างหนีเข้าป่าร่วมกับกองทัพปลอดแอกและกลายเป็นคอมมิวนิสต์จริงๆ

ผมก้มหน้าก้มตารื้อกองหนังสือราคาสามเล่มสิบบาทอย่างเพลิดเพลิน  แทบลืมไปว่าไม่ได้มาคนเดียว นานๆ จะเงยหน้าชำเลืองไปทางไหมน้อย  ห่างออกไปอีกฝั่ง ร่างเล็กๆ เอื้อมมือหยิบหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง  เธอพลิกดูรูปภาพ  เงยหน้าขึ้นแล้วเคลื่อนกายมาทรุดนั่งลงข้าง ๆ

“นางเอกเรื่องแผลเก่า” เธอชี้ให้ผมดูรูปนันทนา เงากระจ่าง

“ถ้าจะซื้อก็ต้องหาให้ครบสามเล่ม”  ผมว่า

รอบกายเราพล่านไปด้วยนักศึกษาในเครื่องแบบ แทบทั้งหมดอยู่ในวัยใกล้เคียงกับเรา ถ้าคำนวณไม่ผิด หากไหมน้อยเรียนจบมัธยมปลายเร็ว  เธอน่าจะอยู่ปีหนึ่ง  ส่วนผมหัวขี้เลื่อยเรียนช้า  อาจสอบตกซ้ำชั้นสักหนจึงอยู่ปีหนึ่งเช่นเดียวกัน

สำหรับคนที่ไม่เคยมีมหาวิทยาลัยในความคิดฝัน  ไหมน้อยอาจมองนักศึกษาวัยใกล้เคียงกับเธอเพียงผ่านๆ พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวกันกับเธอก็จริง  แต่เป็นอีกชนชั้นที่เกิดมาสุขสบาย  พ่อแม่มีเงินทองส่งเสียให้ได้รับการศึกษา  เรียนจบแล้วรับราชการเป็นเจ้าคนนายคน  ต่างกับเธอที่เกิดมาในครอบครัวยากจน  แม้แต่ที่นาของตัวเองก็ไม่อาจมีได้  พ่อของเธอถูกฟ้าผ่าตายในที่นาของคนอื่น  ถึงกระนั้นยังทิ้งมรดกอันน่าภาคภูมิใจไว้ให้ครอบครัว

“ถึงไม่มีที่นา เราก็รับจ้างคนอื่น ได้ค่าจ้างเป็นข้าว พ่อจากไปแล้วแต่ยังทิ้งเกวียนกับวัวไว้คู่หนึ่ง ช่วงปลายปีเรารับจ้างขนข้าว”

เธอเล่าถึงบ้านเกิด  ขณะผมมองเมืองเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกหลายด้านที่ผุดขึ้นประดับราวกับธารต่างสายไหลปะทะกันด้วยความกราดเกรี้ยว  แรงปรารถนาที่อยากจะมีและเป็นเหมือนคนเมืองเคยเชี่ยวกราก  ในบางคราที่ตระหนักและสำนึกด้วยสติถึงความเป็นไปได้  ม่านแห่งความเกลียดชังแฝงตัวขึ้นช้าๆ กลายเป็นแม่น้ำสองสีแฝงในความรู้สึก

ไหมน้อยเลือกหนังสือบันเทิงได้ครบสามเล่ม  ผมได้ทั้งนิตยสารเก่าและหนังสือเล่มครบถ้วนทุกประเภท  นิยายไทย นิยายแปล รวมบทกวี รวมเรื่องสั้น และบทความหนักๆ ที่เกี่ยวกับวรรณกรรม

ผมเรียกที่ตรงนี้ว่าตลาดนัดหนังสือ  ทุกครั้งที่แวะมาตามลำพัง ผมจะจ่อมเลือกนานหลายชั่วโมงอย่างจมลึก แทบลืมทุกสิ่งทุกอย่างยกเว้นหนังสือตรงหน้า  เป็นที่ซึ่งผายมือเชื้อเชิญและแนะนำให้ผมรู้จักเฮอร์เนส เฮมิงเวย์ แมกซิม กอร์กี้ คาลิล ยิบราน เรียมเอง รมย์ รติวัน ไม้ เมืองเดิม ไม่นับศรีบูรพาซึ่งผมรู้จักและอ่านงานของนักเขียนผู้นี้มานานแล้ว

นอกจากหนังสือ ผมยังได้รู้จักวงดนตรีฝรั่ง ทั้งวงร็อคชั้นนำอย่างแคนซัส โรลลิ่งสโตน บิทเทิล อีเกิล และในตลาดนัดหนังสือมีคนขายเทปเพลง ผมแวะไปคุยกับคนขาย  ไหมน้อยยืนนิ่งฟังเหมือนเข้าใจทุกเรื่องที่ผมกับคนขายเทปคุยกัน เธอวาดประกายตามาที่ผมและคนขายด้วยสีหน้าระรื่น

ผมพูดกับเธอก่อนเราจะเดินออกมาจากตรงนั้น “อยากได้วิทยุเทปไปเปิดฟังเพลงสักเครื่อง”

“น่าจะแพงหลายร้อย” เธอว่า

“ออกจากโรงหนังค่อยแวะซื้อ” ผมพูด “ไม่ใช่หลายร้อยหรอก”

“งั้นคงไม่ถึงร้อย”

“เปล่า  น่าจะเกินพัน”

ไหมน้อยทนดูละครที่เธอไม่เข้าใจเนื้อเรื่องโดยไม่ยอมหลับ แถมยังไม่อิดออดงอแงหรือแสดงสีหน้าปั้นปึ่ง  เธอไม่มีท่าทีจะลงส้นเท้ากระทืบพื้น  เรือนแก้มที่ฝ้าแดดเพิ่งอำลาของเธอนวลด้วยเลือดฝาด  ยามยิ้มเต็มปากจมูกเชิดรั้นของเธอคลายกระดิกน้อยๆ  ร่าเริงแฝงพลังดุจสาวน้อยมหัศจรรย์  นั่นช่วยให้ผมมีเหตุผลเพียงพอที่จะตามใจตัวเองเมื่อต้องย้ายแหล่งบันเทิงไปสู่โรงหนัง

หนังกำลังภายในพูดมากจากบทประพันธ์โกวเล้ง  ไม่เพียงซับซ้อนซ่อนเงื่อนในเนื้อหาเชิงสืบสวนสอบสวน  บทพูดยังเล่นคำสำนวนไม่เหมือนคนเดินดินปกติทั่วไป  นี่คือหนังที่ผมชื่นชอบและเลือกเพื่อตัวเอง  ต่อด้วยหนังคาวบอยที่เอาแต่ยิงกันตลอดทั้งเรื่อง  ดูวนจากตอนจบวกกลับมาบรรจบต้นเรื่อง  หนังยังฉายวนต่อไป  ภายในโรงมืดสลัวมองเห็นหน้ากันไม่ชัด  ก่อนขยับลุกขึ้นผมหันไปจะปลุกไหมน้อย  ทว่าเธอไม่ได้หลับอย่างที่ผมคิด

ทันทีที่ผมหันไปทางเบาะนั่งของเธอ  มือน้อยๆ เอื้อมมาสอดแขนคล้อง  ผมเห็นดวงตาของเธอฉายยิ้มอยู่กลางความมืด

“เรากลับกันได้แล้ว” ผมกระซิบบอก

มือข้างหนึ่งของเธอหิ้วถุงหนังสือ แขนอีกข้างกอดมือผมไว้แน่น ออกมาสู่ภายนอกแล้วผมถาม

“หลับในโรงหนังหรือเปล่า”

เธอส่ายหน้าและยิ้ม “ไม่หลับ”

ผมพูด “ดูหนังจีนหนังฝรั่งเป็นเหมือนกัน”

เธอส่ายหน้าอีกครั้ง สบตากับผมพร้อมยิ้มพราย “ไหมนั่งดูพี่”

ไหมน้อยกุมมือผมไว้แน่นขณะนั่งเคียงข้างกันบนเบาะรถประจำทาง  นอกจากรู้สึกอุ่นซ่านลึกลงในสายเลือด ใจผมอ่อนยวบลง ไม่ว่าในโรงละคร ในโรงหนัง ไหมน้อยไม่สนใจสิ่งอื่น ไม่เคยตำหนิหรือขัดแย้งในสิ่งที่ผมเลือก เธอขอเพียงได้อยู่ใกล้ๆ และจ้องดูผม

จากโต๊ะห่อเทียน และบนหน้าต่างห้องพัก  ดวงตาที่เปี่ยมประกายแห่งความสุขตามติดผมไป  …ขอเพียงได้อยู่ใกล้ และมีเงาของผมในดวงตา

ผมส่งไหมน้อยที่หน้าตึก พี่แดงกำลังรดน้ำต้นไม้ แกไม่ได้แปลกใจอีกแล้วที่ผมกับไหมน้อยไปไหนมาไหนด้วยกัน เช่นเดียวกับจ้อย และเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ

กลางสายลมหนาวข้างกองไฟริมบึง  ไม่ว่าค่ำคืนที่ฟ้าเกลื่อนไปด้วยหมู่ดาวระยิบ  หรือคืนเพ็ญที่แสงเดือนสกาวผ่อง  ก่อนกลับเข้าบ้านแล้วเอนตัวลงนอนหลับพับ  ผมหยุดเท้าลงแล้วเงยหน้าสูงขึ้นไป

ผมสบสายตากับไหมน้อย  ฝ่าความมืดที่กั้นระหว่างพื้นหญ้ารอบบึงกับริมหน้าต่าง  ก่อนผันกายเดินเข้าไปในบ้านพัก  ผมจดจำรอยยิ้มของเธอซึ่งระยิบประกายงามดุจดาวอีกดวงหนึ่ง

 

วันที่ไหมน้อยหอบข้าวของพะรุงพะรังกลับโรงงานผมไม่ได้ถามอะไร  จนกระทั่งผมมั่นใจแล้วว่าเส้นเลือดหัวใจสองดวงของเราเชื่อมต่อกันและกัน  และไม้ต้นหนึ่งในหัวใจของเราก็ผลิงามขึ้นในสายลมหนาว  ผมถามเธอไปว่าทำไมไม่ส่งเงินไปให้แม่ซื้อเอง ผ้าห่ม เสื้อกันหนาว และของกินของใช้อื่นๆ ทุกจังหวัดก็มีขาย

เธอไม่ได้ให้เหตุผลว่าบ้านนอกกันดารไม่มีร้านค้าและแม่กับน้องชายยากที่จะถ่อสังขารเข้าเมือง  เธอยิ้มขบขันที่มุมปาก

“ขืนส่งแต่เงินไป แม่ก็ยอมทนหนาวข้ามไปอีกปีหนึ่ง แม่เป็นคนหวงเงิน ต่อให้หนาวแค่ไหน แม่ก็ไม่ซื้อเสื้อให้ตัวเองและลูกชายใส่หรอก ยอมผิงไฟกันทั้งแม่ทั้งลูก”

“ถ้าไหมส่งเงินให้แม่ทุกเดือน ขืนแกเก็บไว้มาก โจรจะมาปล้นเอา” ผมว่า

“แถวบ้านไม่มีใครเป็นโจร มีแต่ปลวก” เธอหัวเราะเบาๆ

“ปลวกไม่น่ากลัว”

“ตัวร้ายเลยละนั่น”

“ปลวกปล้นไม่เป็น”

“แม่ไม่ค่อยมีเงิน แม่จึงประหยัดและหวงมาก ปีหนึ่งแม่รับจ้างขนข้าวหลายเจ้า ได้เงินมาเกือบสองพัน เป็นเงินจำนวนมากที่สุดในชีวิตแม่ แบ่งให้ลูกคนละสองร้อย ที่เหลือแม่เอาใส่กล่องไม้ไปฝังดินไว้ที่ใต้ถุนบ้านใกล้ๆ กับคอกวัว ผ่านไปเกือบครึ่งปีแม่ขุดขึ้นมาจะนำไปใช้จ่าย เงินที่แม่หวงนักหวงหนาก็มีเพียงเหรียญบาทเท่านั้นที่รอดปลอดภัย”

“ที่เป็นแบงก์ร้อย แบงก์ห้าร้อย ปลวกกินไปหมด”

ไหมน้อยพยักหน้าพร้อมพร้อมยิ้มเศร้า “ใช่… หมดเลย แม้แต่กล่องไม้ที่แม่ใส่เงินเอาไปฝังดิน”

แม้ผมเคยนั่งรถผ่านที่ทำการไปรษณีย์ย่านบางพลัด แต่ในวันเวลาราชการผมต้องทำงาน  ดูแลรับผิดชอบถังเทียนและกระทะต้มขี้ผึ้งสองใบ  ปลีกตัวไปนานอาจเกิดปัญหาที่ไม่มีใครรับผิดชอบแทนได้ จ้อยเองก็ไม่เคยเรียนรู้ความแตกต่างของขี้ผึ้งแต่ละกระสอบ  รวมไปถึงระดับน้ำเทียนในกระทะว่าพร่องลงกี่มากน้อยถึงจะเติมขี้ผึ้งลงไป แย่ไปยิ่งกว่านั้น เขาไม่กล้าเติมสีลงไปในถัง

คนไม่ผิดคือคนที่ไม่ทำอะไรเลย คติที่จ้อยยึดถือนี้ชวยให้เขาไม่เคยถูกเสี่ยเตี้ยดุด่า

พัสดุของไหมน้อยพร้อมแล้ว เธอจ่าหน้าซองไว้เสร็จสรรพ พร้อมจดหมายถึงแม่และน้อง จ่าหน้าแต่ยังไม่ปิดผนึกจนกว่าจะสอดใบธนาณัติใส่ลงไป ปัญหาก็คือเธอเริ่มงานแต่เช้า เลิกงานหกโมงเย็น หยุดวันอาทิตย์ เธอเอ่ยปากหารือผมหลายครั้ง  ผมก็ได้แต่ครุ่นคิดหาทางแก้ปัญหาว่าตัวเองจะออกไปได้อย่างไร

จ้อยเป็นลูกกตัญญู  แต่ละเดือนเขาส่งเงินไปให้พ่อแม่  ทางออกมากระจ่างเอาตอนนี้  ในเมื่อจ้อยทำงานแทนผมไม่ได้  แต่ผมทำงานแทนเขาได้  ธุระของไหมน้อยเขาย่อมจัดการได้ดีกว่าผม

จ้อยรับหน้าที่ม้าเร็วไปส่งพัสดุและธนาณัติ เกือบสัปดาห์ผ่านไป ข้างป้อมยามมีจดหมายจากอำเภอเล็กๆ ในเขตจังหวัดศรีสะเกษมาเสียบไว้ จ้อยแวะไปดูแล้วนำมาให้ไหมน้อย

เธอเปิดจดหมายออกอ่าน นั่งทำตาแดงๆ ไม่นานก็ยิ้มมาทางผม

“ไหมบอกแม่แล้วนะเรื่องพี่ แม่บอกให้เรากลับบ้านไปด้วยกัน”

สัปดาห์ถัดมาเธอได้รับพัสดุ รอจนผมเลิกงานแล้วเธอเดินนำผ้าขาวม้ามาเคียนเอวให้

“ผ้าขาวม้าศรีสะเกษ” เธอว่ายิ้มๆ “แม่ฝากคนอื่นส่งทางไปรษณีย์มาให้ลูกเขย”


ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่