– ๕ –
………………
เมฆหนาวร่าเริงบนท้องฟ้าเหนือยอดตึก ผมมองไกลออกไปทั้งสองฝั่งเมือง ตะวันตก-ตะวันออก และตรงที่ไม่อาจมองเห็นแสงตะวัน ทั้งในแสงสว่างและในความมืดของช่องบันไดที่เราโผล่หัวลอดขึ้นมาบนชั้นบนสุดของภูเขาทอง ผมยืนมองไปยังวัดวาอารามรายรอบยอดเจดีย์และอุโบสถเสียดแทรกป่าหนาทึบของอาคารบ้านเรือน วันนี้ผมเลือกจุดหมายตามใจประสงค์ ไม่เกี่ยวกับสาวน้อยข้างกายที่ผมยังถือว่าเป็นส่วนเกินของชีวิต
ฝ้าแดดที่เคยฝังตัวบนเรือนแก้มทั้งสองข้างเกือบจะจางหายไปอย่างหมดจด เปล่งปลั่งด้วยเลือดฝาดของสาววัยแรกผลิ ริมฝีปากระเรื่อ นัยน์ตาซุกซนเปี่ยมด้วยประกายร่าเริง เธอกวาดมองเมืองในทุกฟากฝั่งจากที่สูงอย่างตั้งอกตั้งใจ
“นั่นวัดพระแก้วหรือเปล่าน้า” เธอแสร้งตีสีหน้าสงสัยเย้าให้ผมตอบยืนยัน
“สนามหลวงอยู่ตรงนั้นใช่ไหม”
เธอมองต่ำลง อ่านป้ายชื่อโรงหนัง “ศาลาเฉลิมไทย”
เธออาจเข้าใจว่าเป็นศาลาวัดเหมือนที่เคยไปนั่งฟังพระเทศน์ ผมไม่ยอมเสียเวลาอธิบายหรือทำตัวเป็นมัคคุเทศก์นำเที่ยว แม้ตอนที่เธอก้มกราบพระและบริจาคเงินใส่บาตรใบใหญ่ ผมก็ผละห่างออกไป ไม่ยอมเข้าไปทำบุญร่วมชาติ และร่วมอธิษฐานเหมือนพระเอกนางเอกในหนังไทยเรื่องเศร้า
ยืนเคียงข้างกันมองเวิ้งเมืองสุดสายตา เสียงลมหนาวพัดผ่านธงผืนใหญ่ดังพั่บๆ ไหมน้อยนิ่งมองทุ่งเมืองซึ่งเกลื่อนไปด้วยอาคารบ้านเรือน ถนน ตรอก ซอย และแม่น้ำใหญ่
“ป่านนี้แม่เกี่ยวข้าวแล้ว” เธอรำพึงผ่านริมฝีปาก
“ไม่กลับบ้านไปช่วยแม่” ผมว่า
“แม่ไม่มีนาของตัวเอง รับจ้างคนอื่น” เธอตอบเบาๆ แล้วหันหน้ามาทางผม
“แล้วพี่ไม่กลับบ้าน” เธอจ้องหน้าผมตรงๆ
ผมตอบตามจริง “ไม่มีบ้านจะกลับ และไม่มีนาให้ไปเกี่ยวข้าวด้วย”
เราเดินลงมาจากภูเขาทอง จังหวะที่ถูกกำแพงมนุษย์ขวางอยู่ข้างหน้า ผมถามเธอไปว่า
“แม่รับจ้างเกี่ยวข้าวคนเดียว แล้วพ่อทำอะไร”
น้ำเสียงราบเรียบตอบผมทันที “พ่อไม่อยู่แล้ว”
จุดหมายสุดท้ายของวันอยู่ที่โรงหนังชั้นสองย่านเดิม ก่อนจะไปยังจุดนั้นยังมีเวลาเดินเล่น ผมพาไหมน้อยไปที่ริมแม่น้ำ รำลึกความหลังกับม้าหินที่เคยทอดตัวนอนตากยุงในช่วงตกงาน เราเช่าเสื่อและสั่งส้มตำมากินด้วยกัน จับจ้องคลื่นน้ำหยอกตลิ่งช่วงเทศกาลลอยกระทงแล้วคิดถึงท้องทุ่งกลางกระแสลมหนาวในดินแดนแสนไกล
ผมเป็นลูกกำพร้า พ่อแม่จากไปไล่เลี่ยกันเมื่อสิบสองปีที่แล้ว ผมโตมากับครอบครัวของลุงซึ่งเป็นพี่ชายพ่อ ตอบแทนพระคุณผู้ให้ความอุปการะด้วยงานหนักสารพัด ทั้งเป็นเด็กเลี้ยงควาย รับจ้างขุดดิน เกี่ยวข้าวแลกค่าจ้าง จบชั้นประถมถูกส่งตัวไปเป็นลูกจ้างร้านอาหารเล็กๆ ในเมือง ผมช่วยเสิร์ฟอาหารและล้างถ้วยชามในวันหยุด แลกกับที่พักพิงระหว่างเรียนหนังสือในวันปกติ
ลุงและป้าของผมทำนาเหมือนเพื่อนบ้านอื่นๆ เป็นเจ้าของที่นาซึ่งผนวกในส่วนของพ่อแม่ผมเข้าไปด้วยทางออกที่จะกำจัดผมจากครอบครัวก็ต้องส่งไปอยู่ที่อื่น เพื่อให้มีข้ออ้างที่ดูดี ไม่ได้ไสหัวและถีบส่งให้ญาติพี่น้องก่นประณาม ลุงสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ข้าส่งไอ้ขี้เกียจไปเรียนหนังสือ ถ้ามันรักดีมีวาสนาก็คงได้เป็นเจ้าคนนายคนในสักวัน ดูสิ ข้าให้โอกาสมันมากกว่าลูกในไส้แท้ๆ เสียอีก
ผมไม่เคยได้ทำนาอย่างจริงจัง ปิดเทอมช่วยงานในร้านอาหาร กลับเยี่ยมลุงและป้าช่วงฤดูหนาวก็ช่วยเกี่ยวข้าว ตีข้าวบนลาน และขนข้าวเปลือกสู่ยุ้งฉางบางปีช่วงปิดเทอมใหญ่ผมไม่ได้กลับบ้าน หน้าแล้งไม่มีงานอะไรที่ลุงกับป้าต้องการให้ช่วย ผมจึงทดแทนคุณผู้ให้ที่พักด้วยการถ้วยล้างชามหามรุ่งหามค่ำ เพื่อนรุ่นเดียวกันในหมู่บ้านทยอยหายเข้ากรุงเทพฯ แม้แต่ลูกชายและลูกสาวของลุงก็กลายเป็นคนโรงงาน ทุกครั้งที่ผมกลับไปบ้านลุง เพื่อนที่เคยเรียนหนังสือด้วยกันต่างหายหน้าหายตา สายตาของป้ากับลุงที่มองผมเหมือนแขกแปลกหน้า และทั้งสองก็แอบยิ้มให้กันอย่างโล่งอกในวันที่ผมจากไป
ผมสัมผัสได้ถึงกระแสชิงชังรังเกียจ และความกลัวว่าผมจะเป็นภาระเกาะกินจากทั้งจากท่าที คำพูด และการแสดงออกในด้านอื่นๆ แม้หลังจากที่ผมเข้าเมืองไปเรียนหนังสือ ผมไม่เคยขอเงินลุงกับป้าแม้แต่บาทเดียว แต่ลุงกับป้าก็เชื่อฝังหัวว่า คนไม่เคยลำบากอย่างผมจะช่วยเหลือตัวเองได้ช้าและมีความขี้เกียจหลังยาวเป็นสันดาน ในครั้งที่แกไปเยี่ยมญาติห่างๆ ที่เป็นเจ้าของร้านอาหาร เสียงพร่ำบนจากทั้งสามีและภรรยาพร้องต้องกัน
“มันเอาแต่จะเรียนหนังสือ ท่องหนังสือ ไม่สนใจช่วยงาน”
“ถ้าเป็นอย่างนี้ ปีหน้า อาต้องเอามันกลับแล้ว ไม่ไหว ทำงานน้อย กินจุ แถมยังใช้เงินเก่ง”
เจ้าของร้านอาหารซึ่งลุงและป้าอ้างว่าเป็นญาติผู้แสนดี ขายข้าวต้มและก๋วยเตี๋ยวในย่านตลาดสด ร้านเปิดตีห้า ขายไปจนกระทั่งเกือบถึงเที่ยงคืน นอกจากลูกสาวลูกชายสองคนที่คอยช่วยแล้วไม่มีลูกจ้างอื่น ก่อนถึงเวลาเลิกเรียนพวกเขาจะสะสมของฝากไว้ให้ผมจัดการ กว่าจะได้ทำการบ้านที่ครูยัดเยียดให้ด้วยความเป็นห่วงว่านักเรียนจะไม่มีอะไรทำ ผมก็ต้องโรมรันกับถ้วยชามกองมหึมาจนแข้งขาสั่นด้วยความเหนื่อยและหิว
ผมได้ค่าขนมวันละสามบาท เลิกเรียนแล้วแทนที่จะขึ้นรถโดยสาร ผมเดินเท้าจากโรงเรียนกลับถึงร้านหวังอดออมเงินไว้ซื้อหนังสืออ่าน ญาติของลุงซึ่งผมเรียกแกว่าเถ้าแก่มักเตรียมคำดุด่าประจำวันไว้จิกหัว ไอ้ขี้เกียจ โรงเรียนเลิกนานแล้วทำไมเพิ่งมาถึง มึงเข้าไปดูหลังร้านสิ ถ้วยชามกองสูงท่วมหัวแล้ว
เถ้าแก่ร้านอาหารเพียงแค่ดุด่า ต่างไปจากลุงและป้าที่ชอบลงมือเฆี่ยนตีผมบ่อยครั้ง หนักสุดก็ตอนที่ผมกลับมาจากรับจ้างขุดดิน บ่อเลี้ยงปลาของชาวบ้านที่ให้ค่าจ้างตารางเมตรละหกสลึง ผมใช้จอบและเสียมขุดดินแข็งลึกลงไป จากกว้างเมตรยาวเมตรขยายเป็นสามเท่า ลึกลงจนเจาะตาน้ำและกวาดดินดานขึ้นมา ใกล้ค่ำผมได้ค่าจ้างถึงสิบสองบาท ห่อข้าวกลางวันลงท้องไปแล้วตั้งแต่เที่ยงวัน ผมหิวและเหนื่อยแทบขาดใจ ผ่านร้านค้าในหมู่บ้านผมเจียดเงินซื้อขนมกินไปหกสลึง นั่นคือจำนวนค่าจ้างที่สูญหายไปเมื่อถึงมือของป้ากับลุง
ป้าร้องด่า “ไอ้ขี้โกง โกงเหมือนพ่อกับแม่มัน”
ลุงกระชับไม้เรียวในมือ “คราวนี้ กูจะทำให้มึงหลาบจำไปอีกนาน”
แผลบนแผ่นหลังและความเจ็บปวดจากพิษไม้เรียวทางกายจางหายไปนานแล้ว พายุความขมขื่นโหมกระแทกใจอีกครั้งขณะจัดการกับถ้วยชามกองใหญ่ เป็นวันที่ผมถูกเถ้าแก่ลงโทษให้อดข้าว ไม่ให้กินอะไรไปจนกว่างานจะแล้วเสร็จ
หลังวันสอบไล่ปลายปีก่อนปิดภาคเรียน ปีหน้าถ้าผมสอบผ่านจะต้องเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมปลายในวัยสิบหกปีบริบูรณ์ ผมเหมือนนกที่บินได้เองแล้ว ไม่ต้องอาศัยปลายปีกของนกตัวอื่น
แทนที่จะกลับบ้านไปเยี่ยมลุงและป้า และแทนที่จะกลับไปเป็นเด็กล้างชามหามรุ่งหามค่ำ หรือรับจ้างขุดดินประกอบอาชีพเดิมที่บ้านเกิด ผมเดินท่อมๆ ไปตามถนนลูกรังพร้อมกระเป๋าผ้าใบเล็ก แล้วถัดมาอีกไม่ถึงชั่วโมง ผมก็นั่งอยู่บนเบาะรถโดยสารซึ่งปลายทางแรกคือตลาดหมอชิต ต่อจากนั้นก็เป็นเรื่องของโชคชะตา
ผมมองลำน้ำ กำมือเข้าหากัน ตอนเด็กๆ ผมมือด้านหนาด้วยด้ามจอบ และเชือกล่ามควายที่ผมกำแน่นยามขี่หลังเจ้าทุย วกกลับมาตักส้มตำใส่ปากอีกรอบ ผมแอบชำเลืองไปที่มือของไหมน้อย มือสองข้างของเธอแม้จะดูเล็ก แต่ตอนอยู่บ้านอกคงกร้านและด้านด้วยงานหนัก ถึงไม่มีนาเป็นของตัวเอง ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่ต้องทำนา แม่พาเธอตะลอนๆ รับจ้างตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ ผ่านสมรภูมิในท้องทุ่งมาทั้งปักดำและก้มเงยควงคันเคียวเกี่ยวข้าว
มือของเธออาจดูบางลงจากงานห่อเทียน ร่มเงาของโรงงานค่อยๆ จัดการไสส่งฝ้าแดดบนเรือนแก้ม วันนี้เธอสวมกระโปรงเพราะอยากดูเหมือนสาวชาวเมือง แถมแต่งหน้าทาปากมาเต็มพิกัดเหมือนจะไปเล่นหมอลำ ตอนผมเดินฝ่าแดดเข้าไปใกล้ ตะลึงมองอย่างไม่เชื่อสายตา ปากแดงแจ๊ดของเธอยิ้มกว้าง เข้าใจว่าผมตะลึงงันในความงามที่เธอบรรจงแต่งมาเอาใจ
ผมชี้มือไปทางประตูโรงงานและพูด “ไปล้างหนาล้างปากเสียเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นวันนี้ก็ไม่ต้องไปไหนกัน”
แก้มแดงๆ ของเธอไม่ได้เปลี่ยนสีไปกับคำสั่งไม้ตายของผม มีเพียงแววตาที่เจื่อนลง ถึงกระนั้นเธอก็เดินหงอยๆ กลับเข้าโรงงาน โผล่ร่างออกมาอีกครั้งพร้อมสีหน้าและริมฝีปากที่ธรรมชาติประทานให้แต่แรก
ที่หมู่บ้านเล็กๆ กันดารไกลปืนเที่ยงในเขตจังหวัดจังหวัดศรีสะเกษ นอกจากแม่แล้ว เธอมีน้องชายอายุห่างกันสี่ปี แรกผมเข้าใจว่าพ่อแม่ของเธอหย่าร้าง จนกระทั่งนิยายชีวิตเล่าผ่านไปพร้อมส้มตำในจานสู่การรับรู้
“พ่อถูกฟ้าผ่าตาย ตอนไหมอายุสิบปี”
น้ำเสียงและประกายในแววตาที่เปลี่ยนไปของไหมน้อยสั่นสะเทือนหัวใจผม ภาพเมฆทะมึนเหนือทุ่งข้าวเขียวกลางฤดูฝนวาดฝีแปรงการบอกเล่า แสงแปลบปลาบที่ขีดเขียนท้องฟ้าพร้อมกึกก้องแห่งเสียงคำราม เงาร่างชายฉกรรจ์ซึ่งดูเล็กกระจ้อยเคลื่อนไปตามคันนา ห่อไหล่ลงเล็กน้อยกับปรอยฝนจางๆ ที่กระทบกายพร้อมลมหนักอึ้ง และเมื่อฝนเทกระหน่ำหนัก มองไปข้างหน้าไม่เห็นทางเดิน เขาซานกายเข้าหาต้นไม้ใหญ่ แนบร่างอาศัยไม้ต้นนั้นกำบังลมและฝนที่สาดเฉียงมาจากอีกด้านหนึ่ง
ลูกชาวนาแต่กำเนิดไม่เคยกลัวฟ้าฝน ถึงเป็นที่นาของคนอื่นแต่เท้าสองข้างของเขาก็คุ้นเคยกับผืนดินแทบทุกตรารางนิ้ว ท้องทุ่งอันเป็นมิตรเขียวฉ่ำรับการถั่งโถมของฝนร้อยปี ฟ้าคะนองส่งเสียงคำรามต่อเนื่อง เขายืนหลับตาพิงเปลือกไม้ ระดับน้ำจากพื้นขยับสูงท้วมเท้าเปลือย ยืนนิ่งอยู่จนกระทั่งหูสองข้างดับสนิทไปพร้อมกับเสียงลั่นเปรี้ยง
ฝนหยุดแล้วในเช้าวันถัดมา เพื่อนบ้านที่ออกตามหาพบร่างแข็งทื่ออันเขียวคล้ำของเขานอนสงบอยู่ข้างโคนต้นไม้ใหญ่ที่ถูกขวานฟ้าผ่าไปครึ่งซีก
ร่างของพ่อถูกวางลงบนแคร่ใต้ถุนเรือน ไหมน้อยซึ่งตอนนั้นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความตาย เข้าใจว่าพ่อนอนหลับ ครั้นเห็นแม่ร้องไห้โฮและสะอื้นปริ่มขาดใจ เธอผวาเข้าไปกอดแม่ และร้องไห้ตามโดยที่ยังไม่รู้ว่าพ่อเป็นอะไรไป
รอยชื้นผุดขึ้นในดวงตาของไหมน้อยขณะเธอเล่าถึงพ่อ เป็นครั้งแรกที่ผมเอื้อมไปกุมมือเธอไว้และบีบเบาๆ แล้วมือข้างนั้นของเธอก็กุมมือผมไว้จนกระทั่งเราลุกขึ้น ผละห่างจากเสื่อที่นั่งกินส้มตำ เดินเคียงข้างกันไปบนทางเท้า
ไม่ได้ดูหนังรอบบ่ายตามที่ตั้งใจไว้ ผมกับไหมน้อยจึงกลับโรงงานเร็วกว่าครั้งก่อน เธอหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรัง ทั้งของใช้ เสื้อกันหนาว ผ้าห่ม และขนมกล่องซึ่งเตรียมจะส่งกลับไปให้แม่ ผมช่วยเธอหิ้วเพียงบางส่วน ส่งเธอถึงบันไดหน้าตึกแล้ว ผมเดินสวนทางกับพี่แดงซึ่งแกมองผมด้วยสายตาแปลกๆ
ริมบึงน้ำสีคล้ำของเรา คนเทเทียนทั้งสี่นายกำลังช่วยกันก่อกองไฟและนำเขียงมาหั่นเนื้อ พวกเขาได้ลูกหมูมาตัวหนึ่ง ชำแหละเตรียมย่างแกล้มเหล้าเคล้าลมหนาวในค่ำคืนอันดีงาม ถึงไม่ได้สนิทกันมากมายแต่ฐานะเพื่อนร่วมงาน หนึ่งในสี่จึงเอ่ยปากชวน
“เดี๋ยวมากินเหล้าด้วยกัน”
เขาชื่อภูเขียว เป็นคนยิ้มง่ายอัธยาศัยดีที่สุดในกลุ่ม ผมแบ่งรับแบ่งสู้ ยังไม่ทันเข้าบ้าน จ้อยซึ่งเป็นม้าเร็วไปร้านชำก็หิ้วถุงเหล้าและของกินอื่นๆ เดินเลียบป่าหญ้า ได้ระยะพอจะพูดคุยแล้ว จ้อยร้องทัก
“วันนี้กลับเร็วนี่ เดี๋ยวกินเหล้าแกล้มหมูย่างกัน”
ผมเตรียมตัวอาบน้ำขณะที่แดดยังอุ่น แม้น้ำในบึงจะเข้มครามตามสีของดินรายรอบ แต่เย็นเยียบไม่ต่างกับธารกลางป่าลึก ไม่ว่าหน้าแล้งหน้าฝนมันเป็นที่ให้คนงานแต่ละรุ่นได้แหวกว่าย บางครั้งผู้โชคดีก็จับได้ปลาช่อนหลงทางตัวโตซึ่งเดินทางมาเผชิญเคราะห์กรรมสุดท้ายของชีวิต แล้วมันก็ถูกอัญเชิญขึ้นจากน้ำไปสุกเกรียมและส่งกลิ่นหอมกรุ่นอยู่บนปากเตาเหนือถ่ายไฟแดงๆ
ผมนุ่งผ้าขาวม้าออกจากห้องพักเตรียมอาบน้ำ ขณะยืนอยู่ริมตลิ่งเตี้ยๆ ก่อนจะเปลื้องผ้าขาวม้าเหลือเพียงกางเกงในตัวเดียวกระโจนลงไปแหวกว่ายตามที่เคยปฏิบัติ ผมแหงนหน้ามองสูงขึ้นไปด้วยความระแวง สัญชาตญาณที่เตือนให้ผมฉุกคิดและยับยั้งการกระทำอย่างที่เคยชินไม่ผิดหรอก ในกรอบหน้าต่างห้องพักคนงานหญิงบนตึกชั้นสาม ไหมน้อยมองต่ำลงมา
ผมยืนเก้กัง ไม่ทันลดหน้าต่ำลง แรงผลักจากทางด้านหลังส่งร่างผมหล่นกระแทกผิวน้ำ แล้วจมดิ่งลงแบบไม่ทันตั้งตัว เท้ายันพื้นโผล่ขึ้นเหนือน้ำอีกครั้ง จ้อยหัวเราะลั่น และสูงขึ้นไป ไหมน้อยก็ยิ้มขบขันมาจากรอบหน้าต่าง
ผมพาตัวเองขึ้นจากน้ำ นุ่งผ้าขาวม้าเปียกนั่งตัวสั่นเป็นลูกนกอยู่ข้างกองไฟ สบถด่าจ้อยไปสามสี่คำ ถึงไม่แหงนมองสูงขึ้นไปยังหน้าต่าง ผมก็รู้ว่าสายตาคู่หนึ่งคอยจับจ้อง
“มีแฟนมันดีอย่างนี้เอง ไอ้ยา…”
จ้อยพูดกระเซ้าผมอีกครั้งในอีกหลายวันต่อมา เป็นช่วงที่อากาศหนาวห่มคลุมไปทั่วเมืองใหญ่ รุ่งเช้าที่ผมกับจ้อยเดินออกจากบ้านพัก ควันที่พุ่งจากปากจ้อยพร้อมถ้อยคำกวนโมโห เขาหยุดเท้าพลางเลื่อนสายตากวาดมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า
ผมสวมหมวกไหมพรมพร้อมผ้าพันคอถักสีน้ำตาลเข้ม สวมเสื้อกันหนาวทับอีกชั้น ทั้งสามอย่างนี้ไหมน้อยนำมาแขวนไว้ในห้องพร้อมเสื้อผ้าที่เธอนำไปซัก
หมวกและผ้าพันคอ เธอเรียนงานฝีมือเพิ่มเติมจากพี่แดง ก้มหน้าก้มตาถักร้อยคืนแล้วคืนเล่า
“กูบอกแล้ว” จ้อยว่าซ้ำ “มีแฟนดีๆ มันดีอย่างนี้เอง”