– ๑๓ –
………………
จ้อยผละจากเตาไปยังแทงค์น้ำเย็นหน้าห้องคุณพิชัย หายไปนานจนผมคิดว่าเขาเข้าไปคุยกับนักออกแบบเทียนไข จ้อยไม่ได้เข้าไปขอความรู้เรื่องแต่งเทียนอันพิสดาร หรือความลึกล้ำแห่งลายไทยซึ่งคนอย่างเขาไม่เคยรู้จักทั้งศาสตร์และศิลป์ เขาชอบคุยเรื่องเพลงและคารมที่จะใช้จีบสาว จากนั้นก็ฉวยโอกาสดูการบังคับมือของคุณพิชัย ทั้งการแกะสลักลายเทียน ลากปากกาเขียนแบบ เขาอยากเขียนจดหมายลายมือสวยๆ ส่งไปจีบสาว
มือเรียวยาวของคุณพิชัยมั่นคง ไม่ว่าในยามแต่งเทียนหรือเขียนอะไรลงบนสมุด ตัวอักษรเบียดชิดกันอย่างเป็นระเบียบ ทิ้งระยะห่างเท่ากันเหมือนมีบรรทัดวิเศษในใจ นั่นเป็นความฝันซึ่งไม่มีวันเป็นจริงได้ของจ้อย ทุกครั้งที่เขาวกกลับมาสำรวจลายมือไก่เขี่ยของตัวเอง เสียงบ่นดังๆ ตามมา ทำไงจะลายมือสวยสักเสี้ยวหนึ่งของคุณพิชัย
ผมยกกระป๋องน้ำเทียนเทลงในถังแยกแทนเขา ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง จ้อยยิ้มร่ามาพร้อมจดหมายในมือ ยักไหล่และซอยเท้าเหมือนจะเต้นบั๊ม เขาอวดจดหมายที่สาวๆ ตอบกลับมาสองฉบับ อีกซองสีน้ำตาลเขาแยกไว้
“มีจดหมายถึงไหมน้อยด้วยนะมึง” เขาพูดแล้วยื่นส่งให้ผม “กูเห็นเข้าเลยหยิบมาให้”
ผมรับไว้ก้มอ่านหน้าซอง ไม่ใช่จดหมายปกติ เป็นโทรเลขซึ่งผมไม่สนใจตราประทับ หรือแม้แต่เนื้อหาข้างใน ผมส่งคืนจ้อยและบอกเขานำไปให้ไหมน้อย
ในชั่วเพียงไม่กี่อึดใจที่ผมนั่งมองจากกล่องลังกระดาษไปยังโต๊ะห่อเทียน มือคล่องแคล่วของไหมน้อยหยุดลง เธอเปิดซองโทรเลข ก้มหน้าอ่านข้อความสั้นๆ ร่างของเธอเหมือนไหวเยือก มือสั่นระริก เงยหน้าขึ้นช้าๆ และมองมาทางผม
เราสบตากันนิ่งอยู่ชั่วขณะ มือเธอยังกุมใบโทรเลข นิ่งงันต่อเนื่องอีกหลายอึดใจค่อยๆ ยันร่างลุกขึ้น
เธอเดินมาหาผม ยื่นใบโทรเลยให้ผมอ่าน
…กลับบ้านด่วน แม่ตกเกวียน เจ็บหนัก…
ข้อความสั้นๆ ไร้ซึ่งคำอธิบายและรายละเอียดอื่นด้วยข้อจำกัดของโทรเลข ตราประทับบนหน้าซองส่งมาถึงผู้รับหน้าโรงงานเมื่อห้าวันที่แล้ว เฮียคุงคงเสียบไว้กับกระดานข้างป้อม จ้อยซึ่งแวะเวียนไปดูจดหมายทุกวันไม่ได้ใส่ใจ จนกระทั่งมีจดหมายของตัวเองเสียบติดไว้ใกล้ๆ
เถ้าแก่ไม่ได้อยู่โรงงาน ถึงจะไหว้วานพี่แดงหรือคุณพิชัยโทรศัพท์ติดต่อ รายงานเหตุความจำเป็นที่คนงานห่อเทียนจะต้องเดินทางกลับบ้านเกิดอย่างรีบด่วน สุดท้ายไหมน้อยก็ต้องเดินทางไปที่ร้านขายเทียนหน้าวัดสามปลื้มย่านจักรวรรดิ และกว่าจะเจอเถ้าแก่แล้วคิดค่าแรงในส่วนที่เหลือค้าง ไหมน้อยก็รออีกเป็นวันถึงจะพาตัวเองไปถึงสถานีรถไฟ
ผมจ้องตาแดงก่ำของเธอ จับมือที่สั่นเทาเหมือนหนาวข้างใน ริมฝีปากเบียดชิดซึ่งพร้อมจะเหยเกไปกับใบหน้าได้ทุกเมื่อ ตอนนี้จิตใจของเธอไม่ได้อยู่ที่โรงงาน หรือในเมืองใหญ่ซึ่งพเนจรมาใช้ชีวิต หากโบยบินสู่ถิ่นฐานที่เคยหันหลังจากมาเมื่อหลายเดือนก่อน
…ตกเกวียน เจ็บหนัก ถ้อยคำสั้นๆ จินตนาการของเธอย่อมขยายภาพได้เอง วัวชราซึ่งใช้งานเทียมเกวียนมานานหลายปี อาจตื่นตระหนกกับม้าหรือฝูงควายของเพื่อนบ้านซึ่งสวนทางมา ห้อตะบึงไม่อยู่ในการบังคับ แล้วร่างของหญิงคนหนึ่งก็พลัดตกกระแทกพื้น ล้อเกวียนที่หมุนเคลื่อนไม่หยุดทับซ้ำลงบนร่างที่ไม่อาจพลิกตัวหลบ
เจ็บหนักขนาดไหน ตอนนี้พักรักษาตัวอย่างไร ข้อความสั้นๆ บนใบโทรเลขไม่ได้ให้รายละเอียด
โทรเลขมาถึงปลายทางห้าวันแล้ว แต่คนรับเพิ่งได้อ่านข้อความ
ผมพาไหมน้อยไปพบคุณพิชัย แล้วพี่แดงก็ถูกเรียกตัวมา แม่บ้านใจดีเป็นธุระโทรศัพท์ไปที่ร้านขอสายเถ้าแก่ ไม่นานก็วางหูลงด้วยสีหน้ากังวล
“เถ้าแก่ไม่อยู่ร้าน… คนรับสายบอกว่าไม่อยู่หลายวัน” พี่แดงพูด
ไหมน้อยโผเข้าหาผมแล้วพูดเบาๆ“ไม่ต้องเอาเงินก็ได้ กลับวันนี้เลย”
กลับวันนี้เลย… ผมจับไหล่เธอเขย่าเบาๆ และพูด
“ขึ้นไปเก็บเสื้อผ้า พี่จะไปส่งที่หัวลำโพง”
นาฬิกาติดผนังที่ห้องคุณพิชัยบอกเวลาบ่ายสองโมงครึ่ง ผมตรวจดูเทียนในถังแยก กะดูเวลาทำงานที่เหลือ สั่งจ้อยให้ถ่ายมาเติมลงในถังที่พร่องให้เต็ม ผมเป็นคนเติมสีลงไป กระทะต้มที่เกือบจะว่างเปล่า ผมจัดขี้ผึ้งใส่กระบะเทเติมลงไป ด้วยปริมาณขนาดนี้ ต่อให้คนเทเทียนเก่งกาจอย่างไร และต่อให้เป็นช่วงอากาศเย็น น้ำเทียนในถังแยก และในกระทะ เกินพอสำหรับวันนี้
เพื่อความรอบคอบ ผมงัดแผ่นขี้ผึ้งออกจากกระสอบ แยกผสมกันไว้ในกระบะ อันไหนสำหรับกระทะซ้าย อันไหนสำหรับด้านขวามือ ผมกำชับจ้อยแล้วทวนซ้ำจนแน่ใจว่าเขาจะไม่หลงลืมจนทำอะไรผิดพลาด
ถังแยกที่ใช้เทลงบนสองฐานของเบ้าพิมพ์ เป็นเทียนยอดนิยมที่จำหน่ายขายดี ผมตระหนักว่าอาจไม่พอ ผมกำชับจ้อยอีกที
“ถ้าเติมน้ำเทียนขาวลงไปเพิ่ม มึงตักสีเหลืองใส่ลงไปสามช้อนครึ่งต่อกระป๋อง ถังเดียวเท่านั้น ถังอื่นไม่ต้องกังวล”
จ้อยผงกหัวรับประกัน “ไม่ต้องห่วง ไปส่งแฟนเถอะ กูต้มเทียนแทนมึงได้ สีสามช้อนครึ่งกูไม่ลืมแน่นอน”
ขอบคุณเขาทางสายตาและคำพูดเหมือนจะยังไม่พอ เป็นครั้งแรกที่ผมสวมกอดเขาแน่นเต็มวงแขนแล้วตบหลังเบาๆ เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง และเพื่อนในชีวิตจริงที่ดีที่สุดเพียงหนึ่งเดียวซึ่งผมมีอยู่ในเวลานี้
จ้อยผลักผมออกจากอ้อมแขน “พอแล้วมึง เดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าเราเป็นกะเทย”
จ้อยหัวเราะ ผมนิ่งคิดถึงภาระที่กำลังจะทิ้งไว้ให้คนอื่นรับ คล้ายกับว่ายังรอบคอบไม่พอ ผมเดินไปเรียกเจ้าโขนซึ่งเคยช่วยเติมฟืนมารับคำสั่ง
“คนเทเทียนพอแล้ว” ผมพูด “เอ็งคอยช่วยจ้อยเติมฟืน ยกกระป๋องเทียน อยู่ช่วยตรงนี้จนกว่าข้าจะกลับมา”
ไหมน้อยเอียงข้างแนบชิดผมบนแท็กซี่ กระเป๋าเป้ใบกะทัดรัดวางไว้ข้างกายอีกด้านหนึ่ง เธอซื้อเตรียมไว้เดินทางกลับไปเยี่ยมแม่ในช่วงสงกรานต์ ทว่า… โทรเลขจากน้องชายเร่งวันคืนโบยบินให้เร็วขึ้นจากที่เคยวางแผนไว้ เธอนิ่งเงียบ ผมเองก็ไม่ปริปากชวนคุย รอให้ถึงหัวลำโพงตีตั๋วรถไฟแล้ว ค่อยถกกันถึงชีวิตช่วงต่อไปของเรา
จากบางพลัด รถรับจ้างพาเราเดินทางลึกเข้าเมือง ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เลียบสนามหลวงที่ซึ่งเคยมีคนถูกแขวนคอ ผ่านถนนกว้างใหญ่และอนุสาวรีย์ซึ่งเคยมีผู้คนมาชุมนุมกันเรือนหมื่น ผมกับไหมน้อยได้แต่นิ่งเงียบกับการครุ่นคิด และความวิตกกังวลในใจ จนกระทั่งหัวลำโพงปรากฏแก่สายตา เท้าสัมผัสพื้น ผมเป็นคนหิ้วกระเป๋าเป้ตรงไปยังตารางเดินรถ
ผมไม่เคยโดยสารรถไฟแม้แต่ครั้งเดียว ส่วนไหมน้อยเที่ยวเดียวที่พาเธอเข้ากรุงเทพฯ นั่นคือประสบการณ์แรก เธอจำได้ว่ารอรถไฟเที่ยวนั้นเกือบจะมืดค่ำ เที่ยวขากลับสายหัวลำโพง-วารินชำราบก็น่าจะเป็นเวลาเดียวกัน ใจผมยังหวังว่าจะมีเที่ยวอื่น ส่งเธอขึ้นรถไฟแล้วยังกลับไปช่วยงานจ้อยได้ทัน
ผมไล่สายตาไปตามตัวเลขตารางเดินรถ หัวลำโพง-วิรินชำราบฯ เหลือเที่ยวสุดท้ายทุ่มครึ่ง ไม่มีทางเลือกอื่น ผมเดินเข้าไปตีตั๋วกลับออกมาพร้อมยิ้มปลอบไหมน้อย
“เราไปหาส้มตำกินฆ่าเวลา อีกสามชั่วโมงครึ่งกว่ารถจะออก”
ผมสะพายเป้ที่อัดแน่นด้วยเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ประดามีจูงแขนไหมน้อยเดินฝ่าสรรพสำเนียงที่แทบฟังไม่ได้สรรพ สถานีรถไฟซึ่งอึงอลด้วยเสียงผู้คน ฝีเท้า กังวานแห่งระฆัง และหวูดที่ดังก้อง ณ ที่แห่งนี้เองผู้คนได้เผชิญกับความรู้สึกหลากหลาย วาดหวัง รอคอย พบพาน แยกจาก และความขมขื่นที่ไม่อยากจดจำ
ออกสู่ย่านร้านอาหารซึ่งเราต่างเคยมาเยือน สำนักจัดหางานซึ่งเคยส่งตัวผมไปตรากตรำกับสถานประกอบการต่างๆ บางแห่งก็เป็นเสมือนประตูนรกที่ส่งผ่านแรงงานพลัดถิ่นสู่กระทะทองแดง
เช่นเดียวกับไหมน้อยที่ถูกไล่ต้อนเข้าไปพร้อมเพื่อนร่วมถิ่น เป็นที่ซึ่งความฝันแรกของเธอแตกพังไปพร้อมการจากพราก ฝันซึ่งตั้งใจมาจากบ้านเกิดจะเป็นสาวใช้ประจำบ้านเจ้านาย ถูกเพื่อนร่วมถิ่นคว้าไปด้วยคุณสมบัติที่เหมาะสมกว่า แยกจากเพื่อนที่เลยลับแล้วเธอก็ถูกส่งตัวไปยังโรงงานเทียนไข
ที่เคยเสียใจ ผิดหวัง กลับกลายเป็นโชคนำพาให้พบพาน
“ถ้าไหมไปเป็นสาวใช้ เราคงไม่ได้พบกัน” เธอบอกกับผมในวันนั่งกินส้มตำริมน้ำ
สถานีซึ่งพล่านไปด้วยนักเดินทาง คนจร แม่ค้าพลัดถิ่น และนักล่าค่าหัวแรงงาน ผมกับไหมน้อยนั่งลงบนพื้นหญ้าในแสงแดดอ่อน ผมเหลือบมองที่ซึ่งเคยซานเซมาพักนอนตากน้ำค้าง และอดหิวแทบขาดใจในวันที่ในกระเป๋ากางเกงไม่มีแม้แต่เศษเหรียญ
เรากินส้มตำ ข้าวเหนียว และลาบสุก ไหมน้อยสลัดความกังวลจากสีหน้า
“สงกรานต์ไหมจะลงมารับพี่ที่กรุงเทพฯ” เสียงของเธอแจ่มใสขึ้นเล็กน้อย
“โรงงานหยุดสามวัน” ผมว่า
เธอจ้องหน้าผมยิ้มๆ “คิดหรือว่าพี่จะได้กลับมากรุงเทพฯ อีก ไหมกับแม่ไม่ให้พี่กลับหรอก”
“อยากซื้ออะไรฝากแม่กับน้อง” ผมถาม
“แถวนี้ไม่มีอะไร ไปซื้อที่ศรีสะเกษ ขนม บะหมี่ ปลากระป๋อง” เธอพูด
หน้าแล้งอันโหดร้ายบนแผ่นดินอีสาน ไม่เพียงรอยไหม้เกรียมบนพื้นหญ้าที่เหี่ยวเฉาแนบซบดิน น้ำในห้วยและหนองแห้งขอดลง นาข้าวเหลือเพียงตอซังราบลงบนดินแตกร้าว กบ เขียด ปูและปลา หายไปกับความชุ่มฉ่ำของสายฝน ผักหญ้าซึ่งเคยเก็บจากแปลงปลูกและป่าละเมาะถูกเพลิงแดดเผาจนแห้งเกรียม ไหมน้อยซึ่งเคยถือเสียมเดินฝ่าเปลวแดดในท้องทุ่งรู้ซึ้งแก่ใจ กว่าครึ่งค่อนวันที่เธอออกสู่ทางแสวงหาที่เกือบจะว่างเปล่า หากไม่ได้ปูนาตัวเดียวติดมือกลับบ้าน
เราผละจากลานหญ้าเข้าไปหลบแดดในอาคารสถานี ม้านั่งเต็มไปด้วยผู้คน ทั้งนั่งรอคอยรถไฟที่พวกเขาตีตั๋วไว้แล้ว และพักนอนเหยียดยาวด้วยความเหนื่อยอ่อน ผมกับไหมน้อยนั่งลงบนพื้นซีเมนต์ ชั่วไม่กี่อึดใจหญิงชราสืบก้าวมาวางหาบลงใกล้ๆ
ไหมน้อยเบิกตามองเงียบๆ ผมเข้าใจดีว่าเธอรู้สึกสงสารหญิงชราที่ต้องเลี้ยงชีวิตครอบครัวกับหาบเร่ มีอะไรที่เราพอจะช่วยซื้อได้ ผมชะเง้อสำรวจ มันต้ม ถั่วต้ม ข้าวโพด และผลไม้สด
“อยากกินอะไรก็ไปซื้อ” ผมบอก เปิดทางให้ไหมน้อยได้ใช้ความเมตตา
เธอยิ้มอายๆ แล้วก้มหน้าลงเงียบๆ ผมเพิ่งฉุกใจคิดได้ เงินในกระเป๋าของไหมน้อยตอนนี้คงเหลือไม่พอซื้ออะไร นอกจากสำรองไว้สำหรับการเดินทางอีกทอดหนึ่งไปยังบ้านเกิด เธอจ่ายค่าแท็กซี่ ผมเดินไปซื้อตั๋วรถไฟให้เธอด้วยเงินของตัวเอง
ไหมน้อยได้แต่มองหญิงชราเงียบๆ ผมถามว่า “เหลือเงินเท่าไหร่”
ไหมน้อยควักกระเป๋าตังค์ใบเล็กออกมา ในนั้นเหลือแบงก์ยี่สิบเพียงสองใบ ผมฉุดมือเธอลุกขึ้น จนผ่านประตูเข้าสู่ชานชาลา นั่งลงบนม้าไม้คู่กัน ผมควักแบงก์ร้อยสิบใบยัดใส่มือของเธอ
“ไหมจะเล่าเรื่องพี่ให้แม่ฟัง” เธอพับแบงก์ร้อยทั้งสิบใบกุมไว้ในมือ “ถ้าสงกรานต์มารับพี่กลับบ้าน แม่จะต้องชอบพี่แน่ๆ รักพี่เหมือนลูกคนหนึ่ง น้องชายไหมก็จะรักพี่ กลับไปไหมจะเล่าเรื่องพี่ให้เขาฟังทุกวัน”
“กลับไปดูแลแม่ก่อน” ผมพูด
เธอก้มหน้าลงช้าๆ ดวงตาใสๆ พลันแดงก่ำขึ้นมา ผมหันหน้ามองแสงไฟเหนือชานชาลาที่เปิดสว่าง สวนทางความมืดที่ห่มคลุมตู้รถไฟหลายขบวนที่ยังจอดนิ่ง
ภาระการงานที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังรื้นขึ้นมาสู่ความกังวล แม้จัดเตรียมทุกอย่างรอบคอบและละเอียดพอแล้ว หากเกิดความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ เฮียคุงคงไม่ปล่อยโอกาสที่จะเล่นงานผมแบบใหญ่โต ยิ่งตอนออกจากโรงงานพร้อมไหมน้อย ผมไม่ได้บอกกล่าว
“มึงไปบอกเฮียคุงด้วย” พี่แดงแนะ
ผมเชิดหน้ายิ้มน้อยๆ “ไปไม่นานหรอกพี่แดง ส่งไหมขึ้นรถแล้วผมก็จะรีบกลับ”
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมเดินขึ้นรถไฟ ผ่านขั้นบันไดที่จะต้องก้าวด้วยความระมัดระวัง เดินตัวลีบลอดช่องแคบสู่ห้องโดยสาร ม้านั่งซึ่งทำด้วยไม้หันหน้าเข้าหากันเรียบลื่นเป็นเงาวาวจากรอยก้าวผ่านของนักเดินทางคนแล้วคนเล่า ผมไม่เข้าใจว่าห้องโดยสารของรถไฟแบ่งชั้นกันอย่างไร ไหมน้อยบอกผมก่อนซื้อตั๋วให้เลือกชั้นราคาถูกที่สุด
เธอเลือกที่นั่งมุมติดหน้าต่างด้านซ้าย เลือกที่นั่งหันหลังให้กับปลายทาง วัดจากมุมที่มองไปทางท้ายรถ กลายเป็นเธอนั่งทางด้านขวา
ผู้โดยสารในตู้นี้ค่อนข้างน้อย ผมวางกระเป๋าเป้แล้วนั่งลงข้างไหมน้อย เวลาเหมือนกระชั้นเข้ามา อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงรถขบวนนี้ก็จะออกจากสถานี
ไหมน้อยคว้าแขนผมไปกอด “พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาก็ไม่ได้เห็นหน้าพี่ ก่อนนอนเปิดหน้าต่างออกไปก็ไม่เห็นพี่”
เธอโน้มตัวมาเบียดชิด น้ำตาหยดแรกกระทบแขนเปลือยของผม แล้วเธอก็เริ่มสะอื้น
“วันที่ไม่เห็นหน้าพี่ ไม่มีพี่อยู่ใกล้ๆ มันจะนานมาก…”
ผมกางแขนซ้ายโอบเธอไว้ “ถึงบ้านแล้ว เขียนจดหมายถึงพี่ ถ้าสงกรานต์มาไม่ได้ พี่จะเดินทางไปหาไหมเอง”
ใบหน้าที่เริ่มเปื้อนด้วยน้ำตาผละจากไหล่ผม จ้องตาและยิ้มน้อยๆ “จริงนะ”
ผมผงกหัวยืนยัน “อย่าลืมเขียนจดหมาย พี่จะรอ”
“พรุ่งนี้ถึงบ้าน ไหมจะเขียนจดหมายส่งข่าวถึงพี่ทันทีเลย”
เสียงระฆัง เสียงเตือน และเสียงฝีเท้าผู้คนอึงอลอยู่รายรอบ คล้ายเสียงเตือนจากสถานีให้ผู้โดยสารขึ้นรถ ไหมน้อยกอดแขนผมแน่น
“สงกรานต์เราจะได้อยู่ด้วยกัน”
“ดูแลแม่ให้ดี สงกรานต์อีกไม่นาน”
ผมลุกขึ้นยืน ไหมน้อยผวาเข้ามากอด ไออุ่นและสัมผัส ผมรับรู้ถึงความรักอันมากมายเกินจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด ผมไม่เคยสงสัยในความรักที่เธอมีให้ แต่ในนาทีนี้ ผมสิ้นสงสัยกับทุกคำถามเกี่ยวกับความรักที่เคยมี และจุดหมายบางด้านของชีวิตผมตอบใจตัวเองได้แล้ว
ผมรักเธอ…ไหมน้อย
คลายอ้อมกอดแล้วเธอยังจับมือผมไว้แน่น ผมใช้มือที่เหลือปลดสร้อยและพระเลี่ยมทองจากที่ห้อยคอไว้เกือบตลอดเวลา ผมถ่ายโอนไปยังคอของเธอเสร็จแล้วกำชับ
“พระจะคุ้มครองไหม สร้อยเส้นนี้ถ้าเงินไม่พอรักษาแม่ ก็ขายมันไป”
เรากอดกันแน่นเป็นครั้งสุดท้าย ร่างเล็กๆ ของไหมน้อยสั่นสะท้าน ผมได้ยินเสียงหัวใจของเธอเต้นแรงเหมือนจะกระดอนออกมานอกอก ผละจากกันพร้อมเสียงระฆัง และขบวนรถขยับไปข้างหน้า ผมรีบกระโจนผ่านช่องแคบเลี้ยวสู่บันไดพาตัวเองลงไปยืนบนชานชาลา
ตู้ขบวนอันยาวเหยียดเคลื่อนไปข้างหน้าช้าๆ ขณะผมกับไหมน้อยห่างกันราวสามสี่ช่วงแขน เราสัมผัสกันด้วยสายตา ผมยกมือขึ้นโบกแล้วก็ลดลง เธอฝืนยิ้มที่มุมปาก ขยับแขนเหมือนจะยื่นมือออกมานอกหน้าต่างเพื่อเอื้อมคว้าสิ่งที่กำลังจะจากพราก
ผมยืนนิ่งหากสะอื้นในใจ รถเคลื่อนห่างออกไป ในความรู้สึกลึกๆ คล้ายกำลังถูกม้าแยกร่างเหมือนที่เคยจากดูหนังจีนกำลังภายใน ปล่อยน้ำตาไหลพราก และในม่านมัวหม่นจากขอบหน้าต่าง ไหมน้อยสั่นสะท้าน เธอลุกขึ้นเหมือนจะโผพุ่งลงมา
เสียงระฆังจากชานชาลาอื่นเตือนให้ผมฟื้นสติ จ้องมองรางรถไฟว่างเปล่าในแสงสว่าง ดวงหน้าแฝงเศร้า และน้ำตาของไหมน้อยเลยลับไปแล้ว
***************************