– ๑ –
………………

กรุงเทพฯ เหมือนกลืนผมลงท้องเช่นเดียวกับเหยื่อมนุษย์จากทุกสารทิศซึ่งพลัดหลงเข้ามา อุทรกว้างใหญ่และซับซ้อนขังผมไว้ในความสับสน หวาดกลัว และไม่เข้าใจต่อหลายสิ่งหลายอย่างที่ประกอบกันขึ้นเป็นเมือง ไม่เพียงอาคารบ้านเรือน ถนน ตรอก ซอย เสาไฟฟ้า หอสูง ถังขยะ ยวดยานหลากรูปลักษณ์ รูปปั้น อนุสาวรีย์ ลำคลอง แม่น้ำ สะพาน หมา แมว หรือนกตามซอกตึกสูงและที่จับเกาะเหงาซึมอยู่ตามเส้นสายไฟ

เมืองกว้างใหญ่กลืนกินสิ่งละอันพันละน้อยไว้ในท้อง ต้องใช้เวลาเรียนรู้อีกนานแสนนานกับแต่ละอย่างเพราะแม้แต่ผู้คนเผ่าพันธุ์เดียวกันยังยากยิ่งจะทำความเข้าใจ

บางพลัดยืนยันเขตแดนของมันกับผมด้วยป้ายสาขาของธนาคาร ขณะบางบำหรุเป็นป้ายสถานีรถไฟเล็กๆ ที่ช่วยขนานนาม ป้ายหน้าถนน มุมตรอกและซอยเปลี่ยว รวมทั้งหน้าอาคารสถานที่ต่างๆ ช่วยไขความกระจ่างบางด้านของมุมเมืองย่านนี้ให้ผมค่อยๆ เรียนรู้

วันหยุดที่แสนเปลี่ยวเหงา ผมท่องไปตามถนนแปลกหน้าอันเป็นเสมือนลำไส้น้อยใหญ่ของเมือง โหนรถประจำทางที่แน่นเยียด เบียดเสียดผู้คนตามแหล่งการค้า ค่อยๆ ค้นพบความรื่นรมย์จากสถานที่บางแห่งซึ่งดูเป็นมิตรทั้งโรงหนังชั้นสองร้านหนังสือ ห้องสมุด ส่วนหย่อมริมแม่น้ำ และแหล่งค้าของเก่าให้เดินดูข้าวของแปลกตา

ย่างเข้าขวบปีที่สองแล้วที่ผมเข้ามาเป็นเหยื่อชิ้นเล็กๆ ของเมืองใหญ่ประสบการณ์กับที่ต้องเอาตัวรอดจากทั้งความหิวและซวนเซหาที่ซุกหัวนอน สอนผมให้ทำความเข้าใจกับเมืองในแต่ละด้าน ผจญงานตั้งแต่ก่อนฟ้าสางไปจนค่อนคืนในร้านอาหาร และเปื้อนเหงื่อตลอดวันอันยาวนานกับโรงงานเล็กๆ อีกสามสี่แห่ง นั่นช่วยให้ผมเรียนรู้จิตใจมนุษย์ในด้านมืดได้ระดับประมาณประถมต้น เด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีอย่างผมยังเล็กกระจ้อยกว่าเมืองไม่รู้กี่เท่า ต้องเรียนรู้อะไรอีกมากกว่าจะทำความเข้าใจกับผู้คนและความเป็นเมืองได้กระจ่าง

สำนักงานเถื่อนย่านหัวลำโพงส่งตัวผมมาทำงานกับโรงเทียนไข ว่ากันตามจริงก็เหมือนจับโยนเข้ามารวมกับคนงานอื่นๆ ที่ถูกส่งตัวมาก่อนบางคนจากไปในเวลาอันสั้น และน้อยรายนักที่จะยืนหยัดอยู่กับงานที่ไม่สามารถคาดเดาอนาคต

โรงงานในรั้วกำแพงซีเมนต์สูงฝังตัวอยู่เกือบท้ายซอยลึก พ่วงด้วยตรอกเล็ก ๆ ที่เชื่อมไปยังสถานีรถไฟและถนนสายหลักอื่นๆ ภายในกำแพงแยกเป็นสามส่วน ส่วนแรกเป็นถนนและสวนหย่อมโล่ง ถัดมาเป็นตึกใหญ่ซึ่งชั้นล่างด้านปีกขวาสภาพคล้ายโกดังเก็บของ ทะลุจากส่วนนี้ก็ลานซีเมนต์อันเป็นโรงงานเทียนไขซึ่งอวลไปด้วยอายกลิ่นของการทำงาน

ผมรูปร่างผอมบางเหมือนไผ่ลำยาวที่พร้อมจะหักกลางได้ทุกเมื่อ วันแรกที่ถูกโยนเข้ามาสู่ลานซีเมนต์กว้าง ไม่มีตำแหน่งงานรองรับ ความรู้เกี่ยวกับเทียนไขไม่มีฝังหัวแม้แต่น้อย นอกจากเคยจุดบูชาพระ และอาศัยแสงสว่างอ่านหนังสือในวันไฟฟ้าดับ

ไม่มีหัวหน้างานคอยดูแลหรือมอบหมายหน้าที่ ผมคว้างอยู่กับความว่างเปล่า จ้องมองดูพนักงานหญิงในแผนกเข้าห่อ และคนงานชายที่ผลัดกันยกกระป๋องน้ำเทียนไปเทลงตามแท่น

มุมด้านขวาติดกับกำแพงคอนกรีตชั้นใน ชายอ้วนวัยต้นสี่สิบง่วนอยู่กับกระสอบขี้ผึ้ง เด็กหนุ่มร่างเตี้ยอีกคนคอยเป็นผู้ช่วย ทั้งเติมฟืนลงไปในปากเตา และถ่ายน้ำเทียนจากกระทะไปยังถังรอ ถัดจากหน้าเตามาไม่ไกล ชายอ้วนอีกรายนั่งใช้มีดปาดเทียนพร้อมร่างเปลือยท่อนบนที่อาบโลมด้วยเม็ดเหงื่อ

ไม่มีที่ให้นั่ง เช่นเดียวกับตำแหน่งแห่งหนของงาน ผมยืนคว้างอยู่จนกระทั่งเด็กชายวัยประมาณหกขวบควบจักรยานสามล้อเล็กๆ ลิ่วเข้ามาในส่วนของโรงงาน แล้วในเสี้ยวนาที ชายเตี้ยอายุประมาณห้าสิบเศษก็โผล่หน้าตามเข้ามา

ยืนเต็มที่แล้วแกสูงประมาณไหล่ของผมเท่านั้นเอง ทว่ารังสีแห่งอำนาจเหมือนแผ่ขยายไปยังทุกคนงานทุกแผนกปล่อยให้ลูกชายตัวเล็กควบจักรยานไปป่วนโต๊ะห่อเทียน ชายเตี้ยขึงตามองไปรอบๆ ทำท่าจะขยับเท้าไปตรวจงานในส่วนต่างๆ ครั้นเห็นผมยืนคว้าง แกกวักมือเรียก “มาใหม่ใช่ไหมเอ็ง ทำอะไรยังไม่เป็นสิท่า อย่าเอาแต่ยืนเฉยแล้วหายใจทิ้งเปล่าๆ เงินเดือนที่ข้าจ่ายให้เอ็งไม่ใช่อากาศ”

ผมลงมือทำงานอย่างเป็นรูปธรรมครั้งแรก เครื่องมือของช่างปูนในงานก่อสร้างที่เรียกว่าเกรียงวางอยู่ข้างๆ คนตัดเทียนถูกหยิบขึ้นมา ผมพามันคู้คลานไปตามพื้นซีเมนต์ แซะขี้ผึ้งที่หล่นติดอยู่ตามพื้นลงกระบะพลาสติก ไม่เพียงวันที่ชายเตี้ยผู้เป็นเจ้านายเป็นมาตรวจงาน รุ่งเช้าของวันถัดมา และอีกหลายวันหลังจากนั้น ผมก็เริ่มต้นงานแบบนี้ไปตั้งแต่เช้าจรดบ่าย พื้นซีเมนต์ที่ใครต่อใครย่ำผ่านไปมา ทั้งคนเทเทียน คนคุมเตา และหญิงห่อเทียนรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่ลากเท้าจากไป มันถูกพอกไว้ด้วยมวลขี้ผึ้งหลายชั้น ผมเริ่มต้นจากหน้าเตา แซะพื้นรายรอบคนตัดเทียนร่างอ้วนฉุ รุกคืบจนมุดเข้าไปยังใต้แท่นเทเทียน

งานที่ดูเหมือนไร้ค่า ทุกครั้งที่โงหัวขึ้นจากพื้น หันมองไปทางกลุ่มผู้หญิงที่กำลังง่วนอยู่กับเทียนแท่งเล็กๆ และถุงพลาสติก ผมอายจนหน้าแดงก่ำ แต่ดูเหมือนคนอื่นๆ ไม่มีใครให้ความสนใจงานที่ผมกำลังทำ หรือแม้แต่ตัวผมเองก็เหมือนไม่มีความสลักสำคัญพอที่ใครจะชายตาเหลียวมอง

นอกจากใช้เกรียงแซะพื้น ผมยกข้าวของช่วยคนอื่นๆ บ้าง ยิ่งในวันที่ต้องลำเลียงเทียนไขบรรจุกล่องส่งขึ้นรถตู้ ผมดูจะมีความสำคัญขึ้นมาบ้าง และบางคราวผมก็ยังช่วยยกกระป๋องน้ำเทียนที่ถูกแบ่งจากกระทะต้มไปยังถังรอ

เฮียเคี้ยงคนคุมเตาเป็นคนงานรุ่นพี่ซึ่งผมได้พูดคุยเป็นคนแรก แกฉวยโอกาสวานผมช่วยยกกระสอบขี้ผึ้ง บางครั้งก็ช่วยเติมฟืนโยนเข้าปากเตา กระป๋องน้ำเทียนที่ผ่านการต้มจนหลอมละลายไม่หนักเกินแรงลำแขนยาวๆ ของผมจะยกเทลงถังรอ รูปร่างสูงโย่งเป็นข้อได้เปรียบที่ไม่ต้องใช้ตัวช่วยอื่นตะกายให้ถึงปากถัง ผมทำได้ดีกว่าคนเก่าที่เป็นลูกมือเฮียเคี้ยง ผ่านไปสัปดาห์เศษ ผมเหมือนผู้ช่วยอีกคนของแก ถึงกระนั้น ยามว่างงาน ผมก็ยังต้องใช้เกรียงแซะพื้นกอบเศษขี้ผึ้งตกลงกระบะ

รับค่าแรงครึ่งเดือนแรกสองร้อยบาท เงินเดือนผมในอัตราเด็กฝึกงานดูเหมือนจะน้อยนิด แบ่งครึ่งจากสี่ร้อยบาทในรอบสิบห้าวัน เม็ดผลจากแรงงานสร้างสีสันและความมีชีวิตชีวาแก่วันหยุด ผมพาตัวเองท่องไปตามลำไส้เล็กๆ ของเมือง แวะร้านหนังสือ เข้าไปหลับในโรงหนัง ซมซานกลับโรงงานตอนย่ำค่ำ

บ้านพักสับปะรังเคนอกโรงงาน สวัสดิการที่เราถูกโยนให้รับไว้ยืนโทรมอยู่กลางดงหญ้า ล้อมด้วยบึงน้ำครำขุ่นคราม บึงที่แถมพกมากับสภาพแวดล้อมนี้เองที่เราใช้ชำระร่างกายโทรมเหงื่อในแต่ละวัน ยามเช้าใช้ล้างหน้า น้ำประปาใสสะอาดเราจะใช้กระป๋องรองมาจากก๊อกในโรงงานอีกทีในส่วนนี้เราใช้ดื่มกินและแปรงฟันอย่างประหยัด

นอกจากผมและคนเทเทียนอีกสี่นายแล้ว ยังมีเด็กหน้าเตา (ผู้ช่วยเฮียเคี้ยง) คนตัดเทียนตัวอ้วนใหญ่วัยสามสิบปลายๆ (น้องชายเฮียเคี้ยง) ผมและคนงานอื่นๆ เรียกแกว่าเฮียคัง บ้านไม้สองชั้นสำหรับคนงานชายทั้งเจ็ดไม่ได้แออัด ผมพักห้องเดียวกับเด็กหน้าเตา เฮียคังนอนชั้นล่าง ส่วนคนเทเทียนทั้งสี่ซึ่งมาจากถิ่นเพเดียวกันพักห้องใหญ่บนชั้นสอง

ตึกใหญ่ในโรงงาน ห้องกว้างบนชั้นสาม พี่แดงแม่บ้านกับหญิงคนห่อเทียนรายเดือนสามสี่คนใช้อาศัยเป็นนิวาสสถาน เป็นที่อิจฉาของคนงานชายอย่างเรา ได้อยู่คฤหาสน์ใหญ่ อาบน้ำประปา แถมมีกำแพงสูงล้อมรอบ

คนงานชายมักจะถอดเสื้อผ้าเหลือเพียงกางเกงในตัวเดียวก่อนหย่อนตัวลงไปอาบน้ำในบึง ไม่ต้องคอยหวาดระแวงสายตาคนงานหญิงบนตึกสูง หน้าต่างตึกชั้นสามเหมือนปิดตายไปแล้วทุกบาน สำหรับคนงานชาย ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหน้าต่างตึก ถูกตอกตรึงเอาไว้ด้วยข้อห้าม กฎระเบียบ หรือว่ามันถูกออกแบบมาให้เปิดไม่ได้ตั้งแต่แรก

เถ้าแก่หรือที่ใครต่อใครแอบขนานนามลับหลังว่าเสี่ยเตี้ยแวะมาจ่ายค่าแรงด้วยตัวเองเดือนละสองครั้ง คุณพิชัยคนแต่งเทียนคอยเป็นผู้ช่วยทำบัญชี ครั้งแรกที่ผมเข้าไปรับค่าแรงหลังคนอื่นๆ เสี่ยเตี้ยเหมือนจำผมไม่ได้ด้วยซ้ำ แกถามว่าผมทำหน้าที่อะไร เข้ามาทำงานตั้งแต่เมื่อไหร่

เป็นเรื่องยากที่จะระบุตำแหน่งงานของตัวเอง ครั้นจะตอบไปว่าคนแซะพื้น งานแบบนี้ก็ไม่ใช่หน้าที่ซึ่งควรได้รับเงินเดือน ตอนหลังผมวิ่งช่วยใครต่อใครไปเสียทั้งหมด ทั้งขนของ ย้ายกล่องเทียนในโกดังช่วยงานหน้าเตา เทเทียนเป็นบางครั้ง บางทีก็ออกไปซื้อข้าวและขนมให้คนงานหญิง

ผมอ้ำอึ้งเหมือนยอมจำนนกับคำถาม โชคเข้าข้างทันเวลาที่เฮียเคี้ยงโผล่หน้าเข้ามาพอดี

“ไอ้นี่มันช่วยหน้าเตา”

คำตอบช่วยเหลือมาทันเวลาของเฮียเคี้ยงทำเอาผมเผลอถอนหายใจ เสี่ยเตี้ยผงกหัวบนคอสั้นๆ ยื่นแบงก์ร้อยให้ผมสองใบ ว่ากันตามตรงในนาทีนั้น แกไม่เห็นผมอยู่ในสายตา คนงานปลายแถวอย่างผมไม่มีความสลักสำคัญอะไร ในสายตาคนงานอื่นๆ ก็ไม่ต่างกัน ผมยังไม่มีอนาคตร่วมกับโรงงานแห่งนี้ ไม่ต่างอะไรกับขี้ผึ้งหลอมเหลวที่หยดลงพื้น ไม่มีโอกาสถูกเทลงในเบ้าหลอมเป็นแท่งเทียนที่สวยงามให้ใครนำไปจุดบูชาพระ

ผ่านไปเกือบสองเดือน รับเงินจากมือเสี่ยเตี้ยเป็นครั้งที่สี่ คราวนี้แกจำผมได้แล้ว คนหน้าเตาเจ้าเก่าลาออกไปไล่ล่าความฝันอื่นตามประสาแรงงานพเนจร ผมกระเถิบเข้าแทนที่อย่างเต็มภาคภูมิ หากถูกใครถาม ผมก็มีตำแหน่งแห่งหนชัดเจน พร้อมยืดอกตอบได้เต็มภาคภูมิโดยไม่ลังเล ทว่า…ยามที่ผมมีคำตอบ เสี่ยเตี้ยกลับไม่ได้เอ่ยถาม ยื่นเงินให้แล้วแกบอกว่า “เอ็งช่วยไอ้เคี้ยงไป ทำหน้าที่ให้ดี เดือนหน้าเถ้าแก่จะขึ้นเงินเดือนให้อีกเป็นห้าร้อยบาท”

เด็กหน้าเตาตื่นเช้าและเข้าโรงงานก่อนทุกคน บางเช้าผมเขย่าประตูเรียกยามชราที่นั่งเหม่ออยู่ในป้อม แกจะลุกเดินมาเปิดประตูกำแพง แล้วถือกุญแจเดินนำหน้าผมไปไขประตูเหล็กทางเข้าตึกชั้นล่าง ผมเดียวดายกับห้องโถงกว้างที่ยังกรุ่นด้วยกลิ่นขี้ผึ้ง ไก่บ้านส่งเสียงขันข้ามตรอกกระทบหูขณะผมติดไฟที่ปากเตา ตักน้ำในกระทะนำไปเทลงท่อ เปิดกระสอบขี้ผึ้งเทใส่กระทะทั้งสองใบ ไฟหน้าเตาติดได้ที่แล้ว ผมเติมฟืนเข้าไปทีละท่อน ค่อยๆ ไล่ติดไฟและเติมฟืนลงในเตาใต้ถังรอ แสงแดดจากด้านนอกส่องกระทบหลังคากระจกใสทะลุลงสู่พื้นซีเมนต์ แล้วเฮียเคี้ยงและคนงานแผนกอื่นๆ ค่อยทยอยกันมา ผมเตรียมตัวไปอาบน้ำและกินมื้อเช้าร่วมกับเพื่อนคนงาน

ผมเรียนรู้การเลือกขี้ผึ้งในกระสอบที่ผูกเชือกฟางต่างสีแยกประเภทไว้ ปริมาณสีที่เติมลงในแต่ละถังเทียน วิธีทำเทียนน้ำมนต์ เทียนวันเกิด รวมไปถึงการบริหารเตาต้มในแต่ละวัน จับจังหวะอย่างไรให้เทียนในกระทะแต่ละถังรอหมดสิ้นในเวลาไม่เกินหนึ่งทุ่ม หรือจะให้ดีเป็นที่ถูกใจของแผนกเทเทียนก็ไม่เกินหกโมงเย็น นั่นคือเวลาเลิกงาน ในวันที่ต้องแถมแรงงานให้เถ้าแก่ไปอีกชั่วโมงก็ไม่มีใครได้ค่าล่วงเวลา เด็กหน้าเตาอย่างผมเริ่มงานก่อนใครเพื่อน บางวันก็เลิกงานทีหลังคนอื่น

ผมเก่งกาจสามารถจนสามารถคุมเตาได้ด้วยตัวเองแล้วตอนที่เฮียเคี้ยงเข้าโรงพยาบาล มอเตอร์ไซค์คันโปรดพาแกแหกโค้งชนต้นไม้แล้วทะยานลงคลอง หัวกระแทกเข้ากับตอไม้ใต้น้ำซ้ำอีก ขาขวาและซี่โครงหักไปอีกแถบ บาดเจ็บสาหัสต้องพักยาวไปหลายเดือน

ผมเลื่อนตำแหน่งโดยอัตโนมัติ เด็กใหม่ซึ่งอายุมากกว่าผมสองปีถูกส่งมาเป็นผู้ช่วย ข้อจำกัดของรูปร่างที่ค่อนข้างเตี้ย เขาต้องหาวิธียกกระป๋องน้ำเทียนให้ถึงปากถัง แรกเขาใช้ลังไม้ ต่อมาก็ลากเอาแผ่นกระเบื้องมาพะเนินกันไว้หน้าถัง

ผมสอนงานลูกน้องที่อายุมากกว่า ในความเป็นลูกพี่ ผมฉวยโอกาสเรียกเขาว่าไอ้จ้อย สนิทกันมากขึ้นก็เรียกกูมึงเหมือนเพื่อนร่วมวัย กินนอนด้วยกัน และเป็นผมเองที่บอกตำแหน่งแห่งหนของไอ้จ้อยในวันรับเงินเดือนงวดแรก

“ผู้ช่วยผมครับเถ้าแก่ เด็กหน้าเตา”

เสี่ยเตี้ยไม่ได้มองผมผ่านๆ เหมือนเมื่อสามสี่เดือนก่อน เงินเดือนนอกจากขยับขึ้นเป็นเก้าร้อยแล้ว ธนบัตรยังถูกบรรจุซองอย่างเป็นระเบียบ เป็นคนงานระดับสำคัญน้องๆ คุณพิชัย และเฮียคัง ก้าวขึ้นกินตำแหน่งเดิมของเฮียเคี้ยงได้อย่างเต็มภาคภูมิ

บทพิสูจน์แสนสาหัสของช่างคุมเตาก็ช่วงก่อนเข้าพรรษา ไม่เพียงเทียนน้ำมนต์ เทียนไขส่องสว่าง และเทียนสีผึ้งตามปกติ หากพ่วงด้วยเทียนแท่งใหญ่ซึ่งนำไปสลักลายตกแต่งตามยอดสั่ง ตื่นเช้าก่อนไก่ส่งเสียงขัน นอนหลังเที่ยงคืน เป็นช่วงที่คนงานรู้จักทักทายค่าจ้างล่วงเวลา คนงานห่อเทียนยังได้กลับบ้านตามปกติช่วงเย็น ขณะฝ่ายผลิตยังโรมรันกับงานถึงสี่ห้าทุ่ม

ผมกับจ้อยแทบเดินขาลาก เส้นผมบนหัวแข็งเหมือนฉาบด้วยขี้ผึ้ง น้ำเทียนจากกระทะถ่ายไปยังถังรอเพิ่มขึ้นจากหกเป็นแปด สองถังที่เพิ่มขึ้นมาสำหรับหล่อเทียนพรรษาแท่งมหึมา

รูปร่างผอมโย่งของผมดูล่ำขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย เส้นผมหยักศกยิ่งปล่อยยาวยิ่งงอนและงอ บางวันผมถอดเสื้อยืนร่างโทรมเหงื่อ พี่แดงแม่ครัวที่เดินผ่านมาหัวเราะ แกเรียกผม ไอ้ขี้ก้างหัวยุ่ง

วันรับเงินเดือน เสี่ยเตี้ยพูดกับผมเสียงนุ่มนวล ช่วงนี้เหนื่อยกันหน่อยนะช่าง

รับทั้งเงินเดือนและค่าล่วงเวลา พ่วงด้วยคำชมของเถ้าแก่ “ทำงานกันดีมาก เดือนหน้าขึ้นให้อีกร้อยหนึ่งเป็นพันถ้วนนะ”

เงินเดือนหัวหน้าเตาพันถ้วน ส่วนจ้อยเด็กหน้าเตายังห้าร้อยบาท ผมเดินยืดด้วยความภาคภูมิใจ ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนผมยกระดับถีบตัวเองขึ้นเป็นช่าง สลักสำคัญจนเถ้าแก่ต้องเอาอกเอาใจ คุณพิชัยเคยบอกว่าเถ้าแก่โชคดีเสียเฮียเคี้ยงไป ได้คนหนุ่มมาคุมเตาทันเวลา ไม่อย่างนั้น ช่วงเข้าพรรษาจะไม่มีเทียนส่งลูกค้า

เด็กหนุ่มวัยสิบแปด หากจะเอาดีกับโรงงานเทียนไข อนาคตน่าจะมั่นคงระดับหนึ่ง ดูเหมือนสายน้ำของเมืองใหญ่พัดพาผมมาเกยฝั่งที่ดีงาม บางช่วงเวลาผมเผลอลืมที่จะตั้งคำถามกับตัวเองว่าพึงพอใจแค่นี้ หรือยังคิดจะเสี่ยงดวงก้าวไปข้างหน้าสู่จุดหมายในฝัน

 

เทียนไขทุกแท่นแข็งตัวเร็วกับอากาศชื้นเย็นของฤดูฝน ไม่ติดขัดสร้างปัญหาให้กับคนงานทั้งสี่นายในแผนกเทเทียน รวมทั้งเตาหลอมขี้ผึ้งอันเป็นต้นทาง ผ่องถ่ายจากกระทะสู่ถังรอซึ่งลดลงเหลือหกถังเท่าเดิม เติมสีลงไป ใส่ฟืนเลี้ยงความร้อนไว้ เทียนแต่ละถังค่อยๆ พร่องลง และเหลือน้อยเมื่อใกล้ค่ำ ทุกแผนกเลิกงานได้ปกติโดยไม่ต้องแจกจ่ายเหงื่อ ส่งกำไรพ่วงแถมให้เถ้าแก่มากเกินไป

ช่วงเข้าพรรษามหกรรมวิบากแห่งการหล่อเทียนใหญ่ผ่านเลยไป ผมกับจ้อยมีเวลาเดินเล่นไปตามริมทางรถไฟ ยืนจ้องสาวๆ โรงงานดอกไม้พลาสติกชักแถวลงจากตู้รถไฟที่สถานีบางบำหรุ วันหยุดสองอาทิตย์ต่อเดือนหวนคืนกลับมา ผมใช้เวลาไปนอนหลับในโรงหนังชั้นสอง ทยอยซื้อหนังสือกลับมาอ่านในห้อง นานๆ จ้อยจะหยิบไปเปิดดู แค่เบิกตาจ้องบางเล่มที่มีรูปแล้วก็วางลง นานๆ จะย่นหัวคิ้วมาทางผมแล้วถามผมว่า

“มึงอ่านอะไร  กูไม่เห็นรู้เรื่อง”

ผมเข้ากรุงเทพฯ หวังจะเรียนต่อในระดับมัธยมปลาย จากนั้นก็เข้ามหาวิทยาลัย จบออกมาทำงานเป็นหนุ่มหล่อในเมืองใหญ่ ยกระดับตัวเองไปกับสายงานที่ทำ มั่นคงกับอนาคตที่เหมือนไม้ใหญ่หยั่งรากลึกพร้อมสยายกิ่งก้าน

ความฝันยังเดินทางมาไม่ถึง และผมก็พาเท้าสองข้างเฉห่างออกไปจากจุดที่หมาย เมืองไม่เหมือนภาพฝันที่ผมเคยวาดไว้ ไม่ได้มีเพียงด้านสวยงามเปี่ยมหวัง หากซ่อนแฝงไว้ทั้งความอำมหิต และแรงต้านที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

ผมตะลอนไปกับชีวิตที่เหมือนเรือต้องมรสุมจนข้ามขวบปี ครั้นปักหลักได้ผมก็เริ่มคิดถึงสิ่งที่เคยหวัง และหาทางเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

ซื้อหนังสือมาอ่าน สะสมทุนรอนที่จะนำพาตัวเองไปสู่จุดเริ่มต้นอย่างเป็นจริงเป็นจัง ยามเหงาเขียนบทรำพึงรำพัน เป็นทั้งความเรียง กลอนเปล่า และพยายามแปลภาษาอังกฤษจากเนื้อเพลง

จ้อยชวนผมไปเที่ยวในวันหยุด คนแผนกเทเทียนก็เคยเอ่ยชวนร่วมทาง จนกระทั่งพวกเขาสัมผัสได้ถึงความแปลกแยกในตัวผมต่างก็ล่าถอยไป จ้อยสนิทกับคนเทเทียนทั้งสี่ แม้จะนอนห้องเดียวกับผม ทำงานเคียงข้าง สนิทสนมเหมือนเพื่อน แต่แท้จริงแล้ว เราไม่เคยเข้าใจกันและกันอย่างลึกซึ้ง

หนุ่มวัยยี่สิบสนใจหญิงสาว หลายครั้งจ้อยชวนผมไปดักสาวโรงงานอีกซอยหนึ่ง และที่ริมทางรถไฟ ผมเคยตามเขาไปเพียงสองครั้ง ขณะดวงตาเบิกกว้างของจ้อยเปี่ยมด้วยประกายและไฟปรารถนา ผมยืนเฉยเมยเหมือนไร้ชีวิตจิตใจ

“มึงไม่ชอบใครเลยหรือไง” จ้อยถาม

ผมส่ายหน้าช้าๆ พลางถอนหายใจ นึกถึงหน้าที่การงาน ความยากจน และอนาคตที่ไร้หลักประกัน

จ้อยออกไปเที่ยวกับกลุ่มคนเทเทียน สุดท้ายเขาก็ไม่เอ่ยปากชวนผมอีก ไม่ว่าจะไปดูหนังในวันหยุด หรือยกโขยงไปดักสาวโรงงาน

“ปล่อยไอ้แก่ไว้เฝ้าบ้าน” จ้อยยิ้มเยาะขณะพาพรรคพวกผละจากไป

หนึ่งในกลุ่มคนเทเทียนหันกลับมามองผมยิ้มๆ คล้ายจะบอกว่า

“ไอ้นี่มันยังเด็กเกินไปต่างหากเล่า”


ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่