– ๓ –
………………
ในห้องสมุดประชาชนที่ผมเคยเทียวเข้าออกหลายครั้ง หนังสือหมวดสารคดีท่องเที่ยวให้ข้อมูลอำเภอบางปลาม้า ทั้งในด้านภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ แต่ไร้ซึ่งข้อมูลที่ผมต้องการ ทุ่งข้าวซึ่งสาวน้อยที่ผมหลงเสน่ห์อยู่ตรงไหน ผมจะเดินทางไปพบเธอได้อย่างไร
ผมเกิดกลางท้องทุ่ง เป็นลูกชาวนาโดยสายเลือด คุ้นเคยกับแสงแดดและลมหนาวอันแล้งแห้งช่วงปลายปี ทนได้กับบาดแผลจากใบข้าวและคมเคียวซึ่งอาจเผลอบาดเนื้อตัวเอง ผมเป่าปี่ซังข้าวได้ไพเราะ และผมก็ร้องเพลงได้ด้วย บางความฝันในวัยเยาว์ ผมเคยคิดหวังจะเป็นนักร้องชื่อดัง อัดแผ่นเสียงมีเพลงเป็นของตัวเอง นอกจากเดินสายไปกับวงดนตรีแล้ว ผู้คนในทั่วทุกมุมของประเทศยังจะมีความสุขกับเพลงที่ผมร้องผ่านวิทยุทรานซิสเตอร์
สุพรรณบุรีได้ชื่อว่าเป็นแหล่งกำเนิดนักเพลง ผมเคยดูวงดนตรีไวพจน์ เพชรสุพรรณ เคยฟังเพลงแหล่ของขวัญจิตร ศรีประจันต์ ได้ยินเพลงลูกทุ่งของสุรพล สมบัติเจริญมาตั้งแต่เด็ก หากผมได้ไปช่วยสาวน้อยเกี่ยวข้าว ผมก็จะร้องเพลงกล่อมเธอให้สนั่นทุ่ง ถึงไม่เคยทำนาอย่างเป็นจริงเป็นจังแต่ผมเกี่ยวข้าวได้ ต่อให้เป็นนาหว่านที่ข้าวทุกต้นล้มระเนระนาด ผมก็เข้าใจศิลปะการตวัดเคียวเกี่ยวกอข้าวที่แนบติดดินขึ้นมา ผมทำได้ และผมสามารถอดทนกับทุกสิ่งแลกกับการได้อยู่ใกล้ๆ เธอ
นอกจากค้นหาข้อมูลอำเภอบางปลาม้า ผมพยายามชวนจ้อยไปบ้านพี่ทุเรียน วันอาทิตย์บรรดาพ่อบ้านรถไฟจะก่อวงเหล้ามาราธอนขึ้น พี่ทุเรียนเองก็ชวน ทว่าจ้อยเข็ดขยาดจากที่เผลอตัวเมาหนักในวันนั้น อาการเมาตกค้างทำให้เขาเกือบเผลอหลับขณะยกกระป๋องเทียนขึ้นเทใส่ถัง เขาบอก…มันอันตรายมากนะมึง ถ้าอยากเหล้าซื้อมากินเองแต่น้อยก็พอ ไปนั่งกินกับผู้ใหญ่จะหนีกลับก่อนวงเลิกก็ทำไม่ได้
ผมไม่กล้าเอ่ยถามพี่ทุเรียนว่าขวัญจะมาเยี่ยมแกบ้างไหม และเมื่อไหร่ ผมยังไม่ได้เป็นอะไรกับเธอนั่นเป็นเหตุผลแรก และนิสัยขี้อายซึ่งติดตัวมาแต่ชาติปางก่อนทำให้ผมไม่กล้าปริปาก
หนังสือนิยายรัก และเพลงเศร้าๆ คอยปลอบประโลม บทสุดท้ายในนิยาย “สงครามชีวิต” ของศรีบูรพา ผมกลายเป็นรพินทรตัวเอกของเรื่องที่ผิดหวังในรัก แล้วก็มีสภาพไม่ต่างอะไรกับนกบาดเจ็บ
เพลงลูกกรุงหวานเศร้าของนักร้องเสียงระทม ชรินทร์ นันทนาคร ผมฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนร้องได้ติดปาก
—แม้มีปีกโผบินได้เหมือนนก
อกจักต้องธนูเจ็บปวดนัก
ฉันจะบินมาตายตรงหน้าตัก
ให้ยอดรักเช็ดเลือดและน้ำตา
ร้องเพลงเศร้าจนตัวเองแทบหลั่งน้ำตาแล้ว ผมก็อดขบขันย้อนแย้งความรู้สึกเบื้องต้นไม่ได้ ใครหรือเป็นยอดรักของผม สาวน้อยแก้มอิ่มซึ่งเห็นหน้าค่าตากันแค่วันเดียว สาส์นรักที่เธอส่งมาพร้อมไส้ในของถั่วฝักยาวตรึงใจจนผมลืมไม่ลงเชียวหรือ หากเธอมีใจกับผมแม้แต่เพียงนิดเดียว เธอต้องเดินทางมาเยี่ยมญาติในบ้านพักเจ้าหน้าที่รถไฟ แล้วส่งข่าวผ่านป้าทุเรียนของเธอให้ผมได้รับรู้
ผมเหมือนคนอกหักก่อนจะมีรักอย่างแท้จริง ลิ้มรสความขมโดยที่ไม่เคยรู้จักความฉ่ำหวาน ขรึมเศร้าอยู่หน้าเตาต้มเทียนพร้อมหนังสือในมือ ไม่สนใจพูดคุยกับใครอื่น แม้แต่เพื่อนร่วมงานอย่างจ้อย ผมเผลอยิ้มในบางครั้งกับภาพความหลังที่ผ่านเลยไป ผมยังเห็นขวัญยิ้มในหัวใจ และแววตาของเธอยังคงฝังอยู่ในความทรงจำ
ข้อความสุดท้ายในนิยาย “ข้างหลังภาพ” ของศรีบูรพาปลอบขวัญให้พลัง หากผมจะรักใครสักคน มันก็เป็นความรักอันยืนยงของผมคนเดียว ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น และความรักจะติดตามผมไปทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่ายามทุกข์ สุข ว้าเหว่ เปลี่ยวเหงา หรืออ่อนล้าจนสิ้นแรง
…ฉันตายโดยปราศจากคนที่รักฉัน แต่ฉันก็ยังอิ่มใจ ว่าฉันมีคนที่ฉันรัก
ย่างเข้าฤดูหนาว หน้าเตายามเช้าเหมือนมีแรงดึงดูด ทั้งผมและจ้อยลากกล่องระดาษแข็งมานั่งแทนเก้าอี้ผิงไออุ่นเราไม่ได้พูดคุยกัน หันหน้าไปคนละทาง จ่อมอยู่กับความคิดและสิ่งที่ตัวเองสนใจ บ่ายที่คนห่อเทียนรายเดือนถูกส่งตัวมาทำงาน ผมไม่ได้ให้ความสนใจ เมื่ออากาศเริ่มอุ่นขึ้น ผมลากกล่องกระดาษไปนั่งอ่านหนังสือริมกำแพง ไม่ว่าหญิงบ้านนอกวัยไหน พวกเธอมักถูกสำนักจัดหางานจับโยนเข้ามาอย่างไม่เต็มใจ ทนทำงานสักสามสี่วันก็หาจะทางหลบหนีไป
เช่นเดียวกับผม จ้อย และคนงานอื่นๆ ที่ซานเซไปกับความหิว เหนื่อย และขอบตาดำคล้ำจากการนอนหลับไม่เต็มอิ่ม แขนสองข้างลายพร้อยด้วยของฝากจากยุงที่ผลัดกันมาดูดเลือด สำนักจัดหางานทั้งย่านหัวลำโพง และสี่แยกบ้านแขกเหมือนใยแมงมุมที่ขึงดักเหยื่อเอาไว้ตลอดทั้งปี แล้วเราก็พลัดหลงเข้าไปติดข่ายใยที่ดักขึงไว้ โชคและเคราะห์ทั้งปวงในวันข้างหน้าไม่มีใครคาดเดาได้
ช่วงคนงานขาดแคลน หรือต้องการงานเร่งด่วนด้านไหน เสี่ยเตี้ยจะให้ลูกน้องไปสั่งคนงานไว้ แล้วคนบ้านนอกคอกนาพเนจรเข้ามาในเมืองก็ไม่อาจเลือกชะตากรรมให้กับตัวเองได้
แม้ไม่สนใจแต่สายตาสังเกตของผมก็จำได้ ทั้งหมดถูกส่งมาห้าคน มานั่งห่อเทียนยังไม่ทันคล่องมือก็หายไปสอง แล้วก็หลบหนีไปอีกคนหนึ่งในวันถัดมา เหลือสองคนที่ยังสู้ทนโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองได้ค่าแรงต่อวันสักกี่มากน้อย
คนร่างสูงใหญ่อายุน่าจะเกือบสามสิบ อีกคนอายุยังน้อย ตัวเล็ก ผอมบาง ผมยาวรุงรัง หน้าเกรียมแดดสองข้างแก้มฝ้าดำเป็นปื้น ทั้งสองทรหดอยู่รอดจนได้รับค่าแรงงวดแรก แล้วสาวใหญ่ก็ล่องหนไปก็เหลือเพียงคนตัวเล็กหน้าเป็นฝ้า
ผมได้ยินพี่แดงเรียกเธอว่าไหมน้อย อาจเพราะความเป็นเด็ก เธอจึงกลายเป็นเบี้ยล่างของคนอยู่ก่อนอย่างพี่แดง ไม่ว่าจะจิกหัวใช้ในเรื่องส่วนตัว ออกไปซื้อของ ซักผ้า กวาดพื้น เธอก็อุทิศตัวรับใช้โดยไม่ปริปากบ่น
ผมยุ่ง หน้าเป็นฝ้า บางวันสวมผ้าถุงสีมอมๆ มานั่งห่อเทียน จ้อยพูดถึงเธอว่าเด็กกะโปโลแบบนี้เห็นทีจะอยู่ได้นาน พี่แดงชอบลูกมือแบบนี้
ช่วงบ่ายผมไปยังห้องเก็บของพร้อมรถเข็น ยังไม่ได้งัดกระสอบขี้ผึ้งออกมาจากซอก เสียงข้าวของหล่นกระจายพร้อมเสียงร้องอย่างตื่นตระหนกก็ดังมาจากอีกด้านหนึ่ง ผมผละจากรถเข็นไปช่วยหยิบกล่องกระดาษที่หล่นลงทับตัวคนอยู่ล่าง นอกจากกล่องที่หล่นทับแล้ว เทียนวันเกิดจำนวนหนึ่งที่เธออุ้มไว้แนบตัวก็ชำรุดเสียหายไปเกือบหมด
สีหน้าเปื้อนฝ้าเผือดซีด ผมบนหัวยุ่งขึ้นเป็นสามเท่า ผมบอก “ลุกขึ้นสิ ช่วยกันเก็บกล่องเข้าที่ ถ้าเสี่ยเข้ามาเห็นตอนนี้ ซวยเลย”
ผมกับไหมน้อยช่วยกันเก็บกล่องเทียนไขและกล่องเปล่ากลับเข้าซอก เหลือเทียนวันเกิดชำรุดที่ยังเกลื่อนอยู่บนพื้น ความเสียหายส่วนนี้หากเสี่ยเตี้ยมาพบเข้า คนทำความผิดจะต้องถูกหักค่าแรงไปเป็นเดือนทีเดียว
“รีบกวาดลงกล่อง” ผมว่าพลางนำกล่องกระดาษเปล่ามารวบเทียนวันเกิดบนพื้นใส่ลงไป
ไม่มีใครมาทำบัญชีไว้ ไม่ว่าเฮียคุง หรือคุณพิชัย ผมเป็นคนอุ้มกล่องเทียนวันเกิดชำรุดไปเทลงรวมกับขี้ผึ้งที่รอการหลอมใหม่ในถังใหญ่ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ตอนเสี่ยเตี้ยเข้ามาตรวจงาน นั่นเป็นหลังจากที่เราเก็บกวาดพื้นคืนสู่ความสะอาดเรียบร้อยแล้วเพียงสิบกว่านาที
ผมหันไปสบตากับไหมน้อยจากระยะไกล เธอผงกหัวยุ่งๆ ส่งยิ้มแฝงความขอบคุณ ผมตอบรับแค่ผงกหัวเบาๆ เป็นเชิงบอกไปว่า ไม่เป็นไรหรอก เราคนบ้านนอกเหมือนกัน
บ่ายอีกวันเธอลื่นไถลหงายเกือบท้องไปบนพื้นซีเมนต์ หย่อมน้ำเทียนจากกระป๋องที่ถูกหิ้วไปยังแท่นเทนั่นเองเป็นต้นเหตุ ตามประสาคนบ้านนอกที่สืบเท้าเดินเร็ว ไม่ระมัดระวัง เท้าป่ายเข้ากับความลื่น ดีที่ผมยืนอยู่ใกล้ เข้าช้อนร่างและประคองเธอได้ทันก่อนหัวจะฟาดพื้น
จ้อยซึ่งเป็นคนช่างสังเกตและชอบเกะกะเรื่องของคนอื่น เขาคงจับตามองจนแน่นใจแล้วว่าไหมน้อยแอบจ้องมองผมหลายครั้ง ปากคำถากถางที่เก็บซ่อนไว้นานเริ้มกลับมาอาละวาด
“ไอ้ยา มึงไม่รู้ตัวเลยหรือว่ามีสาวสนใจมึง”
ผมส่ายหัวที่คลุมด้วยผมยุ่งยาวมากขึ้นกว่าเดือนก่อน และก็งอนปลายจนปิดหูทั้งสองข้าง
“มึงอย่ามาอำ สาวที่ไหน”
จ้อยหัวเราะก๊าก “กูเห็น เขาแอบมองมึงตาเชื่อมทีเดียว มีแฟนกับเขาเสียทีนะไอ้เสือ ลืมสาวบางปลาม้าไปเสียเถิด ไม่มีประโยชน์หรอก”
ผมรู้สึกหูร้อนขึ้นมาทันที แต่ก็ขึงตามองจ้อยเงียบๆ เดินผละจากเขาไป สำหรับเด็กสาววัยสิบเจ็ดหน้าเปื้อนฝ้าไม่ได้อยู่ในความฝันของผม ไม่ว่ายามหลับหรือตื่น ไม่ใช่เพราะเธอบ้านนอก ไม่ได้สวยสง่าเยี่ยงคุณหญิงกีรติ ไม่ได้เฉลียวฉลาดเท่าเพลินนางเอกนิยายเรื่องสงครามชีวิต และไม่ใช่เพราะว่าเธอไม่มีแววที่จะสวยบาดใจเท่านางเอกหนังไทย
สำหรับไหมน้อย เธอก็เหมือนคนไทยอื่นๆ นับแสนนับล้านที่เดินสวนทางผมไป ต่างคนต่างมีชีวิตและเป้าหมายของตัวเอง ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน
ผมพยายามไม่เผลอตัวหันมองไปทางโต๊ะห่อเทียน ขันน็อตความมีวินัยกับตัวเองในเรื่องนี้อย่างเคร่งครัด ถึงกระนั้นลูกน้องจอมวายร้ายก็ไม่วายจับคู่
“ชวนไปดูหนังสิ วันอาทิตย์เขาไม่ได้ออกไปไหนนะมึง”
ผมไม่อยากต่อล้อต่อคำ ไม่ให้ความสำคัญกับการกระเซ้า และไม่เคยมองไหมน้อยในสายตา ผมจึงทำเฉยกับคำแนะนำบ้าๆ ของจ้อย ไม่ปิดปากเงียบก็เดินผละหนีไป
วันอาทิตย์หลังจากที่เราจัดการกับอาหารมื้อเช้า จ้อยเอนตัวมากระซิบข้างหู
“กูนัดไหมน้อยให้มึงแล้วนะ เขาแต่งตัวออกไปยืนรอมึงนานแล้วที่หน้าโรงงาน”
ผมทะลึ่งพรวดลุกยืน ไม่ใช่พร้อมกระโจนไปหน้าโรงงาน ผมกำหมัดสองข้างแน่น อยากชกหน้าจ้อยรัวๆ สักร้อยหมัด หรือไม่ก็บีบคอให้เขาขาดใจตาย ระงับความโกรธพอตั้งสติได้ ผมเดินไปผลักอกเขาอย่างแรง
“ไม่ใช่เรื่องของกูสักหน่อย มึงนัดเอง มึงก็พาเขาไปเที่ยวเองสิ ไม่เกี่ยวกับกู”
ผมไม่ชอบอาบน้ำตอนเช้า แม้แต่วันอาทิตย์ก่อนออกไปเที่ยว ผมแต่งตัวง่ายๆ วันนี้ก็เช่นเดียวกัน ทางออกถนนใหญ่ไปได้สองด้าน จากหน้าโรงงานพึ่งมอเตอร์ไซค์รับจ้าง อีกทางจากบ้านพักเดินฝ่าป่าหญ้าเข้าตรอกไปยังสถานีรถไฟ
หน้าโรงงานมีคนยืนรอผมอยู่นานแล้ว คิดดูก็คล้ายแมงมุมกำลังขึงตาข่ายรอเหยื่อ ผมคิดจะเลี่ยงไปขึ้นรถไฟ ขณะนั่งลงสวมรองเท้าผ้าใบ จ้อยยิ้มเผล่ส่งเสียงกระเซ้า
“ไอ้ผู้ร้ายปากแข็ง ไหนว่าไม่ไปตามนัด”
ผมว่า “กูจะไปทางบางบำหรุ คนที่ยืนรอมึงหน้าโรงงาน มึงนัดแล้วก็ทำหน้าที่ของมึง กูไม่เกี่ยว”
ผมพูดจริงจังและด้วยสีหน้าโกรธจัด จ้อยหน้าซีด
“มึงทำแบบนั้นไม่ได้ เขายืนรอมาเป็นชั่วโมงแล้ว”
“ไม่ใช่เรื่องของกู” ผมพูดและลุกขึ้น
จ้อยกระโดดเข้ามารั้งแขนผมไว้ “มึงไปบอกเขาหน่อย ขอโทษเขาแทนกูด้วย กูโกหกเองว่า มึงนัดดูหนัง เพราะกูอยากให้มึงมีแฟนกับเขาสักที มึงจะได้มีความสุข และผู้หญิงคนนี้ก็ชอบมึงมาก”
ผมสลัดมือที่รั้งแขน ชี้หน้าจ้อยและพูด “มึงทำอะไรลงไปต้องรับผิดชอบ ทีหน้าทีหลังอย่าไปคิดอะไรแทนคนอื่น มึงไปบอกเขาเลย กูไม่ได้ชอบเขา”
ผมไม่ได้วางแผนล่วงหน้า จุดหมายปลายทางคงไม่แคล้วเหมือนกับอาทิตย์ก่อนๆ ไม่ห้องสมุดประชาชนก็โรงหนังชั้นสอง แต่ตอนนี้ ผมแค่ต้องการไปจากเวรกรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อ หรือเอาตัวไปรับผิดชอบในเรื่องที่ผมไม่ได้มีหน้าที่ บอกตัวเองว่า ผมไม่มีอะไรผิด ผมไม่ได้นัดหมายกับใคร ฉะนั้นจึงไม่มีใครบังอาจตำหนิผมในเรื่องนี้ได้
ย่ำผ่านป่าหญ้าและทางเดินที่คดโค้งเลียบริมบึงน้ำเน่า ทะลุถึงซอยหน้าโรงงาน ก่อนจะข้ามไปยังปากตรอกอันเชื่อมถึงทางรถไฟ ผมอดมองไปที่หน้าโรงงานไม่ได้ จ้อยไม่ได้โกหก ไหมน้อยยืนรออยู่หน้าประตูทางเข้า เธอสวมกางเกงยีนส์ขายาว เสื้อยืดสีฟ้าสด สะพายกระเป๋าใบเล็กๆ แม้มองจากระยะไกล แต่ผมสามารถเดาได้ว่าเธอคงแต่งหน้าทางปากมาเต็มพิกัด
เธอหวังใจเต็มเปี่ยมว่าผมจะพาไปเที่ยว หรือว่า…เธอนัดกับคนอื่น แต่จ้อยแกล้งผม
ไม่ๆ จ้อยหาเรื่องเกะกะคนอื่นไปตามความเชื่อของตัวเอง ดูจากที่เขาโผเข้ามารั้งแขน และสีหน้าเผือดซีดด้วยความกังวลตอนผมผละจากมา
เป็นวันแดดจ้า ยิ่งดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดแผดแรงที่สาดกระทบกำแพงซีเมนต์ของโรงงานยิ่งแผ่ความร้อนอบอ้าว ไหมน้อยยืนอยู่ตรงนั้น ไม่หลบยอมเข้าร่ม และไม่ยอมกลับเข้าบ้านพักเลิกล้มการรอคอย
เธอคงยังไม่รู้ตัวว่าการรอคอยของเธอไม่มีวันที่จะจบสิ้นลง
และเธอก็ไม่มีทางรู้ว่าการนัดหมายไม่มีขึ้นจริง
เป็นหน้าที่ของจ้อยต้องออกมาบอกเธอตามจริง…
จ้อยไม่ออกมาหรอก…ไม่กล้าออกมา เพราะไม่อยากให้คนอื่นจับได้ว่าเขาโกหก
ถ้าจ้อยไม่ออกมา ผมจะต้องทำอย่างไร
รอดูไปก่อน เดี๋ยวค่อยตัดสินใจ
พูดความจริงไม่ยากหรอก แค่เดินไปถามว่าจะไปไหน รอใคร ถ้าเธอบอกว่าออกมายืนรอผมตามนัด ผมก็บอกไปตามจริงว่าไอ้จ้อยโกหก มันหาเรื่องให้คนอื่นเดือดร้อน กลับเข้าบ้านไปซะ…
รอดูอีกหน่อย ปล่อยให้แดดเผาเธอต่อไปอีกสักยี่สิบนาที…